เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 34 35 [36] 37
  พิมพ์  
อ่าน: 105126 Yesterday Once More...
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 525  เมื่อ 08 ก.ย. 25, 18:06

นี่คือหน้าปกแผ่นเสียง Abbey Road ของวง The Beatles



รูปบนหน้าปกเคยเป็นข่าวอึกทึกครึกโครมมาก  แฟนของ TB ต้องเคยได้ยินข่าวนี้  มันเกิดขึ้นไล่เลี่ยกับการออกสู่ตลาดของแผ่นฯ  อย่างที่บอกว่าตอนนั้นโลกหมุนช้า  ข่าวที่ว่ายังล่องลอยอยู่ในอากาศนานจนกระทั่งถึงยุคผม (ถึงตอนนั้นก็รู้แล้วว่ามันเป็นข่าวลือ) ผมได้รู้มาจากหนังสือ Starpics 

ข่าวที่ว่าคือข่าวการตายของ Paul McCartney  ตามข่าว (ลือ) เธอตายไป 2-3 ปี แล้ว  คนที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน (หมายถึงเวลานั้น) คือตัวปลอม  ที่มาที่ไปนั้นมาจากการตีความรูปบนหน้าปก album ซึ่งบอกนัยสำคัญ 

ข่าวนี้ดังมาก  ไม่ใช่ดังแค่ในอเมริกาเท่านั้น  มันดังมาถึงบ้านเราด้วย  SP ลงรายละเอียด (คือแปลมา) อ่านสนุก  เวลาผ่านไปรายละเอียดที่รู้ก็ค่อย ๆ หาย  มาถึงก่อนยุค อตน.  จำได้แค่ว่า ปกแผ่น AR เกี่ยวข้องกับข่าวลือเรื่อง PM ตาย  เกี่ยวยังไง  ลืมไปหมดแล้ว  เห็นแผ่นเสียงนี้วางโชว์ที่ไหน  ก็นึกถึงข่าวลือนี้

เข้ามายุค อตน.  นึกถึงความหลังก็ลองหาดู

The rumor that Paul McCartney died and was replaced by an imposter, known as the "Paul is Dead" conspiracy theory, began after the 1969 Abbey Road album cover was released.  The theory claims that the album cover contains "clues" to his supposed death in 1966.

•   Funeral procession: The band members are depicted as walking across the road like a funeral procession.
•   John Lennon: Wears white and is interpreted as the preacher.
•   Ringo Starr: Dressed in black, seen as the undertaker.
•   George Harrison: Wears denim and is believed to be the gravedigger.
•   Paul McCartney: Is barefoot, out of step with the others, and holding a cigarette in his right hand, despite being left-handed.
•   Volkswagen car: The license plate "28 IF" on the Volkswagen Beetle is said to indicate his age if he were still alive (he was 27).

เป็นตุเป็นตะไปโน่น

นั่นคือรายละเอียดที่สูญหายไปจากความทรงจำ  เป็นเวลาเกือบ 60 ปีมาแล้ว  บัดนี้ยุค อตน.  เป็นยุคที่ความลับไม่มีในโลก  นี่คือต้นตอที่ผมเพิ่งรู้ (ทนอ่านหน่อยน้า  สนุก...)

The Theory…

The theory goes that on 9th November 1966, Paul McCartney was tragically killed in a car crash on his way home from working on the Sgt. Pepper album in studio. The Beatles, wanting to save their fans from the heartache of losing Paul and dealing with the loss of their bandmate, decided to conceal the truth (perhaps not by choice) and replaced Paul with the winner of a Paul McCartney lookalike contest – ‘William Campbell’ or ‘Billy Shears’. In the years following the tragic incident, the remaining Beatles were wracked with guilt and began leaving clues and messages in their music and material to communicate the truth to the fans.

The Truth…

In reality, there is no evidence to support this story. Although Paul was involved in two car accidents around this time, multiple witnesses and Paul himself confirmed shortly afterwards that he was perfectly well. Additionally, there is no evidence that a lookalike contest ever took place and no trace of William Campbell ever existing.

Apart from a few odd whispers here and there, the rumour never really gained any traction for the next two years until 17th September 1969 when a student called Tim Harper published an article titled ‘Is Beatle Paul McCartney Dead?’ in Drake University’s student newspaper in Iowa, USA. The article is understood to be the first published work on the ‘Paul Is Dead’ theory and the catalyst in transforming the conspiracy from an irrelevant myth to an international phenomenon.

Following the release of the article, a caller to Detroit radio station WKNR-FM informed DJ Russ Gibb of the rumour live on air. Intrigued, Gibb and other callers spent the remainder of the show discussing the rumour and its clues. Several other radio stations in the New York area began to pick up the rumour in the weeks following, including WABC who’s audience during the discussion in the early hours of 21st October 1969 spread across 38 US states. Before long, the rumour became known all over the world and popular music’s biggest conspiracy theory became forever famous.


อิทธิพลของข่าวลือในยุคที่การสื่อสารยังไม่พัฒนา

มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 526  เมื่อ 08 ก.ย. 25, 18:12

ผมจะไม่คุยเรื่องผลงานของวง The Beatles นะ  นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเราที่ไม่จำเป็นต้องลงลึกต่างเคยได้ยินและจำได้กันทั้งนั้น แต่จะคุยเรื่องปลีกย่อยที่บางคนอาจไม่เคยได้ยิน  หรือได้ยินมานิด ๆ หน่อย ๆ

วันนี้นำเสนอ clip การแสดงสดของคณะ The Beatles อันเป็นการแสดงสดครั้งสุดท้ายของวง  มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า The Beatles’ Rooftop Concert  เกิดขึ้นในวันที่ 30 ม.ค. 1969
 
Concert นี้ดังมากนะ  ผมเห็นภาพบรรยากาศมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก ๆ โน่น  เป็นภาพนิ่งขาวดำ  ตอนนั้นไม่ประสีประสา  ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร  มา อ๋อ... ตอนแก่แล้วและได้อ่านบทความ

On 30 January 1969, The Beatles performed a concert from the rooftop of their Apple Corps headquarters at 3 Savile Row, in central London's office and fashion district. Joined by guest keyboardist Billy Preston, the band played a 42-minute set before the Metropolitan Police arrived and ordered them to reduce the volume. It was the final public performance of their career. They performed nine takes of five new songs as crowds of onlookers, many on lunch breaks, congregated in the streets and on the rooftops of nearby buildings to listen. The concert ended with "Get Back", and John Lennon joking, "I'd like to say thank you on behalf of the group and ourselves, and I hope we've passed the audition.

รายชื่อเพลงที่เล่น
    "Get Back" (Take 1) – 4:43
    "Get Back" (Take 2) – 3:24
    "Don't Let Me Down" (Take 1) – 3:22
    "I've Got a Feeling" (Take 1) – 4:44
    "One After 909" – 3:09
    "Dig a Pony" – 5:52
    "God Save the Queen" (Traditional, arranged by Lennon, McCartney, Harrison, and Starkey) – 0:26
    "I've Got a Feeling" (Take 2) – 5:35
    "Don't Let Me Down" (Take 2) – 3:30
    "Get Back" (Take 3) – 3:47


ประเดิมด้วยเพลงนี้













ลาด้วยเพลงเดิม เป็นการเล่นซ้ำครั้งที่ 3



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 527  เมื่อ 09 ก.ย. 25, 18:42

ใครที่เป็นแฟนอย่างเหนียวแน่นของวง The Beatles  คงรู้ประวัติดีว่า The Beatles ที่ได้เห็นได้รู้จักกันนี้  แรกเริ่มนั้นไม่ได้เป็นแบบนี้  แรกเริ่มวงมีชื่ออื่น ๆ มาก่อนว่า The Quarrymen บ้าง Johnny & the Moon Dogs บ้าง  แล้วก็ The Silver Beetles  ก่อนจะมาจบที่ The Beatles

ประการต่อมา  สมาชิกของวงแต่แรกเริ่มมี 4 คน  ถูกต้อง  แต่คนที่ 4 ไม่ใช่ Ringo Starr   เป็น Stu Sutcliffe (ชื่อเต็มคือ Stuart) ทำหน้าที่มือเบส
 



สำหรับมือกลองนั้นไม่มี  จะออกงานทีก็ใช้สรรหาเอาเป็นงาน ๆ ไป  มือกลองประจำวงมาเกิดขึ้นเมื่อวงออกไปขุดทองที่ Hamburg ประเทศเยอรมันตะวันตก (1960) มือกลองประจำวงคนนี้จึงเป็นสมาชิกใหม่คนที่ 5 ชื่อ Pete Best  




เนื่องจากเป็นการหาตัวในเวลาเร่งด่วนจึงได้ ‘สินค้า’ ที่บกพร่อง  กล่าวคือ PB เล่นกลองไม่ชำนาญ  และกลายเป็นตัวถ่วงความรุ่งโรจน์ของวง  ช่วงนั้น ที่ Hamburg มีหนุ่มนักตีกลองจากอีกวงหนึ่งชอบเข้ามาคลุกคลี  เมื่อใดที่ PB เกเร  ประมาณว่าเซ็งกับการโดนเพื่อนร่วมวงตำหนิ  ก็แอบหนีเที่ยว  สมาชิกวงฯ จึงจ้างหนุ่มน้อยมาเป็นมือกลองสำรองเวลาเกิดเหตุฉุกเฉิน  ปรากฏว่ามือสำรองมีฝีมือตีกลองได้ดีกว่าจนเพื่อนฝูงตะลึง  ‘จากเรื่องยาวทอนเป็นเรื่องสั้น’   Pete Best ก็ถูกเชิญให้ออก  แล้วจ้างหนุ่มน้อยมือสำรองมาเป็นสมาชิกประจำ  หนุ่มน้อยนี้มีชื่อว่า Ringo Starr (ชื่อจริงคือ Richard Starkey)

สรุปว่าในช่วงเวลาต่อมาที่แสดงดนตรีอยู่ที่เยอรมันนีตะวันตก  วงฯ ยังคงสมาชิกทั้งหมด 5 คนเหมือนเดิม  แต่มีการเปลี่ยนตัว  RS เข้ามาแทน PB


กลับมาที่มือเบส Stu Sutcliffe  ซึ่งเป็นสมาชิกแต่ดั้งเดิม  เธอเป็นเพื่อนสนิทของ John Lennon  มาตั้งแต่เรียนอยู่ในโรงเรียนศิลปะ Liverpool College of Art  เมื่อ JL คิดก่อตั้งวงดนตรีและรู้ว่าเพื่อนสนิทมีฝีมือในการเล่นเบส  เธอก็เลยล็อคคอเอามาเข้ากลุ่ม  แต่การณ์ปรากฏในเวลาต่อมาว่า  ความสามารถทางด้านศิลปะของ SS นั้นไปอยู่ที่การวาดภาพมากกว่าการเล่นเครื่องดนตรี  เนื่องจากฝีมือของเธอไม่พัฒนา  ไม่มีลูกเล่น  ข้อมูลบอกว่าเวลาขึ้นเวที  ขณะเล่นเบส  SS มักหลบฉาก  ไม่เผชิญหน้ากับผู้ชมเนื่องจากไม่มั่นใจในฝีมือของตัวเอง  กลัวผู้ชมที่มีฝีมือในการเล่นเบสที่เก่งกว่ามาดูแล้วแอบจับผิด  สรุปแล้วเธอไม่มีความสุขกับการเล่นดนตรี




ระหว่างนั้น SS ได้ยินกิตติศัพท์ของโรงเรียนศิลปะ Hamburg College of Art  เลยลองไปสมัครดู  ปรากฏว่าทาง รร. รับตัวเธอไว้  บางข้อมูลบอกว่าฝีมือดีมากจนได้รับทุน  เธอก็เลยลาออกจากวงฯ  แล้วผันผายเปลี่ยนเข็มไปสร้างผลงานทางด้าน Painting แทน  ชีวิตแขนงใหม่ของเธอเจริญรุ่งโรจน์กว่า
 
In July 1961, Sutcliffe decided to leave the group to continue painting. After being awarded a postgraduate scholarship, he enrolled at Hochschule für bildende Künste Hamburg, where he studied under the tutelage of Eduardo Paolozzi




เมื่อวงฯ ขาดมือเบส  ก็ไม่ได้สรรหาคนใหม่  แต่ตกลงยกหน้าที่นี้ให้ Paul McCartney ไป  สมาชิกวง The Beatles จึงเหลือแค่สี่ วง 4 เต่าทองที่พวกเรารู้จักเริ่มต้นตรงนี้


กลับมาที่ SS  ขณะกำลังมีความสุขกับเส้นทางชีวิตที่เลือกใหม่  เธอก็เกิดป่วย  

While studying in West Germany, Sutcliffe began suffering from intense headaches and experiencing acute light sensitivity. In February 1962, he collapsed in the middle of an art class after complaining of head pains. German doctors performed tests, but were unable to determine a cause. After collapsing again on 10 April 1962, Sutcliffe was taken to a hospital, but died in the ambulance on the way. The cause of death was later found to have been a brain haemorrhage — severe bleeding in the right ventricle of his brain (ขณะมีอายุเพียง 21 ปี).

สาเหตุนั้นหลากหลาย  เนื่องจากตอนนั้นยังไม่มีใครดัง  คนเลยไม่ได้ให้ความสนใจที่จะค้นหาความจริง  


ย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ SS ยังเป็นสมาชิกของวง The Beatles  ด้วยความเป็นเด็กหัวศิลป์  บุคลิกของเธอเริ่มโดดเด่นออกมาจากกลุ่มเพื่อน ๆ

Sutcliffe's profile grew after he began wearing Ray-Ban sunglasses and tight trousers (ผลคือ  โคตรเท่).  




His high spot was singing "Love Me Tender", which drew more applause than the other Beatles and increased the friction with McCartney. Lennon also started to criticise Sutcliffe, joking about his size (ตัวเล็ก) and playing (เบส)



จุดนี้ก่อให้เกิดความสงสัยในวงกว้างว่าหรือนี่จะเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำ SS ไปสู่ความตายก่อนวัยอันควร  เพราะมี ‘ตำนาน’ เล่าว่า  ด้วยความอิจฉาที่เพื่อนได้หน้าตาทั้งที่เล่นเครื่องดนตรีไม่เก่ง  บางแหล่งก็เล่าว่า  เป็นความเครียดที่รู้ว่าเพื่อนจะทิ้งทุ่นลาออกจากวง  วันหนึ่งเมื่อเกิดการคัดง้างกัน John Lennon จึงเลยเถิดซัดกับเพื่อน  SS ตัวเล็กกว่าสู้ไม่ไหว  เธอล้มหัวกระแทกพื้นอย่างจัง  แต่ตอนนั้นไม่เป็นอะไร


นี่คือเรื่องราวคร่าว ๆ ของ ‘เต่าทอง’ คนที่ 5





หมายเหตุ - ข้อมูลที่ฝอยมาข้างต้นนี้รวบรวมมาจาก 2 แหล่งคือ Wikiฯ กับ Reddit  ก่อนหน้านี้  ผมรู้แค่จำนวนสมาชิกที่ยังไม่ลงตัวกับรู้ว่า SS ตายเร็ว
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 528  เมื่อ 10 ก.ย. 25, 18:22

หลังจาก The Beatles แตกวง  สมาชิกแต่ละคนก็ออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวกันหมด  คนแรกที่สามารถนำผลงานของตนขึ้นอันดับ 1 billboard ได้ก่อนใครคือ Gorge Harrison ด้วยเพลงนี้



เพลงนี้ดังกระหึ่ม  ไม่ใช่ดังเฉพาะความไพเราะเท่านั้น  ยังดังในเรื่องข่าวฉาวด้วย  ความฉาวมาถึงเมืองไทยโดยหนังสือ Starpics ตามเคย  นี่คือข่าวที่คุณ MyBand ได้กรุณาสรุปให้ดังนี้

George Harrison VS The Chiffons

เต่าทองผู้เงียบขรึม จอร์จ แฮร์ริสัน ออกซิงเกิลแรกในฐานะศิลปินเดี่ยว ‘My Sweet Lord’ (อัลบั้ม All Things Must Pass) เมื่อปี 1970  แล้วก็ฮิตติดลมบนทันที ครองแชมป์บนชาร์ตทั่วโลกได้รับความนิยมจนกลายเป็นเพลงรักอมตะถึงปัจจุบัน

แต่ทำนองเพลงดันไปละม้ายคล้าย He’s So Fine ของคณะ The Chiffons ซึ่งปล่อยมาตั้งแต่ปี 1962 ซะนี่! ตามคำกล่าวอ้างของ รอนนี่ แมค นักเขียนเพลงของวง  เป็นเหตุให้ค่ายเพลง Bright Tunes Music เจ้าของลิขสิทธิ์เพลงนี้ยื่นฟ้องจอร์จ เพื่อเรียกร้องค่าส่วนแบ่งลิขสิทธิ์จากเพลง My Sweet Lord รวมถึงส่วนแบ่งยอดขายอัลบั้ม All Things Must Pass  (ที่มีเพลงนี้บรรจุอยู่)

คดียืดเยื้ออยู่นานหลายปี  นานถึงขนาด The Chiffons ปล่อยเพลง My Sweet Lord ในเวอร์ชั่นตัวเองออกมาแข่งระหว่างรอต่อสู้ในชั้นศาล

สุดท้ายอดีตเต่าทองก็ถูกตัดสินว่าลอกเลียนแบบเพลง He’s So Fine จริง (โดยไม่ตั้งใจ) และต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเสียหายร่วม 6 แสนเหรียญฯ – อ่วมเลย


ผมดูจาก Wikiฯ  เพลง MSL ขึ้นอันดับ 1 ทุกประเทศเลย  ก็มันเพราะจริง ๆ

นี่คือเพลง He’s So Fine ของวง The Chiffons  นักฟังเพลงฝรั่งย้อนยุคทุกคนรู้จัดี



มีคนนำเพลงทั้ง 2 มาเทียบกันให้ฟัง



นี่คือเพลง My sweet lord ฉบับของวง The Chiffons  



ต่อไปนี้มาจากประสบการณ์การฟังเพลงของผมเอง  ผมพบว่ายังมีเพลงอีกคู่หนึ่งที่ออกมาทำนองเดียวกัน  ลองฟังดู

I Know จากเสียงของ Barbara George



และ Everybody loves a lover ของ The Shirelles



ตอนต้นไม่เท่าไร แต่พอถึงช่วง 1.10 – 1.41 ของเพลงแรกกับ  1.03 – 1.31 ของเพลงหลัง  นี่ซิ  เหมือนกันดิก  แล้ว 2 เพลงนี้ยังออกสู่ตลาดในเวลาใกล้เคียงกันด้วย (1961 และ 1963) ทำไมไม่มีการฟ้องร้องก็ไม่รู้


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 529  เมื่อ 11 ก.ย. 25, 17:42

George Harrison ยังมีเพลงอันดับ 1 บน billboard อีก


ผมไม่ได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุเท่าไร  แต่ไม่ใช่ว่าไม่เพราะ


และอีกครั้งในปี 1987 กับเพลงนี้  เพลงดังมาก  ดีเจพร้อมใจกันชอบ  แต่ช่วงเวลาของมันอยู่ปลาย ๆ วงจรการฟังเพลงของผมแล้ว  เลยเฉย ๆ



ในช่วงเวลาที่การกระจายเสียงทางวิทยุยังไม่ตาย  ดีเจยังเปิดเพลงอื่น ๆ ของเธอออกมาให้ฟังเนือง ๆ เช่น





ในปี 1988  GH ก็ชักชวนเพื่อนสนิทในวงการตั้งกลุ่มศิลปินรวมการเฉพาะกิจขึ้นเรียกว่า The Traveling Wilburys  ประกอบด้วยศิลปินระดับมหากาฬ Bob Dylan, Jeff Lynne, Roy Orbison และ Tom Petty  วงนี้เล่นเพลงตามใจฉันแต่ปรากฏว่า  แฟนเพลงให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น  รวมถึงดีเจในบ้านเราด้วย  




หมายเหตุ - 2 เพลงข้างต้นเป็น singles จาก album แรกที่ดังที่สุด  single แรกมีครบ 5 คน  พอมา single ที่ 2 จะเห็นสมาชิกเหลือ 4 คน  แต่เสียงร้องมี 5 เสียงร้อง  นั่นเป็นเพราะตอนอัดเสียงสมาชิกยังอยู่กันครบ  แต่พอถึงเวลาเอาเสียงมาทำ MV   Roy Orbison ตายเสียก่อน  MV จึงมีแค่ 4 คน  ถ้าสังเกตดี ๆ ช่วงที่เสียงร้องนำเป็นของ RO  กล้องจะถ่ายให้เห็นรูปของเธอบนเก้าอี้โยก  วงรวมการเฉพาะกิจนี้ออกผลงานมา 2  albums  ใช้ชื่อง่าย ๆ  ชื่อ album  แรกคือ 1  แต่พอมา album ที่สองใช้ชื่อว่า 3  สมัยนั้นปลายยุคของผมแต่ยังชอบดูอันดับ billboard  จู่ ๆ The TW ออกแผ่นใหม่ว่า 3  ก็งงว่า เอ๊ะ... แล้วไอ้แผ่นที่ควรจะชื่อว่า 2 มันรอดหูรอดตาไปตอนไหนวะ  ชั้นตามดูมาตลอดนี่นา  ตอนนั้นก่อนยุค อตน.  ไม่มีข้อมูลให้ค้น  ก็เก็บความสงสัยไว้จนกระทั่งถึงยุค อตน.  ก็ได้ความกระจ่าง...

"That was George's idea. He (Jeff Lynne) said, 'Let's confuse the buggers' (bugger คือศัพท์แสลงฝั่งอังกฤษ แปลได้หลายความหมาย แล้วแต่สถานการณ์  เป็นคำอุทานก็ได้ ในที่นี้น่าจะแปลว่า 'ไอ้หน้าโง่')" ... ผมโดนเข้าจังเบอร์


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 530  เมื่อ 12 ก.ย. 25, 18:12

แฉลบนิด...

คราวที่แล้วเอ่ยถึงวงรวมการเฉพาะกิจชื่อ  The Traveling Wilburys สมาชิกของวงล้วนมีความดังเป็นเอกเทศอยู่แล้ว  มาบัดนี้ต่างล้มหายตายจากกันไปเกือบหมด  เหลือ Bob Dylan ซึ่งผมก็ได้นำเสนอผลงานที่วิทยุบ้านเราเปิดให้ฟังไปแล้ว

อีกคนคือ Jeff Lynne (ตอนเด็ก ๆ ผมจำสลับกับ Michael McDonald จากวง The Doobie Brothers ตอนนั้นเห็นแต่ภาพนิ่ง  ผมว่าหน้าตาเธอคล้ายกัน) เธอคือผู้ก่อตั้งวง rock จากอังกฤษชื่อ Electric Light Orchestra  เอกลักษณ์ของวงนี้โดดเด่นมากคือเล่นเพลง rock โดยนำวง orchestra เข้ามาผสมได้อย่างกลมกลืน  ในยุค 70s  ไม่มีวงดนตรีไหนเล่นแนวนี้

Single ของวงที่เตะหูผมเป็นครั้งแรกคือ  แบบว่า  ไม่ใช่ว่าชอบ  แต่ได้ยินบ๊อยบ่อย  จนจำได้



แต่ที่ทำให้ชื่อของวงดังติดหูติดปากนักฟังเพลงฝรั่งชาวกรุงเทพฯ คือเพลงนี้



จากนั้น singles ใดของวง ELO ที่ดังบนตาราง billboard  วิทยุบ้านเราไม่ลืมนำมาเปิดให้ฟัง  ร่ายยาวเป็นตับ  นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคของบ้านเราไม่มีใครไม่รู้จักชื่อเสียงของวงนี้

(ดังกระหน่ำ)





(2 เพลงโปรดของผม  ให้ฟังจากฉบับ audio)





(2 เพลงนี้ไม่ใช่เพลงโปรดของผม  แต่เป็นเพลงโปรดของเหล่าดีเจ  ช่วงที่เพลงกำลังไต่อันดับฯ  ได้ยินทุกวัน)


ตบท้ายสำหรับวันนี้ด้วย



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 531  เมื่อ 13 ก.ย. 25, 17:31

หนัง Xanadu ออกฉายในปี 1980  ผมจำไม่ได้ว่ามันเข้ามาฉายในบ้านเราปีเดียวกันรึเปล่า  ผมว่าหนังก็งั้น ๆ  แต่เพลงประกอบซิ  เพราะมาก  ทำให้ดูได้จนจบ



ในบรรดาเพลงประกอบ  มาจากเสียงร้องของ 2 ศิลปิน  คือ Olivia Newton John กับ วง Electric Light Orchestra   ผมคัดเฉพาะเพลงที่ร้องโดย ELO ที่วิทยุนำมาเปิดมี 4 เพลงนี้







เพลงที่ 4 ดังที่สุด  เป็นเพลงร้องคู่  จริง ๆ แล้ววง ELO แค่ประสานเสียง  



ช่วงปลาย ๆ ของวงจรการฟังเพลง  ก่อนจะเลิกติดตามเพลงใหม่แล้วย้อนกลับไปฝังตัวอยู่กับเพลงเก่าในอดีต  2 เพลงนี้แว่ว ๆ อยู่ในอากาศรอบตัวผม





จบที่เพลงที่ไม่ใช่ single แต่วิทยุเปิดบ่อยจนตอนนั้นซึ่งยังไม่มีแหล่งข้อมูล  นึกว่ามันเป็น single



ผมจำได้จากการอ่านมาจากที่ไหนสักแห่งว่า  concert ในช่วงรุ่งเรืองของวง คือครึ่งหลังของยุค 70s  จะอลังการมาก  ที่โดดเด่นที่สุดคือการทำเวทีเลียนแบบยานอวกาศ (โลโก้ของวงก็คือยานอวกาศ) ตอนนั้นอ่านแล้วอยากเห็นเป็นกำลัง  เหตุการณ์นี้เป็นอีกหนึ่งในหลายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผมรับรู้ (ด้วยการอ่าน) มาตั้งแต่สมัยโน้นและอยากเห็น  มาได้เห็นในทั้งหมดในยุค อตน.







Wikiฯ บอกว่า...

During ELO's original 13-year period of active recording and touring, they sold over 50 million records worldwide. They collected 19 CRIA, 21 RIAA, and 38 BPI awards. From 1972 to 1986 ELO accumulated 27 Top 40 songs on the UK Singles Chart, and fifteen Top 20 songs on the US Billboard Hot 100.

The band also holds the record for having the most Billboard Hot 100 Top 40 hits (20) without a number one. In 2017, four key members of ELO (Wood, Lynne, Bevan, and Tandy) were inducted into the Rock and Roll Hall of Fame.




มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 532  เมื่อ 14 ก.ย. 25, 17:51

กลับที่วง The Beatles กันต่อ

อดีตสมาชิกวง The Beatles ที่ส่งผลงานเดี่ยวของตนขึ้นอันดับ 1 บนตาราง billboard  ตามมาเป็นคนที่ 2 คือ Paul McCartney  เธอออก album เดี่ยวมาหนึ่งแผ่น  ผลงานคู่ผัวเมีย 1 แผ่น  ก่อนจะตั้งวงของตัวเองขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า Paul McCartney and Wings หรือ เรียกสั้น ๆ ว่า Wings  จากนั้นเส้นทางชีวิตของเธอบนโลกแห่งเสียงเพลงก็ไปโลดอย่างพวกเรารู้ ๆ กัน  single ดัง ๆ ของวงนี้ผ่านลำโพงวิทยุออกมาให้ผมได้ยินทุกเพลง

เพลงอันดับ 1 เพลงแรกออกมาในปี 1971  หลังเพลงของ George Harrison ประมาณ 9 เดือน  ใครเคยได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุบ้าง  ตอนนั้นผมรู้แต่ชื่อ  มาได้ฟังตอนซื้อ album รวมเพลงฮิตของวง  พอฟังแล้วคุ้นหูแสดงว่าเคยได้ยินมาก่อน



ต่อมาคือเพลงดังกระหน่ำหู  อันดับ 1 เพลงที่ 2  ในปีต่อมา



อีก 4 เพลงอันดับ 1  เพลงแรกนี้ดังที่สุดในบ้านเรา  ในยุคนั้นไม่มีนักฟังเพลงฝรั่งคนไหนไม่รู้จัก









2 เพลงนี้แม้ขึ้นไม่ถึงอันดับ 1 แต่บ้านเราได้ยินบ่อยไม่น้อยหน้า  เพลงแรกเป็น soundtrack จากหนังชุด James Bond  ดังทั้งหนัง  ดังทั้งเพลง  แม้จะแตะแค่อันดับ 2





หมายเหตุ – เพลงทั้งหมด ยกเว้นเพลง With a little luck มียอดขายแตะแผ่นเสียงทองคำ  เวลาผ่านไปแค่ 6 ปี  ได้มาแล้ว 7 แผ่น 


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 533  เมื่อ 15 ก.ย. 25, 17:48

เพลงนี้ของวง Paul McCartney and Wings  ล้มลุกคลุกคลานอยู่ในอันดับทางฟากอเมริกา  แต่ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษ  และขึ้นอันดับ 1 ในเมืองไทยด้วย  เพราะสุดขีด  ฟังทีไรก็ไม่เบื่อ


นี่คือเบื้องหลังของเพลงนี้...

"Mull of Kintyre" is a song in tribute to the Kintyre peninsula in Argyll and Bute in the south-west of Scotland and its headland, the Mull of Kintyre, where McCartney has owned High Park Farm since 1966. The single was Wings' biggest hit in Britain and is one of the best selling singles of all time in the United Kingdom.


ส่วนเพลงนี้วิทยุนำมาเปิด  จำได้ว่าได้ยินเพียงครั้งเดียว  แต่ทำไมถึงจำชื่อกับท่อน repeat ได้มาถึงบัดนี้ก็ไม่รู้



วงนี้มีเพลงดังในบ้านเราอีกเพลงที่ไม่ใช่ single (เป็นแค่หน้า B)  แต่ดังแซงหน้า single ดังอื่น ๆ  ดีเจหู ‘แหลม’ มาก



Paul McCartney กับวงของเธอเจริญรุ่งเรืองมาก ได้ทั้งเงินได้ทั้งกล่อง ผลจากความขยันของเธอทำให้มีผลงานเวียนว่ายอยู่ในอันดับเพลงฯ ทั้งดังและไม่ดังมาถึงยุคปัจจุบัน   ยาวนานกว่าสมาชิกคนอื่น ๆ  ตอนที่ผมถอยห่างจากการติดตามเพลงยอดนิยมอันเป็นช่วงต้น 80s เป็นต้นไปนั้น  เธอเริ่มสนุกกับการร่วมร้องเพลงกับศิลปินดังคนอื่น ๆ เช่น Stevie Wonder เอย  Michael Jackson เอย ฯลฯ  ผมได้ยินมาหมดแต่มันเลยยุคแล้ว  มีแต่ชื่อเพลงกับท่อนสร้อยเท่านั้นที่ยังอยู่ในความทรงจำ

เพลงในช่วงท้าย ๆ ที่ทำหูผมกระดิก  เพลงที่ 3 มีกลิ่นอายยุคเก่า ๆ นะผมว่า







นี่คือเพลงโปรดตลอดกาลอีกเพลงของผม  มันเป็น single แรกของเธอในฐานะศิลปินเดี่ยว  ฟังทีไรคิดถึงตอนใส่ขาสั้นสีน้ำเงินวิ่งเล่นอยู่ในสนามอันกว้างขวาง  เป็นอีกหนึ่ง nostalgic song ของผม  โดยส่วนตัว  มันเป็นเพลงที่เพราะที่สุด



หมายเหตุ - มะกี้ฟังเพลง Give Ireland Back to the Irish  แล้วทำให้นึกถึงเพลงอีกเพลงที่มีเนื้อหาทางการเมืองในแง่ของผืนดิน  ความจริงคงมีอีกมากมาย  แต่ตอนนี้ผมนึกเพลงนี้ออกเพลงเดียวเพราะฟังมาเป็นสิบ ๆ ปี  ร้องโดย Anne Murray  มันไม่ได้เป็น single  เป็นแค่ album track  อยู่ในช่วงต้น 70s  เหมือนกัน  ทำไมถึงขายก็ไม่รู้  ขี้เกียจค้น



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 534  เมื่อ 16 ก.ย. 25, 18:02

อดีตสมาชิกวง The Beatles ที่นำเพลงขึ้นอันดับ 1 บนตาราง billboard  ได้เป็นคนที่ 3 คือ Ringo Starr

ผมจำได้ว่าสมัยวง The Beatles ยังอยู่ RS ร้องนำน้อยมาก  ยิ่งเพลงที่เธอร้องนำตัดเป็น single แล้วยิ่งน้อยเข้าไปอีก








Single ของวง TB จากเสียงร้องของ RS ที่ไต่อันดับ billboard ได้สูงที่สุด (2)  มันเป็น soundtrack ของหนังการ์ตูนชื่อเดียวกัน  ไม่รู้มาฉายบ้านเรารึเปล่า



หนึ่งในของเล่นของผมตอนเด็ก ๆ  เป็น diecast  จาก บ. Corgi  ซื้อที่ห้างอมร สาขาสี่แยกบ้านแขก



พอมาเป็นศิลปินเดี่ยว ผลงานของ Ringo Starr ที่ขึ้นอันดับ billboard ก็มีไม่มาก อย่างไรก็ตามเธอมีเพลงอันดับ 1 และได้แผ่นเสียงทองคำถึง 2 เพลง


เพลงนี้เพราะมาก  และผมว่าเพราะที่สุดเมื่อมาคิดสรุป  แต่ผมกลับไม่ค่อยได้ยินทางวิทยุเท่าไร  เพลงอันดับ 1 เพลงที่ 2 ที่ตามติดมาเลย  ได้ยินบ่อยกว่า  น่าจะโดนเพลงนี้กลบ

ผมสงสัยว่าผู้หญิงใน MV ทั้ง 2 คือใคร  คนแรกนั้นค้นหาไม่เจอ  น่าจะเป็น Maureen Cox เมียคนแรกของเธอ  แต่คนที่ 2 คือ Carrie Fisher ลูกสาวของ Debbie Reynolds  ดาราดังในยุคทองของฮอลลีวู้ด  พวกเราคงจำเธอได้จากบทเจ้าหญิง Leia ที่ไว้ผมทรงก้อนขี้หมา 2 ก้อนแปะอยู่ข้างหัว  จากหนัง Star Wars


อีกเพลงที่ดังในบ้านเรา  คือเพลงนี้



และเพลงนี้ที่ได้ยินทุกวันในช่วงนั้น  



กับเพลงนี้ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ  มันไปดังที่อังกฤษ  บ้านเราอยู่ตรงกลางนี่ดีอย่าง  ได้ฟังเพลงจากทั้ง 2 ฝั่ง



ต่อยอดด้วยเพลงฮิตอีก 2 เพลง





มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 535  เมื่อ 17 ก.ย. 25, 18:20

อดีตสมาชิก The Beatles คนสุดท้ายที่มีเพลงฮิตติดอันดับ 1 ทีหลังใครกลับเป็น John Lennon  ผิดคาดมากเพราะตอนอยู่ในวง  เพลงที่เป็นเสียงร้องนำของเธอขึ้นอันดับ 1 เป็นว่าเล่น

เพลงอันดับ 1 ที่ว่าคือเพลงนี้ที่ออกอากาศในปี 1974 ล่าไปจากเพลง My sweet lord ของ George Harrison อันเป็น single แรกของอดีตวงฯ ที่ขึ้นอันดับ 1 ในปี 1970 มันเป็นเพลงที่ผมได้ยินน้อยครั้งมาก  และผมว่าไม่เห็นเพราะเลย



เพลงนั้นขึ้นอันดับ 1 ก็จริง  แต่ไม่ได้แผ่นเสียงทองคำ  แผ่นเสียงทองคำแผ่นแรกของ JL ได้จากเพลงนี้ที่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3  ผมว่าไม่เห็นเพราะเลยเช่นกัน  เพราะอย่างนั้นจึงจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินทางวิทยุ  ผมว่าชื่อเพลงดังกว่าทำนองของมันนะ



ช่วงนั้นเพลงของเธอเวียนว่ายอยู่ในอันดับเพลงฯ หลายเพลง  แต่ไม่มีเพลงไหนอีกที่ไปถึงยอด  

เพลงนี้ไปได้ถึงอันดับที่ 3 เช่นกัน แต่มันขึ้นอันดับ 1 ในใจคนทั่วโลก



และชุดเพลงที่นักฟังเพลงฝรั่งชาวไทยรู้จักดี







รวมถึงเพลงนี้  ผมว่าดังที่สุดรองจาก Imagine นะ  มันไม่ใช่ single เป็นแค่ร่องหนึ่งในแผ่น album ชุด Imagine  ดีเจตา (หู) แหลมตามเคย



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 536  เมื่อ 18 ก.ย. 25, 18:34

โดยส่วนตัว  ผมว่า singles ของ John Lennon เพราะถูกหูน้อยมาก

แม้แต่เพลงนี้ที่เธอเป็นเจ้าของก็ฟังไม่เพราะเท่ากับฉบับที่มาจากเสียงของ The Lettermen ซึ่งเพราะมากกว่า   และเป็นฉบับที่บ้านเราคุ้นเคยมากกว่า





ผลงานของ John Lennon หายจากลำโพงวิทยุหลายปึ (จริง ๆ คือ 5 ปี)  ก่อนจะกลับมาดังเป็นพลุแตกในปี 1980  เธอดังเหมือนพลุแตกจริง ๆ เพราะหลังจากออก album ได้แค่ 3 อาทิตย์  เธอก็โดนยิงตาย  ข่าวนี้ดังไปทั่วโลก  ประเทศไทยก็รับข่าวมากระจายด้วย 

ผลจากข่าว  ผลักยอดขายของ album ซึ่งแต่แรกเตาะแตะเพราะโดนนักวิจารณ์สับเละกลับ ‘u-turn’ แล้วขึ้นแตะอันดับ 1 ภายในพริบตา  single ตัดมา 3 เพลง  เข้า top 10 ทั้ง 3 เพลง  ติดอันดับ 1 เสีย 1 เพลง วิทยุบ้านเราให้การต้อนรับทั้ง 4 เพลงนี้อย่างอบอุ่น





(ผมชอบเพลงนี้ที่สุด)


รวมถึงเพลงนี้ที่ไม่ใช่ single



สำหรับตัวเอง  นี่คือเพลงแรกของเธอที่ผมเคยได้ยิน  หลังจาก The Beatles แตกแล้ว  มันอยู่ในแผ่นเสียงผีทำในบ้านเรา  พ่อซื้อมาพร้อมกับเครื่องเล่นแผ่นเสียงแบบ pickup ยี่ห้ออะไรก็จำไม่ได้  เกิดมาเพิ่งเคยเห็นเครื่องเล่นแผ่นเสียงเป็นครั้งแรกก็คราวนั้นแหละ  แล้วก็โดนผีมันสิงในคราวนั้นเลย



เพลง Mother นี้ มีเบื้องหลังที่น่าสนใจมาก

The lyrics of "Mother" address both of Lennon's parents, each of whom abandoned him in his childhood. His father, Alf, left the family when Lennon was an infant. His mother, Julia, did not live with her son, although they had a good relationship; she was killed in a car accident on 15 July 1958 by an off-duty policeman named Eric Clague when Lennon was 17.


ต่อไปเป็นควันหลง...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 537  เมื่อ 19 ก.ย. 25, 18:32

นอกจากว่า Julian Lennon คือใคร มีผลงานเพลงอะไรบ้าง  เพราะยังอยู่ในยุค Yesterday once more ของผม  ข้อมูลอื่น ๆ เหล่านี้ผมมาตักตวงรายละเอียดเอาในยุค อตน.

ในบรรดาลูก ๆ ของสมาชิก The Beatles ทุกคนมีส่วนร่วมในวงการบันเทิง  แต่มีเพียงลูกของ John Lennon เท่านั้นที่ไปได้ไกลในวงการเพลง  เธอคือ Julian Lennon

JL เกิดในปี 1963  แม่คือเมียคนแรกของ JoL ชื่อ Cynthia Powell  แสดงว่า JL  โตขึ้นมาท่ามกลางความโด่งดังของของวงฯ  และเป็นเสมือน ‘หลาน’ ของเหล่าสมาชิกรวมถึงคนใกล้ชิดในตอนนั้น  เธอเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงของวงฯ 3 เพลง   2 ใน 3 เพลงนั้นดังมาก  และ 1 ใน 2 เพลงที่ดังมากนั้นดังสุดกู่เป็นเพลงอมตะของโลก

นี่คือเพลงที่ 1

(John Lennon wrote the song as a lullaby for his five-year-old son Julian. Ringo Starr lead… ผมเพิ่งได้ยินนี่แหละ)


นี่คือเพลงที่ 2 ที่ต่อมากลายเป็นเพลง signature เพลงหนึ่งของวงฯ และเป็นเพลงอมตะเพลงหนึ่งของโลก



ที่มาที่ไปของการแต่งเพลงนี้  แฟนเพลง The Beatles รู้ดี  แข็งใจแปลหน่อย  สนุกจริง ๆ
 
In May 1968, John Lennon and his wife Cynthia separated due to his affair with Japanese artist Yoko Ono. The following month, Paul McCartney drove out to visit the Lennons' five-year-old son Julian, at Kenwood, the family's home in Weybridge. Cynthia had been part of the Beatles' social circle since before the band's rise to fame in 1963; McCartney later said he found it "a bit much for them suddenly to be personae non gratae (บุคคลไม่พึงปรารถนา) and out of my life".

Cynthia Lennon recalled of McCartney's surprise visit: "I was touched by his obvious concern for our welfare ... On the journey down he composed 'Hey Jude' in the car. I will never forget Paul's gesture of care and concern in coming to see us.” The song's original title was "Hey Jules", and it was intended to comfort Julian from the stress of his parents' separation. McCartney said, "I knew it was not going to be easy for him", and that he changed the name to "Jude" "because I thought that sounded a bit better"




"Hey Jude topped the charts in Britain for two weeks and for 9 weeks in America, where it became The Beatles longest-running No.1 in the US singles chart as well as the single with the longest running time.

The Beatles did not record their promotional film (clip ที่เห็นข้างบนนี้) until Hey Jude had been on sale in America for a week. They returned to Twickenham Film Studio, using director Michael Lindsay-Hogg. To help with the filming an audience of around 300 local people, as well as some of the fans that gathered regularly outside Abbey Road Studios were brought in for the song’s finale.

Their presence had an unlikely upside for The Beatles in their long-running saga with the Musicians’ Union in that the MU were fooled into believing the band were playing live, when in fact they were miming for the vast majority of the song. Paul, however, sang live throughout the song. The video was first broadcast on David Frost’s Frost On Sunday show, four days after it was filmed. At that point transmission was in black and white although the promo was originally shot in colour.

In 2013, Billboard magazine named it the 10th "biggest" song of all time in terms of chart success. McCartney has continued to perform "Hey Jude" in concert since Lennon's murder in 1980, leading audiences in singing the coda (ท่อน ลา..ลา.. ลา..)”.




เคยรู้มานิด ๆ หน่อย ๆ ว่า John Lennon ไม่ใช่คนน่ารัก (คนล่าสุดที่เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับ JoL  ที่ผมอ่านเจอคือ Linda Eastman เมียรักของ Paul McCartney เธอเล่าว่าเริ่มแรกเธอปิ๊ง JoL ไม่ใช่ PM   แต่หลังจากใช้เวลาศึกษาดูใจกันไม่นาน  เธอต้องโกยสี่ตีนหนี  แล้วไปลงเอยกับเพื่อนสนิทคือ PM)

นี่คืออีกบทความที่ผมอ่านเจอ...

When John Lennon met Yoko Ono in 1966, he fell head over heels (ตกหลุมรักอย่างหัวปักหัวปำ) in love.

He dropped his first wife, Cynthia, like a hot potato (สำนวนเปรียบเทียบ).

He had an affair and married Yoko in early 1969.

He gave his ex only a stipend (เงินค่าเลี้ยงดูก้อนหนึ่ง) as a divorce settlement, although 'he knew Cynthia was going to have to support and raise their son', Julian, who was then just five years old (เชี้ยเอ๊ย... ขอใส่อารมณ์).

After a few years, Cynthia was soon almost flat broke (ถังแตก), she knew she would have to get some money together in order for she and Julian to survive.

She made a necessary decision, she would sell the love letters and drawings John had given her when they were a young couple, in love, in their teens.

The letters were very passionate, filled with “I love you, Cyn” quotes.

You can imagine how much it must have hurt Cynthia to have to part with these priceless keepsakes.

Cynthia sold them for a large amount.

The buyer was Paul McCartney. For him, it was just a small fortune for the mementoes.

A few days later, Cynthia received all the letters and drawings in the mail, now all neatly framed.

They came with a note.  The note read: “Never sell your memories. Love, Paul McCartney”.


(ตัวอย่าง)


ฝ่าย Yoko Ono ที่ก็มีกิตติศัพท์พอ  ๆ กับ John Lennon  ผมได้อ่านกิตติศัพท์ของเธอมากและบ่อยกว่า JL ด้วยซ้ำ  มาตั้งแต่สมัยข่าวสารมีแค่สิ่งตีพิมพ์เท่านั้น

ผมเป็นคนชอบดูหนังฝรั่ง  เจอประจำ  คำพูดแดกดันทั้งออกแนวตลกหรือไม่ตลกเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีบุคคลที่สามเข้ามาจุ้นจ้านทำให้ความสัมพันธ์ของกลุ่มดั้งเดิมแตกแยก  บุคคลคนนั้นจะโดนประณามว่าคือ Yoko (ไม่มี Ono  ไม่งั้นเป็นโดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาท)  เห็น/อ่านบ่อย ๆ ก็ทำให้รู้สึกสงสาร  แต่อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่า  โดนประจำแบบนี้  แถมล้วนออกอากาศไปทั่วโลก  มันก็น่าจะมีมูล

มายุค อตน. อันเป็นยุคที่ความลับไม่มีในโลก  ลองหาข่าวเกี่ยวกับตัวเธอ  โอโฮ... มีแต่เรื่องแย่ ๆ (เรื่องดีก็เช่น รักลูก Sean Lennon เกิดปี 1975) สามารถรวบรวมเป็นหนังสือเล่มหนาได้หลายเล่ม  ยิ่งอ่านยิ่งนึกหน้า Yoko เหมือนแม่มด  ล่าสุดที่ได้ยิน (อ่าน) มา  ก็นานมาแล้ว  อันนี้เป็นข่าวมาจาก Yahoo  ลงบทความว่า...

Julian (Lennon ลูกชายของ JoL กับเมียแรก) had to purchase John's personal possessions and instruments with his dad’s money because Yoko decided to auction them off. He also had to buy back the original draft of "Hey Jude" which had been written by Paul McCartney FOR JULIAN during his parents' divorce.


อีกบทความมาจาก Reddit…

"In Cynthia's book, she says that Yoko actually stalked John. Yoko would be outside of their house every day for hours. She'd also phone the house lots of times, John changed his number about 3 or 4 times because of this.

She'd send a ton of letters asking John for money and she'd send notes saying, 'If you don't support me, I'll kill myself'.

On one occasion when John and Cynthia were getting into a car, Yoko barged past them and sat right in the middle of them until she was at her stop.

The first time Cynthia saw them together was when she came home from a holiday in Greece, she entered the sitting room to find the two of them sat in robes (Yoko was wearing Cynthia's robe) and dirty dishes were piling up in the sink. Cynthia was so shocked by this she ran upstairs to get some of her things and leave. You see, Yoko didn't care he was married or had a son. She purposely split them up."




Clip นี้เคยเป็นข่าวดังมาก  เอาคร่าว ๆ ว่า  ในการแสดงสด  YO  สอดแทรกท่อนประสานเสียง  ที่เหล่านักวิจารณ์พร้อมใจกันบอกว่า ‘ไม่เข้าท่า’  เข้าไปกลางเพลง  Chuck Berry ถึงกับเบิ่งตาประหลาดใจ (0.4) ผมรู้ข่าวจากหนังสือ Starpics เช่ยเคย  อ่านแล้วก็อยากเห็นเป็นกำลัง  มาได้เห็นในยุค อตน.



อันนี้ของแถม





YO เคยร้องเพลงลงแผ่นเสียงหลายชุด  นี่คือหน้าตา album ที่ผมเห็นมีมาขายในบ้านเรา  วิทยุก็เคยเปิดเพลงของเธอด้วย  แต่จำชื่อเพลงไม่ได้  นอกจาก ‘นี่เหรอเสียงของ Yoko Ono’



มีต่อ...

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 538  เมื่อ 20 ก.ย. 25, 18:08

เพลงของวง The Beatles เพลงที่ 3 ที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก Julian Lennon คือ เพลงนี้


John Lennon said that his inspiration for the song came when his three-year-old son Julian showed him a nursery school drawing that he called "Lucy – in the Sky with Diamonds", depicting his classmate Lucy O'Donnell. Julian later recalled: "I don't know why I called it that or why it stood out from all my other drawings, but I obviously had an affection for Lucy at that age. I used to show Dad everything I'd built or painted at school, and this one sparked off the idea.”

Ringo Starr witnessed the moment and said that Julian first uttered the song's title on returning home from nursery school. Lennon later said, "I thought that's beautiful. I immediately wrote a song about it.”


เพลงนี้ไม่ใช่ single  ผู้ที่นำมาร้องใหม่แล้วปล่อยเป็น single คือ Elton John  เพลงขึ้นอันดับ 1  แสดงว่าดัง   มันเข้ามาดังในบ้านเราด้วย  นี่น่าจะเป็นฉบับที่นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักดีกว่า



นอกเรื่องนิดว่า  ชื่อเพลงนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงดังสนั่นโลกอีกเพลง (ดังมาถึงเมืองไทยด้วย)  คือ Judy in disguise (with glasses) ร้องโดยคณะ John Fred & His Playboy Band  

อ่านจาก Wikiฯ ได้ความว่าผู้แต่งเพลง (คือ JF) ได้ฟังเพลง Lucy in the sky with diamond ของ The Beatles แต่จำชื่อเพลงผิดไปนิด  คือจำชื่อคนผิด  จาก Lucy  เธอจำเป็น Judy  ตอนเธอแต่งเพลงนี้  ต้องการใช้ชื่อเพลงล้อชื่อเพลงต้นฉบับเลยใช้ชื่อล้อตามชื่อที่เข้าใจผิดมาแต่แรก  คือแทนที่จะเป็น Lucy in disguise with glasses  กลับเป็น Judy in disguise with glasses

อย่างไรก็ตาม  วิทยุบ้านเราเปิดเพลงนี้กระหน่ำ  พี่บอกว่ากระหน่ำมาตั้งแต่แรกเริ่มคือ 1967  และเปิดอยู่เนือง ๆ จนมาถึงยุคผมเริ่มฟังเพลงฝรั่ง (ต้น 70s) ก็ยังได้ยินอยู่ประปราย  ตอนนั้นเด็ก  ไม่ชอบเพราะมันโฉ่งฉ่าง  บัดนี้ ‘โคตรเพราะเยยย”



ต่อไปนี้ก็จะเปิดเพลงจากเสียงของ Julian Lennon ให้ฟัง  ผลงานแรก ๆ ของเธอยังอยู่ในยุค Yesterday once more  ของผม  แต่ในช่วงปลาย  ตอนนั้นผมเลิกบ้าเพลงไปแล้ว  แต่ยังฟังวิทยุอยู่  ไม่ได้รู้ทุกเพลงไม่ได้ฟังทุกเพลงเหมือนสมัยก่อน  ยกเว้นเพลงไหนที่เตะหูก็จำไว้

ในกลางยุค 80s  วันหนึ่งดีเจวิทยุก็ประกาศว่าเพลงที่จะเปิดต่อไปนี้เป็นเสียงของ Julian Lennon ลูกชายคนโตของ John Lennon  เธอประเดิมผลงานแรก (หมายถึง album) ได้อย่างเป็นที่น่าจับตามอง  2  singles นี้มาจาก album ที่บอก  เข้า top 10 ทั้งคู่



เสียงเธอคล้ายพ่อมาก  ผมไม่ชอบฟังเพลงนี้  แต่พอมา single ที่ 2 นี่ซี  ถูกใจ  เพราะมาก  แต่ไม่ดังเท่าเพลงแรก



ปรากฏว่าเธอไม่สามารถรักษาระดับผลงานไว้ได้  ผู้บริโภคผลงานต่อ ๆ มาถดถอยลง  พอเห็นเธอไปได้ไม่ไกล  ดีเจวิทยุบ้านเราก็หันไปสนใจคลื่นลูกอื่นต่อ


น่าจะมีต่ออีกนะ  คิดก่อน...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 2274


ความคิดเห็นที่ 539  เมื่อ 21 ก.ย. 25, 18:05

ควันหลงจาก The Beatles ยังไม่จางง่าย ๆ

ถ้าจะพูดถึงสมาชิกวงฯ  ที่ชอบเล่นหนัง  ผมว่า Ringo Starr  เธอ ‘enjoy’ ที่สุด  นอกจากเล่นหนังเกี่ยวกับวงของตัวเอง  ซึ่งมีออกมาหลายเรื่องแล้ว  เธอยังรับเล่นหนัง ‘จริง ๆ’ ด้วย  ผมว่าหนังเรื่องที่นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักดีที่สุดชื่อ Caveman  หรือชื่อไทยว่า ‘อาตุ๊ก๊ะ’ (จำไม่ได้ว่าชื่อมีเท่านี้หรือมีสร้อยต่อ เช่น ‘มนุษย์ถ้ำ’ ฯลฯ) ที่เข้ามาฉายในปี 1981



นักแสดงนำฝ่ายหญิงคือ Bond girl ตอน The spy who loved me ชื่อ Barbara Bach  ทั้ง 2 เล่นหนังร่วมกันในเรื่องจบก็แต่งงานกัน  ข้อมูลไม่ได้บอกว่าต่อมาหย่ากันรึเปล่า

ก่อนหน้าเรื่อง Caveman นี้ยังมีหนังที่ RS เล่นอีกเรื่องหนึ่ง  ผมรู้จัก (แค่ชื่อของ) หนังเรื่องนี้จากหนังสือ Starpics  ข้อมูลในหนังสือไม่ได้บอกว่า RS เล่นหนังเรื่องนี้  แต่บอกว่าหนังเรื่องนี้เล่นโดยนักร้องขวัญใจวัยรุ่นชาวอังกฤษที่ตอนนั้นกำลังร้อนสุด ๆ ชื่อ David Essex

เอามาโยงกันจนได้...

ตอน David Essex เปิดตัวด้วย single นี้ ในปี 1973  มันดังทั้งเพลง (ทั้ง 2 ฝั่ง) และรูปลักษณ์  คือเธอหล่อแบบเห็นแล้วอึ้ง  บ้านเราเพลงไม่ดังเท่าความหล่อ



บ้านเราต้อนรับความหล่อของเธออย่างเกรียวกราว  หนังสือ Starpics  รวมทั้งหนังสือเพลง 3 หัวพร้อมใจกันลงรูปของเธอเล่มละหลายๆ  รูปนานเป็นปี  รวมถึงรูป poster ติดผนังขนาดยักษ์ที่วางขายในทุกที่ทั่วประเทศ

ที่อเมริกา  เธอไม่สามารถรักษามาตรฐานของผลงานไว้ได้เธอจึงถูกจัดเข้าเป็นศิลปินประเภท one hit wonder  ส่วนที่อังกฤษบ้านเกิดเธอยังดังต่อไปอีกนาน



(จากประสบการณ์ เพลงนี้ได้ยินบ่อยกว่าเพลงดัง Rock On)


ขณะกำลังดังสุด ๆ หนังสือ Starpics ซึ่งลงข่าวของเธอเนือง ๆ ก็แพลมออกมาว่าเธอเล่นหนังด้วย  หนังที่กำลังเรียกลูกค้าเข้าโรงหนังไปดูในช่วงนั้นคือเรื่อง That'll be the day  พออ่านแล้วก็อยากดูเป็นกำลัง  เพิ่งมาได้ดูเอาในยุคทีวี I/UBC นี่เอง  เธอหล่อจนอึ้ง



(ตัวอย่างฉากที่ Ringo Starr เล่น)


ตัวอย่างหนัง



ทีวี I/UBC ยังต่อด้วยภาค 2 ด้วย  ชื่อ Stardust  เป็นเรื่องที่เพิ่งรู้  ผมว่าภาคแรกสนุกกว่า



จบด้วยความหล่อและน่ารักของเธอ


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 34 35 [36] 37
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.167 วินาที กับ 19 คำสั่ง