เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
อ่าน: 9303 ระลึกชาติ (2)
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 11:35

ขอตอบไล่จากข้อ5ขึ้นไปนะคะ เพราะเรื่องนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนในความทรงจำค่ะ
5.เรื่องนี้ไม่มีผลอะไรในชีวิตปัจจุบันค่ะ แต่ก็เป็นสีสรรในชีวิตบ้างเมื่อมีการคุยเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้งในสาธารณะ ซึ่งก็มีมาเรื่อยๆล่ะค่ะ
4.ความรู้สึกไม่ผูกพันธ์นี้เกิดเองค่ะ ดิฉันยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมเต็มตัวแบบแม่กิมลั้น ซึ่งคุณพ่อสำนวนอธิบายว่าเป็นสัญญาเดิมที่ตกทอดมา ทำให้เข้าใจเรื่องเกิดแก่เจ็บตาย และละวางได้เร็วค่ะ
บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 11:46

3.ความทรงจำครั้งสุดท้ายคือประมาณหกเจ็ดขวบค่ะ หลังจากนั้นเป็นเด็กหญิงรัตนาโดยสมบูรณ์ และตอนอายุสิบสี่ดร.เอียนก็พาไปพบคุณอนันต์เป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งจำอะไรไม่ได้แล้ว พูดคุยกับคุณอนันต์แบบผิวเผิน
ดร.เอียนท่านอธิบายว่าการระลึกชาตินี้คงเป็นความทรงจำตกค้าง สมองเด็กยังบริสุทธิ์อยู่ ความทรงจำเก่าเลยผุดขึ้นมา ซึ่งการตายและการเกิดใหม่ไม่ควรจะห่างกันหลายสิบปีจนสืบหาพยานที่รู้จักผู้ตายไม่ได้ ไม่มีความน่าเชื่อถือ
บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 12:30

2.เมื่อความทรงจำของแม่กิมลั้นผุดขึ้นมาก็คุยกับคุณอนันต์เป็นเรื่องเป็นราวค่ะ แต่ดิฉันจำความรู้สึกไม่ได้เพราะเด็กมาก แต่ตอนที่ความทรงจำยังไม่ผุดขึ้นก็เด็กน้อยธรรมดานี่ล่ะค่ะ
1.เรื่องชีวิตหลังความตาย คุณพ่อสำนวนได้บันทึกไว้ว่า ดิฉันเล่าว่าได้กลับไปที่บ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่กับคุณพ่อ แต่บ้านว่างเปล่าก็เลยตามหาและมาอยู่ด้วย อาจจะเป็นสาเหตุที่มาเกิดเร็วแค่ช่วงในเวลาสองปีหลังแม่กิมลั้นสิ้น
 ในช่วงนั้นคุณพ่อซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรมตั้งแต่วัยหนุ่มเพราะเป็นศิษย์ฆราวาสของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต กำลังจะออกบวชไม่สึกตลอดชีวิต แต่พระอาจารย์ที่นับถือบอกว่าลูกจะมาอยู่ด้วย แต่คุณพ่อชรามากแล้ว เลยไปเกิดกับคุณสุนิสาซึ่งเป็นลูกสาวของท่านแทน
เรื่องหลังความตายนี้เป็นเรื่องเล่า ไม่มีหลักฐานยืนยันก็อ่านสนุกๆก็แล้วกันนะคะ
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 15:39

อัศจรรย์ยิ่งครับคุณรัตนา กระผมต้องขอขอบพระคุณคุณด้วยที่มาเล่าเรื่องนี้ในที่นี่ ไม่นึกเลยว่าจะได้มีโอกาสสนทนาผ่านกระทู้แบบนี้
กระผมขออนุญาตถามต่อสองคำถามนะครับ

1. ในการระลึกชาตินี้ คุณรัตนาเองรู้สึกเองหรือเคยได้ผู้อื่นพูดว่าคุณมีลักษณะนิสัย หรือความชอบที่คล้ายคุณกิมลั้นบ้างไหมครับ ที่อาจจะนิยามได้ว่าเป็นสัญญาเก่า

2. คุณเคยคิดหรือสันนิษฐานเองบ้างรึไม่ว่าอะไรเป็นเหตุให้คุณระลึกชาติได้อย่างอัศจรรย์เช่นนี้?

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ก.ค. 24, 17:12 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 15:42

กระผมเองรู้สึกดีใจมากที่ได้มีโอกาสสนทนาเช่นนี้ ด้วยสนใจในแง่นี้มานานพอสมควร แต่ก็ยังไม่เคยได้พบเจอบุคคลระลึกชาติได้ด้วยตัวเอง ไม่เคยนึกว่าจะได้มาเจอในเรือนไทยครับ ขอบพระคุณอีกครั้งครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ก.ค. 24, 16:54 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41289

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 17:11

    น่าอัศจรรย์มากค่ะ  ได้พบบุคคลตัวจริงที่มีประสบการณ์ระลึกชาติ
    จากคำบอกเล่าของคุณ ทำให้ขอสรุปเป็นข้อๆตามนี้
    1 การระลึกชาติของคุณ เป็นการระลึก "เหตุการณ์"  และ"อารมณ์ผูกพัน" กับคนในชาติก่อน เมื่อคุณยังเล็กมาก     แต่ 2 อย่างนี้ก็จางไปเมื่อคุณเติบโตขึ้น 
    2  คุณไม่ได้ต้องการจะกลับไปอยู่กับคุณอนันต์ลูกสาวคุณอีก    ชาติก่อนเหมือนละครที่ปิดฉากจบเรื่องไปแล้ว   จะย้อนกลับไปดูอีกก็ไม่เหมือนเดิม  คุณคงจะพอใจกับชีวิตใหม่ในชาตินี้มากกว่า 
    3  แต่มีอีกชาติหนึ่งที่คุณระลึกไม่ได้ คือคุณกับคุณพ่อบุญธรรมน่าจะเคยเป็นพ่อลูกหรือคนในครอบครัวเดียวกันมาใน 2 ชาติก่อน (คือก่อนชาติที่คุณเกิดเป็นคุณป้ากิมลั้น )   คุณตามมาเกิดในครอบครัวของท่านอีก   แปลว่าความผูกพันของคุณกับคุณพ่อบุญธรรมมีมากกว่าความผูกพันระหว่างคุณกับลูกสาวคือคุณอนันต์   
    4   เทียบกันระหว่างชาติปัจจุบันกับชาติที่เกิดเป็นคุณป้ากิมลั้น  คุณพอใจที่จะอยู่กับปัจจุบันมากกว่าในอดีต     นั่นก็คือคุณตัดความยึดเหนี่ยวในอดีตไปได้ 1 ชาติ  แต่คุณก็ยังมีความผูกพัน (ที่อาจเกิดจากการถือศีลหรือปฏิบัติธรรมร่วมกัน) กับคุณพ่อบุญธรรม จนเกิดมาได้อุปถ้มภ์ค้ำชูกันในชาตินี้
    ทั้งหมดนี้ไม่ทราบว่าถูกหรือผิด    รอคำตอบจากคุณ Rattananuch ค่ะ
บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 18:24

ยินดีที่ได้แบ่งปันประสบการณ์ค่ะ คุณภศุสรร
ขอตอบคำถามดังนี้ค่ะ
1.เรื่องความชอบที่คล้ายแม่กิมลั้น มีเรื่องหนึ่งที่จำได้แม่นเพราะโตแล้วคือ ครั้งสุดท้ายที่ดร.เอียนพาไปเยี่ยมคุณอนันต์ เธอได้พาไปเลี้ยงอาหารกลางวันที่ร้านริมทะเล มีกับข้าวจานหนึ่งซึ่งชอบมากเลยตักบ่อยๆ คุณอนันต์ก็พูดขึ้นมาว่าคุณแม่ชอบทานกับข้าวจานนี้ซึ่งก็คือเนื้อปลาผัดพริก และเธอก็ตั้งใจสั่งมาให้ดิฉันโดยเฉพาะ
2. เมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดิฉันก็เคยวิเคราะห์เรื่องระลึกชาตินี้ค่ะ ว่าเป็นไปได้ตามหลักวิทยาศาสตร์หรือ แต่หลักฐานที่ดร.เอียนรวบรวมทำวิจัยไว้ก็น่าเชื่อถืออยู่ ท่านให้คะแนนเคสของดิฉันถึง87% ซึ่งอยู่ในระดับTopของเคสทั่วโลกที่ท่านไปตระเวณทำวิจัยมา
แล้วดิฉันก็สรุปว่าที่ระลึกชาติได้นั้น อาจเป็นเพราะแม่กิมลั้นช่วงบั้นปลายชีวิตได้ถือศีลเป็นอุบาสิกาที่วัดมหาธาตุ และได้ปฏิบัติกรรมฐาน ดวงจิตคงใสพอที่จะสะท้อนความทรงจำออกมาได้เมื่อเกิดในภพชาติใหม่
ส่วนสัญญาเก่านั้น คุณพ่อหมายความว่าดิฉันมีทุนเดิมมากอยู่ ถ้าได้ปฏิบัติกรรมฐานก็จะต่อติดและไปได้เร็วมากค่ะ
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 18:46

ขอบคุณครับ ฟังจากคำบอกเล่าของคุณรัตนา กระผมพอจะคาดคะเนได้ว่าคุณเองนั้นมีความไม่ยืดติดแบบที่คุณเทาชมพูได้วิเคราะห์มาก่อนหน้านี้ นับว่าเป็นสภาพแห่งการปลงที่ตรงกับแนวคิดทางพุทธศาสนาอยู่แล้วครับ กระผมขอถามเพิ่มเติมอีกสองข้อเป็นสองข้อสุดท้ายนะครับ

1.  คุณเองเมื่อโตขึ้นมีความรู้สึกโดยรวมเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาตินี้ ถ้าหากจะถามอย่างกว้างๆ เช่น ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ เป็นต้น
มีความรู้สึกนึกคิดอะไรที่ฝังลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไม่สามารถลืมเลือนได้หรือไม่?
2. ถ้าหากชาติหน้ามีจริงและคุณสามารถเลือกได้ คุณรัตนายังอยากที่จะระลึกชาติได้อีกไหม?

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 24 ก.ค. 24, 19:19 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 18:57

อาจารย์เทาชมพูสรุปข้อ1,2ได้ตรงเป๊ะกับใจดิฉันเลยค่ะ ความทรงจำเรื่องแม่กิมลั้นจะมาเป็นครั้งๆคราวๆ พูดแล้วพูดเลย ตอนเด็กน้อยจะพูดเยอะหน่อย แต่พอเข้าโรงเรียน มีกิจกรรมก็ค่อยห่างหายไป จึงไม่มีความผูกพันอะไรเลย แต่คุณพ่อจะเป็นคนบันทึกไว้ทุกอย่างเพราะท่านก็มีภูมิธรรมเรื่องจิตวิญญานอยู่มาก
ข้อ3.ความผูกพันธ์ของดิฉันกับพ่อคงมีมาตลอดจริงค่ะเมื่อคิดตามที่อาจารย์วิเคราะห์ไว้ และคงไม่ได้ชาติเดียวด้วยเพราะเรื่องชาติภพนี่ซับซ้อนจริงๆ
ข้อ4.ความผูกพันธ์ที่มีต่อคุณพ่อเหนียวแน่นมากค่ะ ดิฉันคิดอยู่เสมอว่าถ้าสิ้นชีวิตแล้วก็จะกลับไปบ้านเดิมที่เราเคยอยู่ด้วยกัน แต่ไม่รู้จะตามท่านทันหรือไม่เพราะท่านปฏิบัติธรรมถึงขั้นสูงมากแล้ว และจากไปด้วยการนอนหลับไปเฉยๆ ส่วนดิฉันยังรักสนุกปนขี้เกียจอยู่เลยไม่ได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐานอย่างจริงจังเสียที
บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 19:05

ขอบคุณครับ ฟังจากคำบอกเล่าของคุณรัตนา กระผมพอจะคาดคะเนได้ว่าคุณเองนั้นมีความไม่ยืดติดแบบที่คุณเทาชมพูได้วิเคราะห์มาก่อนหน้านี้ นับว่าเป็นสภาพแห่งการปลงที่ตรงกับแนวคิดถางพุทธศาสนาอยู่แล้วครับ กระผมขอถามเพิ่มเติมอีกสองข้อเป็นสองข้อสุดท้ายนะครับ

1.  คุณเองเมื่อโตขึ้นมีความรู้สึกโดยรวมเช่นไรเกี่ยวกับเรื่องการระลึกชาตินี้ ถ้าหากจะถามอย่างกว้างๆ เช่น ชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆ เป็นต้น
มีความรู้สึกนึกคิดอะไรที่ฝังหลึกเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไม่สามารถลืมเลือนได้หรือไม่?
2. ถ้าหากชาติหน้ามีจริงและคุณสามารถเลือกได้ คุณรัตนายังอยากที่จะระลึกชาติได้อีกไหม?

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
1.รู้สึกเฉยๆค่ะ เพราะเรื่องเกิดตอนเด็กมากจนจำอะไรแทบไม่ได้ แต่ก็สนุกดีเวลามีคนมาถาม มาสัมภาษณ์เรื่องนี้ซึ่งมีมาตลอดชีวิต

2.ถ้าเกิดใหม่และเลือกได้ จะระลึกชาติได้อีกสักรอบก็ได้ค่ะเพราะไม่ได่ส่งผลลบอะไรในชีวิต แต่เป็นสีสรรของชีวิต
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41289

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 19:32

อ้างถึง
2.ถ้าเกิดใหม่และเลือกได้ จะระลึกชาติได้อีกสักรอบก็ได้ค่ะเพราะไม่ได่ส่งผลลบอะไรในชีวิต แต่เป็นสีสรรของชีวิต
     ดิฉันเชื่อว่าคุณปล่อยวางได้แล้วขั้นหนึ่งในระดับทางโลกค่ะ  คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยเป็นและเคยมี   เพราะถ้าเป็นคนที่ระลึกชาติได้อย่างคุณ แต่ยังยึดมั่นอยู่  ก็อาจจะหาประโยชน์จากการระลึกนี้ได้   เช่นจำได้ว่าชาติก่อนเป็นเศรษฐีนี  ชาตินี้มีีทางจะไปเอาสมบัติมาครอบครองอีกชาติหนึ่งได้ก็อยากทำ
     นั่นคือการยึดติดอยู่กับความอยาก   ต่อให้ทำได้ มันก็ไม่ใช่หนทางที่นำความสุขสงบมาให้  ใครจะไปรู้ว่าเงินทองที่ได้มามันผูกติดมากับภาระและปัญหาอะไรบ้าง  ในเมื่อของฟรีไม่มีในโลกอยู่แล้ว 
     คุณกับคุณพ่อ  ไม่ใช่การยึดติด  แต่เป็นความผูกพันของคนมีศีลธรรมด้วยกัน จึงดึงดูดเข้าหากัน   ถ้าท่านไม่บรรลุจนถึงขั้นไปไกลเกินกว่าจะตามไปถึง   ท่านกับคุณก็คงจะได้พบกันอีก เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันเหมือนในชาตินี้
บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 19:59

อ้างถึง
2.ถ้าเกิดใหม่และเลือกได้ จะระลึกชาติได้อีกสักรอบก็ได้ค่ะเพราะไม่ได่ส่งผลลบอะไรในชีวิต แต่เป็นสีสรรของชีวิต
     ดิฉันเชื่อว่าคุณปล่อยวางได้แล้วขั้นหนึ่งในระดับทางโลกค่ะ  คือการไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่เคยเป็นและเคยมี   เพราะถ้าเป็นคนที่ระลึกชาติได้อย่างคุณ แต่ยังยึดมั่นอยู่  ก็อาจจะหาประโยชน์จากการระลึกนี้ได้   เช่นจำได้ว่าชาติก่อนเป็นเศรษฐีนี  ชาตินี้มีีทางจะไปเอาสมบัติมาครอบครองอีกชาติหนึ่งได้ก็อยากทำ
     นั่นคือการยึดติดอยู่กับความอยาก   ต่อให้ทำได้ มันก็ไม่ใช่หนทางที่นำความสุขสงบมาให้  ใครจะไปรู้ว่าเงินทองที่ได้มามันผูกติดมากับภาระและปัญหาอะไรบ้าง  ในเมื่อของฟรีไม่มีในโลกอยู่แล้ว 
     คุณกับคุณพ่อ  ไม่ใช่การยึดติด  แต่เป็นความผูกพันของคนมีศีลธรรมด้วยกัน จึงดึงดูดเข้าหากัน   ถ้าท่านไม่บรรลุจนถึงขั้นไปไกลเกินกว่าจะตามไปถึง   ท่านกับคุณก็คงจะได้พบกันอีก เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลกันเหมือนในชาตินี้
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์
อาจารย์วิเคราะห์ได้ถูกต้องงดงามมาก
เหตุผลหนึ่งที่ดิฉันไม่ต้องการติดต่อกับคุณอนันต์อีกนอกจากการไม่ยึดติดเรื่องราวในอดีตชาติก็คือครอบครัวของเธอเป็นเศรษฐี การจะพาตัวไปเกี่ยวข้องด้วยเหตุผลเหนือธรรมชาติแบบนี้คงไม่ถูกต้องนัก
ส่วนเรื่องการจะได้พบคุณพ่ออีกนั้น ดิฉันคงต้องเริ่มต้นพากเพียรเสียที ท่านก็ได้ทิ้งบันทึกวิธีฝึกฝนไว้ให้มากอยู่ แต่ตอนมีชีวิตอยู่ท่านไม่เคยบังคับเลยค่ะ ท่านพูดเสมอว่าถึงเวลามันก็ทำเองแหละ
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 20:06

ผมเองเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วในระดับหนึ่งครับ ถ้าหากไม่มีโชคชะตา ฟ้าดินคงไม่ให้เกิดมา ทั้งนี้ โชคชะตาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งครับ ก็ยังมีอีกหลายเรื่องในชีวิตที่คนเราต้องพึ้งตนเอง ดูจากคำพูดของคุณพ่อคุณรัตนาแล้ว เชื่อได้เลยว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูง ส่วนคุณรัตนาเองก็ได้แสดงออกถึงความปล่อยวางในอนิจจัง ตามกฎไตรลักษณ์ แม้คุณอาจไม่คิดเช่นนั้น กระผมเชื่อว่าตัวคุณเองก็ได้ถึงธรรมในระดับหนึ่งแล้วเช่นกันครับ นับเป็นความโชคดียิ่งของคุณ
อาจจะพออนุมานได้ว่า การกลับมาเกิดนี้ก็อาจจะเป็นเพียงแค่การกลับมาต่อยอด ในสิ่งที่คุณเคยทำมาดีแล้วในชาติก่อนก็เป็นได้
บันทึกการเข้า
Rattananuch
อสุรผัด
*
ตอบ: 66


ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 20:09

ผมเองเชื่อว่าทุกสิงทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้วในระดับหนึ่งครับ ถ้าหากไม่มีโชคชะตา ฟ้าดินคงไม่ให้เกิดมา ทั้งนี้ โชคชะตาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งครับ ก็ยังมีอีกหลายเรื่องในชีวิตที่คนเราต้องพึ้งตนเอง ดูจากคำพูดของคุณพ่อคุณรัตนาแล้ว เชื่อได้เลยว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูง ส่วนคุณรัตนาเองก็ได้แสดงออกถึงความปล่อยวางในอนิจจัง ตามกฎไตรลักษณ์ แม้คุณอาจไม่คิดเช่นนั้น กระผมเชื่อว่าตัวคุณเองก็ได้ถึงธรรมในระดับหนึ่งแล้วเช่นกันครับ
ขอบคุณมากค่ะ คุณภศุสรร
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 24 ก.ค. 24, 20:20

ยินดียิ่งครับ ตามหลักพุทธศาสนาแล้ว เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด วัฎสงสาร ต้นกำหนด ต้นกำเนิด และความหมายแห่งกรรมนั้น พระพุทธองค์ท่านได้ตรัสไว้ชอบแล้วว่าเป็นสิ่งอจินไตยครับ ไม่มีที่สิ้นสุด และเกินกว่าความสามารถของปุตุชนใดๆที่จะรับรู้และเข้าใจได้ทั้งหมด คิดไปก็มีแต่จะปวดหัว และอาจถึงความวิปลาศได้ อีกทั้งยังไม่มีประโยชน์ ไม่นำไปสู่การบรรลุ เปรียบเหมือนชายคนหนึ่ง ได้ถูกแทงด้วยลูกธนูเข้าที่อวัยวะสำคัญ สภาวะวิกฤต หมอกำลังจะทำการรักษา แต่ชายนั้นกลับบอกหมอให้ตรวจก่อนว่าธนูนั้นใครเป็นผู้ยิง ลูกธนูสีอะไร ทำมาจากวัสดุใด กว่าจะหาคำตอบเหล่านี้มาได้ ชายผู้นั้นก็จักถึงแก่ความตายเสียก่อนครับ

เรื่องอจินไตยจึงไม่ควรคิดด้วยเหตุนี้ อดีดผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง สู้เราอยู่กับปัจจุบันเห็นจะดีที่สุด วัฎสงสาร ภพภูมิต่างๆ เรื่องของกรรมเวร ตามหลักศาสนาแล้ว  เราควรรู้ไว้ ไม่ใช่เพื่อที่จะไปหมกมุ่นกับมัน แต่ควรรู้ไว้ เข้าใจให้ดีว่ามันเป็นเช่นไร เพื่อที่จะหาทางบรรลุ หลุดพ้นออกจากวงจรนั้นดีกว่าครับ

หลักธรรมเท่าที่ผมรับทราบมา ก็เป็นเช่นนี้แล…
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 19 คำสั่ง