ดร.แพรมน และ นายตะวัน
บุคคลทั่วไป
|
ไ้ด้ฟังคุณเทาชมพูเล่าถึง เรื่อง นวนิยาย เรื่องความพยาบาท ซึ่งเมื่อครั้งครบรอบ ๑๐๐ ปี ...มาฟีังกันคะ ปี พ.ศ.๒๕๒๙ นั้นมีความหมายกับวงวรรณกรรมปัจจุบันของไทยอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน ถือเป็นการครบรอบหนึ่งร้อยปีของพระนิพนธ์เรื่อง สนุกนึก ของ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการนำแบบแผนการแต่งวรรณกรรมประเภทใหม่เข้ามาในเมืองไทย คือ นวนิยาย (หรืออาจจะเป็นเรื่องสั้น เพราะว่าเรื่องนี้แต่งไม่จบ) ส่วนหนังสือที่ครบหนึ่งร้อยปีอีกเล่มหนึ่ง ที่น้อยคนจะรู้ คือการครบรอบหนึ่งร้อยปีของ ความพยายาม-ความพยาบาท เรื่องเดียวกับที่ “แม่วัน” หรือพระยาสุรินทราชาเป็นผู้แปล และผู้ศึกษาประวัตินวนิยายไทยหรือวรรณกรรมปัจจุบันย่อมจะรู้จักดี ในฐานะนวนิยายที่จบสมบูรณ์เรื่องแรกของไทย และนวนิยายแปลเรื่องแรกของไทยด้วย ต่างจาก ความพยาบาท ของแม่วันอยู่นิดหน่อยที่ว่า ความพยาบาท ที่มีอายุครบหนึ่งร้อยปีนี้คือ ความพยาบาท ฉบับภาษาอังกฤษหรือที่มีชื่อเต็มว่า Vendetta! Or the Story of One Forgotten (โปรดสังเกตว่า นักประพันธ์ได้ใส่เครื่องหมาย “อัศเจรีย์” ไว้หลังชื่อด้วย) นวนิยายที่แต่งโดยนักประพันธ์สตรีชื่อ มารี คอเรลลีนี้ วางตลาดในอังกฤษเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๙ เป็นนวนิยายเรื่องที่สองของเธอ และส่งชื่อเสียงของเธอให้โด่งดังขึ้น หลังจากนวนิยายเรื่องแรกคือ A Romance in Two Worlds ประสบผลสำเร็จในฐานะนวนิยายของนักเขียนหน้าใหม่มาแล้ว สิบสี่ปีหลังจาก Vendetta! ออกวางตลาดเป็นครั้งแรก นักเรียนไทยคนหนึ่งซึ่งเคยไปเรียนที่อังกฤษ และมีความรู้ทางภาษาอังกฤษอย่างแตกฉาน ก็นำเรื่องนี้มาแปลเป็นไทยเป็นครั้งแรก นักเรียนไทยคนนั้นคือ พระยาสุรินทราชา หรือ “แม่วัน” “แม่วัน” แปลเรื่องนี้ด้วยภาษาสมัยใหม่ ไพเราะ ได้อรรถรส ได้อารมณ์สะเทือนใจอย่างดีเยี่ยม แต่ว่าท่านไม่ได้แปลหมดทั้งเรื่อง คงแปลเฉพาะเนื้อเรื่องอันเป็นหัวใจสำคัญ การตัดรายละเอียดที่ท่านอาจจะเห็นว่าไม่จำเป็น หรือไม่เป็นที่เข้าใจของคนไทยในสมัยนั้นออกเสีย ส่วนที่ท่านตัดออก คือเนื้อหาการสะท้อนสังคม และการวิจารณ์สังคมอังกฤษ-อันเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญประการหนึ่งของนวนิยายเรื่องนี้ ถูกแล้ว สังคมอังกฤษ ไม่ใช่สังคมอิตาเลียน เนื้อเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่สมมุติว่าเกิดในเมืองเนเปิลล์ ประเทศอิตาลี คอเรลลีได้อ้างเป็นคำนำ (ซึ่งไม่มีในฉบับแปล) ว่าเรื่องนี้ที่มาจากเหตุการณ์จริง สมัยเกิดโรคระบาดในเมืองเนเปิลล์เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๗ แต่ว่าเมื่ออ่านแล้ว จะเห็นว่าเนื้อเรื่องเป็นเรื่องชิงรักหักสวาทของชาวอิตาเลียนเลือดร้อนก็จริง หากแต่ส่วนประกอบคือบทวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่แทรกอยู่เป็นระยะๆนั้นคือทรรศนะที่คอเรลลีมีต่อสังคมชั้นสูงของอังกฤษนั่นเอง ไม่ใช่สังคมอิตาเลียน เมื่อเขียนนวนิยายเรื่องนี้ คอเรลลีเขียนขึ้นโดยไม่เคยไปประเทศอิตาลีมาก่อน หรือพูดให้ถูกคือเธอไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศอังกฤษไปที่ไหนเลย ฉากในเมืองเนเปิลล์ที่ปรากฏในเรื่องนี้ก็ดี ฉากพระอาทิตย์เที่ยงคืนของประเทศนอรเวย์ ที่ปรากฏในนวนิยายเรื่อง เต็ลมา ก็ดี ล้วนแต่เป็นจินตนาการของหญิงสาวชาวอังกฤษ ผู้มีชีวิตอยู่อย่างแคบๆในบ้านชนบท รับการศึกษาจากคอนแวนต์ของแม่ชี ก่อนจะเริ่มอาชีพนักเขียนนวนิยายและกลายเป็นนักเขียนยอดนิยมตั้งแต่เรื่อง ความพยาบาท นี้เอง ถ้าจะดูว่าทำไมคอเรลลีวิพากษ์วิจารณ์สังคมอังกฤษในนวนิยายที่ไม่น่าจะเกี่ยวกับอังกฤษที่ตรงไหน คำตอบอยู่ในพื้นฐานทางสังคมในยุคนั้นนั่นเอง เพราะผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ของยุควิคตอเรียนตอนกลางและตอนปลาย คงจะจำกันได้ว่าพระราชินีนาถวิคตอเรียพระองค์นี้ทรงขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังเป็นสาวน้อยและกลายเป็นแม่ม่ายเมื่อพระชนม์เพียง ๔๔ พรรษา หลังจากเจ้าชายพระสวามีสิ้นพระชนม์ไปแล้ว พระราชินีก็ทรงเป็นสตรีผู้ใหญ่ที่เคร่งครัดเข้มงวดทางด้านศีลธรรมจรรยาทำให้สังคมอังกฤษโดยเฉพาะสังคมชนชั้นกลาง ซึ่งค่อนข้างจะเคร่งครัดทางศีลธรรมมาก่อนหน้านี้แล้ว ยิ่งเจริญรอยตามพระราชนิยม เพิ่มความเคร่งครัดกันมากขึ้น คอเรลลีเองในฐานะชนชั้นกลาง ก็ได้รับอิทธิพลทางด้านนี้อย่างเต็มตัวเมื่อเขียนนวนิยาย เธอจึงสะท้อนความรู้สึกนึกคิดไม่พอใจความเสื่อมศีลธรรมของบุคคลบางกลุ่มที่มีอยู่ในฐานะสูงเด่นจนเป็นเป้าหมายการเพ่งเล็งได้ง่าย บุคคลกลุ่มนี้ไม่ใช่ใครอื่น คือกลุ่มผู้ดีชั้นสูง พวกขุนน้ำขุนนางหรือเจ้านายบางองค์ที่ค่อนข้างจะใช้ชีวิตกันอย่างเสรี บุคคลที่เป็นผู้นำของกลุ่มหนุ่มสาวทันสมัยนี้คือ พระโอรสพระองค์ใหญ่ของพระราชินีนาถวิคตอเรียหรือ ปรินซ์ออฟเวลส์ เป็นบุคคลเดียวที่พระราชินีทรงปรามเอาไว้ไม่อยู่ เรื่องที่ทรงโปรดความสนุกสนานหรูหราต่างๆ มีพระสหายและข้าราชการบริพารประเภทค่อนไปทาง “เพลย์บอย” และเรื่องที่ขาดไม่ได้ คือพระสหายสาวๆหลายคน บางคนก็เป็นผู้ดีมีตระกูล แต่ว่าบางคนก็เป็นนางละครเช่นนางละครคนสวยที่ชื่อ ลิลี่ เจอร์ซี่ เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเจ้าชายเข้าเฝ้าพระมารดาทีไรก็มีเรื่องให้พระราชินีกริ้วเกือบจะทุกทีใครที่เคยอ่านเรื่อง พระราชินีนาถวิคตอเรีย ของ ว.ณประมวญมารค คงจะจำได้ดี ปรินซ์ออฟเวลส์องค์นี้ ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ สวรรคตปีเดียวกับสมเด็จพระปิยมหาราชของเรา เมื่อดาวหางฮัลเลย์มาเยือนโลกครั้งนั้น ดวงหางที่คุณเปรมปลุกแม่พลอยขึ้นมาดูดวงนั้นแหละ แล้วพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดองค์นี้อีกเหมือนกันที่คุณเปรม เก็บความมาบอกแม่พลอยว่า พระเจ้ากรุงอังกฤษสวรรคต ย้อนกลับเข้าเรื่อง ความพยาบาท เสียที ถึงแม้คอเรลลีไม่ได้ระบุลงไปว่าวิพากษ์วิจารณ์ปรินซ์ออฟเวลส์ แต่ที่แน่ๆคือเธอวิจารณ์ความเสื่อมศีลธรรมของผู้ดีชั้นสูงชาวอังกฤษ โดยเฉพาะเรื่องมากชู้หลายเมีย และตำหนิความเหลวแหลกของผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ตลอดจนความบกพร่องของกฎหมายอังกฤษ ที่อนุญาตให้ภรรยาผู้นอกใจสามีได้หย่าร้างกับสามีง่ายๆ ไม่ได้รับโทษทัณฑ์อย่างใดมากกว่านั้น เหตุผลที่ว่า “แม่วัน” ตัดบทวิพากษ์วิจารณ์ในส่วนนี้ออกไปหมด ผู้เขียนเห็นว่าคงจะเป็นเพราะว่าท่านเห็นว่าเป็นรายละเอียดปลีกย่อยของเรื่อง ไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องโดยตรง และอีกอย่างหนึ่งสังคมอังกฤษหรือสังคมฝรั่งใดๆในสมัยนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ห่างไกลจากความเข้าใจของคนในสมัยที่ท่านแปลหนังสือออกมาให้อ่าน ในเมื่อสังคมไทยสมัยนั้นมีนักเรียนนอกที่รู้จักสังคมฝรั่งอยู่นับคนถ้วนและมีผู้อ่านที่อ่านหนังสืออย่าง “ลักวิทยา” หรือ “ทวีปัญญา” อยู่เพียงกลุ่มเล็กๆกลุ่มเดียว ท่านจึงแปลเฉพาะเนื้อเรื่องส่วนที่เกี่ยวกับชีวิตของเคานต์ฟาบีโอ โรมานี ซึ่งก็ได้อรรถรสครบถ้วนในส่วนที่เป็นเนื้อหาสำคัญของเรื่อง และเป็นวรรณกรรมร้อยแก้วที่ทรงคุณค่าทางวรรณศิลป์เรื่องหนึ่งจนกระทั่งถึงปัจจุบัน จะขอยกตัวอย่างการวิพากษ์วิจารณ์ความเสื่อมของสังคมอังกฤษ ตามที่คอเรลลีเขียนเอาไว้ใน ความพยาบาท มาให้ดูเป็นตัวอย่างสักตอนหนึ่ง “…ลองหาหนังสือพิมพ์ของลอนดอนมาอ่านดูสักวันซี แล้วท่านจะพบว่าประเทศอังกฤษ ซึ่งเคยเคร่ง “ศีลธรรมจรรยา” นักหนา กำลังวิ่งแข่งสูสีกันไปเต็มฝีเท้ากับชาติอื่นๆ ที่หน้าไหว้หลังหลอกน้อยกว่านี้ในด้านความสกปรกโสโครกในสังคมไม่น้อยไปกว่ากันเลย กฎเกณฑ์ธรรมเนียมที่เคยล้อมกรอบขีดคั่นไว้ในครั้งกระโน้น บัดนี้ถูกทำลายหักสะบั้นลงแล้ว เหล่า”ผู้หญิงหากิน” ได้รับการต้อนรับออกสังคมอย่างออกหน้าออกตา ทั้งที่ปกติจะไม่มีกุลสตรีใดยอมอยู่ร่วมสมาคมด้วยเป็นอันขาด แต่เดี๋ยวนี้ บรรดาคุณหญิงและท่านผู้หญิงกลับเต็มอกเต็มใจไปลอยหน้าสลอนอยู่ในโรงละคร แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่อวดรูปทรงโจ่งแจ้งที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้สาธารณชนได้มองตาเป็นมันกันตามสบาย หรือไม่ก็ไปร้องเพลงอยู่ในสังคีตศาลาเพื่อจะอวดรูปโฉมโนมพรรณของตนเอง ยอมรับการโห่ร้องตบมือกระทืบตีนอย่างป่าเถื่อนจากคนดูชั้นต่ำ โดยมิได้รู้สึกขัดเขินกลับยิ้มแย้มน้อมรับเสียอีกอย่างซาบซึ้ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดร.แพรมน และ นายตะวัน
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 13 ก.พ. 02, 14:14
|
|
อนิจจา พระเจ้าทรงโปรดด้วยเถิด เหตุใดศักดิ์ศรีอันสูงส่งของแผ่นดินเก่าแก่แห่งนี้จึงกลับกลายไปได้ถึงเพียงนี้เล่า? ความถือตัวที่ทำให้คนอังกฤษรังเกียจการอวดตัวทุกชนิด และยึดเกียรติยศเป็นสรณะยิ่งกว่าชีวิตของตนเองหายไปเสียที่ไหน? ที่ร้ายยิ่งกว่านี้คือค่านิยมอันน่าตระหนกซึ่งยึดถือกันอยู่ในยุคสมัยนี้กล่าวคือ ถ้าสตรีใดเสียพรหมจรรย์ ก่อน แต่งงาน หล่อนจะไม่มีวันได้รับการอภัยโทษเป็นอันขาด บาปผิดของหล่อนก็ไม่อาจลบล้างได้เช่นกัน แต่หล่อนจะทำตัวเหลวแหลกอย่างใดก็ทำได้ เมื่อหล่อนมีชื่อของสามีเป็นโล่กำบังเรียบร้อยแล้ว สังคมรู้อยู่เต็มอกว่าหล่อนประพฤติชั่วช้า แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียเฉยๆ”
หลังจาก ความพยาบาท ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกใน พ.ศ.๒๔๒๙ นวนิยายเรื่องนี้ประสบผลสำเร็จอย่างดี จดหมายหลั่งไหลกันเข้ามาชมเชยคนเขียนว่าได้สะท้อนและตำหนิติเตียนความเสื่อมศีลธรรม ความหน้าไหว้หลังหลอก ความเลวของหญิงที่นอกใจสามีและนวนิยายเรื่องนี้ได้ตีพิมพ์ใหม่เพิ่มขึ้นอีกหลายสิบครั้ง และพิมพ์เรื่อยๆมาแม้หลังจากคอเรลลีถึงแก่กรรมไปแล้วหลายสิบปี อย่างเช่นฉบับที่นำมาอ้างในนี้ เป็นฉบับที่พิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ โดยสำนักพิมพ์เมธูเอนแอนด์โค แต่เนื่องจากผลงานของคอเรลลี เป็นงานที่นักวิจารณ์ร่วมสมัยและนักวิชาการตั้งแต่ปลายศตวรรษก่อนจนปลายศตวรรษนี้ไม่ยอมรับ เนื่องจากไม่เข้ามาตรฐานตามที่นักวิจารณ์และนักวิชาการได้กำหนดเอาไว้เมื่อเทียบกับนักเขียนร่วมยุคคนอื่นๆ จึงเป็นการยากที่จะค้นคว้าหางานของนักวิชาการที่ทำไว้เกี่ยวกับคอเรลลีมาเผยแพร่ได้ จะมีก็แต่สำนักพิมพ์เท่านั้นที่ตีพิมพ์นวนิยายของเธอออกมาอีกเรื่อยๆจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 13 ก.พ. 02, 18:13
|
|
อือม์... เพิ่งจะเข้าใจ ขุนคลัง หรือ The Sorrow of Satan ได้ชัดๆ เดี๋ยวนี้เอง เรื่องนี้มารี คอเรลลีก็แต่งเหมือนกัน แต่ "อมราวดี" เป็นคนแปลในพากย์ไทย
ในเรื่องนั้นซึ่งต่อมามาเป็นแรงบันดาลใจให้เรื่อง เงา ของทมยันตีหรือโรสลาเรน ตัวเอกคือพญามารซาตานที่มาใช้ชีวิตปะปนกับมนุษย์ในสังคมชั้นสูง ในคราบของเจ้าชายผู้หรูหรา (เหมือนท่านชายวสวัตในเรื่องเงา ซึ่งแท้จริงเป็นพญามัจจุราชจำแลง) มีกล่าวถึงมกุฎราชกุมารอังกฤษขณะนั้นหลายตอนที่ผมไม่เข้าใจ ว่าทำไมมารซาตานจึงไปคบค้าสมาคมเฝ้าแหนใกล้ชิดกับปรินซ์ออฟเวลส์ได้ เพราะมารีเธอจะวิจารณ์เจ้าฟ้าชายรัชทายาทกรุงอังกฤษนี่เอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
จ้อ
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 14 ก.พ. 02, 05:40
|
|
มาลงชื่ออ่านครับ อิอิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 14 ก.พ. 02, 10:28
|
|
ในชีวิตจริง เจ้าชายเคยทรงอ่านงานของเธอหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ แต่น่าจะเคย แล้วก็ชอบ คอเรลลีจึงได้รับเกียรติจากปรินซ์ออฟเวลส์อย่างสูง ได้ร่วมโต๊ะเสวยหลายครั้ง และทรงถือว่าเธอเป็น "มิตร" คนหนึ่ง แม้จะอยู่นอกกลุ่มของพระองค์ท่านก็ตาม
The Sorrows of Satan มีประวัติบันทึกไว้ว่า เมื่อออกจำหน่าย เป็นนิยายที่มีจำนวนจำหน่ายสูงสุดเป็นประวัติการณ์...นับแต่มีกำเนิดนวนิยายเป็นต้นมาเมื่อศตวรรษที่ ๑๘ แต่พอพ้นรัชสมัยวิกตอเรีย และต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ งานของเธอถูกตัดสินว่า..เน้นศีลธรรมมากเกินไป มาตรฐานศีลธรรมเปลี่ยน ค่านิยมเปลี่ยน แบบของวรรณกรรมเปลี่ยน งานของเธอก็เสื่อมความนิยม กลายเป็นงานที่นักวิชาการเรียกกันเหยียดๆ ว่า นิยายสำหรับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง คือพวกอาณานิคม ก็น่าเศร้าเหมือนกัน ล่าสุด ดร. กิ่งแก้ว อัตถากร แปลเรื่อง A Roman to Two Worlds เสร็จแล้วกำลังพิมพ์ หลังจากท่านแปลเรื่องแรกคือ ชีวิตนิรันดร์ Life Everlasting
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ดวงเทียน/duangthien@hotmail.com
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 16 ก.พ. 02, 10:19
|
|
ตามมาอ่านหาความรู้เพิ่มเติมด้วยคนค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 29 ก.ค. 25, 15:42
|
|
นสพ. Bangkok Post วันนี้ หน้าหนึ่งพาดหัวข่าวเหตุรุนแรงในตลาดอตก. ว่า Vendetta behind mass shooting (มุมขวาล่างของภาพ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
SILA
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 29 ก.ค. 25, 15:44
|
|
สะดุดตาชวนสงสัยว่าคนเขียนข่าวอาจจะอิงถึงการแสดงละครเรื่อง ความพยาบาท - Vendetta! ของ Marie Corelli เนื่องในโอกาสครบรอบ 150 ปี แห่งวันเกิดในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2568 ของ “แม่วัน” ผู้แปลนิยายเรื่องนี้เป็นภาษาไทย ณ โรงละคร คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 29 ก.ค. 25, 16:33
|
|
คงไม่ถึงขนาดน้านนนนค่ะ Vendetta แปลว่าการแก้แค้น ถึงเป็นภาษาอิตาเลียน อังกฤษก็รับเอามาใช้บ้างเหมือนกัน ข่าวในเรื่องบอกว่ามือปืนแค้นรปภ.ผู้เสียชีวิต สาเหตุจากความบาดหมางส่วนตัว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 29 ก.ค. 25, 16:42
|
|
ถือโอกาสประชาสัมพันธ์ให้นะคะ เป็นผลงานของนศ.คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ไม่ใช่ธุรกิจ ไม่ผิดกฏเกณฑ์ของเรือนไทย แม้ว่าขายบัตร ราคา 690 บท ก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อกำไร เงินเข้าคณะค่ะ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 29 ก.ค. 25, 19:09
|
|
6.90 บาทหรือ 690 บาทครับอาจารย์ 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 11 ส.ค. 25, 10:31
|
|
จากเฟซบุ๊ค พาย้อนเวลากลับไปหา Vendetta หรือ "ความพยาบาท"
เมื่อวานไปขึ้นเวทีเสวนาเรื่องที่มาของละคร Vendetta หรือ ความพยาบาท ที่โรงละครคณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา กับผู้กำกับการแสดง ผศ.สรร ถวัลย์วงศ์ศรี และผู้ดัดแปลงบทละคร ผศ.ดร. ณฐภรณ์ รัตนชัยวงศ์ สำหรับคนที่ไม่ได้ไปดู ขอพาย้อนอดีตให้เห็นตามนี้นะคะ ย้อนหลังไป เมื่อ 139 ปีก่อน ชายหนุ่มจากสยามประเทศนามว่า นายนกยูง ได้ตามเสด็จสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ในฐานะพระอภืบาล(พี่เลี้ยง) ไปถึงประเทศอังกฤษ ประทับศึกษาอยู่ระยะหนึ่งก่อนเสด็จต่อไปยังประเทศรัสเซีย เพื่อศึกษาวิชาทหาร ลอนดอนในตอนนั้นมีเรื่องอ่านเล่นเขียนด้วยภาษาประจำวัน เนื้อเรื่องเกี่ยวกับผู้คนเหมือนเป็นชีวิตจริง วางขายอยู่มากในร้านหนังสือ เรื่องที่ขายดีที่สุดเป็นของนักประพันธ์สตรีหน้าใหม่ เพิ่งเขียนผลงานเป็นเรื่องที่ 2 เธอใช้นามปากกาว่า "Marie Corelli" เรื่องใหม่เรื่องนี้ชื่อ Vendetta, or the Story of One Forgotten พระอภิบาลผู้นี้ซื้อหนังสือมาอ่าน หลังจากนั้นตามเสด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกฯ ไปที่รัสเซีย จน 3 ปีถึงได้กลับมาสยาม ในบรรดาข้าวของนำกลับมา ท่านนำหนังสือเล่มนี้มาด้วย ปัญญาชนหนุ่มๆของสยามในยุคนั้นเป็นผู้มีความรู้ภาษาตะวันตก จึงร่วมกันก่อตั้งวารสารขึ้นมา ถ่ายทอดความรู้ทางตัวหนังสือจากยุโรป มาเป็นเรื่องอ่านเล่นสู่กันฟัง นายนกยูง หรือต่อมาคือพระยาสุรินทราชา ก็หยิบเรื่องของคอเรลลีมาแปล ชื่อว่า ความพยาบาท ลงในวารสาร "ลักวิทยา" คำว่า "ลัก" นี้ก็คือคำว่า "ขโมย" นั่นเอง คือเอาเรื่องของฝรั่งมาเล่าสู่กันฟังโดยไม่ได้บอกเจ้าของเรื่อง "ความพยาบาท" ลงในวารสารนี้ เป็นเรื่องที่ตื่นตาตื่นใจ สำหรับคนอ่านอย่างมาก เพราะสยามในตอนนั้น เคยชินแต่กับชาดก นิทานคำกลอน กลอนบทละคร แม้ว่ามีเรื่องสั้นๆลงใน "ดรุโณวาท" มาบ้างแล้วตั้งแต่ต้นรัชกาล ก็ยังไม่มีกลิ่นอายของตะวันตกเต็มร้อยอย่างเรื่องนี้ นอกจากนี้ เรื่องราวที่เล่าเหมือนเป็นชีวิตจริงของมนุษย์ มีรัก โลภ โกรธ หลง มีอารมณ์ต่างๆอย่างผู้คนมี ทำให้เรื่องสมจริง ราวกับว่านักเขียนสามารถจูงคนอ่านเข้าไปนั่งดูเหตุการณ์อยู่ในเรื่องได้ ทำให้ชาวสยามเหมือนได้เปิดประตูเข้าไปสู่บรรยากาศของโลกของตะวันตก โดยมี "ความพยาบาท" เป็นสะพานเชื่อม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 11 ส.ค. 25, 10:32
|
|
พาย้อนเวลากลับไปหา Vendetta หรือ "ความพยาบาท"(2) นอกจากเป็นเรื่องแต่งแบบใหม่ในรัชกาลที่ 5 "ความพยาบาท" ยังนำแนวคิดใหม่มาสู่ไทยด้วย คือ " ตาต่อตา ฟันต่อฟัน" ข้อนี้หายากในวรรณคดีไทยก่อนหน้านี้ ถ้าสังเกตให้ดี ในวรรณคดีไทย ผู้ชายกับผู้ชายแม้ว่าแค้นกันขนาดไหนก็ไม่เอาจริงเอาจังถึงประหัตประหารกัน อย่างเรื่อง ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ขุนแผนไม่เคยฆ่าขุนช้างแม้ว่ามีโอกาส พระอภัยมณีจับอุศเรนมาได้ก็ปราศรัยด้วยดีเหมือนมิตร จนนางวาลีต้องมาเตือนว่า "อันแม่ทัพจับได้แล้วไม่ฆ่า ไปข้างหน้าศึกจะใหญ่ขึ้นใจหาย" แม้แต่เรื่องระดับมหากาพย์( Epic) อย่างรามเกียรติ์ เราแทบไม่เห็นอารมณ์แค้นของพระรามที่มีต่อทศกัณฐ์ กว่าจะเผชิญหน้ากันจังๆก็เฉพาะตอนท้ายของการรบ การสังหารทศกัณฐ์ดูเหมือนจะเป็นผลของคำท้าของนนทุก และคำสาปของพระนารายณ์เสียมากกว่าเป็นการแค้นส่วนตัวของพระรามและทศกัณฐ์ ส่วนผู้หญิงไทยรับเคราะห์เท่ากับนิน่า ด้วยความผิดที่เบากว่ามาก ท้าวพรหมทัตแค้นแต่ไม่ลงโทษคนธรรพ์และพญาครุฑ แต่กลับลงโทษนางกากีแทน ทำนองเดียวกับพระพันวษาสั่งประหารนางวันทองแทนที่จะประหารฝ่ายชาย ดังนั้นความแค้นของฟาบิโอ ที่ต้องสังหารเพื่อนทรยศ นอกจากเพื่อนยังไม่พอ ยังแก้แค้นเมียด้วย จึงเป็นอารมณ์ใหม่แปลกของคนอ่าน ถึงขั้นหลวงวิลาศปริวัตร(เหลี่ยม วินทุพราหมณกุล) แต่งเรื่อง "ความไม่พยาบาท" ขึ้นมาเป็นปฏิกิริยาสะท้อนถึงความคิดเห็นของคนอ่านยุคนั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 41489
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 11 ส.ค. 25, 10:32
|
|
มารี คอเรลลีแต่ง Vendetta เป็นเรื่องที่สอง จะว่าไปก็นับว่าเป็นปรากฏการณ์น่าทึ่งของหญิงสาวอายุ 22 ปี มีการศึกษา 3-4 ปีจากคอนแวนต์ ไม่เคยไปอิตาลีมาก่อน กล้าที่จะสมมุติเหตุการณ์และตัวละครต่างแดนตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ล่มเสียกลางคัน ซ้ำพอตีพิมพ์ออกมาก็กลายเป็นเรื่องขายดีเช่นเดียวกับเรื่องแรก A Romance of Two Worlds ทั้งๆคนละเนื้อหาโดยสิ้นเชิง ทำไมทำได้หรือคะ? มีเหตุผล 2 ประการ คือ 1 ชาวอังกฤษสมัยวิคตอเรียนเป็นคนสนใจต่างแดน เพราะอำนาจของสหราชอาณาจักรขยายออกไปเกือบจะครอบคลุมโลก คนอังกฤษเพิ่งรู้ว่าโลกนี้ยังมีที่เที่ยวอย่างเอเชีย และเอเชียอาคเนย์ การท่องเที่ยวขยายตัวออกไปกว้างไกล ให้ประชาชนเดินไปสัมผัสสฟิงซ์และสุสานฟาโรห์ ทัชมาฮาล จนถึงมัณฑะเลย์ เพราะฉะนั้นเมืองเนเปิลอย่างในนิยายเรื่องนี้ก็ดูใกล้ตัวนิดเดียว 2 คอเรลลีสามารถตอบสนองอารมณ์ลึกๆของชาวอังกฤษได้โดยไม่ต้องตีแผ่ออกมาให้ระคายใจ นักเขียนชายคนอื่นๆถ้าจะเขียนถึงด้านมืดของชาวประเทศไหนก็จะเขียนกันออกมาตรงๆ เช่น Victor Hugo เขียน Les Miserables กลายเป็นนิยายชีวิตหนัก แต่คอเรลลีเลือกตัวละครเป็นคนต่างชาติ เพื่อมาทำอย่างชาวอังกฤษอยากจะทำ แต่ไม่อยากแสดงออกว่าอยากทำ เช่น ผู้ชายอังกฤษต่อให้เจอเมียมีชู้อย่างฟาบิโอพบเจอ ก็มักจะยอมกลืนเลือด อยู่กันต่อไปแบบหน้าชื่นอกตรม มีตัวอย่างให้เห็นถมไปในประวัติศาสตร์ อย่างเก่งก็ท้าดวลซึ่งกฎหมายไม่สนับสนุน ดังนั้นถ้ามีใครอีกคน(แม้แต่อยู่ในหน้าหนังสือ) มาทำแทนแบบไม่แคร์กฎหมายบ้านเมืองหรือกลัวบาปบุญคุณโทษ แล้วยังรอดไปได้ไม่ติดคุก มันก็เป็นความสะใจอยู่ลึกๆสำหรับคนอ่าน ความสามารถของนักเขียนยอดนิยม คือสามารถรู้ใจคนอ่านส่วนใหญ่ได้ พูดง่ายๆคือคนอ่านชอบอะไรก็เขียนให้ถูกใจคนอ่าน ไม่ใช่ถูกใจตัวเอง คอเรลลีรู้ข้อนี้ โชคดีที่เธอเองก็ชอบอะไรตรงกับคนอ่านอยู่หลายอย่างเหมือนกัน เธอจึงเขียนได้ทั้งตรงกับใจตัวเองและใจคนอ่าน แฟนประจำจึงมีตั้งแต่สมเด็จพระราชินีวิคตอเรียไปจนถึงสาวใช้ตามบ้าน ทำให้เธอเป็นนักเขียนยอดนิยมที่ไม่มีนักเขียนคนใดในยุคนั้นเทียบได้ติด แม้แต่เซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ผู้สร้างเชอร์ล็อค โฮล์มส์ ที่ได้ชื่อว่าอภิมหายอดนิยม ก็ยังขายดีสู้คอเรลลีไม่ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|