สุภาส จันทร โบส เป็นวีรบุรุษชาวเบงกอลคนสำคัญที่มีบทบาทมากในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียในช่วงทศวรรษ 1930-1940 ในฐานะผู้นำแห่งกองทัพอินเดียอิสระ ชาวอินเดียรู้จักเขาในฉายาที่ได้มาด้วยความเคารพว่า Netaji ความหมายภาษาไทยตามตัวอักษรคือ “ท่านผู้นำ"

คำว่า Netaji ในที่นี้ แบ่งเป็นสองส่วน คือ ji ที่เป็นคำต่อท้ายชื่อบุคคลหรือคำเรียกบุคคล ตัวอย่างง่ายๆ เช่น Gandhi ji ท่านคานธี Pitaji ท่านบิดา ส่วนคำว่า neta ที่แปลว่าผู้นำนี้ มีรากศัพท์จากคำว่า ni ที่แปลว่านำ ซึ่งทำให้เกิดคำอื่นๆ หลากหลายด้วย เช่นคำว่า nayak หรือที่ไทยเรียก นายก ก็แปลว่าผู้นำเช่นกัน และคำว่า netr ซึ่งใกล้เคียงกับเนตามาก แปลว่า ดวงตา ไทยออกเสียงว่า เนตร สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะดวงตาคือเครื่องนำทางเวลาที่เราเดินไปข้างหน้านั่นเอง
ชีวิตช่วงต้นของสุภาส จันทร โบส
สุภาส จันทร โบส เกิดวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1897 ในเมืองกัตตัก ปัจจุบันอยู่ในมลรัฐโอฑิศา ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเบงกอลตามการแบ่งของบริติชราช บิดาของเขาชื่อ Janakinath (ชนกีนาถ) และมารดาของสุภาสชื่อ Prabhaboti (หรือเทียบกับภาษาไทยว่า ประภาวดี) ให้กำเนิดลูกถึง 13 คน โดยสุภาสเป็นคนที่ 9 ถ้านับเฉพาะลูกชายก็เป็นลูกชายคนที่ 6
การศึกษาช่วงปฐมวัยของสุภาสเป็นภาษาอังกฤษมาตลอด เพราะเริ่มเข้าโรงเรียนครั้งแรกที่ Protestant European School ในกัตตัก โรงเรียนนี้นักเรียนส่วนใหญ่ถ้ามิใช่เด็กชาวยุโรปก็มักเป็นลูกครึ่งอังกฤษอินเดีย การสอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาละติน นอกจากนี้ยังสอนคัมภีร์ไบเบิลและมารยาทแบบอังกฤษ โดยไม่สอนภาษาหรือวัฒนธรรมที่เป็นอินเดียเลย ชนกีนาถเป็นคนเลือกโรงเรียนให้เขาเองเพราะอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้อย่างไร้ที่ติ เขาเชื่อว่าจะเป็นใบเบิกทางให้ลูกในการทำงานกับชาวอังกฤษในอินเดีย
ได้รับอิทธิพลจากมารดา
อย่างไรก็ตาม น่าสนใจที่ในบ้านของสุภาส มารดาประภาวดีจะมีบทบาทหลักในการอบรมสั่งสอนลูกๆ เพราะบิดาชนกีนาถไม่ค่อยอยู่บ้าน และประภาวดีผู้นี้พูดแต่ภาษาเบงกาลีกับลูก นางเคร่งครัดศาสนา บูชาพระแม่ทุรคาและกาลี และมักจะสอนลูกๆ ด้วยเรื่องต่างในมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ
สุภาสได้รับอิทธิพลจากมารดามากจนกลายเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้ทุกข์ยาก เมื่อเขาอายุ 12 ขวบ เขาได้ย้ายไปศึกษาที่ Ravenshaw Collegiate School ในกัตตักเช่นเดียวกัน ซึ่งโชคดีที่โรงเรียนนี้สอนภาษาสันสกฤตและเบงกาลีด้วย ณ ที่นี้สุภาสได้เริ่มบ่มเพาะอุดมการณ์รักชาติของเขาจากการได้ศึกษาพระเวทและอุปนิษัท และเขายังได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักบุญอย่างศรีรามกฤษณปรมหังสะ และสวามีวิเวกานันท์ รวมทั้งนักประพันธ์อย่าง บันกิม จันทรา ฉัตโตปาธยาย
สู่เส้นทางการทำงานเพื่อประเทศ
ชีวิตการศึกษาหลังจากนั้น สุภาสได้เข้าเรียน Presidency College ที่กัลกัตตา เขาเรียนปรัชญา ได้อ่านงานของ Kant, Hegel และ Bergson เป็นต้น ต่อมาเขาถูกไล่ออกจากวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยเหตุที่ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมในการกลุ้มรุมทำร้ายอาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งกล่าวกันว่าได้พูดถึงอินเดียในทางไม่เหมาะสมในชั้นเรียน แม้ว่าหลักฐานจะไม่แน่ชัดว่าสุภาสมีส่วนร่วมทำร้ายจริง แต่มีพยานเห็นว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่วิ่งหนี อย่างไรก็ตาม สุภาสมีโอกาสกลับเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่ Scottish Church College และได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชาปรัชญา
เส้นทางชีวิตของสุภาสในการทำงานเพื่อประเทศชาติ เริ่มขึ้นเมื่อเขาอายุ 24 เมื่อเขาเดินทางไปบอมเบย์ใน ค.ศ. 1921 เขาได้เข้าพบมหาตมาคานธีซึ่งขณะนั้นเดินทางมาบอมเบย์ และได้สนทนากัน ความคิดเห็นของทั้งสองขัดแย้งกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการต่อสู้เพื่อเอกราช
สุภาสเห็นว่าความคิดของคานธีนั้นเลื่อนลอย คือเป้าหมายไม่ชัดเจนและไม่รู้ว่าจะบรรลุถึงได้อย่างไร สุภาสไม่เชื่อหลักอหิงสา เขามองว่าสามารถทำได้ทุกวิถีทางตราบใดที่สิ่งนั้นนำเอกราชมาสู่อินเดีย อย่างไรก็ตาม คานธีส่งต่อสุภาสให้ไปพบ ซี.อาร์ ดาส ผู้นำพรรคคองเกรสและชาตินิยมอินเดียในเบงกอล ทั้งสองมีความคิดต้องกัน สุภาสจึงฝากเนื้อฝากตัวกับท่านผู้นี้ และดำเนินเส้นทางการเมืองของเขาต่อไปจากจุดนี้เอง
เพื่อเอกราชอินเดีย
เนื่องจากเวลาอันจำกัดของรายการ เราขอสรุปสั้นๆ แต่เพียงว่า ในปี 1923 เขาได้รับเลือกเป็นประธาน All India Youth Congress ในปี 1927 สุภาสกลายเป็นเลขาธิการทั่วไปพรรคคองเกรสและทำงานร่วมกับเนห์รูอย่างใกล้ชิดเพื่อเอกราชอินเดีย ในปี 1930 เขาได้เป็นผู้ว่าการกัลกัตตา และในเวลาส่วนใหญ่ของทศวรรษ 1930 เขาได้เดินทางไปยุโรปเพื่อพบบรรดาผู้นำสำคัญหลายคน รวมทั้งเบนิโต มุสโสลินี ระหว่างนี้เขาได้ภรรยาชาวออสเตรียชื่อเอมิลี เชงเคิล และมีบุตรีด้วยกัน 1 คนคือ อนิตา โบส พฟัฟฟ์ (ปัจจุบันเธออายุ 78 ปี เป็นนักเศรษฐศาสตร์ในเยอรมนี สมรสกับอดีตผู้แทนสภาบุนเดสทาคของเยอรมนีและมีบุตรด้วยกันสามคน)
ปี 1938 สุภาส จันทร โบสก้าวขึ้นเป็นประธานพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรสต่อจากเนห์รู ช่วงปี 1941-1943 เขาได้จับมือกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์แห่งนาซีเยอรมัน
และในช่วงสองปีสุดท้ายแห่งชีวิตคือ 1943-1945 เขาได้ทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นในสงครามมหาเอเชียบูรพา ในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพแห่งชาติอินเดียอิสระ หรือชื่อในภาษาฮินดูสตานีว่า อาซาด ฮินด์ ฟอจญ์ จนกระทั่งเขาประสบอุบัติเหตุเครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่นที่เขาโดยสารไปเกิดขัดข้องและอับปาง สุภาสได้รับบาดเจ็บจากไฟไหม้ระดับรุนแรงและเสียชีวิตลงในวันที่ 18 สิงหาคม 1945 สิริอายุ 48 ปี
ช่วงบั้นปลายชีวิตของสุภาสและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับไทย
ช่วงบั้นปลายชีวิตของสุภาส มีเรื่องน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับไทยอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะช่วง พ.ศ. 2486-2488 เขาได้มาเคลื่อนไหวในประเทศไทยอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มากล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวอินเดียที่พำนักอยู่ในไทย ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943)
ไม่เพียงแต่เท่านั้น เขายังได้บริจาคเงินให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำนวน 500,000 บาท นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้จัดสรรเงินจำนวนนี้เป็น 2 ส่วนเท่าๆ กันแก่ทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งส่วน 250,000 บาทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับนั้น ยังถูกนำไปแบ่งอีกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกในปี 2489 เป็นเงินทุนสำหรับนิสิตหญิงคณะอักษรศาสตร์ผู้สอบไล่ได้คะแนนยอดเยี่ยมในแต่ละปี (โดยไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดต้องเป็นนิสิตหญิงด้วย) และส่วนที่สองในปี 2518 สมทบทุนในการก่อสร้าง "ธรรมสถานจุฬาฯ" ซึ่งกลายเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมของทุกศาสนาโดยไม่แบ่งแยก
https://curadio.chula.ac.th/Program-Detail.php?id=10820