ก่อนที่คุณนวรัตนจะเลกเชอร์วิชาประชาธิปไตย ๑๐๑ ตอนบั้นปลายของพระองค์เจ้าบวรเดช
ขออนุญาตเสนอเกร็ดบางตอนของเรื่องกบฏบวรเดชจากบทความของนักเขียน ๒ ท่าน
๑. คุณจุลลดา ภักดีภูมินทร์ เขียนไว้ในนิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๒๔๖๗ ปีที่ ๔๘ ประจำวันอังคารที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๕ พระองค์เจ้าบวรเดช ท่านเป็น พระองค์เจ้าชั้นพระวรวงศ์เธอ คือชั้นพระราชนัดดาในพระเจ้าแผ่นดิน เรียกกันอย่างสามัญว่า พระองค์เจ้าตั้ง มิใช่พระองค์เจ้าโดยสิทธิกำเนิด ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงพระราชนิพนธ์ใช้ว่า ‘by right’
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เป็นประชาธิปไตย พ.ศ.๒๔๗๕ ครั้งนั้นทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เพียง ๑ ปี ๓ เดือน ในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๔๗๖ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นแม่ทัพยกทหารมาจากโคราช มายึดดอนเมือง เกิดสู้รบกับทหารกรุงเทพฯที่บางเขน ทางการสมัยนั้นจึงเรียกเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า ‘กบฏบวรเดช’ แต่องค์แม่ทัพและพวกนายทหารผู้ใหญ่ ผู้น้อยที่ร่วมด้วยเรียกพวกของตนว่า คณะกู้บ้านกู้เมือง ทว่าเมื่อฝ่ายที่ยกมาพ่ายแพ้จนองค์แม่ทัพต้องเสด็จหนีไปเขมร จึงต้องเป็น ‘กบฏบวรเดช’ อยู่หลายสิบปี ทางการครั้งนั้นได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ตรงหลักสี่ให้เรียกว่า ‘อนุสาวรีย์ปราบกบฏ’ เวลานี้อนุสาวรีย์ก็ยังมีอยู่ แต่เรียกกันใหม่ว่า ‘อนุสาวรีย์หลักสี่’
ในการปะทะกันครั้งนั้น มีผู้เขียนเรื่องราวและเหตุแห่งการที่ต้องสู้รบกันหลาย ‘ปาก’ แล้วแต่ว่าจะมองในด้านใด และผู้เขียนเป็นฝ่ายใด แต่ที่น่าเชื่อเห็นจะเป็นเรื่องในประวัติของหม่อมในหม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร ผู้เป็นเจ้าน้องของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช คือ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร ณ อยุธยา ความว่า
“เมื่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่คณะราษฎร์สัญญาว่าจะหยิบยื่นให้ประชาราษฎร ด้วยการชิงสุกก่อนห่ามมาแต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ มีทีท่าว่าจะเป็นเผด็จการยิ่งขึ้นทุกทีแล้วนั้น พระองค์เจ้าบวรเดชจึงทรงคิดการนำทหารหัวเมืองมาบังคับให้รัฐบาลลาออก ให้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ในการนี้หม่อมเจ้าสิทธิพรได้ร่วมเป็น ‘กบฎ’ ด้วย โดยเป็นทำนองเสนาธิการฝ่ายพลเรือนเคลื่อนขบวนมากับเจ้าพี่ของท่านแต่โคราช สั่งสอนอบรมประชาธิปไตยให้แก่ราษฎร ตามระยะทางเรื่อยมา...”
และหม่อมศรีพรหมา เล่าจากปากของท่านว่า
“เมื่อพระองค์เจ้าบวรเดชมาทรงชวนท่านให้ร่วมงานด้วยนั้น ท่านทรงปรึกษาฉัน ฉันทูลท่านว่า ถ้าท่านจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองแล้ว แม้จะเสี่ยงสักเพียงไรฉันก็เห็นด้วยและสนับสนุนท่านเต็มที่”
‘ท่าน’ คือ หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร
เมื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช ทรงลี้ภัยไปเขมร หม่อมเจ้าสิทธิพร ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ท่านโดนจำคุกอยู่ ๑๑ ปีเต็ม ก็ได้พระราชทานนิรโทษกรรมออกมา
๒. คุณนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เขียนไว้ในหนังสือ "ความคิด ความรู้และอำนาจการเมืองในการปฏิวัติสยาม ๒๔๗๕" จัดพิมพ์โดยสถาบันสยามศึกษา สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๓ จากการสู้รบเกือบสองสัปดาห์ ฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิต ๑๕ คน รวมทั้งพันตรีหลวงอำนวยสงคราม (ถม เกษโกมล) ผู้นำคนหนึ่งของคณะราษฎร ส่วนฝ่ายกบฏเท่าที่ทราบจำนวนเสียชีวิต ๘ คน รวมทั้งพันเอกพระยาศรีสิทธิสงคราม (ดิ่น ท่าราบ) และพันตรีหลวงพลหาญสงคราม (จิตร อัคนิทัต)
นักข่าวต่างประเทศได้กล่าวว่า
"…นี่มันรบอะไรกัน..ถ้าปริ๊นซ์บวรเดชจะไปจ้างชาวเม็กซิกันสัก ๑๐ คนมารบ ก็น่าจะได้เห็นการรบที่มีรสชาติกว่านี้"
ความเสียหายของราษฎรในบางเขนและดอนเมือง จากการสำรวจของรัฐบาลเพื่อที่จะให้เงินทดแทนนั้น มีราษฎรตาย ๑ คน และพระภิกษุมรณภาพ ๑ รูป ราษฎรที่บาดเจ็บสาหัสมี ๑ คน และมีอาคารบ้านเรือนที่พักอาศัยเสียหาย รวม ๔๘ รายการ รัฐบาลตั้งงบพิเศษสำหรับค่าใช้จ่ายไว้ ๑๐๐,๐๐๐ บาทจากกระทรวงการคลัง และได้รับบริจาคจากราษฎรอีก ๑๗๑,๖๕๙.๒๕ บาท ส่วนฝ่ายกบฏนั้นได้เบิกจ่ายออกจากที่ตั้งรวมแล้วเป็นจำนวน ๕๙,๘๓๔.๐๓ บาท
ผลที่ตามมาที่ต้องกล่าวถึง คือ การตั้งศาลพิเศษของรัฐบาล ซึ่งในสายตาของผู้พัวพันกับกบฏ เห็นว่าไม่ยุติธรรม และต่อมากลายเป็นข้อโจมตีของคณะราษฎรเสมอ ถ้าหากพิจารณาในสภาพแวดล้อมทางประวัติศาสตร์ กล่าวคือ ฝ่ายพลเรือนต้องการให้มีการยกเลิกกฎอัยการศึกโดยเร็ว ซึ่งยกเลิกได้เมื่อ ๒๙ ตุลาคม ๒๔๗๖ ส่วนการใช้กฎอัยการศึกกับพวกกบฏนั้นรัฐบาลเห็นว่ารุนแรงเกินไป และจะใช้ศาลปกติก็ดูจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ จึงมีการตั้งศาลพิเศษขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องมี ๖๐๐ คน ถูกฟ้องศาล ๘๑ คดี จำเลย ๓๑๘ คน ในจำนวนนี้ถูกพิพากษาลงโทษ ๒๓๐ คน ต่อมาได้มีการพระราชทานและอภัยโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุกตลอดชีวิต และจากจำคุกตลอดชีวิตถูกเนรเทศไปเกาะตะรุเตา
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับผลสะเทือนเป็นอย่างมากด้วย ในระหว่างมีเหตุการณ์สู้รบ พระองค์เสด็จโดยเรือเร็วขนาดเล็กจากหัวหินลงไปสงขลา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกเข้าใจผิดว่าอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด มีพระราชกระแสเตือนรัฐบาลเกี่ยวกับการดำเนินการปราบกบฏ และผู้ต้องสงสัยเสมอ และในวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๔๗๖ ทรงมีพระราชกระแสถึงรัฐบาลให้ยุติการจลาจลอย่างละมุนละม่อม ทรงกล่าวว่า
"เป็นการสมควรที่รัฐบาลจะประกาศอภัยโทษ ให้แก่ผู้ที่ร่วมก่อการจลาจล ตลอดทั้งนายทหารและบุคคลที่ไม่ใช่เป็นหัวหน้าหรือคนสำคัญในการกระทำครั้งนี้เสียโดยเร็ว"
แต่รัฐบาลปฏิเสธพระราชกระแสนั้น ด้วยหลักการที่ว่าต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก่อน จึงจะพิจารณาให้อภัยโทษ
เมื่อมีการจับกุมผู้ที่พัวพันกับกบฏ นายทหารรักษาพระราชวัง คือ พันโทหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท พันตรีจมื่นรณภพพิชิต และร้อยเอกหลวงศรสุรกาน ก็ถูกจับกุมตัวด้วย ราชเลขาธิการในพระองค์ คือ หม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิ์วงศ์ ต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ ราชเลขาธิการในพระองค์คนใหม่คือ พระองค์เจ้าอาทิพย์ทิพอาภา เป็นเจ้านายเอียงไปทางคณะราษฎร หลังจากนั้นมีข้อขัดแย้งกับรัฐบาลอีกเรื่องคือ พระราชบัญญัติอากรมรดก คือทรงยับยั้ง แต่สภาลงมติลับยืนยันร่างเดิม และทรงไม่ลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชบัญญัติแก้วิธีลงโทษประหารชีวิต รวม ๓ ฉบับ ทางสภาก็จัดวางแบบประกาศใช้พระราชบัญญัติที่พระมหากษัตริย์ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยขึ้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร (สามัญ) ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๗๗ สภาผู้แทนได้พิจารณาพระราชบันทึกรวม ๖ ข้อของพระองค์ และลงมติว่า "ตามที่รัฐบาลได้ปฏิบัตินั้น เป็นการชอบแล้ว" และในท้ายที่สุดทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗