เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 3 [4]
  พิมพ์  
อ่าน: 19016 ขุนแผนกับวันลอยกระทง
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 45  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 09:35

สรุปเนื้อหาที่ผมสนใจได้ดังนี้
- พิธีนี้เรียกว่าพิธีจองเปรียง
- ทำในวันเพ็ญเดือน 12
- มีการทำโคมประทีปชักขึ้นประดับ และการลอยโคม(ลอยกระทง) โดยการชักโคมประทีปขึ้นและการลอยโคมรูปดอกบัวจะกระทำพร้อมกันในยามพลบค่ำ โดยทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

พิธีจองเปรียง เวอร์ชั่นพ่อริด ในละคร พรหมลิขิต



พิธีจองเปรียง เวอร์ชั่นพ่อสุจิตต์ วงษ์เทศ  จองเปรียงลดชุดรับมาจากอินเดีย ส่วนลอยโคมรับมาจากจีน

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 46  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 10:35

ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค

ผู้ช่วยศาสตราจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้ความเห็นในบทความที่ มติชน ว่า

ในพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนบอกว่า “เปรียง” คือน้ำมันไขข้อพระโคหรือน้ำมันไขข้อวัว แม้จะทรงวินิจฉัยว่าถ้าเกี่ยวกับโคก็มาจากประเพณีพราหมณ์แน่ ๆ แต่ผมคิดว่าเปรียงไม่น่าจะเป็นน้ำมันจากส่วนของร่างกายโคซึ่งไม่ต้องกับคติการดูแลโคของอินเดีย

เปรียงจึงน่าจะหมายถึง “นมส้มผสมนํ้าแล้วเจียวให้แตกมัน จัดเป็นโครสอย่างหนึ่งในจํานวนห้าอย่าง” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตมากกว่า ซึ่งตรงกับน้ำมันเนย (ฆี) ของแขกเขา
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 47  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 18:40

คุณสุจิตต์พูดถึงหลายประเด็นที่น่าสนใจ
- พิธีจองเปรียงมาจากพิธีทิวาลี อันนี้ผมจะวิเคราะห์ให้ฟังครับ
- เปรียงไม่ใช่ไขข้อวัว อย่างที่ อ.คมกฤชว่า ดูขัดกับหลักปฏิบัติของฮินดู และว่าตามจริง เรื่องนี้ถูกยกขึ้นมาในหนังสือนางนพมาศ ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค ดูแล้วน้ำมันเปรียงก็อย่างหนึ่ง ไขข้อพระโคก็อย่างหนึ่ง ถึงมาเจือกันได้ น่าสนใจว่าน้ำมันเปรียงจะเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ต้องเป็นน้ำมันแน่ๆ ดังนั้นที่คุณสุจิตต์ว่าเป็นโยเกิร์ต ผมว่าไม่น่าจะใช่ครับ อีกอย่างโยเกิร์ตไม่น่าจะติดไฟได้ดี เพราะมีไขมันอยู่ไม่มากครับ
- พิธีจองเปรียง(ตรองเปรียง)ในกฎมณเฑียรบาล มีมหรสพที่ทุ่งพระเมรุ (หน้าวิหารมงคลบพิตร) หลังจากนั้นขบวนเรือพระราชดำเนินไปถึงวัดพุทไธศววรย์ มีมหรสพต่อที่นี่อีก อันนี้มีประเด็นจะพูดถึงต่อไปครับ
- ลดชุดคือการลดขนาดชุดไฟ เอาไปใส่ในช่องกำแพง อันนี้ผมว่าไม่น่าใช่ ลดชุดน่าจะหมายถึงการลดโคมลงจากเสามากกว่า
- ลอยกระทงเป็นคนละเรื่องกับชักโคม ไทยรับมาจากจีน เขมรก็เอามาจากจีน ทำเพื่อขอขมาผีน้ำผีดิน อันนี้ยาว จะต้องคุยกันต่อไปครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 48  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 18:43

ฝากให้อ่านกันก่อนครับ โคลงพระราชพิธีทวาทศมาส พระนิพนธ์ในพระสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ตัดตอนมาเฉพาะพิธีจองเปรียง

https://vajirayana.org/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C

๓๙๕๏ ดลเดือนกรรดึกตั้ง   จองเปรียง
ชัยคู่ประเทียบเคียง   สี่ต้น
ทั้งโคมบริวารเรียง   รายรอบ สนามพ่อ
อีกรอบกำแพงพัน   พร่ำพร้องแลหลาย ๚
๓๙๖๏ ธรรมเนียมกำหนดไว้   ว่าปี
อธิกมาสหนุนมี   จึ่งให้
ยกโคมเมื่อดฤถี   ขึ้นค่ำ หนึ่งนอ
กาฬปักษ์สองค่ำได้   ลดแล้วจองเปรียง ๚
๓๙๗๏ ปรกติมาสได้ยก   โคมถวาย
ขึ้นสิบสี่ค่ำหมาย   บอกแจ้ง
จองเปรียงตกอยู่ปลาย   เดือนสิบ สองเฮย
วันลดตกยามแล้ง  คำขึ้นมิคเศียร ๚
๓๙๘๏ ตำหรับหนึ่งออกอ้าง   อาทิตย์
ยกสู่ราศีพิจิตร   แห่งหั้น
ข้างขึ้นจึ่งตั้งกิจ   พิธีข้าง ขึ้นนา
ยกเมื่อข้างแรมนั้น   จึ่งตั้งต่อแรม ๚
​๓๙๙๏ กลหนึ่งกำหนดด้วย   ดารา กรแฮ
เรียกชื่อดาวกฤติกา   ฤกษ์ชี้
พลบขึ้นเมื่อรุ่งคลา   เคลื่อนตก
ขึ้นฤแรมพิธีนี้   จุ่งตั้งตามดาว ๚
๔๐๐๏ อีกอนึ่งท่านว่าด้วย   วันพิธี
แต่สิบห้าราตรี   ตรัสอ้าง
เติมต่อเพราะกาลมี   ลอยประทีป แลแฮ
เป็นสิบหกสิบแปดบ้าง   บอกไว้พิธีเดียว ๚
๔๐๑๏ ปีใดยกเมื่อขึ้น   เดือนดล
วันแรกตั้งสวดมนต์   ฤกษ์นั้น
กาฬปักษ์อัศยุชหน   สิบสี่ ดับนา
ยกต่อแรมผ่อนสั้น   สวดขึ้นสิบสาม ๚
๔๐๒๏ อาภรณ์พิโมกข์ตั้ง   เตียงพระ
พุทธชัยวัฒนะ   ออกตั้ง
เทียนโคมสำหรับจะ   จุดทุก ยามเฮย
โต๊ะปรักรองมาตั้ง   สี่ร้อยสามสิบสอง ๚
๔๐๓๏ น้ำมนต์ตั้งพระเต้า   เสลา
อีกเครื่องทรงบูชา   จัดพร้อม
เย็นลงพระสงฆ์มา   สิบรูป
จึงประโคมแซ่ซ้อม   ลั่นฆ้องแตรสังข์ ๚
๔๐๔๏ ไทยห้ามอญห้านั่ง   ขัดสมาธิ
บนพิโมกขปราสาท   สวดอ้าว
จบแล้วป่าวประกาศ   ทั่วทุก องค์เอย
รุ่งจุ่งมาแต่เช้า   ฤกษ์ได้โมงดี ๚
​๔๐๕๏ ครั้นรุ่งวันฤกษ์พร้อม   พนักงาน
โหรนั่งตรงหน้าศาล   อ่านก้อง
บูชาพระฤกษ์การ   จบเสร็จ
ตั้งโห่ให้ลั่นฆ้อง   ยกต้นโคมชัย ๚
๔๐๖๏ พิณพาทย์กลองแขกขึ้น   ระดมกัน
แตรเป่าปี่สองคัน   ล่อแจ้ว
พระสงฆ์สวดชยัน   โตก่อน
กว่าจะยกโคมแล้ว   แสบท้องเสียงเครือ ๚
๔๐๗๏ ชัยประเทียบหกต้นที่   สี่ตำ รวจนา
ตำรวจนอกสนมทำ   มากล้น
บริวารปักประจำ   รอบที่ สนามเอย
รอบราชวังหลายต้น   เหล่าล้อมวังทำ ๚
๔๐๘๏ ต่างคนต่างยกร้อง   เอะอะ
ไม้ง่ามค้ำเกะกะ   กีดแก้
ขาทราย๒๑๙ ช่วยจุนปทะ   ค่อยเลื่อน
ฉุดเชือกเหนี่ยวเต็มแล้   จึงเข้าตะเกียบตรง ๚
๔๐๙๏ ยกเสร็จแล้วให้พระ   สงฆ์ฉัน
ถวายขวดมีน้ำมัน   กับด้าย
สบงโคมสิ่งสำคัญ   ถูกกับ พิธีเอย
เป็นแบบอย่ายักย้าย   อย่างนี้ดีควร ๚
๔๑๐๏ หอแห่งพราหมณ์แต่งตั้ง   เบญจคัพย์
นพวรรคตามตำรับ   เรื่องพร้อม
เย็นมานั่งคอยรับ   เสด็จออก ทรงเฮย
เพลิงจุดเทียนนอบน้อม   กับทั้งเปรียงถวาย ๚
​๔๑๑๏ เสด็จออกประทับยั้ง   ชาลา
ทรงจุดเทียนเปรียงทา   เล่มไส้
เคารพต่อพุทธา   ทิรัตน์ ตรัยเอย
ตำรวจรับปักไว้   แห่งห้องโคมบัง ๚
๔๑๒๏ พร้อมเสร็จทรงชักเส้น   สายดัง กริ่งแฮ
พราหมณ์ประณต เป่าสังข์   ส่งก้อง
แตรพิณพาทย์ประนัง   ครื้นครั่น
กลองแขกขานอีกฆ้อง   หึ่งให้ชัยศรี ๚
๔๑๓๏ โคมเคลื่อนเลื่อนลิ่วขึ้น   ถึงหงส์
ชัยคู่หนึ่งเฉพาะทรง   ก่อนได้
ประเทียบจึ่งพระองค์   เจ้าชัก สี่นา
โคมอีกบริวารให้   เหล่าเจ้าพนักงาน ๚
๔๑๔๏ เรื่องเรืองโอภาสแผ้ว   จรัสงาม
ผลัดเปลี่ยนเทียนทุกยาม   ห่อนช้า
จารีตขัตติยสยาม   เสวยสวัสดิ์ แลพ่อ
เฉลิมพระเกียรติเจ้าหล้า   เพื่อรู้อยู่เขษม ๚
๔๑๕๏ อาณาประชาราษฎร์ทั้ง   พระวงศ์
ชีพ่อพฤฒิพรหมพงศ์   กอบรู้
อีกกับภิกษุสงฆ์   สถิตวัด แลแฮ
ต่างชักโคมทั่วผู้   ส่องฟ้าเรืองแสง ๚
๔๑๖๏ กรรดึกศุกรปักษ์ขึ้น   จวนเพ็ญ
จันทร์กระจ่างดวงเห็น   แจ่มฟ้า
แห้งเหือดพรุณเย็น   ยามค่ำ
ลมว่าวพัดแรงกล้า   ส่งน้ำตราดลง ๚
​๔๑๗๏ น้ำลงลมล่องแล้ง   ละฝน
เย็นฉ่ำน้ำค้างบน   หยาดย้อย
ธัญญาผลาผล   เผล็ดช่อ รวงเฮย
สาโรชเบิกบานสร้อย   เฟื่องฟุ้งเสาวคนธ์ ๚
๔๑๘๏ กมลชนบานเบิกแม้น   ดวงมาลย์
สิ่งโศกร้อนรำคาญ   เสื่อมร้าง
พระคุณแผ่ไพศาล   พรมประ ทั่วแฮ
ปานเปรียบหยาดน้ำค้าง   ชุ่มชื้นชาวชน ๚
๔๑๙๏ วันสิบสามค่ำขึ้น   บ่ายชาย
พร้อมพระสงฆ์มากหลาย   ใช่น้อย
บรรดาที่ทรงถวาย   ไตรอีก กฐินเอย
นับประมวญห้าร้อย    กับทั้งหัวเมือง ๚
๔๒๐๏ อมรินทร์พระที่นั่งสร้อย    วินิจฉัย
จัดหมู่พระสงฆ์ไทย   สวดพร้อม
รามัญเหล่านั้นไป   ตามพวก มอญนา
บนดุสิดาภิรมย์ล้อม   สวดอ้าวอ่าวอึง ๚
๔๒๑๏ แบ่งร้อยหกสิบนั้น   ให้ฉัน
เกณฑ์ผลัดทั้งสามวัน   ครบถ้วน
สามร้อยเศษเปลี่ยนกัน   บิณฑบาต
ในพระราชวังล้วน   แซ่ซ้องฉลองไตร ๚
๔๒๒๏ สดับปกรณ์บรมธาตุไท้   ให้มี
กาฬปักษ์ทุติยดิถี   ทุกครั้ง
ตามเคยประจำปี   ไป่ขาด เลยนา
ทรงพระราชูทิศตั้ง   ต่อเบื้องบรรพวงศ์ ๚
​๔๒๓๏ เทศนาพลบค่ำนั้น   ให้คง
วันละกัณฑ์เคยทรง   สดับบ้าง
จบเสร็จเสด็จลง   ลอยพระ ประทีปเอย
เป็นนิรันดร์ฤๅค้าง   ขาดเว้นสักปี ๚
๔๒๔๏ การลอยประทีปนั้น   พันพรหม ราชเอย
หมายบอกล้อมวงระดม   ทั่วผู้
พลเรือนทหารกรม   ท่าอีก นาพ่อ
ทอดทุ่นใหญ่น้อยรู้   ที่ตั้งทุกกอง ๚
๔๒๕๏ จักกล่าวทุ่นทอดริ้ว   สายใน
กรมแปดเหล่าเรียงไป   ตลอดท้าย
เกณฑ์เฉพาะปลัดกรมไว   ว่องนั่ง คฤห์นา
เรือรูปสัตว์แรงว้าย   วาดล้วนลายน้ำมัน ๚
๔๒๖๏ ฝ่ายขวาเหนือน้ำทอด   สี่นาย
ท้ายฝ่ายซ้ายทอดราย   สี่ผู้
เทพราชทอดอยู่ปลาย   สุดทุ่น เหนือเอย
ท้ายสุดศรีนรินทร์รู้   อยู่รั้งหลังสอง ๚
๔๒๗๏ สายนอกทำลุทั้ง   เกณฑ์หัด ฝรั่งเฮย
กรมคู่ชักเรียงจัด   ทอดไว้
สนมตำรวจรายถัด   ทอดอยู่ นอกนา
ขวาอยู่เหนือซ้ายให้   ทอดท้ายปลายแถว ๚
๔๒๘๏ สายกลางพิณพาทย์นั้น   ทอดประจำ
กลองแขกสำหรับนำ   ทอดกั้น
ตำรวจนอกอีกสองลำ   ทอดต่อ มานา
เรือดอกไม้เพลิงนั้น   ทอดไว้หว่างกลาง ๚
​๔๒๙๏ ตำรวจในนั้นทอดหน้า   บัลลังก์ ขนานเฮย
กลางทอดเป็นตะพาน   ทุ่นต้าย
ทอดสะกัดตัดหน้าฉาน   ตำรวจ ใหญ่เฮย
ในทุ่นเรือตาร้าย   อยู่ท้ายแลเหนือ ๚
๔๓๐๏ กองกลางเรือดั้งกะ   เกณฑ์มา
อีกกับกรมอาสา   พิเศษล้ำ
เรือกรรคู่ซ้ายขวา   มาหมด แลพ่อ
ขวาอยู่เหนือท้ายน้ำ   พวกซ้ายรายกอง ๚
๔๓๑๏ ธรรมเนียมทอดทุ่นล้อม   วงราย
ผู้ขี่เรือกราบหมาย   กราบใช้
เรือดั้งแต่งดั้งพาย   มาทอด
ตามที่เคยแลให้   ทอดล้อมถวายลำ ๚
๔๓๒๏ กันโบดทั้งสี่นั้น   เกณฑ์ประจำ
ทอดอยู่เหนือสองลำ   อีกใต้
ชั้นนอกนักงานสำ   หรับกัก เรือนา
จามแขกอาสาได้   เคาะฆ้องกะแตเตือน ๚
๔๓๓๏ ชั้นนอกที่สุดนั้น   นครบาล
ทอดอยู่ประจำการ   อย่างแร้ง
ซากศพสิงสาธารณ์   ลอยล่อง
คอยเก็บเขี่ยเหวี่ยงแว้ง   ซ่อนเว้นสาบสูญ ๚
๔๓๔๏ ตำรวจโคมเพ็ชรดั้ง   โคมสาน
โคมกลีบบัวพนักงาน   ทุ่นใช้
เคาะฆ้องกะแตขาน   เซ็งแซ่
ห้ามเหล่าเรือเล่นให้   ออกพ้นล้อมวง ๚
​๔๓๕๏ ปืนทุ่นตำรวจนั้น   หลักทอง
ปืนหลักดั้งผอง   เหล็กล้วน
จ่ารงนเรศกอง   เรือรูป สัตว์เฮย
ฝรั่งเศสทอสี่ท้วน   จ่ายให้แขกจาม ๚
๔๓๖๏ จ่ารงคนเรศนั้น   กำหนด แปดนา
ปืนหลักทองจ่ายจด   แปดให้
หลักเหล็กนับรวมหมด   ยี่สิบ สี่เฮย
ครบสี่สิบสี่ได้   กับทั้งฝรั่งทอง ๚
๔๓๗๏ พันพุฒพันเทพราชได้   เกณฑ์กอง บกแฮ
ตั้งรักษาทั้งสอง   ฟากน้ำ
ตะวันตกประจำซอง   อยู่หก กรมเฮย
ตะวันออกมากหลากล้ำ   สิบถ้วนกองเกณฑ์ ๚
๔๓๘๏ ทหารในเลือกหอกห้าว   เห็นขยัน
อีกรักษาองค์พลพัน   กลั่นกล้า
อาสาญี่ปุ่นขัน   แข็งเข่น เคี่ยวเฮย
กรมไพร่คลังสินค้า   พวกดั้งฝั่งบูรพ์ ๚
๔๓๙๏ กองตระเวนปลัดตั้ง   ตะวันตก
เกณฑ์รักษาทางบก   สี่ผู้
งำเมืองหนึ่งนายก   ไตรตรวจ
พระเทพผลรู้   ทั่วแคว้นแดนแขวง ๚
๔๔๐๏ บัลลังก์ที่นั่งต้น   เคียงขนาน
ตำรวจในพนักงาน   แต่งไว้
เจ้ากรมปลัดทหาร   ในเลิศ ลงเฮย
ขวาอยู่ท้ายซ้ายได้   อยู่หน้าเรือขนาน ๚
​๔๔๑๏ สมเด็จบรมนารถเจ้า   จอมภพ
ครั้นเมื่อย่ำค่ำพลบ   นอบน้อม
ทรงสดับเทศนาจบ   จวบทุ่ม ควรพ่อ
องครักษ์แปดหมู่ห้อม   แห่ริ้วชูเทียน ๚
๔๔๒๏ พระดำเนินลงสู่เบื้อง   ฝั่งชไล
ทรงพระราชยานไคล   คลาศเต้า
ดลราชกิจวินิจฉัย   ประทับแทบ เกยนา
ชาวแม่นักงานเฝ้า   นบนิ้วส่องเทียน ๚
๔๔๓๏ โคมสัญญาชักเฉื่อยขึ้น   ถึงปลาย เสาเอย
เรือทุ่นจุดโคมราย   รอบล้อม
พิณพาทย์ประโคมถวาย   กลองแขก อีกพ่อ
ทหารเป่าแตรตรวจซ้อม   ทุ่นใต้จุดเรียง ๚
๔๔๔๏ พระเสด็จยุรยาตรเยื้อง   ลงยัง เรือเอย
ที่นั่งรัตนบัลลังก์   เทียบไว้
เนื่องสนมแน่นชาววัง   อีกพระ ประยูรนา
เถ้าแก่ท้าวนางได้   อยู่ท้ายถวายเรือ ๚
๔๔๕๏ เสด็จถึงประทับยั้ง   หยุดพลัน
ให้เคลื่อนเรืออนันต์   นาคเต้า
พลพายพรั่งพร้อมกัน   พายล่อง
ถึงจอดเรียงเคียงเข้า   เทียบหน้าเรือขนาน ๚
๔๔๖๏ เจ้ากรมพระตำรวจทั้ง   แปดนาย
ต่างก็ลงเรือพาย   ล่องน้ำ
โคมเพ็ชรจุดผูกหมาย   ตำรวจ ใช้นา
พายหนักเร่งพายจ้ำ   รีบร้อนเร็วไป ๚
​๔๔๗๏ ครั้นถึงที่ทุ่นตั้ง   ล้อมวง
แวะจอดจับทุ่นตรง   ที่นั้น
สี่ตำรวจนอกในคง   ตามที่ เคยเอย
ตำรวจนอกสนมชั้น   นอกริ้วเคยเสมอ ๚
๔๔๘๏ ทรงจุดประทีปล้วน   เทียนราย ลำเฮย
เทียนฉัตรจำรัสฉาย   ช่องชั้น
เสด็จทรงประนมถวาย   เรือเคลื่อน ลอยเฮย
สังข์หวู่แตรเหว่จั้น   จับจ้าแจ่มใจ ๚
๔๔๙๏ ถัดถึงนาเวศล้ำ   แลวิไล
ปรากฏศรีสุนทรชัย   ชื่ออ้าง
เทียนรายฉัตรชั้นไสว   แสงส่อง
จุดเสร็จลอยล่องคว้าง   เคลื่อนคล้อยกรายพาย ๚
๔๕๐๏ ต้นบทโหยเห่ต้น   คำกลอน
พลเพียบรับอักษร   ท่อนท้าย
พายทองเชิดชูสลอน   จังหวะ พายพ่อ
บทกาพย์เปลี่ยนพายย้าย   ยั่วเย้าเชิงชวน ๚
๔๕๑๏ พายกรายพายร่อนร้อง   เห่หวล
ฟังเสนาะสำเนียงครวญ   เฉื่อยช้า
ล่องขึ้นกลับทบทวน   หลายเที่ยว
เฉลิมพระเกียรติเจ้าหล้า   หลากล้ำฤๅเสมอ ๚
๔๕๒๏ บรรยงก์บุษบกตั้ง   ทั้งสอง ลำเฮย
พุทธสิหิงค์จำลองทรง   หนึ่งนั้น
หนึ่งตั้งพุ่มพานทอง   แท่นที่ นาพ่อ
ทรงพระราชูทิศหั้น   แห่งแก้วกิ่งสาม ๚
​๔๕๓๏ จึงจุดประทีปล้วน   เรือกระทง
แลเลิศล้วนอย่างคง   คู่หล้า
แกะประกอบบรรจง   กระจกแจ่ม ศรีเฮย
เพลิงส่องแสงทองจ้า   จรัสแพร้วพรายพราว ๚
๔๕๔๏ หลายลำหลายคู่เข้า   เคียงงาม
ลอยเรียบล่องชลตาม   ขนัดริ้ว
พลพายจดจ้องจาม   จ้วงเปิด โปรยเฮย
ธงปักลมปัดพลิ้ว   พลิกย้ายชายกระพือ ๚
๔๕๕๏ โขมดยาเรือดั้งคู่   รามัญ แซนา
เรือรูปสัตว์หลายพรรค์   ถูกถ้วน
วางลำดับเรียงกัน   ตามแบบ เพรงพ่อ
ตั้งคฤห์กันยาล้วน   ดาดผ้าแดงทอง ๚
๔๕๖๏ไม้แกะรูปหุ่นจ้อง   จับพาย
เสื้อสอดต่างสีหลาย   หลากล้ำ
สองแถวนั่งริมราย   ทุกทั่ว กระทงเฮย
จ้วงหนักจรดทีจ้ำ   งัดท้ายยืนตรง ๚
๔๕๗๏ บัดถึงที่นั่งต้น   ตรูตา ต่างแฮ
นาคครุฑหงส์เหรา   กิ่งแก้ว
เอกชัยกราบนานา   สีประกอบ อีกเฮย
จำหลักเครือมาศแพร้ว   หลากพื้นลายผจง ๚
๔๕๘๏ บัลลังก์มณฑปตั้ง   กึ่งกลาง
ม่านปักทองแย่งกาง   ผูกห้อย
จงกลรับเทียนวาง   หว่างภาพ พายพ่อ
ประดิษฐ์ประดับไม่น้อย   เครื่องแม้นเรือทรง ๚
​๔๕๙๏ เรือกราบเกณฑ์เหล่าข้า   ทูลละออง
หลวงพระพระยาผอง   ทุกผู้
จำลำดับปล่อยสอง   ลำล่อง
พันชื่อพรหมราชรู้   เรียบร้อยคอยวาง ๚
๔๖๐๏ เรือเสร็จสั่งให้เรียก   แพกระทง ใหญ่เอย
ปล่อยล่องคว้างคว้างตรง   เหนี่ยวไว้
รั้งท้ายหยุดถวายทรง   จุดทั่ว เทียนเฮย
แล้วที่หนึ่งสองได้   ปล่อยซ้ำเรียงตาม ๚
๔๖๑๏ กระทงเจิมพับเกล็ดซ้อน   ใบตอง กล้วยเอย
บ้างเหลี่ยมบ้างกลมสอง   ใหญ่น้อย
ซ้อนตั้งยอดพานรอง   พนมพุ่ม แลพ่อ
กลีบปากบุบผชาติร้อย   เฟื่องห้อยพึงชม ๚
๔๖๒๏ กระจังกระจ่างล้วน   ผลฟัก เหลืองเฮย
ซ้อนเสียดสอดสีจำหลัก   เพริศแพร้ว
นานาเอนกปัก   เทียนภาพ สลับแฮ
ลิงยักษ์ต่อยุทธแกล้ว   จับถ้าจรดแทง ๚
๔๖๓๏ ฉลักฉลุปรุกาบต้น   กัทลี
ลายเลิศมุ่งสอดสี   ชาดพื้น
แต่งประกอบแพมี   ปลาเต่า มากนา
ชลท่วมเกลี่ยตื้นตื้น   รอบชั้งรองกระทง ๚
๔๖๔๏ โสภณโอภาสเพี้ยน   แผกกัน
ต่างช่างต่างเชิงขัน   คิดสู้
ทำถวายเสร็จสามวัน   ลอยเนื่อง กันนา
วันหนึ่งนับตรวจรู้   ครบห้ากระทงเกณฑ์ ๚
​๔๖๕๏ บรมวงศ์ทำนั้นที่   หนึ่งกระทง
สองกับสามราชวรวงศ์   จัดไว้
สี่สมเด็จอนุชาองค์   หนึ่งแต่ง นาพ่อ
ห้าเชษฐกคินีได้   แต่งแล้วลอยถวาย ๚
๔๖๖๏ จุดพุ่มกระจ่างแจ้ง   แสงฉาย
กระถางพลุระทาหลาย   ปีบร้อง
นกกรวดพะเนียงราย   บานช่อ งามเอย
พลุโด่งดังเสียงก้อง   บอกขึ้นสามตึง ๚
๔๖๗๏ ครั้นเสร็จเสด็จขึ้น   ราชฐาน
กลองแขกรัวต่านขาน   ปี่ห้อ
เรียกรุ่ยปี่เปิดดาน   โหยแหบ
ออกสายปี่ตอดจ้อ   ส่งแล้วลดโคม ๚
๔๖๘๏ เรือผ้าป่าทอดทุ่นทั้ง   ล้อมวง
โคมลดสัญญาลง   เสร็จแล้ว
ต่างเลิกต่างคนคง   ที่สถิต ตนเฮย
เดือนล่องนภาแผ้ว   ผ่องพ้นมัวมอม ๚
๔๖๙๏ ดาดาษกลาดเกลื่อนกลุ้ม   เรือดู
อึงลั่นสนั่นหู   ไม่น้อย
แทรกเบียดเสียดเกรียวกรู   ชิงช่อง ขึ้นแฮ
แม้จักนับกว่าร้อย   ยึดท้ายเป็นพวง ๚
๔๗๐๏ บ้างเล่นเคียงแข่งคล้าย   พายพนัน
ชิงชนะสรวลสันต์   โห่ร้อง
บ้างเถียงทะเลาะกัน   อึงเอะ อะเอย
สนุกสนั่นมี่ก้อง   ฟากโพ้นโยนยาว ๚
​๔๗๑๏ บางคนเล่นเรื่องร้อง   ขับขาน
แพนขลุ่ยซอบรรสาน   แอ่วชู้
อย่างต่ำขับขอทาน   โทนฉิ่ง กรับนา
ริเล่นตามตนรู้   ดอกสร้อยเพลงสวรรค์ ๚
๔๗๒๏ ปรบไก่ครึ่งท่อนทั้ง   สักรวา
ร้อยยักลำนานา   ปลอบพ้อ
แก้โต้ตอบไปมา   ไม่สุด สิ้นเอย
ออดแอดอ้อยอิ่งจ้อ   จากแล้วพายตาม ๚
๔๗๓๏ สาวหนุ่มบรรเจิดหน้า   แจ่มใจ
ทุ่มทอดไว้อาลัย   เกี่ยวเกี้ยว
ฝากรักชักความใน   วอนกล่าว
เลียมและเลี่ยงหลีกเลี้ยว   ผูกข้อไมตรี ๚
๔๗๔๏ ลมลงเรื่อยเรื่อยริ้ว   ก่อหนาว
เย็นชุ่มใจหนุ่มสาว   แทรกเนื้อ
เกิดรักแรกเริ่มคราว   ฤดูเปลี่ยน นาพอ
ใหม่ไม่เคยชิดเชื้อ   อกร้าวหนาวชวน ๚
๔๗๕๏ จันทรจรแจ่มฟ้า   ส่องแสง สว่างเฮย
ส่องจับเนตรเสียวแสยง   ยอกช้ำ
ส่องพักตร์พักตร์เพ็ญแคลง   จันทร์เปลี่ยน
จันทร์แจ่มเจ็บใจปล้ำ   ปลิดให้ไกลทรวง ๚
๔๗๖๏ น้ำลงเรือล่องคว้าง   ขวัญหาย
น้ำเร่งให้ไกลสาย   สวาสดิ์แคล้ว
วันอื่นกลับคืนหมาย   พบเนตร ฤๅนา
น้ำส่งเหลียวสั่งแก้ว   กึ่งถ้อยไป่ทัน ๚
​๔๗๗๏ เหลียวหลังลับเนตรโอ้   อ่อนแรง
ฤๅว่าเจ้าจอดแฝง   ฝั่งสุ้ม
แลลอดสอดตามแสง   เดือนส่อง
จันทร์แจ่มใจมืดกลุ้ม   ส่องน้องไหนนาง ๚
๔๗๘๏ ปะวนหน้าวัดอ้าง   กัลยา ณมิตรเฮย
คิดว่าวนคืนมา   สู่เจ้า
สองเนตรสอดแสวงหา   ริมฝั่ง
หาฤเห็นหวนเศร้า   ล่องพ้นวนเลย ๚
๔๗๙๏ บ้างคืนบ้างกลับขึ้น   พายทวน น้ำเอย
ชายหนุ่มหญิงสาวชวน   พูดจ้อ
น้ำเชี่ยวรีบเร่งจวน   จักรุ่ง รางนา
พายไม่พายเฝ้าล้อ   สาดน้ำเปียกปอน ๚
๔๘๐๏ หญิงดุชายดับง้อ   งอแง
ยิ่งโกรธยิ่งตอแย   หยอกเย้า
มือพายพูดคลอแคล   ชวนแข่ง
ลองสักพักเถิดเจ้า   หะตั้งตุ๋งพาย ๚
๔๘๑๏ ชาวแพชาวบ้านเหล่า   ชาวชน
ต่างก็ทำตามจน   เล็กน้อย
เรือหยวกดอกอุบล   บานเบิก ลอยเฮย
จีบพลับพลึงจ้อยจ้อย   ธูปน้อยหนึ่งเทียน ๚
๔๘๒๏ สามวันเอิกเกริกทั้ง   กรุงศรี
เป็นที่ปริ่มเปรมปรีดิ์   แซ่ซ้อง
ตามคราวฤดูปี   รู้ทั่ว กันพ่อ
นึกกระหยิ่มคอยจ้อง   ค่ำแล้วดูกระทง ๚
​๔๘๓๏ จีนไทยแขกแท้ชอบ   ดูกระทง
ชาวยุโรปกงสุล   พ่อค้า
ต่างคนจัดเรือลง   พายเที่ยว
แสนสนุกทั่วหน้า   เหนือยเข้าจอดดคอย ๚
๔๘๔๏ บ้างเล่นจุดดอกไม้   ทั้งผอง
ช่อม่วงเทียนฝอยทอง   ดอกน้ำ
เล่นตามแต่ใจคนอง   จุดขว้าง  กันเฮย
อีกกรวดกังหันซ้ำ   ประทัดทิ้งเป็ดบิน ๚
๔๘๕๏ นักเลงเจ้าชู้เที่ยว   เสาะแสวง
ไหนที่สีแดงแดง   จอดห้อย
แอบพูดตะแคะตะแคง   เป็นแยบ
ทำขู่ทำหน้าม่อย   พูดแก้กันอาย ๚
๔๘๖๏ บางคนนึกไว้แต่   คืนหลัง
มาก็เที่ยวเก้กัง   ตรวจหน้า
หมู่ใหญ่น่าวัดระฆัง   ไปแอบ ดูเอย
ไม่พบจบเจียนบ้า   สุดรู้เสียแรง ๚
๔๘๗๏ อกเอ๋ยหาอ่อนอ้า   อยู่ไหน
หาบ่เห็นสายใจ   สุดค้น
แลเห็นแต่โคมไฟ   สูงสุด เสานา
ใจลิ่วแขวนสูงพ้น   ยิงล้ำโคมลอย ๚
๔๘๘๏ เอาเถอะสุดฤทธิ์ค้น   เสาะหา
นึกว่าสิ้นวาสนา   เท่านั้น
สองคืนไม่ปะตา   แลเปล่า
รักก็รักสุดกลั้น   แทบกลั้นใจตาย ๚
​๔๘๙๏ เลอะแล้วร่ำเรื่องผู้   ดูกระทง
เปรอะประจะเก็บลง   เบื่อบ้าง
เกลากลอนผ่อนประสงค์   สังเขป
แม้จักซ้ำพร่ำอ้าง   มากล้นเหลือฟัง ๚
๔๙๐๏ ปาฏิบทกัณหปักษ์ตั้ง   พิทยา
ชื่อกติเกบูชา   ว่าไว้
จันทร์ถึงฤกษ์กฤติกา   ปรากฏ ควรพ่อ
พราหมณ์พรตพรหมกรรมได้   พุ่มไม้เทพทัณฑ์  ๚
๔๙๑๏ ตั้งเกยหกศอกขึ้น   น่าสถาน สามเฮย
มูลพระโคกองปาน   ต่อมน้ำ
สี่ทิศแห่งเกยศาล   สูงศอก หนึ่งนา
ชื่อว่าบัพโตล้ำ   เลิศล้วนมงคล ๚
๔๙๒๏ พลบค่ำชีพ่อพร้อม   ทำการ พิธีเฮย
ในที่เทวสถาน   หนึ่งนั้น
กรสูทอาตมสุทธธาร   เบญจคัพย์ เสร็จนา
บูชิตเทพทณฑ์ปั้น   บาตรแก้วตามเพลิง ๚
๔๙๓๏ เทพทัณฑ์ทวาทศถ้วน   แลหลาย
ผ้าหุ้มห่อหนปลาย   ทุกไม้
เกยหนึ่งสี่ไม้หมาย   สี่อย่าง นาพ่อ
เสี่ยงสุขสำราญให้   โลกรู้ศาสตร์คุณ ๚
๔๙๔๏ ราชครูผู้ใหญ่ขึ้น   เกยพลัน
ไม้ห่อผ้าจุ่มน้ำมัน   บาตรแก้ว
จุดเพลิงพุ่งทิศตะวัน   ออกก่อน แลพ่อ
พุ่งครบสี่ทิศแล้ว   ปักตั้งบัพโต ๚
​๔๙๕๏ ที่หนึ่งเสร็จจึ่งขึ้น   ที่สอง
ทำวิธีทำนอง   ดั่งนั้น
เสร็จแล้วที่สามรอง   ทำดุจ กันนา
พุ่งยอดบัพโตครั้น   ครบสิ้นสามเกย ๚
๔๙๖๏ เสร็จจึ่งสวดเข้าตอก   ในสถาน
พราหมณ์สี่ตนนักงาน   สวดแจ้ว
ข้าวตอกจัดตั้งพาน   พราหมณ์หนึ่ง ชูนา
ยกอุหลุบจบแล้ว   แจกให้ชาวชน ๚
๔๙๗๏ บาตรแก้วนั้นจุดไว้   สามรา ตรีเฮย
คอยรับพระศิวา   กฤษณเจ้า
พระองค์จักเสด็จมา   เยียนโลก
ได้ประชุมเทพท้าว   ถีบโล้ขดานโยน ๚
๔๙๘๏ สิ้นความตามแบบเบื้อง   โบราณ
กติกมาสพิธีการ   เท่านี้
น้ำลดชักลมพาน   พัดล่อง ลงเอย
เรียกว่าลมว่าวชี้   ชื่อแล้งแห่งฤดู ๚
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 49  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 18:47

อันนี้ พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เฉพาะส่วนพิธีจองเปรียง

https://vajirayana.org/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99/%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%91%E0%B9%92/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%87

พระราชพิธีจองเปรียง

๏ การพระราชพิธีในเดือน ๑๒ ซึ่งมีมาในกฎมนเทียรบาลว่าพิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม ตรวจดูในความพิสดาร ในกฎหมายนั้นเองก็ไม่มีข้อความใดกล่าวถึงเสาโคมและการจุดโคมอย่างหนึ่งอย่างใดชัดเจน หรือจะเป็นด้วยเป็นการจืด ผู้ที่แต่งถือว่าใครๆ ก็เห็นตัวอย่างอยู่แล้วไม่ต้องกล่าว มีความแปลกออกไปนิดเดียว แต่ที่ว่าการพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม และเติม “ลงน้ำ” เข้าอีกคำหนึ่ง คำที่ว่า “ลงน้ำ” นี้จะแปลว่ากระไรก็สันนิษฐานยาก จะเข้าใจว่าเอาโคมที่เป็นโครงไม้ไผ่หุ้มผ้าที่ชักอยู่บนเสามาแต่ต้นเดือนลดลงแล้วไปทิ้งลงน้ำก็ดูเคอะไม่ได้การเลย หรืออีกอย่างหนึ่งจะเป็นวิธีว่าเมื่อลดโคมแล้ว ลอยกระทง สมมติว่าเอาโคมนั้นลอยไปตามลัทธิพราหมณ์ ที่พอใจลอยอะไรๆ จัดอยู่เช่นกับลอยบาปล้างบาป จะถือว่าเป็นลอยเคราะห์ลอยโศกอย่างใดไปได้ดอกกระมัง การก็ตรงกันกับลอยกระทง ลางทีจะสมมุติว่าลอยโคม ข้อความตามกฎมนเทียรบาลมีอยู่แต่เท่านี้

ส่วนการพระราชพิธี ซึ่งได้ประพฤติอยู่ในปัจจุบันนี้นับว่าเป็นพระราชพิธีพราหมณ์ มิได้เกี่ยวข้องด้วยพระพุทธศาสนาสืบมา กำหนดที่ยกโคมนั้น ตามประเพณีโบราณว่า ถ้าปีใดมีอธิกมาสให้ยกโคมตั้งแต่วันขึ้นค่ำหนึ่งไปจนวันแรมสองค่ำเป็นวันลดโคม ถ้าปีใดไม่มีอธิกมาสให้ยกโคมขึ้นสิบสี่ค่ำ เดือนอ้ายขึ้นค่ำหนึ่ง เป็นวันลดโคม อีกนัยหนึ่งว่ากำหนดตามโหราศาสตร์ว่า พระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤษภเมื่อใด เมื่อนั้นเป็นกำหนดที่จะยกโคม อีกนัยหนึ่งกำหนดด้วยดวงดาวกฤติกาคือดาวลูกไก่ ถ้าเห็นดาวลูกไก่นั้นตั้งแต่ค่ำจนรุ่งเมื่อใด เป็นเวลายกโคม การที่ยกโคมขึ้นนั้นตามคำโบราณกล่าวว่ายกขึ้นเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสาม คือพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม การซึ่งว่าบูชาพระเจ้าทั้งสามนี้เป็นต้นตำราแท้ ในเวลาถือไสยศาสตร์ แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพระพุทธศาสนา ก็กล่าวว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุ พระจุฬามณีในดาวดึงสพิภพ และบูชาพระพุทธบาท ซึ่งปรากฏอยู่ ณ หาดทรายเรียกว่านะมะทานที เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่ แต่ถึงว่าโคมชัยที่อ้างว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธบาทดังนี้แล้ว ก็ยังเป็นพิธีของพราหมณ์พวกเดียว คือตั้งแต่เริ่มพระราชพิธี พราหมณ์ก็เข้าพิธีที่โรงพิธีในพระบรมมหาราชวัง และเวลาเช้าถวายน้ำพระมหาสังข์ตลอดจนวันลดโคม เทียนซึ่งจะจุดโคมนั้นก็ทาเปรียง คือไขข้อพระโคซึ่งพราหมณ์นำมาถวายทรงทา การที่บูชากันด้วยน้ำมันไขข้อโคนี้ก็เป็นลัทธิพราหมณ์แท้ เป็นธรรมเนียมสืบมาจนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่าการพระราชพิธีทั้งปวงควรจะให้เนื่องด้วยพระพุทธศาสนาทุกๆพระราชพิธี จึงโปรดให้มีการสวดมนต์เย็นฉันเช้าก่อนเวลาที่จะยกเสาโคม พระสงฆ์ที่สวดมนต์นั้น พระราชาคณะไทย ๑ พระครูปริตรไทย ๔ พระราชาคณะรามัญ ๑ พระครูปริตรรามัญ ๔ รวมเป็น ๑๐ รูป เวลาทรงศีลแล้วก่อนสวดมนต์ มีอาลักษณ์อ่านคำประกาศแสดงเรื่องพระราชพิธี และพระราชดำริซึ่งทรงจัดเพิ่มเติม และพระราชทานแผ่พระราชกุศลแก่เทพยดาทั้งปวง แล้วพระสงฆ์จึงได้สวดมนต์ต่อไป เวลาเช้าพระฤกษ์ทรงรดน้ำสังข์และเจิมเสาโคมชัยแล้วจึงได้ยก พระสงฆ์สวดชยันโตในเวลายกเสานั้นด้วย ครั้นพระสงฆ์ฉันแล้วถวายไทยทานขวดน้ำมัน, ไส้ตะเกียง, โคม ให้ต้องเรื่องกันกับพระราชพิธี การสวดมนต์เลี้ยงพระยกโคมนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จออกไม่ใคร่จะขาด เสาโคมชัยประเทียบนั้นตั้งอยู่หน้าพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์แต่เดิมมา มีโคมชัยสามต้น โคมประเทียบสามต้น เสาใช้ไม้แก่นยาว ๑๑ วา เสาโคมชัยที่ยอดเสามีฉัตรผ้าขาวโครงไม้ไผ่ ๙ ชั้น โคมประเทียบ ๗ ชั้น เสาและตะเกียบทาปูนขาวตลอด มีหงส์ลูกพรวนติดชักขึ้นไปให้มีเสียงดัง ตัวโคมโครงไม้ไผ่หุ้มผ้าขาว โคมบริวารเสาไม้ไผ่ ๑๐๐ ต้น ฉัตรยอด ๓ ชั้นทำด้วยกระดาษ ปลายฉัตรเป็นธง ตัวโคมโครงไม้ไผ่ปิดกระดาษ โคมชัยโคมประเทียบเป็นพนักงานสี่ตำรวจ โคมบริวารเป็นพนักงานตำรวจนอกตำรวจสนม รอบพระราชวังมีโคมเสาไม้ไผ่ ตัวโคมข้างในสานเป็นชะลอม ปิดกระดาษเป็นรูปกระบอกตรงๆ เป็นของกรมล้อมพระราชวังทำปักตามใบเสมากำแพงมีจำนวนโคม ๒๐๐ ครั้นเมื่อแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้มีเติมขึ้นที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม โคมชัย ๒ ต้น โคมบริวาร ๑๐ ต้น แต่ใช้โคมแก้วกระจกสีเขียว, สีแดง, สีน้ำเงิน, สีเหลือง, สีขาว อย่างละคู่ การพระราชพิธียกเสาโคมชัยนี้ เมื่อเวลาเสด็จประทับอยู่พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ก็ทำที่พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ เมื่อเวลาเสด็จไปประทับอยู่ในพระที่นั่งฝ่ายบุรพทิศ ก็ทำที่พระที่นั่งสุทไธศวรรย์บ้าง ด้วยมีเสาโคมชัยขึ้นในที่นั้น และเมื่อเสด็จพระราชดำเนินประพาสตามหัวเมือง มีพระราชวังแห่งใด ก็โปรดให้ยกเสาโคมชัยสำหรับพระราชวังนั้น คือที่วังจันทรเกษม วังนารายณ์ราชนิเวศน์ และพระนครคิรี และที่วังปฐมเจดีย์ทุกแห่ง เทียนซึ่งสำหรับจุดโคมชัยคืนละ ๒๔ เล่ม (หรือมีเสาโคมชัยทางพระที่นั่งอนันตสมาคมก็เป็น ๓๒ เล่ม) ฟั่นที่ห้องมนัสการเล่มยาวๆ พอจุดได้ ๓ ชั่วโมง ยังเหลือเศษ ในเวลาสวดมนต์ยกโคมชัย เจ้าพนักงานนำเทียนนี้ไปเข้าพิธีด้วย แล้วจึงเก็บไว้ถวายวันละ ๒๔ เล่มหรือครบสำรับหนึ่ง เวลาพลบเสด็จพระราชดำเนินออกประทับที่เสาโคมชัย มหาดเล็กนำพานเทียน ๒๔ เล่มกับเทียนชนวนซึ่งเสียบอยู่กับเชิงเล่ม ๑ วางมาในพานเล่ม ๑ ขึ้นถวายพระมหาราชครูพิธีจึงนำตลับเปรียงขึ้นถวาย บ่ายพระพักตร์สู่ทิศศรีของวันนั้น แล้วทรงเจิมทั้งมัดนั้นด้วยเปรียง เป็นรูปอุณาโลมด้วยคาถา “อรหํ สัมมาสัมพุทโธ” แล้วจึงทรงทาเปรียงทั่วทุกเล่มเทียน ชักเทียนออกจากมัด ๖ เล่ม พระมหาราชครูจึงจุดเทียนชนวนซึ่งมีมาแต่โรงพิธี จากโคมซึ่งตามเพลิงพิธีมานั้นถวาย ทรงเทียนชนวนซึ่งเสียบมากับเชิงจุดเพลิงจากเทียนชนวนพราหมณ์ แล้วทรงบริกรรมคาถา “ทิวา ตปติ อาทิจ์โจ” จนถึง “มังคลัต์ถํ ปสิท์ธิยา” แล้วจึงทรงจุดเทียน ๖ เล่มนั้น เมื่อติดทั่วกันแล้วทรงอธิษฐานด้วยคาถา “อรหํ สัมมาสัมพุทโธ” จนตลอดแล้วจึงได้พระราชทานเทียนเล่ม ๑ ให้กรมพระตำรวจรับไปปักในโคมชัยต้นที่หนึ่ง ที่เหลือนั้นอีก ๕ เล่ม พระราชทานพระเจ้าลูกเธอไปทรงจุดในโคมชัยโคมประเทียบ ในเวลาเมื่อทรงชักสายโคมชัย เจ้าพนักงานประโคมแตรสังข์ฆ้องชัยพิณพาทย์จนสิ้นเวลาที่ยกโคม มีแต่ยามแรกยามเดียว เมื่อยกโคมเสร็จแล้วจึงพระราชทานเทียนสำหรับโคมชัยโคมประเทียบ ที่ยังเหลืออยู่อีก ๑๘ เล่ม สำหรับไว้เปลี่ยนอีก ๓ ยาม และเทียนชนวนที่เสียบอยู่บนเชิง ให้กรมพระตำรวจรับไปจุดโคมบริวาร เทียนชนวนซึ่งเหลืออยู่อีกเล่มหนึ่งนั้น พระราชทานพระมหาราชครูพิธีสำหรับจะได้นำมาเป็นชนวนจุดเพลิงถวายในคืนหลังๆ ต่อไป

การจุดโคมชัยนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงจุดเองไม่ใคร่จะขาด แต่ครั้งเมื่อมีเสาโคมทางหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมขึ้น ไม่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงยกโคมทางพระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์นี้ โปรดให้พระเจ้าลูกเธอเสด็จมาทรงยกโคมที่หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมเอง ตลอดจนโคมบริวารทั้ง ๑๒ ต้นโดยมาก แต่การซึ่งยกโคมนี้ได้ความว่า เมื่อในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เวลายกโคมยามแรกเป็นเวลาเข้าที่พระบรรทม ไม่ได้เสด็จออกทรงยกโคมเลย ต่อคราวที่ ๒ เวลาเสด็จออกทรงธรรม มหาดเล็กจึงได้นำเทียนถวายทรงจุดพระราชทานให้กรมพระตำรวจออกเปลี่ยน แต่ในแผ่นดินปัจจุบันนี้เสด็จออกบ้างไม่ออกบ้าง ถ้าไม่เสด็จออกพราหมณ์ต้องส่งเปรียงและเพลิงเข้าไปข้างใน ทรงจุดพระราชทานพระเจ้าลูกเธอออกมายกโคม เหมือนอย่างในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ในเวลาที่ไม่ได้เสด็จออกนั้น และมีเสาโคมในพระบรมมหาราชวังปักประจำทุกตำหนักเจ้านาย ถ้าเป็นตำหนักเจ้าฟ้าใช้เสาไม้แก่นทาขาว ฉัตรผ้าขาว ๕ ชั้น โคมโครงไม้ไผ่หุ้มผ้าขาวอย่างเดียวกันกับโคมประเทียบมีครบทุกพระองค์ ถ้าเป็นตำหนักพระองค์เจ้าหรือเรือนข้างในใช้เสาไม้ไผ่ โคมโครงไม้ไผ่ปิดกระดาษอย่างโคมบริวารมีทั่วทุกตำหนัก แต่โคมทั้งปวงนี้ใช้ตามตะเกียงด้วยถ้วยแก้วหรือชามทั้งสิ้น เหมือนโคมบริวารข้างนอก ตามวังเจ้านายซึ่งอยู่นอกพระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่พระราชวังบวรฯ เป็นต้นลงไปมีเสาโคม แต่ในพระราชวังบวรฯ เท่านั้น มีโคมชัย, โคมประเทียบ, โคมบริวาร คล้ายในพระบรมมหาราชวัง วังเจ้าฟ้ามีเสาโคมเหมือนโคมชัยแต่ใช้ฉัตร ๕ ชั้น เจ้านายนอกนั้นตามแต่เจ้าของจะทำ

ในการพระราชพิธีจองเปรียงนี้ มีหน้าที่ของกรมมหาดเล็กซึ่งมักจะลืมหรือไม่รู้สึกบ่อย คือเวลาเย็นพลบพนักงานนำเทียนออกมาส่ง ลางทีก็ไม่มีใครรับ เวลาจะทรงก็ต้องเรียกกันเวยวายอย่างหนึ่ง หรือถ้ารับเทียนมาแล้ว เวลาจะนำเข้าไปถวายมักจะจุดเทียนชนวนเข้าไปถวาย การที่มหาดเล็กทำดังนี้เป็นการไม่ระวังในหน้าที่ของตัวและไม่รู้จักจำ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อเสด็จออกพระราชทานเทียนให้พระเจ้าลูกเธอ หรือไม่ได้เสด็จออกพระราชทานเทียนให้พระเจ้าลูกเธอออกไป ก็เป็นหน้าที่ของมหาดเล็กที่จะเชิญเสด็จพระเจ้าลูกเธอไปทรงจุดโคมทุกๆ เสา และช่วยชักสายในเวลาที่ทรงชักโคมนั้นด้วย

ส่วนพนักงานของกรมพระตำรวจนั้น เป็นหน้าที่เจ้ากรมปลัดกรมจ่าเจ้าของเวร ต้องมาคอยรับเทียนไปติดในโคมชัยใบแรกที่จะทรงชัก เมื่อเวลาทรงชักต้องคอยโรยหางเชือก หรือถ้าเวลาฝนตกลงมาเชือกเปียกชื้นชักฝืด ก็ต้องเข้ามาช่วยสาวเชือกชักโคมนั้นด้วยอีกคนหนึ่ง แล้วรับเทียนสำหรับเปลี่ยนโคมและเทียนชนวนไปจุดโคมบริวาร ในการพระราชพิธีจองเปรียงมีการที่สำหรับจะไม่เรียบร้อยพร้อมเพรียงอยู่เพียงเท่านี้ ๚

[๑] พระที่นั่งอนันตสมาคมในพระราชนิพนธ์นี้หมายว่าองค์แรก สร้างเมื่อในรัชกาลที่ ๔ อยู่หลังพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ เดี๋ยวนี้รื้อเสียแล้ว
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 50  เมื่อ 09 ธ.ค. 24, 22:45


ว่าด้วยกำหนดวันพิธี หนังสือทั้งสองเรื่องว่าไว้ตรงกันว่าอาจยกโคมวันขึ้น ๑ ค่ำ แล้วลดโคมวันแรม ๒ ค่ำ หรือยกโคมในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ แล้วลดโคมในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ส่วนปีไหนจะเป็นฤกษ์ไหนนั้นมีวิธีดู 3 วิธี

1. พระราชพิธีสิบสองเดือนว่า ถ้าปีใดมีอธิกมาสให้ยกโคมตั้งแต่วันขึ้นค่ำหนึ่งไปจนวันแรมสองค่ำเป็นวันลดโคม ถ้าปีใดไม่มีอธิกมาสให้ยกโคมขึ้นสิบสี่ค่ำ เดือนอ้ายขึ้นค่ำหนึ่ง เป็นวันลดโคม

โคลงพระราชพิธีทวาทศมาสว่า

๓๙๖ ๏ ธรรมเนียมกำหนดไว้   ว่าปี
อธิกมาสหนุนมี   จึ่งให้
ยกโคมเมื่อดฤถี   ขึ้นค่ำ หนึ่งนอ
กาฬปักษ์สองค่ำได้   ลดแล้วจองเปรียง ๚

๓๙๗ ๏ ปรกติมาสได้ยก   โคมถวาย
ขึ้นสิบสี่ค่ำหมาย   บอกแจ้ง
จองเปรียงตกอยู่ปลาย   เดือนสิบ สองเฮย
วันลดตกยามแล้ง   คำขึ้นมิคเศียร ๚


2. พระราชพิธีสิบสองเดือนว่า กำหนดตามโหราศาสตร์ว่า พระอาทิตย์ถึงราศีพิจิก พระจันทร์อยู่ราศีพฤษภเมื่อใด เมื่อนั้นเป็นกำหนดที่จะยกโคม

โคลงพระราชพิธีทวาทศมาสว่า

๓๙๘ ๏ ตำหรับหนึ่งออกอ้าง   อาทิตย์
ยกสู่ราศีพิจิตร   แห่งหั้น
ข้างขึ้นจึ่งตั้งกิจ   พิธีข้าง ขึ้นนา
ยกเมื่อข้างแรมนั้น   จึ่งตั้งต่อแรม ๚


3. พระราชพิธีสิบสองเดือนว่า กำหนดด้วยดวงดาวกฤติกาคือดาวลูกไก่ ถ้าเห็นดาวลูกไก่นั้นตั้งแต่ค่ำจนรุ่งเมื่อใด เป็นเวลายกโคม

โคลงพระราชพิธีทวาทศมาสว่า

๓๙๙ ๏ กลหนึ่งกำหนดด้วย   ดารา กรแฮ
เรียกชื่อดาวกฤติกา   ฤกษ์ชี้
พลบขึ้นเมื่อรุ่งคลา   เคลื่อนตก
ขึ้นฤแรมพิธีนี้   จุ่งตั้งตามดาว ๚


ส่วนระยะเวลาของพิธี โคลงพระราชพิธีฯ ว่าเดิมกำหนดไว้ 15 คืน แต่วิธีดูฤกษ์แบบที่ ๑ ที่ใช้อธิกมาสกำหนดที่มี 16-18 คืน (ถ้าลองนับดูกรณีอธิกมาส ขึ้น ๑ ค่ำถึงแรม ๒ ค่ำ รวม 17 คืน ในขณะที่ขึ้น ๑๔ ค่ำถึงแรม ๑ ค่ำ รวมได้ 18 คืน) นัยว่าเพราะเพิ่มลอยกระทงเข้าไปด้วยดังนี้

๔๐๐๏ อีกอนึ่งท่านว่าด้วย   วันพิธี
แต่สิบห้าราตรี   ตรัสอ้าง
เติมต่อเพราะกาลมี   ลอยประทีป แลแฮ
เป็นสิบหกสิบแปดบ้าง   บอกไว้พิธีเดียว ๚


น่าสนใจว่าต่างจากหนังสือนางนพมาศที่กำหนดไว้ 3 คืน โดยเริ่มต้นที่วันขึ้น ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ำ (อย่างใดอย่างหนึ่ง ความ 2 จุดขัดกันเอง) ในขณะที่นางนพมาศกำหนดวันไว้ตายตัวที่วันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ หนังสือสองเรื่องนี้ถ้ากำหนดระยะเวลาพิธีไว้ 17-18 คืน ยังไงก็คร่อมวันเพ็ญเดือน ๑๒ ไว้ด้วยแน่ ก็พอกล้อมแกล้มไปได้ว่าไม่ขัดกันครับ

ดังนั้น ย้อนไปเรื่องที่คุณสุจิตต์ว่าจองเปรียงมาจากทิวาลี ไปดูทิวาลีจะเห็นว่าตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๑ ไปถึง ขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๑๒ โดยมีคติคือฝ่ายสว่าง(ธรรมะ)เอาชนะความมืด(อธรรม)ได้ ดังนั้นนอกจากวันไม่ตรงกับลอยกระทงแล้ว คติยังไปกันไม่ได้ด้วย เพระจองเปรียงกำหนดที่วันเพ็ญเดือน ๑๒ คือการเปลี่ยนจากสว่างสู่มืดครับ ดังนั้นนอกจากพิธีกรรมที่มีการชักโคมขึ้นแล้ว ผมว่าจองเปรียง(หรือลอยกระทง) ไม่ได้มีที่มาจากทิวาลี ถึงการชักโคมอาจจะเอามาจากทิวาลีก็เป็นได้ แต่ต้องเอามาสวมทีหลัง เพราะพิธีการเปลี่ยนได้ แต่วันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆครับ

ที่น่าสนใจอีกอย่างคือการใช้คำว่าจองเปรียงในโคลงพระราชพิธีฯ เป็นกิจกรรมหรือพิธีกรรมหนึ่งที่ทำหลังจากลดโคม ดังความสองตอนนี้

กาฬปักษ์สองค่ำได้   ลดแล้วจองเปรียง ๚
และ
จองเปรียงตกอยู่ปลาย   เดือนสิบ สองเฮย
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 51  เมื่อ 10 ธ.ค. 24, 10:35

ดังนั้น ย้อนไปเรื่องที่คุณสุจิตต์ว่าจองเปรียงมาจากทิวาลี ไปดูทิวาลีจะเห็นว่าตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๑๑ ไปถึง ขึ้น ๒ ค่ำเดือน ๑๒ โดยมีคติคือฝ่ายสว่าง(ธรรมะ)เอาชนะความมืด(อธรรม)ได้ ดังนั้นนอกจากวันไม่ตรงกับลอยกระทงแล้ว คติยังไปกันไม่ได้ด้วย เพระจองเปรียงกำหนดที่วันเพ็ญเดือน ๑๒ คือการเปลี่ยนจากสว่างสู่มืดครับ ดังนั้นนอกจากพิธีกรรมที่มีการชักโคมขึ้นแล้ว ผมว่าจองเปรียง(หรือลอยกระทง) ไม่ได้มีที่มาจากทิวาลี ถึงการชักโคมอาจจะเอามาจากทิวาลีก็เป็นได้ แต่ต้องเอามาสวมทีหลัง เพราะพิธีการเปลี่ยนได้ แต่วันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายๆครับ

ถ้าไม่ใช่ ทีปาวลี ก็อาจเป็น เทวทีปาวลี

หลังเทศกาลทีปาวลี (दीपावली/Deepavali หรือ ดิวาลี ก็เรียก) ของมนุษย์ผ่านไป ๑๓ วัน วันทีปาวลีของทวยเทพก็จะมาถึง เรียกว่า วันเทวทีปาวลี (देव दीपावली / Dev Deepavali) หรือเรียกว่า "การติกะ ปูรณิมา" (कार्त्तिक पूर्णिमा / Kartika Purnima) โดยวันนี้เป็นวันพระจันทรเ์ต็มดวงในเดือนการติกะ ซึ่งจะตรงกับวันเพ็ญเดือน ๑๒ หรือวันลอยกระทงของไทยนั่นเอง ชาวฮินดูมีความเชื่อว่าเหล่าทวยเทพจุดประทีป ในคืนเทวทีปาวลีเพื่อฉลองชัยชนะที่พระศิวะสามารถปราบอสูรชื่อตริปุระลงได้สำเร็จ ทำให้ความผาสุกกลับคืนมาสู่เหล่าเทวดาอีกครั้ง

เมืองพาราณสี ตะเกียงดียาแสนดวง

น่าประหลาดใจว่าความนิยมเฉลิมฉลองเทศกาลเทวทีปาวลีมีอยู่เพียงแต่ในเมืองพาราณสีแห่งเดียวเท่านั้น ไม่พบความนิยมในที่อื่น ๆ อีก เทวทีปาวลีถือเป็นเทศกาลใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดเทศกาลหน่ึงประจำเมืองพาราณสี

ในเวลากลางคืน ชาวเมืองพาราณสีจะต้อนรับเหล่าทวยเทพที่กำลังมาเยี่ยมเยือนเมืองพาราณสีในคืนเทวทีปาวลี โดยการจุดตะเกียงดียาจํานวนเป็นแสน ๆ ดวงประดับบน "ฆาฏ" (घाट / Ghat) หรือ ท่าน้ําที่มีลักษณะเป็นขั้นบันไดริมฝั่งแม่น้ำคงคา ท่าน้ํานั้นมีจำนวนมากกว่า ๘๐ ท่า บางคนจะจุดประทีปใส่ลงไปในกระทงเล็ก ๆ ที่ทำจากใบไม้แห้งซึ่งเรียกว่า โดนา (दोना / Dona) ในกระทงประดับด้วยยดอกกุหลาบและดาวเรืองอย่างเรียบง่ายลอยลงไปในแม่น้ำคงคาโดยถือเป็นเครื่องสักการะบูชาเทพเจ้า

อย่างไรก็ตามการลอยกระทงในแม่น้ําคงคาในเทศกาลเทวทีปาวลีนี้ก็มิใช่ประเพณีเฉพาะแต่อย่างใด ตลอดทั้งปีผู้ที่เดินทางมาแสวงบุญยังท่าน้ําคงคาเมืองพาราณสีโดยทั่วไป ก็นิยมบูชาแม่น้ำคงคาด้วยวิธีลอยกระทงแบบน้ีอยู่แล้ว

จากบทความเรื่อง เทศกาลทีปาวลี และเทวทีปาวลีของอินเดีย โดย อาจารย์กิตติพงศ์ บุญเกิด  สาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังสือลอยกระทง เรือพระราชพิธี วัฒนธรรมนํ้าร่วมราก หน้า ๔๖-๔๗
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 52  เมื่อ 10 ธ.ค. 24, 11:35

I must tell you that Banaras celebrates Dev Diwali in a very interesting way. All the ghats are lined up with very high Bamboo poles, a Bamboo wicker basket is ascended to the top of each of these poles with a burning lamp (Diya) every evening and the sky gets lit at the ghats with thousands of these lamps hanging from Bamboo poles. These are called Akashdeep, meaning skylights, and are meant to please the Gods. Hence the name Dev Diwali or Dev Deepawali. Both Loi Krathong and Dev Diwali are celebrated on exactly the same date every year. People float lamps (ghee ke diye) in leaf boats shaped either round or conical, there are a few marigold, rose or lotus flowers in these floating leaf boats as an offering to Ganga ji (the Mother Ganges), such beautiful rituals have survived thousands of years of civilization.

การเฉลิมฉลองเทศกาล เทวทีปวาลี ที่พาราณสี มีวิธีการที่น่าสนใจ ท่าน้ำทั้งหมดเรียงรายไปด้วยเสาไม้ไผ่ที่สูงมาก บนยอดของแต่ละเสามีตะกร้าไม้ไผ่ บรรจุตะเกียงดินเผา (ดียา) ทุกเย็นท้องฟ้าที่ท่าน้ำจะสว่างไสวด้วยโคมไฟหลายพันดวงที่แขวนอยู่บนยอดเสาไม้ไผ่ สิ่งเหล่านี้เรียกว่า อาคาชดีพ ซึ่งหมายถึง แสงแห่งนภา มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เทพเจ้าพอพระทัย จึงเป็นที่มาของชื่อเทศกาล เทวทิวาลี หรือ เทวทีปาวลี ทั้งลอยกระทงและเทวทิวาลี มีการเฉลิมฉลองในวันเดียวกันทุกปี ผู้คนลอยตะเกียงเนยใส บนเรือใบไม้ที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมหรือทรงกรวย มีดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ หรือดอกบัวอยู่สองสามดอกในเรือลอยใบไม้เหล่านี้เพื่อเป็นการถวายแม่คงคาจี (แม่พระคงคา) พิธีกรรมที่สวยงามดังกล่าวได้สืบทอดมาเป็นอารยธรรมนับพันปี

จากบทความเรื่อง Dev Diwali in Banaras and Loi Krathong, the festival of floating lights in Thailand have an ancient connection between them

ภาพจาก https://www.indiamike.com/india/varanasi-f63/what-is-the-purpose-of-this-bamboo-and-basket-t250553


บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 53  เมื่อ 10 ธ.ค. 24, 20:40

ขอบคุณครับ น่าสนใจมากครับ ขออ่านก่อนนะครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 54  เมื่อ 12 ธ.ค. 24, 23:49

มีประเด็นน่าสนใจเยอะเลยครับ แต่ช่วงนี้ผมไม่ค่อยมีเวลา ถือว่าค่อยๆละเลียดก็แล้วกันนะครับ

อ่านบทความลอยกระทงกรุงกัมพูชาของ อ.ศานติ ภักดีคำแล้วอยากเขกหัวตัวเองจริงๆ เพราะอ่านบันทึกของโจวต๋ากวานมาตั้งไม่รู้กี่รอบแล้ว แต่ลืมสนิทว่ามีพูดถึงเรื่องประเพณีเดือน ๑๒ ไว้ด้วย

คนเหล่านี้ถือเอาเดือนที่๑๐ ของจีนเป็นเดือนแรกของปีใหม่ เดือนนั้นชื่อว่า เกียเต๋อ เบื้องหน้าพระราชวังเขาปลูกร้านใหญ่ไว้ ๑ ร้าน บรรจุคนได้พันกว่าคน ตามประทีปโคมไฟและประดับประดาด้วยดอกไม้ ข้างหน้าร้านนั้นห่างออกไป ๒๐ จ้าง ใช้ไม้ต่อกันเป็นร้านสูงรูปลักษณะคล้ายกับนั่งร้านที่ใช้ในการสร้างสถูป มีความสูง ๒๐ กว่าจ้างเห็นจะได้ แต่ละคืนเขาจะปลูกร้านสามสี่ร้านหรือห้าหกร้าน บนร้านเหล่านั้นเขาเอาดอกไม้ไฟและประทัดไปวางไว้ ซึ่งในการนี้ทางจังหวัดต่าง ๆ ในความปกครองและตามบ้านเรือนของขุนนางเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่าย พอตกค่ำก็กราบทูลเชิญพระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร เขาก็จุดดอกไม้ไฟและประทัดขึ้น ดอกไม้ไฟนั้นแม้จะอยู่ห่างนอกระยะ ๑๐๐ ลี้ก็มองเห็นได้ทั่วทุกคน ส่วนประทัดใหญ่เท่ากับปืนใหญ่ยิงศิลา เสียงดังสะเทือนไปทั่วทั้งนคร พวกขุนนางและเจ้านายแต่ละคนได้รับแจกเทียนเล่มใหญ่และหมาก สิ้นค่าใช้จ่ายเป็นอันมาก พระเจ้าแผ่นดินทรงเชิญพวกราชทูตไปชมด้วยเหมือนกัน เป็นอยู่ดังนี้ครึ่งเดือนก็ยุติ

อ่านแล้วนึกถึงพิธีตรองเปรียงในกฎมณเฑียรบาลสมัยอยุธยานะครับ แต่มีความสำคัญอยู่ตรงที่ เป็นอยู่ดังนี้ครึ่งเดือนก็ยุติ

จะว่าไปเรื่องนี้ก็เคยมีกล่าวถึงมาก่อนในหนังสือพิธีทวาทศมาสของเก่า ที่เชื่อว่ามาจากสมัยอยุธยาดังนี้

เดือน ๑๒
พระราชพิธีจองเปรียง ให้ตั้งโรงราชพิธีดุจก่อน ให้เจ้าพนักงานเตรียมโคมไชยประทีปแลโคมบริวารขึ้นตั้ง แล้วพระสงฆ์รับพระราชทานฉันเพลาเช้า ครั้นเพลาค่ำเชิญเสด็จออกทรงซักโคมไชยโคมประทีป ให้พราหมณ์ถวายเชือกโคมทรงชัก ตามด้วยน้ำมันเปรียงพระโคตามบูชาสมเด็จพระพุทธเจ้า แลโคมรูปตราประจำนั้นสำหรับข้าทูลลออง แลโคมรายรอบกำแพงของไพร่ฟ้าประชากร ตามบูชาให้พร้อมกันในวันฤกษ์นั้น เพื่อจะกันไภยอันตรายให้ถ้วนครบ ๑๕ วัน เสร็จการพระราชพิธี เพื่อทรงพระชนม์ศุขทุกประการแล ๆ


https://digital.library.tu.ac.th/tu_dc/frontend/Info/item/dc:48351

เห็นได้ว่าคล้ายกันมากกับพิธีที่โจวต๋ากวานกล่าวถึง เดือนเกียเต๋อที่ว่าหมายถึงเดือนกฤตติกาแน่ ซึ่งก็คือเดือน ๑๒ ของไทย

ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือที่โจวต๋ากวานบอกว่าคนเขมรถือเดือน ๑๐ ของจีนเป็นเดือนแรกของปีใหม่ เรื่องนี้น่าสนใจมาก เพราะเท่าที่ผมเคยอ่านจารึกเขมรต่าง (ฉบับแปลนะครับ เชิญที่ฐานข้อมูลจารึก ศูนย์มนุษยวิทยาสิรินธร) เขาจะระบุเดือนด้วยชื่อเดือน จะมีที่ระบุเป็นเลขบ้างหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยเห็นครับ แต่จากที่บอกว่าเดือนกฤตติกาเป็นเดือน ๑ เห็นได้ว่าเขมรในเวลานั้น (พ.ศ.๑๘๓๙) นับเดือนเร็วกว่าไทย ๑ เดือน ถ้าจะตั้งข้อสังเกตว่าไทยกับเขมรอาจใช้เหมือนกัน(เหมือนในปัจจุบัน) แต่เกิดจากการเติมเดือนอธิกมาสที่เหลื่อมกันจนเดือน ๑ ในปีนั้นไม่ตรงกัน ก็ขอให้อ่านความตามหลังของโจวต๋ากวานตรงนี้ดูครับ

บรรดาชาวประเทศก็มีผู้ที่รู้ดาราศาสตร์ สามารถคำนวณสุริยคราสและจันทรคราสได้ เดือนสั้นเดือนยาวของเขาไม่เหมือนกับของเมืองจีนโดยสิ้นเชิง ปีอธิกมาสเขาจะต้องวางอธิกมาสไว้ แต่วางคั่นไว้ที่เดือน๙ ซึ่งข้าพเจ้าไม่เข้าใจเอาเลย

ปฏิทินสุริยจันทรคติของจีนและอินเดีย(ปัจจุบัน) เขาจะทดเดือนอธิกมาสในเดือนใดๆก็ได้ (ตามเกณฑ์ของเขา) ในขณะที่ไทยเราเติมที่เดือน ๘ เท่านั้น ในขณะที่ล้านนาที่เร็วกว่าไทยกลาง ๒ เดือน เขาจะเติมเดือน ๑๐ เท่านั้น เช่นเดียวกับชนชาติอื่นๆในภูมิภาคนี้ เดือนอาจขยับเร็วช้ากว่ากันได้ แต่จะเติมเดือนตรงกันทั้งหมด ที่เป็นอย่างนี้ว่ากันว่าเพราะชนชาติแถบนี้รับเอาปฏิทินอินเดียโบราณ(ยุคไหนผมก็ยังไม่เคยสืบค้น) ซึ่งเขาจะเติมเดือนตายตัว แล้วเขาเรียกชื่อเดือนเอา ไม่ได้ใช้เลขเดือนครับ เมื่อแต่ละชาติใส่เลขเดือน ก็ว่ากันอย่างที่ถนัด เลขเดือนก็เลยไม่ตรงกัน แต่ระบบปฏิทินนั้นไม่เปลี่ยน การเติมเดือนยังต้องเติมที่เดือนเดียวกัน แต่เลขเดือนไม่ตรงกัน การที่เขมรเติมเดือนอธิกมาสที่เดือน ๙ เป็นการยืนยันว่าเขมรในเวลานั้นมีการระบุเลขเดือนแล้ว และเร็วกว่าของไทยอยู่ ๑ เดือนครับ ซึ่งไม่เหมือนกับในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเขมรใช้ตรงกับไทยครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
หน้า: 1 2 3 [4]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.111 วินาที กับ 20 คำสั่ง