naitang
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 06 มิ.ย. 23, 18:03
|
|
งานบุญสลากภัต ผมไม่คุ้นกับชื่อของงานบุญนี้ ต้องสอบถาม อ.กู๋ จึงรู้ว่าก็คืองาน 'บุญตาน(ทาน)ก๋วยสลาก' นั่นเอง งานบุญรูปแบบนี้ดูจะนิยมจัดขึ้นในช่วงระหว่างช่วงปลายของการเข้าพรรษา ซึ่งเป็นช่วงที่เสร็จภารกิจของงานในภาคสนาม ก็เลยไม่ค่อยจะได้เห็น ก็ยังมีงานบุญนี้อยู่นะครับ ในกรุงเทพฯที่เด่นดังก็ที่วัดเบ็ญจมบพิตร สำหรับวัดอื่นๆนั้นแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อวันของงานบุญในลักษณะนี้เลย
ในภาคเหนือนั้น ยังพบว่าในหมู่บ้านต่างๆที่มีวัดประจำหมู่บ้านยังคงมีงานบุญในลักษณะนี้เป็นประะจำทุกปี แต่จะมีการปรับให้เข้ากับสภาพของพื้นที่ (ภูมิประเทศ ลักษณะการกระจายและทัศนคติของชุมชน...)
คงจะต้องใช้ภาพในอีกด้านหนึ่งเพื่อช่วยขยายให้เห็นภาพที่กล่าวถึงมานี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 06 มิ.ย. 23, 19:15
|
|
เป็นภาพที่ดูจะเป็นปกติที่เราจะเห็นว่า แต่ละหมู่บ้านมักจะมีวัดประจำหมู่บ้าน แต่ก็มีแบบที่บางหมู่บ้านมีหลายวัด ทั้งแบบหลายหมู่บ้านมีวัดร่วมกันวัดเดียว วัดเหล่านั้นที่มีชื่อของวัดตามชื่อของหมู่บ้าน หรือมีชื่อตามชื่อของตำบล หรือมีการเปลี่ยนชื่อจากชื่อตามชื่อของหมู่บ้านไปเป็นชื่อที่ตั้งใหม่ ซึ่งชื่อใหม่ที่ดูจะนิยมกันก็คือ วัดเวฬุวัน ซึ่งชื่อ วัดเวฬุวัน นี้มีการใช้ซ้ำกันอยู่มากทั้งภายในจังหวัดเดียวกัน และที่ใช้กันทั่วประเทศ
เมื่อมีวัด ก็ต้องมีพระ ด้วยที่มีคนสละทางโลกบวชเป็นพระเป็นจำนวนน้อย วัดในพื้นที่ชนบทแต่ละวัดโดยส่วนมากก็เลยมีพระประจำอยู่น้อยองค์ ซึ่งหนักไปทางมีอยู่องค์เดียว แล้วมีเณรเป็นลูกวัดมากน้อยในแต่ละช่วงเวลา ก็คงไม่ต้องเล่าความต่อไปนะครับว่า ในพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆก็จะมีจำนวนของพระในการประกอบพิธีไม่เหมือนดังที่เรา(ผู้เป็นคนเมือง)มีความคุ้นเคย พิธีกรรมทางศาสนาหลายๆเรื่องจึงต้องมีการนิมนต์พระจากวัดอื่นๆในละแวกหมู่บ้านให้มาร่วมเพื่อให้ครบองค์คณะสงฆ์ตามเกณฑ์ ความไม่ครบเกณฑ์ของพิธีกรรมต่างๆก็จึงที่เกิดขึ้นเป็นปกติ เรื่องหลายๆเรื่องก็จึงต้องเป็นเรื่องที่กระทำในภาพระดับตำบล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
unicorn9u
มัจฉานุ
ตอบ: 65
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 07 มิ.ย. 23, 10:13
|
|
ขอบคุณมากครับ อ่านดูแล้ว ของภาคเหนือจะมีพิธีรีตองเยอะกว่า ของทางภาคกลางที่่ผมเคยทำมาครับ แต่ก็น่ายินดีว่าชาวเหนือยังรักษาประเพณีนี้ไว้ได่เป็นอย่างดีครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 07 มิ.ย. 23, 18:41
|
|
ชุมชนในระดับหมู่บ้านจะมีประชากรทั้งเด็กและผุ้ใหญ่อยู่ในระดับประมาณ 500+/- ในระดับตำบล โดยส่วนมากก็จะมีหมู่บ้านในระดับประมาณ 10+/- หมู่บ้าน ในหนึ่งตำบลก็เลยมีประชากรรวมกันในระดับประมาณ 5,000+/- คน
ด้วยที่จำนวนคนทั้งของแต่ละหมู่บ้าน และทั้งของแต่ละตำบลมีเป็นจำนวนค่อนข้างมาก แต่มีลักษณะของการตั้งบ้านเรือนที่อยู่อาศัยในลักษณะเป็นกระจุกๆ กระจายอยู่เป็นหย่อมๆ ก็จึงเป็นธรรมดาที่จะต้องมีผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลความมั่นคงของชีวิต (ทุกข์ สุข เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความปลอดภัยในชีวิต ทรัพย์สิน ภยันตรายและโรคภัยต่างๆ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ...) ก็เลยมีการกำหนดให้แต่ละหมู่บ้านต้องมีหัวหน้าผู้ดูแล เรียกกันตามภาษาทางราชการว่า ผู้ใหญ่บ้าน โดยให้ชุมชนเป็นผู้ลงคะแนนเลือกตั้งกันขึ้นมา คำว่าผู้ใหญ่บ้านนี้ ชาวบ้านในภาคเหนือนิยมจะเรียก แก่บ้าน หรือพ่อหลวง สำหรับในภาคอื่นๆ ไม่มีความรู้ครับ ตามกฎหมาย จะต้องมีผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านอีก 2 คน คนหนึ่งให้ช่วยทำหน้าที่ในด้านการปกครอง อีกคนหนึ่งช่วยทำหน้าที่ด้านการรักษาความสงบ
ในความเป็นจริง ทั้งผู้ใหญ่และผู้ช่วยก็จะช่วยกันทำงานและส่อภาพของความร่วมมือกันในเกณฑ์ที่ดี ด้วยเพราะเป็นการเสนอตัวเข้ามาเลือกตั้งในลักษณะเป็นทีม เมื่อมาจากการเลือกตั้งก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ผนวกกับเป็นการให้ได้มาด้วยอำนาจบางประการทั้งในทางรูปธรรมและนามธรรมในระดับหนึ่ง ก็เลยหนีไม่ค่อยจะพ้นจากใยแมลงมุมทางการเมืองในระดับต่างๆ ที่ต้องการขยายอุดมการณ์ ตรรกะความคิด ทัศนคติ ความเชื่อทางโลกและทางธรรม อิทธิพลทางการเมือง การได้ประโยน์ทางทรัพย์สิน (เชิง wealth ต่างๆ) ... ก็หนีพ้นใยนั้นได้บ้าง ไม่ได้บ้าง มากน้อยต่างกันไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 07 มิ.ย. 23, 19:33
|
|
ในระดับตำบลก็จะมีผู้ดูแลที่มีอำนาจหน้าที่คล้ายๆกับผู้ใหญ่บ้านอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า กำนัน ซึ่งจะตั้งผู้ช่วยได้ 2 คน เรียกว่า สารวัตรกำนัน ซื่งก็คือลูกมือของกำนัน เชื่อว่าคงจะไม่ค่อยได้ยินชื่อเรียกตำแหน่งนี้กัน
และก็มี 'แพทย์ประจำตำบล' ซึ่งก็คงจะไม่ค่อยจะได้ยินชื่อนี้เช่นกัน ภารกิจของแพทย์ประจำตำบลก็เป็นไปตามชื่อตำแหน่งที่เรียก คือการช่วยดูแลเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ สุขอนามัย และโรคระบาดต่างๆ แต่ดั้งเดิมมา แพทย์ประจำตำบลน่าจะเป็นผู้ที่มีความรู้ทางด้านการแพทย์แผนโบราณในระดับหนึ่ง ผมได้ทันอยู่ในช่วงเวลาที่ยังมีแพทย์ประจำตำบลปฏิบัติงานอยู่ ซึ่งมีทั้งที่เป็นผู้ที่มีความรู้ทางแพทย์แผนโบราณ รู้จักสมุนไพรต้นเป็นๆและการใช้ต่างๆ และผู้ที่มีความรู้ในระดับเป็นทหารเสนารักษ์ เชื่อว่าผู้ที่ทำหน้าที่เป็นแพทย์ประจำตำบลช่วงประมาณ พ.ศ.2500+/- น่าจะเป็นผู้ที่เคยเป็นทหารเสนารักษ์ที่ปฎิบัติภารกิจในช่วงสงครามเอเซียบูรพา แพทย์ประจำตำบลในยุคนั้นดูจะมีภารกิจในด้านของสัตวแพทย์ด้วย
คนหนึ่งที่รู้จักและได้เคยสนทนาด้วยบ่อยครั้ง เป็นผู้ที่ให้ข้อมูลพื้นฐานในการนิพนธ์นวนิยายเรื่อง 'ล่องไพร'
คำว่าแพทย์ประจำตำบลดูจะค่อยๆเลือนลางหายไปในช่วงประมาณ พ.ศ.2520
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 08 มิ.ย. 23, 17:41
|
|
เรื่องทางด้านการสาธารณสุขในระดับหมู่บ้านนี้ ก็มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน
ในสมัยก่อนนั้น จะมีผู้ดูแลแยกออกไปในบางเรื่องที่เกี่ยวกับผู้หญิงเป็นการเฉพาะ เรียกกันว่า 'หมอตำแย' ชา่วบ้านสมัยก่อนเกิดมาด้วยฝีมือการทำคลอดของหมอตำแยเกือบทั้งนั้น ท่านที่เป็นแพทย์คงจะนึกไปได้ไกลถึงบรรดาอุปกรณ์เครื่องใช้ต่างๆที่ต้องเตรียมเพื่อใช้ เช่น กาน้ำหรือหม้อต้มน้ำร้อน กะละมัง ผ้านุ่งหรือผ้าซิ่น ผ้าสะอาด มีดสะอาดที่ผ่านการต้มในน้ำเดือด.... หลังจากการคลอดแล้วก็จะเห็นอุปกรณ์สำหรับการอยู่ไฟ เช่น เตาอั้งโล่ ตะแกรงปิ้ง ใบของต้นพลับพลึง ก้อนอิฐ ผ้าหนาๆ...
ก็มีพัฒนาการต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ค่อยๆเปลี่ยนจากหมอตำแยไปเป็นพยาบาลผดุงครรภ์ เกิดมีการจัดให้มีที่ทำงานของพยาบาลผดุงครรภ์ ซึ่งดูจะมีแต่เฉพาะหมู่บ้านใหญ่ๆ หรือที่เป็นตัวตำบลที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองนัก หรือในตัวอำเภอ พัฒนาต่อไปเป็นอนามัยตำบล/อำเภอ มีนางพยาบาลหรือบุรุษพยาบาลอยู่ประจำ ต่อไปเป็นสถานีอนามัย มีแพทย์ไปให้การรักษาตามวันและเวลาที่กำหนด จนเป็นดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน คือเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งดูจะมีไม่ครบทุกตำบล (?) แล้วก็มีโรงพยาบาลประจำอำเภอต่างๆ แล้วก็มีโรงพยาบาลที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์เพื่อรับการส่งต่อและให้ความช่วยเหลือในการรักษาโรคเฉพาะทางและโรคที่รักษายากๆ
ภาพของพัฒนาการเหล่านี้ ดูจะเริ่มมีอัตราของการพัฒนาและของการขยายตัวที่ค่อนข้างจะมากและรวดเร็วตั้งแต่ช่วงประมาณ พ.ศ.2525 เป็นต้นมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 08 มิ.ย. 23, 18:26
|
|
ยังเห็นภาพเก่าๆในเรื่องเกี่ยวกับโรคภัยใข้เจ็บนี้ ชาวบ้านที่อยู่ในรัศมีห่างจากโรงพยาบาล(น่าจะ)ประมาณ 20 กม. ต้องออกจากบ้านมาตั้งแต่ดึก เอาคนป่วยนั่งเกวียนมาโรงพยาบาล มากันเป็นกลุ่มสองสามเล่มเกวียน นัดกันเป็นเพื่อนเดินทาง จอดเกวียนในสนามของโรงพยาบาล เอาวัวไปปล่อยให้พักกินหญ้าในทุ่งนานอกเขตโรงพยาบาล ล้อมวงนั่งกินข้าวรอเวลาการตรวจ คนป่วยก็มีทั้งเดินได้ มีที่ต้องอุ้ม มีที่ต้องล่าม เพราะเป็นโรคจิต หรือเป็นไข้มาลาเรียขึ้นสมอง .... นึกถึงภาพในแต่ละวันของแพทย์หนึ่งหรือสองคน พยาบาลสามสี่คน กับคนไข้เป็นร้อย มีทั้งกรณี emergency ผ่าตัด คลอดลูก...
ก็เป็นภาพภายในสังคมที่ดูเรียบง่ายอีกภาพหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 08 มิ.ย. 23, 19:10
|
|
เมื่อมีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน และสารวัตรกำนัน ช่วยกันดูแลในเรื่องของ 'ความสงบสุข' ซึ่งเป็นเรื่องในด้านของอำนาจในการปกครอง รัฐก็เลยจัดใ้ห้มีการตั้งกลุ่มชาวบ้านขึ้นมาอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อดูแลในด้านของการพัฒนา เรียกว่า อบต. (องค์การบริหารส่วนตำบล) คณะบุคคลของ อบต.ก็ได้มาจากการเลือกตั้งเช่นกัน โดยนัยก็คือหน่วยงานที่ดูแลในด้านของ 'ความสุขสบาย' ของชุมชน ซึ่งก็น่าจะโดยนัยของเรื่องทางด้านความสุขสบายนี้ อบต.ต่างๆจึงได้รับการพยายามสนับสนุนให้ยกระดับเป็น 'เทศบาลตำบล' ซึ่งจะเป็นเรื่องในด้าน Institutional building ที่โยงไปถึงด้านของการงบประมาณที่จะดีขึ้น ซึ่งก็จะโยงต่อไปถึงในเรื่องของการการพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ (Capacity building) ทางด้านเศรษฐกิจและสังคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 09 มิ.ย. 23, 19:06
|
|
อบต. โดยนลักษณะก็คือคณะกรรมการในระดับตำบล ที่มีหน้าที่ในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐานต่างๆ คล้ายกับงานของ กทม.แบบย่อขนาด มีทั้งด้านการศึกษาด้วย
เมื่อ อบต.เริ่มเบ่งบาน ก็เริ่มมีเรื่องแบบพ่อแง่แม่งอนกับกลุ่มงานด้านการปกครองตามมา ซึ่งก็คงยังมีอยู่จนในปัจจุบัน อบต.มีงบประมาณในการดำเนินการต่างๆ หากแต่การจัดสรรเพื่อการพัฒนาให้มีความเสมอภาคระหว่างหมู่บ้านต่างๆก็ดูจะมีปัญหาแล้ว เพราะแต่ละหมู่บ้านต่างก็มีความแตกต่างกันในด้านกายภาพ สังคมและเศรษฐกิจพื้นฐาน และมีความต้องการที่แตกต่างกัน การสมานให้มีความเสมอภาคดูจะทำให้การดำเนินงานของ อบต. ออกไปในลักษณะของงานกระจุกกระจิกและกระจัดกระจาย ผู้ใหญ่บ้านก็เลยจึงยังคงเป็นผู้นำที่ชาวบ้านพึ่งพามากที่สุดในเรื่องของการพัฒนาชุมชนของตน
ที่เล่ามาก็คงพอจะทำให้เห็นภาพของสังคมที่ต่างไปจากภาพที่ผู้คนประสงค์จะให้เกิดขึ้นกัน ที่มีเป้าในด้านของการสร้างเสริมพื้นฐานของความพร้อมและความมั่นคงสำหรับโอกาสของการเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในองค์รวม (ศักยภาพสำหรับการพัฒนาตนเอง) แต่กลับกลายเป็นเครื่องมือเพื่อใช้ในด้านของอำนาจและการเมือง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 09 มิ.ย. 23, 19:15
|
|
ก็เห็นว่า ภาพที่เล่ามานั้นเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาพในอีกด้านหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่าชนบทนั้นเป็นสังคมที่เรียบง่าย ภาพแรกก็คือ การอยู่ร่วมกันอย่างสงบและมีความสามัคคี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 10 มิ.ย. 23, 18:37
|
|
เมื่อต้องดำเนินการพัฒนาชุมชนด้วยตัวของตัวเอง จะทำได้ก็จะต้องมีความสามัคคี ซึ่งหมายถึงว่าการจะกระทำการใดๆ ชาวบ้านต้องมีความเห็นพ้องกันเป็นส่วนใหญ่ สถานที่ๆจะใช้ถกกันก็คือ ศาลาประชาคม หรือใช้ศาลาวัด แต่ก่อนนั้นจะเห็นศาลาประชาคมที่มีลักษณะเป็นโรงเรือนมีหลังคา และมีป้ายคำว่าศาลาประชาคม แม้จะเห็นไม่มากนัก แต่ภาพดังกล่าวนี้ดูจะไม่เห็นเลยหลังจากประมาณ พ.ศ.2520 เป็นต้นมา แต่ก็ยังคงมีสถานที่ๆชุมชนของหมู่บ้านเลือกใช้เป็นการเฉพาะสำหรับการชุมนุม การประชุม หรือการทำประชาคม รวมทั้งใช้เก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนกลางของหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านจะทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม การประชุมจะมีบ่อยครั้งหรือไม่อย่างไรก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่จะมี ซึ่งวาระหลักๆก็จะมีเรื่องของทางราชการ ข่าวสารบางเรื่อง การพัฒนาหมู่บ้าน เรื่องของความร่วมมือต่างๆทางสังคม การประชุมมีได้ทั้งช่วงเวลากลางวันหรือในตอนเย็นหลังหกโมงเย็นไปแล้ว ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม คือให้รบกวนน้อยช่วงเวลาของการไปสวน ไปไร่ ไปนา หรือการไปทำมาหากิน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 11 มิ.ย. 23, 17:50
|
|
ประชาคม กับ ประชาพิจารณ์
ทำประชาคมเป็นศัพท์ที่ชาวบ้านใช้กัน ทำประชาพิจารณ์เป็นศัพท์ที่ชาวเมืองและทางราชการใช้กัน น่าสนใจนะครับว่าทั้งสองการกระทำนี้มีความเหมือนกันหรือมีความต่างกันอย่างไร ทิ้งไว้ตรงนี้เพื่อลองพิเคราะห์กันดูนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 11 มิ.ย. 23, 19:02
|
|
แต่ละหมู่บ้านต่างก็ล้วนมีเรื่องที่ต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแล และส่งเสริมพัฒนาให้มันมีความก้าวหน้าและมีความยั่งยืนยิ่งๆขึ้นไปด้วยกำลังของตนเองเพื่อประโยชน์ในองค์รวมของผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านนั้นๆ ก็มีเช่นเรื่องของการดำเนินการตามนโยบายของรัฐเพื่อความมั่นคงในด้านต่างๆ (สาธารณสุข ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน อาชีพการงาน น้ำสะอาด ประปาหมู่บ้าน .....) ซึ่งผู้ดำเนินการเกือบทั้งหมดจะมาร่วมด้วยช่วยกันดำเนินการในลักษณะของอาสาสมัคร มีกลุ่มคนที่เป็นแกนหลักจริงๆอยู่ไม่กี่คน แต่มีคนมากมายที่สามัคคีเข้ามาช่วยแบบไม่ต้องมีการข้อร้องใดๆ ตัวอย่างก็เช่นกรณีของ อสม.(อาสาสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน)+ชาวบ้าน ที่เป็นกองกำลังช่วยกันสู้กับโรคระบาดโควิด-19 อพปร.(อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน)+ชาวบ้าน คณะกรรมการวัดของหมู่บ้าน ....
ก็มีหลายภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคของชุมชนที่ช่วยกันสร้างสรรขึ้นมา (เช่น ระบบประปาหมู่บ้าน ระบบประปาภูเขา ระบบคลองส่งน้ำกลางเพื่อการเกษตร ระบบการสูบน้ำบาดาลด้วยไฟฟ้าหรือด้วยเครื่องยนต์ ...) ก็จะดำเนินการในรูปของคณะกรรมการ มีการสมัคร มีการเลือกตั้งกัน ซึ่งด้วยภารกิจนี้มีเรื่องของเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เนื่องจากมีการเก็บค่าใช้ ก็เยต้องมีการตรวจสอบโดยประชาคม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 12 มิ.ย. 23, 17:47
|
|
ก็มีเรื่องอื่นเช่น มีหมู่บ้านที่ผู้คนช่วยกันสละรายได้เล็กๆน้อยๆตามกำลัง จัดตั้งอาสาสมัครทำหน้าที่เป็นหน่วยลาดตระเวน/ยาม/หน่วยเคลื่อนที่เร็ว ใช้รถมอเตอร์ไซด์นั่งซ้อนกันเป็นคู่ วิ่งตระเวณเดี่ยวบ้าง เป็นคู่บ้าง หรือหลายคันบ้าง ขึ้นอยู่กับพื้นที่และสภาพการณ์ข่าว ผู้ที่เป็นอาสาสมัครเกือบทั้งหมดจะเป็นคนหนุ่มสาวและวัยกลางคน ที่ผมเองได้สัมผัสอยู่ก็เป็นกลุ่มคนจำนวนประมาณ 30+ คน จัดแบ่งกันกลุ่มเป็นเวรทำงานของแต่ละวัน เริ่มจับกลุ่มทำงานกันตอนหัวค่ำ มีการประชุมฟังสรุปเรื่องและประเด็นที่พึงเน้นการให้การเพ่งเล็ง การสอดส่อง ติดตาม ฯลฯ การดำเนินการได้ทำให้ปัญหาเรื่องการโจรกรรม ลักเล็กขโมยน้อย ได้หายไปหมดเลย หากจะมีก็เกือบจะรู้ได้เลยว่าเป็นการกระทำของคนนอกหมู่บ้านหรือมาจากถิ่นอื่น เรื่องเกี่ยวกับยาเสพติดก็ทุเลา เกือบจะไม่ปรากฎเป็นปัญหาหลักของชุมชนเช่นแต่เดิม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|