เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
อ่าน: 19015 ขุนแผนกับวันลอยกระทง
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 02 ธ.ค. 24, 16:03

(คุณอาชายังไม่กลับมา)

      ถึงตอนนี้อ่านแล้วเข้าใจว่า จากจีน ผาน > แผน ของไทยภาคกลาง

      ทั้งนี้ยังมี แผน จากภาษาลาว คือ แถน, แถนฟ้า หรือ “ผีฟ้าพญาแถน” - ผีบรรพบุรุษของไทลาว
ที่เมื่อมีการติดต่อกับคนตระกูลมอญ-เขมรลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา(ขอม) หรือกับชาวอินเดียแล้วนำมาเปรียบเทียบพระพรหม
กับ แถน ซึ่งต่างมีตำนานร่วมคือ เป็นผู้สร้างโลกและสรรพสิ่งเหมือนกัน จึงเรียก พรหม ด้วยคำพื้นเมืองลาวว่า แถน
      ที่ส่งต่อมาไทยว่า แผน หรือขุนแผน ดังปรากฏในโองการแช่งน้ำตอนพระพรหมสร้างโลก
      ผู้รู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน อธิบายว่า แถน มีรากจากคำจีนว่าเทียน แปลว่า ฟ้า หมายถึง อำนาจเหนือธรรมชาติ
ซึ่งถือเป็นบรรพชนของผู้ไท และคนในตระกูลไท-ไตทั้งหลาย บางทีเรียกผีฟ้า, เจ้าฟ้า เป็นผู้ควบคุมน้ำบนฟ้า ที่มีนิทาน
การจุดบั้งไฟขอฝนบนฟ้าจากแถน

      เชิญคุณอาชา คุณเพ็ญ อธิบายขยายความตามโอกาสเหมาะสมครับ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 02 ธ.ค. 24, 22:33

ขออภัยที่หายไปหลายวัน ติดภารกิจอันหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ

และขอบคุณคุณ SILA ที่ช่วยสรุปในเรื่องที่ผมเองก็ไม่ค่อยจะกล้าสรุปเท่าไหร่ครับ

เรื่องนี้ผมคิดว่าผมไม่ใช่คนแรกที่คิดแน่ๆ แต่ไม่มีใครพูดหรือเขียนออกมาเพราะมันไม่มีหลักฐานชนิดที่จับต้องได้ มีแต่ร่องรอยจำนวนมากซึ่งจริงๆก็อาจจะสรุปไม่ได้ชัดเจนอยู่ดีว่าอะไรมาจากอะไรกันแน่

แถน กับ เทียน 天 น่าจะมีที่มาร่วมกัน หมายถึงฟ้าหรือสวรรค์ พ่อแถนหรือพญาแถนคือเจ้าสวรรค์ ใช่ครับ อย่างที่คุณ SILA ว่า คืออำนาจเหนือธรรมชาติ ถ้าไปดู old chinese (ภาษาจีนโบราณ พบในกระดูกทำนายที่ใช้กันราว 1250 ปีก่อน ค.ศ.) 天 ออกเสียงว่า l̥ˁi[n] (สืบสร้างโดย Baxter และ Sagart https://en.wiktionary.org/wiki/Appendix:Old_Chinese_basic_vocabulary) ซึ่งทำให้นึกถึงแลงดอนในตำนานของไทอาหมด้วย

สิ่งที่ผมคิดคือ ผาน ในผานกู่ ผานฮู่ และผานหวาง น่าจะเป็นคำเดียวกับแผนในขุนแผนแน่ แต่ใครมาก่อนมาหลังนั้นยังน่าสงสัยอยู่ ในกลุ่ม 3 ผาน ผมเข้าใจว่าแนวโน้มคำที่เก่าที่สุดคือผานฮู่ โดยผานหวางกับผานกู่ ต่างมีที่มาจากผานฮู่ และน่าสงสัยว่าการที่ผานฮู่เป็นชื่อที่แปลไม่ค่อยได้ความ ผานฮู่น่าจะมาจากอะไรที่เก่ากว่านี้อีกที

เป็นไปได้ไหมว่า ผาน หรือแผน จะมาจาก แถน หรือเทียน ซึ่งมาจาก l̥ˁi[n] ในจีนโบราณอีกที กำหนดเวลาไว้ที่ประมาณ 1000 ปีก่อน ค.ศ.

จ้วงบางกลุ่มออกเสียงแถนว่าถีน ในขณะที่จีนแต้จิ๋วออกเสียงว่าเทียน 天 ว่า ทีง์ (ง์ แทนเสียงขึ้นจมูก)

ด้วยตรรกะนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่าแผนกับผีก็เคยเป็นคำเดียวกันมาก่อน โดยหมายถึงบรรพชน หรือผู้สร้าง หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ

ถ้าผานกู่คือแผนเก่า ผีเก่า หรือแถนเก่า ผานฮู่คือแผนน้ำเต้า ผีน้ำเต้า แถนน้ำเต้า ผานหวางคือขุนแถน ขุนแผน หรือขุนผี มันจะเริ่มสมเหตุสมผลกว่าการแปลผานว่าแผ่นเป็นไหนๆ

ถึงที่สุดผมไม่สามารถแสดงหลักฐานแบบ 1+1=2 ดังนั้นคงต้องฝากไว้ให้คิดค้นกันต่อไปครับ

ตอนนี้ เดินหน้าไปดูลอยกระทงกันจริงๆ จังๆ ว่ามีร่องรอยอะไรให้เห็นบ้างครับ แล้วสมมติฐานที่มาของลอยกระทงแต่ละสมมติฐานจะสมเหตุสมผลแค่ไหนกันแน่ครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 08:11

บางที คำที่ออกเสียงเหมือนกันอาจไม่ใช่คำเดียวกัน  ไม่ได้มาจากที่เดียวกันก็ได้นะคะ
ดิฉันยังเชื่อว่า แผน ที่แปลว่าแผ่นดิน  เป็นคำไทยดั้งเดิม   หลงเหลือให้เห็นที่มาอยู่ในคำว่า " แผนที่"  คือที่ดินนั่นเอง
ส่วนแผน ที่อาจกลายมาจากแถน นั้นเป็นคนละคำกัน
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 08:35

แผน ไม่ได้แปลว่า แผ่นดิน ถึงแม้ว่าจะออกเสียงคล้าย ๆ กัน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ ให้ความหมาย ดังนี้

แผน   = สิ่งที่กำหนดถือเป็นแนวดำเนิน เช่น วางแผน, แบบ, ตำรา, เช่น แผนโบราณ แผนปัจจุบัน

แผนที่ = แบบที่เขียนย่อจากพื้นดิน บอกแม่นํ้า ฝั่งทะเล และอื่น ๆ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 10:35

แผน มีอีกความหมายหนึ่ง ตามความเห็นของคุณประพันธ์ เอี่ยมวิริยะกุล ผู้เชี่ยวชาญการคัดอักษรไทกลุ่มต่าง ๆ ด้วยพู่กัน

คุณประพันธ์ ได้ศึกษาภาษาไทด่อนเหนือ พบว่า ไทด่อนเหนือ มีคำว่า "แผน" หมายถึง "หมู่" "เหล่า" หรือ "ฝูง" จึงนำบทประพันธ์สมัยอยุธยาที่พบคำว่า "แผน" มาแทนที่ด้วย "หมู่เหล่า" ได้ดังนี้

จาก ลิลิตโองการแช่น้ำ

๏ และเป็นแผ่นเมืองอินทร์   เมืองธาดาแรกตั้ง
ขุนแผนแรกเอาดินดูที่        ทุกยั้งฟ้าก่อคืน ฯ

"ขุนแผน" จึงหมายถึง "ขุนหมู่" หมายความถึง "ขุนแห่งหมู่เทพ"

ดังนั้น ชื่อ "ขุนแผน" ในเรื่อง ขุนช้างขุนแผน จึงน่าจะมีความหมายว่า "ขุนแห่งหมู่ (ไพร่ทหาร)"

จาก พันศาสตร์พันภาษา
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 13:23

คำกลายได้ และบางทีคำไม่กลาย แต่ความหมายกลายก็มีครับ เรื่องนี้ยากจะพิสูจน์ชัดเจน เพราะหลักฐานหาได้ยาก เหมือนวิวัฒนาการของปลาที่ขึ้นมาบนบก เป็นสมมติฐานอยู่นาน เพราะไม่มีหลักฐานฟอสซิลปลาที่เริ่มจะมีขา แต่เมื่อพบ เรื่องนี้ก็ไม่เป็นที่สงสัยกันอีกต่อไป (ในวงวิทยาศาสตร์นะครับ วงไสยศาสตร์ไม่เกี่ยว)

แต่เรื่องของภาษา ในกรณีนี้ผมว่าหลักฐาน เผลอๆจะหายากกว่าฟอสซิลอีกครับ

ความหมายของแผนในภาษาไทยปัจจุบัน ราชบัณฑิตเขียนไว้เป็น 2 ความหมายก็ต้องเพราะเห็นว่า 2 ความหมายนี้ต่างกันครับ แต่ผมก็เห็นว่าในระดับ conceptual แผนใน แบบแผน กับ แผนที่ มันก็มีความเหมือนกันอยู่ ซึ่งมองว่าเป็นคนละคำก็ได้ แต่ก็เป็นไปได้มากเหมือนกันว่ามาจากที่มาเดียวกัน

แต่การแปลขุนแผน(ผู้สร้าง)ว่าขุนหมู่ โดยมาจากขุนในหมู่เทพ โดยตีความว่าแผนแปลว่าหมู่ อันนี้ผมไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าไหร่ครับ เพราะเทพซึ่งเป็นคำที่มีนัยสำคัญมากกว่าหมู่อีก มันไม่ควรถูกตัดทิ้งไปครับ เป็นขุนในหมู่เทพ ตัดในหมู่ทิ้งไปเหลือขุนเทพยังคงความหมายได้ แต่ตัดเหลือขุนหมู่นี่หมดกันครับ

จะว่าไป เกือบยี่สิบปีก่อน ในเรือนไทยเราคุยกันเรื่องคำอยู่บ่อยๆ (บางคำผมคิดว่าจะสรุปมาอัพเดทอยู่เหมือนกันครับ) ตอนนั้นภาษาไทยยังถูกจัดอยู่ในกลุ่มจีน-ธิเบต แต่ช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ งานวิจัยก้าวหน้าไปมาก ทั้งทางด้านภาษาศาสตร์ และพันธุศาสตร์ที่มาช่วยยืนยันซึ่งกันและกัน ภาษาไทยแยกออกมาเป็นกลุ่มของตัวเองคือกลุ่มขร้า-ไท(Kra-tai) และแนวโน้มใหม่คือพบว่ากลุ่มขร้า-ไทนี้เป็นเครือญาติ (อาจจะเป็นภาษาลูก หรือภาษาพี่น้อง)ของกลุ่ม Austronesian (มลายู, ชวา, ตากาล็อก ฯลฯ)

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่น่าจะมาอัพเดทกัน แต่คงต้องแยกเป็นอีกกระทู้หนึ่งครับ เพราะยาวแน่ครับ ใครอดใจไม่ไหว ลองอ่านบทความนี้ดูนะครับ

https://www.nature.com/articles/s41467-023-42761-x


บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 03 ธ.ค. 24, 13:40

ผมลืมไปเรื่องหนึ่งที่คิดว่าน่าสนใจครับ ชาวเย้าในไทยเล่าเรื่องประวัติของชาวเย้าครับ เข้าใจว่าคัดลอกมาจากต้นฉบับที่เคยอยู่ใน blog ของเว็บ nation ครับ ปัจจุบันหายไปแล้ว

http://iumien.lnwshop.com/article/2/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87-12-%E0%B9%81%E0%B8%8B%E0%B9%88-%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%AD%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99

ชื่อที่ใช้เรียกในนี้จะลักลั่นอยู่บ้าง ผันหู ออกเสียงแบบจีนกลาง แต่ผันหวางกลับออกเสียงแบบเย้า(ในไทย?) ว่าเปี้ยนฮู่ง น่าสนใจว่า 盘 ผาน(หรือผัน จีนไม่มีเสียงวรรณยุกต์สั้นยาว จะอยู่กลางๆระหว่างสั้นกับยาว ไม่นับกรณีวรรณยุกต์เสียงเบาที่จะบังคับให้สระออกเสียงสั้น) ผ กลายเป็น ป, สระ อา เป็น เอีย,และเสียงวรรณยุกต์กลายครับ

ส่วน 王 หวาง เขาออกเสียงว่าฮู่ง ไม่รู้ผมคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่าว่าชื่อท้าวฮุ่งอาจจะมาจากคำนี้

อีกเรื่องที่เจอระหว่างค้นเรื่องนี้คือมีบทความหนึ่งที่ผู้เขียนเป็นชนกลุ่มน้อยชาวเย้าในจีน วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของผานกู่ ผานฮู่ และผานหวาง เขาเสนอว่าผานหวางน่าจะเขียนว่า 盆 (เผิน) ซึ่งแปลว่ากะละมัง มากกว่า 盘 (ผาน) ผมไม่รู้ว่าเย้าในจีนเขาออกเสียงคำนี้ยังไง แต่ข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ภาษาจีนกลางไม่มีสระแอครับ บทความเขาเขียนไว้น่าสนใจมาก อ่านได้ที่นี่ครับ

https://www.sohu.com/a/277698255_488835
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 04 ธ.ค. 24, 14:52

ยังไม่มีเวลา ขอเอาทวาทศมาสช่วงเดือน 12 มาแปะให้อ่านกันเพลินๆก่อนนะครับ

๑๓๐ ๏ กรรดึกเดือนตั้งแต่ง   โคมถวาย
ทุกท่วยหญิงชายแสวง   ล่องเหล้น
ขับซอปี่แคนหลาย   เพลงพาทย์
ติ้งติ่งนิ้วน้าวเต้น   ร่อนรำ ฯ

๑๓๑ ๏ โคมทองประทีปแก้ว   เรืองใน
อกพี่คือโคมคำ   คู่ได้
เพลิงผลาญกระอุใจ   วนิเจต
ทรวงรลุงลาญไหม้   ป่วนเปน ฯ

๑๓๒ ๏ ทุกข์ด้วยวณิภาคยลี้   ลับแลง
รสยํ่ายามเขินเขญ   ขอดข้อน
รำฦกสมเด็จแสดง   รสราค
เพลิงบร้อนเรียมร้อน   ยิ่งยง ฯ

๑๓๓ ๏ เสาโคมสราวสราดขึ้น   แขวนถวาย
ใจพี่แขวนขวัญจง   ไป่ม้วย
ไฟกามกำเดาดาย   ดักด่าว เดียวแม่
นุชบ่แรมร้อนด้วย   พี่เลย ฯ

๑๓๔ ๏ เดือนดลกรรดึกหล้า   ชลาชล
ชลชลานองเนย   น่านกว้าง
ท่วมมารคนทีจน   ตาฝั่ง
นึกรำฦกไห้ช้าง   ที่หั้นใครเห็น ฯ

๑๓๕ ๏ เห็นน้ำคละคลั่งคล้าย   ไนยนา แม่ฮา
คลุ้มคลั่งอาเปรนเป็น   ดั่งบ้า
บเห็นสุดามา    เมินเคียด ไส้แม่
ลุบ่มีเลยข้า   ตากตน ฯ

๑๓๖ ๏ ชลกามนุชกลํ้าเกลศ  ชลพระ พี่แม่
ไฉนฤไทยชลจน   เมื่อหั้น
ชลเหนือหลั่งลงพะ   ชลใหญ่
ชลแนบชลนั้นนั้น   ย่อมกล ฯ

๑๓๗ ๏ ถวายบุญแบ่งแกล้งกล่าว   ผลเผยอ
ถวายพระเปรียงพลางบน   บ่นน้อง
โคมทองรังรองเลอ   แขแข่ง
บุญกุศลเรียมพร้อง   พรํ่าถวาย ฯ

๑๓๘ ๏ นาเวศเวียนมารคท้อง   ทางสินธุ์
จบนทีธารผาย   ทั่วหล้า
พานโภชนาบิณ   ฑบาต
บวงสรวงนุชน้องหน้า   หนุ่มเจ้าจงสม ฯ

๑๓๙ ๏ สายโคมราวระย้า   เรียงราย
คือกังหันหันลม   รอกร้อง
สราวโคมปั่นขวัญหาย   หาแม่
เสียงรอกราคพาลต้อง   โตรดตรอม ฯ

๑๔๐ ๏ เสียงรอกราคตื่นเต้น  ในนุช
ยึดเชือกสราวโคมจอม  จวบหั้น
ระย้าไปล่ปลิวบุษป์   บนเวก
รอกเร่งร้องนุชซั้น     เร่งรน ฯ

๑๔๑ ๏ มฤคจรัลมาเต้นพี่   นึกโคม สรฤๅ
กลเมื่อกลกามกล   ตื่นต้อน
กลนุชแนบแนมโจรม   จรดราค
กลเมื่อเจ็บเรียมข้อน   ขอดแสดง ฯ

จาก https://vajirayana.org/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%A8%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 04 ธ.ค. 24, 16:35

ลาลูแบร์ บรรยายเรื่องโคมประทีปประดับแขวนตามเสา ตรงกับโคลงข้างบน

The Siameses also have some Religious Shows. When the Waters begin to retreat, the People returns them Thanks for several Nights together with a great Illumination; not only for that they are retired, but for the Fertility which they render to the Lands. The whole River is then seen cover’d with floating Lanthorns, which pass with it. There are different Sizes, according to the Devotion of every particular Person; the variously painted Paper, whereof they are made, augments the agreeable effect of so many Lights. Moreover, to thank the Earth for the Harvest, they do on the first days of their Year make another magnificent Illumination; and we saw the Walls of the City adorned with lighted Lanthorns at equal distances; but the inside of the Palace was much more pleasant to behold. In the Wall which do make the Inclosures of the Courts, there were contrived three rows of small Niches all round, in every of which burnt a Lamp. The Windows and Doors were likewise all adorn’d with several Fires, and several great and small Lanthorns, of different Figures, garnished with Paper, or Canvas, and differently painted, were hung up with an agreeable Symmetry on the Branches of the Trees, or on Posts.

จาก A NEW HISTORICAL RELATION OF THE KINGDOM OF SIAM โดย Simone de La Loubère

อนึ่ง ชาวสยามมีมหรสพเนื่องในการพระศาสนาด้วย ลุฤดูน้ำเริ่มลด ประชาชนพลเมืองจะแสดงความขอบคุณแม่คงคาด้วยการตามประทีปโคมไฟขนาดใหญ่ (ในแม่น้ำ) อยู่หลายคืน มิชั่วแต่แม่พระคงคาจะลดราถอยไปเท่านั้น ยังอำนวยให้พื้นดินที่จะทำการเพาะปลูกอุดมดีอีกด้วย เราจะได้เห็นทั้งลำแม่น้ำเต็มไปด้วยดวงประทีปลอยน้ำ (กระทง) ไปตามกระแสธาร มีขนาดใหญ่ย่อมต่างกันตามศรัทธาประสาทะของแต่ละคน และมีกระดาษสีต่าง ๆ ซึ่งประดิษฐ์คิดทำกันขึ้นประดับประดาเครื่องลอยประทีปนั้น เพิ่มให้แสงสีงดงามขึ้นอีก.  โดยนัยเดียวกัน เพื่อแสดงความขอบคุณต่อแม่พระธรณีที่อนุเคราะห์ให้เก็บเกี่ยวพืชพรรณธัญญาหารได้อย่างอุดมสมบูรณ์ในวันต้น ๆ ของปีใหม่ ชาวสยามก็จะตามประทีปโคมไฟขึ้นอย่างมโหฬารอีกครั้งหนึ่ง. ครั้งแรกที่เราไปถึงเมืองละโว้นั้นเป็นเวลากลางคืน พอดีกับคราวตามประทีปนั้น และเราได้เห็นกำแพงเมืองตามประทีปโคมไฟสว่างไสวรายเรียงอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ภายในพระบรมมหาราชวังนั้นยังงดงามยิ่งขึ้นไปอีก ในกำแพงแก้วที่ล้อมพระราชฐานนั้น มีซุ้มช่องกุฏิ ๓ แถวโดยรอบ แต่ละช่องมีประทีปดวงหนึ่งตามไฟไว้ บัญชรและทวารทั้งนั้นก็ประดับดวงประทีปด้วยเหมือนกัน มีโคมประทีปใหญ่และย่อม ตกแต่งเป็นรูปแปลก ๆ กัน ปิดกระดาษ หรือหุ้มผ้าแก้วโปร่งระบายสีต่าง ๆ  แขวนไว้อย่างเป็นระเบียบตามกิ่งไม้หรือตามเสาโคม.

จากหนังสือ "จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม" แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 04 ธ.ค. 24, 22:19

โคลงดั้นทวาทศมาสกับจดหมายเหตุลาลูแบร์ให้ข้อมูลต่างกันเล็กน้อยครับ

ผมอ่านทวาทศมาสได้ข้อมูลดังนี้
- เป็นประเพณีในเดือน 12 (กรรดึก คือ กฤตติกา เป็นชื่อเดือน) แต่ไม่ได้ระบุวันไว้
- มีการแขวนโคมประทีปชักรอกขึ้นเสา ที่เป็นโคมราวก็มี เพื่อถวาย.... เอ่อ ไม่รู้ถวายใครครับ มีการกล่าวถึงถวายพระเปรียง ซึ่งแปลพระเปรียงว่าน้ำมันเนยที่ใช้จุดโคมประทีป ดังนั้นพระเปรียงในที่นี้เป็นกรรมรอง ส่วนกรรมตรง อ่านตั้งแต่ต้นจนจบยังหาไม่เจอครับ
- หนุ่มสาวล่องเรือร้องเพลงบรรเลงดนตรี

ในขณะที่ของลาลูแบร์
- ทำในฤดูน้ำลด ซึ่งสอดคล้องกับเดือน 12 ไม่ได้ระบุวันเช่นกัน แต่กระทำติดต่อกันหลายวัน
- มีการลอยกระทงในแม่น้ำ
- มีการประดับโคมไฟบนกำแพงเมือง และภายในพระราชวังยิ่งอลังการ มีการแขวนโคมบนเสาและต้นไม้ด้วย
- ทำเพื่อขอบคุณน้ำที่ลด (ฉบับแปลไทยว่าพระแม่คงคา) และความอุดมสมบูรณ์ที่น้ำนำมาให้ นอกจากนี้ยังเพื่อขอบคุณผืนแผ่นดิน (ฉบับแปลไทยว่าแม่พระธรณี) สำหรับการเก็บเกี่ยว อาจกล่าวโดยสรุปว่าเป็นประเพณีฉลองการเก็บเกี่ยว ซึ่งมักจะมีเป็นปกติสำหรับชนทุกชาติครับ
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 06 ธ.ค. 24, 23:54

อีกแหล่งข้อมูลหนึ่งคือกฎมณเฑียรบาลที่ว่ากันว่าอาจจะเขียนขึ้นตั้งแต่เริ่มก่อตั้งอยุธยาในรัชสมัยพระรามาธิบดีที่ 1 แต่ดูภาษาที่ใช้ ผมว่าไม่น่าเก่าขนาดนั้น น่าจะเป็นอยุธยาตอนปลายมากกว่า เป็นไปได้ว่ามีการรีไรต์ระหว่างการคัดลอกในยุคหลัง แต่นั่นก็หมายความว่าเนื้อหาสาระอาจจะไม่เหมือนยุคต้นอยุธยาก็เป็นได้นะครับ แต่อย่างน้อยก็อยู่ในสมัยอยุธยาแน่

เดือน 12 การพิทธีตรองเปรียง  ลดชุดลอยโคมลงน้ำ ตั้งระทาดอกไม้ในพระเมรุ์ 4 ระทา หนัง 2 โรง เสดจ์ลงเรือเบญจา 5 ชั้น พระธี่นั่งชั้น 4 นั้นสมเดจ์พระอรรคมเหษี  แม่หยัวเมืองเจ้าเมืองชั้น 3 ลูกเธอชั้น 2 หลานเธอชั้นหนึ่ง พระสนมห่มชมภูใส่สุกหร่ำประธีบทั้ง 5 ชั้น  เรือปลาลูกขุนเฝ้าหน้าเรือเบญจาเรือตะเข้แนมทังสองข้าง  ซ้ายดนตรีขวามโหรี  ตั้งเรือเอนเปนตั้งแพนโคมทุกลำ  ถ้าเสดจ์ลงเป่าแตรโห่ 3 ลา เล่นหนังระบำ  เลี้ยงลูกขุนแลฝ่ายใน  ครั้นเลี้ยงแล้วตัดถมอแก้เอน โห่ 3 ลา เรือเอนตั้งแพนแห่  ตัดถมอลอยเรือพระธี่นั่งล่องลงไปส่งน้ำ  ครั้นถึงพุทไทสวรรคจุดดอกไม้เล่นหนัง  เสดจ์ลงเรือสมรรถไชย กับสมเดจ์พระภรรยาเจ้าทัง 4 ลูกเธอหลานเธอพระสนมลงเรือประเทียบขึ้นมาข้างเกาะแก้ว

อยู่ในหนังสือกฎหมายตราสามดวงเล่ม 1

https://finearts.go.th/chonburilibrary/view/6821-%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%A1-1

น่าจะเป็นเอกสารเก่าที่สุดที่ออกชื่อพิธีจองเปรียง(เขียนว่าตรองเปรียง) และเช่นเดียวกับโคลงดั้นทวาทศมาสและจดหมายเหตุลาลูแบร์ที่ไม่ได้กำหนดวันที่ทำพิธีนี้ รู้แต่ว่าอยู่ในเดือน 12 น่าสนใจว่า ”ลดชุดลอยโคมลงน้ำ“ จะขยายความพิธีจองเปรียงหรือเปล่านะครับ รายละเอียดส่วนมากเป็นเรื่องมหรสพและการจัดขบวนเรือพระราชพิธีครับ


บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 675


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 07 ธ.ค. 24, 17:44


บางท่านอาจจะคุ้นเคยชื่อของแคว้นฉู่มาแล้ว ทั้งจากประวัติศาสตร์จีนยุคสารทวสันต์(ชุนชิว) และยุครัฐศึก(จ้านกว๋อ) ที่จบลงด้วยการรวมแผ่นดินของจักรพรรดิ์จิ๋นซี แต่แคว้นฉู่นี่แหละที่เป็นต้นเรื่องเพลงคนแจวเรือชาวเยว่ที่หลายท่านอาจจะเคยผ่านตามาแล้ว ดังนั้นผมขอสรุปอย่างย่อๆอย่างนี้ก็แล้วกันนะครับ



เรื่องนี้จะว่าไปก็ไม่น่าแปลกใจนัก เพราะในบันทึกเก่าแก่ของแคว้นฉู่ว่ากันว่ามีคำที่ไม่ใช่คำจีนโบราณอยู่จำนวนมาก และเกือบทั้งหมดนั้น อะแฮ่ม... เป็นคำจากภาษาตระกูลไทครับ

Chu Ba Wang ฉู่ปาอ๋อง = พ่อขุนช่อ
เจ้าแคว้นช่อ สืบเชื้อสายจากตระกูล  หมี  Mi = Bear
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 07 ธ.ค. 24, 21:18

เข้าใจแปลครับ 霸王 พ่อขุน ความหมายได้ และอาจเป็นคำร่วมรากทั้งสองตัวด้วย

ส่วนแซ่หมี่ 芈 เป็นแซ่ที่เป็นคำยืมจากคำว่าหมีในภาษาตระกูลไท โดยจีนไม่ใช้ในความหมายนี้ครับ

ท่านใดยังนึกไม่ออก 楚霸王 ฉู่ป้าหวาง คนไทยคุ้นในพากย์แต้จิ๋วว่า ฌ้อปาอ๋อง ชื่อตัวคือ เซี่ยงอวี่ 项羽 ขุนศึกที่ขับเคี่ยวกับหลิวปัง 刘邦 (คนไทยอาจคุ้นในชื่อเล่าปัง ตามสำเนียงแต้จิ๋ว) ชิงแผ่นดินจีนหลังจากจิ๋นซีฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ เป็นผู้ชนะในช่วงแรก ก่อนที่หลิวปังจะกลับมาได้ บีบให้เซี่ยงอวี่ฆ่าตัวตาย แล้วตั้งตัวเป็นปฐมจักรพรรดิ์ราชวงศ์ฮั่น

ที่มาของบรรพบุรษของเซี่ยงอวี่มี 2 กระแส หนึ่งในนั้นคือบรรพบุรุษของเซี่ยงอวี่เป็นคนตระกูลหมี่ 芈 ที่เป็นราชตระกูลของแคว้นฉู่ แต่เปลี่ยนมาใข้แซ่เซี่ยง 项 ในภายหลัง
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 43  เมื่อ 08 ธ.ค. 24, 13:42

มาถึงยุครัตนโกสินทร์ ก็คงต้องเริ่มด้วยนางนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ครับ

https://www.finearts.go.th/storage/contents/file/BvdafcIiT0JeIQ2KnQLydTDNnhEMrVX0DO3SeesU.pdf

ความที่เกี่ยวข้องมีดังนี้

ว่าด้วยพิธีจองเปรียง

พอถึงการพระราชพิธีจองเปรียง ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นนักขัตฤกษ์ชักโคมลอยโคม บรรดาประชาชนชายหญิงต่างตกแต่งโคมชักโคมแขวนโคมลอยทุกตระกูลทั่วทั้งพระนคร แล้วก็ชวนกันเล่นมหรสพ สิ้นสามราตรีเป็นเยี่ยงอย่าง แต่บรรดาข้าเฝ้าฝ่ายราชบุรุษนั้นต่างทำโคมประเทียบบริวารวิจิตรด้วยลวดลายวาดเขียนเป็นรูปและสัณฐานต่างๆ ประกวดกันมาชักมาแขวนเป็นระเบียบเรียบรายตามแนวโคมชัย เสาระหงตรงหน้าพระที่นั่งชลพิมาน ถวายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงพระราชอุทิศสักการบูชาพระมหาเกศธาตุจุฬามณีในชั้นดาวดึงส์ ฝ่ายพระสนมกำนัลก็ทำโคมลอยร้อยด้วยบุปผชาติเป็นรูปต่าง ๆ ประกวดกัน ถวายให้ทรงอุทิศบูชาพระบวรพุทธบาท ซึ่งประดิษฐานยังนันมทานที และข้าน้อยก็กระทำโคมลอยคิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมพระสนมกำนัลทั้งปวง จึงเลือกผกาเกสรศรีต่าง ๆ ประดับเป็นรูปดอกกระมุทบาน กลีบรับแสงพระจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย แล้วก็เอาผลพฤกษาลดาชาติมาแกะจำหลักเป็นรูปมยุระคณานกวิหคหงส์ ให้จับจิกเกสรบุปผชาติอยู่ตามกลีบดอกกระมุท เป็นระเบียบเรียบเรียงวิจิตรไปด้วยสีย้อมสดส่างควรจะทอดทัศนายิ่งนัก ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค ครั้นเพลาพลบค่ำ สมเด็จพระร่วงเจ้าเสด็จลงพระที่นั่งชลพิมาน พร้อมด้วยพระอัครชายา พระบรมวงศ์ และพระสนมกำนัล นางท้าวชาวชะแม่ทั้งปวง พราหมณ์ก็ถวายเสียงสังข์อันเป็นมงคล ชาวพนักงานก็ซักสายโคมชัยโคมประเทียบบริวารขึ้นพร้อมกัน เพื่อจะให้ทรงพระราชอุทิศ สักการบูชาพระจุฬามณี ฝ่ายนางท้าวชาวชะแม่ก็ลอยโคมพระราชเทพีพระวงศานุวงศ์ โคมพระสนมกำนัลเป็นลำดับกันลงมา ถวายให้ทอดพระเนตรและทรงพระราชอุทิศ ครั้นถึงโคมรูปดอกกระมุทของข้าน้อย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรพลางทางตรัสชมว่าโคมลอยอย่างนี้งามประหลาดยังหาเคยมีไม่ เป็นโคมของผู้ใดคิดกระทำ ท้าวศรีราชศักดิโสภาก็กราบบังคมทูลว่าโคมของนพมาศธิดาพระศรีมโหสถ ครั้นได้ทรงทราบก็ดำรัสถามข้าน้อยว่าทำโคมลอยให้แปลกประหลาดจากเยี่ยงอย่างด้วยเห็นเหตุเป็นดังฦๅ ข้าน้อยก็บังคมทูลว่าข้าพระองค์สำคัญใจคิดเห็นว่าเป็นนักขัตฤกษ์ วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระจันทร์แจ่มแสงปราศจากเมฆมลทิน อันว่าดวงดอกชาติโกสุมปทุมมาลย์มีแต่จะแบ่งบานกลีบรับแสงพระอาทิตย์ ถ้าชาติอุบลเหล่าใดบานผกาเกสรรับแสงพระจันทร์แล้วก็ได้ชื่อว่าดอกกระมุท ข้าพระองค์จึงทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท ซึ่งบังเกิดมีอยู่ยังนันมทานที อันเป็นที่พระบวรพุทธบาทประดิษฐาน กับแกะรูปมยุราคณานกวิหคหงส์ประดับ และมีประทีปเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโคถวายในการทรงพระราชอุทิศครั้งนี้ ด้วยจะให้ถูกต้องสมกับนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระราชพิธีจองเปรียง โดยพุทธศาสน์ไสยศาสตร์ ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงสดับ ก็ดำรัสว่าข้าน้อยนี้มีบัญญาฉลาดสมที่เกิดในกระกูลนักปราชญ์ กระทำถูกต้องควรจะถือเอาเป็นเยี่ยงอย่างได้จึงมีพระราชบริหารบำหยัดสาปสรรว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศ ถึงการกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน ๑๒ พระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็ให้กระทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนันทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน อันว่าโคมลอยรูปดอกกระมุทก็ปรากฏมาจนเท่าทุกวันนี้ แต่คำโลกสมมุติเปลี่ยนชื่อเรียกว่าลอยกระทงทรงประทีป เหตุดังนี้ข้าน้อยผู้ชื่อว่านพมาศก็ถึงซึ่งมีชื่อเสียงปรากฏอยู่ในแผ่นดินได้อย่างหนึ่ง อันราชประเพณีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยทรงประพฤติมาแต่ก่อน ถ้าทอดพระเนตรซักโคมลอยโคมแล้ว ก็เสด็จทรงเรือพระที่นั่งไปถวายดอกไม้เพลิง บูชาพระรัตนตรัยทุกพระอารามหลวง บรรดาที่อยู่ริมฝั่งนทีจนรอบกรุง ทั้งทรงทอดบังสุกุลจีวร ทรงพระราชอุทิศถวายพระ ภิกษุสงฆ์อันพึงปรารถนานั้นด้วย แล้วก็ทรงทอดพระเนตรทรงฟังประชาชนชายหญิงร้องรำเล่นนักขัตฤกษ์เป็นการมหรสพต่างๆ สำราญราชหฤทัยทั้งสามราตรี และเมื่อจะเสด็จนั้น ลางทีก็ดำรัสเรียกพระอัครชายา พระบรมวงศ์ลงเรือพระที่นั่งไปด้วย บางทีก็สั่งให้นางบำเรอสำหรับขับร้อง และนางพระสนมผู้สนิทไปลงเรือพระที่นั่งตามเสด็จและในราตรีขึ้น ๑๔ ค่ำวันนั้น สมเด็จพระร่วงเจ้าทรงลอยโคมแล้ว ก็ลงเรือพระที่นั่งชื่อประพาสแสงจันทร์เสด็จด้วยนางบำเรอ จึงมีพระราชบรรหารดำรัสเรียกให้ข้าน้อยลงเรือพระที่นั่งไปด้วย ครั้นเสด็จไปถึงหน้าพระอารามแห่งใดชาวพนักงานก็จุดดอกไม้เพลิง พุ่มพะเนียงพลุระทากระถางแสงสว่างกระจ่างจับผนังหลังคาพระพิหารการบุเรียนอร่ามงามชวนน้ำจิตให้มีประสาทศรัทธาเลื่อมใสโสมนัส ทั้งน่าชมเรือร้านม้าผ้าบังสุกุลประดับด้วยโคมปักโคมห้อยสว่างไสว จอดเรียงรายถวายให้ทรงจบพระหัตถ์ มีทุกท่าพระอารามหลวง และหน้าบ้าน ร้านแพเหล่าตระกูลทั้งหลาย ก็ตกแต่งห้อยแขวนโคมประทีปพวง บุปผามาลัยผูกระบายศรีต่างๆ ตั้งโต๊ะแต่งเครื่องสักการบูชาประกวดกันทั้งสองฝากฝั่งนที แสงสว่างดุจทวาวันเดียรดาษด้วยนาวาประชาราษฎรตีฆ้องกลองขับร้องเพลงเกรินเพลงกรายโชยชายเห่ช้าชมเดือน ทั้งคนตรีดีดสีสังคีต อันเหล่าเรือประเทียบท้าวพระยาพระหลวงก็แห่ผ้าบังสุกุล ไปเที่ยวทอดถวายพระสงฆ์เจ้าในพระอารามต่างๆ ล้วนแต่แต่งกรัชกายนุ่งผ้ารัดครีห่มสีแดงสุกแดงแสดแซมช้องผมด้วยพวงผกาเกสร แสงพระจันทร์จับนวลหน้าลออเอี่ยม บ้างก็ขับเพลงพิณเพลงแพนเพลงดุริยางค์โหยหวนสำเนียงเสียงเสนาะน่าพึงฟัง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทอดทัศนามหาชนเล่นนักขัตฤกษ์สำราญราชหฤทัย จึ่งคำรัสให้ข้าน้อยนิพนธ์ผูกกลอน เป็นเพลงขับให้นางบำเรอร้องถวายในขณะนั้น ข้าน้อยให้คิดเกรงพระราชอาญายิ่งนัก แต่อุตสาห์แข็งใจ นิพนธ์กลอนว่า

    ๐ ข้าน้อยนพมาศ                    อภิวาทบาทบงสุด้วยจงจิต
ยังนิพนธ์กลกลอนอ่อนความคิด  อันชอบผิดขอจงโปรดซึ่งโทษกรณ์
เป็นบุญตัวได้ตามเสด็จประพาส  นักขัตฤกษ์ประชาราษฎร์สโมสร
สว่างไสวไปทั่วทั้งนคร                 ทิฆัมพรก็แจ่มแจ้งแสงจันทร์เอยฯ

     ๐ น่าแสนสำราญจิต               ทั้งสิบทิศรุ่งเรืองดังเมืองสวรรค์
สงสารแต่พระสนมกำนัล             มิได้เห็นเป็นขวัญนัยนา
แม้เสด็จด้วยที่นั่งบัลลังก์ขนาน    เวรอยู่งานพระเจ้าจอมมาพร้อมหน้า
จะชวนกันเกษมเปรมปรีดา          ขอประทานโทษาข้าน้อยเอยฯ

สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงสดับกลกลอนดังนั้น ก็แย้มพระโอษฐ์ทรงพระสรวลแล้วดำรัสว่าข้าน้อยกล้ากล่าว จะให้พาพวกพ้องมาเที่ยว ดูงานนักขัตฤกษ์เล่น โดยนำใจคิดเห็นว่าจะได้ผลได้ประโยชน์ดังฤๅ ข้าน้อยก็ทูลสนองพระราชบัญชาว่า ข้าพระองค์ได้เห็นเรือประเทียบ ท้าวพระยา ล้วนแต่ตกแต่งเนื้อตัวนุ่งห่มสีสันต่าง ๆ ประกวดกันดูก็งดงาม อันพระสนมกำนัลทั้งปวงย่อมได้รับพระราชทานสรรพเครื่องอลงการาภรณ์ทั่วกัน และเมื่อมิได้ตกแต่งกรัชกายในการนักขัตฤกษ์แล้ว ก็ทอดทิ้งให้เศร้าหมองเสียสีสันอันตรธานเสียด้วยสิ้นรัก ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีมีอิสริยศแล้ว ย่อมรักใคร่ในการที่จะตกแต่งกายาสิ้นทุกตัวคน ถึงจะตกแต่งอยู่ในพระราชสถานสักร้อยครั้ง ก็ไม่สบายใจเท่าได้แต่งในการออกหน้าแต่ครั้งหนึ่ง และนักขัตฤกษ์จะมีก็ปีละครั้งคราว ข้าน้อยอยากจะใคร่ได้เห็นทั่วๆกัน จึ่งกล้ากราบทูลดังนี้ สมเด็จพระร่วงเจ้าก็ทรงดุษณีภาพในความเรื่องนี้ ดำรัสกิจอันอื่นโดยพระราชอัชฌาสัย ครั้นบังควรกับเพลาแล้วก็เสด็จกลับยังพระราชนิเวศน์ จึงมีพระบัญชาสั่งชาวพนักงานทั้งหลายว่า ยังนักขัตฤกษ์อีกสองราตรี เราจะไปเที่ยวประพาสเล่นด้วยนาวาขนาน ท่านจงเตรียมการไว้ให้พร้อม ฝ่ายพระสนมกำนัลครั้นได้ทราบว่าจะได้โดยเสด็จก็ยินดีปรีดา ไม่ว่าเป็นเวรอยู่งานของผู้ใด แต่เพลาเย็นต่างก็จัดแจงแต่งกรัชกาย นุ่งห่มผ้าลิขิตพัสตร์ผ้าสุวรรณพัสตร์ปกปิดด้วยเครื่องอลงการาภรณ์ เสียบแซมผกามาสผกาเกสรในช้องผม ผัดผิวหน้านวลงามดังนางเขียนแต่งคิวให้ค้อมดุจเส้นวาด อันพระสนมกำนัลจำพวกหนึ่งเป็นคนรู้มากมักบอกแต่เจ็บไข้ พึงใจจะทำราชกิจแต่เมื่อคราวจวน ๆ จะแจกจ่าย ก็ได้รับพระราชทานสรรพสิ่งที่อย่างเลวพอสมกับเกียจคร้าน ครั้นถึงที่จะมีการออกหน้าต้องตกแต่งก็คิดอายด้วยไม่เทียมเพื่อน จะนั่งอยู่ก็ไม่ได้ด้วยอยากจะใคร่เห็น ต้องเสือกสนขวนขวายจนสิ้นฤทธิ์ ไม่สมความปรารถนาแล้วก็ต้องจนใจ กลับได้คิดโทมนัสติเตียนตัว ว่ากูเอยรูปร่างหน้าตาก็เทียมท่าน แต่ประพฤติสันดานเป็นคนแชเชือนจะได้สิ่งใดก็ไม่เหมือนเขา จนต้องนอนนิ่งอยู่กับวัง น่าอัปยศอดสูแก่ผู้คนบ่าวไพร่ ตั้งแต่นี้ไปเบื้องหน้าจะอุตส่าห์พากเพียรให้เสมอพวกพ้องเป็นคนดีให้จงได้ ถ้าท่านผู้ใดกลับใจได้คิดเมื่อครั้งนั้น ก็นับว่ากลับตัวได้ด้วยเหตุคือปัญญาของข้าน้อยนพมาศ และในเพลาราตรีอันเป็นคำรบสองคำรบสามนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทรงประพาสการนักขัตฤกษ์ด้วยเรือพระที่นั่งบัลลังก์ขนานพร้อมด้วยพระอัครชายา พระราชประยูรวงศาพระสนมกำนัลซึ่งสนิทและประจำเวรอยู่งาน ทั้งนางบำเรอสำหรับขับร้องสำราญราชหฤทัย ด้วยสโมสรพร้อมเพียง จึงดำรัสให้ข้าน้อยนิพนธ์กลกลอนเป็นเพลงขับให้นางบำเรอร้องเชยชมพระนครบ้าง และชมแสงพระจันทร์ดวงดาวนักขัตฤกษ์ยี่ ๒๗ อันเดินประจำจักรราศี คือ อัสสนี ภรณี กัตติกา โรหิณี มิคเศียร อัทระ บุนพสุ บุษยะ อสิเลส มาฆะ บุพผล อุตรผล หัตถะ จิตระ สวัสดิ วิสาขะ อนุราธะ เชฏฐะ มูละ บุรพาสาธ อุตรา สาวนะ ธนิฏฐะ สัตภิสชะ บุพภัทะ อุตราภัทะ เรวดี โดยตำรับข้าน้อยได้เล่าเรียน บรรดาพระบรมวงศาและพระสนมกำนัล ต่างบันเทิงเริงรื่นด้วยได้เห็นได้ฟังหมู่มหาชนชาวพระนครเล่นการนักขัตฤกษ์ทั้งได้ตกแต่งกรัชกายประกวดกัน ครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทอดพระเนตรลูกหลวงหลานหลวงนางสนมกำนัลแต่งกายงามกว่าแต่งตามธรรมดา ก็พึงพอพระราชหฤทัย จึ่งพระราชทานเครื่องอลงการาภรณ์พรรณผ้านุ่งผ้าห่มล้วนแต่อย่างดีมีค่า เพิ่มเติมให้ทุกหน้าคณานาง ข้าน้อยก็ได้รับพระราชทานสองเท่า พระสนมกำนัลทั้งปวงต้องเป็นคนใหม่ ตั้งแต่นั้นมาถึงพระราชพิธีจองเปรียงแล้วสมเด็จพระร่วงเจ้าก็เสด็จทรงประพาสการนักขัตฤกษ์ พร้อม ด้วยนางใน ทุกครั้ง จนได้เป็นตำราว่าเกิดขึ้นด้วยปัญญาข้าน้อยนพมาศ อันว่าหมู่พระสนมกำนัลทั้งหลายก็มีน้ำจิตรักใคร่ข้าน้อยด้วยเหตุสองประการ คือพระเจ้าแผ่นดินชุบเลี้ยงเสมอกันนั้นประการหนึ่ง คือเห็นความดีของข้าน้อยนั้นประการหนึ่ง แต่นั้นมาข้าน้อยก็ได้ทำกิจราชการรับใช้สอยในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งวิสาสะคุ้นเคยกับพระสนมกำนัลสิ้นทั้งพระราชนิเวศน์

บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 2055



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 44  เมื่อ 08 ธ.ค. 24, 23:18

เรื่องนางนพมาศนี้ ไม่ต้องสงสัยเป็นอื่นเลย แต่งในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นแน่นอน แต่จะแต่งเติมขึ้นจากหนังสือที่เก่ากว่านั้นหรือไม่ ผมคิดว่าไม่มีทางจะพิสูจน์ได้ เพราะยังไม่มีใครเคยพบหนังสือดังกล่าว แต่สิ่งที่น่าจะเป็นคือ

1. สิ่งต่างๆที่บรรยายไว้ ส่วนมากน่าจะต้องเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันจริงในช่วงเวลานั้น
2. สิ่งที่ปฏิบัตินั้น อาจเป็นของเก่ามาแต่ครั้งอยุธยา, เพิ่งจะมาทำในช่วงรัตนโกสินทร์, หรือแม้แต่ตัวหนังสือ(หรือผู้แต่ง)นี่แหละทำให้เกิดสิ่งต่างๆขึ้นด้วยทั้งในทางตรงและทางอ้อม

เหตุที่ว่านี้อยู่ในคำนำของหนังสือเล่มนี้เอง ว่าถึงแม้ในหลวงรัชกาลที่ ๕ จะเห็นว่าเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ ถึงรัชกาลที่ ๓ แต่ก็มีผู้ที่เชื่อถือหนังสือนี้อยู่ไม่น้อย มีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า และกรมหลวงวงศาธิราชสนิท เป็นต้น

สรุปเนื้อหาที่ผมสนใจได้ดังนี้
- พิธีนี้เรียกว่าพิธีจองเปรียง
- ทำในวันเพ็ญเดือน 12
- มีการทำโคมประทีปชักขึ้นประดับ และการลอยโคม(ลอยกระทง) โดยการชักโคมประทีปขึ้นและการลอยโคมรูปดอกบัวจะกระทำพร้อมกันในยามพลบค่ำ โดยทำเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
- เสร็จจากทอดพระเนตรการชักโคมลอยโคม พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จลงเรือพระที่นั่งไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลยังวัดต่างๆริมฝั่งน้ำรอบกรุง และทอดพระเนตรการมหรสพของชาวบ้านเป็นเวลา 3 คืน มีกล่าวว่าวันที่ทรงเรียกนางนพมาศให้ลงเรือไปด้วยนั้นเป็นวันขึ้น 14 ค่ำ เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกับการชักโคมลอยโคม เป็นไปได้ 2 อย่างคือ 1. พิธีทำในวันขึ้น 14 ค่ำจริง กับ 2. พิมพ์ผิดหรือคัดลอกกันมาผิด
- นอกจากชื่อพิธีจองเปรียง มีคำว่าเปรียงปรากฏอีกครั้งว่า ทั้งเสียบแซมเทียนธูปและประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค

ยังมีหนังสือสำคัญอีก 2 เรื่องที่รออยู่คือ
1. พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กับ
2. โคลงพระราชพิธีทวาทศมาส พระนิพนธ์ในพระสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์
บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
หน้า: 1 2 [3] 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.066 วินาที กับ 20 คำสั่ง