เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17
  พิมพ์  
อ่าน: 21209 คุยกันเรื่องวิลเลียม ซอมเมอเซท มอห์ม (William Somerset Maugham)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 225  เมื่อ 18 ก.ย. 25, 11:40

   เอาละค่ะ  ถึงฉากสุดท้าย

    นางสาวปรินซ์มารอรับเพื่อนอยู่แล้วบนสะพานเรือ เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และขนกระเป๋าเดินทางข้าวของของนางสาวรี้ดไปได้เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ก็ไปที่บ้านของนางสาวปรินซ์ และดื่มน้ำชาตอนบ่ายด้วยกัน รถไฟที่นางสาวรี้ดโดยสารกลับบ้าน จะออกจากสถานีตอนห้าโมงเย็น
     นางสาวปรินซ์มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมาเล่าให้เพื่อนฟังมากมาย
     “แหม! ฉันไม่น่าเป็นฝ่ายพูดมากเสียเองเลยในเมื่อเธอเป็นฝ่ายเพิ่งกลับมาแท้ๆ” นางสาวปรินซ์ว่า “ฉันรออยากจะฟังเธอคุยเรื่องสนุกๆ ที่ไปเที่ยวมาตั้งไกลมากกว่า”
     “ก็ไม่เห็นมีอะไรให้เล่านักหรอกจ้ะ เธอ”
     “อะไร้! ไม่น่าเชื่อ เดินทางไปคราวนี้ ไม่สนุกหรอกรึ”
     “ก็ไม่สนุกสนานอะไรเท่าไหร่ แต่ก็นับว่าใช้ได้”
     “เธอคงไม่ได้รังเกียจที่จะต้องเดินทางร่วมกับคนเยอรมันหรอกนะ”
      “จะว่าไป พวกเขาก็ไม่เหมือนพวกเราชาวอังกฤษหรอกจ้ะ แต่เราไปกับเขาก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับเขาบ้าง บางที พวกเยอรมันเขาก็ทำสิ่งที่...เอาเป็นว่า...เป็นเรื่องที่พวกเราชาวอังกฤษไม่ทำก็แล้วกัน แต่ฉันคิดว่า...บางครั้ง คนเราก็ต้องยอมรับความเป็นไปอย่างที่มันเป็น”
      “ฉันไม่เข้าใจ เธอหมายถึงความเป็นไปประเภทไหนกันจ๊ะ?”
      นางสาวรี้ดมองเพื่อนของเธอด้วยท่าทีเรื่อยๆ ดวงหน้ายาวและซื่อบื้อของเธอดูสงบเยือกเย็น นางสาวปรินซ์ไม่มีวันจะสังเกตเห็นประกายประหลาด บอกความลับลมคมในที่ระยิบระยับอยู่ในดวงตาคู่นั้น
       “ไม่มีอะไรสลักสำคัญนักดอกจ้ะเธอ แค่เรื่องตลกๆ แปลกๆ คาดไม่ถึง แต่ก็เป็นเรื่องดี ฉันพูดอยู่เสมอว่าการเดินทางนั้นคือการเรียนรู้ชั้นยอด แล้วมันก็จริงเสียด้วยซีจ๊ะ”

จบ
          ในเมื่อนางสาวรี้ดบอกเพื่อนของเธอ(และผู้อ่าน)เพียงแค่นี้    มอห์มก็ฉลาดพอจะไขปริศนาให้เรารู้เพียงแค่นี้เช่นกัน     ไม่ทำลายวรรณศิลป์และความคิดของเรื่องด้วยการสาธยายสิ้นไส้สิ้นพุง
         ทีนี้ ก็ขึ้นอยู่กับท่านผู้อ่านเรือนไทยว่าจะตีความออกมาอย่างไรแบบไหนละค่ะ
         เทาชมพู ก็ไม่รู้เหมือนกัน    พูดอีกทีคือรู้เท่าๆกับผู้อ่านน่ะละ 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 226  เมื่อ 18 ก.ย. 25, 19:59

  อยากคุยเรื่องของนักเขียนคนอื่นๆบ้างไหมคะ ?
  สนใจคนไหนบ้างคะ?
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16189



ความคิดเห็นที่ 227  เมื่อ 19 ก.ย. 25, 09:35

ถาม : เกิดอะไรขึ้นกับ Miss Venetia Reid ที่ทำให้เธอเปลี่ยนไป ในเรื่อง Winter Cruise ของ William  Somerset Maugham

ตอบ (โดย Grok AI) : ในเรื่องสั้น "Winter Cruise" ของ William Somerset Maugham (ตีพิมพ์ครั้งแรกในคอลเลกชัน Creatures of Circumstance ปี ๑๙๔๗ ตัวละครที่คุณหมายถึงน่าจะคือ Miss Molly Reid (บางครั้งเรียกสั้น ๆ ว่า Miss Reid) ซึ่งเป็นสตรีโสดวัยกลางคน (ประมาณ ๕๐ ปี) ที่ชอบพูดมากและร่าเริงเกินเหตุ เธอไม่ได้ชื่อ Venetia ในเรื่องต้นฉบับ (อาจเป็นความจำผิดหรือการแปล/ดัดแปลง) แต่ถ้าคุณหมายถึงเธอ สิ่งที่ทำให้เธอ "เปลี่ยนไป" อย่างชัดเจนคือ "ประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก (และครั้งเดียว) ในชีวิตของเธอ" ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างการล่องเรือสินค้าที่เธอขึ้นเพื่อพักผ่อนในฤดูหนาว

เรื่องนี้สะท้อนสไตล์ของ Maugham ที่มักเสียดสีความโดดเดี่ยว ความปรารถนาที่ถูกกดทับของผู้หญิงวัยกลางคนในสังคมวิกตอเรียน/เอ็ดเวิร์เดียน และมุมมองที่ตรงไปตรงมาของเขาเรื่องเพศ (ซึ่งในยุคนั้นถือว่าค่อนข้าง "politically incorrect" แต่ Maugham ไม่เคยเกรงใจ)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 228  เมื่อ 19 ก.ย. 25, 09:51

    อ้าว  คุณเพ็ญชมพูหาผู้ช่วยนอกเรือนไทย  ไม่ได้ตอบข้อสอบเองนี่นา ยิ้ม

    นางสาวรี้ด ไม่ได้ชื่อ Molly ค่ะ (ขอหักคะแนนเจ้า Grok 10 คะแนน  เกิดมาเป็น AI ทั้งทียังอ่านผิดจนได้)   เธอมีชื่อจริงว่า "อลิศ"  แต่เธอไม่ชอบชื่อตัวเองว่ามันฟังธรรมดาไป   เธอก็เลยตั้งชื่อตัวเองเสียใหม่ให้เพราะพริ้งว่า Venetia
     ส่วนคำตอบที่ Grok ให้คุณเพ็ญชมพูมา  หมายความว่า "สิ่งที่ทำให้เธอ "เปลี่ยนไป" อย่างชัดเจนคือ "ประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก (และครั้งเดียว) ในชีวิตของเธอ"
    แปลไทยเป็นไทยอีกที   คือคืนนั้น พนักงานสื่อสารก็ทำหน้าที่อย่างที่ได้รับคำสั่งมา ด้วยความยินยอมพร้อมใจของนางสาวรี้ด สมกับที่เกิดมาคงไม่เคยเจอผู้ชายมาบอกรักมาก่อน    เมื่อมีประสบการณ์แล้ว มันก็เป็นอย่างที่คุณหมอประจำเรือบอกกัปตัน คือประสาทของเธอก็จะสงบลง  เลิกพลุ่งพล่านตามประสาสาวพรหมจารีที่ไม่มีทางออก   
    ไม่ทราบว่าท่านอื่นคิดอย่างไร  แต่ดิฉันไม่เห็นด้วยกับ Grok  และไม่คิดว่านักเขียนระดับมอห์มจะมองผู้หญิงตื้นๆแบบนั้น 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 229  เมื่อ 19 ก.ย. 25, 10:17

   ความคิดของดิฉันก็คือ:
   นางสาวรี้ดเปิดประตูรับพนักงานวิทยุสื่อสารเข้ามาในห้อง    คนอย่างเธอคงไม่ตัดสินใจทำอะไรปุบปับลงไปถ้าไม่พูดจาซักถาม และแจกแจงรายละเอียดกันให้ถี่ถ้วนเสียก่อน   ข้อนี้เป็นนิสัยเธอ ที่มอห์มบอกไว้ชัดเจน
   ในเมื่อมีการซักถามกัน   มันก็มีความเป็นไปได้เกือบ 100 % ว่าพนักงานหนุ่มน้อยอ่อนหัด จะหุบปากไว้ไม่อยู่  แต่เปิดเผยเรื่องที่กัปตันสั่งเขา ให้นางสาวรี้ดฟัง ตามประสาซื่อ 
   เมื่อนางสาวรี้ดรู้ว่ากัปตันสมมุติเรื่องขึ้นมา เพื่อผลักดันพนักงานหนุ่มมา "บำเรอ" เธอ   เธอก็มีทางเลือกตามนี้
   1   ปราดออกจากห้องพักไปตามหาตัวกัปตัน  แล้วตบหน้าเสีย 1 ฉาด หรือหลายฉาด  ที่บังอาจลบหลู่เกียรติสุภาพสตรีสาวโสด
   2  อึ้ง ทนกลืนเลือด เพราะจะหนีผู้ชายพวกนี้ลงจากเรือก็ไม่ได้  ยังไงก็ต้องทนโดยสารไปด้วยกัน กว่าจะถึงปลายทาง  เธอก็เลยไล่พนักงานหนุ่มกลับไป แล้วกัดฟันทนอยู่ร่วมเรือต่อไป  แต่เลิกพูดจาเลิกคบค้าสมาคมด้วย  ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ตามลำพัง
    แต่ตอนท้ายเมื่อเห็นพวกเขาเอาอกเอาใจเธอสุดเหวี่ยง   เธอก็ใจอ่อนว่าพวกเขาคงไม่ได้ประสงค์ร้าย  แค่เป็นธรรมเนียมประหลาดๆของพวกเขาที่เธอไม่เข้าใจ   เธอก็เลยให้อภัยพวกเขาเมื่อเรือเทียบท่า  อำลากันด้วยความรู้สึกที่ดี ไม่ผูกใจเจ็บกันอีก
   3  นางสาวรี้ดจับได้จากพนักงานหนุ่มว่าพวกนี้ส่งผู้ชายมาให้เธอ  เธอเดาออกว่าเพื่อเบนความสนใจไปจากพวกเขา  เพราะพวกเขาตีความว่าคำพูดพล่ามไม่มีหยุดของเธอไม่ได้เกิดจากนิสัยช่างพูดช่างผูกมิตร  แต่เกิดจากอารมณ์กดดันทางเพศที่ไม่มีทางระบายออก
   นางสาวรี้ดอาจดูซื่อบื้อก็จริง แต่เธอเป็นผู้หญิงทำงาน อาชีพเจ้าของร้านทำให้พบปะลูกค้าสารพัดชนิด   เธอเองก็บอกว่าเธอสนใจนิสัยใจคอมนุษย์มากกว่าหน้าตา  ก็เป็นไปได้มาก ว่าเมื่อความลับแตก เธอจึงรู้เท่าทันชาวเรือพวกนี้ว่าเขาคิดอะไร   และรู้วิิธีจะแก้เผ็ดพวกเขาได้อย่างไร   
   เธอก็เลยตอบสนองของกำนัลที่เขาส่งมาให้ (ก็ของขวัญฟรีๆน่ะค่ะ ใครจะไม่เอา)  แล้วเหตุการณ์คงไม่ได้เกิดหนเดียวด้วย  แต่ดำเนินมาตลอดการเดินทาง   เพียงแต่เธอเลิอกวิธีเงียบกริบ ทำให้พวกชาวเรือพิศวงงงงวยไปตามๆกัน
   เธอให้ของกำนัลแสดงน้ำใจกับเขา เพื่อแสดงว่าเธอรู้สึกดีกับพวกเขา  แต่เธอก็เย็นชาแสดงอาการดูแคลน อย่างตรงกันข้าม   ทำเอาพวกนั้นรู้สึกผิดและเกรงใจเธอขึ้นมาพร้อมๆกัน  เพราะไม่รู้ว่าเธอมาไม้ไหนกันแน่
   ในที่สุด พวกนั้นก็แพ้  พากันมารุมล้อมเอาอกเอาใจเธอสารพัด  เพราะรู้สึกผิดว่าข่มเหงผู้หญิงตัวคนเดียว ที่ไม่มีปากเสียงจะตอบโต้ และพวกเขาเองก็ดูไม่ออกว่าเธอยินดีหรือเก็บกลั้นอารมณ์ ซ้ำเป็นอารมณ์ชนิดไหนพวกเขาก็ดูไม่ออก
   ปริศนาของนางสาวรี้ดก็เลยมาไขเอาตอนจบ   ในแววตาที่ระยิบระยับเก็บซ่อนความลับไว้  ว่าสาวแก่ที่ดูบื้อๆ น่ารำคาญคนนี้แหละ   ได้หมดทั้งไอ้หนุ่มรูปหล่อและไมตรีจิตบวกความเกรงอกเกรงใจจากเหล่าผู้ชายที่
ประมาทคาดหน้าเธอว่าเป็นสาวแก่ไม่มีทางออก   
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 230  เมื่อ 19 ก.ย. 25, 11:49

           /กัปตันเรียกเจ้าหนุ่มมาถามหลังคืนนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วก็มาบอกหมอและคนอื่นๆ ที่โต๊ะอาหาร
           เท่าที่เคยพบทั้งหญิงและชายชาว "จ้อไม่รู้จบ" ไม่เคยหยุดพูดได้เลย ระดับเข้าไขกระดูกอย่างป้ารี้ด
อาจจะเงียบหลังคืนนั้นเพื่อเอาคืนแต่ไม่น่าทนอัดอั้นเหงาปากได้เกิน 1-2 วัน/
  
                      ไม่ได้รีเควสท์ Joseph Conrad แต่โยงนักเขียนท่านนี้กับท่านมอห์มได้ครับ

                นักเขียนทั้งสองต่างเคยมาพำนักที่โรงแรมโอเรียนเทล ริมเจ้าพระยา ที่ซึ่งทางโรงแรมได้ตั้งชื่อห้องชุดสวีทตามชื่อและ
ห้องอาหาร Lord Jim ตามนิยายของท่านโจ  
                (arrived in Bangkok January 1888 as an officer in the British merchant navy.
                 He started writing after he retired from the sea in 1894.)                  

                 ท่านมอห์มมีชื่อเสียงโด่งดังทีหลังและยกย่องท่านโจนักเขียนรุ่นพี่ แต่ภายหลังดูเหมือนจะมีความแข่งกันอยู่

A plaque dedicated to him at Mandarin Oriental Hotel


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8490


ความคิดเห็นที่ 231  เมื่อ 19 ก.ย. 25, 11:52

คุ้นเคยท่านโจ จากหนังโด่งดังผ่านตาเข้ามาฉายในบ้านเรา -
          Lord Jim  และ
          Apocalypse Now ดัดแปลงเป็นสมรภูมิเวียดนาม สร้างอิงจากต้นฉบับเรื่อง The Heart of Darkness


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 232  เมื่อ 19 ก.ย. 25, 13:14

   ขอทิ้งคุณปู่มอห์มให้นั่งรออยู่ในกระทู้นี้ก่อน     ถ้าใครอยากฟังเรื่องของคุณปู่อีกก็จะกลับมาเล่าอีกค่ะ  แต่ตอนนี้ จะไปตั้งกระทู้ใหม่ เพื่อคุยกันถึงยักษ์ใหญ่ในวงวรรณกรรมตะวันตก ท่านอื่นๆอีก
   ขอเริ่มด้วย Joseph Conrad ที่คุณหมอ SILA เอ่ยถึง    แต่ขอสารภาพว่ากลืนงานของแก..เอ๊ย..ท่านไม่ค่อยจะลงคอเท่าไหร่    มันดาร์กเกินไป  อ่านแล้วหดหู่   ไม่มีอารมณ์ขันแนวเสียดสีอย่างของมอห์ม    ก็เลยขอไม่เล่าถึง The Heart of Darkness ซึ่งถือเป็นงานชิ้นโบว์แดง  แต่ขอเล่าถึง Lord Jim  งานบิ๊กเบิ้มอีกชิ้นหนึ่งแทน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 233  เมื่อ 28 ก.ย. 25, 11:02

  กวีและนักเขียนที่ได้รับการยกย่องว่าดัง มักจะมีคำคม (quotes) ไว้ให้คนอ่านจดจำ เอาไปคิดต่อ   หรือกลายเป็นแรงบันดาลใจให้งานของคนอ่ื่นๆ  มอห์มเองก็มีคำคมอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน  สะท้อนความคิดส่วนตัวและโลกทัศน์ของเขา
  ในที่นี้จะยกมาสัก 10 ข้อค่ะ
  1 "The love that lasts longest is the love that is never returned"
   รักที่ยั่งยืนที่สุดคือรักที่ไม่หวนคืนมา
   ทำไม?
  ก็เพราะรักที่สมหวัง หมายความว่าได้ลงเอยแต่งงานอยู่กินกันเหมือนตอนจบในนิยาย  จะพบว่าชีวิตจริงไม่มีวันหอมหวานเหมือนเมื่อรักกันใหม่ๆ   เพราะมันจะถูกแทรกแซงด้วยความขรุขระของชีวิต   เช่น หนุ่มในฝันเมื่อครั้งรักกัน   ตายแล้ว ! เป็นคนไม่มีระเบียบเลยเวลาอยู่บ้าน  ถอดเสื้อกางเกงที่ไหนกองไว้ที่นั่น   กินเสร็จแล้วเล่นมือถือ ไม่ช่วยล้างชาม   แถมนอนกรนสนีั่น   ส่วนสาวสวยนางในฝัน ก็ชอบช็อปปิ้งไม่อั้น  หาเงินเท่าไหร่ไม่เคยพอจ่าย   มีลูกแล้วยังออกเที่ยวบาร์โฮสได้ลงคอ  แถมพอมีลูกเข้าคนเดียว เธอเผละขนาดนี้ได้ไง!
   เมื่อชีวิตจริงเข้ามาทางประตู  ความรักก็บินออกไปทางหน้าต่าง
  แต่ความรักที่ไม่สมหวัง จากไปทั้งยังรักโดยไม่เคยหวนคืน   นั่นคือความฝัน มันคงอยู่อย่างสมบูรณ์แบบในหัวใจ  ไม่แก่ ไม่จางหาย ไม่เปลี่ยนแปลง    
   ฉันจำได้ว่าแฟนเก่าฉันหล่อเหมือนณเดชน์
   ผมไม่เคยลืม  เธอสวยเหมือนญาญ่า
   เขาขี้้เล่น อยู่ด้วยแล้วสนุก  ใจเย็น อารมณ์ดีเสมอ
   เธอเป็นสาวหวานที่น่ารักที่สุด เอาใจก็เก่ง
   
    ผ่านไป 25-30 ปี ภาพในใจก็ยังใหม่เอี่ยม   ไม่ถูกแทนที่ด้วยลุงอ้วนลงพุง หัวหงอก  หรือป้าแก่ๆ ขี้บ่น ในความเป็นจริง   เพราะทุกอย่างเป็นเพียงความโหยหาอดีต หล่อเลี้ยงด้วยจินตนาการ  จึงมีสภาพเป็นนิรันดร์ เพราะไม่มีสิ่งใดในชีวิตจริงมาลบล้างมัน  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 234  เมื่อ 29 ก.ย. 25, 11:18

    มาถึงคำคมที่ 2
    "It's a funny thing about life; if you refuse to accept anything but the best, you very often get it."
    ชีวิตมันน่าขำอยู่อย่างหนึ่ง   คือ...ถ้าคุณไม่ยอมรับสิ่งใดที่ด้อยกว่า "ของดีที่สุด"   คุณก็มักจะได้มัน
   แปลไทยเป็นไทยอีกที  ก็คือถ้าคุณมีความทะเยอทะยาน หรือปักใจใฝ่หาสิ่งที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นงาน  อาชีพ  ฐานะ คนรัก คุณก็มักจะได้สิ่งเหล่านี้ในที่สุด
   ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น?
   ความคิดข้อนี้ของมอห์มหมายถึงว่า  คนเราถ้าใฝ่สูง ก็มักจะได้ของสูง     ที่เขาเว้นไว้ก็คือ ถ้าใฝ่ต่ำ ก็มักจะได้ของต่ำ
   ยกตัวอย่าง ถ้าคุณเป็นนักเรียน ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องสอบเข้าแพทย์ให้ได้    คุณก็ย่อมจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม  เช่นกวดขันตัวเอง(หรือเรียนพิเศษ) ในวิชายากๆเช่นคณิตศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์  หรือวิชาอื่นๆที่ใช้ในการสอบเข้าคณะแพทยศาสตร์   คุณต้องตั้งใจเรียน ทำคะแนนให้ดี  มีผลงานไว้โชว์ในพอร์ต   เพื่อคุณจะได้ผ่านเข้าเรียนได้ตามมุ่งหมาย   เมื่อวันนั้นมาถึง คุณพร้อมตามมาตรฐาน  ก็มีสิทธิ์เข้าเรียนแพทย์ได้
   แต่ถ้าคุณไม่ได้หวังอะไรมากขนาดนั้น   เรามันเด็กตจว.อยู่ไกลเมือง  โรงเรียนก็เล็ก  ไม่ได้โด่งดังเท่ารร.ใหญ่ๆ    เพราะงั้นพอจบมัธยมแล้ว  ก็หาที่เรียนต่อใกล้ๆบ้านเอาก็แล้วกัน  ได้ที่ไหนก็เอาที่นั่น  จบมาแล้วก็หางานใกล้ๆบ้าน ง่ายดี  ไม่เปลืองค่ารถค่ากินอยู่  คุณก็คงจะสมหวังกับอนาคตแบบที่คุณเลือก
   ชีวิตก็ย่อมจะแตกต่างไปจากแบบแรก   เพราะตั้งเป้าหมายไว้ต่างกัน   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 235  เมื่อ 29 ก.ย. 25, 11:30

   อ่านค.ห. ข้างบนนี้ อาจมีท่านผู้อ่านเรือนไทยค้านว่า  คนเราไม่ได้สมหวังกันทุกคน   ไม่ใช่ว่าอยากเรียนแพทย์แล้วจะสอบเข้าแพทย์ได้เสมอไป   ขนาดเตรียมตัวมาดี สอบ 8 หนแล้วยังไม่ได้   เพราะฉะนั้นคำพูดของมอห์มก็ถือว่าใช้ไม่ได้
   มันก็จริง แต่จริงไม่หมด
   เพราะคนที่หมายสูงในชีวิต  ถึงเข้าเรียนในคณะที่เลือกอันดับ 1 ไม่ได้ก็ยังมีอีกหลายอันดับให้มีสิทธิ์   ต่อให้พลาดหมด ก็ยังมีวิชาสาขาอื่นๆให้เลือกอีกมาก  ถ้าไม่ย่อท้อจะพาชีวิตขึ้นที่สูง  ก็ย่อมมีสิทธิ์ไปได้ดีทางอาชีพอื่น   ถ้าดวงไม่ซวยจริงๆก็คงไม่ถึงกับตกอับ   
   คำคมของมอห์มในข้อนี้ เขาสนับสนุนการหมายสูงเอาไว้  เพราะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความมานะพยายาม   ถ้าไม่มีแรงกระตุ้นจะอยากได้สิ่งที่ดีที่สุด   คนเราก็อาจจะเฉื่อยชา  ปล่อยชีวิตไปตามบุญตามกรรม หรือไม่ก็ถือว่ามีกินพอไม่อดตายก็ดีแล้ว  เป็นอันว่าชีวิตทั้งชีวิต ไม่ให้ใช้ศักยภาพให้คุ้มค่า
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 236  เมื่อ 30 ก.ย. 25, 13:12

  คำคมที่ 3   มอห์มพูดถึงนักเขียนค่ะ
  "We do not write because we want to; we write because we have to."
  คำง่ายๆ แต่อธิบายยาก
  "เราไม่ได้(เป็นนัก)เขียนเพราะอยากจะเป็น  แต่เราเขียนเพราะเราต้องเขียน"
  คนส่วนใหญ่ที่อยากเป็นนักเขียน เมื่อมีใครถามว่าทำไมคิดจะเลือกเส้นทางนี้ ก็มักจะตอบว่า "ก็ชอบเขียนน่ะซี"
   แต่มอห์มบอกว่า คนที่เขียนจนถึงขั้นเป็นนักเขียนอาชีพได้  ไม่ใช่แค่นักอยากเขียน หรือชอบบอกเล่าอะไรลงไปเป็นลายลักษณ์อักษร  แต่มีความรู้สึกว่า..ไม่เขียนไม่ได้  ต้องเขียน  ต้องลงมือบันทึก หรือระบายความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นตัวหนังสือ  ไม่งั้นมันจะอัดอกอัดใจตาย  หรือมือไม้จะคันไม่หยุดนิ่งจนกว่าจะจับปากกา หรือสัมผัสคีย์บอร์ดได้  
     ความรู้สึกนี้ นักเขียนที่ทำงานจนเป็นอาชีพ  ไม่ใช่ว่าเขียนอะไรนิดๆหน่อยๆ ยามว่าง  หรือนานๆครั้งจึงจะจับปากกาสักครั้งเมื่อเกิดแรงบันดาลใจ ย่อมรู้จักอารมณ์นี้       จินตนาการคือลาวาที่อัดแน่นอยู่ใต้ปล่องภูเขาไฟ  สบโอกาสเมื่อใด มันก็จะผุดขึ้นมาทางปากปล่อง  ไหลล้นออกมาเต็มหน้ากระดาษ
    ส่วนใหญ่มันก็จะไหลไม่ขาดสาย ยาวนานเป็นปีๆ หรือนับสิบๆปี  ต่อให้เหนื่อยหรือได้การตอบแทนไม่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับอีกหลายอาชีพ    ก็หยุดไม่ได้  เพราะเกิดมาเป็นนักเขียนแล้ว  ปากปล่องภูเขาไฟจะไม่ยอมปิดง่ายๆ   จนกว่าจะพ่ายแก่สังขารไปเสียก่อน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 237  เมื่อ 01 ต.ค. 25, 14:28

   "The tragedy of love is indifference."
    "โศกนาฏกรรมของความรัก คือความไม่แยแส"
    เมื่อรักจืดจาง  สิ่งที่น่าเศร้าที่สุดไม่ใช่ความชัง  ไม่ใช่ความโกรธ  ไม่ใช่ความเบื่อหน่าย  แต่เป็นความไม่แยแส..มอห์มว่าอย่างนั้น 
    ทำไม?
    เพราะคุณไม่มีตัวตนในโลกของเขา(หรือเธอ)อีกต่อไป
   ถ้าโกรธ...ยังทะเลาะกัน   ยังมีเสียงของอีกฝ่ายให้ได้ยินอยู่ในบ้าน
   ถ้าชัง  ก็เรายังมีตัวตนอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของทั้งสองฝ่าย
   ถ้าเบื่อ   ก็ยังมีความรู้สึกว่าทน เชื่อมต่อกันอยู่
   แต่ถ้าไม่แยแส   คือเขา(หรือเธอ)จะหายวับออกไปจากโลก   แม้จะอยู่ในบ้านก็เหมือนไม่มีตัวตนอยู่   คุณจะไม่สนใจว่าเขาหรือเธอจะเป็นตายร้ายดีอย่างใด   จะสุขหรือทุกข์ก็ไม่เกี่ยวกับคุณอีกต่อไป   คุณเองก็จะสุขคนเดียว  ทุกข์คนเดียว  ไม่แบ่งปันให้อีกฝ่ายสุขหรือทุกข์ด้วย  เพราะเขาไม่มีความหมายอีกแล้ว
   ความรู้สึกกลายเป็นเลขศูนย์โดยสิ้นเชิง
   นี่คือโศกนาฏกรรมของความรักอย่างแท้จริง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 238  เมื่อ 02 ต.ค. 25, 10:21

   "There are three rules for writing a novel. Unfortunately, no one knows what they are".
   ถ้าจะเขียนนวนิยาย  มีหลักเกณฑ์อยู่ 3 ข้อ  น่าเสียดายว่าไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร


   มอห์มเขียนข้อนี้ เพื่อเสียดสีหนังสือประเภท how to  ในที่นี้คือ How to write a novel   เพราะเขาเชื่อว่าวรรณกรรมเป็นศิลปะ   เช่นเดียวกับศิลปะอื่นๆก็คือ เอากรอบ เอากฎ เอาเกณฑ์ไปวางเพื่อบังคับมันไม่ได้     มันไม่เหมือนกับสอนวิธีวางท่อหรือเดินสายไฟ
   จริงอยู่   วรรณกรรมแต่ละประเภทมีระเบียบบางอย่างอยู่ในตัวเหมือนกัน  เช่นถ้าจะแต่งกลอนแปดหรือโคลงสี่สุภาพก็ต้องรู้จักฉันทลักษณ์ตามที่กำหนดไว้  จะเขียน sonnet หรือ blank verse ก็เช่นกัน ก็ต้องรู้ลักษณะและจังหวะของคำ      แต่ไม่ได้หมายความว่า วรรณกรรมหรือศิลปะจะต้องเดินตามกรอบนั้นเป๊ะๆ  กระดิกกระเดี้ยออกนอกกรอบเมื่อไหร่เป็นผิด ต้องโยนลงตะกร้า
   ตรงกันข้าม มีวรรณกรรมสำคัญมากมายที่แหวกออกจากกฎเกณฑ์ แล้วประสบผลสำเร็จ    วรรณกรรมที่เขียนตามสูตรแล้วล้มเหลวก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ    แต่เรื่องที่เขียนตามหลักเกณฑ์แล้วไปได้ดีก็มีเหมือนกัน  ไม่ใช่ไม่มี
   ในเมื่อศิลปะไม่มีการผูกขาด  มอห์มจึงปล่อยคำคมนี้ออกมา  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 239  เมื่อ 03 ต.ค. 25, 08:51

   "For men, as a rule, love is but an episode which takes place among the other affairs of the day..."
   "สำหรับผู้ชาย โดยทั่วไปแล้ว ความรักก็เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นท่ามกลางเรื่องราวอื่นๆ ในแต่ละวัน..."

   ความเห็นของมอห์มคือสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่ ความรักไม่ใช่พลังสำคัญที่สุดของชีวิต  มันเป็นเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตประจำวัน
    ความรักเป็นกิจกรรมหนึ่ง เช่นเดียวกับ ตื่นนอน  อาบน้ำแต่งตัว  เดินทางไปทำงาน  เข้าประชุม  กินข้าวกลางวัน  กลับบ้าน  ออกไปสังสรรค์ยามค่ำ   แม้ว่าผู้ชายทำเป็นประจำ  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาเห็นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจนขาดไม่ได้ 
    ที่มอห์มไม่ได้พูดต่อไป คือ ผิดกับผู้หญิงที่เห็นความรักเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  เป็นชีวิตจิตใจที่จะขาดเสียมิได้   ทุ่มเทและผูกพันเหมือนกับว่าจะตายถ้าไม่มีรัก
   มอห์มพูดถึงสังคมที่เขาประสบอยู่ คือต้นศตวรรษที่ 20   บัดนี้ล่วงมาจนถึงครบหนึ่งในสี่ของศตวรรษที่ 21 แล้ว  มนุษย์ยังเป็นอยู่เช่นนี้หรือเปล่า ก็น่าจะตั้งคำถามเหมือนกัน
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.057 วินาที กับ 19 คำสั่ง