เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 344 The Epstein Files -- แฟ้มลับที่ (ไม่) มีจริง
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


 เมื่อ 07 ส.ค. 25, 21:54

เป็นเวลาเกือบเดือนเต็มแล้วที่โดนัลด์ ทรัมป์ต้องเผชิญกับข้อสงสัยและเสียงครหาจากฐานเสียงของตัวเองในเรื่องที่เกี่ยวกับการตายของอภิมหาเศรษฐีผู้อื้อฉาวชื่อเจฟฟรีย์ เอปสตีนที่เรือนจำในมหานครนิวยอร์คเมื่อปี 2019   ซึ่งเป็นช่วงปลายๆ ของการดำรงตำแหน่งปธน.ของทรัมป์ในสมัยแรก   และต่อให้พยายามสักแค่ไหน   ทรัมป์ก็ยังไม่สามารถโน้มน้าวฐานเสียงในฝั่ง MAGA ให้เลิกสนใจทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับนายเอปสตีนได้    แถมยิ่งแก้ตัวเท่าไหร่ก็ยิ่งเข้าเนื้อจนกลายเป็นลิงแก้แห  แทนที่คนจะเชื่อก็ยิ่งก่อให้เกิดคำถามมากมายไม่รู้จบ   โพสต์นี้จึงขอนำเหตุผลที่ทำให้ทรัมป์ไม่สามารถสลัดเรื่องราวอันเกี่ยวข้องกับนายเอปสตีนให้หลุดได้เสียทีมาเรียบเรียงให้ผู้ที่ไม่มีเวลาติดตามข่าวนี้อย่างใกล้ชิดได้อ่านกัน

•   ใครคือผู้สนับสนุนอุดมการณ์ MAGA
•   ทำไมเรื่องราวของเอปสตีนถึงกลายเป็นทฤษฎีสมคบคิด
•   สาเหตุใดที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารอย่างทรัมป์ถึงสลัดเรื่องนี้ไม่หลุด

ก่อนจะพูดถึงทั้งสามประเด็นข้างบนก็ขอเอาบทสรุปข้อหาและเบื้องหลังการตายในเรือนจำของนายเอปสตีนมาแปะให้อ่านกันก่อน    จะได้ไม่ต้องเท้าความกันเยอะ
https://thematter.co/thinkers/behind-the-death-of-jeffrey-epstein/83021

1.   ใครคือผู้สนับสนุนอุดมการณ์ MAGA

MAGA ย่อมาจากสโลแกน Make America Great Again ที่ทรัมป์ใช้ประชาสัมพันธ์นโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” หรือ America First ของเขาในระหว่างลงเลือกตั้งครั้งแรก   จนสามารถปลุกเร้าฐานเสียงฝั่งอนุรักษ์นิยมให้แห่กันมาสนับสนุนผู้สมัครที่จัดว่าโนเนมในแวดวงการเมืองอย่างเขาได้         

เสาหลักของอุดมการณ์แบบ Maga นี้มีอยู่ 3 เรื่อง หนึ่งคือต่อต้านการเข้าเมืองและการโยกย้ายถิ่นฐาน (anti-immigration)    สองคือต่อต้านการค้าเสรี (against free trade)  และสามคือต่อต้านการที่อเมริกาจะเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งในภูมิภาคอื่นๆ  เช่น Forever War หรือสงครามไม่รู้จบในอิรักและอัฟกานิสถาน เป็นต้น   

แนวคิดแบบนี้ออกจะแตกต่างไปจากแนวคิดหลักของพรรครีพับลิกันในอดีต   ที่ถึงแม้จะมุ่งเน้นผลประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก แต่ก็ดูเหมือนจะเห็นพ้องต้องกันกับฝ่ายเดโมแครตว่าอเมริกายังต้องแสดงบทบาทค้ำจุนประชาธิปไตยในเวทีโลก   รวมทั้งมองการร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อรักษาความมั่นคงในในยุโรปและเอเชียว่าเป็นเรื่องจำเป็น   อีกทั้งยังยึดมั่นในประวัติศาสตร์ความเป็น Melting Pot หรือการเป็นเบ้าหลอมชาติพันธุ์ที่หลากหลายของอเมริกาและเชื่อเรื่องการค้าเสรี 

คนสาย MAGA ส่วนใหญ่จะเป็นประชากรชายผิวขาว สนับสนุนการนับถือศาสนาคริสต์และสิทธิในการครอบครองอาวุธปืนเหนือสิ่งอื่นใด  มีแนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ ไม่ยอมรับสิทธิในการยุติการตั้งครรภ์อย่างถูกกฎหมาย ต่อต้านนโยบายสร้างความเสมอภาคระหว่างเพศเพราะมองว่ามันทำให้ฝ่ายชายเสียเปรียบ   คนเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มประชากรซึ่งมีรายได้ไม่สูงเพราะส่วนมากจะไม่จบปริญญาตรี   มักจะอาศัยอยู่ตามเมืองเล็กๆ ในเขตชนบท  หรือในเขตเมืองที่รกร้างหลังจากที่โรงงานอุตสาหกรรมปิดตัวลงเพราะเจ้าของโยกย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ค่าแรงต่ำกว่า   ทำให้คนในกลุ่มนี้รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นประชากรที่ตกหล่น  ไม่ได้รับประโยชน์จากการค้าเสรีหรือโลกาภิวัตน์  และมองผู้อพยพเข้าเมืองว่ามาแย่งงานแย่งทรัพยากรของตัวเองไป

ในสามทศวรรษก่อนหน้าทรัมป์จะเข้ามามีอำนาจนั้น   อเมริกาประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสร้างโอกาสให้ผู้หญิงและคนกลุ่มน้อยเพื่อชดเชยกับการที่ประชากรเหล่านี้เคยถูกกดขี่ในอดีต    ส่งผลให้มีจำนวนผู้หญิงที่เข้าสู่ระบบการศึกษาและจบการศึกษาในทุกระดับสูงกว่าผู้ชาย  นอกจากนั้น  กระแส Me Too ที่แพร่หลายไปทั่วอเมริกาในช่วงปี 2017  ก็ยังทำให้เสียงของผู้หญิงในสังคมดังก้องกว่าเดิม  ทำให้ผู้ชายจำนวนมากรู้สึกเหมือนตกเป็นเบี้ยล่าง  การที่ทรัมป์แสดงความดูหมิ่นดูแคลนผู้หญิงอย่างออกนอกหน้าและปฏิบัติต่อผู้หญิงเหมือนเป็นวัตถุทางเพศก็ทำให้ผู้ชายเหล่านี้เห็นทรัมป์เป็นฮีโร่   (ขณะที่คนสาย MAGA ซึ่งเป็นหญิงก็จะเห็นว่าทรัมป์แค่ใช้วาจาแบบที่ผู้ชายส่วนใหญ่ชอบใช้ตามผับตามบาร์หรือในห้องแต่งตัวชายตามสโมสรต่างๆ   ไม่ก็มองว่าผู้หญิงเป็นช้างเท้าหลัง  และบทบาทผู้นำในสังคมหรือการบริหารประเทศควรเป็นของผู้ชาย)   

สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนสาย MAGA มีอิทธิพลล้นหลามในการเมืองภายในของพรรครีพับลิกันคือการที่คนกลุ่มนี้มีความจงรักภักดีต่อทรัมป์มากกว่าพรรค     นี่เป็นสาเหตุให้แม้แต่นักการเมืองอาวุโสของพรรคหลายคนยังต้องเกรงอกเกรงใจ  ถ้าไม่ตระบัดสัตย์ออกสื่อแบบซึ่งๆ หน้าก็ต้องคอยปั้นแต่งคำพูดแก้ต่างให้ทรัมป์     เพราะถ้าเผลอไปทำอะไรที่ขัดใจหรือไม่ถูกจริตทรัมป์ขึ้นมาล่ะอาจจะเจอทัวร์ลง ถูกข่มขู่อาฆาต หรืออาจถูกทรัมป์หมายหัวแล้วไปสนับสนุนคู่แข่งของตัวเองในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้   

ความจงรักภักดีต่อทรัมป์นี่เองเป็นสาเหตุให้คนสาย MAGA ไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจในสื่อกระแสหลักต่างๆ   เพราะมีความเชื่อว่าสื่อเหล่านั้นเป็นพวกหัวรุนแรงฝ่ายซ้ายที่มีอคติทั้งต่อทรัมป์และต่ออุดมการณ์ขวาจัดของพวกเขา    ตรงนี้ทำให้คนสาย MAGA  กลายเป็นพวกชอบกระจายข้อมูลบิดเบือนหรือข่าวเท็จ และหลงเชื่อทฤษฎีสมคบคิดได้ง่ายๆ   

ทฤษฎีสมคบคิดหนึ่งที่คนสาย MAGA เชื่อเป็นตุเป็นตะคือทฤษฎีว่าที่จริงแล้วทรัมป์คือนักรบลับของฝ่ายธรรมะ  ผู้เข้าสู่เส้นทางการเมืองเพื่อต่อสู้กับฝ่ายอธรรม ซึ่งเป็นกลุ่มคนวิปริตในสังคมระดับสูงที่ชอบมีเซ็กส์กับเด็กและเชื่อในซาตาน แต่สามารถแผ่อำนาจและอิทธิพลเหนือรัฐจนกลายเป็น Deep State ที่คอยสังการลับๆ อยู่ข้างหลัง   และเป็นผู้ดำเนินปฏิบัติการล่อลวงเด็กทั่วโลกเพื่อการค้าประเวณี   ทรัมป์เองแม้จะไม่เคยกล่าวสนับสนุนทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวอย่างชัดเจน  แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่จริง  แถมยังชอบปลุกเร้าฐานเสียงและสร้างความนิยมให้แก่ตัวเองด้วยการรีทวีตโพสต์ของคนที่ชอบประโคมทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ และยังเรียกคนเหล่านั้นว่า “ประชาชนผู้รักชาติ” ด้วย



บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 07 ส.ค. 25, 21:55

2.   ทำไมเรื่องราวของเอปสตีนถึงกลายเป็นทฤษฎีสมคบคิด

แม้แต่คนที่ไม่ค่อยเชื่อทฤษฎีสมคบคิดก็ยังรู้สึกว่าเรื่องราวและการตายของเอปสตีนนั้นมีเงื่อนงำสุดๆ  (คงคล้ายๆ กับคนที่ไม่เชื่อเรื่องผู้ถูกคุมขังในเรือนจำไทยบางคนตายเพราะติดเชื้อในกระแสเลือดในระหว่างคุมขังนั่นแหละค่ะ)  เพราะมันมีประเด็นน่าสงสัยมากมายที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ   

•   รายงานชันสูตรศพที่เผยแพร่ต่อสาธารณะนั้นไม่มีข้อมูลสำคัญๆ ที่จะบ่งชี้ช่วงเวลาและสาเหตุของการตาย เช่น  ภาพของศพในขณะที่จนท.เรือนจำค้นพบว่าเขาผูกคอตาย   ตำแหน่งของเชือกรอบคอศพ  หรือรอยช้ำเขียวที่เกิดจากการที่เลือดไหลเวียนลงที่ต่ำหลังจากหัวใจหยุดเต้น  รวมทั้งไม่อธิบายว่าทำไมศพถึงมีทั้งรอยฟกช้ำที่ข้อมือทั้งสองข้าง  รอยถลอกที่ปลายแขนซ้าย เลือดคั่งในกล้ามเนื้อที่ไหล่ซ้าย  ปากแตก และมีรอยเข็มที่แขนข้างหนึ่งด้วย 

•   หมอที่ชันสูตรศพระบุว่ามีการหักของกระดูกที่บริเวณคอถึงสามแห่ง  ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการชันสูตรศพบางรายรวมถึงหมอที่ไปร่วมสังเกตการณ์การชันสูตรศพคนหนึ่งระบุว่าพบได้น้อยมากในบรรดาศพที่ตายด้วยการแขวนคอ  นอกจากนั้น หมอที่ไปร่วมสังเกตการณ์การชันสูตรศพยังให้ความเห็นว่าการแตกของเส้นเลือดฝอยบนใบหน้าและในดวงตาศพนั้นมักจะสอดคล้องกับการตายเพราะถูกบีบรัดคอมากกว่าการแขวนคอตายเอง   

•   แพทย์ผู้รับผิดชอบการชันสูตรศพได้ระบุในขั้นแรกว่าไม่สามารถสรุปสาเหตุของการตายได้ 100%  แต่เปลี่ยนใจมาสรุปในสองวันให้หลังว่าฆ่าตัวตายแน่ๆ
   
•   รายงานของทางการระบุว่า จนท.เรือนจำผู้คนพบศพของเอปสตีนต้องตัดเชือกที่ทำจากผ้าปูเตียงสีส้มออกเพื่อนำตัวเขาลงมา  ขณะที่ภาพของเชือกซึ่งทางการเผยแพร่นั้นกลับแสดงให้เห็นว่าไม่มีรอยตัดหรือฉีกขาดที่ปลายเชือกอย่างที่ควรจะเป็น  แต่เป็นปลายเชือกที่มีการเย็บกันหลุดลุ่ยอย่างเรียบร้อย   ก่อให้เกิดคำถามว่านี่ใช่เชือกที่ใช้ผูกคอจริงหรือเปล่า


บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 07 ส.ค. 25, 21:59

นอกเหนือจากการตายที่เต็มไปด้วยคำถามของเขาแล้ว   อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับตัวเอปสตีนก่อนตายยังเป็นเสมือนเชื้อเพลิงชั้นดีให้แก่ทฤษฎีสมคบคิดต่างๆ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมาด้วย

•   คดีแรกที่เอปสตีนถูกตั้งข้อหาคือคดีที่สนง.ตำรวจในปาล์มบีชเคาน์ตี้รัฐฟลอริดาเป็นเจ้าของ  (เคาน์ตี้คือหน่วยปกครองของสหรัฐฯ ที่รองลงมาจากรัฐ  ถ้าจะเปรียบกับบ้านเราก็คงคล้ายๆ กับอำเภอ)   ซึ่งเริ่มส่งกลิ่นตุๆ มาตั้งแต่อัยการชั้นต้นที่พยายามจะเปลี่ยนข้อหาให้เป็นคุณแก่จำเลย  ทั้งๆ ที่สามารถฟ้องในข้อหาหนักๆ ได้หลายกระทง   ทำให้ตร.ที่ทำคดีไม่ไว้วางใจต้องส่งเรื่องต่อให้เอฟบีไอเข้ามาสอบสวน

•   จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่สมเหตุสมผลว่าเพราะอะไรนายอเล็กซานเดอร์ อคอสตา อัยการรัฐที่มาดูแลคดีในชั้นสุดท้าย   ถึงดอดไปทำข้อตกลงในฝันสำหรับฝั่งจำเลย หรือ sweetheart deal อย่างลับๆ    ทำให้ข้อหาที่เอปสตีนรับสารภาพเป็นข้อหาที่ไม่ร้ายแรงอย่างซื้อบริการทางเพศโดยผิดกฎหมายและซื้อบริการทางเพศจากเยาวชน     ทั้งๆ ที่ตร.ต้องการให้เขาถูกลงโทษสถานหนักจากข้อหาค้ามนุษย์ซึ่งเป็นเยาวชนเพื่อการประเวณี   อันมีโทษจำคุกอย่างต่ำสูงถึง 20 ปี   แถมยังให้ความคุ้มครองทั้งตัวเอปสตีนเองกับ “ผู้สมรู้ร่วมคิด” อีก 4 คนที่ระบุชื่อ  รวมถึงผู้อาจเข้าข่ายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดที่ไม่ได้ระบุชื่อทั้งหมดจากการดำเนินคดีโดยเอฟบีไออีกด้วย   (ทนายคดีอาญาและอดีตอัยการจำนวนมากต่างก็ให้ความเห็นคล้ายๆ กันว่าไม่เคยเห็นข้อตกลงที่ดีเลิศประเสริฐศรีแบบนี้ที่ไหนมาก่อน

•   ระหว่างการสอบสวนในปี 2005-2006 ตร.สามารถตามหาเหยื่อมาใส่ในสำนวนคดีได้ถึง 21 คน  ส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 16 ในขณะที่ตกเป็นเหยื่อ (อายุน้อยที่สุดคือ 14)   ในจำนวนนี้มีเหยื่อนับสิบคนที่พร้อมจะขึ้นให้การต่อศาล  (ไม่เหมือนคดีล่วงละเมิดทางเพศโดยมากที่เหยื่อมักจะอับอายหรือไม่อยากรื้อฟื้นความทรงจำอันเจ็บปวด)  แต่ในสำนวนฟ้องนั้นอัยการรัฐระบุเหยื่ออายุ 14 แค่ 1 คน  แถมในระหว่างการไต่สวนก็ยังเรียกเหยื่อที่อายุ 17 แล้วในตอนเกิดเหตุไปให้การต่อหน้าลูกขุนด้วย เลยทำให้มันสมเหตุสมผลที่เอปสตีนจะได้ถูกฟ้องด้วยข้อหาเบาๆ  เพราะเหยื่ออายุใกล้บรรลุนิติภาวะแล้ว

•   เหยื่อแต่ละคนไม่เคยได้รู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะไม่ได้ไปเป็นพยานในศาล   ไม่ได้รับรู้ล่วงหน้าว่าทางการจะทำข้อตกลงในฝันกับจำเลยทั้งๆ ที่กฎหมายของรัฐบังคับให้แจ้งเหยื่อ จึงไม่มีใครสามารถคัดค้านข้อตกลงนั้นได้กระทั่งสายเกินแก้  (ฝั่งอัยการอ้างว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐกับจำเลย  ไม่ใช่ระหว่างรัฐบาลกลางกับจำเลย  จึงไม่จำเป็นต้องแจ้งเหยื่อก่อน)

•   ผู้พิพากษาที่รับผิดชอบในคดีนี้มาตั้งแต่เริ่มแรกมีประวัติว่าเคยติเตียนฝ่ายอัยการที่ชอบไปทำข้อตกลงอะไรซึ่งไม่สอดคล้องกับความผิดของจำเลย   เพื่อให้จำเลยรับสารภาพและคดีจะได้จบลงอย่างง่ายๆ   แต่ในวันที่เอปสตีนต้องไปรับฟังคำตัดสินก็ปรากฎว่าผู้พิพากษาคนนี้ไม่ได้มาทำงานซะอย่างนั้น   ทำให้ผู้พิพากษาอีกคนที่ปลดเกษียณไปแล้วต้องมานั่งบัลลังก์ตัดสินแทน  สุดท้ายเจฟฟรี่ย์เลยได้รับโทษแบบเบาะ ๆ แค่ 18 เดือน
 
•   พอตัดสินเสร็จก็มีการส่งเอปสตีนไปคุมขังในเรือนจำของเคาน์ตี้แทนที่จะเป็นเรือนจำของรัฐซึ่งเป็นที่คุมขังของอาชญากรทางเพศ   ซึ่งถือว่าเป็นคุณอย่างยิ่งต่อผู้ต้องขัง   เพราะเรือนจำในระดับเคาน์ตี้ส่วนมากจะมีแต่ผู้ถูกลงโทษสถานเบาหรือผู้ที่ถูกคุมขังก่อนจะไปยื่นขอประกันตัวจากศาล  ต่างจากเรือนจำของรัฐที่ผู้ถูกคุมขังส่วนใหญ่จะถูกตัดสินลงโทษแบบเบ็ดเสร็จแล้ว  และอาจเป็นพวกที่โดนคดีฆาตกรรมหรือคดีอุกฉกรรจ์ต่างๆ  ด้วย   ปีกที่เอปสตีนถูกคุมขังนั้นก็เป็นปีกที่ไม่ค่อยมีนักโทษ  แถมห้องขังก็ไม่ได้ล็อค นอกห้องก็มีทีวีให้ด   ทำให้เอปสตีนเป็นนักโทษอภิสิทธิ์ไปโดยปริยาย

•   แค่ 3 เดือนหลังจากที่เอปสตีนเข้าคุก   หน.ส่วนของสนง.ตร.ปาล์มบีชที่ดูแลรับผิดชอบกิจการเรือนจำก็อนุมัติคำร้องขอสิทธิที่เรียกว่า work release ให้นักโทษชายเอปสตีนออกจากคุกได้ถึงอาทิตย์ละ 6 วันเพื่อไปทำงานที่มูลนิธิซึ่งเขาก่อตั้งก่อนถูกตัดสินลงโทษแค่ 7 เดือน  ทั้งๆ ที่เคยประกาศว่านักโทษที่จะได้รับสิทธินี้ต้องเหลือโทษไม่เกิน 10 เดือนและอาชญากรทางเพศจะไม่ได้รับสิทธิ์ดังกล่าว   เอปสตีนเองก็ได้บริจาคเงินกว่า 120,000 เหรียญฯ ให้แก่สนง.เพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิ work release ของเขา
 
•   ถึงเอปสตีนจะถูกตัดสินจำคุก 18 เดือน   แต่เขาอยู่ในคุกจริงๆ แค่ 13 เดือนเท่านั้น  ที่เหลือเป็นการจองจำแบบ house arrest ในบ้านของตัวเอง  แถมในระหว่างนั้นยังได้รับอนุญาตให้เดินทางไปต่างรัฐและต่างประเทศได้อีกด้วย    (ไม่นานหลังจากที่เขาออกจากคุก  เอปสตีนก็ปิดมูลนิธิที่นำมาใช้ในการยื่นเรื่องขอ work release)
 
•   นักข่าวคนหนึ่งของ Vanity Fair เคยรายงานว่า   ในระหว่างการตรวจสอบประวัติของบุคคลที่ทรัมป์จะเสนอชื่อเข้ารับตำแหน่งในครม.ทรัมป์ 1.0 นั้น   มีคนจากทำเนียบขาวถามอคอสตาว่าข้อตกลงในฝันที่เขาแอบไปทำกับเอปสตีนในปี 2008 จะสร้างปัญหาในอนาคตหรือไม่   อคอสตาตอบว่า  เขาได้รับคำสั่งให้ leave it alone เพราะเอปสตีนเป็น “คนของฝ่ายข่าวกรอง”  และเรื่องที่เกี่ยวกับสถานะของเอปสตีนนั้นมันสูงเกินกว่าคนระดับอัยการรัฐอย่างเขา   รายงานชิ้นนี้ทำให้เกิดข่าวลือว่าเอปสตีนเป็นคนของหน่วยสืบราชการลับอิสราเอล  เพราะเขาสนิทสนมกับอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอลทนายเอฮุด บารัก   

•   เบื้องหลังความมั่งคั่งของเอปสตีนนั้นก็ช่างลึกลับซับซ้อน  มีรายงานว่าเขามีสินทรัพย์ร่วม 500 ล้าน   มีตังค์ซื้อเกาะส่วนตัวในทะเลแคริบเบียน  มีเครื่องบินโบอิ้งส่วนตัวไว้รับส่ง  มีนิวาสถาน 5 แห่งในนิวยอร์ค  ซานตาเฟ  ปารีส ลอนดอน  (แค่คฤหาสน์ที่นิวยอร์คหลังเดียวก็คิดเป็นมูลค่ากว่า 50 ล้านเหรียญฯ เข้าไปแล้ว  เพราะใหญ่โตมโหฬารถึงขนาดมี 40 ห้อง)   แต่ไม่เคยมีใครบอกได้ว่าเอปสตีนร่ำรวยมาจากไหน 
 
•   แม้เอปสตีนจะบอกใครๆ ว่าเป็นเจ้าของบ.ที่ปรึกษาทางการเงิน   แต่ไม่ปรากฎว่ามีอภิมหาเศรษฐีผู้โด่งดังคนใดเป็นลูกค้านอกจากนายเลสลีย์ เว็กซ์เนอร์  เจ้าของแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง Victoria's Secret    และนายลีออน แบล็ค นักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จกับการลงทุนในหุ้นนอกตลาดหรือ private equity   รายงานข่าวของ Forbes ระบุว่าบ.ที่ปรึกษาทางการเงินของเอปสตีนมีรายได้จากการให้คำปรึกษาในระหว่างปี 1999 – 2018 สูงถึง 490 ล้าน และ 75% ของรายได้ดังกล่าวมาจากนายเว็กซ์เนอร์และนายแบล็คนี่แหละ
 
•   นายเว็กซ์เนอร์นั้นเคยถูกเหยื่อของเอปสตีนบางรายกล่าวหาว่าโดนบังคับให้มีเซ็กส์ด้วยหลายครั้ง  แต่ไม่เคยถูกตั้งข้อหาใดใดทั้งสิ้น   ส่วนนายแบล็คนั้นถูกผู้หญิงฟ้องในปี 2022 ว่าเคยถูกเขาข่มขืนที่คฤหาสน์ของเอปสตีนในนิวยอร์ค  แต่สุดท้ายก็ต้องถอนฟ้องโดยที่นายแบล็คไม่ต้องจ่ายค่าสินไหมแต่อย่างใด กระนั้นก็ตาม อภิมหาเศรษฐีแบล็คก็เคยจ่ายเงิน 62.5 ล้านให้แก่รัฐบาลของหมู่เกาะเวอร์จิน ไอส์แลนด์สมาแล้ว   เพื่อให้ตัวเองหลุดพ้นจากการสอบสวนพฤติกรรมของเอปสตีนบนเกาะที่เขามีนิวาสถานอยู่  ซึ่งทางการได้ริเริ่มหลังจากที่เอปสตีนกลายเป็นข่าวฉาวอีกครั้งในปี 2019

•   ไม่มีใครเชื่อว่าเอปสตีนจะสามารถล่วงละเมิดเยาวชนมาสืบเนื่องยาวนานเกือบสองทศวรรษได้โดยที่ไม่มีใครรู้  หรือไม่มีใครคอยช่วยเหลือ  แต่สุดท้ายนอกจากเอปสตีนก็มีแค่กิเลน แม็กซ์เวลแฟนเก่าของเขาอีกคนเดียวที่ถูกจับและตั้งข้อหา 

•   การที่มีเอปสตีนรู้จักผู้ทรงอิทธิพลต่างๆ อย่างอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน  บิล เกตส์  เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์  ฯลฯ ก็ทำให้มีคนจำนวนมากเชื่อว่าคนเหล่านี้ต้องเคยใช้บริการจากเด็กๆ ของเอปสตีนแน่ ๆ    นอกจากนั้น เหยื่อบางคนของเอปสตีนยังให้สัมภาษณ์ว่าเคยถูกเอปสตีนส่งไปบำเรอกามให้แก่นักวิชาการ นักธุรกิจ และนักการเมืองดังๆ มากมาย ไม่ก็บอกว่าเคยเห็นคนดังๆ เข้าออกคฤหาสน์หรือเกาะส่วนตัวของเอปสตีน    (บิล คลินตันคือหนึ่งในผู้มีรายชื่อว่าเคยโดยสารเครื่องบินส่วนตัวของเอปสตีนมาแล้ว) 

•   เหยื่อบางคนบอกนักข่าวว่าเอปสตีนติดกล้องต่างๆ ไว้ตามห้องหับในคฤหาสน์ที่นิวยอร์คและฟลอริดา   ทำให้มีความเชื่ออย่างแพร่หลายว่าเอปสตีนบังคับเด็กให้ปรนเปรอกามแก่ผู้ทรงอิทธิพลต่างๆ แล้วแอบถ่ายวิดีโอไว้แบล็คเมล์ลูกค้าเหล่านั้น   

•   เคยมีคนพบสมุดโทรศัพท์ที่ระบุว่าเป็นของเอปสตีนตกอยู่บนถนนในใจกลางนครนิวยอร์ค   เมื่อนักข่าวตรวจสอบรายชื่อ เบอร์โทร. และที่อยู่ในสมุดด้วยการโทร.ไปหาบุคคลเหล่านั้นก็พบว่าข้อมูลในสมุดเป็นของจริง
   
ทั้งหมดทั้งปวงนี้คือสาเหตุที่ทำให้มีความเชื่ออย่างแพร่หลายในหมู่ผู้ชมชอบทฤษฎีสมคบคิดว่าเอปสตีนไม่ได้ฆ่าตัวตายแต่ถูกฆาตกรรม  เพราะมีคนเกรงว่าเอปสตีนจะเปิดเผยความลับเรื่องความชอบมีเซ็กส์กับเด็กของตัวเองให้โลกได้รับรู้     และความเชื่อว่ามี The Epstein Files  หรือแฟ้มเอกสารลับที่ระบุรายนามของผู้มีอิทธิพลต่างๆ ซึ่งเคยเป็นลูกค้าของเอปสตีนซุกซ่อนอยู่   แต่ถูกทาง Deep State ปกปิดไว้เพราะมีผู้ทรงอิทธิพลจำนวนมากอยู่ในแฟ้มลับนั้น

ดึกแล้ว พรุ่งนี้มาต่อนะคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41489

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 08 ส.ค. 25, 12:02

     น่าสนใจมากค่ะ   ดีใจที่คุณปัญจมามาเล่าให้ฟัง
     เรื่องนี้มันลึกลับซับซ้อนระทึกใจยิ่งกว่าหนังฮอลลีวู้ดในแนวสืบสวนสอบสวนเสียอีกนะคะ
     ดิฉันเร่ิมอ่านข่าวนี้ตั้งแต่เวอร์จิเนีย  จูฟเฟรย์  ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ  ว่าเจ้าชายแอนดรูว์และบุคคลทรงอิทธิพลคนอื่นๆ ว่าเป็นคนแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเธอเมื่อครั้งเธอยังอยู่ในสถานะผู้เยาว์ (อายุต่ำกว่า 18) ในขบวนการค้ามนุษย์ของเอปสไตน์ แล้วยิ่งรู้สึกว่าปัญหามันซับซ้อนเมื่อมีข่าวว่าเธอฆ่าตัวตายในปีนี้เอง  แต่ไม่เคยอ่านพบรายละเอียดว่าฆ่าตัวตายแบบไหนกันแน่  และแรงจูงใจคืออะไร


บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 11 ส.ค. 25, 20:32

     น่าสนใจมากค่ะ   ดีใจที่คุณปัญจมามาเล่าให้ฟัง
     เรื่องนี้มันลึกลับซับซ้อนระทึกใจยิ่งกว่าหนังฮอลลีวู้ดในแนวสืบสวนสอบสวนเสียอีกนะคะ
     ดิฉันเร่ิมอ่านข่าวนี้ตั้งแต่เวอร์จิเนีย  จูฟเฟรย์  ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อ  ว่าเจ้าชายแอนดรูว์และบุคคลทรงอิทธิพลคนอื่นๆ ว่าเป็นคนแสวงหาประโยชน์ทางเพศจากเธอเมื่อครั้งเธอยังอยู่ในสถานะผู้เยาว์ (อายุต่ำกว่า 18) ในขบวนการค้ามนุษย์ของเอปสไตน์ แล้วยิ่งรู้สึกว่าปัญหามันซับซ้อนเมื่อมีข่าวว่าเธอฆ่าตัวตายในปีนี้เอง  แต่ไม่เคยอ่านพบรายละเอียดว่าฆ่าตัวตายแบบไหนกันแน่  และแรงจูงใจคืออะไร


เวอร์จิเนีย (โรเบิร์ตส) จุฟเฟรคือ Jane Doe หมายเลข 102 ในสำนวนฟ้องเอปสตีนค่ะ *

เวอร์จิเนียเป็นข่าวดังขึ้นมาในปี 2011 เพราะเธอขายเรื่องและภาพเจ้าชายแอนดรูว์โอบเอวเธอตอนอายุ 17 ให้นสพ.แท็บลอยด์อังกฤษ   ต่อมาในปี 2015 เธอได้ฟ้องหมิ่นประมาทกับกิเลน แม็กซ์เวลหลังจากที่ฝ่ายนั้นกล่าวหาว่าเธอโกหกเรื่องตัวเองถูกเอปสตีนส่งไปบำเรอกามให้แก่ผองเพื่อนทั้งในและนอกประเทศ  แต่สุดท้ายก็ตกลงยอมความกันได้  นสพ.ไมอามี เฮรัลด์ได้ยื่นคำขอต่อศาลให้เผยแพร่เอกสารจากคดีนี้เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ   สู้กันนานหลายปีศาลถึงยอมให้เผยแพร่เอกสารบางส่วนในปี 2019  (2,000 หน้า) และทยอยนำเอกสารที่เหลือบางส่วนมาเผยแพร่ในปีถัดๆ ไป   นี่เองคือที่มาของข้อมูลว่าคนในแวดวงของเอปสตีนนั้นรวมถึงบิล คลินตัน  โดนัลด์ ทรัมป์ บิล เกตส์ และเจ้าชายแอนดรูว์ด้วย (ภรรยาของบิล เกตส์เคยให้สัมภาษณ์ว่าเรื่องที่สามีไปคบหากับเอปสตีนทั้งๆ ที่รู้ประวัติฉาวโฉ่ของเขานี่แหละเป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอขอหย่า)   

อย่างไรก็ดี จนทุกวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานใดใดที่จะกล่าวหาทั้งเกตส์ คลินตัน และทรัมป์ ว่ามีส่วนรู้เห็นหรือกระทำผิดกับเอปสตีน  แต่เจ้าชายแอนดรูว์นั้นก็อย่างที่ทราบกันดีแล้ว...พระองค์ปฏิเสธว่าไม่เคยพบเวอร์จิเนียมาก่อน  แต่สุดท้ายในปี 2022 ก็ตกลงจ่ายค่ายอมความแก่เธอมากถึง 10 ล้านปอนด์เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องไปให้การในศาลที่นิวยอร์ค  และต้องถูกถอด HRH รวมทั้งต้องลดบทบาทต่างๆ ลง  กลายเป็นรอยด่างที่ลบล้างไม่ได้ของราชวงศ์อังกฤษมาจนถึงปัจจุบัน

ไม่แน่ใจว่าอาจารย์หมายถึงแรงจูงใจอะไร   แต่ถ้าเป็นแรงจูงใจให้ฆ่าตัวตายล่ะก็คงไม่น่าจะสงสัยหรอกมั้งคะ  บทสัมภาษณ์ของไมอามี เฮรัลด์น่าจะเป็นคำตอบในตัวของมันเองว่าทำไมคนที่ตกเป็นเหยื่อแบบนี้ถึงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างลำบากยากยิ่ง 

_ _ _

* ในกระบวนการยุติธรรมของอเมริกา Jane Doe คือชื่อที่ตร.ใช้อ้างถึงศพหญิงนิรนาม  ไม่ก็เหยื่อ พยาน หรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่เป็นเพศหญิงซึ่งมีเหตุผลให้ปกปิดชื่อ  เช่น ยังไม่บรรลุนิติภาวะ หรือแค่โดนสอบปากคำแต่ไม่ได้เป็นผู้ต้องสงสัย หากระบุชื่อไปอาจเป็นการละเมิดสิทธิ ฯลฯ ถ้าเป็นเพศชายก็จะใช้ John Doe


บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 11 ส.ค. 25, 20:34

สรุปคือ เอกสารที่เราๆ ท่านๆ รู้จักกันในชื่อ The Epstein Files นั่นก็คือเอกสารที่ใช้เป็นสำนวนฟ้องทั้งในคดีของเอปสตีนเองและในคดีที่เหยื่อฟ้องผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างกิเลน แม็กซ์เวล   ซึ่งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเองไม่เคยนำมาเผยแพร่แบบสมบูรณ์ ครบถ้วน  แต่ศาลได้อนุญาตให้เผยแพร่ได้บางส่วนโดยกาหมึกดำทับชื่อและข้อมูลที่อ่อนไหวเสีย

มีความเชื่อกันว่า  ถ้าทางการนำเอกสารเหล่านี้มาเผยแพร่แบบไม่ปกปิดใดใดทั้งสิ้น  เราจะได้ทราบกันอย่างหมดเปลือกว่าผู้ทรงอิทธิพลรายใดบ้างเคยเป็น “ลูกค้า” ของเอปสตีน  และใครคอยช่วยเหลือเขาให้ลอยนวลมานานนับสิบปีทั้งๆ ที่สังคมก็ซุบซิบนินทาเรื่องเขาอยู่บ่อยๆ    ขนาดทรัมป์เองยังเคยให้สัมภาษณ์ตอนยังรักกันดีอยู่ว่าเอปสตีนนี่เป็นคนเฮฮาน่าคบสุดๆ  แถมยังบอกด้วยว่ามีอะไรเหมือนๆ กับเขาตรงที่ชอบสาวสวย  แต่ผู้หญิงในสเปคของเอปสตีนจะค่อนไปทางวัยละอ่อนสักนิด

_ _ _

เดี๋ยวค่อยมาต่อตอนสุดท้ายให้จบนะคะ  พอดีอาทิตย์ที่แล้วป่วยไปหลายวัน
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 11 ส.ค. 25, 20:39

เมื่อปีที่แล้ว เน็ตฟลิกซ์นำหนังเรื่องนี้มาฉาย  ไม่ทราบมีใครได้ดูบ้าง
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ วันนี้ เวลา 07:25

ขอเท้าความสักนิดก่อนจะพูดถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารอย่างทรัมป์สลัดเรื่องนี้ไม่หลุดนะคะ

เป็นที่รู้กันมานานแล้วในแวดวงสังคมชั้นสูงของนิวยอร์คและปาล์มบีชซึ่งทั้งทรัมป์และเอปสตีนเป็นสมาชิกอยู่ว่าสองคนนี้เขาซี้แหงกัน   มีคำสัมภาษณ์ของทรัมป์เอง  มีภาพถ่ายของสองคนอยู่ด้วยกันในงานต่างๆ ทั้งแบบเดี่ยวๆ และกับคู่ควง  และมีวิดีโอที่ทรัมป์ยืนเต้นเหล่สาวแล้วกระซิบข้างหูเอปสตีนเป็นหลักฐาน    แต่พอเอปสตีนโดนเอฟบีไอจับในปี 2019 ทรัมป์ก็พูดว่าเขากับเอปสตีนแตกคอกกันมาหลายปีแล้ว  นสพ.วอชิงตันโพสต์เคยรายงานว่าขัดใจกันตอนแย่งกันซื้ออสังหาริมทรัพย์ในทำเลทองที่ฟลอริด้า   แต่เมื่ออาทิตย์ก่อนทรัมป์ออกมาบอกว่าเพราะเอปสตีนมาแย่งพนักงานในสปาที่สโมสรมาร์ลาลาโกของเขาไปหลายคน  (หนึ่งในนั้นคือเวอร์จิเนีย จุฟเฟร)     

สาเหตุที่เอปสตีนถูกดำเนินคดีเป็นครั้งที่สองนั้นมาจากการที่ทรัมป์เสนอชื่ออคอสตาให้เป็นรมว.แรงงาน ซึ่งทำให้เขามีหน้าที่ปราบปรามการค้าแรงงานมนุษย์โดยตรง  นับว่าแหม่งๆ อยู่สำหรับคนที่เคยมีประวัติช่วยจำเลยมากกว่าเหยื่ออย่างอคอสตา    นสพ.ไมอามี เฮรัลด์เลยไปทำข่าวขุดคุ้ยความไม่ชอบมาพากลของข้อตกลงในฝันที่เขาแอบไปทำกับเอปสตีนในปี  2008 จนอคอสตาต้องลาออก  ทำให้หน่วยงานสอบสวนกลางมีข้อมูลเพียงพอที่จะดำเนินคดีกับเอปสตีนในนิวยอร์ค  และนำไปสู่ข้อสรุปว่าข้อตกลงลับที่ฟลอริด้านั้นไม่มีผลต่อการสืบสวนครั้งใหม่
 
อย่างที่บอกแล้วว่ากระทรวงยุติธรรมไม่เคยนำเอกสารทั้งหมดเกี่ยวกับการดำเนินคดีแก่เอปสตีนมาเปิดเผยแบบสมบูรณ์ ครบถ้วน ไม่ปกปิด  แต่ที่ออกมานั้นเป็นการเอาออกมาเผยแพร่บางส่วนตามคำสั่งศาล  และออกมาจากคำให้การในคดีที่เกี่ยวกับเอปสตีน    ไม่ใช่เอกสารรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสืบสวนหรือเอกสารฉบับที่ลงรายละเอียดเรื่องความผิดและข้อหา   ที่สำคัญ  การตายของเอปสตีนนั้นมีคำถามามากมายที่ยังไม่มคำตอบ   ความเชื่อที่ว่ามีแฟ้มเอกสารลับที่ระบุว่าเอปสตีนถูกฆาตกรรม  และ The Client List  รายชื่อลูกค้าทั้งหมดของเอปสตีน   รวมทั้งวิดีโอหรือภาพที่เอปสตีนเก็บไว้แบล็คเมล์ลูกค้าผู้ทรงอิทธิพลบางคนด้วยนั้นเป็นหนึ่งในเสาหลักของทฤษฎีสมคบคิดที่เกี่ยวกับเอปสตีน  และเมื่อชื่อของบิล คลินตันปรากฏในคำให้การของเหยื่ออีกต่างหาก (บวกกับประวัติของคลินตันเองในอดีต)    บรรดาผู้ชมชอบทฤษฎีสมคบคิดในสาย MAGA ส่วนใหญ่จึงเชื่อแบบไม่มีข้อสงสัยว่ารัฐบาลไบเดนไม่ได้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดต่อสาธารณะก็เพราะต้องคอยปกปิดความผิดให้แก่พวกเดียวกัน   
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ วันนี้ เวลา 09:19


3. สาเหตุใดที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการสื่อสารอย่างทรัมป์สลัดเรื่องนี้ไม่หลุด

•   ในปี 2020 เมื่อกิเลน แม็กซ์เวล ถูกศาลตัดสินจำคุก 20 ปีเพราะช่วยเหลือเอปสตีนให้กระทำการค้ามนุษย์วัยยังไม่บรรลุนิติภาวะเพื่อการประเวณี   สื่อไปถามทรัมป์ในฐานะคนที่เคยสนิทกับกิเลนว่ารู้สึกอย่างไร  ทรัมป์ตอบว่า “ผมมีแต่ความปรารถนาดีให้กับเธอ” 

•   ตั้งแต่แพ้ไบเดนในปี 2020 ทรัมป์พยายามสร้างความรู้สึกไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในกระบวนการยุติธรรมและเบี่ยงเบนความสนใจของฐานเสียงจากคดีต่างๆ ที่เขาต้องเผชิญ  ด้วยการโจมตีรัฐบาลว่าใช้กฎหมายทำลายล้างผู้เห็นต่างและปกป้องกลุ่มอิทฺธิพลลับต่างๆ    ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีสมคบคิดเรื่อง The Deep State (นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีฐานเสียง MAGA จำนวนมากเชื่ออย่างสุจริตใจว่าเขาโดนปล้นชัยชนะในปี 2020  และแห่กันออกไปบุกอาคารรัฐสภาในเดือนมค. 2021) 

•   ทรัมป์เคยรีทวีตโพสต์ที่กล่าวหาคลินตันว่ามีส่วนรู้เห็นในการตายของเอปสตีน และระหว่างการหาเสียงในปี 2024  ทรัมป์ประกาศว่าถ้าตัวเองได้กลับเข้ามารับตำแหน่งอีกจะนำแฟ้มลับเอปสตีนมาเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้   เท่ากับช่วยต่อชีวิตให้ทฤษฎีสมคบคิดที่เกี่ยวกับเอปสตีนอีก

•   ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับนักข่าวฟ็อกซ์นิวส์ในช่วงหาเสียง  ทรัมป์ถูกถามว่าจะเผยแพร่แฟ้มลับเหล่านี้ไหม  หนึ่งแฟ้มเรื่องใครอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9-11  สองแฟ้มเรื่องใครฆ่าเจเอฟเค   สามแฟ้มลับเอปสตีน  สองแฟ้มแรกนั่นทรัมป์ตอบ “เยส” แบบไม่รีรอ  แต่พอมาถึงแฟ้มลับเอปสตีน ทรัมป์กลับบอกว่า “เยส คิดว่าจะ” ตามด้วย “แต่เปอร์เซ็นต์ไม่สูงเท่า(อีกสองแฟ้มที่ถามถึง)  เราไม่ควรทำให้คนอื่นได้รับผลกระทบจากเรื่องโกหกในแฟ้ม  เพราะคุณก็รู้ว่ามันมีเรื่องโกหกเยอะในโลกใบนั้น  แต่ผมคิดว่าผมจะเปิดเผยนะ” 

•   พอนักข่าวถามต่อว่า “ท่านคิดว่ามันจะช่วยกอบกู้ความเชื่อมั่น(ของสังคม)ไหม” ทรัมป์ตอบว่า “ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเอปสตีนมากเหมือนเรื่องของคนอื่นๆ หรอก  แต่รู้ว่าเขาตายยังไง  มันคงจะดีมากถ้าเราได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนที่เขาตายเพราะมันไม่ค่อยปกติ  แถมกล้องวงจรปิดก็ดันไม่ทำงานอีก  ผมคิดว่าผมคงจะเอา(แฟ้มเอปสตีน)มาเปิดเผยนะ  แต่อีกสองแฟ้มก่อนหน้านั่นยังไงก็เปิดเผยแน่ๆ  และก็แฟ้มคดี(บุกรัฐสภา) 6มค. (2021) ด้วย” 
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ วันนี้ เวลา 09:23

•   ในช่วงหาเสียงนี่แหละที่อินฟลูสาย MAGA เช่น แคช พาเทล  และแดน บอนจีโน คอยกระตุ้นฐานเสียงด้วยการพูดถึง “แฟ้มลับเอปสตีน” ออกสื่อบ่อยๆ   และสัญญาว่าถ้าทรัมป์กลับเข้ามามีอำนาจอีกจะมีการเปิดเผยรายชื่อลูกค้าและคนที่อยู่เบื้องหลังการสั่งฆ่าเอปสตีนให้สาธารณชนได้รับรู้กันเสียที

•   หนึ่งเดือนหลังจากทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง   รมว.ยุติธรรมแพม บอนดี้ไปให้สัมภาษณ์สถานีฟ็อกซ์นิวส์  พอนักข่าวถามว่าตกลงมันมี The Epstein Client List หรือเปล่า  นางก็ตอบว่า “มันอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วรอให้เดี๊ยนเข้าไปตรวจสอบค่ะ”

•   จากนั้นนางก็เชิญอินฟลูขวาจัดที่ฝักใฝ่กับทฤษฎีสมคบคิดเอปสตีนหลายรายมาที่ทำเนียบขาวเพื่อแจกเอกสารที่เกี่ยวกับคดีเอปสตีน 200 หน้า โดยเรียกเอกสารเหล่านั้นว่า “แฟ้มเอกสารลับเอปสตีน เฟสหนึ่ง”   แต่ปรากฏว่าข้อมูลที่อยู่ในแฟ้มลับเฟสหนึ่งก็คือข้อมูลเดิมๆ ที่เคยเผยแพร่ไปแล้ว   ทำให้อินฟลูเหล่านั้นผิดหวังมาก

•   นางบอนดี้คงรู้ตัวว่าโหมโรงซะดังแต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่   นางเลยนำจดหมายที่เขียนถึงนายแคช พาเทล (ซึ่งตอนนี้ได้เป็นผอ.เอฟบีไอแล้ว) มาเผยแพร่ต่อสาธารณะ   ใจความสำคัญของจดหมายคือการกล่าวหาคนของเอฟบีไอที่สนง.ในนิวยอร์คว่าดึงเรื่อง   เพราะยังมี "เอกสารอีกหลายพันหน้า" เกี่ยวกับคดีเอปสตีนอยู่ในครอบครองแต่ไม่ยอมส่งมอบให้รมว.ตามสั่ง    

•   4-5 เดือนผ่านไปจนคนออกจะลืมๆ เรื่องนี้ไปแล้ว  กระทรวงยุติธรรมก็ออกแถลงการณ์มา 2 หน้าในวันที่ 7 กค.  และระบุว่าเอปสตีนฆ่าตัวตายจริง  ไม่มีรายชื่อลูกค้าที่จะนำมาใช้เอาผิดกับใครได้  ไม่ปรากฏว่าเอปสตีนได้เคยแบล็คเมล์ใคร  รวมทั้งแจ้งว่าไม่มีเหตุผลอะไรให้ทางการเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับคดีนี้อีก    อีกทั้งได้แนบลิงค์สำหรับดูภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาก่อนที่เอปสตีนจะฆ่าตัวตายเพื่อยืนยันว่าไม่มีใครเข้าไปในห้องขังของเอปสตีนเลย    ปัญหาคือกระทรวงบอกว่านั่นคือภาพดั้งเดิมจากกล้องวงจรปิด หรือ raw footage ที่ไม่ผ่านการตัดต่อ    แต่มีคนไฮเทคไปค้นพบว่าวิดีโอที่นำมาประกอบนั้นคือการนำไฟล์วิดีโอ 2 ไฟล์มาตัดต่อและมีภาพบางส่วนนานเกือบสามนาทีที่ถูกตัดออกไป   แถมภาพที่เห็นมันยังขัดต่อคำให้การของจนท.ด้วยว่าไม่มีใครเข้าไปในบริเวณห้องขังของเอปสตีน  และไม่มีคนจากภายนอกสามารถเข้ามาในปีกที่คุมขังเอปสตีนได้ถ้าคนในไม่ได้เปิดให้เช้ามา

•   เพราะทรัมป์และพรรคพวกช่วยกันกระพือไฟให้แก่ทฤษีสมคบคิดนี้มานานนับปี   บรรดาฐานเสียงสาย MAGA เลยเกิดอาการช็อคกันถ้วนหน้า  เสียงก่นด่าทรัมป์เลยดังมาจากรอบทิศ  แต่ดังที่สุดนั้นมันมาจากฐานเสียงฮาร์ดคอร์ของทรัมป์เอง
  
•   พอรู้ว่า FC ไม่พอใจ ทรัมป์กลับทำหลายสิ่งหลายอย่างที่ชวนให้สงสัยหนักกว่าเก่า  ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีใครกล่าวหาหรือมีหลักฐานอะไรมากล่าวหาทรัมป์ว่ากินเด็กแบบเอปสตีนได้เลย  จึงทำให้แม้แต่ฐานเสียงตัวเองยังมองว่าเขากำลังปกปิดอะไรอยู่    

•   อย่างแรกคือด่าฐานเสียงว่าอ่อนแอ ปวกเปียก ไปเชื่อเรื่องโกหกที่ฝ่ายตรงข้ามปั้นแต่งขึ้น แล้วก็เกรี้ยวกราดว่าใครที่ยังจิกเรื่องเอปสตีนไม่เลิกนี่ไม่ต้องมาเป็นแฟนคลับนะ  เขาไม่ต้องการผู้สนับสนุนแบบนี้  จากนั้นก็เอาแฟ้มคดีลอบสังหารมาร์ติน ลูเธออร์ คิง จูเนียร์มาเผยแพร่ทั้งๆ ที่ไม่มีใครขอและญาติคัดค้าน
 
•   ทรัมป์ทวีตเรื่องไม่เป็นเรื่องบ่อยมากเหมือนจะะพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของคนออกจากเรื่องเอปสตีน  เช่น  บางวันก็โพสต์ว่าจะสั่งให้เปลี่ยนชื่อทีมอเมริกันฟุตบอลกลับไปเป็นชื่อเดิม  ถึงแม้ชื่อเก่านั้นมันจะมีความหมายเชิงเหยียดชาติพันธุ์  แต่พอมีนักข่าวที่ทำเนียบขาวถามเรื่องเอปสตีน   ทรัมป์ก็ด่ากลับว่าหมกมุ่นแต่เรื่องไม่เป็นเรื่องทั้ง ๆ ที่ประเทศชาติตอนนี้มีวิกฤติใหม่ๆ มากมาย

•   พอจะมีคนยื่นญัตติให้มีการเปิดเผยเอกสารต่อสภา   นายไมค์ จอห์นสัน ประธานสภาจากพรรครีพับลิกันก็สั่งปิดสมัยประชุมก่อนวาระจะจบสิ้นเพื่อไม่ให้มีการลงคะแนนในญัตติ  ยิ่งทำให้คนสงสัยหนักว่ามันมีนอกมีในอะไรกันแน่

•   รมช.ยุติธรรมชื่อทอดด์ แบลนช์ซึ่งก็เคยเป็นทนายความส่วนตัวให้ทรัมป์เหมือนนางบอนดี้  สั่งให้ย้ายกิเลน แม็กซ์เวลจากเรือนจำที่มีการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดไปยังเรือนจำที่มีบรรยากาศชิลมากกว่า  และเข้าไปสอบปากคำยัยกิเลนด้วยตัวเองนานสองวัน  แต่ไม่ยอมเปิดเผยให้สาธารณชนรับรู้ว่าคุยอะไรกัน     พอมีคนถามเรื่องนี้ทรัมป์ก็ปัดว่าไม่รู้ไม่เห็นไม่เกี่ยวข้องท่าเดียว  พอมีคนถามว่าทรัมป์ว่าจะอภัยโทษให้กิเลนไหม  ทรัมป์ไม่ยอมตอบว่าไม่แต่แบ่งรับแบ่งสู้  

•   สส.พรรครีพับลิกันไปตั้งคณะกรรมการสอบสวนว่าบิล กับฮิลลารี คลินตันมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเอปสตีน  แต่ไม่สอบสวนกระทรวงยุติธรรมว่าทำงานโปร่งใสจริงไหม
  
•   ทรัมป์พยายามโหมกระพือข้อกล่าวหาว่าปธน.โอบามาพยายามก่อการกบฎในปี 2016 ด้วยการตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีที่มีการกล่าวหาว่ารัสเซียเข้ามาก้าวก่ายการเลือกตั้งทำให้ทรัมป์ชนะ    จากนั้นยัยทัลซี แก๊บบาร์ด  ผอ.หน่วยข่าวกรองแห่งชาติก็ออกมารับลูกด้วยการยื่นเรื่องให้กระทรวงยุติธรรมสอบสวนโอบามาในข้อหากบฎ   (นางคนนี้กำลังร้อนใจที่ตัวเองอาจจะถูกทรัมป์ไล่ออก  เพราะก่อนหน้านี้ตอนไปให้การกับกมธ.รัฐสภา  นางได้ยืนยันว่าอิหร่านยังไม่มีสมรรถภาพทางนิวเคลียร์มากพอที่จะทำให้เป็นภัยต่อความมั่นคงแบบปัจจุบันทันด่วนได้   แต่ทรัมป์ไม่แคร์ว่าจริงไหมและสั่งให้ทิ้งระเบิดโจมตีฐานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านอยู่ดี   พอนักข่าวถามว่าทำไมการกระทำขัดแย้งกับที่รายงานต่อรัฐสภาทรัมป์ก็โทษแก๊บบาร์ดว่าไม่รู้เรื่อง)

•   ทั้งๆ ที่รู้ว่าเอกสารที่คนต้องการเห็นคือเอกสารจากการสืบสวนสอบสวนของเอฟบีไอ   แต่ทรัมป์ก็ไปสั่งให้กระทรวงยุติธรรมขอให้ศาลสั่งให้มีการเผยแพร่เอกสารบันทึกคำให้การแก่คณะลูกขุนก่อนหน้าที่ทางการจะตั้งข้อหาอย่างเป็นทางการ  ซึ่งเต็มไปด้วยข้อมูลอ่อนไหวเกี่ยวกับเหยื่อและพยาน แต่เวลาปฏิเสธว่าไม่ควรเผยแพร่เอกสารเกี่ยวกับคดีนี้ก็มักจะอ้างว่าเพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดเหยื่อซ้ำสอง  และทั้งๆ ที่รู้ว่าบันทึกคำให้การนั่นต้องให้ศาลเป็นคนสั่ง  ปธน.สั่งไม่ได้     
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ วันนี้ เวลา 09:30

ถ้าคุณเป็นคนสาย MAGA  คุณจะรู้ว่าสิ่งที่ทรัมป์และพรรคพวกทำนั้นมันกลับโลกของคุณให้ตาลปัตรขนาดไหน   ตลอดเวลา 4-5 ปีที่ผ่านมาหรือนานกว่านั้น  คุณถูกโน้มน้าวให้เชื่อมาตลอดว่าคุณไม่สามารถไว้เนื้อเชื่อใจรัฐบาลได้  เพราะรัฐชอบปกปิดความจริงและมีกลุ่มอิทธิพลลับที่ชอบร่วมเพศกับเด็กคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง  ทฤษฎีสมคบคิดเอปสตีนจึงเป็นหัวใจของอุดมการณ์และความเชื่อแบบ MAGA ที่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์เท่านั้นที่จะเข้าไปสู้กับ The Deep State เพื่อสร้างความความโปร่งใสและเปิดเผยความจริงให้ประจักษ์   แต่พอทรัมป์กลายเป็นผู้ใช้อำนาจเสียเองกลับกลายเป็นว่าทรัมป์ใช้ทุกองคาพยพของอำนาจในการปกปิดสิ่งซึ่ง MAGA เชื่ออย่างแรงกล้าว่าเป็นความจริง

ทุกอย่างที่ทรัมป์ทำนั้นมันแตกต่างไปจาก norms หรือวิถีประพฤติปฏิบัติอันเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์ทรัมป์อย่างสุดขั้ว     
 
•   ปกติทรัมป์จะไม่เคยปล่อยให้กฎระเบียบ  ขนบธรรมเนียม หรือแม้แต่กฎหมายมาขัดขวางความตั้งใจของเขา  แถมชอบโม้ว่าตัวเองเป็นอัจฉริยะ  เฉลียวฉลาดไม่มีใครเทียมทาน   เก่งในเรื่องที่คนอื่นไม่สามารถทำได้  แต่เรื่องเอปสตีนนี่พอถูกใครถามเมื่อไหร่จะโบ้ยว่าเป็นเรื่องที่รมว.ยุติธรรมต้องเป็นคนตอบเสมอ  ตัวเองจะไม่รู้อะไรเลยสักนิด

•   ทรัมป์คือผู้นำที่ไม่เคยจัดลำดับความสำคัญก่อนหลังของอะไรทั้งสิ้น     วัน ๆ ก็พล่ามแต่เรื่องหยุมหยิม จิ๊บจ๊อย  เรื่องกังหันลม เรื่องโถส้วม ปลาฉลาม ไม่ก็หมกมุ่นกับการเปลี่ยนชื่อสถานที่บ้าบออะไรที่ไม่สมควรจะเป็นวาระด่วนของประเทศ  แต่ถ้าเป็นเรื่องเอปสตีนปั๊บจะโฟกัสขึ้นมาทันที ใครถามก็ด่ากลับว่ามัวแต่หมกมุ่นกับเรื่องเก่าๆ ที่ไม่เป็นประโยชน์สำหรับใคร
 
•   เอกลักษณ์หนึ่งของทรัมป์ที่ต่างกับผู้นำในอดีตอย่างสุดขั้วคือ เขาไม่เคยรีรอที่จะใช้วาจาดูถูกถากถางใครก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับเขาหรือขัดขืนคำสั่ง    ขนาดเคยด่าผู้สนับสนุนที่ยังเกาะติดเรื่องเอปสตีนไม่เลิกว่าเป็นพวกโหลยโท่ย โง่เง่าก็มี  แต่อย่างที่พูดไปแล้วข้างบนว่าพอเป็นเรื่องเกี่ยวกับกิเลน แม็กซ์เวลปั๊บ   ทรัมป์กลับกลายเป็นสุภาพบุรุษขึ้นมาทันที  ไม่ได้แสดงความผิดหวังหรือเกรี้ยวกราดอะไรกับคนที่ล่อเด็กยังไม่บรรลุนิติภาวะมาเป็นทาสกามให้แฟน

•   ปกติแล้วประธานาธิบดีที่ดีจะไม่ไปก้าวก่ายกิจการของกระทรวงยุติธรรม  เพื่อไม่ให้เกิดเสียงครหาว่าใช้อำนาจปกป้องตัวเองและพวกพ้องหรือกดขี่ข่มเหงผู้เห็นต่าง ส่วนทรัมป์นั่นไม่เคยกลัวกับเรื่องนี้  แถมยังให้แนวทางอย่างชัดเจนว่ากระทรวงยุติธรรมต้องช่วยเขากำจัดหรือล้างแค้นใครก็ตามที่ไม่เป็นมิตรต่อหรือขัดขืนนโยบายของเขา   แถมยังแต่งตั้งคนที่จงรักภักดีต่อตัวเองล้วนๆ เข้าไปบริหารกระทรวง  แต่พอมาถึงเรื่องเอปสตีนปั๊บ  ทรัมป์จะอ้างทันทีว่าทำเนียบขาวไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายได้  ต้องปล่อยให้รมว.ยุติธรรมทำหน้าที่ของตัวเองไป  โฆษกทำเนียบขาวก็จะบอกนักข่าวให้ไปถามเอฟบีไอโน่น   ทั้งๆ ที่ถ้าทรัมป์สั่งปั๊บ หน่วยงานยุติธรรมก็คงจะรีบแจ้นไปทำตามคำสั่ง 
บันทึกการเข้า
ปัญจมา
อสุรผัด
*
ตอบ: 261


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ วันนี้ เวลา 09:49

ถ้าวิธีที่ทรัมป์และพรรคพวกรับมือกับเรื่องนี้จะสร้างความสงสัยและความโกรธแค้นให้แก่ฝ่ายตรงข้ามมันก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่   แต่ประเด็นคือมันกำลังบั่นทอนความเชื่อถือและความนิยมที่ฐานเสียงมีให้แก่ตัวทรัมป์เอง   นี่อาจจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าอำนาจของทรัมป์ไม่ได้มีมากล้นจนไร้ข้อจำกัด  ที่ผ่านมานั้นทรัมป์อยู่ในสถานะชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้มาโดยตลอด  แม้จะมีข่าวอื้อฉาวขนาดไหนหรือใช้อำนาจในทางมิชอบอย่างไีรก็ไม่เคยมีผลต่อคะแนนนิยม  เสียงในสภายังแน่นปึ้ก  ไม่มีใครในพรรครีพับลิกันที่ยังอยากเล่นการเมืองต่อกล้าแตกแถวหรือแข็งข้อ   ดังนั้น  การที่เขาไม่สามารถหันเหความสนใจของ FC ไปจากทฤษฎีสมคบคิดเอปสตีนได้เสียทีแม้เวลาจะผ่านมาเดือนกว่าแล้วก็ตามนั้น  มันชี้ให้เราเห็นว่าทรัมป์ไม่มีอำนาจพอที่จะเปลี่ยนหัวข้อข่าวหรือทิศทางของกระแสโซเชียลได้ง่ายๆ ดังใจคิด  
 
ถึงแม้คนเกลียดทรัมป์จำนวนมากกำลังรู้สึกสะใจที่เจ้าพ่อแห่งทฤษฎีสมคบคิดกลายมาเป็นเป้าหมายเสียเอง  เหมือนกับสำนวนในภาษาอังกฤษว่า He tastes the bitterness of his own medicine.  แต่ก็ยังมีคนกังวลว่า  ถ้าเรื่องนี้ยืดยาวต่อไปไม่เลิก  ทรัมป์อาจจะกุเรื่องอื่นๆ ที่ใหญ่กว่าโอบามาเป็นกบฏมาหันเหความสนใจของฐานเสียง  และอาจเป็นเรื่องที่นำไปสู่การใช้กำลังกับฝ่ายตรงข้ามแบบที่ไม่ควรจะเป็น  เหมือนที่เราเห็นเมื่อวันที่ 6 มค.2021 ก็เป็นได้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41489

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ วันนี้ เวลา 17:45

อ่านแล้วสรุปได้ว่า
    1  ลูกค้าของเอปสตีนมีบุคคลสำคัญระดับชาติ ของประเทศต่างๆรวมอยู่หลายคน   เกินกว่าหน่วยงานของรัฐจะปล่อยชื่อออกมาได้ 
    2  ทรัมป์ใช้วิธีกลบเกล่ื่อน ชักจูงความสนใจของสื่อที่พยายามตีแผ่เรื่องนี้ ให้หันเหไปตามอื่น
    3  ฝ่ายหนึ่งไม่ลดละที่จะขุด   อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่ลดละที่จะปิด     ใครชนะตอนนี้ยังไม่รู้ 
    4  แต่ชื่อบางชื่อก็แพลมๆออกมาได้ ในทำนอง "เขาว่ากันว่า" ไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ    และคงอึมครึมต่อไปอีกนาน
    เห็นเวอร์จิเนีย จุฟเฟรในคลิปที่คุณปัญจมาทำลิ้งค์ให้ดูแล้วค่ะ    เธอเป็นผู้หญิงที่จุดไฟเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นคนแรก  ทำเอาขบวนการเอปสตีนพังพินาศ จนถึงความตายแบบมีเงื่อนงำของพ่อเล้าใหญ่
    แต่พออ่านข่าวว่าจู่ๆเธอก็ฆ่าตัวตาย   ทั้งๆคดีทั้งหลายที่เธอสู้ก็(น่าจะ)จบไปนานพอควรแล้ว ชีวิตเธอก็น่าจะเข้าสู่ความสงบได้แล้ว     เลยสงสัยว่าเธอถูกปิดปากจากใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังการต่อสู้ของเธอหรือเปล่า
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.086 วินาที กับ 20 คำสั่ง