เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 4358 ศรีธนญชัย ต่างวัฒนธรรม
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


 เมื่อ 22 พ.ย. 24, 13:15

เป็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ว่านิทานและตำนานพึ้นบ้านหลายเรื่องในภูมิภาคนี้มีความคล้ายคลึงกันอย่าน่าทึ่ง แม้ว่าบ้างเรื่องจะมาจากกลุ่มชาติพันธุ์ที่มาจากคนละตระกูลภาษากันเลยก็ตาม กระผมขอยกเรื่องศรีธนญชัยขึ้นก่อน กระผมทราบว่าทุกท่านในที่นี้น่าจะคุ้นเคยกับเรื่องราวของศรีธนญชัยดี ตัวละครของศรีธนญชัยนี้หากพูดกันในเรื่องของภาษาวิทยานั้นเรียกว่า “trickster figure” กล่าวคือเป็นตัวละครกึ่งตัวตลก กะล้อนปลิ้นปล้อน ฉลาดแกมกอง มักสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้ได้ยินได้ฟัง
ตัวละครเช่นนี้มีอยู่ในเกือบทุกวัฒนธรรม ซุน หงอคงในไซอิ๋วเองก็น่าจ่าเข้าข่ายตัวละครประเภทนี้ Till Eulenspiegel ของ เยอรมันก็เช่นกัน

แต่ถ้าจะกล่าวถึงตัวละครนี้ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว จะพบว่าตัวละครเช่นนี้นั้นมีอยู่ในหลายประเทศ และหลายเรื่องก็มีความคล้ายคลึงกับเรื่องของศรีธนญชัยอย่างไม่น่าเชื่อ
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 13:39

กระผมขอยกนิทานเรื่อง ‘ฮวน ปูสง‘ ( Juan pusong) ของประเทศฟิลิปปินส์ขึ้นก่อน ตัวละครฮวนปูสงนี้มีชื่อเรียกแต่งต่างกันออกไปในแต่ละเกาะของฟิลิปปินส์ เนื่องด้วยภาษาในฟิลิปปินส์นั้นมีมาก ชื่อ ฮวน ปูสงนี้เป็นเชื่อเรียนในพื้นที่เกาะเซบู ในถิ่นอื่นชาวบ้านเรียกขานนายฮวนนี้ว่า ฮวน ตามาด ก็มี ตามตำนานนั้นเล่าว่าฮวน เป็นเด็กหนุ่มผู้แร้นแค้น อาภัพโชคชะตาตั้ง
แต่กำเนิดเกิดมา เบื้องบนนั้นได้กลั่นแกล้งเขาตั้งแต่วินาทีแรกด้วยการให้เขาถือกำเนิดมาในครอบครัวชาวนาผู้ยากจนในชนบทห่างไกล จำเป็นต้องตรากตรำ อาบเหงื่อต่างน้ำในแต่ละวัน เพืองเพื่อให้มีอาหารยั้งชีพต่อไปในวันข้างหน้า อีกทั้งหนุ่มผู้นี้ยังเกิดมาด้วยหน้าตาอันอัปลักษณ์ดั่งต้องคำสาป ปากของนายฮวนนั้นเล็กแหลมดั่งปากนก ใบหน้าอ้วนพีไปด้วยเนื้อหนังเป็นชั้นๆ คางนั้นหย้อยลงด้วยเหนียงอันกว้างหนา ตัวของเขานั้นกลมป๊อกดั่งฟักทอง ขาทั้งสองนั้นทั้งสั้นทั้งเทอะทะ รูปพรรณสัณฐานของนายฮวนของเรานี้ ช่างไร้ราศีเสียนี้ประไร


บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 15:07

ณ กาลครั้งหนึ่ง ฮวน ปูสงได้ดำรงชีพเป็นหนุ่มเลี้ยงวัว แต่ละวันได้ผูกวัวไว้ที่คอกริมทะเลอยู่มิได้ขาด ทำเช่นนี้เป็นกิจวัตร กระทั่งวันหนึ่งเกิดคิดพิเรนทร์ นายฮวนได้ตัดหางวัวออกเสียจนหมด นายฮวนได้นำเอาหางวัวเหล่านั้นไปฝังดิน กลบดินอย่างมิดชิดจนเห็นเพียงปลายหางโผล่ เหนือดินมาเท่านั้น จากนั้นนายฮวนก็ได้ต้อนวัวทุกตัวเขาไปในป่า เมื่อได้ทำดังนั้นแล้ว นายฮวนจึงได้เดินทางไปยังพระราชวัง ถวายฎีกาแด่พระราชาในทันที…

ข้าแต่องค์พระราชา ไม่รู้เกิดเหตุอันใดขึ้น วัวทุกตัวของข้าพเจ้าทีมีอยู่ในคอก บัดนี้ได้เอาหัวหมุดดินทุกตัว เหลือแต่หางโผล่อยู่นั้นพระเจ้าข้า!

พระราชาเห็นพิกล จึงได้เสด็จพร้อมนายฮวนไปยังคอกวัวริมทะเล เมื่อเห็นเพียงหางวัวโผล่ดั่งคำของนายฮวนว่า พระราชาก็ได้วิตกอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้ว่าจะแก้เหตุนี้ด้วยวิธีการใดดี
พระราชาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ออกคำสั่งแก่นายฮวนว่า ’เจ้าจงไปหาเอาเสียมมาสักเล่ม‘
นายฮวนได้เดินทางกลับไปยังพระราชวัง เมื่อไปถึงพระราชวังแล้วก็ได้พบกับพระราชินี
นายฮวนได้กล่าวกับพระราชินีดังนี้
ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้มา ‘เสี้ยม‘* ภายในพระราชวังนี้ พะยะค่ะ
พระราชินีได้รู้สึกฉงนกับคำตอบนี้เป็นอย่างยิ่ง ถึงกับนิ่งอึ้งไปเสียสักครู่ใหญ่จึงได้กล่าวกับนายฮวนว่า
โอ้เจ้าฮวนเอ๋ย เจ้านี้ช่างเขลาเสียจริง เจ้ารีบออกไปจากวังเสีย ณ บัดนี้ เลย
หลังจากนายฮวนได้ถูกพระราชินีทำให้อับอายด้วยการไล่ตะเพิดเช่นนั้นแล้ว นายฮวนก็ได้เดินทางกลับไปยังคอกวัวริมทะเล เข้าพบพระราชาซึ่งได้ยืนรออยู่ในที่นั้น
ข้าแต่พระราชา พระราชินีทรงไม่อนุญาตให้ข้าพเจ้านำเสียมมาได้
ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจงกลับไป จงบอกแก่ราชินีด้วยว่า ข้าเป็นคนสั่งให้เจ้าไปเอาเสียม
นายฮวนก็ได้กลับไปอีกครั้งหนึ่ง ครั้นพบพระราชินีอีกครั้งแล้ว ก็ได้เอ่ยถ่อยคำดังนี้
ข้าพเจ้าได้ถูกพระราชาสั่งให้มา’เสี้ยม‘ ในที่นี้พระเจ้าข้า เมื่อนายฮวนได้กล่าวเช่นนี้ พระราชานี้ ก็ได้อนุญาตให้ นายฮวนนั้นทำการเสี้ยมในวังนั้นได้
ครั้นเมื่อนายฮวนนั้นได้ย้อนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พระราชาก็ได้ทรงถามว่า
เสียมที่ข้าได้สั่งไว้ เจ้าได้มารึยัง?
ข้าพเจ้าได้ทำมันหล่นหายไประว่างทาง บัดนี้เสียมนั้นไปอยู่ไหนข้าพเจ้าก็หารู้ไม่
พระราชาได้กลับไปยังพระราชวังพร้อมด้วยนายฮวน เมื่อกลับถึงวังแล้ว พระราชินีก็ได้กล่าวขึ้นว่า
นายฮวนนั้นได้มาเสี้ยมที่พระราชวังนี้ในตอนกลางวัน
‘เขามาขอเสี้ยม เราก็ได้ให้เขาเสี้ยมที่ในวังตามคำขอ’
พระราชาทรงพิโรธมากนัก ได้ลงอาญาแก่นายฮวนในทันที นายฮวนได้ถูกจับขังไว้ในกรงอันใหญ่
กรงนั้นถูกทิ้งไว้กลางทาง มีผู้คนเดินทางสัญจรผ่านหน้ากรงนั้นเป็นอันมาก
นายฮวนได้ร้องตะเบ็งขึ้นสุดเสียงจากในกรง ตะโกนก้องไปยังผู้คนผู้ผ่านไปมาว่า
ช่วยด้วย! ข้าไม่อยากสมรสกับองค์หญิง! ข้าไม่อยากสมรสกับองค์หญิง!
องค์หญิงนางที่ว่านั้นมีเชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วไต้หล้า ว่านางนั้นทรงเลอโฉมนัก
ในระว่างที่นายฮวนกำลังกู่ร้องสุดเสียงอยู่นั้น ก็ได้มีเจ้าชายจากต่างถิ่นองศ์หนึ่งเดินผ่านมา เจ้าชายได้พูดขึ้นว่า:
เดี๋ยวก่อนเมื่อตะกี้นี้เจ้าร้องว่ากระไรนะ?
ข้าไม่อยากสมรสกับองค์หญิง! นายฮวนได้ตะโกนขึ้นอีกรอบ
องค์หญิงได้บังคบให้ข้าเสกสมรสด้วย แต่ข้าไม่เอา! ไม่อยากเอา! นายฮวนกล่าว
ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอเข้ามาสลับที่กับเจ้าได้ไหมละ? เจ้าชายถาม
นายฮวนได้ยินดั่งนั้นก็ตอบขึ้นทันที ‘‘ ถ้าหากท่านอยากจะสมรสกับองศ์หญิงแล้วล่ะก็ ก็ขอเชิญท่านตามสบายเถิด‘ ทั้งสองจึงได้ตกลงสลับตัวกันด้วยประการฉะนี้
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 15:08

หมายเหตุ* กระผมได้แปลเรื่องนี้เป็นไทยจากภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลมาจากภาษาเซบูอาโนของฟิลิปปินส์อีกทีหนึ่ง ภาษาที่ใช้ในต้นฉบับนั้นเป็นการเล่นคำ ในต้นฉบับพระราชาได้ใช้ให้นายฮวน ไป หา “sadol” มาเล่มหนึ่ง sadol ในที่นี้แปลว่าจอบ แต่ในภาษาพื้นเมืองคำนี้ยังมีความหมายทางเพศได้อีกด้วย เป็นคำผ้องเสียงซึ้งความหมายต่างกัน ดั่งเช่นนกกากับกานำเป็นต้น แต่ครั้นจะแปลตามต้นฉบับก็เห็นว่าหยาบโล้น กระผมจึงได้แปลมาเป็นเสียม กับ เสี้ยมดังนี้ กระผมต้องขออภัยครับ
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 16:16

รุ่งสางวันรุ่งขึ้นยามราวตีห้า เจ้าชายก็ได้แต่งองค์ทรงเครื่องมาอย่างชูยศสมเกียรติ
นายฮวนก็ได้ให้กุญแจแก่เจ้าชาย เจ้าชายจึงได้เปิดกรงให้นายฮวนออกมา
เจ้าชายได้ถอดเครื่องแต่งกายออกจงหมดและได้สลับเสื้อผ้ากับนายฮวน เจ้าชายได้นุ่งชุดนักโทษแทน พร้อมกันนั้นเจ้าชายก็ได้ย่างเข้าไปในกรง
ท่านอย่าลืมร้องว่าท่านอยากสมรมกับองค์หญิงนะ นายฮวนกล่าวพร้อมกับปิดประตูกรง
จากนั้นมานายฮวนจึงได้สวมเครื่องเชื้อพระวงศ์ พร้อมด้วยพกดาบคู่ยศของเจ้าชาย
นายฮวนได้เดินลอยชายไปมาระว่างสวมชุดเป็นเจ้าชายอยู่นั่นเอง ระว่างนั้นชาวบ้านที่เดินผ่านหน้ากรงนั้น ซึ่งแต่ละคนก็ไม่เคยเห็นหน้านายฮวน รู้จักแต่เพียงชื่อและข่าวถูกลงอาญาอันอื้อฉาวนั้น ชาวบ้านแต่ละคนก็ได้เดินไปพลาง ชีนิ้วไปพลาง ชีไปที่กรงพร้อมพูดกับพึมพัมว่า ‘เห็นทีนายฮวนนี่คงจะถูกประหารเสียในเร็วๆนี้แล้วหนอ‘  ในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าชายซึ่งบัดนี้กำลังสวมร่างนักโทษอยู่ก็ร้องเอ็ดอึงอยู่อย่างไม่หยุดว่า ‘ข้าอยากสมรสกับองค์หญิง ข้าอยากสมรสกับองค์หญิง!‘

ยามเย็นราวสี่โมง พระราชาก็ได้เสด็จมาด้วยรถหม้ายังหน้ากรงนั้น พระราชาทรงได้ยินแต่เสียงเจ้าชายร้องว่า ‘‘ ข้าอยากสมรสกับองค์หญิง!’‘ อยู่ไม่หยุด พระราชาครั้นได้ยินเสียงนั้นก็ทรงกริ้วขึ้นมาโดยฉับพลัน ชะโงกศีรษะออกมาพร้อมกับตวาดเจ้าชายด้วยเสียงอันดังว่า
‘‘ เจ้าจงนิ่งเสียบัดนี้ รอดูว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าบ้างก็แล้วกัน!‘‘
วันรุ่งขึ้น พระราชาก็ได้เรียกบรรดาเสนาอำมาตย์ รวมทั้งราชองครักษ์ทั้งหลายเข้าพบ พระราชาได้รับส่งแก่ราชองครักษ์อย่างเด็ดขาดว่า ให้นำตัวนายฮวนผู้บังอาจ ไปถ่วงน้ำยังมหาสมุทรเสีย
ราชองครักษ์จึงได้นำตัวเจ้าชายผู้โชคร้ายนั้นไปยังมหาสมุทร ถ่วงลงไปยังก้นบึ้งอันเวิ้งว้างนั้น
ในคราวเดียวกันนั้นแล เมื่อนายฮวน ปูสงได้ข่าวว่าเจ้าชายผู้เป็นตัวตายตัวแทนได้ถูกเอาไปถ่วงน้ำสิ้นชีพเสียแล้วนั้น นายฮวนก็ได้กลับไปยังพระราชวัง เข้าพบพระราชาอีกครั้ง สร้างความตกตะลึงให้แก่พระราชาเป็นอย่างยิ่ง
เหตุใด นายฮวน เหตุใดเจ้าจึงมาอยู่ที่นี้ได้! พระราชาถาม
ข้าพเจ้าได้ไปยังสะดือทะเล ได้พบเจอบิดามารดาผู้ได้ล่วงลับไปแล้วของท่านอยู่ที่นั้น
บิดามารดาของท่านนั้นสบายดี มีทรัพย์สินเงินทอง ห้างร้านใหญ่โตอยู่ ณ ที่นั้น พวกท่านทั้งสองคิดถึงท่านผู้เป็นลูกเป็นอย่างมาก บิดามารดาของท่านคิดถึงท่านเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าได้รับการไว้วานจากท่านทั้งสอง ให้พาท่านไปหาบิดามารดาพระเจ้าข้า! นายฮวนตอบมาเช่นนี้
ที่ที่เจ้าได้ไปช่างประเสริฐเสียจริงนะ ข้าเองก็อยากไปหาพ่อแม่เหมือนกัน พระราชากล่าว

ถ้าท่านอยากไป ท่านก็จงทำกับตัวท่านเอง ดั่งที่ท่านทำกับข้าพเจ้าเถิด นายฮวนกล่าว
พระราชาได้ยินดังนั้นจึงได้สั่งให้ราชองครักษ์รีบสร้างกรงเหล็กอันโตขึ้น วันต่อมากรงเหล็กนั้นก็แล้วเสร็จ พระราชาได้รับสั่งให้นายฮวนนำพระองค์ไปบอกลากับราชินี นายฮวนก็ได้ทำเช่นนั้น
หลังจากที่พระราชาได้บอกลาพระราชินีแล้ว ทั้งพระราชาและนายฮวนก็ได้ขึ้นเรือไปด้วยกัน
นายฮวนกล่าวขึ้นว่า เดี๋ยวข้าพเจ้าจะบอกหนทางไปหาบิดามารดาของท่านให้ ว่าเช่นนั้นแล้ว นายฮวนก็ได้นำเอาเชือกและก้อนเหล็กมามัดรอบคอพระราชา พระราชาร้องขึ้นว่า
เจ้าเป็นอะไรของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงหมัดคอข้าเช่นนี้!
ที่ข้าพเจ้าทำเช่นนี้ก็เพื่อให้ทันจมลงไปอย่างวิมานของบิดามารดาท่านได้โดยง่าย มิฉะนั้นข้าพเจ้าเกรงว่าท่านจะถูกปลายักษ์ในมหาสมุทรนี้กินไปเสียก่อน! นายฮวนตอบด้วยอารมณ์ขบขัน
และแล้ว พระราชาก็ได้ถูกถ่วงลงน้ำท่ามกลางมหาสมุทรนั้นเอง ต่อมาฟองน้ำและสิ่งปฎิกุลอันมากก็ได้ลอยขึ้นมาเหนือน้ำ
ดูสิ! พระราชานี้เห็นทีน่าจะมีความสุขเฮฮากันอยู่กับพ่อแม่นะ น่าจะกินเยอะไม่น้อย ถ่ายเสียหนักเลย… นายฮวนพูดพลางยิ้มพลาง…
เรื่องของ ฮวน ปูสง ศรีธนญชัยแห่งฟิลิปปินส์ก็ได้จบลงเพียงเท่านี้ครับ…
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 16:35

ศรีธนญชัย เป็นนิทานเล่ากันทั่วไปในอุษาคเนย์

ทางภาคกลางและภาคใต้ของไทยเรียก "ศรีธนญชัย" ภาคเหนือ ภาคอีสาน และลาว เรียก "เซียงเมี่ยง" กัมพูชาเรียก "ธนัญชัย" เวียดนามเรียก  "จ่างกวิ่ง" พม่า เรียก "งะแล็ตโต่, งะใหญ่ " มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เรียก "อาบูนาวัส" และฟิลิปปินส์ เรียก "ฮวน ปูซอง"
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 22 พ.ย. 24, 16:45

ศรีธนญชัย เป็นนิทานเล่ากันทั่วไปในอุษาคเนย์

ทางภาคกลางและภาคใต้ของไทยเรียก "ศรีธนญชัย" ภาคเหนือ ภาคอีสาน และประเทศลาว เรียก "เซียงเมี่ยง" กัมพูชาเรียก "ธนัญชัย" เวียดนามเรียก  "จ่างกวิ่ง" พม่า เรียก "งะแล็ตโต่, งะใหญ่, และสก๊าต่าวซ้า" มาเลเซีย สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย เรียก "อาบูนาวัส" และและฟิลิปปินส์ เรียก "ฮวน ปูซอง"

กระผมขอเพิ่มเติม ไอ้จอกจางแป๊ด ของไทใหญ่ จ้อเกอะโด่ของกะเรี่ยงด้วยครับ ชาวอุยกุร์ในประเทศจีนมีตัวละครชื่อ อาฟานที่‘ นักวิชาการทางจีนบางท่านบอกว่าเป็นคนเดียวกันกับ อาบู นาวาส กระผมเองก็ไม่ทราบข้อเทษจริงเหมือนกันครับ
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 26 พ.ย. 24, 11:35

ศรีธนญชัย เป็นนิทานตลกขบขัน ที่ได้ชื่อมาจากตัวเอกเจ้าปัญญาแบบฉลาดแกมโกง นิทานเรื่องศรีธนญชัยแพร่หลายทั่วไปในดินแดนประเทศไทย และในประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอุษาคเนย์ แต่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้ว่า นิทานเรื่องนี้กำเนิดที่ไหน?หรือแพร่หลายกระจายจากดินแดนแห่งใด ?

เมื่อเอ่ยชื่อ ศรีธนญชัย คนไทยทั่วไปจะรู้ทันทีว่า หมายถึงคนมีปฏิภาณเป็นยอด มีไหวพริบเป็นเยี่ยม แต่มากด้วยเล่ห์เหลี่ยมเป็นร้อยเล่มเกวียน จนยากที่ใครจะรู้เท่าทัน ลักษณะดังกล่าวชวนให้นึกถึงพวกตลกหลวง ที่ทำหน้าที่ถวายเรื่องราว และการกระทำที่สนุกสนาน ให้พระเจ้าแผ่นดินสมัยโบราณทรงมีอารมณ์สดชื่นรื่นรมย์

ในกฎมณเฑียรบาลสมัยต้นกรุงศรีอยุธยา มีชื่อตำแหน่งที่น่าสงสัยว่าจะเป็น ตลกหลวง อยู่ด้วย ๒ ชื่อ คือ นักเทศ และ ขันที บางแห่งเขียนติดกันว่า นักเทศขันที แต่หมายถึง เจ้าหนักงาน ๒ คน นักเทศ จากชื่อชี้ชัดว่า หมายถึงชาวต่างชาติ คือไม่ใช่พวกสยาม และน่าจะมีลักษณะพิเศษอยู่ด้วย คือเป็นพวกกะเทย เรื่องนี้มีร่องรอยหลายประการที่ทำให้เชื่อได้ว่า เป็นพวกที่ราชสำนักกรุงศรีอยุธยาซื้อมาจาก อินเดีย และเปอร์เซีย ส่วน ขันที คงเป็นผู้ชายจีนที่ถูกตอนแล้ว (ปรากฏในนิยาย ละคร ภาพยนตร์จีนที่เกี่ยวกับราชสำนักหลายเรื่อง)

ทั้งพวกนักเทศและขันทีล้วนเป็นผู้ชายชาวต่างชาติ คือ แขก กับ เจ๊ก ที่ถูกตอน หรือหรือถูกทำให้เป็นกะเทย แล้วถูกซื้อ-ขายเข้ามารับราชการอยู่ในราชสำนักกรุงศรีอยุธยา และน่าเชื่อว่าจะอยู่ใกล้ชิดกับฝ่ายใน เพราะได้รับสิทธิพิเศษ

น่าสงสัยว่าพวกนักเทศขันทีเหล่านี้แหละ ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมหมายกำหนดการเข้าเฝ้า และระเบียบการต่าง ๆ ในราชสำนัก รวมทั้งถวายเรื่องราวอันรื่นรมย์ต่อพระเจ้าแผ่นดินด้วย บางทีพวกนักเทศหรือขันทีอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนิทานเรื่อง ศรีธนญชัย ก็ได้ เพราะนิทานเรื่องนี้มีแพร่หลายทั่วไปทั้งภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งน่าจะมีเค้ามาจากต่างประเทศ

นิทานเรื่อง ศรีธนญชัย สมัยแรกเป็นคำบอกเล่าปากต่อปากสืบๆ กันต่อมา ไม่รู้ว่าเริ่มจากไหนและแพร่หลายไปอย่างไรบ้าง สมัยแรก ๆ นี้ยังไม่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมามีผู้เอานิทานเรื่องศรีธนญชัยไปแต่งเป็นร้อยกรอง หรือเป็นกาพย์ กลอนแบบต่าง ๆ ที่นิยมตามท้องถิ่นนั้น เพื่อขับลำเล่านิทาน หรืออ่านเป็นทำนองให้ชาวบ้านฟัง ในประเทศไทยทางภาคกลาง และทางภาคใต้เรียกชื่อตัวเอกว่า ศรีธนญชัย ส่วนภาคเหนือและภาคอีสานไม่เรียกว่า ศรีธนญชัย แต่เรียกชื่อตัวเอกว่า เชียงเมี่ยง

นิทานเรื่อง ศรีธนญชัย จงใจกำหนดบุคลิกของกษัตริย์ให้เป็นตัวตลก ต้องยอมจำนนต่อสติปัญญา เล่ห์เหลี่ยมของศรีธนญชัยเสมอ ลักษณะอย่างนี้ปรากฏว่ามีอยู่ในนิทานพื้นบ้านพื้นเมืองของไทยหลายเรื่อง ต่อมาก็นำไปแต่งเป็นบทละครนอก เช่น ท้าวสามล ในเรื่อง สังข์ทอง เป็นต้น

เหตุที่ประเพณีพื้นบ้านพื้นเมืองกำหนดให้บุคลิกของกษัตริย์ในนิทาน และในตัวละครเป็นตัวตลกอย่างนั้น ดูเหมือนจะเป็นการผ่อนคลายความตึงเครียดทางสังคมและวัฒนธรรม เพราะตามปกติคนทั่วไปไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน และไม่มีสิทธิล่วงเกินพระเจ้าแผ่นดินได้ ต่อมาเมื่อเล่านิทานหรือดูละครเท่านั้น สามัญชนจึงจะมีโอกาสละเมิดกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ได้

จากบทความเรื่อง "ศรีปราชญ์อยู่ที่ไหน ศรีธนญชัยอยู่ที่นั้น" โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ  นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๐ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๑
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.058 วินาที กับ 20 คำสั่ง