เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
อ่าน: 15503 สงคราม(โลกครั้งที่ 2 ) แพ้ แต่ไทยไม่แพ้
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 14 พ.ย. 24, 11:07

    อ่านกระทู้ข้างล่างนี้จบแล้ว  ขอเชิญต่อท่ีกระทู้นี้ค่ะ
    https://www.reurnthai.com/index.php?topic=7450.0

    สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ(เยอรมัน)ในยุโรป   และฝ่ายญี่ปุ่นในเอเชีย     ไทยเองในฐานะที่ยินยอมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ถึงกับประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร   ก็เลยถูกจับชูมือเป็นฝ่ายแพ้ไปกับเขาด้วย
    การเป็นประเทศแพ้สงคราม ย่อมรู้ว่าชะตากรรมตกอยู่ในมือของผู้ชนะ  แล้วแต่เขาจะปรานีมากน้อยแค่ไหน แต่ก็เชื่อขนมกินได้ว่าไม่ปรานีเลยก็ว่าได้  ประเดิมด้วยลอร์ดหลุยส์ เมานต์แบ็ตเทน ผู้บัญชาการทหารสัมพันธมิตรในเอเชียอาคเนย์ ส่งกองพลอินเดียที่ 7 จำนวน 17,000 คน มาปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย
พร้อมกันนั้นก็ยื่นสัญญามาบีบให้ไทยเซ็น “ข้อตกลงสมบูรณ์” แบบเร่งด่วน เพราะตราบใดที่ไทยยังไม่เซ็น สถานะสงครามกับไทยและอังกฤษกับเครือจักรภพก็ยังอยู่
     ถ้าไทยไม่เซ็น  อังกฤษยังไม่เปิดสถานทูตในไทย  เรื่องไม่เปิดอาจไม่หนักเท่าไหร่ ที่หนักคือไม่ใช่ว่าไม่เปิดเฉยๆ  แต่ไม่ยอมคืนทองและเงินปอนด์ (มูลค่าขณะนั้นประมาณ 265 ล้านบาท) ที่อังกฤษอายัดไว้ที่ลอนดอน  ข้อนี้ซีที่หนัก
     นอกจากนี้   ไทยต้องเลี้ยงดูเสียค่าใช้จ่ายทั้งทหารกองพลที่ 7 และเชลยศึก (ทหารญี่ปุ่นราว 1.2 แสนคน) จนกว่าฝ่ายสัมพันธมิตรจะปลดอาวุธและส่งทหารญี่ปุ่นกลับไปหมด     ใช้เวลาประมาณ 1 ปีเศษ ระหว่างนี้ไทยต้องควักกีระเป๋าเลี้ยงทั้งทหารสัมพันธมิตร ทหารญี่ปุ่น และเชลยที่ญี่ปุ่นจับไว้
     ไทยก็พยายามให้มีการเจรจาระหว่างไทย-อังกฤษ หลายครั้ง เพราะจะให้ตกลงกันในครั้งเดียว ไทยรับไม่ไหว
     อังกฤษในฐานะผู้นำฝ่ายชนะสงคราม ซัดไทยเต็มเหนี่ยว   ทั้งเรียกร้องและปรับโทษไทยอย่างโหดมาก เช่นให้ยุบองค์กรทางทหาร ทางการเมือง ที่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อสัมพันธมิตร   ต่อมาอังกฤษจะเข้าปกครอง จะควบคุมเรือสินค้าไทย การฝึกทหาร ฯลฯ ซึ่งเมื่อพิจารณาแล้วนั่นเท่ากับไทยกลายเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษทันที  ไม่มีอธิปไตยของตนเองอีกต่อไป   ไม่ว่าภายนอกจะเรียกว่าอะไรก็ตามทีเถิด
    เท่านั้นยังไม่พอ   อังกฤษเรียกร้องให้ปรับโทษไทยด้วยข้าวสาร 1.5 ล้านตัน แก่อังกฤษ (มูลค่าขณะนั้น 2,500 ล้านบาท โดยจำนวนดังกล่าว เท่ากับปริมาณข้าวที่ไทยผลิต 1 ปี) ไทยต้องจ่ายความเสียหายของฝ่ายอังกฤษในระหว่างสงคราม ต้องเลี้ยงเชลยศึกและทหารสัมพันธมิตรในไทยจนกว่าจะอพยพกลับประเทศได้หมดด้วย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 21 พ.ย. 24, 11:45

    หลังสงคราม       สถานการณ์ทางการเมืองไทยตกที่นั่งลำบากมาก     เพราะถลำตัวไปประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตรไปแล้วสมัยญี่ปุ่นยึดเมือง   แม้ว่าสหรัฐอเมริกาประกาศไม่รับรู้การประกาศสงครามของไทย ถือว่าไทยอยู่ในฐานะถูกบีบบังคับจากญี่ปุ่น    แต่ฝ่ายพันธมิตรประเทศอื่นๆเช่นอังกฤษยังคงยืนกรานว่าไทยเป็นฝ่ายแพ้สงครามอยู่ดี  
      หลังสงคราม ไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่คือนายทวี บุณยเกตุ    ท่านกับนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรดี ก็ได้รับการเสนอความเห็นจาก  ดร.เสริม วินิจฉัยกุล ผู้จบปริญญาเอกทางกฎหมาย (  Doctorat en droit) เกียรตินิยมสูงสุดของมหาวิทยาลัยปารีส และเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมืองอยู่ในขณะนั้น  ว่าในเมื่อสหรัฐอเมริกาได้ประกาศไม่ยอมรับว่าไทยเป็นประเทศคู่สงครามกับสหรัฐแล้ว   ไทยก็ควรแสดงเจตจำนงออกไปให้ชัดเจนด้วยการแถลงว่า การประกาศสงครามกับพันธมิตรก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เจตจำนงของประชาชนชาวไทย    ทางฝ่ายรัฐบาลไทยก็เห็นด้วย จึงมีการประกาศออกมาว่า การประกาศสงครามครั้งก่อนนั้นเป็นโมฆะ
      จากนั้นรัฐบาลได้ส่งผู้แทนที่มีอำนาจเต็มจากไทยไปเจรจากับอังกฤษ ประกอบด้วยหัวหน้าคือพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย(ขณะนั้นดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้าวิวัฒนไชย ไชยันต์)   พลโท พระยาอภัยสงคราม(จอน โชติดิลก)  ดร.เสริม วินิจฉัยกุล   หม่อมเจ้าชิดชนก กฤดากร  หม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย  ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์   นายกนต์ธีร์ ศุภมงคล   และมีนายประหยัด บุรณศิริ เป็นเลขานุการ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 10:52

  น่าสังเกตว่ารัฐบาลไทยชุดนายทวี บุณยเกตุ เลือกหัวหน้าคณะผู้แทนครั้งนี้จากบุคคลภายนอก  ไม่ได้มีบทบาททางการเมืองไทยตั้งแต่พ.ศ. 2475 จนถึงพ.ศ. 2488 อันเป็นปีที่ไปเจรจา   พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยทรงอยู่ในราชการมาตลอด  ทรงดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารชาติท่านแรกในขณะนั้น   ในบันทึกของดร.เสริม วินิจฉัยกุลให้เหตุผลว่า "เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ในวงราชการ เป็นที่เชื่อถือกันทั่วไป"
   ถ้าพูดถึงภูมิรู้เพื่อจะไปเจรจากับฝ่ายพันธมิตรที่มีอังกฤษและฝรั่งเศสเป็นหัวเรือใหญ่  ก็นับว่ารัฐบาลไทยเลือกได้เหมาะสม   พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยทรงมีการศึกษาทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส   เริ่มด้วยทรงศึกษาชั้นมัธยม ณ วิทยาลัย Cheltenham College​  ได้รับประกาศนียบัตรชั้นมัธยมศึกษาชั้นสูงของมหาวิทยาลัย Oxford และ Cambridge แล้วจึงเสด็จไปศึกษา ณ วิทยาลัย Magdalene College และทรงสอบไล่ได้รับปริญญาเกียรตินิยมชั้นสองในวิชาประวัติศาสตร์ (B.A.)​  จากนั้นทรงศึกษาต่อ ณ วิทยาลัย Ecole des Sciences Politiques แห่งกรุงปารีส
   พลโทพระยาอภัยสงครามไปในฐานะผู้แทนทางการทหาร    ท่านผู้นี้ไม่ใช่นายทหารสายการเมือง หรือฝ่ายคุมกำลัง  แต่เป็นสายแพทย์จากกรมเสนารักษ์ทหารบก   สำเร็จการศึกษาเวชบัณฑิต (แพทยศาสตรบัณฑิตในปัจจุบัน) จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและแพทยศาสตรดุษฎีบันฑิต (Doctor of Medicine) คนแรกของประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2475
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02 ธ.ค. 24, 16:46 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 10:54

ภาพแรก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
ภาพที่ 2  พลโทพระยาอภัยสงคราม (จอน โชติดิลก)



บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 02 ธ.ค. 24, 16:56

  คณะเจรจาคณะนี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญหลายสาขา นอกจากดร.เสริม ที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ก็มีดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์  ผู้เชี่ยวชาญทางเศรษฐศาสตร์ กนต์ธีร์ ศุภมงคล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ   ที่พิเศษอีกท่านหนึ่งคือหม่อมเจ้าอุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย พระสหายของลอร์ด หลุยส์ฯ    เพราะทางราชสกุลวุฒิชัยสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรืออังกฤษเช่นเดียวกับท่านลอร์ด หลุยส์ฯ มีมิตรภาพแน่นแฟ้นระหว่างกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 02 ธ.ค. 24, 18:06

 จากซ้ายไปขวา
 ดร. เสริม วินิจฉัยกุล  ดร. ป๋วย อึึ๊งภากรณ์   กนต์ธีร์ ศุภมงคล  มจ.อุทัยเฉลิมลาภ วุฒิชัย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 09:43

     ดร.เสริม วินิจฉัยกุล ได้บันทึกการเดินทางไว้อย่างละเอียดว่า คณะผู้แทนได้เข้ากราบถวายบังคมลาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2488 แล้วขึ้นเครื่องบินที่กองทัพอังกฤษจัดมารับที่ดอนเมือง 
     บันทึกของท่านนอกจากแสดงผลการเจรจาซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์แล้ว  ยังเล่าถึงสิ่งละอันพันละน้อยเบื้องหลังการเจรจา    แม้ท่านไม่ได้แสดงอารมณ์ความเห็นใดๆ บันทึกแต่ข้อเท็จจริง แต่คนอ่านก็สัมผัสได้ถึงความทุลักทุเลทุกย่างก้าว  และความอดทนอดกลั้นของคณะผู้แทนไทย ที่ฝ่าฟันอย่างไม่ย่อท้อ  จนลุล่วงอุปสรรคได้ทุกประการ
    อุปสรรคขั้นแรก เริ่มฉายแววให้เห็นตั้งแต่ขึ้นเครื่องทีเดียว   พอขึ้นเครื่องที่ดอนเมือง  เครื่องบินวิ่งไปตามรันเวย์ยังไม่ทันขึ้น เกิดยางแตก บินต่อไปไม่ได้   ผู้โดยสารต้องห้ิวกระเป๋าเดินทางลงจากเครื่องบิน นั่งรถกลับบ้าน รอเดินทางใหม่ในวันรุ่งขึ้น
    ครั้งที่สอง เครื่องบินที่จัดมารับไม่ใช่เครื่องบินโดยสาร แต่เป็นเครื่องบินดาโกต้าสองเครื่องยนต์ ใช้สำหรับบรรทุกพลร่ม  ที่นั่งไม่ใช่เก้าอี้บุนวมอย่างที่เราเห็นกันในเครื่องบิน แต่เป็นม้านั่งสองข้างตัวเครื่องบิน ขึงด้วยผ้าใบ 
     คณะผู้แทนนั่งกันอย่างนี้จากกรุงเทพไปย่างกุ้ง และจอดลงที่กัลกัตตา  พักที่นั่ง 1 คืนก็เดินทางต่อไปเมืองมัทราส และเมืองแคนดีในลังกา   
     เมื่อไปถึงมีทหารยศพันตรี ชื่อพันตรีเบน แบทเทิร์สต์มาต้อนรับ     พาไปพักที่โรงแรมใหญ่ใกล้วิหารพระเขี้ยวแก้ว
     ตอนค่ำ  ลอร์ดหลุยส เมาตแบตเตนและภรรยาเลี้ยงอาหารค่ำที่ที่พักกองบัญชาการ  บรรยากาศเป็นไปด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี   ทำให้คณะผู้แทนใจชื้นว่าการเจรจามีหวังว่าจะเป็นไปได้ราบรื่น
     แต่...เปล๊า...
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 09:45

ลอร์ดหลุยส์และภรรยา


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 04 ธ.ค. 24, 15:25

      วันรุ่งขึ้น คณะผู้แทนได้รับคำเชิญจากนายเดนิง ที่ปรึกษาของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเตนให้ไปพบเขาที่บ้านพักซึ่งใช้เป็นที่ทำงานด้วย   แทนที่จะได้พบกับท่านลอร์ด    ขอให้จำชื่อนายคนนี้ไว้ให้ดีเพราะเขามีบทบาทสำคัญที่สุดก็ว่าได้ในการเจรจากับทางผู้แทนไทย
      พอไปถึง นายเดนิงก็เริ่มเปิดฉากรุกชนิดให้คณะผู้แทนไทยตกกระดานลงไปเลยทันที  ด้วยการแจกเอกสารว่าด้วยการตกลงยุติสถานะสงครามระหว่างอังกฤษกับไทย  โดยไม่บอกล่วงหน้า  ไม่ให้เตรียมตัวใดๆ  มีแต่แจกเอกสารแล้วอธิบายประกอบแต่ละข้อ  แต่ก่อนจะเข้าเรื่องนายเดนิงก็ได้ตำหนิติเตียนประเทศไทยหลายประการ  แบบไม่เปิดโอกาสให้หัวหน้าคณะผู้แทนได้โต้แย้งได้เลย 
    หลังจากว่าได้ว่าเอาจนหนำใจแล้ว  นายเดนิ่งก็บอกเอาดื้อๆว่าให้พวกคุณเอาเอกสารนี้ไปอ่านกัน  พรุ่งนี้มาลงนามตกลงทำสัญญาให้เสร็จๆลงไปเสียโดยเร็ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 04 ธ.ค. 24, 15:43

    นายเดนิงเป็นใคร   
    ไปควานหาจนได้ชื่อมาว่าเขามีชื่อเต็มว่า นายเอสเลอร์ มาเบอร์ลี  เดน่ิ่ง ( Esler Maberley Dening) บั้นปลายชีวิตได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น Sir 
    นายคนนี้เป็นนักการทูตอังกฤษ  ทำงานราชการลับในกระทรวงการต่างประเทศมาก่อนตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1   เจริญก้าวหน้าขึ้นมาเรื่อยจนได้เป็นหนึ่งในทีมงานที่ปรึกษาของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเตน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่  2  ต่อมาได้เป็นเอกอัครราชทูตประจำประเทศญี่ปุ่น   
    ถึงนายเดน่ิ่งเป็นตัวอุปสรรคของคณะผู้แทนไทยมากขนาดไหนก็ตาม   อ่านๆไปแล้วก็ต้องให้ความยุติธรรมกับแกหน่อยว่า แกไม่ได้กลั่นแกล้งเพราะเกลียดชังกันเป็นส่วนตัว  เพียงแต่ทำหน้าที่สุดความสามารถตามที่ได้รับมอบหมาย  คือบีบข้อมือไทยให้รีบลงนามเซ็นสัญญาอันจะเป็นประโยชน์มหาศาลแก่บ้านเมืองของแก  ส่วนไทยก็ต้องดิ้นรนให้หลุดจากพันธะนี้สุดความสามารถ  บ้านเมืองใครใครก็รัก   ว่ากันไม่ได้
   


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 06 ธ.ค. 24, 12:08

      คณะผู้แทนกลับมาโรงแรมที่พักด้วยความหนักอกเป็นล้นพ้น     แม้ว่าได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลไทยให้มีอำนาจเต็มในเรื่องนี้     หมายความว่าสามารถจะลงนามในสัญญาได้ทันที มีผลบังคับใช้โดยไม่ต้องกลับไปถามรัฐบาลไทยเสียก่อน  ทุกคนก็ลงความเห็นว่าขืนทำตามร่างที่นายเดนิงแจ้งมา ประเทศชาติที่รอดภัยพินาศจากสงครามมาได้  ก็จะมาบรรลัยเพราะสัญญาที่อังกฤษทำได้ทำเอาคราวนี้เอง
      เมื่อตกลงเห็นพ้องกันว่า "ไม่ยอม" เป็นตายยังไงก็ไม่ยอม  คืนนั้นคณะผู้แทนไม่ได้นอนทั้งคืน  เอาร่างสัญญาและคำอธิบายที่นายเดนิงให้มา  มาร่างสัญญาฉบับใหม่  แก้ไขผ่อนหนักให้เป็นเบา เพื่อจะกลับไปเจรจากับนายเดนิงในวันรุ่งขึ้น
   เมื่อหอบร่างสัญญาใหม่กลับไปพบนายเดนิงตามเวลานัด    คณะผู้แทนก็เจอความพิโรธปานฟ้าผ่าจากที่ปรึกษาของลอร์ดหลุยส์ เมาท์แบตเตน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 12:38

      นายเดนิงเตรียมตัวมาว่าพอคณะผู้แทนไทยมาถึงก็จะถูกหักคอให้เซ็นแกร๊กเดียวจบ  อังกฤษว่ายังไงไทยว่ายังงั้น ศิโรราบกันตั้งแต่ยกแรก    แต่พอปรากฏว่าผิดคาด  คณะผู้แทนไทยไม่ใช่หมูสนามที่จะให้เชือดได้ง่ายๆ  นายเดนิงก็พิโรธเป็นฟืนเป็นไฟ   ลืมมารยาทการทูต  ตวาดคณะผู้แทนไทยว่ายูทำยังงี้ไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้   หนังสือสัญญานี้ทำมาจากต้นทางคือรัฐบาลอังกฤษ  กำชับว่าไม่ให้แก้ไขแม้แต่คำเดียว  ยูทำแบบนี้เรียกว่าเตะถ่วงเวลา (procrastination)
      แน่นอนว่าคณะผู้แทนไทยไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อจะโดนด่าเป็นชุด    ซ้ำคนด่าก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตมาจากไหน เป็นเจ้าหน้าที่ทีมงานของลอร์ดหลุยส์  แต่กลับด่ากราดแบบไม่ไว้หน้า พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยก็ทรงรู้สึกว่าเสียพระเกียรติมาก   เพราะผิดมารยาทการทูตอย่างแรง  ทุกคนในคณะก็รู้สึกอย่างเดียวกัน
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 13:45

     อย่างไรก็ตาม   คณะผู้แทนไทยก็อดทน จะโดนหนักขนาดไหนก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจยอมตามความต้องการของนายเดนิ่ง    นายคนนี้พอเห็นว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ผล ก็เริ่มเพลาๆลง ด้วยการบอกว่า งั้นก็จะเอาร่างที่ทางไทยเสนอมาส่งไปให้รัฐบาลอังกฤษพิจารณาก็แล้วกัน
    ในการเจรจาครั้งนี้   ไม่มีผู้แทนจากสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมประชุมด้วย  มีแต่อังกฤษล้วนๆกับไทยล้วนๆ จึงไม่มีใครช่วยไกล่เกลี่ยประนีประนอม

    ฤทธิ์เดชของทางฝ่ายอังกฤษเริ่มประจักษ์ชัด เมื่อไม่มีการเรียกประชุมอีก   ปล่อยให้คณะผู้แทนไทยนั่งตบยุงรออยู่ที่โรงแรม   ผ่านไป 1 สัปดาห์ก็แล้ว 2 สัปดาห์ก็แล้ว   นายเดนิ่งก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆ ปรากฎว่าไปราชการที่อินโดนีเซีย    พอถึง 3 สัปดาห์ ลอร์ดหลุยส์ก็ย้ายกองบัญชาการจากเมืองแคนดีในลังกาไปอยู่สิงคโปร์หน้าตาเฉยเสียงั้นแหละ     เจ้าหน้าที่ต่างๆที่ประจำการอยู่ก็ย้ายตามนายไปเกือบหมด   เหลือแต่คณะผู้แทนไทยอยู่เฝ้าเมืองโดยไม่มีกำหนดว่าจะได้ทำอะไรอีกเมื่อใด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 12 ธ.ค. 24, 15:01

      เป็นอันว่าคณะผู้แทนไทยก็ถูกลอยแพ ทิ้งให้ลอยเท้งเต้งอยู่ในเมืองแคนดี   มีนายทหารจากกองบัญชาการมาดูแลบ้างเท่าที่ทำได้  แต่ความเป็นอยู่ในเมืองก็ห่างไกลจากความสะดวกสบาย  เพราะเมืองนี้แม้ว่าฝนตกชุกแต่อัตคัดน้ำ  ต้องอาศัยน้ำบ่อ  น้ำอาบน้ำใช้ก็มีจำกัด น้ำดื่มก็เหม็นคลอรีน   ส่วนนายเดนิงก็หายเข้ากลีบเมฆไป ไม่ส่งข่าวคราวมาเลยว่าจะประชุมกันอีกเมื่อใด
     จะว่าไปนายเดนิงแกก็ทิ้งคณะผู้แทนไทยแล้วนั่นแหละ   เมื่อไม่ตกลงตามที่แกต้องการ  แกก็ไม่เอาด้วยอีกต่อไป คำพูดที่ว่าจะส่งเอกสารสัญญาให้รัฐบาลอังกฤษพิจารณาคือตอบปฏิเสธเท่านั้นเอง   
    ในที่สุด พระองค์เจ้าวิวัฒนไชยก็ทรงทนรอเปล่าๆปลี้ๆต่อไปไม่ไหว  จึงทำเรื่องแจ้งไปที่กองบัญชาการขอเดินทางกลับ  ทางนั้นก็ไม่ขัดข้อง  จึงเสด็จกลับไทยพร้อมกับนายกนต์ธีร์ ศุภมงคล   รวมเสียเวลาไปทั้งหมด 52 วันโดยไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
    หัวหน้าคณะกลับไปก่อน   คนอื่นๆต้องร้องเพลงรอไปจนถึง 64 วัน ทหารอังกฤษจึงส่งเครื่องบินดาโกต้ามารับ 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 12 ธ.ค. 24, 15:09

   การกลับ ทุลักทุเลไม่แพ้ขามา   เครื่องบินควรลงพักที่กัลกัตตาแต่ลงไม่ได้เพราะเกิดเหตุวุ่นวายในเมือง เกรงว่าจะไม่ปลอดภัย  จึงต้องบินไปลงที่เมืองเล็กๆเมืองหนึ่ง  คณะผู้แทนไทยต้องไปอาศัยค้างคืนในสำนักนางชี    รุ่งขึ้นเดินทางต่อไปที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า ก็ต้องลงแวะอีกคืนหนึ่ง
   พม่าหลังสงครามอยู่ในภาวะขาดแคลน  การรับรองคณะผู้แทนไทยก็พลอยขาดแคลนไปด้วย  คือตึกใหญ่ที่เป็นที่พำนัก ไม่มีเครื่องเรือนสักชิ้นเดียว    ทางฝ่ายเจ้าภาพต้องหามาให้ตามมีตามเกิด คือเอารั้วตาข่ายมาตอกทำเตียงให้แขกนอน   ที่นั่งใช้ลังไม้ฉำฉาเพราะไม่มีเก้าอี้
   มิหนำซ้ำ ตาข่ายที่ทำเป็นที่นอนให้พระยาอภัยสงครามเกิดขาดทะลุตรงกลาง  ต้องนอนกันไปอย่างทุลักทุเลตามนั้น

   การตกลงครั้งแรกจบลงด้วยความล้มเหลว   เรื่องแพ้สงครามก็ยังค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น   อังกฤษก็ยังปฏิบัติต่อไทยอย่างประเทศแพ้สงคราม   
   ผู้ที่ย่ื่นมือเข้ามาช่วยคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความเห็นตรงข้ามกับอังกฤษ  แม้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าอเมริกาทำอะไรบ้าง   แต่ท่าทีของอังกฤษในเวลาต่อมาก็ผ่อนเพลาลงไม่แข็งกร้าวเหมือนตอนแรก
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.039 วินาที กับ 19 คำสั่ง