เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8
  พิมพ์  
อ่าน: 21289 สงครามโลกครั้งที่สอง วันญี่ปุ่นขึ้นบก
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 90  เมื่อ 29 ต.ค. 24, 08:20

บุคคลสำคัญของประเทศไทย


รัฐบาลญี่ปุ่นมองว่าประเทศไทยมีการปกครองแบบรวมอำนาจ ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับจอมพลแปลกนายกรัฐมนตรีผู้มีอำนาจสูงสุด จึงกำชับให้ผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทยพยายามเข้าถึงตัว เพื่อรักษาความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติให้ยืนยงยืนยาวตลอดไป

นายพลนากามูระสามารถผูกไมตรีจิตกับผู้นำไทยได้ในระดับหนึ่ง แต่แล้วเมื่อตัวเองได้พักอาศัยในเมืองไทยเป็นเวลาพอสมควร เขาได้รับรู้ว่านอกจากจอมพลแปลกผู้ไม่เคยมีรอยยิ้มบนใบหน้า ยังมีบุคคลสำคัญของไทยจำนวนสามรายที่ต้องจับตามองมากเป็นพิเศษประกอบไปด้วย

1.ผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์ ผู้ชายคนนี้คือหัวหน้าใหญ่กลุ่มพลเรือนในประเทศไทย และมีแนวโน้มว่าอาจเป็นหัวหน้าใหญ่สายนิยมสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในไทย ปัญหาก็คือนายพลนากามูระได้เจอตัวจริงแค่ครั้งเดียว เขาแทบไม่รู้จักนิสัยใจคอหรือแนวคิดผู้สำเร็จราชการปรีดี รวมทั้งอีกฝ่ายค่อนข้างเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ยอมให้คนญี่ปุ่นเข้าพบ รวมทั้งไม่เคยแสดงออกถึงความต้องการอย่างชัดเจน นายพลนากามูระทำได้เพียงจับตามองอยู่ห่างๆ โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว

2.ม.ร.ว.เสรีย์ ปราโมชย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา ผู้ชายคนนี้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนหลังประเทศไทยเข้าร่วมกับญี่ปุ่น และเป็นหัวหน้าจัดตั้งกองทัพอาสาสมัครต่อสู้กับญี่ปุ่น (หรือที่เราคุ้นเคยกันในชื่อเสรีไทย) ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ถือเป็นศัตรูที่เปิดเผยอย่างชัดเจนของนายพลนากามูระ เขาอยู่เบื้องหลังปฏิบัติงานใต้ดินในประเทศไทย และจัดตั้งสถานีวิทยุที่เดลลีเพื่อเผยแพร่ข้อความส่งถึงคนไทย มีการแจ้งข่าวลวงให้ร้ายป้ายสีทหารญี่ปุ่นทุกวัน เพื่อกำจัดอิทธิพล ม.ร.ว.เสรีย์ ปราโมชย์ ญี่ปุ่นต้องกวาดล้างสายลับหรือแนวที่ห้าให้หมดสิ้น

3.อธิบดีกรมตำรวจอดุล เป็นบุคคลที่นายพลนากามูระหนักใจมากที่สุด เพราะถูกร่ำลือว่าอยู่ในกลุ่มสายนิยมสหรัฐอเมริกาและอังกฤษในไทย ผู้ชายคนนี้มีกำลังพลตำรวจทั่วประเทศในมือจำนวนมาก สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาทหารหรือรัฐบาล เป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่เคยออกงานแม้แต่ครั้งเดียว ไม่เคยมีคนญี่ปุ่นแม้แต่คนเดียวได้เจอตัวจริง นายพลนากามูระพยายามติดต่อขอเข้าพบผ่านจอมพลแปลก และได้คำตอบกลับคืนอธิบดีกรมตำรวจอดุลทำงานหนักทุกวันไม่ได้กลับบ้าน แม้กระทั่งตัวเองซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรียังแทบไม่มีโอกาสได้เจอตัวจริง

จอมพลแปลกนายกรัฐมนตรี ผู้สำเร็จราชการปรีดี ม.ร.ว.เสรีย์ ปราโมชย์ และอธิบดีกรมตำรวจอดุล คือบุคคลสำคัญของประเทศไทยที่ญี่ปุ่นให้ความสำคัญในลำดับต้นๆ จอมพลแปลกกับผู้สำเร็จราชการปรีดีเคยเปลี่ยนแปลงการปกครองร่วมกัน แต่มีแนวคิดต่างกันหลายเรื่องส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การเมือง นายพลนากามูระจำเป็นต้องจับตามองผู้ชายสองคนนี้อย่างใกล้ชิด

ภาพประกอบคือพลตำรวจเอก อดุล อดุลเดชจรัส มีสมญานามว่า "นายพลตาดุ" เป็นหนึ่งในผู้ร่วมคณะราษฎรในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 รองนายกรัฐมนตรีและผู้สั่งราชการแทนนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง   



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 91  เมื่อ 30 ต.ค. 24, 08:20

การประชุมที่โชนัน

ต้นเดือนพฤษภาคม 2486 ญี่ปุ่นอยู่ในสถานะได้เปรียบมากที่สุด ทุกสมรภูมิของสงครามมหาเอเชียบูรพาเป็นไปตามแผนการ ปัญหาเล็กน้อยเข้ามารบกวนจิตใจนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาก็คือ กองทัพอากาศมีเครื่องบินรบและนักบินไม่เพียงเพียงพอ ไม่สามารถคุ้มกันหรือสนับสนุนทหารราบได้อย่างทั่วถึง จึงได้มีการจัดการประชุมผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นที่โชนันหรือสิงคโปร์ เพื่อปรึกษาการยุทธ ประสานงาน กำหนดแผนการ และสร้างความรู้จักระหว่างกันมากขึ้นกว่าเดิม

ผู้เข้าร่วมการประชุมประจำปี 2486 ประกอบไปด้วย จอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิ ผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ พลเอกมาซาคาสุ คาวาเบะ ผู้บัญชาการกองทัพภาคพม่า พลโทคาสุโมโต มาชิจิริ ผู้บัญชาการกองทัพประจำอินโดจีน-ฝรั่งเศส พลโทโนบุมาซา โทมินากะ ผู้บัญชาการกองทัพที่ 12 จากนิวกินี พลโทกูมากิจิ ฮาราดะ ผู้บัญชาการกองทัพที่ 16 จากชวา พลโทโมริตาเกะ ทานาเบะ ผู้บัญชาการกองทัพที่ 25 จากสุมาตรา พลโทเรนยา มุตากูจิ ผู้บัญชาการกองทัพที่ 15 จากพม่า พลโทมาซาดากะ ยามาวากิ ผู้บัญชาการกองกำลังรักษาบอเนียว และพลโทนากามูระ อาเคโตะ ผู้บัญชาการกองทัพประจำประเทศไทย พวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นนายทหารฝีมือดีเปรียบได้กับคลื่นลูกใหม่ เคยพาทหารญี่ปุ่นบุกโจมตีทหารฝ่ายสัมพันธมิตรจนแพ้พ่ายในทุกสมรภูมิทั่วเอเชียแปซิฟิก



ระหว่างเข้าร่วมการประชุมทหารทุกนายมีแต่รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะ บรรยากาศโดยรวมคล้ายอยู่ในงานเลี้ยงประจำปีมากกว่าห้องประชุม ไม่มีทหารแม้แต่นายเดียวคิดถึงความพ่ายแพ้หรือการถอยทัพ จริงอยู่การทำสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรอาจกินเวลายาวนานหลายปี แต่แล้วในท้ายที่สุดพวกเขาจะสามารถเอาชนะได้อย่างเด็ดขาด และเดินทางกลับบ้านเกิดในฐานะวีรบุรุษผู้ปลดปล่อยทวีปเอเชีย

ความได้เปรียบในสนามรบแปรผันได้ตลอดเวลา แม้ทหารญี่ปุ่นกำลังเป็นฝ่ายบุกในสงครามเอเชียแปซิฟิก บังเอิญที่ทวีปยุโรปเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำประเทศอิตาลีซึ่งอยู่ฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่นและเยอรมัน ได้หลุดพ้นจากตำแหน่งและต้องหลบหนีเอาตัวรอดอย่างเร่งด่วน กองกำลังปาติซานจากพรรคคอมมิวนิสต์อิตาลีกลับเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ไล่ล่า ฝ่ายสัมพันธมิตรเริ่มโอบล้อมทหารเยอรมันมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

นายพลนากามูระเข้าร่วมการประชุมพร้อมผู้บังคับบัญชาทุกเหล่าทัพ เสร็จจากการประชุมเขามีโอกาสได้พบจอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิผู้บังคับบัญชากองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ ซึ่งได้มอบอำนาจเต็มในการแก้ปัญหาในเมืองไทยให้กับนายพลนากามูระ โดยเน้นย้ำเรื่องแก้ไขปัญหาต่างๆ และเหตุวุ่นวายในประเทศไทยให้หมดสิ้น เป็นภารกิจสำคัญไม่แพ้การบุกตะลุยไปข้างหน้าของกองทัพอื่น


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 92  เมื่อ 31 ต.ค. 24, 08:17

นายกญี่ปุ่นมาไทย

วันที่ 3 กรกฎาคม 2486 เวลา 09.00 น.นายกโตโจเดินทางมาเยือนประเทศไทย ญี่ปุ่นจัดให้การเดินทางครั้งนี้เป็นความลับสุดยอด ไม่บอกใครล่วงหน้าและสั่งให้ไม่จัดพิธีต้อนรับ นายกโจโตไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอย่างเป็นทางการ แต่คาดหวังว่าจะได้รับประทานอาหารร่วมกับนายกไทย

จอมพลแปลกนายกไทยเดินทางมาต้อนรับนายกโตโจด้วยตัวเอง ก่อนพามาส่งที่เรือนรับรองด้วยรถยนต์คันเดียวกัน งานเลี้ยงต้อนรับที่บ้านพักนายพลนากามูระคือสุดยอดปัญหาโลกแตก จอมพลแปลกเคยถูกคนใกล้ตัวลอบวางยาพิษหลายครั้ง เขายอมไม่ทานอาหารชนิดอื่นนอกจากอาหารที่คนในครอบครัวทำ ยังนับว่าโชคดีโชคดีงานเลี้ยงต้อนรับเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น มีการพูดคุยสนทนาเรื่องทั่วไปอย่างร่าเริงใจ ก่อนที่จอมพลแปลกกับภริยาจะเดินทางกลับในเวลาประมาณ 22.00 น.

ไม่มีใครทราบนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นมาประเทศไทยเพื่ออะไร เช้าวันถัดมาปริศนาค้างคาใจได้ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ นายกโตโจมากกรุงเทพเพื่อมอบ 2 รัฐฉาน (เชียงตุงและเมืองพัน) กับ 4 รัฐมลายู (ปะลิส ไทรบุรี กลันตัน และตรังกานู) กลับคืนสู่ประเทศไทย ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นยุคทองระหว่างไทยกับญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ทว่าจอมพลแปลกกลับไม่มีรอยยิ้มรวมทั้งไม่แสดงทีท่ายินดียินร้าย

นายพลนากามูระพานายกโตโจมาเยี่ยมชมวัดพระแก้ว เห็นความงดงามจากสมบัติล้ำค่าของคนไทยนายกโตโจค่อนข้างชื่นชอบ เขารีบสั่งการให้ทหารญี่ปุ่นนำปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานมาปกป้องวัดพระแก้ว นายพลนากามูระรีบชี้แจงตัวเองมีปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานเพียงหนึ่งหมวด และได้พูดถึงปัญหาการส่งมอบอาวุธให้กับประเทศไทยซึ่งเกิดความล่าช้าจากเหตุผลหลายประการ



นายกโตโจแสดงความเห็นว่าประเทศไทยสมควรมีเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ เพื่อป้องกันภัยจากการโจมตีทางอากาศต่อสถานที่สำคัญรวมทั้งวัดพระแก้ว ปีถัดมามีการส่งมอบเครื่องบินขับไล่ บ.ข.13 (Ki–43 IIb Hayabusa) จำนวน 24 ลำให้กับกองทัพอากาศไทย จากนั้นไม่นานมีการจัดตั้งฝูงบินรักษาพระนครประจำการสนามบินดอนเมือง ใช้เครื่องบินขับไล่ Ki–43 ที่ได้รับมอบจากญี่ปุ่นจำนวน 8 ลำเป็นกำลังรบหลัก เครื่องบินที่เหลือถูกส่งไปปกป้องสนามบินสำคัญทั่วประเทศ

เครื่องบินขับไล่ Ki–43 จำนวน 24 ลำคือการส่งมอบอาวุธครั้งใหญ่ให้กับประเทศไทย เป็นไปตามข้อตกลงที่ญี่ปุ่นพยายามบ่ายเบี่ยงตลอดเวลา (เพราะต้องการเก็บอาวุธไว้สู้รบกับฝ่ายสัมพันธมิตร) ความสำเร็จลุล่วงเกิดจากผลพวงนายกโตโจเดินทางมาเยือนประเทศไทย การจัดหาอาวุธพลอยรวดเร็วว่องไวต่างจากเดิมราวฟ้ากับเหว ทหารไทยที่ดอนเมืองนำเครื่องบินปีกสองชั้นรุ่นเก่าเก็บเข้าโกดัง แล้วใช้เครื่องบินขับไล่ บ.ข.13 หรือฮายาบูช่าสภาพใหม่เอี่ยมทำหน้าที่สกัดกั้นเครื่องบินผู้รุกราน


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 93  เมื่อ 01 พ.ย. 24, 08:10

การก่อสร้างทางรถไฟ

ทางรถไฟสายไทย-พม่าสร้างเสร็จวันที่ 17 ตุลาคม 2486 ใช้เวลาสร้าง 10 เดือนในเส้นทางที่วิศวกรอังกฤษระบุว่าต้องใช้เวลา 5 ปี โดยใช้แรงงานเชลยศึกกับกรรมการชาวไทยเป็นหลัก รางรถไฟมีความยาวรวมทั้งสิ้น 415 กิโลเมตร อยู่ในประเทศไทย 303.95 กิโลเมตร อยู่ในประเทศพม่า 111.05 กิโลเมตร เป็นส่วนเติมเต็มระบบคมนาคมทางรางระหว่างพม่ากับมลายู ส่วนทางรถไฟสายคอคอดกระมีความยาว 90 กิโลเมตร ใช้เวลาสร้างน้อยมากแค่ 7 เดือนก็พร้อมใช้งานในวันที่ 25 ธันวาคม 2486 ทางรถไฟสายนี้ใช้แรงงานกรรมกรชาวมลายูกับกรรมกรชาวจีนเป็นหลัก

การสร้างทางรถไฟที่อังกฤษใช้เวลาห้าปีให้สำเร็จเสร็จสิ้นภายในหนึ่งปี ญี่ปุ่นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงมาช่วยทำงานจำนวนมาก ระหว่างก่อสร้างมีปัญหาใหม่โผล่ขึ้นมาสร้างความวุ่นวาย นอกจากเรื่องฝนตกหนักถนนเป็นโคลนเลนไม่เหมาะสมต่อการเดินทาง เดือนสิงหาคมยังเกิดโรคอหิวาต์ระบาดบริเวณชายแดนไทย-พม่า ทางการไทยสามารถควบคุมโรคร้ายได้ภายในเวลาสองเดือน เชลยศึกชาวอังกฤษกับเนเธอร์แลนด์รวมทั้งกรรมกรชาวมลายูประมาณห้าพันนายเสียชีวิต ฝ่ายสัมพันธมิตรให้ข่าวโจมตีว่าทหารญี่ปุ่นดูแลเชลยศึกแบบไร้มนุษย์ธรรม ต้องทำงานหนักทั้งวันแต่มีอาหารประทังชีพเพียงน้อยนิด ‘ทางรถไฟสายไทย-พม่า’ จึงถูกผู้คนทั่วโลกเรียกขานชื่อใหม่ว่า ‘ทางรถไฟสายมรณะ’

ทางรถไฟสายไทย-พม่าและทางรถไฟสายคอคอดกระ เปรียบได้กับผลงานชิ้นโบแดงกรมทหารรถไฟญี่ปุ่น ซึ่งมีความรู้ความชำนาญเก่งเทียบเท่าวิศวกรจากประเทศมหาอำนาจ

ช่วงเวลาเกิดโรคอหิวาต์ระบาดมีปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งเกิดขึ้น เชลยศึกคนหนึ่งเป็นโรคอหิวาต์นอนอยู่ในเปลหามไม่ทราบว่าเป็นหรือตาย หัวหน้ากองร้อยนายทหารญี่ปุ่นมีคำสั่งให้ยิงใส่หนึ่งนัดเพื่อความมั่นใจ บังเอิญทหารรับใช้ชาวเกาหลีเกิดความกลัวไม่กล้าทำตาม เชลยศึกทหารอังกฤษสองนายจึงยื่นข้อเสนอให้คนชาติเดียวกันจัดการ โดยไม่มีการทำรายงานส่งถึงผู้บังคับบัญชาตามขั้นตอน

เมื่อนายพลนากามูระทราบข่าวเขารีบรายงานรัฐมนตรีกระทรวงทหารบก มีการพิจารณาคดีอย่างละเอียดถี่ถ้วนโดยศาลทหารในเมืองไทย ก่อนได้รับบทสรุปร้อยเอกญี่ปุ่นและทหารอังกฤษสองนายพ้นข้อกล่าวหา เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเชลยคนนั้นยังมีชีวิตหรือไม่ จากเหตุการณ์นี้ร้อยเอกญี่ปุ่นถูกไล่ออกจากราชการในภายหลัง เป็นไปตามระเบียบการบริหารกระทรวงทหารบกญี่ปุ่น

นอกจากการก่อสร้างถนนและทางรถไฟสายใหม่ สนามบินก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ญี่ปุ่นเข้ามาครอบครองสนามบินในประเทศไทยจำนวนมาก เวลาเดียวกันพวกเขายังแอบสร้างสนามบินลับหลายแห่งโดยไม่บอกเจ้าของประเทศ ไม่ทันรู้ตัวเจ้าของประเทศก็แอบสร้างสนามบินลับจำนวนหนึ่ง เป็นความลับสุดยอดไม่บอกให้ญี่ปุ่นรับรู้จนกระทั่งสิ้นสุดสงคราม สนามบินลับยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับปฏิบัติการทั่วประเทศของเสรีไทย เป็นจุดส่งของทางอากาศโดยเครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งลักลอบบินเข้าใกล้ที่หมายตอนกลางคืนช่วงเวลาที่ทหารญี่ปุ่นพลั้งเผลอ

ภาพประกอบคือการทดสอบเดินรถไฟสายไทย-พม่าขบวนแรกที่จุดแก่งคอยท่า หรือตังกอนตะ (KonKoita) ซึ่งเป็นจุดที่ทางรถไฟในเขตไทยกับพม่าเชื่อมโยงกัน ปัจจุบันจุดแก่งคอยท่าจมอยู่ในเขื่อนวชิราลงกรณ์เป็นที่เรียบร้อย ส่วนหัวรถจักรไอน้ำหมายเลข C5631 ในภาพคือ 1 ในรถไฟจำนวน 90 คันที่นำมาจากญี่ปุ่น ภายหลังถูกส่งมอบให้กับรถไฟไทยและเปลี่ยนมาใช้หมายเลข 725 ต่อมาในปี 2522 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ติดต่อขอซื้อกลับคืน เพื่อนำไปบูรณะซ่อมแซมและจัดเก็บอยู่ในอนุสรณ์สถานสงครามโลก




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 94  เมื่อ 02 พ.ย. 24, 08:16

การประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา

วันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2486 มีการประชุมผู้นำวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาที่ประเทศญี่ปุ่น ผู้เข้าร่วมประกอบไปด้วยประกอบไปด้วย นายกรัฐมนตรีโตโจ ประเทศญี่ปุ่น นายกรัฐมนตรีวังจิงเว่ย ประเทศสาธารณรัฐจีน นายกรัฐมนตรีจังจินฮุย ประเทศแมนจูกัว ประธานาธิบดี โฮเซ เป เรอเรล ประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ นายกรัฐมนตรีบามอ ประเทศพม่า สุภาษ จันทร โพส ประธานคณะกู้อิสรภาพของอินเดีย ในฐานะตัวแทนรัฐบาลชั่วคราวประเทศอินเดีย และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร ในฐานะตัวแทนรัฐบาลจากประเทศไทย



การประชุมที่ประเทศญี่ปุ่นคือการเปิดเผยอนาคตภายภาคหน้า สมาชิกวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น แมนจูกัว สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ พม่า อินเดีย จีน และประเทศไทย ส่วนเกาหลี ไต้หวัน อินโดนีเซีย และออสเตรเลียอยู่ภายใต้การปกครองประเทศญี่ปุ่น ปัญหาก็คือประเทศไทยซึ่งเคยเข้าข้างญี่ปุ่นในการประชุมสันนิบาตชาติที่กรุงเจนีวา กลับส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมแทนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี นี่คือจุดร้าวจุดแรกที่อาจส่งผลใหญ่ในอนาคตไม่ใกล้ไม่ไกล

นายกญี่ปุ่นต้องการให้นายกไทยเข้าร่วมการประชุมครั้งสำคัญ ในฐานะมหามิตรอันดับหนึ่งที่คอยช่วยเหลือกองทัพญี่ปุ่นมาโดยตลอด เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเชิญจอมพลแปลกไปเยือนญี่ปุ่นหลายครั้ง โชคร้ายถูกปฏิเสธทุกครั้งด้วยสาเหตุนานัปการ นายพลนากามูระพยายามเชิญเช่นกันแต่ประสบความล้มเหลว ไทยจึงเป็นชาติเดียวที่ส่งตัวแทนเดินทางไปเยือนดินแดนอาทิตย์อุทัย

ปัญหาที่เกิดขึ้นรัฐบาลญี่ปุ่นจับตามองอย่างใกล้ชิด มีคำสั่งให้ทหารทุกนายพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น เพียงแต่ยังคาดหวังว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย จะไม่เปลี่ยนไปในทิศทางที่เลวร้ายมากขึ้นกว่านี้

ในบรรดาผู้นำทั้งหมดที่เข้าร่วมการประชุมตามคำเชิญ สุภาษ จันทร โพส ประธานคณะกู้อิสรภาพอินเดียเป็นบุคคลผู้มีความโดดเด่นมากที่สุด คนอินเดียจำนวนมากให้ความเคารพนับถือและยกย่องเป็นผู้นำ ทหารอินเดียซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองอังกฤษนิยมชมชอบจันทร โพส โอกาสที่เขาจะได้เป็นผู้นำประเทศอินเดียค่อนข้างสูง ขึ้นอยู่กับว่าอังกฤษหรือญี่ปุ่นใครเป็นฝ่ายชนะสงคราม

ก่อนการประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพาที่ประเทศญี่ปุ่น วันที่ 25 กรกฎาคม 2486 สุภาษ จันทร โพส และผู้ติดตามเดินทางมาเยือนประเทศไทย นายพลนากามูระต้อนรับคณะกู้อิสรภาพอินเดียอย่างสมเกียรติ คนอินเดียในกรุงเทพต้อนรับจันทร โพสโดยการเปล่งเสียงไชโยดังกึกก้อง มีการปราศรัยปลุกระดมที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นเวลาสามชั่วโมง ทุกคนแสดงความชื่นชมอนาคตอันสดใสของจันทระ โพสและประเทศอินเดียหลังสิ้นสุดสงคราม

นอกจากประเทศไทยยังมีจันทร โพสกับคณะกู้อิสรภาพอินเดีย ที่ญี่ปุ่นยกย่องให้เป็นมหามิตรแห่งวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา บังเอิญความพยายามปลดปล่อยอินเดียจากอังกฤษให้สำเร็จลุล่วง จันทร โพสจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือบางงส่วนจากประเทศรัสเซีย ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับไม่ได้และพยายามขัดขวางทุกหนทาง การขอความช่วยเหลือจากรัสเซียยังส่งผลให้จันทร โพสเสียชีวิต จากอุบัติเหตุเครื่องบินพุ่งชนกำแพงดินที่สนามบินไทเประหว่างเดินทางไปแมนจูเรีย


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 95  เมื่อ 02 พ.ย. 24, 08:24

สุภาส จันทร โบส เป็นวีรบุรุษชาวเบงกอลคนสำคัญที่มีบทบาทมากในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดียในช่วงทศวรรษ 1930-1940 ในฐานะผู้นำแห่งกองทัพอินเดียอิสระ ชาวอินเดียรู้จักเขาในฉายาที่ได้มาด้วยความเคารพว่า Netaji ความหมายภาษาไทยตามตัวอักษรคือ “ท่านผู้นำ"



คำว่า Netaji ในที่นี้ แบ่งเป็นสองส่วน คือ ji ที่เป็นคำต่อท้ายชื่อบุคคลหรือคำเรียกบุคคล ตัวอย่างง่ายๆ เช่น Gandhi ji ท่านคานธี Pitaji ท่านบิดา ส่วนคำว่า neta ที่แปลว่าผู้นำนี้ มีรากศัพท์จากคำว่า ni ที่แปลว่านำ ซึ่งทำให้เกิดคำอื่นๆ หลากหลายด้วย เช่นคำว่า nayak หรือที่ไทยเรียก นายก ก็แปลว่าผู้นำเช่นกัน และคำว่า netr ซึ่งใกล้เคียงกับเนตามาก แปลว่า ดวงตา ไทยออกเสียงว่า เนตร สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะดวงตาคือเครื่องนำทางเวลาที่เราเดินไปข้างหน้านั่นเอง

ชีวิตช่วงต้นของสุภาส จันทร โบส

สุภาส จันทร โบส เกิดวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1897 ในเมืองกัตตัก ปัจจุบันอยู่ในมลรัฐโอฑิศา ขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเบงกอลตามการแบ่งของบริติชราช บิดาของเขาชื่อ Janakinath (ชนกีนาถ) และมารดาของสุภาสชื่อ Prabhaboti (หรือเทียบกับภาษาไทยว่า ประภาวดี) ให้กำเนิดลูกถึง 13 คน โดยสุภาสเป็นคนที่ 9 ถ้านับเฉพาะลูกชายก็เป็นลูกชายคนที่ 6

การศึกษาช่วงปฐมวัยของสุภาสเป็นภาษาอังกฤษมาตลอด เพราะเริ่มเข้าโรงเรียนครั้งแรกที่ Protestant European School ในกัตตัก โรงเรียนนี้นักเรียนส่วนใหญ่ถ้ามิใช่เด็กชาวยุโรปก็มักเป็นลูกครึ่งอังกฤษอินเดีย การสอนเป็นภาษาอังกฤษและภาษาละติน นอกจากนี้ยังสอนคัมภีร์ไบเบิลและมารยาทแบบอังกฤษ โดยไม่สอนภาษาหรือวัฒนธรรมที่เป็นอินเดียเลย ชนกีนาถเป็นคนเลือกโรงเรียนให้เขาเองเพราะอยากให้ลูกพูดภาษาอังกฤษได้อย่างไร้ที่ติ เขาเชื่อว่าจะเป็นใบเบิกทางให้ลูกในการทำงานกับชาวอังกฤษในอินเดีย

ได้รับอิทธิพลจากมารดา

อย่างไรก็ตาม น่าสนใจที่ในบ้านของสุภาส มารดาประภาวดีจะมีบทบาทหลักในการอบรมสั่งสอนลูกๆ เพราะบิดาชนกีนาถไม่ค่อยอยู่บ้าน และประภาวดีผู้นี้พูดแต่ภาษาเบงกาลีกับลูก นางเคร่งครัดศาสนา บูชาพระแม่ทุรคาและกาลี และมักจะสอนลูกๆ ด้วยเรื่องต่างในมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะ

สุภาสได้รับอิทธิพลจากมารดามากจนกลายเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้ทุกข์ยาก เมื่อเขาอายุ 12 ขวบ เขาได้ย้ายไปศึกษาที่ Ravenshaw Collegiate School ในกัตตักเช่นเดียวกัน ซึ่งโชคดีที่โรงเรียนนี้สอนภาษาสันสกฤตและเบงกาลีด้วย ณ ที่นี้สุภาสได้เริ่มบ่มเพาะอุดมการณ์รักชาติของเขาจากการได้ศึกษาพระเวทและอุปนิษัท และเขายังได้รับอิทธิพลทางความคิดจากนักบุญอย่างศรีรามกฤษณปรมหังสะ และสวามีวิเวกานันท์ รวมทั้งนักประพันธ์อย่าง บันกิม จันทรา ฉัตโตปาธยาย

สู่เส้นทางการทำงานเพื่อประเทศ

ชีวิตการศึกษาหลังจากนั้น สุภาสได้เข้าเรียน Presidency College ที่กัลกัตตา เขาเรียนปรัชญา ได้อ่านงานของ Kant, Hegel และ Bergson เป็นต้น ต่อมาเขาถูกไล่ออกจากวิทยาลัยแห่งนี้ด้วยเหตุที่ถูกกล่าวหามีส่วนร่วมในการกลุ้มรุมทำร้ายอาจารย์ผู้หนึ่งซึ่งกล่าวกันว่าได้พูดถึงอินเดียในทางไม่เหมาะสมในชั้นเรียน แม้ว่าหลักฐานจะไม่แน่ชัดว่าสุภาสมีส่วนร่วมทำร้ายจริง แต่มีพยานเห็นว่าเขาอยู่ในกลุ่มที่วิ่งหนี อย่างไรก็ตาม สุภาสมีโอกาสกลับเข้าศึกษาระดับปริญญาตรีที่ Scottish Church College และได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชาปรัชญา

เส้นทางชีวิตของสุภาสในการทำงานเพื่อประเทศชาติ เริ่มขึ้นเมื่อเขาอายุ 24 เมื่อเขาเดินทางไปบอมเบย์ใน ค.ศ. 1921 เขาได้เข้าพบมหาตมาคานธีซึ่งขณะนั้นเดินทางมาบอมเบย์ และได้สนทนากัน ความคิดเห็นของทั้งสองขัดแย้งกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการต่อสู้เพื่อเอกราช

สุภาสเห็นว่าความคิดของคานธีนั้นเลื่อนลอย คือเป้าหมายไม่ชัดเจนและไม่รู้ว่าจะบรรลุถึงได้อย่างไร สุภาสไม่เชื่อหลักอหิงสา เขามองว่าสามารถทำได้ทุกวิถีทางตราบใดที่สิ่งนั้นนำเอกราชมาสู่อินเดีย อย่างไรก็ตาม คานธีส่งต่อสุภาสให้ไปพบ ซี.อาร์ ดาส ผู้นำพรรคคองเกรสและชาตินิยมอินเดียในเบงกอล ทั้งสองมีความคิดต้องกัน สุภาสจึงฝากเนื้อฝากตัวกับท่านผู้นี้ และดำเนินเส้นทางการเมืองของเขาต่อไปจากจุดนี้เอง

เพื่อเอกราชอินเดีย

เนื่องจากเวลาอันจำกัดของรายการ เราขอสรุปสั้นๆ แต่เพียงว่า ในปี 1923 เขาได้รับเลือกเป็นประธาน All India Youth Congress ในปี 1927 สุภาสกลายเป็นเลขาธิการทั่วไปพรรคคองเกรสและทำงานร่วมกับเนห์รูอย่างใกล้ชิดเพื่อเอกราชอินเดีย ในปี 1930 เขาได้เป็นผู้ว่าการกัลกัตตา และในเวลาส่วนใหญ่ของทศวรรษ 1930 เขาได้เดินทางไปยุโรปเพื่อพบบรรดาผู้นำสำคัญหลายคน รวมทั้งเบนิโต มุสโสลินี ระหว่างนี้เขาได้ภรรยาชาวออสเตรียชื่อเอมิลี เชงเคิล และมีบุตรีด้วยกัน 1 คนคือ อนิตา โบส พฟัฟฟ์ (ปัจจุบันเธออายุ 78 ปี เป็นนักเศรษฐศาสตร์ในเยอรมนี สมรสกับอดีตผู้แทนสภาบุนเดสทาคของเยอรมนีและมีบุตรด้วยกันสามคน)

ปี 1938 สุภาส จันทร โบสก้าวขึ้นเป็นประธานพรรคอินเดียนเนชั่นแนลคองเกรสต่อจากเนห์รู ช่วงปี 1941-1943 เขาได้จับมือกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์แห่งนาซีเยอรมัน

และในช่วงสองปีสุดท้ายแห่งชีวิตคือ 1943-1945 เขาได้ทำงานอย่างแข็งขันร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นในสงครามมหาเอเชียบูรพา ในฐานะผู้นำสูงสุดแห่งกองทัพแห่งชาติอินเดียอิสระ หรือชื่อในภาษาฮินดูสตานีว่า อาซาด ฮินด์ ฟอจญ์ จนกระทั่งเขาประสบอุบัติเหตุเครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่นที่เขาโดยสารไปเกิดขัดข้องและอับปาง สุภาสได้รับบาดเจ็บจากไฟไหม้ระดับรุนแรงและเสียชีวิตลงในวันที่ 18 สิงหาคม 1945 สิริอายุ 48 ปี

ช่วงบั้นปลายชีวิตของสุภาสและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับไทย

ช่วงบั้นปลายชีวิตของสุภาส มีเรื่องน่าสนใจและเกี่ยวข้องกับไทยอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะช่วง พ.ศ. 2486-2488 เขาได้มาเคลื่อนไหวในประเทศไทยอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มากล่าวสุนทรพจน์ต่อชาวอินเดียที่พำนักอยู่ในไทย ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2486 (ค.ศ. 1943)

ไม่เพียงแต่เท่านั้น เขายังได้บริจาคเงินให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจำนวน 500,000 บาท นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นได้จัดสรรเงินจำนวนนี้เป็น 2 ส่วนเท่าๆ กันแก่ทั้งสองหน่วยงาน ซึ่งส่วน 250,000 บาทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับนั้น ยังถูกนำไปแบ่งอีกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกในปี 2489 เป็นเงินทุนสำหรับนิสิตหญิงคณะอักษรศาสตร์ผู้สอบไล่ได้คะแนนยอดเยี่ยมในแต่ละปี (โดยไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดต้องเป็นนิสิตหญิงด้วย) และส่วนที่สองในปี 2518 สมทบทุนในการก่อสร้าง "ธรรมสถานจุฬาฯ" ซึ่งกลายเป็นสถานที่ประกอบกิจกรรมของทุกศาสนาโดยไม่แบ่งแยก

https://curadio.chula.ac.th/Program-Detail.php?id=10820

บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 96  เมื่อ 03 พ.ย. 24, 08:50

ปรับปรุงกำลังพล

วันที่ 19 ธันวาคม 2486 หลังหยุดพักการโจมตียาวนานถึง 9 เดือน เครื่องบินทิ้งระเบิด B-24 ของสหรัฐอเมริกาจำนวน 20 ลำ จากกองบิน 10 ประเทศอินเดีย บินมาทิ้งระเบิดใส่ท่าเรือคลองเตยอย่างหนัก พื้นที่เป้าหมายเกิดความเสียหายค่อนข้างมาก สหรัฐอเมริกาใช้ระเบิดขนาด 500 ปอนด์จำนวน 110 ลูกทิ้งใส่เป้าหมาย การโจมตีครั้งนี้ถือเป็นการอุ่นเครื่องหลังจากหยุดพักนานพอสมควร

ท่าเรือคลองเตยเป็นจุดสำคัญในขนส่งอาวุธและยุทธปัจจัย เรือสินค้าจากญี่ปุ่นหรืออาณานิคมน้อยใหญ่จะเดินทางมาจอดที่นี่ จากนั้นจึงใช้ขบวนรถไฟลำเลียงไปส่งฐานทัพต่างๆ ทั่วประเทศ ขบวนรถพิเศษต้องแล่นผ่านบางซื่อซึ่งเป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่ พื้นที่แถบนั้นยังเป็นที่ตั้งโรงรถจักร ชุมชนรถไฟ และโรงงานปูนซีเมนต์ขนาดใหญ่ เท่ากับว่าคลองเตยและบางซื่อคือเป้าหมายสำคัญ เครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรมักแวะมาเยี่ยมเยียนทุกเมื่อเชื่อวัน


การโจมตีครั้งใหม่ทหารไทยพยายามยิงสกัดด้วยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ทว่าเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่ลำเดียว เครื่องบินขับไล่ บ.ข.10 หรือฮอว์ค 3 ประสิทธิภาพต่ำบินขึ้นไปสกัดไม่ไหว ส่วนเครื่องบินขับไล่ บ.ข.13 หรือฮายาบูช่ายังอยู่ที่ชวาเพื่อฝึกฝนนักบินไทย นายพลนากามูระอยากบริจาคเงินช่วยเหลือชาวบ้านที่สิ้นเนื้อประดาตัว บังเอิญผู้บังคับบัญชากองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ไม่เห็นด้วย ให้เหตุผลว่าไทยอยู่ฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่นย่อมถูกโจมตีเป็นเรื่องปรกติ ต่อไปในภายภาคหน้าอาจต้องเจอหนักกว่านี้ญี่ปุ่นไม่สามารถช่วยเหลือได้ทุกครั้ง

ทหารญี่ปุ่นในกรุงเทพตื่นตระหนกตกใจกับการโจมตีแบบไม่คาดฝัน นี่คือสัญญาณชัดเจนบ่งชี้ว่าไฟสงครามลามถึงเมืองหลวงประเทศไทย ต่อมาไม่นานมีการปรับกำลังพลญี่ปุ่นในประเทศไทยอีกครั้ง ให้มีขนาดใหญ่โตมากกว่าเดิมเหมาะสมกับภัยคุกคามจากฝ่ายสัมพันธมิตร

วันที่ 1 มกราคม 2487 มีการจัดตั้งกองพลน้อยที่ 29 ขึ้นในประเทศไทย ภายใต้การบัญชาการของนายพลนากามูระ กำลังพลประกอบไปด้วย กองพันทหารราบอิสระที่ 158 159 160 161 และ 162 ส่วนกองพันที่ 2 กรมทหารราบที่ 82 ย้ายจากกรุงเทพไปสังกัดกองทัพอินโดจีน-ฝรั่งเศส เท่ากับว่าทหารญี่ปุ่นในไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นถึง 5 กองพัน อาจไม่มากเพียงพอเนื่องจากต้องแบ่งทหาร 2 กองพันไปดูแลภาคใต้ แต่ต้องถือว่าดีที่สุดเท่าที่กองทัพญี่ปุ่นสามารถทำได้ในตอนนั้น

การจัดตั้งกองพลน้อยที่ 29 ช่วยเพิ่มอำนาจให้กับนายพลนากามูระ ผู้บังคับบัญชากองพันทุกนายล้วนมีประสบการณ์ความรู้ความสามารถ การฝึกทหารญี่ปุ่นในไทยเกิดความเข้มข้นเป็นระเบียบมากขึ้นกว่าเดิม การเตรียมความพร้อมเพื่อสู้รบค่อนข้างสมบูรณ์แบบประหนึ่งทหารในแนวหน้า

วัตถุประสงค์หลักของจัดตั้งกองพลน้อยที่ 29 ในประเทศไทย คือการต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตรที่ได้เปิดฉากโจมตีทางอากาศทั่วประเทศ ไม่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างไทยกับญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มมีรอยร้าวเล็กๆ หลังผ่านพ้นความวุ่นวายในพื้นที่ก่อสร้างทางรถไฟสายไทย-พม่า

ภาพประกอบคือการโจมตีทางอากาศใส่โรงไฟฟ้าวัดเลียบ




บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 97  เมื่อ 04 พ.ย. 24, 08:05

น้ำผึ้งเริ่มขม

ย่างเข้าสู่พุทธศักราช 2487 สายลมแห่งชัยชนะเริ่มพัดเปลี่ยนทิศ เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดใส่ทหารญี่ปุ่นในพม่ามากกว่าเดิม เรือดำน้ำสหรัฐอเมริกาเริ่มแสดงบทบาทผู้ล่าในทะเลอันดามัน การขนส่งทางเรือเต็มไปด้วยความยากลำบากมากด้วยอันตราย มีการปรับเปลี่ยนมาใช้ทางรถไฟสายไทย-พม่า และทางรถไฟสายคอคอดกระเป็นเส้นทางหลักในการขนส่ง ญี่ปุ่นนำหัวรถจักรไอน้ำจำนวน 90 คันมาใช้งานกับรถไฟสองสาย กลายเป็นเป้าหมายใหม่ที่ฝ่ายสัมพันธมิตรจ้องมองตาเป็นมัน ส่งผลให้การทิ้งระเบิดในประเทศไทยมีมากขึ้นตามกันอย่างเลี่ยงไม่ได้

ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ไม่ทันครบหนึ่งเดือน รัฐบาลไทยได้จัดตั้งโครงการ ‘นครบาลเพชรบูรณ์’ ขึ้นมาอย่างเป็นทางการ วัตถุประสงค์เพื่อย้ายเมืองหลวงจากกรุงเทพไปยังเพชรบูรณ์ซึ่งเป็นเมืองในหุบเขา มีการออกพระราชกำหนดจัดตั้งนครหลวงใหม่ในวันที่ 29 มกราคม 2487 จอมพลแปลกประกาศเดินหน้าโครงการให้สำเร็จเสร็จสิ้นโดยเร็ว เริ่มต้นจากการย้ายโรงเรียนนายร้อย กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปอยู่จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นชุดแรก



การก่อสร้างเมืองหลวงใหม่ของประเทศไทยเป็นไปอย่างเร่งรีบ มีการระดมกรรมกรชาวไทยนับหมื่นชีวิตเข้าสู่พื้นที่ ผู้อำนวยการก่อสร้างประเมินราคาเบื้องต้นไว้ที่ 100 ล้านบาท มีการทำงานทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน โดยใช้ตัวอย่างจากการสร้างทางรถไปสายไทย-พม่าภายใน 10 เดือน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากเพราะไข้มาลาเรีย ปัญหาเรื่องอาหารและน้ำดื่มไม่เพียงพอใหญ่โตเช่นกัน แต่พันเอกช่วงเชวงศักดิ์สงครามซึ่งเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างยังสั่งเดินหน้าโครงการต่อไป

แผนการย้ายเมืองหลวงญี่ปุ่นรับรู้ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2486 เพียงแต่ไม่คาดฝันว่าข่าวลือกลับกลายเป็นความจริง ความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติซึ่งมีรอยร้าวตั้งแต่การประชุมวงศ์ไพบูลย์มหาเอเชียบูรพา ขยายตัวมากกว่าเดิมจนนำไปสู่ความเคลือบแคลงใจ เพราะไม่แน่ใจรัฐบาลไทยต้องการทำอะไรกันแน่ โครงการนครบาลเพชรบูรณ์ยังแย่งแรงงานและอุปกรณ์ก่อสร้างไปจากญี่ปุ่น ยุคทองระหว่างสองชาติพาลหดสั้นลงและมีแนวโน้มจะเข้าสู่ยุคมืดมนอันเต็มไปด้วยความระแวงสงสัย

จอมพลแปลกอ้างว่าการย้ายเมืองหลวงไปอยู่เพชรบูรณ์มีความสำคัญมาก และเป็นสิ่งรักษาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นให้ยืนยงยาวนาน แม้กรุงเทพจะร้างยังมีเมืองที่เป็นศูนย์กลางในการรักษาวัฒนธรรมและสมบัติของชาติ บังเอิญนายพลนากามูระไม่เชื่อถือคำพูดผู้นำสูงสุดรัฐบาลไทย เขาตั้งข้อสังเกตแผนการย้ายเมืองหลวงอย่างเร่งด่วนไว้ดังนี้

1.จอมพลแปลกมั่นใจว่าญี่ปุ่นไม่ชนะสงคราม จึงได้เตรียมการหลบหนีไปตั้งหลักที่เพชรบูรณ์

2.สถานการณ์การเมืองประเทศไทยเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ถ้ามีความพยายามโค่นรัฐบาลโดยใช้กำลัง จอมพลแปลกสามารถหลบหนีไปอยู่เพชรบูรณ์โดยอาศัยทหารญี่ปุ่นเป็นเครื่องมือ
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 98  เมื่อ 05 พ.ย. 24, 08:29

เสรีไทยมาแล้วจ้ะ

การดูแลทหารญี่ปุ่นในประเทศไทยเต็มไปด้วยปัญหามากมาย นอกจากต้องชิงไหวชิงพริบกับจอมพลแปลกผู้ปราศจากรอยยิ้ม ซึ่งมีความเขี้ยวลากดินชนิดทั่วโลกต้องตกตะลึงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ฝ่ายสัมพันธมิตรยังส่งภัยคุกคามชนิดใหม่เข้ามาสร้างความวุ่นวายใจ สิ่งนั้นก็คือขบวนการเสรีไทยหรือ Free Thai Movement ที่นายพลนากามูระจับตามองมาโดยตลอด

ปฏิบัติการในช่วงต้นของขบวนการเสรีไทยประกอบไปด้วย

วันที่ 15 มีนาคม 2487 นายป๋วย อึ๊งภากรณ์ นายประทาน เปรมกมล และนายเปรม บุรี เสรีไทยสายอังกฤษ ลักลอบกระโดดร่มเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณบ้านน้ำขาว อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท พวกเขาโดนไล่ล่าและถูกจับกุมตัวภายในเวลาไม่นาน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจที่เป็นเสรีไทยเช่นกัน จึงสามารถติดต่อหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศตามความต้องการ ส่วนวิทยุติดต่อทหารอังกฤษที่นำมาด้วยถูกจัดเก็บในกรมตำรวจ เสรีไทยในประเทศไม่ได้ใช้งานและญี่ปุ่นไม่ได้ครอบครอง

วันที่ 10 มิถุนายน 2487 ร้อยเอกนายการะเวก ศรีวิจารณ์ ร้อยโท สมพงศ์ ศัลยพงศ์ พร้อมผู้นำทางซึ่งเป็นคนในพื้นที่ ลักลอบเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณตำบลบ้านด่าน อำเภอเชียงแมน จังหวัดลานช้าง บังเอิญโชคร้ายถูกตำรวจท้องที่ยิงเสียชีวิตกลางแม่น้ำโขง ทรัพย์สินที่ติดตัวมารวมทั้งทองคำจำนวนหนึ่งหายไป เอกสารต่างๆ และวิทยุกำลังส่ง 500 ไมล์ถูกส่งมาถึงพลตำรวจเอกอดุล อดุลเดชจรัส อธิบดีกรมตำรวจ ต่อมาในภายหลังมีคำสั่งลับสุดยอดให้ตำรวจทั่วประเทศคอยช่วยเหลือเสรีไทยชุดใหม่ เป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้ายเพราะความเข้าใจผิดครั้งที่สอง

สองอาทิตย์ถัดมาร้อยโทโผน อินทรทัต ลักลอบข้ามแม่น้ำโขงจากฝั่งลาวเข้าสู่จังหวัดน่าน แล้วชิงมอบตัวกับตำรวจไทยตามแผนการก่อนถูกทหารญี่ปุ่นควบคุมตัว ตำรวจท้องที่ส่งตัวเขาให้กับอธิบดีกรมตำรวจที่กรุงเทพ ร้อยโทโผน อินทรทัตได้พบผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์หัวหน้าขบวนการเสรีไทยในประเทศ เขาทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยเหนือสำเร็จสมความตั้งใจ จากนั้นไม่กี่วันจึงเดินทางออกนอกประเทศเพื่อไปประสานงานกับม.ร.ว.เสรีย์ ปราโมชย์ที่สหรัฐอเมริกา

เสรีไทยทั้งหมดอยู่ในความควบคุมตำรวจไทย ภายใต้การบังคับบัญชาพลตำรวจเอกอดุล อดุลเดชจรัส ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่บุคคลระดับสูงของไทยที่นายพลนากามูระหวาดวิตกมากที่สุด ญี่ปุ่นพยายามติดต่อขอนำตัวเสรีไทยมาสอบสวนค้นหาความจริง คำตอบที่ได้รับก็คือตำรวจไทยมีหน้าที่รักษาความสงบภายในประเทศ คนไทยทุกคนที่ทำผิดกฎหมายเป็นหน้าที่ตำรวจไทยไม่ใช่ทหารญี่ปุ่น

นี่คือเสรีไทยสายอเมริการุ่นแรกที่ลักลอบเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย การติดต่อระหว่างเสรีไทยในประเทศกับเสรีไทยนอกประเทศเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิม โดยที่นายพลนากามูระและทหารญี่ปุ่นทำอะไรไม่ได้เลย ทั้งที่รู้ดีเต็มอกตำรวจและทหารไทยให้ความช่วยเหลือสายลับแนวที่ห้า

ภาพประกอบจากซ้ายไปขวาคือโผน อินทรทัตหรือพอล จำรัส ฟอลเล็ตหรือดิ๊ค และการะเวก ศรีวิจารณ์หรือแครี่ซึ่งสละชีวิตเพื่อชาติระหว่างเล็ดลอดเข้าไทย





บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 99  เมื่อ 06 พ.ย. 24, 08:08

การประชุมที่โชนันครั้งที่สอง

วันที่ 5 พฤษภาคม 2487 มีการประชุมผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นที่โชนันหรือสิงคโปร์ ผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบไปด้วย จอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิ ผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ พลเอกโคเรชิคา อะนามิ ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 2 พลเอกเคนจิ โดอิฮารา ผู้บัญชาการกองทัพภาคที่ 7 รองเสนาธิการอิจิดะ ตัวแทนพลเอกมาซาคาสุ คาวาเบะผู้บัญชาการกองทัพภาคพม่า พลโทชิเกโนริ คูโคดะ ผู้บัญชาการกองทัพที่ 14 พลโทคาสุโมโต มาชิจิริ ผู้บัญชาการกองทัพประจำอินโดจีน-ฝรั่งเศส พลอากาศโทฮายาชิ คิโนชิตะ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศที่ 3 พลอากาศโทคูมาอิชิ เทราโมโตะ ผู้บัญชาการกองทัพอากาศที่ 3 และพลโทนากามูระ อาเคโตะ ผู้บัญชาการกองพลน้อยที่ 29

ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารในแนวหน้าแตกต่างจากการประชุมครั้งก่อน นายพลนากามูระอยู่เมืองไทยเหมือนเดิมแต่มีกำลังพลมากขึ้น ตำแหน่งที่ยังคงเดิมมีเพียงผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ กับบัญชาการกองทัพประจำอินโดจีน-ฝรั่งเศสซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยจากสงคราม

การประชุมครั้งที่สองแตกต่างจากครั้งแรกราวฟ้ากับเหว ผู้เข้าร่วมการประชุมทุกนายหน้าตาเคร่งเครียดปราศจากรอยยิ้ม บรรยากาศการประชุมไม่แจ่มใสไร้สิ้นความสนิทสนม เหตุผลก็คือผลงานในทุกสนามรบทหารญี่ปุ่นตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ทหารทุกนายกำลังเผชิญปัญหาสำคัญที่อาจส่งผลให้ญี่ปุ่นสิ้นชาติ ฉะนั้นต้องเพิ่มความสามัคคีและรักษาระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด

ญี่ปุ่นคาดการณ์ว่าสงครามมหาเอเชียบูรพาซึ่งกินพื้นที่ค่อนข้างกว้างไกล ทหารส่วนใหญ่ต้องใช้เวลายาวนานหลายปีในการสู้รบนอกประเทศ เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันรวดเร็วปานฟ้าผ่า ระหว่างการประชุมมีการปรับเปลี่ยนแผนการให้ถูกต้องเหมาะสม และรอคอยความพร้อมของกองทัพอากาศซึ่งคาดว่าจะเป็นระหว่างปี 2488 ถึงเริ่มปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เชิงรุกให้มีความเข้มข้นมากกว่าเดิม ระหว่างนี้ให้กองทัพทั้งหมดพยายามรักษาที่มั่นของตัวเองสุดความสามารถ

หลังการประชุมผู้บัญชาการทหารญี่ปุ่นครั้งที่สองแค่เพียงไม่นาน กองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ได้ย้ายกองบัญชาการการสู้รบมาอยู่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อควบคุมและดูแลสถานการณ์การรบให้ดียิ่งขึ้น เหตุผลก็คือทหารฝ่ายสัมพันธมิตรปฏิบัติการยกพลขึ้นบกในหลายสมรภูมิ เริ่มจากนิวกินี เกาะกวม หมู่เกาะมารีอะนา รวมทั้งเกาะไซปันซึ่งทหารญี่ปุ่นบนเกาะได้ต่อสู้จนเสียชีวิตทั้งหมด มีการสับเปลี่ยนนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาเกือบทั้งหมดเพื่อรักษาที่มั่นให้ดีมากยิ่งขึ้น

สถานการณ์ในประเทศไทยค่อนข้างเลวร้ายไม่แพ้ที่อื่น เครื่องบินทิ้งระเบิดฝ่ายสัมพันธมิตรทิ้งระเบิดทำลายสถานที่สำคัญหลายแห่ง ข้าวของเครื่องใช้ทุกชนิดราคาพุ่งทะยานและหาซื้อยากกว่าเดิม สงครามปลดปล่อยอินเดียในเมืองอิมปาลและโคฮิมาก็พบเจอแต่อุปสรรค ไม่มีความคืบหน้าไม่มีข่าวดีมีแต่ข่าวค่ายทหารถูกโจมตีทิ้งระเบิด ญี่ปุ่นต้องสับเปลี่ยนกำลังพลโดยส่งทหารใหม่เข้าสู่สนามรบ แล้วถอยทหารเก่าออกมารักษาพยาบาลหรือพักผ่อนอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย



ภาพประกอบคือจอมพลฮิซาอิจิ เทราอูจิ ผู้บัญชาการกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่บนเกาะโชนันหรือสิงคโปร์ในปัจจุบัน


บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 100  เมื่อ 07 พ.ย. 24, 08:41


การล่มสลายของจอมพลแปลก

       วันที่ 18 กรกฎาคม 2487 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่ประเทศญี่ปุ่น นายกโตโจลาออกจากตำแหน่งส่งผลให้คณะรัฐมนตรีสิ้นสภาพตามกัน

       ต่อมาในวันที่ 20 กรกฎาคม 2487 รัฐบาลไทยเสนอพระราชกำหนดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขออนุมัติเป็นพระราชบัญญัติ โชคร้ายเกิดคดีพลิกระดับโลกสภาผู้แทนราษฎรลงมติไม่อนุมัติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 36 โดยให้เหตุผลว่าเพชรบูรณ์เป็นแดนกันดารภูมิประเทศเป็นป่าเขามีไข้ป่าชุกชุม เมื่อเริ่มสร้างเมืองชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์ไปทำงานพากันล้มตายนับพัน ไม่เหมาะสมที่จะใช้งบประมาณก้อนโตสร้างเมืองหลวงใหม่ของประเทศไทย

   เมื่อพระราชกำหนดถูกตีตกจอมพลแปลกในฐานะผู้นำรัฐบาล ตัดสินใจลาออกเปิดช่องทางให้สภาผู้แทนราษฎรเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ วันที่ 24 กรกฎาคม 2487 เขายื่นใบลาออกต่อผู้สำเร็จราชการปรีดี พนมยงค์ จากนั้นจึงเดินทางกลับไปเก็บตัวอยู่ในบ้านพักพร้อมภรรยา โดยคาดการณ์ว่าสภาผู้แทนราษฎรจะเลือกตัวเองกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง

   หลังทราบข่าวรัฐบาลไทยล่มสลายเพราะพิษโครงการนครบาลเพชรบูรณ์ นายพลนากามูระรีบติดต่อทางการไทยเพื่อชี้แจงว่าญี่ปุ่นขอวางตัวเป็นกลาง จะไม่ลิดรอนเอกราชชาติไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมทั้งไม่ยินยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้กำลังเพื่อเปลี่ยนรัฐบาลอย่าง ทหารญี่ปุ่นในกรุงเทพจำนวนสองกองทัพได้รับคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกที่ตั้ง เป็นการเตรียมความพร้อมและหลีกเลี่ยงการปะทะกับทหารไทยทุกฝ่าย กองบัญชาการที่ถนนสาทรเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในระดับสูงสุด

   สถานการณ์ในกรุงเทพค่อนข้างตึงเครียดและเต็มไปด้วยข่าวลือ วันที่ 1 สิงหาคม 2487 นายควง อภัยวงศ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย จอมพลแปลกพร้อมลูกน้องคนสนิทเดินทางไปเก็บตัวที่จังหวัดลพบุรี แม้ว่าท่านจอมพลไม่ได้เป็นผู้นำรัฐบาลไทยตามที่คาดการณ์ ทว่าเขายังดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีอำนาจล้นพ้นในมือ นายทหารระดับสูงกองทัพบก กองทัพอากาศ และกองทัพเรือ แวะเวียนมาชุมนุมที่บ้านพักจังหวัดลพบุรีตลอดเวลา

   วันที่ 10 สิงหาคม 2487 นายพลนากามูระเดินทางไปเยี่ยมจอมพลแปลก เขาถูกต้อนรับอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองจากอดีตผู้นำรัฐบาลไทย นอกจากนี้ยังได้เห็นกำลังทหารที่แท้จริงในมือท่านจอมพล วันถัดมาจึงเดินทางไปพบพลเอกพระยาพหลฯและนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ เพื่อแสดงความยินดีและปรึกษาหารือถึงปัญหาต่างๆ โดยไม่พูดถึงเรื่องการเดินทางไปเยือนลพบุรี

        ความอึมครึมของการเมืองไทยดำเนินต่อไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม พลเอกพระยาพหลฯ ได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแทนจอมพลแปลก สถานการณ์ทั้งหมดเริ่มคลี่คลายในทางที่เหมาะสม โชคร้ายเกิดเรื่องราวใหญ่โตอันเป็นผลสืบเนื่องจากความไม่ชัดเจน ทหารญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งที่ต่างจังหวัดคือต้นเหตุของปัญหา ต้องรีบแก้ไขให้เร็วที่สุดก่อนจะกลายเป็นความขัดแย้งระหว่างสองชาติ

       

      แม้จอมพลแปลกแอบหลบไปเลียแผลใจอยู่ที่ลพบุรีท่ามกลางการคุ้มกันแน่นหนา แต่เครื่องบินทิ้งระเบิดสหรัฐอเมริกายังตามไปถล่มสถานีรถไฟจนพังยับเยิน



บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 101  เมื่อ 08 พ.ย. 24, 08:32

เหตุร้ายที่ระนอง

   เมื่อจอมพลแปลกลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและหมดอำนาจ มีข่าวลือการใช้กำลังทหารยึดอำนาจผลักดันจอมพลแปลกกลับคืนตำแหน่งเดิม และอาจส่งผลกระทบต่อแผนการสถาปนาระเบียบใหม่ในเอเชียตะวันออก ทหารญี่ปุ่นในเมืองไทยได้รับคำสั่งเตรียมพร้อมรับในกรณีเกิดเหตุไม่คาดฝัน รวมทั้งกองกำลังชิราตากิในจังหวัดระนองอันเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ 29

   จังหวัดระนองคือจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเส้นทางรถไฟสายคอคอดกระ' เชื่อมต่อเส้นทางสายใต้จากสถานีชุมพรมาสิ้นสุดที่สถานีกระบุรี จังหวัดระนอง ทหารญี่ปุ่นสร้างค่ายพักขนาดใหญ่ที่บ้านเขาฝาชี มีการก่อสร้างทางรถไฟ ท่าเทียบเรือ ค่ายทหาร หลุมหลบภัย และป้อมปราการเพื่อใช้ในการต่อสู้กับฝ่ายสัมพันธมิตร โดยแบ่งหน้าที่รักษาความปลอดภัยประชาชนคนไทยให้กับตำรวจภูธร

   วันที่ 31 กรกฎาคม 2487 เวลาประมาณ 01.00 น.มีการแจ้งข่าวให้ทหารทุกนายเตรียมความพร้อมอยู่ในที่ตั้ง บังเอิญทหารรักษาการณ์เข้าใจคลาดเคลื่อนคิดว่ามีการสู้รบในกรุงเทพ เขารีบติดต่อผู้บังคับบัญชาแจ้งว่าเกิดเรื่องใหญ่โดยไม่ทบทวนข้อมูลให้ละเอียดถี่ถ้วน จากนั้นไม่นานกองกำลังรักษาความปลอดภัยในระนองได้รับคำสั่งให้ปลดอาวุธตำรวจไทย ผลลัพธ์ตามมามีการสาดกระสุนปืนใส่กันกลางดึกวุ่นวายไปหมด กว่ามีคำสั่งหยุดยิงเพื่อปรับความเข้าใจต้องใช้เวลายาวนานหลายชั่วโมง

ทหารญี่ปุ่นกับตำรวจระนองแยกย้ายกลับที่ตั้งใครที่ตั้งมัน การตรวจสอบในช่วงเช้าแสงสว่างมากเพียงพอ ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิตรวมกันประมาณสิบกว่าราย ส่วนใหญ่เป็นตำรวจภูธรจังหวัดระนองกับชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งพยายามป้องกันตัวสุดความสามารถเพราะคิดว่าถูกทหารญี่ปุ่นบุกโจมตี

   รายงานโศกนาฏกรรมที่ระนองถูกส่งให้กับกองทัพที่ 29 ที่กรุงเทพ กองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ที่โชนัน และกองบัญชาการทหารสูงสุดที่โตเกียว ญี่ปุ่นต้องการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดเพื่อควบคุมไม่ให้เกิดข่าวลือในทางเสียหาย นายพลนาการมูระจึงเดินทางไปขอขมาจอมพลแปลกนายกไทยคนเก่า ต่อด้วยนายควง อภัยวงศ์นายกไทยคนใหม่ซึ่งอยู่ระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เหตุร้ายที่ระนองจึงไม่ลุกลามบานปลายเหมือนกรณีทหารญี่ปุ่นตบหน้าพระไทยที่บ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี

        นายควง อภัยวงศ์นายกไทยคนใหม่มีเชื้อสายมาจากราชวงศ์กัมพูชา ได้รับการศึกษาที่ฝรั่งเศสสนิทกับจอมพลแปลกค่อนข้างมาก เป็นคนสุขุมรอบคอบและเป็นนักพูดมีปฏิภาณไหวพริบ เข้าถึงตัวง่ายพร้อมพูดคุยกับตัวแทนฝ่ายญี่ปุ่นตลอดเวลา ทำความรู้จักได้เพียงไม่นานนายพลนากามูระเริ่มสนิทและคุ้นเคยนายกไทยคนใหม่ ถึงขนาดมีนัดหมายรับประทานอาหารร่วมกันทุกวันที่ 10 ของเดือน โดยมีเอกอัครราชทูตยามาโมโตะเข้าร่วมการรับประทานอาหารเป็นบุคคลที่สาม

      ความสัมพันธ์ระหว่างนายควง อภัยวงศ์กับนายพลนากามูระทั้งสนิทสนมและแนบแน่น ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด

     ภาพประกอบคือนายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ของประเทศไทย

     


บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7267


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 102  เมื่อ 08 พ.ย. 24, 14:09

ญี่ปุ่นขึ้นบกที่เมืองไทย 8 ธันวาคม 2484 และในวันที่ 21 ธันวาคม 2484 รัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับรัฐบาลญี่ปุ่นได้ทำความตกลงเป็นพันธมิตรกัน โดยมีท่านนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และท่านเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น ได้ประกอบพิธีลงนามในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในเวลา 10.00 น.

โดยรัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแห่งประเทศไทย และ รัฐบาลสมเด็จพระจักรพรรดิ์แห่งญี่ปุ่น เชื่อตระหนักว่า การสถาปนาระเบียบใหม่ในเอเซียตะวันออกเป็นทางเดียวที่จะประสิทธิ์วงศ์ไพบูลย์ในวงเขตนี้ และเป็นเงื่อนไขอันจำเป็นในอันที่จะยังสันติภาพแห่งโลกให้คืนดีและมั่นคงแข็งแรง


สนธิสัญญาสงบศึกได้ตกลงเป็นข้อ ดังนี้

1. ประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทยสถาปนาความสัมพันธไมตรีระหว่างกันตามมูลฐานที่ต่างฝ่ายเคารพเอกราชและอธิปไตยแห่งกันและกัน

2. ในกรณีที่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศไทยอยู่ในการขัดกันทางอาวุธกับประเทศภายนอก จะเป็นประเทศเดียวหรือหลายประเทศก็ตาม ประเทศไทยหรือประเทศญี่ปุ่นจะเข้าข้างภาคีอีกฝ่ายหนึ่งในฐานะที่เป็นพันธมิตรทันที และจะให้ความช่วยเหลือแก่ภาคีนั้นด้ย บรรดาปัจจัยของตนในการเมือง การเศรษฐกิจและการทหาร

3. รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อ 2. จะได้กำหนดด้วยความตกลงร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจแห่งประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทย

4. ในกรณีที่ทำสงครามร่วมกัน ประเทศญี่ปุ่นและประเทศไทยรับรองว่า จะไม่ทำสัญญาสงบศึกหรือสันติภาพ นอกจากจะได้ทำความตกลงร่วมกันโดยบริบูรณ์

5. กติกาสัญญานี้จะได้เริ่มใช้ตั้แต่วันลงนามเป็นต้นไป กติตาสัญญาจะมีกำหนดอายุสิบปี ภาคีทั้งสองฝ่ายจะได้ปรึกษาหารือกันในเรื่องการต่ออายุกติกาสัญญานี้ในเวลาอันควรก่อนสิ้นกำหนดอายุดังกล่าวแล้ว

เพื่อเป็นพยานแก่การนี้ ผู้ลงนามข้างท้ายซึ่งได้รับมอบอำนาจโดยถูกต้องจากรัฐบาลของตนเพื่อการนี้ ได้ลงนามและประทับตรากติกาสัญญานี้ไว้เป็นสำคัญ

ทำเป็นสองฉบับคู่กัน ณ กรุงเทพ เมื่อวันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนที่สิบสอง พุทธศักราชสองพันสี่ร้อยแปดสิบสี่ ตรงกับวันที่ยี่สิบเอ็ด เดือนที่สิบสอง ปีสโยวาที่สิบหก

ลงนามโดย นายยกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น

+++

หลังจากนั้นมีการแสดงคำอวยพรจากเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น เนื่องในพิธีการลงนามในสัญญาระหว่างไทย-ญี่ปุ่น และตามด้วยสุนทรพจน์จากท่านนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7267


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 103  เมื่อ 08 พ.ย. 24, 14:57

บรรยากาศในกรุงเทพมหานคร หลังจากญี่ปุ่นขึ้นบก

หลังวันที่ 9 ธันวาคม 2484 ทหารญี่ปุ่นเข้ามาในกรุงเทพ ทำให้คนกรุงเทพเริ่มอพยพย้ายไปต่างจังหวัดกันหนาตา จนเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ชาวกรุงเทพเริ่มอพยพกันน้อยลงเนื่องจากเริ่มได้ยินข่าวว่าญี่ปุ่นจะเข้ามาขออาศัยผ่านทางเดินทัพ

ส่วนร้านค้าในพระนครและธนบุรี ก็ปรกติ ส่วนการจราจรทางบก ทางเรือก็เป็นไปด้วยความราบรื่น ส่วนที่ทำการบริษัทของอเมริกันและอังกฤษดได้ถูกทหารญี่ปุ่นเข้าพิทักษ์ เช่น บริษัท บอร์เนียว , บาโรบราวน์, ดีคุปเปอร์, บางกอกด๊อก และท่าเรือทุกท่าในเขตยานนาวา, หนังสือพิมพ์บางกอกไทม์, สถานทูตอังกฤษและอเมริกา

โรงภาพยนตร์โอเดียน ที่เยาวราชและโรงหนังในเครือคือ เฉลิมชัย และแคปิตอล เข้าใจว่าเจ้าของเป็นคนอังกฤษ ดังนั้นญี่ปุ่นจึงเข้าทำการปิดโรงหนังนี้ด้วยการปิดตีตราไว้ที่เครื่องฉายหนัง

+++

หลังจากวันที่ 15 ธันวาคม เริ่มมีการเข้มงวดพลเมืองในกรุงเทพและธนบุรี ห้ามมิให้อพยพออกจากเมือง โดยให้กวดขันไปลงทะเบียนขออนุญาตที่สำนักงานเขต ในขณะที่ราคาทองก็พุ่ง ธนาคารงดจำหน่ายธนบัตรเพื่อให้ประชาชนงดการกักตุนธนบัตร สินค้าเริ่มขาดแคลนมากขึ้น
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 818


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 104  เมื่อ 09 พ.ย. 24, 08:09


กองทัพที่ 39

   ตั้งแต่กลางปี 2487 สถานการณ์ทุกสมรภูมิญี่ปุ่นตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ การทิ้งระเบิดในไทยทวีความรุนแรงมากกว่าเดิม สหรัฐอเมริกาส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดใหญ่ B-29 Superfortress บุกโจมตีกรุงเทพตอนกลางวัน ทหารญี่ปุ่นต้องเผชิญหน้าภัยร้ายจากฟากฟ้ารุ่นใหม่ทันสมัย และสายลับจากหลายประเทศซึ่งแฝงตัวเข้ามาหาข่าวบวกปฏิบัติการกองโจร สารวัตรทหารญี่ปุ่นต้องทำงานหนักแทบไม่มีเวลาหยุดพัก อยากพึ่งพารัฐบาลไทยตามกติกาสัญญาพันธมิตรระหว่างไทยกับญี่ปุ่นก็ทำไม่ได้ เนื่องจากประเทศไทยไม่กระตือรือร้นในการช่วยเหลือและมีสถานการณ์การเมืองที่ค่อนข้างซับซ้อน

   หน่วยสอบสวนวิทยุกองสารวัตรทหารญี่ปุ่นตรวจพบคลื่นวิทยุลึกลับ ด้วยความพยายามจากหลายฝ่ายจึงสามารถค้นหาที่ตั้งสถานีวิทยุสำเร็จ ผลการสืบสวนพบว่าเป็นแหล่งซ่องสุมสายลับจากจุงกิงประเทศจีน สายลับสหรัฐอเมริกากับอังกฤษที่เป็นคนไทยก็มีมากขึ้นทุกวัน มีข่าวสายลับกระโดดร่มในพื้นที่ห่างไกลแฝงตัวเข้ามาหาทำภารกิจ ทหารญี่ปุ่นต้องการควบคุมตัวกลับมาสอบสวนข้อเท็จจริง แต่ไม่เคยสำเร็จสักครั้งสายลับเหล่านั้นได้รับการคุ้มครองจากข้าราชการไทย โดยส่งสายลับไปพักอาศัยในเขตทหารประจำท้องที่ก่อนหายตัวไปในระยะเวลาอันสั้น นี่คือปัญหาสำคัญที่ญี่ปุ่นรู้สึกตะขิดตะขวงจนพาลไม่กล้าไว้ใจรัฐบาลไทย ทั้งที่นายพลนากามูระสนิทกับนายควง อภัยวงศ์มากพอสมควร

   จำนวนสายลับลักลอบเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยมากขึ้นทุกวัน เพื่อรับมือความวุ่นวายหรือความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นตอนไหนก็ได้ วันที่ 8 ธันวาคม 2487 กองทัพประจำประเทศไทยซึ่งในอดีตสังกัดกองทัพแนวหลัง มีหน้าที่จัดส่งกำลังบำรุงให้กับกองทัพใหญ่ภาคพื้นทิศใต้ ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นกองทัพแนวหน้าใช้ชื่อใหม่ว่ากองทัพที่ 39 นายพลนากามูระได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการ

   กำลังพลกองทัพที่ 39 ประกอบไปด้วยทหารกองพลน้อยที่ 29 กับกองพลที่ 24 ภารกิจสำคัญที่ได้รับมอบหมายให้รีบจัดการโดยเร่งด่วนประกอบไปด้วย

-สร้างที่มั่นขนาดใหญ่ในพื้นที่จังหวัดนครนายก

-จัดเก็บเชื้อเพลิงในหลุมใต้ดินที่นครนายกให้มากที่สุด

-อาวุธยุทธปัจจัยซึ่งเคยรวบรวมไว้ที่พระโขนงให้กระจายออกไป

-ตรวจสอบเครื่องบินข้าศึกทุกลำโดยเฉพาะลำที่บินมาตามลำพังในตอนกลางวัน

-การรักษาความปลอดภัยต้องกระทำอย่างเข้มงวดตลอดเวลา

-กำชับทหารทุกนายให้ระวังการถูกโจมตีจากสายลับต่างชาติหรือเสรีไทย

-ทหารระดับผู้บังคับบัญชาต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ

-พยายามทำความเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีคนไทยให้มากกว่าเดิม

   สองปีที่ผ่านสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเริ่มจืดจาง อันเป็นผลสืบเนื่องจากโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ภัยคุกคามทหารญี่ปุ่นในไทยนอกจากเครื่องบินทิ้งระเบิด B-29 รุ่นใหม่ล่าสุด ยังมีเสรีไทยทั้งในนอกประเทศซึ่งเริ่มปฏิบัติการมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

   กองทัพที่ 39 ก้าวย่างอยู่บนเส้นทางอันตรายเต็มไปด้วยขวากหนาม การสู้รบกับคนไทยไม่ว่าผลออกมาจะแพ้หรือชนะล้วนส่งผลร้ายต่อตัวเอง นายพลนากามูระพยายามไม่สร้างชนวนขัดแย้งอันนำไปสู่การหันปากกระบอกปืนใส่กัน เวลาเดียวกันเขาก็พยายามเพิ่มเติมกำลังพลมากขึ้นกว่าเดิม และพร้อมสั่งการให้ลูกน้องกวาดล้างขบวนการเสรีไทยในประเทศเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.07 วินาที กับ 19 คำสั่ง