naitang
|
ความคิดเห็นที่ 75 เมื่อ 10 ก.ค. 23, 19:28
|
|
ศัพท์และเรื่องเกี่ยวกับข้าวที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดน่าจะเป็นคำว่า ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า(จ้าว) ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ข้าวหอม ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง ... สำหรับคนที่พิถีพิถันในการกินก็จะคุ้นกับศัพท์อีกชุดหนึ่ง เช่น ข้าวหอมปทุม ข้าวสังข์หยด(หยอด) ข้างหอมมะลิ ข้าวดอกข่า ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ข้าวเหนียวสันป่าตอง ข้าวแม่จัน ... ในกลุ่มคนทำอาหารก็จะมีศัพท์อีกชุดหนึ่ง เช่น ข้าวเสาไห้ ข้าวเหลืองอ่อน ข้าวตาแห้ง ข้าวเจ็กเชย ... ในกลุ่มผู้ปลูกข้าวเพื่อการค้าก็จะมีชุดศัพท์ที่ลงลึกลงไปถึงระดับสายพันธุ์ เช่น ข้าวที่มีชื่อนำหน้าว่า กข. ต่างๆ ข้าวสายพันธุ์ประจำถิ่นต่างๆ ข้าวสายพันธุ์จากแหล่งที่เอกชนปลูกขึ้นมาเพื่อการขายพันธุ์ข้าว ... ส่วนในระดับชาวบ้านส่วนมากก็จะมีแต่ชุดศัพท์ของสายพันธุ์พื้นบ้านในละแวกจังหวัดใกล้เคียง และสายพันธุ์ที่ส่วนราชการแนะนำ
ดูเผินๆก็ไม่น่าจะมีอะไรที่สลับซับซ้อน แต่มันก็มี เมื่อพิจารณาข้อมูลข้างต้นก็น่าจะเห็นภาพใน 3 ประเด็นหลักๆ คือ มันมีข้าวสายพันธุ์ที่มีแหล่งบ่งชี้ทางภุมิศาสตร์ มันมีข้าวพันธุ์ที่มีการวิจัยพัฒนามากจากสายพันธุ์เดิม และมันมีเรื่องของคุณภาพข้าวที่ต่างกันเนื่องจากคุณภาพของสายพันธุ์ (ที่มีการปลูกในพื้นที่ๆมีสภาพทางกายภาพต่างๆ) ก็ดูจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีลักษณะการใช้ชื่อเรียกสายข้าวพันธุ์ต่างๆที่มีลักษณะเป็นการจำเพาะ คือ ข้าวสายพันธุ์ดั้งเดิมของถิ่นก็จะใช้ชื่อดังเดิม ข้าวสายพันธุ์ที่วิจัยพัฒนาขึ้นมาทางิวชาการก็จะใช้คำว่า กข.นำหน้าตัวเลข (เลขคู่เป็นพันธุ์ข้าวเหนียว เลขคี่เป็นพันธุ์ข้าวเจ้า) และข้าวสายพันธุ์ที่เอกชนผลิตเพื่อการจำหน่าย(จากการขยายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่างๆ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 76 เมื่อ 10 ก.ค. 23, 20:20
|
|
ในปัจจุบันนี้ ข้าวหอมมะลิ (ราชการ_ข้าวหอมดอกมะลิ ?) ดูจะเป็นข้าวที่จะเริ่มมีการแข่งกันเข้าสู่การมีแหล่งทางภูมิศาสตร์กำกับ (เป็นการภายใน ?) เช่น หอมมะลิสุรินทร์ หอมมะลิศรีสะเกษ หอมมะลิร้อยเอ็ด... ตามรอยข้าวสังข์หยดพัทลุง ข้าวดอกข่าพังงา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 77 เมื่อ 11 ก.ค. 23, 18:24
|
|
เลยได้รู้ว่า พันธู์ข้าวต่างๆนั้นมันมีการแบ่งชั้นกันโดยมีกฏและระเบียบกำหนด ก็จะขอขยายตามที่มีความเข้าใจ ก็มี ชั้นพันธุ์คัด ชั้นพันธุ์นี้ดูจะเป็นเรื่องของส่วนราชการ ชั้นพันธุ์หลัก ชั้นพันธุ์นี้ผลิตโดยกรมการข้าวเพื่อการนำไปปลูกขยายพันธุ์ ซึ่งดูจะมีแหล่งผลิตเป็นการเฉพาะสำหรับแต่ละสายพันธุ์ (กข.43 อยู่ที่ อ.วังทอง พิษณุโลก) ชั้นพันธุ์ขยาย ชั้นพันธุ์นี้จะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตเพื่อการกระจายการปลูกไปในพื้นที่ต่างๆ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีการควบคุมดูแลการผลิตอย่างใกล้ชิดโดยส่วนราชการ ได้ผลผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จำหน่าย แล้วก็มีคำว่า เมล็ดพันธุ์ควบคุม ซึ่งเป็นเรื่องในด้านของมาตรฐานทางคุณภาพ เช่น การงอก ความบริสุทธิ์ การปนเปื้อนจากสายพันธุ์อื่น ...
เมล็ดพันธุ์ข้าวของชั้นพันธุ์เหล่านี้จะบรรจุอยู่ในถุง(กระสอบ)ขนาดน้ำหนัก 25 กก. สอดคล้องกับปริมาณที่จะใช้สำหรับการปลูกข้าวในพื้นที่นาประมาณ 1 ไร่ ซึ่งแต่ละถุงดูจะต้องมีคำประทับบอกว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์อะไร ทั้งนี้ ร้านที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวเหล่านี้จะต้องได้รับการอนุญาต/มีใบอนุญาตจากส่วนราชการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 79 เมื่อ 12 ก.ค. 23, 20:05
|
|
เมื่อประมวลข้อมูลต่างๆแล้ว แรกเริ่มก็หาเมล็ดพันธุ์ในเน็ต ปิ๊งแรกก็พบอยู่บนแพล็ตฟอร์มขายสินค้า ลองสั่งดูแต่ไม่ได้จัดการให้จบเรื่องเพราะเห็นว่ามีค่าส่งของซึ่งเมื่อบวกกับค่าสินค้าแล้วราคาสูงมากกว่าที่พึงจะเป็น เลยใช้วิธ๊โทรถามร้านค้าที่มีใบอนุญาติจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโดยตรง (บังเอิญไปพบรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อในเว็ปเผยแพร่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง) แรกๆก็โทรสอบถามเฉพาะร้านค้าที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ๆเพื่อจะได้เสียค่าส่งของน้อยลง ไม่พบว่ามีร้านใดจำหน่าย ทราบสาเหตุว่า เพราะเกือบจะไม่มีการปลูกข้าวพันธุ์นี้กันในพื้นที่ เลยโทรไปถามร้านค้าในพื้นที่ๆมีการปลูกข้าวพันธุ์นี้กันมาก (ชัยนาท สิงห็บุรี อ่างทอง ...) สามสี่เจ้าล้วนไม่มีจำหน่ายเช่นกัน เลยโทรไปสอบถามส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จึงได้ทราบว่าพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชนิดนี้อยู่ที่ อ.วังทอง พิษณุโลก ติดต่อไปก็ได้ความว่ามีขายแต่ไม่มีการจัดส่ง ต้องไปจัดการและขนของที่สำนักงานด้วยตัวเอง ซึ่งก็ทำให้ได้ทราบต้นทุนของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่แท้จริง โชคดีที่เจ้าที่สั่งของบนแพล็ดฟอร์มเห็นเบอร์โทรศัพท์ตกค้างอยู่ในระบบ จึงโทรติดต่อมา เรื่องก็จึงจบ
ปรากฏว่าสภาพเป็นเช่นนี้ คนสั่งของ(ตัวผม)อยู่กรุงเทพฯ คนขายบนแพล็ตฟอร์มอยู่จังหวัดหนึ่ง ของอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ส่งของมาให้ผม(ปลายทาง)ในอีกจังหวัดหนึ่ง ราคาของที่ต้องจ่ายจริงเป็น ค่าของ(ต้นทุนจากแหล่งผลิต+ค่าขนส่งไปยังร้านค้า)+ค่าขนส่งจากร้านค้าไปยังผู้ซื้อ (ซึ่งในกรณีของผมอยู่ที่ประมาณ 3 ใน 5 ของต้นทุนจากแหล่งผลิต เพราะระยะทางไกล)
เรื่องที่เล่ามาค่อนข้างละเอียดนี้ น่าจะพอช่วยฉายภาพในบางมุมเกี่ยวกับเรื่องของข้อจำกัด โอกาส การเข้าถึง การสนับสนุน ... ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านคนหนึ่งคนใด/ในสังคมหนึ่งใด
ในมุมหนึ่งของสังคมที่ดูเรียบง่าย ก็จึงอาจจะเป็นเพราะการรู้จักตนเองของผู้คนในสังคมนั้นๆ รู้จักการประมาณ ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 80 เมื่อ 13 ก.ค. 23, 19:17
|
|
ลองเข้าไปดูภาพในเรื่องของการใช้จ่ายต่างๆที่มีลักษณะเป็นประจำในแต่ละรอบปี ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะต่างไปจากของชาวเมือง ก็จะมีค่าน้ำ-ค่าไฟประจำเดือน ส่วนที่เป็นค่าไฟก็คงจะเหมือนๆกันกับชาวเมือง เพราะราคาค่าไฟพื้นฐานต่อหน่วยของการใช้จะไม่ต่างกัน แต่ในเรื่องของค่าใช้น้ำประปา เรื่องนี้จะต่างกันเพราะระบบการผลิตน้ำประปาของแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกัน เพราะ บ้างก็ใช้น้ำจากน้ำบาดาล (ประปาบาดาล) บ้างก็ใช้น้ำจากอ่างน้ำของเขื่อนกักเก็บน้ำ บ้างก็ใช้น้ำจากฝายกั้นลำธารน้ำไหล/ลำห้วย (ประปาภูเขา)
ประปาบาดาล จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการต้องใช้พลังงานในการสูบน้ำจากบ่อขึ้นสู่หอถังเพื่อการแจกจ่ายเข้าระบบท่อต่างๆ ประปาในระบบนี้ค่อนข้างจะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตคงที่ มีการจัดตั้งคณะผู้ดูแลของชุมชนชุดหนึ่ง เป็นระบบประปาที่รัฐจัดการให้ในส่วนของการเจาะบ่อบาดาลและการทำหอถังน้ำ รวมทั้งระบบปรับคุณภาพน้ำและการวางท่อหลักสำหรับการส่งน้ำในระยะทางหนึ่ง
ประปาที่ใช้น้ำจากอ่างน้ำของเขื่อน(และแม่น้ำ) ระบบนี้เป็นระบบที่เป็นไปตามมาตรฐานในเรื่องของการประปาทั่วๆไป (คุณภาพ ความปลอดภัย...) ประปาลักษณะนี้ทั้งหมดดูจะเป็นการดำเนินการโดยการประปาส่วนภูมิภาค ค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำก็จะตั้งขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้น้ำ
ประปาภูเขาหรือประปาชาวบ้าน ระบบนี้พบอยู่ในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบตีนเขา เป็นระบบที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้นมา มีทั้งแบบลงทุนลงแรงร่วมกันและแบบได้รับการอุดหนุนงบประมาณจากโครงการที่เสนอของบงบประมาณช่วยเหลือ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อ 14 ก.ค. 23, 17:52
|
|
ระบบประปาที่ชาวบ้านช่วยกันลงแรงนี้ เป็นระบบที่มีการกรองน้ำเพียงหยาบๆคือแยกเศษไม้ใบหญ้าและตะกอนบางส่วน มีคณะผู้ดูแลที่ได้รับค่าตอบแทนจากการดูแลระบบและเก็บค่าใช้น้ำ ในช่วงฤดูฝนก็จะไม่มีการเก็บค่าใช้น้ำ เพราะชาวบ้านมีน้ำใช้จากแหล่งต่างๆอย่างเกินพอ ระบบประปานี้เป็นแบบใช้แรงดันน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ มีการสร้างบ่อคอนกรีตสำหรับดักตะกอนก่อนที่จะปล่อยน้ำเข้าระบบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 82 เมื่อ 14 ก.ค. 23, 20:07
|
|
การใช้จ่ายอีกอย่างหนึ่งอยู่ในรูปแบบของการให้และการบริจาค... ซึ่งวันสำคัญต่างๆโดยรวมก็ไม่ต่างไปจากของชาวเมือง ต่างกันที่ของชาวบ้านจะอยู่ในลักษณะของภาคบังคับมากกว่าชาวเมือง มีงานเป็นจำนวนมากที่ชาวเมืองสามารถหลีกเลี่ยงไม่เข้าร่วมได้ ต่างกับชาวบ้านที่ต้องเข้าร่วมเกือบจะทุกครั้ง ด้วยเพราะเป็นสังคมของชุมชนขนาดเล็ก ทุกคนรู้จักกัน มีความเกี่ยวดองกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ก็อาจจะพอกล่าวได้ว่า ชาวบ้านต้องลงทั้งแรงและทั้งเงินเพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมเกี่ยวกับงานนั้น และเงินที่อยู่ในรูปของการบริจาคหรือเพื่อร่วมทำบุญ
นอกจากงานตามปฏิทินแล้ว ชาวบ้านบางหมู่ก็อาจจะจัดงานเพื่อสร้างเสริมความสามัคคีกันภายใน ที่พบมาก็มีเช่น การแข่งขันกีฬาต่างๆ การจัดงานวันทำความสะอาดหมู่บ้าน การจัดแห่และแข่งขันบ้องไฟ ซึ่งงานบ้องไฟนี้ แต่ก่อนนั้นก็มีในภาคเหนือ แล้วก็หายไปเลยหลัง พ.ศ.2510 +/- งานผีตาโขนของ อ.ด่านซ้าย จ.เลย วานวันลองกอง ซึ่งจัดในหลาย ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 83 เมื่อ 15 ก.ค. 23, 18:21
|
|
ตกคำว่า 'จังหวัด' ท้ายประโยคสุดท้ายของข้อความที่แล้ว ก็เป็นไปตามปกติตามประสาของคนสูงวัย ครับ หลงๆลืมๆ
นึกไปถึงคำบรรยายลักษณะทางพฤติกรรมของคนที่ฉายภาพได้อย่างชัดเจนดีด้วยวลีสั้นๆ เช่น ตกๆหล่นๆ หลงๆลืมๆ งกๆเงิ่นๆ เลอะๆเทอะๆ ลมๆแล้งๆ นั่งๆนอนๆ บ้าๆบอๆ ลับๆล่อๆ ดีๆร้ายๆ น่าสนใจก็ตรงที่ เพียงเติม 'ไม้ยมก' ต่อท้ายคำบางคำ มันก็ทำให้เปลี่ยนความหมายจากที่แสดงลักษณะของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งหนึ่งครั้งใด ไปเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ลักษณะวลีและความหมายเช่นนี้ดูจะมีอยู่แต่เฉพาะในภาษาไทยภาคกลาง นึกไม่ออกว่ามีการใช้ในภาษาพื้นถิ่นแต่เดิมในภาคต่างๆหรือไม่ ในภาษาถิ่นต่างๆดูจะเป็นลักษณะของการใช้คำเปรียบเทียบและคำพังเพยเพื่อขยายความในเรื่องของพฤติกรรมของคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 84 เมื่อ 15 ก.ค. 23, 19:19
|
|
เขียนเสร็จแล้ว มือกับใจไม่ไปด้วยกัน พลาด ข้อความหายก็เลยหายไปหมดเลย ต่อพรุ่งนี้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 85 เมื่อ 16 ก.ค. 23, 18:34
|
|
ด้วยรายได้ไม่ค่อยจะสมดุลย์กับรายจ่าย ชาวบ้านจึงขวนขวายหารายได้แบบเก็บเล็กผสมน้อย จนกระทั่งในช่วงประมาณปี พ.ศ.2515 ในช่วงต้นของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 รัฐได้เริ่มปรับระบบเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการขายทรัพยากรธรรมชาติ ไปเป็นการส่งเสริมการผลิตเพื่อการส่งออก ก็คือการเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในแผน 4 ทั้งมวลก็คือการแรกเริ่มของของการเคลื่อนย้ายแรงงงานในลักษณะเป็นกลุ่ม ที่เป็นภาพชัดเจนที่สุดก็คือในเรื่องของแรงงานในการตัดอ้อยสำหรับป้อนอุตสาหกรรมน้ำตาล พื้นที่ราบรกชัฎติดเขาทางตะวันตกถูกแปลงไปเป็นไร่อ้อยเกือบทั้งหมด เมื่อถึงฤดูกาลตัดอ้อย ก็จะมีการนัดหมายเอารถไปรับผู้คนมาจากหมู่บ้านต่างๆเป็นกลุ่มๆ กลายเป็นช่วงเวลาของหมู่บ้านที่มีแต่ผู้สูงวัย ผู้หญิง และเด็กเป็นส่วนมาก ทำให้เศรษฐกิจชุมชนดีขึ้น ทั้งที่บ้านตน และชุมชนตั้งใหม่ มีการใช้จ่ายเงินที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนต่อยอดกันในระดับ grassroots economy ที่ดี ชาวบ้านยิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อครั้งยังทำงานภาคสนามอยู่ในพื้นที่ทางภาคตะวันตก ผมได้พบเห็นและสัมผัสกับภาพนี้ตั้งแต่ก่อนเริ่มการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงไปแบบเกือบจะจำพื้นที่ไม่ได้ จากป่าโปร่ง ละเมาะ ทุ่งหญ้า กลายเป็นไร่อ้อยกว้างใหญ่มองไม่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 86 เมื่อ 16 ก.ค. 23, 19:07
|
|
ภาพหนึ่งคือเรื่องทางเศรษฐกิจดูดีขึ้นในทุกระดับในองค์รวม ก็มีอีกภาพหนึ่งที่ได้เห็น คือความก้าวหน้าในเชิงของไหวพริบและความรู้ของทั้งฝ่ายแรงงาน ฝ่ายผู้จ้าง และฝ่ายนายทุน เกิดระบบเศรษฐกิจจุลภาคที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ผมต้อง update ความรู้และความเข้าใจทุกๆปีที่เข้าไปทำงานในพื้นที่
อีกภาพหนึ่ง เป็นภาพในทางลบ เป็นความรู้ที่ได้มาจากการพูดคุยกัยผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษก็เพราะตัวเองติดเชื้อมาลาเรียมาหลายครั้งด้วยกัน (8 ครั้ง) เรื่องก็คือ จากกรณีปฏิบัติการฉีด DDT เพื่อควบคุมไข้มาลาเรียทั่วประเทศที่ดำเนินการมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2500 ซึ่งทำให้ไทยเราสามารถควบคุมไข้นี้ได้ดีมาก ลดปริมาณการติดเชื่อเป็นไข้ของชาวบ้านได้จนใกล้จะหมดสิ้น ก็จนกระทั่งเกิดกรณีขนแรงงานข้ามฝั่งจากภาคอีสานมาตัดอ้อย โดยเฉพาะจากในพื้นที่ใกล้ชายแดนด้านตะวันออก ก็เลยมาพร้อมกับเชื้อมาลาเรีย เอามากระจายในพื้นที่ๆเกือบจะปลอดเชื้อไปแล้ว แถมทำให้เกิดการดื้อยาบางอย่างขึ้นมาอีกด้วย จะดื้อยามากน้อยเพียงใดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามากพอที่ทำให้แพทย์ทางโรคเขตร้อนกังวลเหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 87 เมื่อ 17 ก.ค. 23, 18:29
|
|
การตัดอ้อย-ปลูกอ้อย ทำให้ที่พักคนงานค่อยๆเกิดเป็นชุมชนเล็กๆ ค่อยๆขยายตัว พื้นที่ๆใช้ปลูกอ้อยไม่ค่อยดีก็เปลี่ยนไปเป็นปลูกมันสำปะหลัง การย้ายที่อยู่ชั่วคราวก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการตั้งหลักปักฐานชีวิตใหม่ ด้วยที่ชุมชนเกิดใหม่เหล่านี้ประกอบไปด้วยผู้คนจากถิ่นอื่นและมีจำนวนน้อยคน มีวัฒนธรรมประเพณีในเชิงกระบวนวิธีการต่างกันกับภูมิลำเนาเดิมที่ตนอยู่ เมื่อถึงกาลเวลานั้นๆก็จึงเดินทางกลับไปร่วมพิธีกรรมที่ถิ่นเดิม บ้านเกิดเมืองนอนของตน ชุมชนใหม่เหล่านี้ก็ยังพอจะสังเกตร่องรอยที่มาแต่เดิมได้ในปัจจุบัน เช่น จากชื่อของหมู่บ้าน ลักษณะบ้าน จากนามสกุลของผู้คน จากพืชผัก อาหารและของกินของใช้ที่ขายในตลาด (เช่น ลักษณะมีด พร้า แห รูปทรงของอุปกรณ์การจับปลา ...) ฯลฯ
อันที่จริงแล้วผู้คนของชุมชนใหม่เหล่านี้ ส่วนหนึ่งย้ายมาอยู่เพราะต้องการหลีกหนีภัยจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองในสมัยก่อน ผนวกกับการที่จะได้มีผืนดินสำหรับการทำมาหากินใหม่ ชุมชนใหม่เหล่านี้ได้ขยายใหญ่จนกลายเป็นอำเภอก็มี เช่นอำเภอทางด้านตะวันตกของ จ.กำแพงเพชร
ก็น่าสนใจที่ชุมชนเหล่านี้ค่อนข้างจะมีความสงบสุขทั้งๆที่ประกอบไปด้วยผู้คนจากหลากหลายที่มา ทั้งชาติพันธุ์ ภาษา อาหาร วัฒนธรรม ... นึกไปถึงพื้นที่รอยต่อของนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี ซึ่งเป็นชุมชนที่สงบเรียบง่าย มีอาหารอร่อยๆแบบดั้งเดิมอีกด้วย 'ห้วยกระบอก' ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 88 เมื่อ 17 ก.ค. 23, 19:17
|
|
เมื่อเข้าสู่แผน 4 สภาวะความขัดแย้งทางการเมืองดีขึ้น การเชื่อมต่อทางสังคม เศรษฐกิจ คมนาคม ฯลฯ ทำได้ง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น มีการก่อสร้างทางวิศกรรมขนาดใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ(เขื่อน ถนน อาคาร ...) เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆขึ้นมามากขึ้น ก็ได้เห็นภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานขึ้นมาในอีกลักษณะหนึ่ง แรงงานวัยกลางคนมักจะพบอยู่ตามงานก่อสร้างทางวิศวกรรม แรงงานวัยฉกรรจ์ดูจะไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต ผู้หญิงส่วนมากจะไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมบริการ (พนักงานต่างๆ)
ที่สัมผัสมา หมู่บ้านต่างๆก็เลยดูเงียบ ที่พบมักจะเป็นผู้เฒ่าอยู่กับหลาน และก็จะพบว่าในแต่ๆละรอบปีจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในหมู่บ้าน ที่เห็นได้ชัดก็จะเป็นในเรื่องของการปรับปรุงที่อยู่อาศัยเล็กน้อยๆ และปริมาณมอเตอร์ไซด์ที่เพิ่มมากขึ้น
ในช่วงเวลานี้เช่นกัน ได้เห็นชาวบ้านมีการรวมตัว จับกันเป็นกลุ่มอาชีพเฉพาะทาง เช่น การขายสลากกินแบ่ง งานลงเสาเข็ม(อาคาร)แบบเจาะ งานทาสีอาคาร ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 89 เมื่อ 18 ก.ค. 23, 18:31
|
|
โครงการตามพระราชดำริต่างๆได้ทำให้ชาวบ้านทั่วไปได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาทำให้เกิดใช้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ พวกที่ไม่ออกไปทำงานต่างถิ่นก็จะหารายได้ด้วยการทำผลิตภัณฑ์ตามทักษะของตนออกขาย ในช่วงเวลาของแผน 4 และ แผน 5 นั้น การคมนาคมมีการเติบโตมาก มียานยนต์วิ่งกันขวักไขว่ทั่วทุกถนน สินค้าเหล่านั้นปรากฏให้เห็นอยู่ในร้านค้าตามเส้นทางที่มีรถวิ่งผ่าน มีทั้งเครื่องจักสาน อาหารแห้ง อุปกรณ์เครื่องใช้ด้านอุปโภคและบริโภค ... ผมได้เห็นประดิษฐกรรมตามภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความหลากหลายมากมายอย่าง เช่น กับดักหนู ทรงมีดสำหรับการใช้งานแบบต่างๆที่ต่างกัน ยาดองสมุนไพร การถนอมอาหารต่างๆ (ลักษณะ วิธีการ) เครื่องมือดักจับสัตว์(โดยเฉพาะที่ใช้กับนกชนิดต่างๆ) การตัดต่อดัดแปลงต่างๆให้เหมาะสมกับการใช้งาน (สามล้อเครื่องสกาบแลป มอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง ....) ฯลฯ
งานที่ต้องใช้สติปัญญา ความคิด และงานฝีมือต่างๆนั้น จะรังสรรค์ให้เกิดขึ้นมาได้ก็แต่เพียงในสังคมที่มีความสงบและมีความสมบูรณ์มากพอที่ผู้คนสามารถสัมผัสได้ถึงระดับของความเพียงพอ ก็คือมากพอที่จะดำเนินชีวิตได้แบบมีความสุข มีช่องเวลามากพอที่จะใช้ไปในด้านความคิด/สติปัญญาเพื่อทำสิ่งใหม่ๆ
ก็เป็นเครื่องบ่งชี้อีกรูปแบบหนึ่งของสังคมที่สงบสุขและเรียบง่าย แม้นคนภายนอกจะดูว่าเป็นสังคมที่วุ่นวายก็ตาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|