เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
อ่าน: 2807 ระลึกชาติที่อียิปต์
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


 เมื่อ 09 ก.ค. 24, 21:27

สวัสดีครับ วันนี้ผมขออนุญาตตั้งกระทู้เล่าเรื่องแปลกที่หลายท่านอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน ตอนแรกผมคิดอยากจะเล่าเรื่องนี้ต่อจากกระทู้สิ่งลี้ลับของคุณประกอบ แต่เนื่องด้วยความยาวของเนื้อหา ผมคิดว่าออกมาตั้งกระทู้เองน่าจะสมควรกว่า ผมขออนุญาตเล่าต่อไปดังนี้:

เรื่องที่จะเล่าในกระทู้นี้ให้ทุกท่านได้รับรู้ นั่นคือเรื่องของ ดอโรธีย์ อีดี้ ผู้หญิงผู้ซึ่งสามารถระลึกชาติไปไกลถึง 3000 ปี ว่าเธอนั้นเคยเกิดเป็นนักบวชหญิงในสมัยอียิปต์โบราณ


บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 09 ก.ค. 24, 21:27

นางดอโรธีย์เกิดในปี 1900 ณ กรุงลอนดอน เมื่อมีอายุได้สี่ขวบนั้น เธอได้ประสบอุบัติเหตุพลัดตกจากบันไดหัวฟาดพื้นอย่างรุนแรงจนถึงกับหมดสติไป เมื่อบิดามารดาตามแพทย์มาตรวจก็ต้องช็อคแทบลมใส่เมื่อแพทย์นั้นวินิจฉัยว่าเธอได้สิ้นลมเสียแล้ว แต่น่าแปลกใจที่เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น เด็กหญิงผู้โชคร้ายกลับฟื้นขึ้น แถมยังมีอากัปกิริยาชวนฉงน พูดจาประหลาด เสียงทุ้ม สำเนียงพูดก็ยังเพี้ยนแปร่งออกมาราวกับเป็นชาวต่างชาติ แตกต่างสิ้นเชิงกับคนอังกฤษด้วยกัน
อีกทั้งยังกล่าวต่อพ่อแม่ทั้งสองอยู่ตลอดเวลาว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของเธอ ขอให้พวกเขาทั้งสองนั้นได้โปรดช่วยพาเธอกลับบ้านด้วย เรื่องแปลกประหลาดนี้ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เธอยังถูกไล่ออกจากโรงเรียนคริสต์หญิงล้วนหลังจากที่เธอปฎิเสธเสียงแข็งที่จะร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าที่มีเนื้อหาวิจารณ์อียิปต์โบราณ และที่เธอมีปากเสียงกับบาทหลวงเนื่องด้วยเธอได้พูดขึ้นว่า ศาสนาคริสต์นั้นลอกเนื้อหาพระคัมภีร์มาจากศาสนาอียิปต์ อีกพีธีกรรมของคริสต์เองก็ลอกแบบมาจากพีธีอียิปต์โบราณด้วย บาทหลวงจึงไม่พอใจถึงขั้นห้ามเธอก้าวเข้ามาในโบสถ์อีกแม้แต่เพียงครั้งเดียว
นิสัยอันประหลาดดูเหมือนแต่จะเพิ่มขึ้นตามวัยของเด็กหญิงดอโรธีย์ หลังจากที่ได้ติดตามพ่อแม่ไปที่พิพิธภัณฑ์บริติชมิวเซียมแล้วนั้น เธอกลับไปสะดุดตาเข้ากับโบราณวัตถุอียิปต์ที่กำลังถูกจัดแสดงอยู่ในแผนกเฉพาะ ถึงกับวิ่งขึ้นวิ่งลง ลงไปกราบแทบเท้าเทวรูปโบราณ ปากก็กร่นด่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาว่ามารยาทต่ำทรามที่บังอาจสวมรองเท้ามาเดินต่อหน้าท่านเทพ
เธอตกอยู่ในสภาวะคล้ายภวังค์เช่นนั้นเป็นชั่วโมง วิ่งไปกราบกรานรวมถึงใช้ปากจูบเทวรูปที่เท้าพร้อมพูดพร่ำพรรณาต่อหน้ามัมมี่ที่จัดแสดงไปว่า 
‘‘นี่แหละคนของฉัน นี่แหละคนของฉัน”
(These are my people, these are my people.)


บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 09 ก.ค. 24, 21:30

หลังจากนั้น เด็กหญิงดอโรธีย์ ก็ได้ถูกพ่อแม่พาไปเที่ยวชมบริติชมิวเซียมหลายครั้ง หลังจากบิดามารดาได้สังเกตว่าเธอมักจะมีความสุขมากทุกครั้งที่ได้เห็นแผนกอียิปต์โบราณ วันหนึ่งเด็กหญิงได้เห็นรูปจัดแสดงซึ่งเป็นวัดโบราณซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยฟาโรห์เซติที่ 1 ( รูปที่ได้แนบไว้ข้างล้างข้อความนี้)เพื่อบูชาเทพเจ้าที่พระองค์นับถือเป็นการส่วนตัว เด็กหญิงกล่าวอุทานออกมาทันทีว่า ‘‘นี่แหละบ้านของฉัน แต่ต้นไม้ไปไหนหมด สวนไปไหนหมด?’’ (This is my home!, but where are the trees? Where are the gardens?)
หลังจากนั้นดอโรธีย์ ซึ่งได้เติบโตเป็นสาวแล้วในภายหลัง ก็มักฝันถึงอียิปต์โบราณรวมถึงมีนิมิตรประหลาดอยู่บ่อยครั้ง เมื่ออายุได้ 15 ปี เธอเคยถึงขั้นนิมิตรเห็นท่านฟาโรห์เซติมาปรากฏกายต่อหน้า
ต่อมา ความฝันและนิมิตรนี้ก็ไม่ทุเลาตามวัย กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น คนตะวันตกยุคนั้นไม่มีความเข้าใจในเรื่องของจิตเวช ทำให้เธอต้องถูกพ่อแม่พาตัวเข้าสถานบำบัด (sanatorium) ซึ่งมีลักษณะคล้ายโรงพยาบาลประสาทอยู่บ่อยครั้ง แต่เธอนั้นก็มักดีขึ้นและหายจากอาการประหลาดนั้นเป็นช่วงๆ เธอจึงโชคดีรอดพ้นจากเงื้อมมือการถูกตราหน้าเป็นบุคคลวิกลจริตทางจิตอย่างถาวรไปได้
จากการที่เธอได้เข้าชมแผนกอียิปต์ฯที่บริติช มิวเซียมอยู่หลายครั้ง ทำให้เธอมีโอกาสได้รู้จักกับศาสตราจารย์ด้านอียิปต์โบราณท่านหนึ่ง ท่านศาสตราจารย์ได้เห็นท่าทางอันน่างงงนของดอโรธีย์แล้วจึงเสนอที่จะสอนวิชาเขียนอ่านอักษรฮิโรกริฟฟิกให้กับเธอ ซึ่งก็ไม่มีใครรู้ว่าศาสตราจารย์ท่านนี้ฉุกคิดถึงไอเดียอันพิเรนทร์นี้ได้อย่างไร แต่หารู้ไม่ว่าความเมตตาอันกะทันหันจากศาสตราจารย์ท่านนี้จักมีผลประโยชน์อันยิ่งยวดต่อดอโรธีย์และวงการวิจัยอียิปต์โบราณทั่วโลกในภายหลัง
ดอโรธีย์เป็นสตรีที่ฉลาดปราดปรื่อง เธอมีสติปัญญาเกินคาด ราวกับมีสัญญาเก่าติดตัวมา ซึ่งสัญญานั้นเปรียบได้เหมือนกับสมบัติอันล้ำค่าที่ได้ถูกขังลืมไว้ภายในตู้นิรภัยเก่าแก่ที่ใดที่หนึ่ง แต่ทว่าถ้ากุญแจที่ถูกต้องในการปลดล็อกตู้ซึ่งได้ถมทับอยู่ภายใต้กองดินเม็ดทรายอันมหาศาลแห่งศตวรรษได้ถูกหาเจอแล้วเมื่อใด ตู้ที่ถูกลืมเลือนนั้นก็ย่อมได้รับการเปิดออกมาเมื่อนั้น สมบัติจึงได้มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันอันอำไพอีกครั้งในวันที่ฟ้าลิขิต


บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 10 ก.ค. 24, 08:43

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ดอโรธีย์ก็สามารถเขียนอ่านอักษรโบราณนั้นได้อย่างคล่องแคล่ว
ในปี 1931 ดอโรธีย์ก็ได้มีโอกาสคบหากับหนุ่มชาวอียิปต์ผู้หนึ่ง ซึ่งมีนามว่า อับเดล มากุ๊ด หลังจากที่ทั้งสองได้แต่งงานกันแล้วนั้น ดอโรธีย์จึงได้มีโอกาสกลับคืนสู่มาตุภูมิที่ได้จากมานานแสนนานแล้วของเธอ
ในวินาทีแรกที่ดอโรธีย์ได้เหยียบเท้าหลงมาจากเครื่องบินได้สัมผัสผืนแผ่นดินอียิปต์อันเป็นที่รักของเธอนั้น ความปีติโสมนัสอันยิ่งใหญ่ก็ได้บังเกิดขึ้นในใจของเธอ น้ำตาจากความปิติได้ไหลอาบแก้มทั้งสองของเธอ เธอถึงก้มกราบทำคาระวะแผ่นดินอันศักดิ์สิทธินั้น อุทานด้วยเสียงอันดังว่า ‘‘ฉันได้กลับบ้านแล้ว!’’
ชีวิตความเป็นอยู่ของเธอที่อียิปต์นั้นดูเหมือนว่าจะไม่ราบรื่นเท่าที่ใครหลายคนอาจจะคิด เธอยังมีประสบการณ์อันน่าพิศวงกับนิมิตรอยู่หลายครั้ง อีกทั้งเธอยังมีความเชื่อปักใจเรื่องชาติที่แล้วเป็นทุนเดิมตั้งแต่เด็ก เธอยืดหยัดในสิ่งที่เธอว่าเป็นความจริงนี้อย่างหนักแน่น และได้บอกเล่าเรื่องทั้งหมดนี้ให้กับทุกคนที่เธอรู้จักแม้แต่คนแปลกหน้าอย่างไม่สงวนวาจา ครอบครัวซึ่งเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดของสามีเธอไม่อาจยอมรับในเรื่องเล่านี้ซึ่งดูเป็นความวิปลาศนอกรีตในสายตาพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เธอให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งเธอได้ตั้งชื่อตามฟาโรห์ในนิมิตรของเธอว่า ‘‘เซติ’’ แล้วนั้น เธอกับสามีก็ได้หย่าร้างกันอย่างถาวร
ต่อมาเธอก็ได้มีประสบการณ์กับนิมิตรอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ดูเหมือนจะเป็นประสบการณ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ ด้วยเป็นกุญแจซึ่งสามารถไขได้ทั้งอดีตและอนาคต
เธอเล่าว่าในหลายค่ำคืนติดต่อกันในช่วงเวลามากกว่าหนึ่งปีหลังจากที่เธอได้อย่าร้างกับสามีนั้น เธอได้ถูกเยี่ยมเยือนจากเทพโบราณผู้ลึกลับท่านหนึ่ง ผู้ซึ่งขานนามตัวเองกับเธอว่า เทพโฮรา ( Hor-Ra) ท่านเทพปริศนานี้มักสั่งให้เธอหยิบปากกาขึ้นมาแล้วเขียนตามที่ท่านคำที่ท่านกล่าวสาธยายออกมาทั้งหมดโดยมิให้ผิดเพี้ยนแม้แต่คำเดียว และเธอเองมีสภาวะเหมือนตกอยู่ในภวังค์ หลังจากเขียนเสร็จแล้วจึงรู้สึกตัว ซึ่งในคณะที่รู้สึกตัวแล้วกลับพบว่าที่เธอเขียนมานั้นเป็นตัวอักษรอียิปต์โบราณ มีความยาวถึงเจ็ดสิบหน้ากระดาษ ซึ่งเมื่อเธออ่านดูแล้ว กลับพบความจริงที่น่าตกตะลึงว่าเรื่องที่เขียนอยู่ภายในกระดาษกลับเป็นเรื่องราวชีวิตของชาติที่แล้วของเธอเอง
เรื่องราวที่เรียบเรียงจากเรื่องที่ถูกเขียนภายใต้ภวังค์ เป็นดังนี้
ในชาติก่อนนั้น เธอได้เกิดเป็นหญิงชาวอียิปต์โบราณชื่อว่า เบ็นเทรด (Bentreshyt) เกิดมาในครอบครัวฐานะยากจนค้นแค้นในสมัยของฟาโรห์เซติ บิดามีอาชีพเป็นทหาร มารดาขายผลไม้ในตลาด อายุได้เพียงสามปีก็ได้สูญเสียมารดา บิดานั้นด้วยความยากจน ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกน้อยต่อไปได้ จึงได้ยกบุตรสาวให้กับทางวัดและนักบวชดูแล เธอจึงได้เติบโตและเรียนรู้วิธีการสรรเสริญและบวงสรวงเทพเจ้าต่างๆ มานับตั้งแต่นั้น เมื่อเธอมีอายุได้สิบสองปีในชาตินั้น นักบวชผู้ดูแลเธอก็ได้ให้เธอเลือกระหว่างสองตัวเลือกสำหรับอนาคตของเธอ หนึ่งนั้นคือ ถ้าเกิดเธอมีความประสงค์อยากละทิ้งซึ่งวัดและเทพเจ้า เธอก็สามารถออกไปยังโลกภายนอก ใช้ชีวิตอย่างสาววัยรุ่นทุกคนได้เลย แต่ถ้าเธอยังประสงค์ที่จะอยู่ที่นี่และรับใช้เทพเจ้าต่อไป เธอก็ต้องทำพิธีสาบานตนเป็นนักบวชหญิงพรหมจรรย์ตลอดไป เธอเองนั้นไม่เคยมีชีวิตอื่นใดนอกจากที่นี่ สำหรับเธอโลกภายนอกนั้นเป็นสถานที่น่ากลัวยิ่งนัก เธอไม่รู้จะทำอย่างไรจึงต้องจำยอมสาบานตนไป เพื่อจะได้อยู่ต่อไปในบ้านหลังเดียวที่เธอคุ้นเคย
ในเวลาต่อมา ท่านฟาโรห์เซติได้เสด็จมายังวัดที่เธออยู่ เกิตติดใจในรูปทรงแห่งหญิงนักบวชเข้า เขาวงกตแห่งกามารมณ์จึงได้บังเกิดขึ้น และเมื่อหญิงชายคู่ใดได้พลาดพลั้งเข้าไปในที่นั้น ยอมไม่มีคำว่าถดถอย อนิจจา เธอกับท่านฟาโรห์ได้รับการแปรสภาพจากข้าวเปลือกการเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว โทษนี้ถือเป็นโทษมหันต์ในสายตาทุกคน ยิ่งได้เสียกับท่านฟาโรห์ก็ย่อมเป็นที่ครหาเกินกว่าที่ใครจะรับไหว เมื่อเธอรู้ตัวว่าเธอนั้นมีครรภ์ จึงได้รีบบอกให้ท่านนักบวชใหญ่ให้รับรู้ เมื่อเธอได้รับทราบว่าโทษที่ควรชำระสำหรับบาปกรรมหนักหนานั้นคงหนีไม่พ้นความตาย เธอจึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองดีกว่าที่จะทำให้เกียรติของฟาโรห์มัวหมอง


บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 10 ก.ค. 24, 12:43

นิมิตรทั้งหลายเล่านี้ดูเหมือนจะทำให้สัญญาเก่าของเธอนั้นกลับมาอย่างเต็มเปี่ยมเสียยิ่งกว่าเดิม ในปี 1937 เธอได้รับคำชักชวนจากเพื่อนของเธอที่กำลังทำงานเป็นนักโบราณคดีประจำอยู่ ณ ปีรามิตกีซ่า ทำงานเป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีจากกรมโบราณคดีของรัฐบาลอียิปต์ในสมัยนั้น
เธอทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับนักโบราณคดีของรัฐบาลอียิปต์ และช่วยแปลเอกสารทุกอย่างจากอาหรับเป็นอังกฤษได้อย่างครบครัน เธอชำนาญมากทั้งในการวิจัยโบราณคดี และการเขียนงานวิจัย มีผลงานทางวิชาการที่ดีเด่นมากมาย แม้เธอไม่มีคุณวุฒิในสาขานี้อย่างโดยตรง แต่กลับมีฝีมือไม่แพ้นักวิชาการมืออาชีพ ทำให้เธอเป็นที่ยอมรับเป็นวงกว้างในแวดวงโบราณคดีอียิปต์โบราณ
แม้เธอจะประสบความสำเร็จในทางวิชาการ แต่นิสัยอันแปลกของเธอก็ยังมิได้เปลี่ยน เธอเดินทางเท้าเปล่า ไม่สวมรองเท้าแม้ในทะเลทราย ทำพีธีจัดเครื่องเซ่นบวงทรวงและทำความเคารพสวดมนต์ต่อหน้ารูปเคารพโบราณในปิรามิดทุกเช้าเย็น เธอได้เปลี่ยนชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า ‘‘ อุม เซติ’’ ( umm seti) แปลว่า แม่ของเซติ ตามธรรมเนียมอาหรับของท้องถิ่นในสมัยนั้นมักเรียกผู้หญิงว่า ‘‘แม่’’ ตามด้วยนามของบุตรชายคนโต

ในปี 1956 ดอโรธีย์ ซึ่งในตอนนั้นได้กลายเป็นหญิงวัยกลางคน ก็ได้ย้ายถิ่นฐานอีกครั้งตามคำเชิญของรัฐบาลอียิปต์ไปยังเมืองอาบีดอส ซึ่งเป็นเมืองที่เธอเคยอยู่ในชาติก่อนตามนิมิตร เมืองนี้ยังมีสุสานของท่านฟาโรห์เซติอยู่อย่างค่อนข้างครบถ้วน เธอเองก็ได้ไปพำนักอยู่ไกล้กับสุสานนั้น
และเรื่องแปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้นที่นี้หลายเรื่องเช่นกัน เธอมีความรู้เกี่ยวกับสุสานและโบราณสถานหลายที่ในพื้นที่โดยรอบอย่างลึกซึ้งจนน่าอัศจรรย์ ราวกับเธอได้เคยอยู่ที่นั้นมาก่อนแล้วจริงจริง มีหลายครั้งที่นักโบราณคดีผู้ซึ่งจนตรอกสับสนกับที่ตั้งโลงและสถานที่อื่นอื่นในโบราณสถานจนต้องเกาหัว ต้องมาขอความช่วยเหลือจากนางดอรอธีย์ ซึ่งเธอเองก็สามารถบอกที่ตั้งของสถานที่และสิ่งของทุกอย่างได้อย่างแม่นย่ำ ทั้งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน และเธอเองก็ไม่มีทางรู้สถานด้วยเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง ข้าราชการผู้ใหญ่จากกรมโบราณคดี มีความคิดอยากจะทดสอบความสามารถดั่งเกล่าของเธอ ถึงกับนำผ้ามาปิตตาเธอทั้งสองข้าง และได้ให้เธอไปยืนอยู่ ณ สุสานฟาโรห์เซติท่ามกลางความมืดมิด โดยท่านข้าราชการได้ให้เธอบรรยายถึงรูปเขียนบนพนังของสุสานนั้นโดยที่เธอไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ เป็นอัศจรรย์ที่เธอสามารถบรรยายอย่างละเอียดไปจนถึงทุกลายเส้น ว่ารูปเขียนนั้นมีอะไรบ้าง
ต่อมาเธอได้บอกกล่าวกับนักโบราณคดีว่า สุสานของฟาโรห์ ที่เธอเคยเห็นครั้งแรกจากรูปเมื่อเป็นเด็กนั้น เคยมีสวนผลไม้ และต้มไม้เขียวขจีล้อมรอบ
ต่อมาเธอได้บอกพิกัดอย่างแม่นยำว่าสวนนั้นถูกกลบอยู่ใต้ดินตรงไหน
และต่อมานักโบราณคดีก็ขุดพบร่องรอยของสวนนั้นใต้พื้นดินจริงจริง
เธอยังคงมีการปฏิบัติตามความเชื่อของเธอเองอย่างเคร่งครัด มีการบวงทรวงเซ่นไหว้เทพเจ้าด้วบเหล้าองุ่นและขนมปังตามธรรมเนียมอียิปต์โบราณ
รวมถึงมีการถือศิลอตตามปฎิธินของอียิปต์อยู่มิได้ขาด รวมทั้งอย่างเขียนบทความวิชาการอยู่เนืองเนือง ซึ่งหลายสิ่งที่เธอได้เขียนไว้ในบทความเหล่านั้น รวมถึงพิกัดสุสานฟาโรห์ต่างต่างที่ยังไม่ถูกค้นพบในสมัยนั้น ล้วนถูกขุดพบโดยนักโบราณคดียุคต่อมา ถูกต้องตามพิกัตของเธอทุกประการ
ในวัยชรานั้น เธอยังคงพำนักอยู่ในอียิปต์ดังเดิม ไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปยังที่ใดอีก โดยให้เหตุผลว่า เธอไม่อยากจรจำลาไปจากแผ่นดินเกิดและดินแดนของเทพเจ้าอันเป็นที่รักของเธอ เธอได้ทำงานเป็นไกด์ประจำโบราณสถานตราบจนบั้นปลายชีวิต ก่อนเสียชีวิตนั้น เธอได้สร้างสุสานส่วนตัวขนาดใหญ่ ภายในประดับประดาไปด้วยเครื่องเซ่นและของเครื่องใช้ส่วนตัวที่เธอมีความประสงค์จะเอาติดตัวไปยังปรโลกตามความเชื่ออียิปต์ เธอเชื่อสนิตใจว่าเธอจะได้เข้าเฝ้าเทพเจ้าที่เธอบูชาด้วยศรัทธามาทั้งชีวิตอีกครั้งในโลกหน้า ความหวังนั้นของเธอก็ได้สัมฤทธิ์ผลในปี ค.ศ 1981 เมื่อเธอได้เสียชิวิตลงในวัย 80 ปี เป็นที่น่าเสียดายที่ศพของเธอนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ได้ถูกฝังลงตามประเพณีโบราณในสุสานของตัวเอง เนื่องจากรัฐบาลอียิปต์ในสมัยนั้นมองว่าผิดหลักอนามัย เธอจึงถูกฝังหลงในสุสานธรรมดาขนาดเล็กที่อยู่ตรงข้ามแทน แต่ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ได เราก็คงจะสบายใจขึ้นถ้าหากเราคิดเอาไว้ว่า ผู้หญิงซึ่งมีนิสัยเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง เป็นหนึ่งไม่มีสองในวงการโบราณคดีอียิปต์นั้น ก็ได้กลับบ้านไปอยู่กับเทพเจ้าดั่งปราธนาแล้ว
ชั่วนิรันดร์…


อ้างอิง: นิมิตรทั้งหลายเล่านี้ดูเหมือนจะทำให้สัญญาเก่าของเธอนั้นกลับมาอย่างเต็มเปี่ยมเสียยิ่งกว่าเดิม ในปี 1937 เธอได้รับคำชักชวนจากเพื่อนของเธอที่กำลังทำงานเป็นนักโบราณคดีประจำอยู่ ณ ปีรามิตกีซ่า ทำงานเป็นผู้ช่วยนักโบราณคดีจากกรมโบราณคดีของรัฐบาลอียิปต์ในสมัยนั้น
เธอทำงานได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับนักโบราณคดีของรัฐบาลอียิปต์ และช่วยแปลเอกสารทุกอย่างจากอาหรับเป็นอังกฤษได้อย่างครบครัน เธอชำนาญมากทั้งในการวิจัยโบราณคดี และการเขียนงานวิจัย มีผลงานทางวิชาการที่ดีเด่นมากมาย แม้เธอไม่มีคุณวุฒิในสาขานี้อย่างโดยตรง แต่กลับมีฝีมือไม่แพ้นักวิชาการมืออาชีพ ทำให้เธอเป็นที่ยอมรับเป็นวงกว้างในแวดวงโบราณคดีอียิปต์โบราณ
แม้เธอจะประสบความสำเร็จในทางวิชาการ แต่นิสัยอันแปลกของเธอก็ยังมิได้เปลี่ยน เธอเดินทางเท้าเปล่า ไม่สวมรองเท้าแม้ในทะเลทราย ทำพีธีจัดเครื่องเซ่นบวงทรวงและทำความเคารพสวดมนต์ต่อหน้ารูปเคารพโบราณในปิรามิดทุกเช้าเย็น เธอได้เปลี่ยนชื่อเป็นภาษาอาหรับว่า ‘‘ อุม เซติ’’ ( umm seti) แปลว่า แม่ของเซติ ตามธรรมเนียมอาหรับของท้องถิ่นในสมัยนั้นมักเรียกผู้หญิงว่า ‘‘แม่’’ ตามด้วยนามของบุตรชายคนโต

ในปี 1956 ดอโรธีย์ ซึ่งในตอนนั้นได้กลายเป็นหญิงวัยกลางคน ก็ได้ย้ายถิ่นฐานอีกครั้งตามคำเชิญของรัฐบาลอียิปต์ไปยังเมืองอาบีดอส ซึ่งเป็นเมืองที่เธอเคยอยู่ในชาติก่อนตามนิมิตร เมืองนี้ยังมีสุสานของท่านฟาโรห์เซติอยู่อย่างค่อนข้างครบถ้วน เธอเองก็ได้ไปพำนักอยู่ไกล้กับสุสานนั้น
และเรื่องแปลกประหลาดก็ได้เกิดขึ้นที่นี้หลายเรื่องเช่นกัน เธอมีความรู้เกี่ยวกับสุสานและโบราณสถานหลายที่ในพื้นที่โดยรอบอย่างลึกซึ้งจนน่าอัศจรรย์ ราวกับเธอได้เคยอยู่ที่นั้นมาก่อนแล้วจริงจริง มีหลายครั้งที่นักโบราณคดีผู้ซึ่งจนตรอกสับสนกับที่ตั้งโลงและสถานที่อื่นอื่นในโบราณสถานจนต้องเกาหัว ต้องมาขอความช่วยเหลือจากนางดอรอธีย์ ซึ่งเธอเองก็สามารถบอกที่ตั้งของสถานที่และสิ่งของทุกอย่างได้อย่างแม่นย่ำ ทั้งที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน และเธอเองก็ไม่มีทางรู้สถานด้วยเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง ข้าราชการผู้ใหญ่จากกรมโบราณคดี มีความคิดอยากจะทดสอบความสามารถดั่งเกล่าของเธอ ถึงกับนำผ้ามาปิตตาเธอทั้งสองข้าง และได้ให้เธอไปยืนอยู่ ณ สุสานฟาโรห์เซติท่ามกลางความมืดมิด โดยท่านข้าราชการได้ให้เธอบรรยายถึงรูปเขียนบนพนังของสุสานนั้นโดยที่เธอไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ เป็นอัศจรรย์ที่เธอสามารถบรรยายอย่างละเอียดไปจนถึงทุกลายเส้น ว่ารูปเขียนนั้นมีอะไรบ้าง
ต่อมาเธอได้บอกกล่าวกับนักโบราณคดีว่า สุสานของฟาโรห์ ที่เธอเคยเห็นครั้งแรกจากรูปเมื่อเป็นเด็กนั้น เคยมีสวนผลไม้ และต้มไม้เขียวขจีล้อมรอบ
ต่อมาเธอได้บอกพิกัดอย่างแม่นยำว่าสวนนั้นถูกกลบอยู่ใต้ดินตรงไหน
และต่อมานักโบราณคดีก็ขุดพบร่องรอยของสวนนั้นใต้พื้นดินจริงจริง
เธอยังคงมีการปฏิบัติตามความเชื่อของเธอเองอย่างเคร่งครัด มีการบวงทรวงเซ่นไหว้เทพเจ้าด้วบเหล้าองุ่นและขนมปังตามธรรมเนียมอียิปต์โบราณ
รวมถึงมีการถือศิลอตตามปฎิธินของอียิปต์อยู่มิได้ขาด รวมทั้งอย่างเขียนบทความวิชาการอยู่เนืองเนือง ซึ่งหลายสิ่งที่เธอได้เขียนไว้ในบทความเหล่านั้น รวมถึงพิกัดสุสานฟาโรห์ต่างต่างที่ยังไม่ถูกค้นพบในสมัยนั้น ล้วนถูกขุดพบโดยนักโบราณคดียุคต่อมา ถูกต้องตามพิกัตของเธอทุกประการ
ในวัยชรานั้น เธอยังคงพำนักอยู่ในอียิปต์ดังเดิม ไม่เคยย้ายถิ่นฐานไปยังที่ใดอีก โดยให้เหตุผลว่า เธอไม่อยากจรจำลาไปจากแผ่นดินเกิดและดินแดนของเทพเจ้าอันเป็นที่รักของเธอ เธอได้ทำงานเป็นไกด์ประจำโบราณสถานตราบจนบั้นปลายชีวิต ก่อนเสียชีวิตนั้น เธอได้สร้างสุสานส่วนตัวขนาดใหญ่ ภายในประดับประดาไปด้วยเครื่องเซ่นและของเครื่องใช้ส่วนตัวที่เธอมีความประสงค์จะเอาติดตัวไปยังปรโลกตามความเชื่ออียิปต์ เธอเชื่อสนิตใจว่าเธอจะได้เข้าเฝ้าเทพเจ้าที่เธอบูชาด้วยศรัทธามาทั้งชีวิตอีกครั้งในโลกหน้า ความหวังนั้นของเธอก็ได้สัมฤทธิ์ผลในปี ค.ศ 1981 เมื่อเธอได้เสียชิวิตลงในวัย 80 ปี เป็นที่น่าเสียดายที่ศพของเธอนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้ได้ถูกฝังลงตามประเพณีโบราณในสุสานของตัวเอง เนื่องจากรัฐบาลอียิปต์ในสมัยนั้นมองว่าผิดหลักอนามัย เธอจึงถูกฝังหลงในสุสานธรรมดาขนาดเล็กที่อยู่ตรงข้ามแทน แต่ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ได เราก็คงจะสบายใจขึ้นถ้าหากเราคิดเอาไว้ว่า ผู้หญิงซึ่งมีนิสัยเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง เป็นหนึ่งไม่มีสองในวงการโบราณคดีอียิปต์นั้น ก็ได้กลับบ้านไปอยู่กับเทพเจ้าดั่งปราธนาแล้ว
ชั่วนิรันดร์….



บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 10 ก.ค. 24, 12:44

อ้างอิง: https://egyptianstreets.com/2021/09/13/from-london-to-ancient-egypt-the-reincarnation-of-dorothy-eady/
https://www.tbsnews.net/features/mystery-behind-egyptian-priestess-reincarnation-british-born-dorothy-eady-810966
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16061



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 10 ก.ค. 24, 13:35

ยิงฟันยิ้ม



บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16061



ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 10:35

ความลับสำคัญที่อุม เซติไม่เคยเปิดเผยกับใครเลยนอกจากเพื่อนร่วมงานคนสนิทอย่างดร.ซีนีก็คือเรื่องนิมิตที่เธอ (ในร่างของเบนท์เรชีตในอดีต) เคยเป็นชู้รักของฟาโรห์เซติที่ ๑ นั่นล่ะ ตรงนี้เธอได้บอกกับดร.ซีนีว่า ฟาโรห์เซติที่ ๑ หลงรักเบนท์เรชึตมาตั้งแต่เธออายุได้เพียงแค่ ๑๔ ปี หลังจากลักลอบมีสัมพันธ์อย่างลับ ๆ มาได้ระยะหนึ่ง เธอก็ตั้งครรภ์ ซึ่งแน่นอนว่าความลับนี้จะถูกเปิดเผยไม่ได้ แต่สุดท้ายความก็แตก ทางวิหารรู้ว่าเธอตั้งครรภ์เพียงแค่ว่ายังไม่ทราบว่าสามีของเธอคือใคร เมื่อจวนตัวมากเข้า เบนท์เรชีตจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายเพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วสามีลับ ๆ ของเธอก็คือฟาโรห์เซติที่ ๑ ซึ่งเมื่อพระองค์ทราบข่าวการเสียชีวิตของเบนท์เรชีตก็โศกเศร้าเป็นอย่างมาก จึงประกาศกร้าวว่าจะไม่มีวันลืมนางได้ลงอย่างแน่นอน


เรื่องในอดีตจบลงเพียงเท่านี้ แต่สิ่งที่อุม เซติเล่าต่อไปเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอในปัจจุบัน ซึ่งฟังดูแล้ว เหลือเชื่อ เป็นอย่างยิ่ง เธอบอกว่าหนึ่งในคำมั่นสัญญาที่ฟาโรห์เซติที่ ๑ ได้ลั่นวาจาเอาไว้ก็คือพระองค์จะ "กลับมา" หาเธออย่างแน่นอน อุม เซติเล่าให้ดร.ซีนีฟังว่า ในค่ำคืนหนึ่ง ในขณะที่เธอกำลังหลับใหล พลันก็ต้องตกใจตื่นเพราะมีความรู้สึกเหมือนมีอะไรมากดทับที่หน้าอก เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าสิ่งที่กดทับหน้าอกของเธออยู่นั่นก็คือ "ฟาโรห์เซติที่ ๑" นั่นเอง ซึ่งนั่นไม่ใช่ครั้งเดียวที่องค์ฟาโรห์โผล่มาให้อุม เซตได้หายคิดถึง บางครั้งพระองค์ก็มาในรูปร่างของชายวัยห้าสิบปลาย ๆ แต่ยังหล่อเหลา ซึ่งทั้งคู่ก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอดทั้งคืน โดยอุม เซติกล่าวว่าการที่ฟาโรห์เซติที่ ๑ จะมาหาเธอนั้นต้องได้รับการอนุญาตจากสภาสูงของโลกใต้พิภพของชาวอียิปต์โบราณเสียก่อน และในอนาคตเมื่ออุม เซติถึงคราวต้องเดินทงไปยังโลกหลังความตายบ้าง พระองค์ก็พร้อมเสมอที่จะอภิเษกกับเธออีกครั้ง

นอกจากเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของอุม เซติ และฟาโรห์แล้ว อีกหนึ่งความน่าทึ่งของเธอก็คือการทำนายถึงห้องโถงลับใต้ดินซึ่งยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้วิหารแห่งอไบดอส เธอกล่าวว่าห้องโถงนี้เปรียบเสมือนห้องสมุดที่เก็บข้อมูลทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และศาสนาเอาไว้มากมาย แต่กระนั้นจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการค้นพบห้องโถงใต้ดินที่ว่ามานี้แต่อย่างใด ไม่ใช่เพียงแค่ห้องโถงใต้ดินเท่านั้น อุม เซติยังกล่าวต่อไปอีกว่า กลุ่มอาคารโอซีเรียน ที่นักอียิปต์วิทยาในปัจจุบันเสนอกันว่าสร้างโดยฟาโรห์เซติที่ ๑ นั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นโครงสร้างที่ปรากฏมาก่อนหน้านั้นยาวนานแล้ว ส่วนมหาสฟิงซ์แห่งกิซ่าที่นักอียิปต์วิทยาเสนอว่าอยู่ในรัชสมัยของฟาโรห์คาเฟรนั้น อุม เซติก็บอกว่ามันเก่าแก่ยิ่งกว่านั้นเสียอีก และสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าฮอรัส ซึ่งแท้ที่จริงแล้วประเด็นความเก่าแก่ของสฟิงซ์ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่นักอียิปต์วิทยาปัจจุบันอยู่เช่นกัน
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16061



ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 10:35

สิ่งต่าง ๆ ที่อุม เซติได้เสนอเอาไว้จะเป็นความจริงหรือไม่ หรือแท้ที่จริงแล้วเธอจะเพียงแค่ "เพี้ยน" ไปเท่านั้น ตรงนี้นักวิทยาศาสตร์และนักอียิปต์วิทยาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้อย่างไร อุม เซติหรือโดโรธี เอดีจะเป็นนักบวชหญิงเบนท์เรชีตที่กลับชาติมาเกิดใหม่จริงหรือไม ลองมาฟังแนวคิดในเชิงวิชาการกันดูบ้าง


แน่นอนว่า การวิเคราะห์ในเชิงวิทยาศาสตร์ก็จะโฟกัสไปที่ว่าอุม เซติเคยตกบันไดจนถึงขั้นหมดสติมาแล้ว นั่นแปลว่าถ้าสมองของเธอได้รับการกระทบกระเทือนจริงก็อาจจะส่งผลให้เกิดอาการแปลก ๆ เช่นนี้ได้เหมือนกัน นอกจากนั้นแล้ว เรื่องราวต่าง ๆ ที่เราได้รับรู้เกี่ยวกับ อุม เซตินั้นมาจาก "ตัวเธอเอง" ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เธอเล่าว่าเธอตกบันไดจนถูกวินิจฉัยว่าเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งในบันทึกก็ไม่มีบอกว่าแพทย์คนใดวินิจฉัยเช่นนั้น ไม่สามารถไปสืบเสาะหาเพื่อพิสูจน์ความจริงได้ นอกจากนั้นที่เธอบอกว่าเธอวิ่งไล่จูบเท้ารูปปั้นอยู่ในพิพิธภัณฑ์อังกฤษนั้นก็เป็นเรื่องที่เธอเล่าให้เราฟังอีกเช่นกัน โดยไม่ได้บอกด้วยว่าเป็นเรื่องที่เธอจำได้เองหรือเป็นเรื่องที่พ่อกับแม่เล่าให้เธอฟังทำให้เราไม่สามารถมั่นใจได้ว่าเรื่องเล่าเหล่านั้นจะถูกต้องตามจริง เพราะแน่นอนว่าความทรงจำของเด็กอายุเพียงแค่ ๔ ขวบเมื่อนำมาเล่าใหม่ด้วยตัวเองในอีกหลายปีให้หลังย่อมต้องมีความผิดเพี้ยนไปบ้างเป็นธรรมดา ซึ่งก็ไม่สามารถไปสืบเสาะหาความจริงจากเรื่องราวเหล่านี้ได้อีกเช่นกัน


ถ้ามองในทางอียิปต์วิทยาบ้าง ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน อุม เซติบอกว่าเธอ "กลับชาติมาเกิด" ซึ่งในชาติก่อนนั้นเธอเป็นนักบวชหญิงในวิหารของฟาโรห์เซติที่ ๑ ซึ่งถ้าเราวิเคราะห์จากมโนคติความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณแล้วนั้น พวกเขาไม่เคยคิดที่จะมา "เกิดใหม่" ในโลกนี้อีกเลย อีกทั้งยังไม่มีความเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดด้วย ถึงแม้ว่าการทำมัมมี่นั้นจะเป็นการรักษาร่างกายเอาไว้เพื่อให้วิญญาณได้กลับมาอาศัยก็จริง แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าจะเป็นการกลับมาเกิดใหม่ในปัจจุบัน เพราะโลกหน้าของพวกเขาคือ "ทุ่งต้นกก" ซึ่งเป็นดินแดนที่มีแต่ความสุขในโลกหน้า อีกทั้งถ้าว่ากันตามประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณแล้วนั้น ยังไม่มีนักอียิปต์วิทยาคนใดค้นพบพระนามของนักบวชหญิงที่ชื่อ "เบนท์เรชีต" เลย เพราะนักอียิปต์วิทยาทราบดีว่าฟาโรห์เซติที่ ๑ มีมเหสีเพียงแค่องค์เดียว (ผิดวิสัยฟาโรห์อียิปต์โบราณทั่วไปอยู่กันเหมือนกัน) นั่นก็คือสตรีที่มีชื่อว่า "มูต-ทูยา" ไม่มีหลักฐานถึงมเหสีองค์อื่น ๆ และไม่มีหลักฐานถึงเบนท์เรชีตเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น จากการขุดค้นทางโบราณคดีของนักอียิปต์วิทยาที่วิหารแห่งฟาโรห์เซติที่ ๑ ที่อไบดอสมาจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะค้นพบห้องสมุดโบราณใต้ดินจริงอย่างที่อุม เซติเคยกล่าวไว้แต่อย่างใด นอกจากนั้นเธอยังเข้าออกวิหารแห่งนี้เป็นว่าเล่น เรียกได้ว่าบ่อยกว่านักอียิปต์วิทยาที่ขุดค้นอยู่ที่นั่นเสียอีก นั่นจึงไม่แปลกที่เธอจะสามารถระบุตำแหน่งของ "สวนประดับ" ได้อย่างแม่นยำ เพราะบางทีเธออาจจะไปแอบสำรวจมาก่อนแล้วด้วยก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น นักอียิปต์วิทยาที่ร่วมทำงานกับเธอไม่มีใครจับได้ถึงความเสแสร้งแกล้งทำของเธอเลย ประหนึ่งว่าสิ่งที่อุม เซติแสดงออกมานั้นมันคือตัวตนที่แท้จริงของเธอก็ไม่ปาน


แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเราคงก็ทำได้เพียงแค่ตั้งสมมติฐานต่าง ๆ นานาเอาไว้เท่านั้นเอง เนื่องด้วยลมหายใจสุดท้ายของอุม เซติในวันที่ ๒๑ เมษายน ค.ศ. ๑๙๘๑ได้ปิดตายประตูสู่ความจริงของประเด็นนี้เอาไว้อย่างไม่มีวันกลับ สิ่งหนึ่งที่เราพอจะคาดเดาได้ก็คือ ถ้าอุม เซติเคยเป็นนักบวชหญิงเบนท์เรชีตแห่งไอยคุปต์จริง ๆ แล้วล่ะก็ ณ เวลานี้เธอคงกำลังมีความสุขอยู่กับฟาโรห์เซติที่ ๑ ในดินแดนแห่งทุ่งต้นกกเป็นแน่แท้

จาก อุม เซติ : สตรีระลึกชาติแห่งไอยคุปต์ โดย สืบ สิบสาม  ต่วยตูนพิเศษ ปีที่ ๔๓ ฉบับที่ ๔๘๓ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 11:33

   ขอแยกซอยออกไปเล่าถึงการกลับชาติมาเกิด หรือ reincarnation ค่ะ
   คำนี้มาจาก re+incarnation คำหลังนี้แปลได้หลายอย่าง แปลว่าชีวิต , การดำรงชีวิตในชั่วอายุคนหนึ่ง,  ชาติ  หรืออวตาร ก็ได้  ส่วน re แปลว่า อีกครั้ง, ย้อนกลับ, กลับมา,  รวมความแล้วแปลว่า ย้อนกลับมามีชีวิตอีกครัั้งหนึ่ง   บางคนใช้คำว่า rebirth หรือเกิดใหม่   ถ้าเป็นการเวียนว่ายตายเกิดเรียกว่า transmigration   ศาสนาหลายศาสนาเชื่อว่ามนุษย์กลับมาเกิดใหม่ในร่างอื่นได้   แต่อีกหลายศาสนาก็เชื่อว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว   
   บางศาสนาทางตะวันตกอย่างคริสตศาสนา  เชื่อว่ามนุษย์เกิดมาหนเดียว เมื่อตายแล้วจะลงนรก หรือไปเฝ้าพระเจ้าบนสรวงสวรรค์แล้วแต่บุญบาปที่ทำมา   แต่นาย A หรือนาง B เหล่านั้นจะไม่ย้อนกลับมาอยู่ในโลกได้อีก  หากจะมาให้ลูกหลานได้เห็นบ้าง ก็มาแต่วิญญาณ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอมตะ ไม่เสื่อมสลายอย่างร่างกาย
    ส่วนทางตะวันออก ความเชื่อถึงการกลับชาติมีให้เห็นแพร่หลายในหลายศาสนา  ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู  ศาสนาเชน หรือ  ศาสนาซิกข์  เป็นต้น
    ย้อนหลังไปถึงกรีกและโรมันที่นับถือเทพเจ้าหลายองค์    ไม่ปรากฏว่าเทพเจ้าให้พรมนุษย์คนไหนที่ตายไปแล้วได้กลับมาเกิดอีก   แต่นักปราชญ์กรีกหลายคนเช่น โสกราตีส และเพลโต เชื่อเรื่องการเกิดใหม่ (metempsychosis)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41293

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 11:43

   การเกิดใหม่ที่ว่านี้มีหลากหลายแบบแล้วแต่ความเชื่อในแต่ละศาสนา  วรรณคดีจำนวนมากสะท้อนความเชื่อเรื่องนี้  เช่น
   1  ตายแล้วเกิดใหม่ในร่างใหม่   พบได้จากนิทานชาดกทั้งหลายในพุทธศาสนา   เมื่อพระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นบุคคลต่างๆ  เป็นทั้งมนุษย์และสัตว์   แต่ละชาตินั้นไม่มีความสัมพันธ์กัน  หมายถึงว่าไม่ได้เป็นญาติหรือเพื่อนหรือเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดหรือทางสังคม
    คุณดอโรธีย์จัดอยู่ในประเภทนี้   นักบวชหญิงกับครอบครัวเธอในอังกฤษ ไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันเลย
    2   เกิดใหม่แต่อยู่ในร่างเดิม
    อ่านพบได้จากคดีคนตายแล้วฟื้นทั้งหลาย  ส่วนทางอียิปต์เชื่อเรื่องนี้อย่างแน่นแฟ้นจึงมีการทำมัมมี่ไว้รอพระราชาและบุคคลสูงศักดิ์กลับคืนมาในร่างเดิม
    3    เกิดใหม่ในร่างใหม่แต่ตัวเดิมยังอยู่     แบบนี้เรียกว่า "แบ่งภาค"  เป็นคุณสมบัติเฉพาะเทพเจ้า  เห็นได้ในวรรณคดีอินเดีย อย่างรามายณะ ที่เรารับมาเป็นรามเกียรติ์
     พระรามคือพระนารายณ์มาเกิด   แต่ตัวพระนารายณ์เองก็ยังอยู่บนสวรรค์ เพียงแต่อวตารมาเป็นพระราม คือเป็นพระรามเพียงส่วนหนึ่ง   ตัวพระนารายณ์เองไม่ได้หายไปจากเกษียรสมุทร       บรรดาพลพระรามทั้งหลายที่เกิดจากเทวดาองค์ต่างๆก็เช่นกัน   ส่วนที่เป็นลิงก็มาสู้รบกับทัพยักษ์  แต่ส่วนที่เป็นเทพก็ยังอยู่ประจำบนสวรรค์ ไม่ได้ทิ้งหน้าที่ลงมาทั้งหมด 
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 11:54

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจตามธรรมชาติ ถ้าเราจะมองเรื่องนี้ด้วยมุมมองของนักวิชาการล้วน ซึ่งไร้ศาสนามาเจือปนก็อาจสรุปได้ว่าเป็นธรรมชาติของมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายผู้ซึ่งกลัวความตายที่จะประดิษฐ์ระบบความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายขึ้นมาเพื่ออธิบายให้หายจากความกลัวนั้น ส่วนนี้ถือว่าเป็นธรรมชาติของจิตวิทยามนุษย์ เป็นที่น่าสังเกตว่า ถึงแม้ความเชื่อเรื่อง reincarnation นั้นน่าจะมีจุดกำเนิดที่อินเดียโบราณก็จริง ดูใด้จากความแพร่หลายของความเชื่อนี้ในเกือบทุกศาสนาของอินเดีย แต่ทว่า มีหลักฐานที่ว่า ชาวเคลต์โบราณซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในอังกฤษ สก็อตแลนตร์ และ ไอร์แลนตร์ ก่อนที่ชาวแองโก แซกซอน ผู้เป็นบรรพชนของชาวอังกฤษในยุคปัจจุบันจะเข้ามา ก็มีความเชื่อเรื่องตายแล้วเกิดใหม่เช่นเดียวกัน ดั่งที่ปรากฏในบันทึกของโรมันโบราณว่า

‘‘ จุดศูนย์กลางของแนวทางความเชื่อของพวกเขานั้นมีอยู่ว่าจิตวิญญาณไม่มีการดับศูนย์ ย่อมย้ายจากร่างหนึ่งไปยังอีกร่างหนึ่งหลังจากความตาย, อีกทั้งเป้าหมายหลักของการศึกษาเล่าเรียนของพวกเขาเหล่านั้นก็มีแต่การปลูกฝังให้เหล่าบันฑิตผู้คงแก่เรียนทั้งหลายมีความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในความไม่พินาศของวิญญาน, ซึ่งตามความเชื่อของพวกเขานั้นเพียงแต่เปลี่ยนเคหะสถานที่พักอาศัย ตามคำกล่าวของพวกเขา มันก็เนื่องด้วยความเชื่อนี่เอง ที่สามารถขัดเกลาซึ่งความกลัวทั้งสิ้นในความตายออกไปเสียทั้งหมด และความแข็งแกร่งอย่างที่สุดก็สามารถเกิดขึ้นใด้‘‘

อ้างอิง:  “ Julius Caesar, "De Bello Gallico", VI‘’  (The principal point of their doctrine is that the soul does not die and that after death it passes from one body into another... the main object of all education is, in their opinion, to imbue their scholars with a firm belief in the indestructibility of the human soul, which, according to their belief, merely passes at death from one tenement to another; for by such doctrine alone, they say, which robs death of all its terrors, can the highest form of human courage be developed.)






บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 12:17

ถ้าอิงตามการแยกของคุณเทาชมพู เคสความเชื่อของชาวเคลต์ก็ของอยู่ในรูปแบบที่หนึ่ง
แต่กระผมอยากจะยกกรณีเกิดใหม่สองกรณีที่ค่อนข้างพิลึก ซึ่งอาจจะไม่เข้าค่ายรูปแบบใดในทั้งสามรูปแบบอย่างเต็มที่ มาให้ทุกท่านพิจารณาดู
เรื่องแรกเป็นเรื่องส่วนตัวที่กระผมเคยได้ยินมาจากหญิงชาวไทใหญ่จากรัฐฉานผู้หนึ่ง ซึ่งได้มาทำงายอยู่ที่ประเทศไทย
วันหนึ่ง แม่ผู้แก่ชราของหญิงคนนี้ได้ล้มป่วยลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ หมอมารักษาเท่าไหร่ก็ไม่ทุเลา นับวันยิ่งอาการย่ำแย่ นอนซมหมดซึ่งเรี่ยวแรง แต่ยังสามารถพูดคุย ขยับตัวใด้ในระดับหนึ่ง ครอบครัวได้ไปปรึกษาหมอพื้นบ้านผู้ซึ่งมีวิชาอาคม ให้ช่วยนั่งทางในตรวจดูว่าอาการป่วยสาหัสของแม่เฒ่านั้นเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่ หมอนั่งเสร็จก็ได้เล่าความแปลกประหลาดที่ตนรับทราบ หมอนั้นบอกว่า ขวัญครึ่งหนึ่งของแม่เฒ่า คือสิบหกขวัญจากทั้งหมดสามสิบสองขวัญ บัดนี้ได้ไปเกิดแล้ว หนีออกไปเกิดทั้งที่แม่เฒ่านั้นยังไม่ตาย หมอยังบอกอีกด้วยว่าขวัญนั้นจะไปเกิดเป็นใคร ซึ่งในเวลานั้นมีสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของแม่เฒ่า ผู้เป็นภรรยากำลังตั้งครรภ์ท้องแก่อยู่ ณ เวลานั้น พ่อหมอได้บอกชี้ชัดว่า ขวัญครึ่งหนึ่งของแม่เฒ่าได้ไปเกิดเป็นเด็กน้อยที่กำลังอยู่ในครรภ์ของเพื่อนบ้านคนนี้แล้ว
ต่อมาเด็กคนนี้ได้คลอดออกมาจริงจริง เป็นเด็กหญิง  เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในคณะที่อาการแม่เฒ่ามีแต่ทรงกับทรุด จนกระทั่งเด็กหญิงนั้นมีอายุได้ขวบครึ่ง สามารถเดินและพูดอย่างง่ายง่ายได้ ได้เดินเตาะแตะมาขอข้าวแม่เฒ่ากินถึงที่บ้าน พูดอย่างชัดเจนเลยว่า ขอข้าวหน่อย อาการแม่เฒ่าทรุดหนักลงอีกจนถึงขั้นตรีทูต ครอบครัวจึงได้ไปหาพ่อหมออีกครั้ง พ่อหมอบอกว่าหากไม่เรียกขวัญของแม่เฒ่าที่ไปเกิดเป็นเด็กคนนี้กลับมา แม่เฒ่าก็จะถึงแก่ความตาย ครอบครัวไม่ยอมเสียแม่เฒ่าไป จึงทำพีธีเรียกขวัญดังเกล่า หลังจากเสร็จสิ้นพิธี เด็กหญิงน้อยคนนั้นก็ได้นอนหลับลงที่บ้าน และก็ไม่ได้ตื่นขึ้นอีก เด็กหญิงน้อยตายลงอย่างไร้สาเหตุในวันนั้น ส่วนแม่เฒ่าก็มีแต่หายวันหายคืน สุขภาพดีมาจนบัดนี้

นับเป็นอีกเรื่องแปลกที่ข้าพเจ้าได้รับรู้ ไปเกิดโดยยังไม่ตาย…
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 12:33

กรณีที่สองนี้เกิดขึ้นที่ไต้หวันเมื่อราวหกสิบปีมาแล้ว  หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง ซื่อนางหลินหว่างเยา อายุ 38 ปี เดิมทีเป็นชาวนาธรรมดาทั่วไป อ่านหนังสือไม่ออก ฆ่าเป็ดไก่เพื่อนำมาทำอาหารอยู่เป็นประจำ ไม่สามารถพูดภาษาจีนกลางได้ พูดได้เพียงภาษาฮกเกี้ยนซึ่งเป็นภาษาพื้นเมืองของไต้หวัน วันหนึ่งได้ล้มป่วยลงอย่างหนัก หมดสติสิ้นลมไป เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วแล้วกลับบอกว่าเธอนั้นไม่ได้ชื่อนางหว่างเยา เธอมีนามว่า จูซิ่วหัว เป็นชาวเกาะจินเหมิน ซึ่งอยู่ห่างจากไต้หวันกว่าร้อยกิโลไปทางจีนแผ่นดินใหญ่ อายุ 18ปี เนื่องจากหนีสงครามกลามเมืองจีนจึงได้ลงเรือพร้อมกับพ่อแม่เพื่อลี้ภัย ต่อมาเรือล่ม ตนเองหลังจากรอดจากอุบัติเหตุทางเรือ เกยฟั่งแล้วก็โชคร้ายถูกโจรชิงทรัพย์ ฆ่าตายไปอีก หลังจากตายแล้ว วิญญาณของเธอก็ได้ไปหาเจ้าพ่อ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิอยู่ในที่นั้น เจ้าพ่อได้บอกกับเธอว่า เธอยังไม่หมดอายุไข ให้ใช้ร่างนางหว่างเยาบำเพ็ญบารมีต่อไป ส่วนนางหว่างเยาตัวจริงนั้นได้ตายไปแล้ว เธอจึงได้มาอยู่ในร่างนี้ ซึ่งน่าแปลกที่หลังจากเหตุการณ์นี้แล้ว ร่างนางหว่างเยากลับสามารถอ่านเขียน และพูดภาษาจีนกลางได้ อีกทั้งยังแต่งตัวกระโปรงสั้นแบบวัยรุ่น กินเจนับถือเจ้าแม่กวนอิม เลิกฆ่าสัตว์ วิญญาณนางจูซิ่วหัวหัวในร่างนางหว่างเยายังสามารถเล่าประวัติชีวิตของตนเองในจินเหมินได้อย่างแม่นยำและละเอียด ซึ่งต่อมาทางการตรวจสอบแล้วพบว่ามีคนชื่อนางจูซิ่วหัวอยู่จิง ข้อมูลและการตายตรงกับที่วิญญาณพูดทุกประการ ต่อมาวิญญาณนางซิ่วหัวในร่างใหม่รับอาชีพร่างทรง ใช้ญาณช่วยเหลือชาวบ้านตามความเชื่อ ทั้งที่เธอบอกว่าการมาอยู่ในอีกร่างหนึ่งก็ไม่ได้สบาย เหมือนกับใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่หรือเล็กเกินไป แต่จำเป็นเนื่องด้วยได้รับหมอบหมายจากเจ้าพ่อมาเช่นนี้ เธออายุยืนยาวถึง 97 ปี เพิ่งเสียชีวิตในปี 2019 นี้เอง

บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 12:37

อ้างอิง: https://youtu.be/w1z4g4GWDIM?si=PCqxj1c8f3FisqaI
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.062 วินาที กับ 16 คำสั่ง