เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
อ่าน: 15509 สงคราม(โลกครั้งที่ 2 ) แพ้ แต่ไทยไม่แพ้
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 13 ธ.ค. 24, 11:00

   การเจรจานี้ถ้าดูเผินๆ เหมือนคณะผู้แทนล้มเหลว  เจรจาไม่ได้อะไรสักอย่าง  แต่ในความเป็นจริง กลับตรงกันข้าม   การที่คณะผู้แทนตกลงกันว่าจะยืนกรานหัวชนฝาไม่ยอมให้อังกฤษบีบบังคับเอาได้ตามใจ กลับเป็นผลดีอย่างยิ่ง   คือไทยไม่ได้ถลำเซ็นสัญญาลงไป จนทำให้แก้ไขอะไรไม่ได้ในภายหลัง
   ระหว่างที่อยู่ที่เมืองแคนดี  พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยและนายเดนิง ส่งจดหมายโต้ตอบไปมาระหว่างกัน
 อย่างเผ็ดร้อนอีกหลายฉบับ   นายเดนิงยังคงมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ละลด  ส่วนไทยก็ยึดถือนโยบายของนายกรัฐมนตรี หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ที่มุ่งมั่นจะรักษาอธิปไตยของไทยเอาไว้   ดังถ้อยแถลงต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘  ว่า
     “ถ้าเขาจะขืนให้เราเซ็นสัญญาให้ได้ เราก็จะต้องไม่ยอมเป็นอันขาด เพราะจะเสียเอกราชของเราไป แต่ถ้าเราไม่ยอมก็มีอยู ่ทางเดียวที่จะบังคับเราได้โดยส่งทหารเข้ามายึดครองประเทศเรา แต่ถึงขั้นนั้นเราก็คงต้องต่อสู้”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 15 ธ.ค. 24, 14:37

    ระหว่างรออยู่ที่เมืองแคนดี  ทางฝ่ายไทยไม่ได้นั่งรออยู่เฉยๆ  แต่พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยและคณะผู้แทนไทยถือโอกาสที่อังกฤษปล่อยเวลาว่าง มาเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายไทย คือเดินเกมการเมือง ติดต่อประสานงานกับทางรัฐบาลไทยเพื่อเดินเกมอีกทางหนึ่ง    คือดึงสหรัฐอเมริกาเข้ามามีบทบาทในการสนับสนุนไทย  เป็นการคานอำนาจอังกฤษไปในตัว
     หลังสงครามโลกครั้งที่ 2   สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่บอบช้ำน้อยที่สุด เพราะสนามรบไม่ได้อยู่ในประเทศ   ถ้าไม่นับความสูญเสียในเพิร์ล ฮาร์เบอร์  รัฐอื่นๆอีก 49 รัฐก็ปลอดภัยดี    จึงมีโอกาสจะผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจใหม่ แทนประเทศในยุโรปที่ล้วนแล้วแต่บาดเจ็บกันทั่วถ้วน
     ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรี ได้ประสานงานแจ้งข้อเรียกร้องของอังกฤษผ่านนายสแตนลี่ ริช (Stanley Rich) นักข่าวชาวสหรัฐฯ ในไทย ให้ช่วยสื่อต่อไปยังสหรัฐอเมริกา   ข้อหนึ่งในนั้นคืออังกฤษต้องการจะมาตั้งฐานทัพในไทย   ข้อนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 16 ธ.ค. 24, 11:04

  จะว่าไปข้อกำหนดที่อังกฤษต้องการให้ไทยตกลง(หรือจำยอม)นั้นมันก็หนักหนาสาหัสจริงๆด้วย  เช่น
   1  ให้ไทยยุบองค์กรทางทหาร กึ่งทหาร หรือการเมือง ที่โฆษณาเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติ 
   2  ยอมให้มีการจัดตั้งคณะผู้แทนทางทหาร (military mission) เพื่อให้คำปรึกษาด้านการจัดระเบียบ ฝึกหัดและทางด้านยุทโธปกรณ์สำหรับกองทัพไทย
    3  ทหารของสัมพันธมิตรสามารถใช้เมืองท่าเพื่อเดินทางได้โดยเสรีทั่วราชอาณาจักร
    4  ให้เรือพาณิชย์ของไทยอยู่ภายใต้ความควบคุมของฝ่ายสัมพันธมิตร
    5   ห้ามไทยส่งออกข้าว ดีบุก ยาง และไม้สัก เว้นแต่เจ้าหน้าที่ของฝ่ายสัมพันธมิตรจะเห็นว่าจำเป็น
    6  ที่สำคัญคืออังกฤษสามารถกำหนดนโยบายทางการเงินของไทยในชั่วระยะเวลาหนึ่งด้วย (คือจนกว่าอังกฤษจะปล่อยมือด้านการคลัง ว่างั้นเถอะ)
    สรุปง่ายๆว่าไทยก็กลายเป็นประเทศแพ้สงคราม ไม่ต่างจากญี่ปุ่น  มีฝ่ายพันธมิตรซึ่งอังกฤษเป็นหัวหอกเข้าควบคุมทั้งด้านการทหาร คมนาคม และเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จ   
     ก็คงจะเข้าใจว่าทำไมคณะผู้แทนไทยจึงยอมไม่ได้    ทั้งๆไทยในตอนนั้นก็ตกอยู่ในภาวะล่อแหลมที่จะต้องยอมจำนน  ไม่รู้จะเอาอะไรไปสู้เขา 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 16 ธ.ค. 24, 11:15

   ความยุ่งยากที่เพิ่มขึ้นมาคือ ความคิดเห็นของผู้บริหารประเทศไทยในตอนนั้นไม่ได้ลงรอยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน    ปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีความเห็นว่าไทยควรจะรีบลงนามยอมรับข้อเสนอชั่วคราวของทางอังกฤษไปก่อน   เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่อาจบานปลายและเลวร้ายมากขึ้น   แปลง่ายๆคือ  ให้รีบตกลงรับเสียเถอะ   ไม่งั้น เผื่ออังกฤษยิ่งบีบไทยด้วยข้อกำหนดที่หนักหนาสาหัสกว่านี้  เราก็จะยิ่งตกชะตาร้ายหนักขึ้น  
     เมื่อวันที่ ๖ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๘ นายปรีดีฯ ได้กล่าวในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ว่า
     “ส่วนสัญญานี้เราจะทำไปด้วยความซื่อตรง เพื่อให้ประเทศชาติลุล่วงมา อยากให้ท่านประธาน รองประธาน ทำอย่างไรให้เป็นที่เข้าใจ ขอให้พูดโดยสุจริต ด้วยเห็นแก่สภาพในปัจจุบันนี้ ถ้าไม่รับ term อ่อนอย่างนี้ จะรับ term แรงหรือ จะให้ทหารต่างด้าวเข้ามาในบ้านเรามากๆ หรือจะรับค่าปรับหรือ 3 ข้อเท่านี้ ขออนุมัติไว้ ทำได้อย่างนี้ ถ้ามีทางก็จะได้พยายามให้ลดน้อยลงไปอีก”    
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 16 ธ.ค. 24, 11:16

      อย่างไรก็ตาม  ทางฝ่ายคณะผู้แทนและนายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็พยายามดิ้นเฮือกสุดท้าย  คือคณะทูตทหารไทยได้ติดต่อกับสหรัฐอเมริกาจนสำเร็จ   เมื่อข่าวไปถึงสำนักงานบริการยุทธศาสตร์ (OSS) ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการลับทางทหารของสหรัฐฯ   รัฐบาลสหรัฐฯ ทราบข่าวจึงได้ทำการประท้วงเนื่องจากเป็นการเจรจาความตกลงในนามของสัมพันธมิตร  แต่ทางอังกฤษไม่ได้แจ้งรายละเอียดให้กับทางสหรัฐฯ เห็นชอบด้วย
     สหรัฐอเมริกามองว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้เป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทยเกินควร   ในเมื่อพี่เบิ้มของฝ่ายพันธมิตรออกมาคัดค้านสุดตัว    อังกฤษต้องยอมถอย แต่สงวนสิทธิที่จะทำความตกลงทวิภาคีกับไทยเพื่อยุติสงครามในขั้นต่อไป
    ผลคือวันที่ ๘ กันยายน พ.ศ.๒๔๘๘  มีการลงนามในความตกลงชั่วคราวทางการทหารเพียง 4 ข้อ  มีเนื้อหาเกี่ยวกับการให้ไทยช่วยเหลือฝ่ายอำนวยความสะดวกแก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในการปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นและการช่วยเหลือเชลยศึกฝ่ายสัมพันธมิตรในดินแดนไทย
    แต่ในวันเดียวกันนั้นรัฐบาลอังกฤษเองก็ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแต่งตั้งคณะผู้แทนที่มีอำนาจเต็มเพื่อมาเจรจาความตกลงสมบูรณ์แบบยุติสถานะสงครามระหว่างไทยและอังกฤษ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 17 ธ.ค. 24, 10:16

     หลังจากถูกบีบคอจนหายใจหายคอไม่ออกมาพักใหญ่  ไทยก็ดิ้นเฮือกสุดท้าย
     วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ ทางรัฐบาลอังกฤษได้แจ้งให้รัฐบาลไทยส่งคณะผู้แทนไทยไปเจรจากันต่อที่ประเทศสิงค์โปร์     นอกจากคนเดิมแล้ว มีผู้แทนหน้าใหม่อีกคนหนึ่งคือนายพิพรรธน์ ไกรฤกษ์ ข้าราชการกระทรวงการคลังและนายบัว ศจิเสวี  ข้าราชการธนาคารแห่งประเทศไทย
      คณะฯ เดินทางถึงประเทศสิงค์โปร์เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๘  เริ่มเจรจาในวันที่ ๑๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ 
      สถานการณ์ในประเทศไทยกำลังคับขันเต็มที   จนไม่อาจรอเวลาได้อีกต่อไป   จำต้องรู้หมู่รู้จ่ากันในตอนนี้ละ เพราะอังกฤษได้ส่งกองกำลังนับหมื่นนายเข้ามาประจำอยู่ในไทยตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๘๘    ไม่มีทีท่าว่าจะย้ายออก    แล้วไม่ได้ส่งเข้ามาเฉยๆ แต่กำหนดให้รัฐบาลไทยต้องเสียค่าเลี้ยงดูทหารเหล่านี้เป็นเงินสูงถึงวันละหนึ่งล้านบาท
     ดังนั้นคณะผู้แทน จึงเห็นสมควรจะลงนามความตกลงกับอังกฤษให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว   ให้ไทยรีบบรรลุสถานะการยุติสงคราม จะได้พ้นจากภาวะจนตรอกนี้เสียที
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 19 ธ.ค. 24, 19:51

    แต่กรรมของประเทศไทยก็ยังไม่หมดง่ายๆ    เพราะมารผจญตัวใหญ่ของไทย คือนายเดนิง  อยู่ในการประชุมครั้งนี้ด้วย     แน่นอนว่าต้องขัดขวางจนสุดฤทธิ์    จะว่าไปนายเดนิงก็เสียประวัติอยู่ไม่น้อย  เพราะก่อนหน้านี้แกก็พลาดท่าไม่สามารถบีบไทยให้เซ็นสัญญายอมอังกฤษมาแล้วที่เมืองแคนดี   
    ท่าทีของนายเดนิงแข็งกร้าวไม่ผ่อนปรน     เห็นได้จากหนังสือ TNA, F0371/46555, F11463/296/40 ลงวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ นายเดนิงได้เสนอความเห็นต่อการเจรจาในครั้งนี้ว่า
    “ข้าพเจ้าใคร่ขอชี้แจงว่าข้อความที่ตกลงกันไม่ใช่เรื่องที่จะต่อรองได้ หากแต่เป็นเงื่อนไขชั้นต้น  ซึ่งบริเทนใหญ่พิจารณาแล้วว่าสยามตกอยู่ภายใต้พันธกิจทางศีลธรรม ที่ไม่อาจบิดพลิ้วได้  ข้าพเจ้าขอให้พวกสยามตกลงที่จะลงนามในหนังสือแลกเปลี่ยน ข้าพเจ้ายังเตรียมให้สยามส่งตัวแทนกลับประเทศด้วยเครื่องบินเพื่อขออนุมัติในการลงนามด้วย หากว่าสยามยังปฎิเสธที่จะลงนามในสถานการณ์ดังกล่าว ข้าพเจ้าเสนอให้ปล่อยพวกเขาอยู่ที่นี่ให้เน่า   และไม่ขอพูดคุยเจรจาใดๆจนกว่าจะมีการเปลี่ยนใจ ซึ่งไม่น่าจะไปถึงสิ้นเดือนมกราคมหรือต้นเดือนกุมภาพันธ์ภายหลังจากการเลือกตั้ง”

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 21 ธ.ค. 24, 19:00

   การเจรจาครั้งนี้เรื่องหนักใจคณะผู้แทนไทยมากที่สุดไม่ใช่เรื่องค่าใช้จ่าย  ที่อังกฤษเรียกร้องเสียจนประเทศที่ยังบอบช้ำต่อสงครามอย่างไทยแทบสิ้นเนื้อประดาตัว    หากแต่เป็นเรื่องที่อังกฤษยื่นคำขาดให้ไทยต้องยอมรับการตั้งกองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรในประเทศอย่างเปิดเผย    ไม่ใช่การเข้ามาอย่างช่วยเหลือกันในด้านใดด้านหนึ่งเช่นด้านการทหาร หรือการศึกษา    แต่เข้ามาโดยมีเงื่อนไขว่าทางไทยต้องยินยอมปฏิบัติตามความต้องการของกองทัพสัมพันธมิตร แล้วแต่เขาจะตั้งเงื่อนไขมา
    ถ้าตกลงตามนี้ ก็เท่ากับไทยเสียอธิปไตยบางส่วนของประเทศไป  แม้ว่าไม่ได้เอ่ยออกมาตรงๆก็ตาม   
    พูดง่ายๆคือประเทศไทยจะต้องยอมให้กองทัพต่างชาติเข้ามามีอำนาจเหนือ  อาจจะไม่ใช่   100 %  เต็ม แต่ก็หลายสิบเปอร์เซ็นต์   พูดอีกทีก็คือถึงไม่ใช่ประเทศแพ้สงคราม ก็ดูจะไม่ต่างกันนัก
    เรื่องนี้ถูกนำเข้าอภิปรายในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๘๙   ความเห็นแตกออกเป็น 2 ส่วน    นายปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโสและรัฐมนตรีส่วนใหญ่เห็นว่ารัฐบาลไทยควรยอมตามเงื่อนไขนี้ไปก่อน  เพื่อรักษาผลดีในระยะยาว   กล่าวคือยอมเสียหนึ่งคืบ เพื่อจะไม่ให้เขาลุกลามเอาเป็นหนึ่งศอก    ยกเว้นหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมชที่เป็นเสียงข้างน้อย ยืนกรานไม่ยอมรับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 23 ธ.ค. 24, 10:50

     การดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของม.ร.ว.เสนีย์ นายกรัฐมนตรี ที่หันไปขอแรงสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกาได้ผลขึ้นมาในนาทีสุดท้าย      ขณะที่การเจรจารอบสุดท้ายที่ประเทศสิงค์โปร์กำลังจะขีดเส้นตายให้ไทย      อเมริกาก็เริ่มเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ทันที
      ทัพแนวหน้าที่เริ่มบุกออกมา คือทัพสื่อมวลชนของอเมริกา   ประเดิมด้วยหนังสือพิมพ์ Washington Post ตีพิมพ์บทความแบบไม่เกรงใจพันธมิตรด้วยกัน ว่า  British Push Siamese Demands (อังกฤษกดดันข้อเรียกร้องต่อสยาม)
     แล้วยังรายงานต่อไปว่า ประชาชนชาวอเมริกันทราบข่าวจึงไม่พอใจ   เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ แทรกแซงไม่ให้รัฐบาลอังกฤษดำเนินนโยบายจักรวรรดิ์นิยมต่อไทย
     ทัพใหญ่ของอเมริิกาก็ปรากฎออกมาขานรับทันที ว่า รัฐบาลสหรัฐฯ เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษผ่อนปรนข้อเรียกร้องที่จะแทรกแซงอธิปไตยของไทย   อย่างที่ทำแบบเดียวกับประเทศผู้พ่ายแพ้สงคราม เพราะทางรัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่ถือว่าประเทศไทยเป็น “คู่สงคราม” แต่เป็นเพียง “ดินแดนที่ถูกครอบครอง” (occupied territory) ซึ่งสถานะนี้ส่งผลให้สหรัฐฯ สนับสนุนไทยอย่างเต็มที่
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16060



ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 23 ธ.ค. 24, 12:35

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้ข่าวการประกาศสงครามของไทยจากสื่อวิทยุและหนังสือพิมพ์ ไม่นานหลังจากไทยประกาศสงครามได้เพียง ๑ วันเป็นอย่างช้าที่สุดคือวันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๕ อีก ๒ วันต่อมา แฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ (Franklin D. Roosevelt) ประธานาธิบดีสหรัฐตัดสินใจไม่ประกาศสงครามตอบไทย ตามที่ กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐเสนอ หรือราว ๒ สัปดาห์ก่อนหน้าที่ ม.ร.ว. เสนีย์จะได้รับคำประกาศสงครามจากกระทรวงการต่างประเทศไทยเสียอีก

การตัดสินใจของสหรัฐดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายเดิมของรูสเวลท์ที่มีมาตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ หลังจากประเทศเล็ก ๆ ในยุโรป ได้แก่ โรมาเนีย (๑๒ ธันวาคม) ฮังการี (๑๓ ธันวาคม) และบัลแกเรีย (๑๓ ธันวาคม) ประกาศสงครามหรือมีสถานะสงครามกับสหรัฐ แต่สหรัฐไม่ประกาศสงครามตอบ เพราะถือว่าประเทศเหล่านั้นถูกเยอรมนียึดครองและประกาศสงครามเพราะถูกกดดัน และไม่จำเป็นต้องทำอะไร

เมื่อไทยประกาศสงครามกับสหรัฐ สหรัฐจึงถือนโยบายเดียวกันว่า ไทยทำไปเพราะถูกกดดันจากการถูกญี่ปุ่นยึดครอง ต่อมาหลังจากสหรัฐได้รับคำประกาศสงครามของไทยอย่างเป็นทางการในวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ (ฉบับที่กระทรวงการต่างประเทศไทยแจ้งผ่านสถานกงสุลสวิสประจำประเทศไทย) สหรัฐก็ถือนโยบายเดิม ไม่ประกาศสงครามตอบไทย

แต่ก็มีเงื่อนไขว่า หากกำลังทหารไทยไปมีส่วนร่วมหรือร่วมมือกับญี่ปุ่นปฏิบัติการทางทหารต่อต้านสหรัฐและประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร และการปรากฏตัวของกำลังทหารไทยเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติการหรือคุกคามความมั่นคงของสหรัฐหรือประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร สหรัฐก็พร้อมจะปฏิบัติต่อกองทัพไทยในฐานะศัตรู นอกจากนั้น สหรัฐจะปฏิบัติต่อไทยในฐานะประเทศที่ถูกศัตรูยึดครองเพื่อทำสงครามเศรษฐกิจและวัตถุประสงค์อื่น ๆ

ข้อมูลจาก มติชน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 04 ม.ค. 25, 11:13

     นอกจากประเด็นทางการทหาร    อีกเรื่องหนึ่งที่หนักอกไทยอยู่มากคือเรื่องชดใช้ค่าเสียหาย    ถ้าทำตามที่อังกฤษเรียกร้อง   ประเทศก็ล้มละลายเท่านั้นเอง    สหรัฐฯมองเห็นข้อนี้ จึงแถลงว่าไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องค่าปฏิกรรมสงครามได้อย่างไม่จำกัด โดยให้เหตุผลว่าหากเปิดให้มีการเรียกร้องค่าเสียหายโดยไม่มีขอบเขต อาจทำให้เกิดความขัดแย้งในหมู่ประเทศสมาชิกสหประชาชาติในอนาคต       จึงควรกำหนดกรอบและข้อจำกัดในเรื่องนี้    คือบอกมาให้แน่ๆว่าจะเอาเท่าไหร่ และมากเกินกว่าไทยจะให้ได้หรือไม่
       ในวันเดียวกันนั้นเอง    สหรัฐฯ แจ้งมายังรัฐบาลไทยว่าอย่าพึ่งลงนามในความตกลง    ให้เหตุผลว่ารัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเจรจาต่อรองกับผู้กำหนดนโยบายระดับสูงของรัฐบาลอังกฤษ
      นับว่าช่วยต่อลมหายใจสุดท้ายของไทยให้หายใจต่อไปได้ ไม่ขาดใจเสียตอนนั้น
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 06 ม.ค. 25, 11:15

ผมตามอ่านอยู่นะครับ...กำลังสนุกเลย  ยิ้มกว้างๆ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 06 ม.ค. 25, 11:39

    โพสแบบนี้แปลว่าทวงให้เขียนเร็วๆ  ยิงฟันยิ้ม

      พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยเดินทางไปถึงสิงค์โปร์ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘    ทรงต้องผจญเวรผจญกรรมรอบสองกับนายเดนิงซึ่งรออยู่ที่สิงคโปร์    ทรงแจ้งนายเดนิงว่ารัฐบาลไทยได้อนุมัติให้ลงนามตกลงโดยไม่มีข้อสงวนใดๆ แต่...ต้องมีการแลกเปลี่ยนหนังสือ (exchange of notes) เพื่อแสดงถึงความยินยอมร่วมกันเสียก่อน
       จะนับเป็นกรรมหรือบุญของไทยก็เชิญพิจารณากันเอง    น่าจะบุญมากกว่า คือนายเดนิงยืนกรานไม่ยอมตามที่หัวหน้าคณะทูตไทยแจ้งไป    อ้างวา่ข้อตกลงจะต้องถูกส่งไปพิจารณาโดยรัฐบาลของแต่ละฝ่ายเสียก่อน   หนังสือที่เตรียมจะตกลงแล้วก็เลยค้างเติ่งอยู่ตรงนั้น     
       ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ คณะผู้แทนไทยจึงยังมิได้ลงนามในสัญญาข้อตกลงฉบับสมบูรณ์ฯ ยุติสงครามโลกครั้งที่สอง
       มานึกกันเล่นๆว่า นายเดนิงเป็นคนเคร่งครัดต่อหน้าที่ที่ได้รับมอบมาจากลอร์ดเมาท์แบตเตนมาก     คือรักษาผลประโยชน์ของอังกฤษทุกกระเบียดนิ้ว   มิให้กระเด็นไปสักเศษเสี้ยว    แกก็เลยไม่ยอมตกลงกับอะไรที่ผิดไปจากร่างสัญญาฉบับเดิม     แกก็คงคิดด้วยว่าแกไม่มีหน้าที่จะไปหยวนๆ ยอมให้ไทยต่อรองนั่นนิดนี่หน่อย เพื่อเซ็นๆมันไปซะให้หมดเร่ื่องราว    เดี๋ยวเจ้านายแกเอาตายว่าแกบกพร่องต่อหน้าที่
     ความเคร่งครัดของแกนี่เองก็เลยช่วยต่อลมหายใจให้ไทย  ทั้งๆแกตั้งใจจะบีบคอไทยอยู่แท้ๆ
     วันที่ ๑๕ นี้เอง  อุปทูตสหรัฐก็ได้เข้าพบหม่อมราชวงศ์เสนีย์   นายกรัฐมนตรี ขอให้รัฐบาลไทยสั่งการไปยังคณะผู้แทนไม่ให้ลงนามในความตกลง
     นี่ถ้านายเดนิงใจดี อะลุ้มอล่วยกับคณะผู้แทนไทยสักหน่อย   เอ้าเซ็นก็เซ็น    ไทยก็เซ็นยินยอมไปตามนั้น    ซุปเปอร์แมนอเมริกาก็เหาะมาช้าไปเสี้ยวนาที     ไทยก็กลายเป็นประเทศผู้แพ้สงครามโดยสมบูรณ์   ให้อังกฤษบีบก็ตาย คลายก็รอด
     แต่สงสัยจะตายเสียมากกว่า
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 07 ม.ค. 25, 10:23

    ๓ วันต่อมา    วันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๘ นายเดนิงผู้เคร่งครัดในการรักษาผลประโยชน์ของอังกฤษ มิให้ตกหล่นสักเพนนีเดียว  ต้องผิดหวังแทบล้มทั้งยืนเมื่อได้รับโทรเลขจากลอนดอน เกี่ยวกับร่างสัญญาข้อตกลงฉบับใหม่ที่มีการแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว
   สหรัฐอเมริกาเจรจากับอังกฤษ ให้ตัดข้อเรียกร้องของทางอังกฤษที่ผูกมัดและจำกัดเอกราชของไทยออกได้สำเร็จ
โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับเรื่องการยุบกองทัพ และการเข้ามายึดครองดินแดนบางส่วนของไทย   
    ทำไมอังกฤษเกรงใจอเมริกาจนยอมเชือดเนื้อเถือหนังตนเองขนาดนั้น  คำตอบคืออังกฤษอยู่ในภาวะหมดเนื้อหมดตัวอย่างหนัก   สงครามโลกยาวนาน  ๖ ปี ได้ทำลายเศรษฐกิจประเทศจนเศรษฐีกลายเป็นยาจกไปในพริบตา     แต่อเมริกายังคงรักษาฐานะเศรษฐีของตนเองไว้ได้   กลายเป็นเจ้าหนี้เงินกู้ก้อนใหญ่มหึมา มูลค่า ๓.๗๕ พันล้านเหรียญสหรัฐที่กำลังหยิบยื่นให้อังกฤษ     ผ่านสัญญาชื่อ Anglo-American Loan Agreement พ.ศ. ๒๔๘๙  เพื่อนำไปใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและชำระหนี้สงคราม
   คำอธิบายง่ายๆคือ  อเมริกาบอกว่าถ้าอังกฤษยอมแก้ไขสัญญา ไม่บีบไทยให้ตายคามือ   ยูก็เอาเงินกู้นี้ไปพัฒนาประเทศ  แต่ถ้ายูไม่ยอมแก้ไข ดื้อหัวชนฝาจะบีบไทยให้ได้ เงินกู้นี้ก็ผันแปรไปใช้ในกิจการอื่นของไอ  ยูอด
    ระหว่าง ๓.๗๕ พันล้านเหรียญ  กับค่าชดเชยสงครามจากไทยจำนวนน้อยนิด   อังกฤษจะเลือกเอาอย่างไหน  คำตอบก็คือเลือกเงินก้อนใหญ่อยู่แล้ว
     ไทยก็เลยรอดในนาทีสุดท้ายแท้ๆ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 07 ม.ค. 25, 10:24

 ตอนนี้กำลังอ่านงานของดร.พีระ  เจริญวัฒนนุกูล   เป็นงานวิจัยเรื่อง "ปาฏิหาริย์นั้นมีจริง   ความบังเอิญของไทยในการเอาตัวรอดจากอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่สอง"
  ได้ความว่ายังไงจะเอามาเล่าสู่กันฟังต่อไปค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.058 วินาที กับ 19 คำสั่ง