เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8
  พิมพ์  
อ่าน: 21290 สงครามโลกครั้งที่สอง วันญี่ปุ่นขึ้นบก
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 18 ต.ค. 24, 08:05

ภาพประกอบใหญ่ไปสักนิดคงไม่เป็นอะไรนะครับ  ยิ้มกว้างๆ ผมแค่อยากให้เห็นชัดๆ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 19 ต.ค. 24, 08:10

สถานะไม่ชัดเจน

   ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทยพุ่งสู่ระดับดีเยี่ยม มีการลงทุนในไทยโดยพ่อค้าชาวญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น การค้าขายระหว่างประเทศเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ญี่ปุ่นเข้ามาแทนที่ประเทศมหาอำนาจเก่ามากขึ้นทุกวัน และอาสาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีน-ฝรั่งเศส ส่งผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกาคิดว่าไทยอยู่ฝ่ายเดียวกันญี่ปุ่น แต่ถึงกระนั้นคนไทยส่วนใหญ่รวมทั้งรัฐบาลกลับมีท่าทีเฉยชา ไม่ยินดียินร้ายต่อความช่วยเหลือหรือตอบรับความร่วมมือกับญี่ปุ่น

          เมื่อกรณีพิพาทระหว่างไทยกับอินโดจีน-ฝรั่งเศสสิ้นสุดลงบนโต๊ะเจรจา และมีแนวโน้มว่าญี่ปุ่นจะบุกเอเชียเพื่อกวาดล้างอิทธิพลประเทศมหาอำนาจเก่า พันเอกทามุระ ฮิโตชิ ทูตทหารในกงสุลญี่ปุ่นประจำประเทศไทย ได้ทำหนังสือรายงานถึงกระทรวงทหารบกญี่ปุ่นใจความว่า

   1.อิทธิพลของญี่ปุ่นในประเทศไทยยังมีขอบเขตจำกัด

   2.คนไทยทั่วไปไม่เชื่อว่าอังกฤษจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

   3.คนไทยไม่ได้ซาบซึ้งความพยายามของญี่ปุ่นที่ช่วยยุติกรณีพิพาทชายแดน

   4.รัฐบาลไทยพยายามยืดเวลาพิจารณาข้อเสนอในการร่วมมือทางทหารกับญี่ปุ่น

   ความรู้สึกคนไทยที่มีต่อญี่ปุ่นเลวร้ายมากขึ้นทุกวัน จอมพลแปลกนายกรัฐมนตรีไทยเข้าพบเซอร์โจไซครอสบี้ อัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยแบบลับสุดยอด เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแรงบีบคั้นจากญี่ปุ่นให้ไทยยอมร่วมมือ จอมพลแปลกยังได้ติดต่อรัฐบาลอินโดจีน-ฝรั่งเศสผ่านตัวแทนฝ่ายไทยประจำไซ่ง่อน เรื่องประเทศไทยขอตกลงทำเส้นแบ่งเขตประเทศใหม่เท่านั้น เรื่องอื่นถือว่าไม่สำคัญจะไม่มีความขัดแย้งระหว่างสองชาติเกิดขึ้นอีก

   จอมพลแปลกนายกไทยให้เหตุผลประกอบคำสั่ง ไม่สำคัญว่าประเทศไทยมีอาณาเขตเพิ่มขึ้นมากแค่ไหน สำคัญที่เราสามารถป้องกันอาณาเขตในอนาคตได้อย่างไร ในการประชุมคณะรัฐมนตรีจอมพลแปลกใช้คำพูดขึงขังต่อภัยคุกคามจากญี่ปุ่น และออกคำสั่งให้ทหารทุกนายต่อสู้อย่างห้าวหาญปกป้องบ้านเกิดเมืองนอน เวลาผ่านพ้นเพียงไม่กี่เดือนจอมพลแปลกกลับมีท่าทีเปลี่ยนไป เขาพูดแบบอ้อมๆ เรื่องการประนีประนอมเพื่อให้ชาติและราษฎรคงอยู่ต่อไป

   การแสดงออกในช่วงหลังของจอมพลแปลกญี่ปุ่นจับตามองตลอดเวลา แผนการยกพลขึ้นบกประเทศไทยยังคงเดินหน้าต่อเหมือนเก่า โดยคาดหวังว่าจะไม่มีการขัดขวางจากทหาร ตำรวจ หรือคนไทยในพื้นที่ และเพื่อความไม่ประมาททหารญี่ปุ่นต้องพร้อมปกป้องตัวเอง ถ้าฝ่ายไทยขัดขืนอนุญาตให้ป้องกันตัวโดยการดำเนินกลยุทธ์ทางการทหารแบบเต็มรูปแบบ

        ภาพประกอบคือจอมพล ป.พิบูลสงครามนายกรัฐมนตรีไทยในปี 2483 ทหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่มักเรียกเขาง่ายๆ ว่าจอมพลแปลก



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 20 ต.ค. 24, 08:21

ทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย

หลังได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในพม่าและมลายู ทหารญี่ปุ่นบางส่วนบุกตะลุยเข้าสู่ประเทศอินเดีย ทหารบางส่วนเดินทางไปเสริมกำลังที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย ทหารบางส่วนยังคงประจำการอยู่ในประเทศไทย ภายใต้สังกัดกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ตั้งอยู่ที่โชนันหรือสิงคโปร์ในปัจจุบัน โดยมีจอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิเป็นผู้บัญชาการใหญ่

งานสำคัญของญี่ปุ่นในไทยระหว่างปี 2485 นั่นก็คือ การจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายทั้งปวง เพื่อสร้างและปรับปรุงระบบคมนาคมข้ามประเทศให้สำเร็จลุล่วง ญี่ปุ่นใช้ไทยเป็นฐานที่มั่นในการขนส่งกำลังทหาร เสบียงอาหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับทัพหน้าในพม่าและมลายู งานสำคัญชิ้นแรกที่ต้องรีบทำคือการควบคุมเส้นทางรถไฟไทยทั้งประเทศ

ทางรถไฟคือเส้นทางคมนาคมหลักของประเทศไทย ทางรถไฟสายเหนือสร้างโดยคนเยอรมันความกว้างของรางเท่ากับ 1.435 เมตร หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ถูกปรับเปลี่ยนมาใช้รางขนาด 1 เมตร ทางรถไฟสายใต้สร้างโดยทางการไทยใช้เงินกู้รัฐบาลอังกฤษ ความกว้างของรางเท่ากับ 1 เมตรเชื่อมโยงทางรถไฟในมลายูได้ ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นเคยส่งสายลับมาตรวจสอบข้อมูลเพื่อทำแผนที่ การควบคุมเส้นทางรถไฟทั้งสายเหนือและสายใต้จึงเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น



ทางรถไฟสายใต้มีความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นเส้นทางเชื่อมโยงระหว่างมลายู ไทย และพม่า เมื่อขบวนเรือสินค้าจากญี่ปุ่นแล่นเข้าจอดท่าเรือคลองเตย จะมีการลำเลียงอาวุธยุทธปัจจัยมาส่งสถานีรถไฟสายใต้ ขบวนรถไฟเที่ยวพิเศษออกเดินทางวันละสองขบวน เริ่มจากสถานีบางกอกน้อยมาสิ้นสุดที่สถานีปาดังเบซาร์ จังหวัดสงขลา ทันทีที่ญี่ปุ่นบุกยึดครองสิงคโปร์ได้อย่างเด็ดขาด จะมีการเชื่อมต่อทางรถไฟสายใต้กับทางรถไฟมลายูสายตะวันตกมาสิ้นสุดที่สิงคโปร์ และเชื่อมต่อทางรถไฟมลายูสายตะวันออกมาสิ้นสุดที่กัวลาลิปิส ระบบคมนาคมข้ามประเทศต้องสมบูรณ์แบบตามความต้องการ

ย้อนกลับมายังสมรภูมิฝั่งพม่ากันบ้าง เส้นทางหลักในการขนส่งอาวุธยุทธปัจจัยคือใช้เรือสินค้าลำเลียงเข้ามาในอ่าวมะตะบัน กองทัพเรือญี่ปุ่นควบคุมน่านน้ำได้ทั้งหมด เรือสินค้าจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด และง่ายที่สุด ทว่าแม่ทัพระดับสูงหลายนายไม่พอใจแค่เพียงเท่านี้ ทหารญี่ปุ่นในไทยได้รับมอบหมายให้สำรวจทุกจังหวัดที่เชื่อมต่อกับพม่า เพราะต้องการเส้นทางที่ตรงที่สุด สะดวกที่สุด และเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพื่อสร้างถนนความกว้างสี่เมตรรองรับรถถังและรถหุ้มเกราะ

มีการตัดถนนขนาดเล็กเชื่อมโยงภายในประเทศเป็นการทดสอบ กระทั่งปลายปี 2485 จึงได้มีการเลือกเส้นทางตามแผนการ จุดเริ่มต้นอยู่ที่บ้านแม่มาลัย อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ถนนเส้นใหม่ตัดผ่านอำเภอปาย อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน อำเภอขุนยวม บ้านห้วยต้นนุ่น ผ่านชายแดนพม่ามาสิ้นสุดที่เมืองตองอู เป็นถนนที่มีความยาวมากที่สุด สร้างยากที่สุด และใช้เวลาสร้างนานที่สุด แต่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดจากจำนวนแปดเส้นทางที่มีการสำรวจอย่างจริงจัง


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 20 ต.ค. 24, 08:23

พรุ่งนี้ผมหยุดหนึ่งวันนะครับ จะพาไปแม่ไปตรวจสุขภาพในโรงพยาบาลกว่าจะเสร็จก็คงตอนเย็น  ลังเล
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 20 ต.ค. 24, 08:33

ภาพแรกคือสถานีรถไฟชุมทางบ้านดาราสมัยที่ทางรถไฟยังเป็นแบบ dual-gauge  (วิ่งได้ทั้งขบวนรถไฟที่มีความกว้าง 1 เมตร และ 1.435 เมตร) เป็นการอ้างอิงอิทธิพลเยอรมันเพื่อคานอำนาจอังกฤษ




ภาพต่อมาคือสถานีรถไฟชุมทางบ้านดาราในปี 2480 เปลี่ยนมาใช้รางขนาด 1 เมตรอิทธิพลเยอรมันหายไปหมดสิ้นแล้ว



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 22 ต.ค. 24, 08:05

โครงการสำคัญ

ญี่ปุ่นวางแผนสร้างทางรถไฟสายใหม่ระหว่างไทยกับพม่า เชื่อมโยงชายแดนอินเดียกับสิงคโปร์อันเป็นที่ตั้งกองทัพใหญ่ มีการสำรวจเส้นทางหลายสายเช่นเดียวกับการก่อสร้างถนน ก่อนตัดสินใจเลือกสองเส้นทางที่เหมาะสมมากที่สุด เส้นทางแรกเริ่มต้นจากสถานีหนองปลาดุก อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี จุดหมายปลายทางอยู่ที่เมืองทันบูซายัด ประเทศพม่า คนทั่วโลกรู้จักในชื่อ ‘ทางรถไฟสายไทย-พม่า’ แต่มักถูกขนานนามอย่างไม่เป็นทางการว่า ‘ทางรถไฟสายมรณะ’

เส้นทางที่สองรู้จักกันในชื่อ ‘ทางรถไฟสายคอคอดกระ’ เชื่อมต่อเส้นทางสายใต้เริ่มจากสถานีชุมพรวิ่งมาสิ้นสุดสถานีกระบุรี จังหวัดระนอง ทางรถไฟสายใหม่จะขนานแนวถนนสายชุมพร-กระบุรี และถนนสายกระบุรี-ระนอง กำลังพลและเสบียงอาหารจากต้นทางจะถูกลำเลียงมาถึงสถานีเขาฝาชี เพื่อลงเรือสินค้าที่ท่าเรือละอุ่นแล้วล่องไปตามแม่น้ำกระบุรี ออกสู่ปากน้ำจังหวัดระนองมุ่งตรงมาที่วิคตอเรีย พอยต์ซึ่งเปรียบได้กับฐานบัญชาการหลักทหารญี่ปุ่นในพม่า




ญี่ปุ่นสร้างเส้นทางสายนี้ด้วยเหตุจำเป็นหลายเรื่อง เหตุผลสำคัญอันดับหนึ่งก็คือป้องกันการโต้ตอบจากฝ่ายสัมพันธมิตร จอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิต้องการทางเลือกเผื่อเหลือเผื่อขาด โครงการทางรถไฟสายคอคอดกระจึงเริ่มเดินหน้านับหนึ่ง เพียงแต่รถไฟสายนี้ไม่เหมาะสมกับการลำเลียงอาวุธหนัก เนื่องจากท่าเรือมีขนาดเล็กสถานที่ค่อนข้างคับแคบ การขนส่งรถถัง รถหุ้มเกราะ หรือปืนใหญ่ทำได้อย่างยากลำบาก ครั้นจะสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ก็ต้องเสียเงินเสียทองอีกนับไม่ถ้วน

การสร้างทางรถไฟทั้งสองสายเต็มไปด้วยอุปสรรคน้อยใหญ่ ผู้ควบคุมการสร้างรถไฟล้มป่วยหลังเข้ารับตำแหน่งได้เพียงไม่นาน เกิดโรคระบาดคร่าชีวิตผู้คนมากมายดุจไม้ใบร่าง รวมทั้งปีนั้นฤดูฝนในไทยมาเร็วกว่าปรกติถึงหนึ่งเดือน ถนนดินอัดบดกลายเป็นเลนโคลนสกปรกมีน้ำท่วมขัง การขนส่งวัสดุสิ่งของสำหรับก่อสร้างเต็มไปด้วยความยากลำบาก เจ้าหน้าที่ทุกนายต้องทำงานหนักแทบไม่หยุดพักเพื่อแก้ไขปัญหา แม้ไม่สำเร็จลุล่วงแต่พอทุเลาให้โครงการสำคัญเดินหน้าต่อ นี่คือความท้าทายที่ผู้ควบคุมการสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่าต้องเผชิญหน้าทุกเมื่อเชื่อวัน

ความช่วยเหลือจากประเทศไทยในการสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่ามีเพียงเล็กน้อย คือการจัดเตรียมคันดินสำหรับทรงตัวรถไฟระหว่างหนองปลาดุกถึงกาญจนบุรีระยะทาง 40 กิโลเมตร คนญี่ปุ่นในไทยนำโดยคุณโยชิมิ นิตะ ประธานบริษัทมิตซูบิชิโชยีไกอาจำกัดสาขากรุงเทพ ให้ความร่วมมือในการสร้างทางรถไฟทั้งสองสายอย่างเต็มที่ ระหว่างก่อสร้างผู้บัญชาการกองรถไฟถูกเปลี่ยนตัวหลายครั้ง เนื่องจากคนแรกเสียชีวิต คนที่สองป่วยหนัก คนที่สามพลโทเออิกุมา อิชิดะต้องทำหน้าที่ทดแทน


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 23 ต.ค. 24, 08:09

ผลกระทบของสงครามต่อชีวิตคนไทย

   สงครามมหาเอเชียบูรพาสร้างความลำบากทั่วทุกหย่อมหญ้า นอกจากการทิ้งระเบิดของฝ่ายพันธมิตรยังมีผลกระทบตามมามากมาย เรื่องปากท้องสำคัญอันดับหนึ่งเพราะอยู่ใกล้ตัวที่สุดและส่งผลกระทบค่อนข้างรุนแรง สินค้าทุกชนิดในประเทศไทยราคาพุ่งทะยานสูงลิบประหนึ่งผีพุ่งไต้

เครื่องอุปโภคหรือของกินสูงราคาขึ้นโดยเฉลี่ย 170 เปอร์เซ็นต์ ราคาข้าวสารสูงขึ้น 38 เปอร์เซ็นต์ ปลาราคาสูงขึ้น 191 เปอร์เซ็นต์ เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ ราคาสูงขึ้น 192 เปอร์เซ็นต์ ผักและผลไม้ราคาสูงขึ้น 307 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าคุณซื้อมะละกอ 1 ลูกในราคา 3 ลูกเมื่อปีที่แล้ว ตรงข้ามกับเงินในกระเป๋าสตางค์คนไทยส่วนใหญ่ ซึ่งมีรายได้ลดลงค่อนข้างมากเพราะไม่ค่อยมีงานให้ทำ

เครื่องอุปโภคหรือของใช้ราคาสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 1,226 เปอร์เซ็นต์ แยกเป็นของใช้เบ็ดเตล็ดสูงขึ้น 843 เปอร์เซ็นต์ เครื่องนุ่งห่มสูงขึ้นถึง 1,604 เปอร์เซ็นต์ เท่ากับว่าคุณสามารถซื้อกางเกง 1 ตัวในราคา 16 ตัวเมื่อปีที่แล้ว และต่อให้คุณมีเงินเต็มกระเป๋าก็ใช่จะซื้อสิ่งของได้ตามต้องการ ทุกอย่างกลายเป็นของหายากคนทั่วไปต้องตัดเสื้อกางเกงไว้ใช้งานเองตามมีตามเกิด

ข้าวของเครื่องใช้ในภาคใต้ราคาสูงกว่าภาคอื่น นอกจากปัญหาเรื่องการผลิตลดลงในช่วงเกิดสงคราม ขบวนรถไฟจากกรุงเทพจำนวนหนึ่งต้องถูกแบ่งปันให้กับกองทัพญี่ปุ่น การขนส่งสินค้าทำได้อย่างยากลำบากและมีต้นทุนสูงขึ้น การเข้ามาของกรรมกรชาวมลายูและชาวจีนแย่งชิงของกินของใช้คนในพื้นที่อย่างเลี่ยงไม่ได้ เรามาเปรียบเทียบราคาสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าวกันสักนิด

ข้าวขาว 15 เปอร์เซ็นต์ (มีข้าวหักปะปน 15 เปอร์เซ็นต์ ) กรุงเทพขายกิโลกรัมละ 0.21 บาท จังหวัดสงขลาขายกิโลกรัมละ 1.6 บาท ไข่ไก่สดกรุงเทพขายฟองละ 0.09 บาท จังหวัดสงขลาขาย 0.20 บาท ผักบุ้งกรุงเทพขายกิโลกรัมละ 0.10 บาท จังหวัดสงขลาขาย 0.80 บาท ผักคะน้ากรุงเทพขายกิโลกรัมละ 0.45 บาท จังหวัดสงขลาขาย 1.50 บาท น้ำตาลทรายขาวกรุงเทพขายกิโลกรัมละ 0.66 บาท จังหวัดสงขลาขาย 6 บาทราคาขยับตัวสูงขึ้นถึง 909 เปอร์เซ็นต์

อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้สินค้าทุกชนิดมีราคาแพง กองทัพญี่ปุ่นต้องการเครื่องอุปโภคบริโภคทุกวัน ช่วงต้นสงครามญี่ปุ่นแจ้งความต้องการผักสดวันละ 4-5 ตัน เนื้อโคและเนื้อกระบือสดวันละ 1-2 ตัน ครั้นถึงช่วงปลายสงครามจำนวนกำลังพลมากกว่าเดิม ญี่ปุ่นแจ้งความต้องการเพิ่มเป็นวันละ 6-7 ตันและ 3-4 ตันตามลำดับ ตัวเลขนี้ยังไม่นับรวมสินค้าที่ทหารญี่ปุ่นบางหน่วยจัดหาด้วยตัวเอง มีการกว้านซื้อจากพ่อค้ารายย่อยก่อให้เกิดปัญหาสินค้าหายไปจากตลาด

ทางการไทยพยายามแก้ไขให้การจัดซื้อสินค้าทุกชนิดผ่านมือตัวเอง แต่เมื่อเอาเข้าจริงๆ ญี่ปุ่นแค่แจ้งตัวเลขประจำวันพอเป็นพิธี ส่วนการจัดซื้อจัดจ้างกระทำผ่านบริษัทคู่ค้าญี่ปุ่นที่ตัวเองสนิทสนม บริษัทคู่ค้าได้ข้าวของเครื่องใช้จากพ่อค้าไทยที่ไปกว้านซื้อมาปล่อยต่อหวังสร้างกำไร ส่งผลกระทบในวงกว้างมีการกักตุนสินค้าเพื่อนำมาขายในตลาดมืดกันอย่างเป็นล่ำสัน



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 24 ต.ค. 24, 08:21

ปัญหาระหว่างญี่ปุ่นกับไทย

นอกจากราคาข้าวสารสูงกว่าเดิมถึง 38 เปอร์เซ็นต์ ประเทศไทยยังประสบปัญหาขาดแคลนข้าวสารอย่างหนัก ญี่ปุ่นไม่เพียงซื้อข้าวสารสำหรับทหารตัวเองในประเทศไทย พวกเขายังต้องการส่งข้าวสารไปให้กำลังพลในมลายู ตั้งแต่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาชาวนาไทยทำนาน้อยลง ผลผลิตประจำปีย่อมลดลงตามกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไหนยังต้องจัดสรรข้าวสารชนิดต่างๆ ให้กับญี่ปุ่น จึงไม่น่าแปลกใจที่ข้าวสารหายไปจากตลาดโดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ติดมลายู

ปัญหาสำคัญเรื่องถัดไปคือการใช้เงินดอลลาร์ทหารญี่ปุ่น เงินชนิดนี้ถูกใช้งานในมลายูอย่างแพร่หลาย บังเอิญประเทศไทยไม่มีสถานที่รับแลกเปลี่ยนเงิน เนื่องจากทางการไทยไม่เคยประกาศรับรองสกุลเงิน ทว่าญี่ปุ่นดึงดันที่จะใช้เงินดอลลาร์ทหารในการจัดซื้อสินค้า โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้มีใช้งานทุกจังหวัดยกเว้นสงขลา จากเรื่องเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลทั้งสองชาติต้องจับตามอง

ปัญหาสำคัญเรื่องที่สามผู้หญิงปลอบขวัญหรือโสเภณี ต้องถือว่าโชคดีประเทศไทยเจอปัญหาเรื่องนี้ค่อนข้างน้อย ญี่ปุ่นนำผู้หญิงปลอบขวัญชาวเกาหลีมาให้บริการกำลังพล และจัดสถานที่ไว้อย่างพร้อมสรรพยกตัวอย่างเช่นที่กาญจนบุรีหรือชุมพร ค่าใช้จ่ายสำหรับพลทหาร 1 บาทต่อ 1 ชั่วโมง นายสิบ 1.5 บาทต่อ 1 ชั่วโมง และนายทหาร 2.5 บาทต่อ 1 ชั่วโมง พลทหารไม่มีสิทธิ์ใช้บริการนอนค้างคืน นายสิบนอนค้างคืนต้องจ่าย 4.5 บาท ส่วนนายทหารต้องจ่ายแพงหน่อย 7.5 บาท จึงไม่เกิดกรณีบังคับผู้หญิงในพื้นที่ให้กลายเป็นข้อขัดแย้งเฉกเช่นไต้หวันหรือสิงคโปร์



เรื่องเงินๆ ทองๆ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสำคัญ กองทัพญี่ปุ่นกู้ยืมเงินจากรัฐบาลไทยจำนวนหลายครั้ง เพื่อซื้อเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับกำลังพล จัดหายุทธปัจจัยและน้ำมัน และใช้ในการก่อสร้างทางรถไฟสายต่างๆ เงินที่ญี่ปุ่นกู้ไทยตัวเลขรวมกันสูงถึง 1,530,100,000 บาท (รัฐบาลไทยมีงบประมาณประจำปี 2487 จำนวน 125,860,000 บาท เงินที่ญี่ปุ่นขอกู้ยืมมีตัวเลขสูงกว่า 12.15 เท่า) นอกจากนี้ยังมีการนำตั๋วเงินทหารญี่ปุ่นมาใช้ในประเทศไทย และปรับเปลี่ยนค่าเงินเยนจากอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาทต่อ 1.56 เยนเป็น 1 บาทต่อ 1 เยน มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน 2485 ทั้งหมดทั้งปวงก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้ออย่างรุนแรงภายในประเทศไทย

ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมดส่งผลต่อคนไทยทุกคนก็จริง เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกต่อหน้าต่อตาอย่างชัดเจน ราคามะละกอสูงขึ้นไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร ข้าวสารหาซื้อยากไม่มีใครคิดว่าเกี่ยวข้องกับมลายู ทำไมรัฐบาลไทยระแวงรัฐบาลญี่ปุ่นใครกันจะรู้ ปัญหาเรื่องน้ำท่วมครั้งใหญ่ในรอบ 100 ปีสำคัญกว่า ชีวิตประจำวันของทุกคนยังคงเหมือนเก่า คนไทยกับทหารญี่ปุ่นไร้สิ้นความขัดแย้งอยู่กันอย่างสงบสุข

ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติเกิดจากเรื่องอื่น


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 24 ต.ค. 24, 08:27

เรื่องผู้หญิงปลอบขวัญมีบทความเขียนถึงเยอะมาก ผมยกตัวอย่างให้อ่านสักเรื่องก็แล้วกัน

<หญิงหย่อนใจ: หญิงค้าบริการทางเพศในไทยให้ทหารญี่ปุ่นยุคสงคราม>

ในยุคสงครามมีการบังคับผู้หญิงเพื่อให้บริการทางเพศแก่ทหารญี่ปุ่นที่มายึดครอง โดยเรียกหญิงเหล่านี้ว่า 'หญิงปลอบขวัญ' (Comfort Women) สำหรับประเทศไทยในฐานะพันธมิตรที่ไม่ได้ถูกยึดครอง จึงมีการประชุมอนุกรรมการผสมไทย-ญี่ปุ่นเพื่อจัดหา 'หญิงหย่อนใจ' มาให้บริการครั้งแรกที่ลำปาง ในปี 2485
.
ข้อสรุปจากการประชุมคือจะเช่าโฮเตลยุงฮิงของชาวจีนในลำปางเปิดเป็นสถานหย่อนใจ โดยเสียค่าเช่า 350 บาท ส่วนหญิงหย่อนใจนั้นจะมีให้บริการอาทิตย์ละ 15-20 คน ทางฝ่ายไทยจะจัดหา 8 คน ส่วนฝ่ายญี่ปุ่นจัดหา 7 คน หญิงเหล่านี้ 3-4 วันจะอนุญาตให้กลับบ้านครั้งหนึ่ง
.
ค่าบริการนั้นมีรายละเอียดดังนี้
พลทหาร 1.00 บาท/ชม.
นายสิบ 1.50 บาท/ชม.
นายทหาร 2.50/ชม.
นายสิบและนายทหารมีสิทธิ์ค้างคืนได้ ตั้งแต่ 22.00-07.00 น.
คิดค่าบริการสำหรับนายสิบ 4.50 บาท/คืน และ นายทหาร 7.50 บาท/คืน
เงินที่ได้จากค่าบริการจะตกเป็นของผู้จัดการสถานที่ 30% และผู้หญิงที่ให้บริการ 70% (ยกเว้นกรณีหญิงเหล่านี้ให้จัดอาหารให้จะหักออกอีก 10%)
.
อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดให้บริการแล้ว พบว่าทหารญี่ปุ่นกระทำทางเพศอย่างรุนแรงโดยท่าพลิกแพลงต่างๆ เป็นเหตุให้อวัยวะเพศหญิงหย่อนใจ 'ต้องเสียและพิการไป' หญิงเหล่านี้จึงพากันหลบหนีออกจากโฮเตลยุงฮิง จนฝ่ายญี่ปุ่นต้องไปข่มขู่กะเกณฑ์หญิงมาให้บริการ ร้อนถึงฝ่ายไทยต้องมาขอร้องให้การรับหญิงต้องเป็นด้วยความสมัครใจเท่านั้น
.
แม้จะไม่มีหลักฐานเรื่องสถานหย่อนใจที่อื่นนอกจากลำปาง แต่พบว่าที่ชุมพร มี'ห้องหญิงนครโสเภณี' ของนางบุญช่วยเป็นหัวหน้า นายวาด สามีและกำนันตำบลบางหมากผู้มีอิทธิพลจัดหาหญิงมาให้บริการทหารญี่ปุ่นด้วยความสมัครใจเพราะค่าตอบแทนสูง
.
อย่างไรก็ดี มีทหารมาใช้บริการจำนวนมากจนซ่องมีไม่พอต่อความต้องการ จนในปี 2486 ต้องมีการส่งหญิงปลอบขวัญเกาหลีและไต้หวัน 6-7 คน มาตามทางรถไฟ หยุดให้บริการทางเพศตามสถานีต่างๆ สถานีละ 1 คืน แต่ละสถานีมีทหารมารอใช้บริการประมาณ 60 คน
...

ที่มา: พวงทิพย์ เกียรติสหกุล. (2554). ทางรถไฟสายใต้ในเงาอาทิตย์อุทัย. นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร น. 228-234

ภาพประกอบ: หญิงสาวชาวมลายูที่ถูกส่งมาเป็นหญิงปลอบขวัญสมัยสงคราม

ที่มาภาพ: พวงทิพย์ เกียรติสหกุล น. 230



ข้อมูลจาก

https://web.facebook.com/photo/?fbid=1365505473463793&set=a.1264037493610592



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 25 ต.ค. 24, 08:21

น้ำผึ้งหยดเดียว

วัฒนธรรมของทุกประเทศล้วนมีความแตกต่าง แม้แต่ประเทศเดียวกันแต่อยู่คนละพื้นที่ก็ยังแตกต่าง ทหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่สุภาพเรียบร้อยมีระเบียบวินัย แต่มีกิจวัตรประจำวันและแนวความคิดแตกต่างจากเจ้าของประเทศ อาทิเช่นชอบนุ่งผ้าเตี่ยวผืนเดียว ชอบยืนเรียงแถวปัสสาวะริมถนน และใช้วิธีตบหน้าเป็นการลงโทษซึ่งคนญี่ปุ่นถือเป็นเรื่องปรกติ แต่กับคนไทยการตบหน้าถือเป็นการหยามศักดิ์ศรี เป็นการกระทำที่ไม่อาจยอมความได้ การตบหน้ายังก่อให้เกิดเหตุร้ายตามมาในภายหลัง

โครงการสร้างทางรถไฟทั้งสองโครงการเดินหน้าได้เพียงไม่นาน พลันมีเหตุการณ์สำคัญกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติ วันที่ 18 ธันวาคม 2485 เวลาประมาณห้าโมงเย็น ที่วัดดอนตูม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี พระรูปหนึ่งมอบบุหรี่ให้กับเชลยศึกต่างชาติ เมื่อทหารญี่ปุ่นพลันเห็นเกิดความไม่พอใจ จึงตบหน้าพระรูปนั้นเป็นการลงโทษจำนวนสามครั้ง กรรมกรชาวไทยกับชาวบ้านเห็นพระถูกทำร้ายรีบเข้ามาช่วยเหลือ ท้ายที่สุดกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตและมีเรื่องเศร้าสลดเกิดขึ้น

บทสรุปของเรื่องวุ่นวายทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตจำนวน 6 นาย ฝ่ายไทยเสียชีวิตมากกว่าเกือบสองเท่า แต่ในรายงานอย่างเป็นทางการระบุว่ามีชาวบ้านบาดเจ็บเพียง 1 คน

นี่คือการปะทะกันครั้งแรกหลังวันญี่ปุ่นขึ้นบก และเป็นการสูญเสียทหารญี่ปุ่นในไทยครั้งแรกเช่นเดียวกัน ข้อเท็จจริงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างสับสนวุ่นวาย ญี่ปุ่นบอกว่าคนไทยลอบโจมตีค่ายทหารญี่ปุ่นช่วงเวลากลางคืน ส่วนไทยบอกว่าญี่ปุ่นขนทหารจำนวนมากมาถล่มโรงพัก มุมมองระหว่างสองฝ่ายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ต่างคนต่างคิดว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อนและเป็นคนผิด ทว่าสิ่งหนึ่งที่มีมุมมองตรงกันก็คือ คนไทยจำนวนมากไม่พอใจทหารญี่ปุ่น ส่วนญี่ปุ่นถือว่าเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นร้ายแรงมาก

ก่อนหน้านี้เคยมีความขุ่นข้องหมองใจระหว่างสองฝ่ายเกิดขึ้นมาก่อน เช้าตรู่วันที่ 8 ธันวาคม 2484 ทหารญี่ปุ่นหลายหมื่นนายเคลื่อนพลเข้าสู่ประเทศไทย พวกเขาคาดหวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเพื่อนร่วมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา แต่แล้วเรื่องจริงกลับถูกต้อนรับด้วยกระสุนปืนและความตาย กลายเป็นเหตุปะทะระดับร้ายแรงไม่ต่างจากการทำสงครามกับฝ่ายพันธมิตร ส่งผลให้ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตสองร้อยกว่านายส่วนฝ่ายไทยเสียชีวิตหนึ่งร้อยกว่าชีวิต

เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นที่บ้านโป่งจนทำให้ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตหลายนาย ความไม่พอใจที่ถูกเก็บซ่อนได้พลันร้อนระอุกลายเป็นปัญหาใหญ่โตต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ปัญหาเรื่องความขัดแย้งเกิดขึ้นในอินโดจีนเช่นเดียวกัน รัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจแก้ปัญหาเรื่องความขัดแย้งให้สะเด็ด โดยการแต่งตั้งนายทหารระดับผู้บังคับบัญชากองทัพประจำประเทศไทยและอินโดจีน

ก่อนหน้านี้ญี่ปุ่นกลัวว่าการแต่งตั้งนายทหารระดับสูงอาจส่งผลร้ายมากกว่าผลดี คนไทยอาจต่อต้านมากขึ้นจนกลายเป็นเหตุกระทบกระทั่ง รัฐบาลไทยอาจแสดงท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมลดราวาศอก สถานการณ์การเมืองไทยก็กำลังร้อนระอุคาดเดาอนาคตไม่ได้ เหตุรุนแรงที่บ้านโป่งได้เปลี่ยนนโยบายรัฐบาลญี่ปุ่นโดยสิ้นเชิง ทหารญี่ปุ่นในไทยจำเป็นต้องมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงทำหน้าที่ควบคุมดูแล

ภาพประกอบคือกรรมกรไทยบนรถข้างต่ำกำลังเดินทางไปรับจ้างทำทางรถไฟ




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 25 ต.ค. 24, 08:35


เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย

ตัวเลขผู้เสียชีวิตวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ระหว่างสองชาติไม่ตรงกัน ญี่ปุ่นบอกว่าทหารตัวเองเสียชีวิตสองร้อยกว่านายส่วนฝ่ายไทยเสียชีวิตหนึ่งร้อยกว่านาย ขณะที่ทางการไทยมีตัวเลขยืนยันตามภาพประกอบประกอบไปด้วย ทหารเสียชีวิต 110 นาย ตำรวจเสียชีวิต 42 นาย ข้าราชการเสียชีวิต 13 นาย ยุวชนทหารเสียชีวิต 5 นาย และราษฎรเสียชีวิต 53 นาย ขณะที่ทหารญี่ปุ่นเสียชีวิตประมาณ 1,000 นายขึ้นไป

ปัญหาตัวเลขไม่ตรงกันเป็นเรื่องปรกติของสงคราม แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่ตรงกันอาทิเช่น สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน หรืออิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ความสำคัญของตัวเลขจึงมีค่าน้อยกว่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แต่ถ้าพูดถึงเฉพาะตัวเลขทหารเสียชีวิตอย่างเดียวญี่ปุ่นแอบตรงอยู่นะครับ





บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 26 ต.ค. 24, 08:08

ผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทย

วิกฤตการณ์บ้านโป่งส่งผลกระทบใหญ่โต พลเอกฮิเดกิ โตโจ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น รู้สึกเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ปัญหามากมายรุมเร้าในช่วงเวลาแค่ปีเดียว การตบหน้าสามเณรถือเป็นจุดวิกฤติสูงสุดของความอดทน วงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาอาจล่มสลายเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง

วันที่ 1 มกราคม 2486 มีการแต่งตั้งพลโทนากามูระ อาเคโตะด้วยวาจา สามวันถัดมาจึงมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ วันที่ 21 มกราคม 2486 ผู้บัญชาการประจำประเทศไทยคนใหม่เดินทางถึงสนามบินดอนเมือง ประเทศไทย พร้อมเสนาธิการทหารคนใหม่ชื่อพันโทคิโยจิ คิชินามิ ซึ่งถือเป็นลูกน้องภายใต้การบังคับบัญชาเพียงคนเดียวของนายพลนากามูระ

ช่วงเวลานั้นทหารญี่ปุ่นในกรุงเทพมีกำลังพลค่อนข้างน้อย มีเครื่องบินรบในสนามบินดอนเมืองเพียงไม่กี่ลำ และมีปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานอีกหนึ่งหมวด เหตุผลก็คือเมืองหลวงประเทศไทยไร้สิ้นภัยคุกคาม ญี่ปุ่นไม่มีความจำเป็นต้องคงกำลังทหารจำนวนมาก เมื่อวันเวลาผันผ่านทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งความสัมพันธ์อันแสนดีงามระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อจำนวนทหารญี่ปุ่นผู้ทำหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในกรุงเทพและทั่วประเทศไทย

เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและเพิ่มเติมประสิทธิภาพ มีการจัดตั้งการกองทัพประจำประเทศไทยอย่างเป็นทางการ นายพลนากามูระคือผู้บัญชาการคนแรก อยู่ภายใต้สังกัดกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ของจอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิก็จริง แต่เป็นเอกเทศในการบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ในประเทศไทย มีอำนาจมากกว่าทูตทหาร ผู้บัญชาการกองพันทหารราบ และผู้บัญชาการกรมทหารรถไฟ

ภารกิจสำคัญของนายพลนากามูระประกอบไปด้วย การป้องกันประเทศไทย บีบบังคับและกดดันจีนจากภาคเหนือของรัฐฉาน รักษาระเบียบวินัยทหารญี่ปุ่นทั้งที่อยู่ในไทยและเดินทัพผ่าน ให้ที่พัก การอนามัย และอาหารต่อทหารญี่ปุ่น ควบคุมศาลทหารโดยตั้งบนพื้นฐานกติกาสัญญาพันธมิตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่น หน่วยทหารภายใต้การบังคับบัญชานายพลนากามูระประกอบไปด้วย

   -กองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 82 ประจำการในกรุงเทพ

   -กองทหารสารวัตรที่ 2 สังกัดกองบัญชาการใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ ประจำการในกรุงเทพ

   -กองร้อยรถยนต์พิเศษ กองร้อยต่อสู้อากาศยานอิสระ กองทหารส่งกำลังบำรุง โรงพยาบาลที่ 16 กองบัญชาการใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ ที่คุมขังเชลยศึกที่ 340 สภากาชาดญี่ปุ่น

การจัดตั้งกองทัพประจำประเทศไทยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2486 ช่วงนั้นทหารญี่ปุ่นในไทยมีจำนวนไม่มาก นอกจากกำลังพลส่วนที่ดูแลรักษาความปลอดภัย ยังมีกองบัญชาการรถไฟภายใต้การควบคุมพลตรีโนบูโอะ ชิโมดะ กำลังพลประกอบไปด้วยกรมทหารรถไฟจำนวน 2 กรม และกองส่งกำลังบำรุงภายใต้กรมรถไฟ หน้าที่หลักคือการก่อสร้างทางรถไฟทั้ง 2 สายให้แล้วเสร็จ

การจัดตั้งกองทัพประจำประเทศไทยเป็นการแก้ปัญหาตรงจุด เพียงแต่ทหารราบ 1 กองพันในกองบัญชาการ กับกองสารวัตรทหารและกองร้อยพิเศษอีก 4 กองร้อยถือว่าน้อยเกินไป




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 26 ต.ค. 24, 08:11

รู้สึกว่าช่วงนี้มีคนแวะมาเยี่ยมเว็บบอร์ดเยอะนะครับ อย่างตอนนี้ที่ผมกำลังพิมพ์มีถึง 284 คน แบ่งเป็นบุคคลทั่วไป 283 คน กับเป็นสมาชิก 1 คน แต่ยังห่างไกลสถิติเดิมในปี 2015 หลายเท่าตัว
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 27 ต.ค. 24, 09:54

ภารกิจสำคัญของนายพลนากามูระ

ปัญหาด่วนที่ท่านนายพลต้องรีบสะสางก็คือ ความวุ่นวายขายปลาช่อนเพราะบุหรี่มวนเดียวที่บ้านโป่ง ญี่ปุ่นต้องการให้ประหารชีวิตพระเพราะถือว่าเป็นหัวหน้ากลุ่มคนที่แสดงการต่อต้าน แต่ไทยไม่ยอมเพราะอาจทำให้คนในประเทศโกรธแค้นมากขึ้น ท้ายที่สุดศาลไทยตัดสินจำคุกพระกับกรรมกรชาวไทยตลอดชีวิต ส่วนทหารไทยที่ยิงทหารญี่ปุ่นถูกตัดสินจำคุก 10 ปี ทางการไทยยินดีจ่ายค่าชดเชยให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตจำนวน 8 หมื่นบาท ญี่ปุ่นมอบเงินก้อนนี้กลับคืนครอบครัวคนไทยที่เสียชีวิตจากการเหตุปะทะในวันยกพลขึ้นบก วิกฤตการณ์บ้านโป่งพลันจบสิ้นลงแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น นายพลนากามูระต้องทำงานอย่างหนักในการเคลียร์หน้าเสื่อ เขาทำได้ดีมากเมื่อเทียบกับระยะเวลาที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง ช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติไม่ให้เลวร้ายมากไปกว่านี้

ปัญหาถัดมาคือเรื่องหนี้สินจากการกระทำของกองทัพญี่ปุ่น ซึ่งได้ตกค้างมาเนิ่นนานตั้งแต่วันยกพลขึ้นบกทั่วประเทศ ความเสียหายต่อทรัพย์สินรัฐบาลไทย ข้าราชการท้องถิ่น และประชาชนคนไทยมากมายพอสมควร แต่เนื่องมาจากทหารต้องรีบเคลื่อนพลไปบุกมลายูจึงปล่อยปัญหาทิ้งไว้ ญี่ปุ่นยังค้างจ่ายค่าสินค้าชนิดต่างๆ จำนวนพอสมควร ก่อให้เกิดปัญหาทหารในแนวหน้าขาดแคลนอาหารประทังชีพ นายพลนากามูระตรวจสอบหลักฐานและติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชำระเงินคืน ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของทหารญี่ปุ่นในสายตาพ่อค้าชาวไทย การจัดซื้อสิ่งของและวัตถุปัจจัยชนิดต่างๆ กลับมาเป็นปรกติดังเดิม การส่งกำลังบำรุงให้กับทหารในแนวหน้าเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น

ปัญหาถัดไปความประพฤติทหารญี่ปุ่นสร้างความไม่พอใจต่อคนไทย มีการอบรมให้ความรู้ที่เหมาะสมต่อทหารทุกนาย ต่อด้วยมีคำสั่งห้ามไม่ให้มีการตบหน้า ห้ามแก้ผ้าหรือปัสสาวะริมชานชลารถไฟ ต้องรักษามารยาทการกิน การอนามัย การดูแลที่พักอาศัย มีการจัดทำคู่มือทหารแจกจ่ายอย่างทั่วถึง ทหารญี่ปุ่นในไทยต้องมีภาพลักษณ์ดีขึ้นในสายตาคนไทยทั่วประเทศ

ปัญหาต่อไปคือเรื่องทรัพย์สินอังกฤษในประเทศไทย โดยเฉพาะไม้สักซึ่งมีตกค้างจำนวนมาก อังกฤษได้ผลประโยชน์จากป่าไม้ประเทศไทยมาอย่างยาวนาน มีการสร้างโรงเลื่อยและโรงงานต่างๆ ทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีห้องสมุด โรงพิมพ์ และกิจการขนาดย่อมอีกจำนวนหนึ่ง วิธีแก้ปัญหาคือตั้งกรมประสานงานพันธมิตรขึ้นมา เพื่อจัดแบ่งว่าส่วนไหนญี่ปุ่นใช้งาน ส่วนไหนไทยใช้งาน หรือส่วนไหนใช้งานร่วมกัน เสียดายผู้เขียนไม่มีรายละเอียดชี้แจงจึงไม่อาจลงข้อมูลได้มากกว่านี้

ปัญหาเรื่องสุดท้ายคือการส่งมอบอาวุธให้กับประเทศไทย รวมทั้งยาควิกนินซึ่งรัฐบาลและคนไทยต้องการมากที่สุด เป็นปัญหาสำคัญซึ่งตกค้างมาเนิ่นนานเช่นเดียวกัน นายพลนากามูระพยายามแก้ไขปัญหาสุดความสามารถ แม้ต้องใช้เวลายาวนานเพื่อให้ปัญหาทั้งหมดได้รับการเยียวยาแก้ไข




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 28 ต.ค. 24, 08:53

นายพลผู้ทำงานหนัก

ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทย เป็นงานที่ยากลำบากเต็มไปด้วยปัญหาน้อยใหญ่ กองทัพอาจมีขนาดเล็กจำนวนกำลังพลค่อนข้างน้อย แต่มีระบบการบัญชาการที่ค่อนข้างซับซ้อนมากกว่าทุกกองทัพทั่วโลก นอกจากอยู่ในการบังคับบัญชากองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ของจอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิ กองทัพประจำประเทศไทยยังขึ้นตรงกับรัฐบาลกรุงโตเกียวมีนายกโตโจเป็นผู้บังคับบัญชา ระบบการบัญชาการที่ค่อนข้างซับซ้อนกลับกลายเป็นเรื่องดีในเวลาต่อไป ปัญหาหลายเรื่องในประเทศไทยถูกแก้ไขโดยเร่งด่วนผ่านคำสั่งนายกโตโจผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐบาลญี่ปุ่น

นอกจากงานบริหารจัดการที่มีมากมายจนล้นมือ ยังมีงานทางด้านการเมืองระหว่างประเทศทำให้นายพลนากามูระปวดหัวมากขึ้น ไทยกับญี่ปุ่นนั้นเป็นพันธมิตรที่สนิทสนมกันมากก็จริง ทว่าในความสนิทสนมกลมเกลียวกลับมีความสัมพันธ์ค่อนข้างเปาะบาง ง่ายต่อการแตกหักหากเกิดเหตุการณ์ไม่เหมาะสมอาทิเช่นเหตุรุนแรงที่บ้านโป่ง หรือการยึดครองอาคารเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

นายพลนากามูระใช้หลักคำสอนพุทธศาสนาในการทำงาน ถือเป็นทหารสายพิราบแตกต่างจากทหารสายเหยี่ยวซึ่งเน้นการใช้กำลัง ท่านนายพลพยายามประสานงาน ติดต่อช่วยเหลือ และขอความร่วมมือจากทุกฝ่าย ช่วยสานสัมพันธ์ไทยกับญี่ปุ่นไม่ให้แตกร้าวมากยิ่งขึ้น โชคดีประการหนึ่งกองทัพญี่ปุ่นกำลังได้เปรียบเรื่องการรบ จึงมีเวลาทุ่มเทแก้ไขปัญหาต่างๆ จนสำเร็จลุล่วงในระดับหนึ่ง

การรับราชการในไทยถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ เขาต้องเผชิญสิ่งที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนตลอดเวลา อาทิเช่นลูกระเบิดจากฟากฟ้าอาจคร่าชีวิตนับพันภายในเวลาสองปี แต่การระบาดของโรคอหิวาต์คร่าชีวิตนับหมื่นภายในเวลาสองเดือน คนไทยมีไมตรีจิตต่อทหารญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตาย เวลาเดียวกันคนไทยยังหยิบยื่นน้ำใจไมตรีให้กับเชลยศึกทุกชาติ และในยามพลั้งเผลอคนไทยนี่แหละลักลอบเข้ามาขโมยข้าวของเครื่องใช้ในค่ายทหารญี่ปุ่น

งานที่ยากที่สุดคือการประสานงานระดับประเทศ จอมพลแปลกนายกรัฐมนตรีประเทศไทยมีทีท่าเฉยชาไม่ยินดียินร้าย การเข้าพบที่ทำเนียบสามัคคีไทยเต็มไปด้วยความวุ่นวาย จอมพลแปลกไม่ไปงานเลี้ยงโดยอ้างเรื่องถูกลอบสังหารหลายครั้ง และชอบหายตัวติดต่อไม่ได้สอบถามคนใกล้ตัวบอกแค่เพียงไปปฏิบัติราชการ ไม่มีความหวานชื่นหรือราบรื่นเหมือนดั่งประเทศร่วมวงศ์ไพบูลย์ประเทศอื่น

จอมพลแปลกทำตัวราวกับว่าต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีความระแวง ต่างคนต่างทำหน้าที่ตนโดยไม่บอกอีกฝ่าย รัฐบาลญี่ปุ่นจึงส่งนายพลนากามูระมาประจำการอยู่ในประเทศไทย หวังใช้งานเป็นกาวประสานใจให้ญี่ปุ่นกับไทยเป็นมิตรที่ดีต่อกันจวบจนสิ้นสุดสงคราม





บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.076 วินาที กับ 19 คำสั่ง