รามายณกล่าวว่า เมื่อพระเป็นเจ้าทั้งหลายได้กวนเกษียรสมุทรเพื่อทำน้ำอมฤตนั้น ก่อนที่
จะได้น้ำอมฤตขึ้นมามีอื่นๆ ขึ้นมาก่อนหลายอย่าง อย่างหนึ่งคือ อัปสร ซึ่งผุดขึ้นมานับด้วยหมื่น
ด้วยแสน ล้วนเป็นหญิงที่มีรูปงามๆ และประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์อย่างงาม แต่ทั้งเทวดา
และอสูรไม่รับไปเป็นคู่ครอง เพราะฉะนั้นพวกอัปสรจึงเลยตกอยู่เป็นของกลาง จึงได้นามว่า
สุรางคนา (เมียเทวดาทั่วๆ ไป) และสุมทาตมชา (สตรีผู้เต็มไปด้วยความมัวเมา หรือความเพลิดเพลิน)
ในหนังสือพวกปุราณต่างๆ แบ่งอัปสรเป็นคณาหลายคณาอันมีนามต่างๆ กัน วายุปุราณว่ามี 14 คณา
แต่ตำรับหริวํศะว่ามี 7 คณา กับยังมีแบ่งเป็น 2 จำพวก คือเป็น ไทวิกะ (นางฟ้า) จำพวกหนึ่ง เลากิกะ
(นางดิน) จำพวกหนึ่ง ในว่าไทวิกะอัปสรมี 10 นาง เลากิกะอัปสรมี 34 นาง พวกอัปสรเหล่านี้ที่สำหรับ
มีเรื่องรักใคร่กับวีรบุรุษ เช่นนางอุรวศี ซึ่งรักกับท้าวปุรูรพ ดังมีเรื่องนาฎกะ ซึ่งกาลิทาสแต่งไว้อีกเรื่องหนึ่ง
ชื่อเรื่อง “วิกรโมรวศี” หรือมิฉะนั้นก็ทำลายพิธีผู้บำเพ็ญตบะ อย่างเช่นนางเมนะกากับพระวิศวามิตร เป็นต้น
สรุปรวมความว่า อัปสรเป็นนางฟ้าจำพวกหนึ่งซึ่งมีรูปงามเป็นที่น่าพึงใจและช่างยั่วยวน แต่ความประพฤติ
ไม่สู้จะเป็นอย่างสตรีที่สุภาพนัก และช่างมารยาจำแลงแปลงตัวได้หลายอย่าง ไม่รู้จักรักใครได้ยั่งยืน มีเสน่ห์
ซึ่งทำให้ชายหลงจนในพระอถรรพเวทต้องมีมนตร์หรือาถรรพณ์ไว้กันหรือแก้เสน่ห์ของอัปสร
คำว่า อัปสร เป็นคำที่เราเอามาจากคำภาษาสันสกฤตว่า อปฺสรสฺ ส่วนในภาษาบาลีใช้ว่า อจฺฉรา
Statue of an Apsara Dancing Unknown artist, Uttar Pradesh, India
จาก
http://ferrebeekeeper.wordpress.com/tag/buddhist/