จริงๆ สงครามเวียดนามมีความเกี่ยวพันกับสงครามคอมมิวนิสต์ในไทยยุคบุกเบิกเล็กน้อย ไล่จนมาจนถึงยุคกลาง แต่จบก่อนยุคนักศึกษาหนีเข้าป่า เหมือนว่าจะรุ่งเรืองสุดท้ายกลับต้องโรยรา แต่ผมไม่ทันนะครับตอนนั้นเด็กเกินไป
รัฐบาลไทยตั้งแต่ต้นทศวรรษ ๑๙๕๐ ได้สนับสนุนให้สหรัฐเข้ามาป้องกันคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนเพราะต้องการป้องกันพรมแดนด้านตะวันออกให้ปลอดจากคอมมิวนิสต์ ผู้นำรัฐบาลทหารไทยยังเชื่อด้วยว่าเวียดนามเหนือต้องการขยายอิทธิพลคอมมิวนิสต์เข้ามาไทยโดยได้รับการสนับสนุนจากจีน ในกลางทศวรรษ ๑๙๕๐ ภัยคุกคามจากเวียดนามเหนือที่ผู้นำทหารมักอ้างถึง คือการรุกเข้าไปในดินแดนลาวของกองกำลังคอมมิวนิสต์เวียดนามและการเผยแพร่อิทธิพลคอมมิวนิสต์ในหมู่ชาวเวียดนามในภาคอีสาน อย่างไรก็ตาม เหตุผลอื่นที่สำคัญเท่าเทียมกัน คือ ผู้นำทหารไทยคาดหวังความช่วยเหลือด้านการทหารและอื่น ๆ จากสหรัฐ
ความร่วมมือกับสหรัฐในสงครามเวียดนามซึ่งเกี่ยวข้องกับทั้งเรื่องอธิปไตย ความมั่นคง และเกียรติภูมิแห่งชาติเกิดจากการกำหนดนโยบายในวงแคบที่สุดและมีลักษณะไม่เป็นทางการ ในช่วงเวลานี้ รัฐบาลทหารยังคุมอำนาจภายในได้มั่นคง นโยบายด้านความมั่นคงก็ถูกจำกัดในกลุ่มทหาร การตัดสินใจเรื่องเวียดนาม รวมทั้งการให้สหรัฐใช้สิ่งเกื้อหนุนการทำสงครามในประเทศไทยเกิดในกลุ่มผู้นำทหารและโดยเฉพาะผู้นำสูงสุด ๓ คน คือ จอมพลถนอม กิตติขจร (นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด), จอมพลประภาส จารุเสถียร (รองนายกรัฐมนตรี, ผู้บัญชาการทหารบกและรัฐมนตรีมหาดไทย) และ พล.อ. ทวี จุลทรัพย์ (รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารอากาศ และรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย) การเจรจาทำข้อตกลงต่าง ๆ แทบทั้งหมดเกิดขึ้นระหว่างผู้นำทหารและสถานทูตสหรัฐในประเทศไทย ข้อตกลงสำคัญโดยเฉพาะการใช้ฐานทัพส่วนใหญ่ไม่มีลายลักษณ์อักษรและไม่เปิดเผยในเวลานั้น เป็นไปได้ว่า การตัดสินใจนี้ในแง่หนึ่ง บุคคลเหล่านี้มีความเชื่ออย่างลึกซึ้งต่อภัยจากจีนและเวียดนามเหนือ และการส่งทหารไปรบในเวียดนามถูกอธิบายว่าเป็นการป้องกันคอมมิวนิสต์ให้ห่างไกลจากดินแดนไทยให้มากที่สุด ในอีกแง่หนึ่ง การสนับสนุนสหรัฐในเวียดนามช่วยเสริมสร้างความมั่นคงแก่รัฐบาลทหารเพราะความช่วยเหลือจากสหรัฐมุ่งเป้าที่ความมั่นคงและโดยเฉพาะการเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่ทหารไทย ยิ่งกว่านั้น การลงทุนมหาศาลในไทยในด้านอุปกรณ์เกื้อหนุนสงครามทำให้สหรัฐต้องช่วยรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงของประเทศกับรัฐบาลไปด้วย เมื่อนโยบายเวียดนามถูกกำหนดจากทัศนะและผลประโยชน์ของทหารเช่นนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่า ประเทศไทยแทบไม่ได้ปรับตัวเลยเมื่อสหรัฐส่งสัญญาณปรับเปลี่ยนนโยบายการทำสงครามซึ่งเห็นชัดตั้งแต่ปี ๒๕๑๒ แต่ผู้นำทหารไทยยังเรียกร้องต่อไปให้สหรัฐใช้นโยบายแข็งกร้าวในสงคราม
อย่างไรก็ตาม สงครามเวียดนามได้ก่อกระแสการคัดค้านและต่อต้านในกลุ่มนักคิด นักเขียน นักวิชาการ และนักศึกษามหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งซึ่งจะขยายวงกว้างและรุนแรงขึ้นพร้อม ๆ กับการขยายตัวของสงคราม ในทัศนะคนเหล่านี้ รัฐบาลทหารร่วมมือกับสหรัฐทำสงครามที่ไร้ความชอบธรรมและไร้ศีลธรรม การต่อสู้ของชาวเวียดนามและอินโดจีนเป็นการต่อสู้เพื่อเอกราช ยิ่งกว่านั้น ฐานทัพและทหารอเมริกันในไทยได้ทำให้ไทยเสียเอกราชและอธิปไตย อีกทั้งสร้างความเสื่อมโทรมในสังคมด้วย
เมื่อสงครามเวียดนามยุติตามข้อตกลงปารีสในเดือนมกราคม ๒๕๑๖ และสหรัฐถอนทหารจากไทยในเวลาต่อมานั้น ประเทศไทยได้รับผลสะเทือนมากที่สุด ทั้งเพราะได้ร่วมในสงครามและได้ผูกพันความมั่นคงของประเทศไว้กับสหรัฐมายาวนาน และเหนืออื่นใดคือความโกรธแค้นเกลียดชังไทยของชาวอินโดจีน ๓ ประเทศ ชัยชนะของฝ่ายคอมมิวนิสต์ในอินโดจีนยังก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในดุลอำนาจด้านภูมิรัฐศาสตร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย รัฐบาลพลเรือนในยุคหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ จึงต้องเผชิญกับภาวะยากลำบากยิ่งในการปรับตัวให้อยู่กับประเทศเพื่อนบ้าน
จาก สงครามเวียดนาม เรียบเรียงโดย จุฬาพร เอื้อรักสกุล
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=สงครามเวียดนาม