เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 32 33 [34] 35 36 37
  พิมพ์  
อ่าน: 105163 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 495  เมื่อ 11 ส.ค. 25, 17:54

ในยุคปลาย 60s มีวงดนตรีหลายวงที่ใช้ชื่อนักร้องนำและตามด้วยชื่อวง  มีวงหนึ่งที่นักร้องนำมีชื่อว่า Gary เหมือนกับ Gary Lewis  คือวง Gary Puckett & the Union Gaps เนื่องจากความดังของวงอยู่ในยุค 60s  มาถึงยุคผม  single ของพวกเขาจึงไม่ได้เข้ามาแบบทีละเพลง  มันเข้ามาหมดแล้ว  อยู่ที่ดีเจจะเอาเพลงไหนมาเปิดให้ฟัง 

นักฟังเพลงฝรั่งทั่วไปจะรู้จักเพลงดังของวงนี้อยู่เพลงเดียวเพราะเปิดบ่อยมากที่สุด



ความจริงวงนี้ยังมีเพลงดังอีก 3 เพลง  แต่โดนความดังของเพลงแรกกลบเสียหมด







นั่นเป็น 4 เพลงดังระดับแผ่นเสียงทองคำ  ข้อมูลบอกว่าวงนี้อายุสั้น ไม่กี่ปีก็ยุบวง
 
ต่อยอดด้วย...




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 496  เมื่อ 12 ส.ค. 25, 18:16

หมายเหตุแต่ไก่โห่ ... บทความที่จะลงต่อไปนี้ เพิ่งมารู้ละเอียดในยุค อตน.  ตอนนั้นไม่รู้เรื่อง  สมัยโบราณกาลรู้จักแต่เพลง  ชื่ออะไรก็จำไม่ได้  แล้วก็มาได้ยินภายหลังจากยุคของมัน (ปลาย 60s)  ต่อมาซึ่งยังไม่ถึงยุค อตน.  รู้เพิ่มขึ้นมาว่าเนื้อหาเพลงนี้เกี่ยวกับบุคคลในวงการเพลง  แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร  แกะศัพท์ยังไม่ออกเลย

อ้ะ... มาฟังเพลงกัน  บางคนอาจจำได้



เนื้อเพลง Creeque Alley นี้เป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นโบว์แดงที่ฝังไว้ในประวัติศาสตร์วงการเพลงของอเมริกา  เนื้อเพลงกล่าวถึงที่มาที่ไปของสมาชิกวงในตำนาน The Mamas and The Papas (แนะนำไปหลายหนแล้ว) กว่าจะมาเจอกันและรวมตัวกันจนก่อร่างสร้างวงนี้ขึ้นมา  จนถึงจุดที่วงดังระเบิดด้วยเพลง California Dreamin’  ระหว่างทางสมาชิกแต่ละคนต่างก็มีเพื่อนฝูงสนิทที่ต่อมาล้วนมีชื่อเสียงในวงการเพลงกันทั้งนั้น  เพลงของพวกเขาเหล่านี้ก็เข้ามาดังในบ้านเราด้วย

ก่อนอื่นสมาชิกของวงประกอบด้วย John – Michelle Phillips, Denny Doherty แล้วก็ Mama Cass (Cass Elliot) ชื่ออื่น ๆ ในเพลงก็คือเพื่อนฝูงของพวกเขา

ก่อนอื่น อีกครั้ง...  วง The Mamas & the Papas นี้ก็มีคนเอามาพาดพิงถึงในเพลงของพวกเขาเช่นกัน

(0.36, 0.56)


ต่อไปก็จะนำเสนอผลงานของศิลปินที่เอ่ยถึงในเนื้อเพลง Creeque Alley ที่มีผลงานไม่มากในบ้านเราก่อน

Barry McGuire ... จากการค้น เคยเป็นสมาชิกวง folk ชื่อ The New Christie Minstrels  วงนี้เคยมีเพลงมาเปิดที่บ้านเราคือเพลงนี้  ในยุครายการ Golden Oldies  ที่ต่อมามีคนนำมาปลุกความดัง  คือเสียงของ John Denver ในยุค 70s



ส่วนเพลงของวงฯ จากเสียงของ BM คือเพลงนี้  ผมได้ยินทางวิทยุเหมือนกันแต่จำไม่ได้ว่าช่วงเวลาไหน  ต้องหลังจากยุคของมันแล้ว

(0.27)


หลังจากแยกออกมาเป็นศิลปินเดี่ยว  เธอมีเพลงดังในบ้านเราคือเพลงนี้  มันดังในปลาย 60s  ผมก็มาได้ยินในภายหลังเช่นกัน



ต่อไป  Roger McGuinn คือหนึ่งในผู้ก่อตั้งวง The Byrds อีกหนึ่งวงในตำนาน เป็นวงที่คนในวงการเพลงบ้านเขานิยามว่า super group คือ สมาชิกของวง ทั้งที่ก่อนเข้ามาหรือออกไปแล้ว ล้วนแต่มีชื่อเสียงในวงการเพลงทั้งนั้น
 
สมาชิกดั้งเดิมของวง The Byrds  ประกอบด้วย David Crosby, Gene Clark, Michael Clarke, Chris Hillman, and Roger McGuinn  ผลงานดังของวงนี้มีน้อย  แต่ก็ดังสนั่น  และเข้ามาสนั่นในบ้านเราด้วย  ในยุคของมัน (ก่อนผม) นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราทุกคนรู้จัก 2 เพลงนี้  เพลงแรกร้องนำโดย RM



เพลงนี้ประสานเสียงโดย DC, RM และ GC



โดยทั่วไป  บ้านเรารู้จักแค่ 2 เพลง  ผมรู้จักมากกว่านี้เพราะซื้อ CD รวมเพลงเด่นของวงมาฟัง  เพราะ ๆ ทั้งนั้น











และ เพลงนี้จากเสียงร้องนำของ RM
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 497  เมื่อ 13 ส.ค. 25, 18:07

ฝอยต่อ...



คนต่อไปที่มีชื่ออยู่ในเนื้อเพลง Creeque Alley คือ Zal หรือ Zal Yanovsky และ Sebastian หรือ John Sebastian ต่อมารวมตัวกันก่อตั้งวง Lovin’ Spoonful  

ผมรู้จักชื่อวงนี้มาตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก  แสดงว่าต้องดังในเมืองไทย  แต่แปลกที่นึกเพลงที่ได้ยินทางวิทยุออกเพลงเดียว  ข้อมูลบอกว่าเป็นหนึ่งในวงชั้นแนวหน้าในปลาย 60s  เพลงดังของพวกเขามีมากมาย ผมว่าวิทยุบ้านเราต้องเอามาเปิดมากกว่านี้อย่างแน่นอน  











ในเวลาต่อมาผมมีเพื่อนต่างชาติ  เธอเอาเพลงนี้มาแนะนำ  ผมฟังแล้ว โอ้โฮ... มันเพราะจริง ๆ  ถ้าเปิดออกทางเครื่องเสียงดี ๆ นะ  กระหึ่มเลยละ  เดี๋ยวคืนนี้จะฟังซะหน่อย



แล้วก็เพลงนี้  ที่เป็นเพลงบรรเลงเพราะจริง ๆ  มีเพื่อนเจ้าบ้านที่บ้าเพลงก็ได้รู้อะไร ๆ  ลึกดีนะ



หัวหน้าวงคือ John Sebastian เป็นศิลปินที่คร่ำหวอดในวงการเพลง ความสามารถของเธอล้นหลาม  ร้องเพลง  เขียนเพลง เขียนหนังสือ ฯลฯ  เธอคุ้นเคยกับวงดังในแขนงต่าง ๆ ในยุคนั้น  และเป็นเพื่อนสนิทกับสมาชิกวง The Mamas & the Papas  คือล้มลุกคลุกคลานมาด้วยกัน

ใน clip นี้  เธอมาร่วมแสดงสดกับศิลปินแนว folk  ที่เห็นระดับพระกาฬทั้งนั้น

(1.13 - เสื้อสีแดง ใส่แว่น อันเป็นเอกลักษณ์ของ JS)


ในกลางยุค 70s  เธอร้องเพลงนำในหนังชุดทางทีวีเรื่อง Welcome Back, Kotter  เพลงขึ้นถึงอันดับ 1  วิทยุบ้านเราให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

(หนังชุดนี้มาฉายในบ้านเราทางช่อง 3  สังเกตดี ๆ จะเห็น John Travolta  นี่เป็นการเปิดตัวครั้งแรกของเธอในวงการแสดง)
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 498  เมื่อ 14 ส.ค. 25, 17:56

Dorothy Moore  ร้องเพลงแนว ballad เพลงนี้ดังจริง ๆ ทั้งในบ้านเราและบ้านเขา  ฟังแล้วบีบคั้นหัวใจ



ผมฟังครั้งแรกก็ติดใจ  แต่ไม่ถึงขั้นไปหาซื้อแผ่นเสียง  single ที่ 2 และ 3 ก็ยังคงเพราะอยู่  แต่มันไม่ดัง  อย่างไรก็ตามวิทยุยังคงเปิดบ้าง





ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น  วิทยุก็เปิดเพลง I believe you แต่ร้องโดยวง The Carpenters ออกมาแข่งกัน



2 เพลงเทียบกัน  ผมว่าฉบับของ DM ทิ้งขาด  ช่วงนั้นเป็นขาลงของวง The Carpenters  เพลงนี้ไม่ดัง  ไม่ใช่ไม่ดังเฉย ๆ  แต่ไม่ดังอย่างน่าตกใจ  แนวโน้มเริ่มมาจาก album นี้  อันเป็น album ก่อนหน้าที่หลังจากออกตลาดแล้วพบว่าผู้บริโภคเริ่มหมดความนิยม  single นำร่องขึ้นไม่ถึง top 10 เป็นครั้งแรก  แต่บ้านเราเปิดแบบกระหน่ำ

(เพลงนี้เป็นการนำมาร้องใหม่  ต้นฉบับเป็นเพลงแผ่นเสียงทองคำของวงดังในยุคปลาย 60s ชื่อ Herman’s Hermits … ทำรายงานไว้แล้ว  แต่จำไม่ได้ว่านำเสนอไปแล้วยัง  ถ้ายังก็รอแป๊บ)


Singles ต่อ ๆ มายิ่งแย่ลงไปใหญ่  น่าจะหาคนจำได้ยาก  ดีเจบ้านเราก็เริ่มเบื่อเหมือนกัน  เลยไม่อยากเปิด





เมื่อบรรดา singles ไม่ดัง  มันก็ชุดยอดขาย album ให้ตกต่ำไปด้วย 

แต่ผมยังไม่ถอดใจ  ยังคงเป็นแฟนเพลงของวงนี้อย่างซื่อสัตย์  ผมว่าเพลงใน album นี้เพราะ ๆ ทั้งนั้น ละเมียดละมัย  เพียงแต่ทำนองไม่หวือหวา  มีที่หวือหวาอยู่ 2 เพลง  นอกจากเพลงอันเป็น single แรกแล้วก็เพลงนี้ที่บ้านเราเปิดบ่อยประมาณกัน  แม้จะไม่ใช่ single



ส่วน 3 เพลงนี้เป็น album tracks ที่ยกมาให้ฟังว่าเพราะไม่เลว  นุ่มนวลมาก  เหมาะแก่การฟังคนเดียวในยามสงบ ๆ







มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 499  เมื่อ 15 ส.ค. 25, 18:18



Package ของ album ชื่อ A kind of hush นี้สวยทีเดียว  แต่ไม่เป็นแบบ gatefold  ด้านหนึ่งของซองในใส่แผ่น ฯ เป็นเนื้อเพลง  อีกด้านเป็นรูปของ 2 พี่น้อง  Richard Carpenter หล่อไม่เบา  ถ้าไถผมด้านข้างออก  หน้าเธอจะหล่อมาก (ใครทำให้วะ  น่าด่าจริง ๆ)  ผมเริ่มเห็นความหล่อของเธอมาตั้งแต่ปก album ก่อนนี้คือ Horizon ที่มีเพลงดัง Please Mr. Postman
  


และตอกย้ำความคิดด้วย MV ของ singles ในแผ่น ฯ ที่เห็นทางทีวี อย่าลืมว่าในยุคนั้น อตน. ยังไม่เกิด  จะหาอะไร ๆ ที่ตามสมัยจากเมืองนอกมาเสพเป็นยากมาก  ต้องรอความเมตตาจากสื่อ  ในตอนนั้นรายการเพลงจากเมืองนอกยังไม่มีแบบเป็นรายการประจำ  ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า MV 2 ตัวนี้เป็นการนำเสนอแบบ คั่นรายการอะไรแบบเนี้ยะ...  ใช่ปะ





จากที่เห็นตามปกแผ่นเสียงยุคแรก ๆ และในหน้าหนังสือ Starpics และหนังสือเพลง 3 หัว  สมัยก่อน RC ค่อนข้างอ้วน  แถมทรงผมน่าเกลียดมาก



พอเธออายุมากขึ้นและผอมลง  ดูดี๊ดี  ส่วนน้องสาว  ผมเริ่มเห็นความผิดปกติจากที่เห็นในรูปปกแผ่น Horizon แล้ว  คือผอมและไม่สดใส
 
กลับมาที่ผลงานของวงฯ... พอเริ่มจับความผิดสังเกตของผู้บริโภคได้  RC จึงเปลี่ยนแนวเพลงสำหรับ album ต่อมาคือ Passage อันเป็น album ทดลอง  เพลงที่บรรจุอยู่เปลี่ยนแนวไปเล็กน้อย  แต่ single นำร่องยังคงมีเยื่อใยของเก่าอยู่  



ผมว่าเป็นเพลงที่เพราะอย่างสุด ๆ แต่ผู้บริโภคคงเห็นต่าง  มันไม่ดัง  single ต่อมายิ่งแหวกแนวเข้าไปใหญ่



เพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่  ต้นฉบับมาจากวงนี้ที่ผมเคยได้ยินแต่ชื่อ



Single ที่ 3 ดับสนิท








เพลง I believe you คือ single ต่อมา (1978)  ผมได้ฟังเพลงนี้ทางวิทยุ  จากข่าวคราวที่อ่านและตาราง billboard ที่ไปยืนอ่านอยู่ที่แผนกแผ่นเสียงของห้างเซ็นทรัลสีลม  ไม่ปรากฏข่าว album แผ่นใหม่ของวงออกตลาดเลย  อีกหลายปีต่อมาวงถึงได้ออก album ต่อมาคือ Made in America (1981)  ที่มีเพลง IBY รวมอยู่ด้วย  แต่ตอนนั้น ‘หลังเย็น’ ไปแล้วสำหรับผม  ผมก็เลยไม่ได้ซื้อแผ่นนี้  single นำร่องของแผ่นฯ นี้ได้รับความนิยมพอประมาณ มันเป็น single ที่เรียกว่าดังแผ่นสุดท้ายของวง  บ้านเราก็เปิดไม่บ่อย





หมายเหตุ - เพลงนี้เป็นเพลงนำมาร้องใหม่  ต้นฉบับดังในยุคต้น 60s  จากวง The Marvelettes  เจ้าของต้นฉบับเพลง Please, Mr. Postman  ที่ 2.02 ใน clip คือ Tony Peluso มือ lead guitar คู่บุญ  เธอกับ RC เป็นผู้ค้นคิดแนวเพลง rock ballad อันเป็นที่นิยมในวงกว้างในเวลาต่อมา  คนในวงการเห็นตรงกันว่าเพลงนี้เป็น rock ballad เพลงแรกที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม  การเล่นกีต้าร์แบบนี้เรียกว่า fuzz guitar



ต่อมาเมื่อถึงยุค อตน. ผมถึงรู้ว่าที่วงทิ้งช่วงออก album ใหม่ห่างไปหลายปีเพราะ Karen Carpenter เริ่มป่วย  ส่วน RC ก็เครียดกับสถานการณ์ย่ำแย่ที่รุมประดังกันเข้ามาจนต้องหันไปพึ่งยาเสพติด  มันเป็น album แผ่นสุดท้ายก่อนที่เธอจะตายในอีก 2 ปีต่อมา

ผมว่านี่เป็นเพลงสุดท้ายที่ได้ยินทางวิทยุนะ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 500  เมื่อ 16 ส.ค. 25, 17:49

ต้น 80s  มีเพลงจากวงดนตรีแนว reggae ของเด็ก ๆ ผิวสี  ชื่อ Musical Youth มาดังในบ้านเรา  ดังมากด้วย  โดยเฉพาะเพลงแรก  มี MV ออกอากาศทางทีวี  audio เฉย ๆ ก็ออกแทบทุกคลื่นเพลงฝรั่ง

(ผมสงสัยมาตั้งแต่ต้นว่าไอ้คำว่า dutchie มันแปลว่าอะไร  เปิด ‘ดิก’ ก็ไม่มีคำนี้  มารู้ความหมายเอาในยุค อตน. ‘the song's title was bowdlerised to "Pass the Dutchie", the new word being a patois term for a Dutch oven, a type of cooking pot (เอาคร่าว ๆ คือ คำแสลงของ ยาเสพติด)’


เพลงที่ 2 ไม่ดังเท่าไร



ต้น 90s ก็มีเพลงแนว reggae ดังออกมาจากลำโพงวิทยุ  มันเป็นเพลงในหนัง Cooling Runnings ร้องโดย Jimmy Cliff เพลงนี้เป็นเพลงดัดแปลงมาจากต้นฉบับในยุค 70s ของ Johnny Nash



เท่าที่จำได้  เพลงแนว reggae มีมาให้ได้ยินตั้งแต่เด็ก ๆ  ในยุคผม  ผมจำได้ 2 เพลง  ดังในบ้านเรามากด้วย  นักฟังเพลงฝรั่งรุ่นเดียวกับผมต้องจำได้

วง Piglets



Carl Malcolm



น่าจะยังมีอีกนะ  แต่ผมนึกไม่ออกเพราะมันไม่ดังบน billboard  สองเพลงที่นำเสนอนั่นดังมาจากฝั่งยุโรป  

เอ่ยถึงแล้วนึกถึงเจ้าพ่อเพลง reggae ชื่อ Bob Marley บ้านเราเปิดเพลงของเธออยู่ช่วงหนึ่ง มีเพลงหนึ่งที่ดังมาก  แต่จำชื่อ/ทำนองไม่ได้เสียนี่  ไม่ใช่เพลงนี้ที่วิทยุก็เปิดเหมือนกัน



เพลง I shot the sheriff นี้บ้านเรารู้จักดีจากเสียงของ Eric Clapton แต่ต้นฉบับจากการแต่งเนื้อเป็นของ BM



EC เป็นตำนานหน้าหนึ่งของวงการเพลงฝรั่ง  เธอคร่ำหวอดอยู่ในวงการมาตั้งแต่ยุค 60s วงที่เธอร่วมเป็นสมาชิกล้วนมีชื่อเสียง  บางวงก็มีเพลงเข้ามาเปิดในบ้านเราเช่น

วง Yardbirds
 




วง Cream เพลงของวงนี้ดังมากในบ้านเรานะ ผมว่านักฟังเพลงฝรั่งต้องจำได้แน่ ๆ





4 เพลงนี้เปิดประจำในรายการของคุณวิทูร วทัญญู ที่เสนอแต่เพลง ‘เฮ้ว’

พอตั้งตัวเป็นศิลปินเดี่ยว   EC ก็ออกเพลงของตัวเองอันเป็นแนวที่ผมไม่ได้สนใจนอกจากที่มันดังมาก ๆ ประมาณว่าขณะหมุนหาเพลงโน่นนี่เป็นต้องเจอเพลงนั้น ๆ ของเธอ





โดยเฉพาะเพลงนี้ที่ถือกำเนิดขึ้นจากการเสียชีวิตของลูกชายวัย 4 ขวบของเธอ  ข่าวดังไปทั่วโลก  ในบ้านเราเป็นข่าวทางทีวีด้วย  

On 20 March 1991, Clapton's four-year-old son, Conor, whom he had with Lory Del Santo, died after falling from the 53rd-floor window of a New York City apartment belonging to a friend of Conor’s mother. After isolating himself for a period, Clapton began working again, writing music for the film Rush (1991). He dealt with his grief by co-writing "Tears in Heaven", with Will Jennings, for the soundtrack.

ส่งผลให้เพลงไว้อาลัยเพลงนี้ดังคับโลก

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 501  เมื่อ 17 ส.ค. 25, 17:59

ตอนเด็ก ๆ ผมสับสนระหว่างผลงานของ Dion กับ Del Shannon ใครร้องเพลงไหน  ตอบไม่ได้  ตอนนี้ก็ยังสับสนอยู่

Dion เริ่มต้นด้วยการเป็นสมาชิกวง Dion & the Belmonts ก่อนแยกมาเป็นศิลปินเดี่ยว  สมัยรายการ golden oldies  ดีเจเสนอเพลงของ Dion ทั้งสมัยเธอเป็นสมาชิกวง ฯ กับสมัยแยกเป็นศิลปินเดี่ยว  ผมก็เลย งง ๆ ว่าเพลงไหนอยู่ยุคไหน







หมดจากยุครายการ GO  มายุคปลาย 60s  มีเพลงของเธอออกมาจากลำโพงหนึ่งเพลง  ซึ่งเพราะมาก  เนื้อเพลงอุทิศให้กับคนสำคัญ 4 คน  แต่ใช้ชื่อแค่ 3



ส่วน Del Shannon มี 2 เพลงดัง  ในรายการ GO เช่นกัน





ต่อยอดด้วย



ฟังเพลง Little town flirt ถึงท่อนที่ Del Shannon ดัดเสียงแล้วคิดถึง Lou Christie เพลงของเธอ (หมายถึงดัง ๆ) จะต้องมีเสียงดัดมาแทรกอยู่เสมอ  เพลงนี้นักฟังเพลงฯ ร่วมยุครู้จักดีทุกคน



ผมอ่านรายละเอียดได้ว่า DS ตายตั้งแต่ยังวัยกลางคน คือยิงตัวตายด้วยสาเหตุจากโรคซึมเศร้า  โถ... พ่อคุณ  ผมว่าตัวเธอเป็น ๆ หันไปหันมาแล้วดูหล่อกว่ารูปนิ่งนะ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 502  เมื่อ 18 ส.ค. 25, 18:22

นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคทุกคนต้องจำเพลง I will always love you จากเสียงของเจ๊ Whitney Houston ได้  เพลงดังสนั่นทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา  โดยส่วนตัว  ผมเกลียดฉบับจากเสียงร้องของเธอที่สุด  มันฟังโหยหวน  ขาดความโรแมนติค ฟังแล้วขนลุก  ดังนั้นขอใช้สิทธิ์ไม่นำมาลง

เพลงนี้ไม่ใช่เพลงใหม่  โดยดั้งเดิมมันเป็นเพลง country  ที่แต่งโดย Dolly Parton  ราชินีเพลง country คนหนึ่งแห่งยุค  สาเหตุของการแต่งนั้น  เอาคร่าว ๆ  เริ่มมาจากตอนเธอเข้าสู่วงการ  นักร้อง country รุ่นเดอะชื่อ Porter Wagoner เป็นคนนำเธอเข้าสู่โลกเพลง country ด้วยการให้เป็นสมาชิกประจำในรายการของเธอ (PW)



เท่าที่จำมา PW  ไม่ได้ให้เกียรติ DP สักเท่าไร  แถมยัง ‘ครอบ’ เธอไว้ตลอด  จนเธออึดอัดและอยากแยกเป็นศิลปินเดี่ยวแต่ก็ไม่ได้รับการสนับสนุน 



(สังเกตคำพูดที่ ‘ฟังดี ๆ เหมือน’ ไม่ให้เกียรติของ PW ในตอนต้น clip ทั้ง 2)


หลังจากร่วมงานกันมา 7 ปี  ในที่สุด DP ก็เขียนเพลง IWALY นี้ขึ้นแล้วร้องออกรายการ  เป็นการสั่งลากลาย ๆ  ในแบบฉันมิตร  ก่อนจะผันผายไปเป็นศิลปินเดี่ยวตามที่ตัวเองตั้งใจมานาน  เพลงเขียนในปี 1973  และออกสู่ตลาดเพลง country ในปี 1974



เพลงขึ้นอันดับ 1 ในตารางเพลง country  สองรอบสองยุค คือในยุค 70s และ 80s  ซึ่งปรากฏในหนังเรื่อง The best little whore house in Texas (มาฉายในบ้านเราด้วยนะ)



ยอดขายของเพลงนี้รวมกันแล้วแตะรางวัลแผ่นเสียงทองคำขาว

ผมมาได้ยินต้นฉบับจากเสียงของเธอตอนซื้อแผ่นเสียงรวมเพลงฮิต  ก่อนหน้านี้คือปี 1975  เป็นปีที่ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกใน album ของ Linda Ronstadt ชื่อ Prisoner in Disguise (1975)  เพราะไม่แพ้กัน



อาจเป็นเพราะว่าผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกจากเสียงของ LR  ซึ่งจังหวะคล้ายกับฉบับของ DP  ก็เลยรับไม่ได้กับฉบับ soul ของ WH

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 503  เมื่อ 19 ส.ค. 25, 18:14

ผมว่าผมจำ Dolly Parton ได้ก่อนจำชื่อเธอได้เสียอีก  สิ่งที่เด่นมากในตัวเธอคือ ‘หน้าอก’ ขนาดมหึมา  

Dolly Parton's breasts may be two of the wonders of the entertainment world, but the country music icon says they are a pain in her back.

"Hey, you try wagging these puppies around a while and see if you don't have back problems," the singer-songwriter said in a statement.


ส่วนชื่อจำได้ในเวลาต่อมา  มาก่อนได้ยินเพลงของเธอ  นึกไม่ออกมารู้ชื่อเธอมาจากไหน  ไม่นส. Starpics ก็หนังสือเพลง 3 หัวนั่นแหละ  แสดงว่าต้องอยู่ในช่วงต้น 70s  ล่วงเข้ากลางยุค 70s  ผมซื้อ album ชื่อ Come on over ของ Olivia Newton John มีเพลงหนึ่งใน album นี้ชื่อ Jolene  ลองฟังดู  บางคนอาจจำได้  มันเป็น single ที่ไม่ดัง  



ผมฟังแล้วขนลุก  โดยเฉพาะตอนท้ายเพลงที่เธอส่งเสียงโหยหวน  ถ้าใครมาร้องเพลงด้วยเสียงแบบนี้ให้ผมส่งหนุ่มของเธอกลับคืน  ผมจะบอกเชิญมาอุ้มเอาคืนไปเลย  ฉันยอมแพ้  หุบปากแล้วไปไกล ๆ    มันเป็นเพลงที่ผมไม่เคย ‘ลงเข็ม’ บนแผ่นเพื่อฟังเลย  อ้ะ... แล้วได้ยินมาจากไหน  ก็จากวิทยุน่ะซี  หลงฟังไปครั้งนึง

ผมรู้ว่าเพลงนี้แต่งโดย Dolly Parton (เขียนไว้บนซองแผ่นเสียง)  ในเวลาต่อมาผมอ่านพบว่าเพลงนี้ถือเป็น signature ของเธอ  ผมเพิ่งเคยได้ยินฉบับนี้ในยุค youtube ความเพราะผิดกันลิบลับ



เพลงในยุคแรกของ DP อยู่ในแนว country   ซึ่งวิทยุบ้านเราไม่นิยมเปิด  DP ก็ร้องเพลงในแนวของเธอตลอดมานั่นแหละ  แต่แล้วในวันหนึ่งก็มีเพลงหนึ่งของเธอเข้ามาเปิดในบ้านเรา  นี่แสดงว่าเพลงนี้สามารถ ‘ข้ามฟาก’ มาดังที่ฝั่งเพลง pop ได้  ในเวลาต่อมา  เพลงดังมากขนาดคว้าแผ่นเสียงทองคำมาได้  จำได้ว่าตอนได้ยินครั้งแรก  อ้อ... นี่หรือเสียงของ Dolly Parton  แต่ฟังแล้วรู้สึกเฉย ๆ  ความที่เพลงนี้เปิดบ่อย  ฟังไปฟังมา เออ... เพราะแฮะ



เพลง Here you come again นี้ถือเป็น visa เข้าฝั่งอันดับเพลง pop  ต่อจากเพลงนี้เพลงอื่น ๆ ก็ทยอยกันข้ามมาบุกอย่างสนุกสนาน  แต่ไม่มีเพลงไหนไปได้ไกลเท่า

(เพลงนี้ประทับใจจนต้องออกไปหาซื้อแผ่นเสียง)



(เป็น single ที่ 2 ของแผ่นนี้  ความจริงมันเป็นแผ่นที่สวยแผ่นหนึ่ง เป็นแผ่นลักษณะ gatefold เสียด้วย แต่หาไม่เจอ  ตอนแรกผมนึกว่ายังอยู่  ทำไมถึงขายไปยังงงอยู่  น่าจะติดกลุ่มไป  ผมตั้งใจจะขายเฉพาะแผ่น format ปกติ  จะเก็บแผ่นที่มี gatefold ไว้เพราะมักมีรูปสวย ๆ  ท่าการทำงานของสมองผมจะเริ่มผิดปกติ  สงสัยจะต้องตามซื้อกลับมาใหม่  ตอนนี้แผ่นเหล่านี้แบบใหม่ ๆ ไม่มีขายแล้ว  ต้องสั่ง แบบใช้แล้ว ทาง online จากอเมริกาซึ่งราคาบวกค่าส่งก็แพ้งแพง  บางทีก็มาแบบ 'ยับเยิน'  สมน้ำหน้า  ถือเป็นการทำโทษตัวเองที่เบ๊อะบ๊ะ)


Singles อื่น ๆ ที่วิทยุเปิดให้ฟัง






มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 504  เมื่อ 20 ส.ค. 25, 18:07

ฝั่งนักฟังเพลง pop กำลังจะเริ่มเบื่อเพลงของ Dolly Parton   โชคก็เข้าข้างเธอเมื่อหนังที่เธอเล่นในปี 1980 เรื่อง 9 to 5 ดัง (มาฉายในบ้านเราด้วย)  เธอร้องเพลงในหนังซึ่งมันกลายเป็นเพลงอันดับ 1 บนฝั่งเพลง pop



อานิสงค์ความดังของเพลง 9 to 5   ทำให้ single นี้ได้สิทธิเข้ามาป้วนเปี้ยนอยู่ในฝั่งเพลง pop ด้วย



ในปี 1987  DP ควงอีก 2 ศิลปินหญิงที่ดังสนั่นในวงการฯ คือ Linda Ronstadt (rock/country) และ Emmylou Harris (country) มาร่วมกันผลิต album ชื่อ Trio  ส่วนใหญ่จะร้องด้วยกัน  ความที่ album แม้จะเป็นแนว country แต่ดังมาก  และข้ามมาอาละวาดบนตาราง album ของ billboard  ดีเจบ้านเราเลยสนใจ  single เพลงนี้    

(เสียงนำคือ Emmylou Harris)


เพลงนี้จากเสียงของ DP  เป็นแค่ album track  เพราะมาก



DP ฝากผลงานไว้ให้ผมฟังเป็นเพลงสุดท้ายก่อนที่เราจะแยกทางกัน  คือเธอไปต่อ  แต่ผมเริ่มชะลอการติดตามกระแสเพลงแล้ว



ในปี 2022 Dolly Parton ได้รับการเสนอชื่อเข้าหอเกียรติยศ Rock and Roll  เธอตอบปฏิเสธการเสนอแต่เนิ่น ๆ โดยอ้างว่า  หอนี้เป็นที่สำหรับศิลปิน rock  ในขณะที่เธอเป็นศิลปิน country  ข่าวการได้รับการเสนอชื่อซึ่งต่อมาถูกเจ้าตัวปฏิเสธนี่ดังมาก  ถ้าเป็นสมัยก่อนโน้น  ผมต้องพ่วงว่า  รู้มาจากหนังสือ Starpics
 
มีคนมากมายเข้ามาแสดงความคิดเห็น  บรรดาแฟน ๆ ของเธอก็กระตุ้นให้ถอนคำปฏิเสธเสียเพราะ  หอฯ นี้ไม่ใช่ขี้ไก่  ศิลปินเพลงทุกคนไฝ่ฝันอยากจะมีชื่อเข้ามาประดับอยู่ในหอฯ นี้  อีกไม่นาน DP ก็ถอนคำปฏิเสธและน้อมรับการถูกเสนอชื่อ  ในที่สุดผลจากการคัดเลือกก็ประกาศออกมาว่าชื่อของเธอได้รับเลือก



ในงานพิธี ฯ เธอร้องเพลง Jolene อันเป็น signature song ของตน  ร่วมกับเหล่านักร้องคนอื่น ๆ

(Pink, Annie Lennox (จากวง Eurythmics), Simon LeBon (จากวง Duran Duran), Pat Benatar, Sheryl Crow, Brandi Carlile (ใครหว่า))


นอกเหนือจากงานด้านเพลงและหนัง  DP ยังเป็นนักธุรกิจชั้นนำ

Parton co-owns The Dollywood Company, which manages a number of entertainment venues including the Dollywood theme park, the Splash Country water park and a number of dinner theater venues such as The Dolly Parton Stampede and Pirates Voyage. She has founded a number of charitable and philanthropic organizations, chief among them being the Dollywood Foundation, who manage a number of projects to bring education and poverty relief to East Tennessee, where she was raised.



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 505  เมื่อ 21 ส.ค. 25, 17:50

ต่ออีกนิด ...

เพิ่งนึกได้ว่า ในขณะที่เพลง 9 to 5 ที่ Dolly Parton ร้องนี้ดังอยู่ในอันดับเพลง billboard ของอเมริกา  ในปี 1980  ที่อังกฤษในปีเดียวกัน  นักร้องสาวชื่อ Sheena Easton ก็ร้องเพลงชื่อเดียวกันนี้ออกไต่อันดับอย่างคล่องแคล่วที่บ้านเกิดของเธอ

(ตอน MV ชุดนี้ออกอากาศ  ผมอยู่ในเหตุการณ์เลยนะ  ไม่ได้ไปเข้าฉากกับเค้าหรอก  คือได้ดูทางทีวี  จำไม่ได้แม่นว่าช่องไหน  น่าจะช่อง 3  เป็นรายการอันดับเพลง  รายการที่ว่านี้ออกอากาศอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง  ในตอนบ่ายของวันหยุดสุดสัปดาห์  วันใดวันหนึ่ง  ไม่รู้มีใครจำได้บ้าง)

พอเพลงนี้ดังก็มีคนส่ง ‘ข้ามฟาก’  ไปลองตลาดที่อเมริกา  แต่ตอนนั้นเพลง 9 to 5 ฉบับของ DP เจ้าถิ่นกำลังร้อน  ผู้มาทีหลังเลยต้องเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น Morning Train เพื่อกันความสับสน   ตอนนั้นผมรู้จักเพลงนี้แล้วในชื่อ 9 to 5  พอมาได้ยินอีกแล้วดีเจประกาศว่าเพลงชื่อ Morning train ก็งงแสนงง  ตกลงมันชื่ออะไรกันแน่วะ  เพิ่งมารู้สาเหตุในยุค Wikiฯ

เพลง 9 to 5 / Morning Train นี้ดังสนั่นในอเมริกา  ติดอันดับ 1 พร้อมแผ่นเสียงทองคำ  นี่เป็น visa ชั้นดีให้กับ SE ที่จะข้ามมาบุกตลาดเพลงของที่นั่นด้วยเพลงเหล่านี้

(ผมว่าเพลงนี้เพราะกว่าเพลงแรกนะ)







ระหว่างนี้หนัง James Bond ตอน For your eyes only ออกฉาย  SE ได้ร้องเพลงนำเรื่อง  ผมว่าเพลงนี้ดังในบ้านเราที่สุด



ในปีต่อมา  เธอก็ดังอีกครั้งในเพลงร้องคู่กับ Kenny Rogers (เสนอผลงานไปแล้ว)



เนื่องจากผมไม่ได้เป็นแฟนเพลงของเธอ  ถ้าจำได้ก็เพราะเพลงนั้น ๆ ฮิตทางวิทยุ  หมุนคลื่นไปมาก็ได้ยิน  ได้ยินแล้วต้องเพราะถูกหูด้วยถึงจะจำ  ก็มีเพลงเหล่านี้


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 506  เมื่อ 22 ส.ค. 25, 18:11

ถ้าเป็นนักฟังเพลงฝรั่งร่วมรุ่นกับผมหรือแก่กว่าต้องเคยได้ยินเพลงนี้



เพลง Honey เข้ามาในบ้านเราก่อนยุคผม  พอเข้ายุคผมแล้วก็ยังได้ยินเพลงนี้อยู่เนือง ๆ มันเพราะจนบอกไม่ถูก  จนกระทั่งผมมีปูมอันดับเพลงถึงได้รู้ว่า  ที่บ้านเขาเพลงนี้ดังสนั่น  มันครองอันดับ 1 ได้นานถึง 5 อาทิตย์  หมายความว่าในช่วงเวลา 35 วันนั้น  ทุกคลื่นสถานีวิทยุที่อเมริกาตะบี้ตะบันเปิดแต่เพลงนี้  ในช่วงเวลานั้นคือ 1968 เป็นช่วงเวลาของสงครามเวียดนาม  ความพริ้วนุ่มนวลของเพลงน่าจะเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศได้ดีท่ามกลางความครึกโครมของเพลงดังอื่น ๆ 
 
จากข้อมูลบอกว่า Bobby Goldsboro  มีผลงานเข้าอันดับ billboard เยอะมาก  แต่ที่รอดพ้น top 20 ขึ้นมามีอยู่หย่อมเดียว  แต่เพราะ ๆ ทั้งนั้น  บ้านเราต้องนำมาเปิดบ้างแต่คงโดนความดังของเพลง Honey กลบมิด







บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41636

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 507  เมื่อ 22 ส.ค. 25, 18:54

  Honey เป็นเพลงที่ไพเราะและเศร้ากินใจ จนเมื่อเข้าใจเนื้อร้องแล้วก็ไม่อยากฟังอีกเลยค่ะ
  ส่วน Jolene  ทำนองไม่เพราะและเนื้อปัญญาอ่อนมาก   ฟังหนเดียวแล้วไม่อยากฟังอีก  แต่เพลงนี้ดังจริงๆในอเมริกา ตอนออกสู่ตลาด
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 508  เมื่อ 23 ส.ค. 25, 17:45

เมื่อวานไปพาดพิงถึงสงครามเวียดนามหน่อยนึง  จุดประกาย ...

Barry Sadler ใช้ชื่อในวงการเพลงว่า SSgt. Barry Sadler เพราะว่าอาชีพหลักของเธอคือทหาร  เธอสังกัด The Green Berets (United States Army Special Forces)  ยศ SSgt. ย่อมาจาก Staff Sergeant  เธอเคยไปร่วมรบที่สงครามเวียดนามในช่วงระหว่างปี 1964 – 65 

ในปี 1966 เธอปล่อย single ออกมา 1 เพลง  ตามด้วย album  ทั้ง 2 อย่างดังถล่มทลาย ขึ้นอันดับ 1 ทั้งคู่   single เพลงที่ว่าผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินทางวิทยุ  อาจเป็นเพราะทำนองไม่ติดหูเด็ก ๆ อย่างผม  หรือมัวแต่เล่น โมราเรียกชื่อ อยู่ 

อย่างไรก็ตาม  ผมเคยได้ยินอีกเพลง  เพลงนี้ดังถล่มทลายเช่นกัน  แต่เหตุเกิดในบ้านเราเท่านั้น  ได้ยินทุกวัน ๆ วันละ 3 เวลาก่อนอาหารบ้าง  หลังอาหารบ้าง  ขนาดผมเด็กตัวกะเปี๊ยกยังจำได้   คิดดูแล้วกันว่ามันดังแค่ไหน
 
ความดัง (ในบ้านเรา) ของเพลงนี้ทำให้คิด (แบบกบในกะลาครอบ) ว่ามันต้องดังขึ้นอันดับ 1 ในบ้านเขาเหมือน single เพลงแรกที่เคยได้ยินแค่กิตติศัพท์  แต่พอมีปูมอันดับเพลงของ Joel Whitburn  เมื่อเช็คแล้วไม่พบเพลงนี้ว่ามีการตัดเป็น single  พบแค่ว่ามันเป็นเพียงร่องหนึ่งใน album ดังของเขาเท่านั้น  แสดงว่าดีเจที่ซื้อ album แล้วเลือกเพลงนี้มาเปิดให้เราฟังเก็งตลาดได้เก่งมาก

นี่คือเพลงดังกล่าว  ตอนนั้นรู้แค่ชื่อเพลง



สำหรับ single ที่ดังถล่มทลายที่ผมจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินทางวิทยุคือเพลงนี้  ในยุคของมันต้องมีการเปิดออกอากศอย่างแน่นอน



นำเสนอ single ที่ 2 ที่ไม่ดังเท่า  ไม่รู้ว่าในเมืองไทยมีใครเอามาเปิดรึเปล่า



ตลอดชีวิตในวงการเพลง  BS มี single แค่ 2 เพลงนี้เท่านั้นที่ติดอันดับ billboard

ช่วงชีวิตก่อนตายของเธอไม่น่าประทับใจนัก  น่าจะเป็นเพราะผลจากสงครามรึเปล่า... The psychological evaluation found that certain psychological problems were more common among the Vietnam veterans than among non-Vietnam veterans. These problems included depression, anxiety, and combat-related post-traumatic stress disorder. 

รายละเอียดหาอ่านได้ทาง Wikiฯ  ซึ่งเล่าการตายของเขาไว้ด้วยดังนี้ (เช่นเคย  ไม่สามารถครองสมาธิได้นานพอที่จะแปลได้  มีศัพท์ทางการแพทย์นิดหน่อย)

(หลังจากมีเรื่องมีราวถึงขั้นฆ่าแกงและขึ้นโรงขึ้นศาล) Sadler moved to Guatemala City in 1984. He continued to write and publish his Casca books and produced a never-released self-defense video. On September 7, 1988, he was shot in the head while sitting in a cab in Guatemala City. His manager believed it to be a robbery. Sadler was flown to the United States by friends in a private jet.

He underwent surgery at the Nashville Veterans Administration (VA) Hospital, and remained in a coma for about six weeks. After emerging from the coma, Sadler was a quadriplegic and had suffered significant brain damage. He was finally released in January 1989, but his family reported him missing. A dispute over who would be his legal guardian erupted between his wife and mother and resulted in a judge mandating a psychiatric evaluation. A few days later, he was found, in time to be present at a competency hearing.

After being moved to the Cleveland VA Hospital for specialized treatment, he was removed from the hospital by two former Green Berets and his mother, Blanche Sadler. After a contentious court battle waged by his wife and children, a court in Tennessee ruled that Sadler be put under the care of an independent guardian. He was moved to the VA Hospital in Murfreesboro, Tennessee, in February 1989, but he never recovered from his injury. He died there of cardiac arrest on November 5, 1989, four days after his 49th birthday.
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 509  เมื่อ 24 ส.ค. 25, 18:18

จากข้อมูล  ช่วง peak ของสงครามเวียดนามอยู่ระหว่างปี 1967 - 1969  บ้านเราได้รับผลกระทบด้วยเพราะเป็นกันชน  ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ ได้บรรยากาศขนาดไหน  แต่บ้านผม ‘in’ สุด ๆ เพราะพ่อซึ่งเป็นทหารได้ไปร่วมต่อสู้กับพวกเขาด้วย  เป็นรุ่น 2  ชื่อว่า กองพลเสือดำ 

ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์สำหรับสมองเล็ก ๆ ที่ยังพัฒนาไม่เต็มที่อยู่ที่กระป๋องใส่อาหารจัดโดยกองทหารอเมริกาที่พ่อจิ๊กส่งมาให้พวกเราจากเวียดนาม  เป็นกระป๋องเหล็กสีเขียวขี้ม้าทรงสี่เหลี่ยม  ข้างในบรรจุกระป๋องเล็ก ๆ ใส่อาหารหลากหลายแบบ  ที่จำได้มีเนื้อเค็ม  แล้วก็ลูกพีชเชื่อมใน corn syrup  สมัยนั้นไม่เคยเห็นแล้วก็ไม่รู้จัก  พอได้กินแล้ว  โอโฮ... อร่อยจริง ๆ 

พ่อฝากคนมา 2-3 หน ๆ ละกระป๋อง  กระป๋องนี่เท่มาก  หนักและบึกบึน  มีล็อคฝาปิดอย่างดี  เราเก็บเอาไว้ด้วย  แต่อนิจจา  หายไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้  น่าเสียดาย  ลองถามอากู๋ ๆ บอก  นึกไม่ออกว่ะ  เกิดไม่ทัน

ในช่วงเวลาดังกล่าวเพลงเหล่านี้ (บางเพลงมาก่อนมาหลัง ถือเป็นควันหลง) มาฟังตอนนี้ทีไรทำให้นึกถึงบรรยากาศในตอนนั้น

The Animals … วงนี้มีเพลงดังในบ้านเรา 2 เพลง  เพลงแรกไม่ดังเท่าไรในบ้านเขา  แต่มันดังกว่าเพลงดังของพวกเขาที่บ้านเรา (งงมั้ย) ได้ยินทุกวัน  ถ้าคุยถึงช่วงเวลาดังกล่าวเพลง Little Bird of Vietnam กับ Sky Pilot  จะปุ๊งขึ้นมาในสมองผมทันที



นี่คือเพลงดังที่สุดของวงที่เอ่ยถึง



เพลงนี้ของ Scott McKenzie



เธอมีอีกเพลงที่เปิดบ่อยในบ้านเรา



The Flying Machine





The Small Faces



Four Jacks & a Jill



(หมายเหตุ - ตอนนั้นจำได้แค่ทำนองบ้าง  ท่อนสร้อยบ้าง  โน่นนี่  เป็น jigsaw เพลงละตัว 2 ตัว  ที่สะสมมาจนเป็นภาพเต็มตอนเป็นผู้ใหญ่)

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 32 33 [34] 35 36 37
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.202 วินาที กับ 16 คำสั่ง