เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 11
  พิมพ์  
อ่าน: 20694 ชีวิตในสังคมที่เรียบง่าย
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 10 ก.ค. 23, 19:28

ศัพท์และเรื่องเกี่ยวกับข้าวที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดน่าจะเป็นคำว่า ข้าวเปลือก ข้าวเหนียว ข้าวเจ้า(จ้าว) ข้าวนาปี ข้าวนาปรัง ข้าวหอม ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง ...  สำหรับคนที่พิถีพิถันในการกินก็จะคุ้นกับศัพท์อีกชุดหนึ่ง เช่น ข้าวหอมปทุม ข้าวสังข์หยด(หยอด) ข้างหอมมะลิ ข้าวดอกข่า ข้าวเหนียวเขี้ยวงู ข้าวเหนียวสันป่าตอง ข้าวแม่จัน ...  ในกลุ่มคนทำอาหารก็จะมีศัพท์อีกชุดหนึ่ง เช่น ข้าวเสาไห้ ข้าวเหลืองอ่อน ข้าวตาแห้ง ข้าวเจ็กเชย ...   ในกลุ่มผู้ปลูกข้าวเพื่อการค้าก็จะมีชุดศัพท์ที่ลงลึกลงไปถึงระดับสายพันธุ์ เช่น ข้าวที่มีชื่อนำหน้าว่า กข. ต่างๆ ข้าวสายพันธุ์ประจำถิ่นต่างๆ ข้าวสายพันธุ์จากแหล่งที่เอกชนปลูกขึ้นมาเพื่อการขายพันธุ์ข้าว ...    ส่วนในระดับชาวบ้านส่วนมากก็จะมีแต่ชุดศัพท์ของสายพันธุ์พื้นบ้านในละแวกจังหวัดใกล้เคียง และสายพันธุ์ที่ส่วนราชการแนะนำ

ดูเผินๆก็ไม่น่าจะมีอะไรที่สลับซับซ้อน แต่มันก็มี เมื่อพิจารณาข้อมูลข้างต้นก็น่าจะเห็นภาพใน 3 ประเด็นหลักๆ คือ มันมีข้าวสายพันธุ์ที่มีแหล่งบ่งชี้ทางภุมิศาสตร์  มันมีข้าวพันธุ์ที่มีการวิจัยพัฒนามากจากสายพันธุ์เดิม  และมันมีเรื่องของคุณภาพข้าวที่ต่างกันเนื่องจากคุณภาพของสายพันธุ์ (ที่มีการปลูกในพื้นที่ๆมีสภาพทางกายภาพต่างๆ)     ก็ดูจะเป็นสาเหตุที่ทำให้มีลักษณะการใช้ชื่อเรียกสายข้าวพันธุ์ต่างๆที่มีลักษณะเป็นการจำเพาะ คือ ข้าวสายพันธุ์ดั้งเดิมของถิ่นก็จะใช้ชื่อดังเดิม  ข้าวสายพันธุ์ที่วิจัยพัฒนาขึ้นมาทางิวชาการก็จะใช้คำว่า กข.นำหน้าตัวเลข (เลขคู่เป็นพันธุ์ข้าวเหนียว เลขคี่เป็นพันธุ์ข้าวเจ้า)  และข้าวสายพันธุ์ที่เอกชนผลิตเพื่อการจำหน่าย(จากการขยายพันธุ์ของสายพันธุ์ต่างๆ)
 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 10 ก.ค. 23, 20:20

ในปัจจุบันนี้ ข้าวหอมมะลิ (ราชการ_ข้าวหอมดอกมะลิ ?) ดูจะเป็นข้าวที่จะเริ่มมีการแข่งกันเข้าสู่การมีแหล่งทางภูมิศาสตร์กำกับ (เป็นการภายใน ?) เช่น หอมมะลิสุรินทร์ หอมมะลิศรีสะเกษ หอมมะลิร้อยเอ็ด... ตามรอยข้าวสังข์หยดพัทลุง ข้าวดอกข่าพังงา 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 11 ก.ค. 23, 18:24

เลยได้รู้ว่า พันธู์ข้าวต่างๆนั้นมันมีการแบ่งชั้นกันโดยมีกฏและระเบียบกำหนด  ก็จะขอขยายตามที่มีความเข้าใจ  ก็มี ชั้นพันธุ์คัด ชั้นพันธุ์นี้ดูจะเป็นเรื่องของส่วนราชการ    ชั้นพันธุ์หลัก ชั้นพันธุ์นี้ผลิตโดยกรมการข้าวเพื่อการนำไปปลูกขยายพันธุ์ ซึ่งดูจะมีแหล่งผลิตเป็นการเฉพาะสำหรับแต่ละสายพันธุ์ (กข.43 อยู่ที่ อ.วังทอง พิษณุโลก)    ชั้นพันธุ์ขยาย ชั้นพันธุ์นี้จะเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ผลิตเพื่อการกระจายการปลูกไปในพื้นที่ต่างๆ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่มีการควบคุมดูแลการผลิตอย่างใกล้ชิดโดยส่วนราชการ ได้ผลผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์จำหน่าย    แล้วก็มีคำว่า เมล็ดพันธุ์ควบคุม ซึ่งเป็นเรื่องในด้านของมาตรฐานทางคุณภาพ เช่น การงอก ความบริสุทธิ์ การปนเปื้อนจากสายพันธุ์อื่น ...     

เมล็ดพันธุ์ข้าวของชั้นพันธุ์เหล่านี้จะบรรจุอยู่ในถุง(กระสอบ)ขนาดน้ำหนัก 25 กก. สอดคล้องกับปริมาณที่จะใช้สำหรับการปลูกข้าวในพื้นที่นาประมาณ 1 ไร่  ซึ่งแต่ละถุงดูจะต้องมีคำประทับบอกว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นพันธุ์อะไร   ทั้งนี้ ร้านที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวเหล่านี้จะต้องได้รับการอนุญาต/มีใบอนุญาตจากส่วนราชการ   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 11 ก.ค. 23, 19:06

จาการหาข้อมูล ก็เลยได้รู้ว่ามันมีข้าวไวแสง(ข้าวไวต่อช่วงแสง) และข้าวไม่ไวแสง (ข้าวไม่ไวต่อช่วงแสง)  เดิมก็เป็นงงจากคำสั้นๆ_ข้าวไวแสง/ข้าวไม่ไวแสง และก็ไม่เข้าใจว่า เหตุใดข้าวในบางพื้นที่มันจึงออกดอกออกรวงในช่วงเวลาเดียวกัน การเก็บเกี่ยวข้าวในบางพื้นที่ก็เป็นเวลาเดียวกันทั้งๆที่ทำการปลูกก่อนปลูกหลังต่างเวลากัน    ก็ได้พบว่ามีเว็บที่ให้ข้อมูลแบบสรุปสั้นๆ เข้าใจได้ง่ายๆ ดังที่แนบมา

https://www.gib.co.th/%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87_Und_%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87/5d031e9e234a8b001efcb2a3
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 12 ก.ค. 23, 20:05

เมื่อประมวลข้อมูลต่างๆแล้ว แรกเริ่มก็หาเมล็ดพันธุ์ในเน็ต ปิ๊งแรกก็พบอยู่บนแพล็ตฟอร์มขายสินค้า ลองสั่งดูแต่ไม่ได้จัดการให้จบเรื่องเพราะเห็นว่ามีค่าส่งของซึ่งเมื่อบวกกับค่าสินค้าแล้วราคาสูงมากกว่าที่พึงจะเป็น เลยใช้วิธ๊โทรถามร้านค้าที่มีใบอนุญาติจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ข้าวโดยตรง (บังเอิญไปพบรายชื่อและหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อในเว็ปเผยแพร่ของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง)  แรกๆก็โทรสอบถามเฉพาะร้านค้าที่อยู่ในพื้นที่ใกล้ๆเพื่อจะได้เสียค่าส่งของน้อยลง ไม่พบว่ามีร้านใดจำหน่าย ทราบสาเหตุว่า เพราะเกือบจะไม่มีการปลูกข้าวพันธุ์นี้กันในพื้นที่  เลยโทรไปถามร้านค้าในพื้นที่ๆมีการปลูกข้าวพันธุ์นี้กันมาก (ชัยนาท สิงห็บุรี อ่างทอง ...) สามสี่เจ้าล้วนไม่มีจำหน่ายเช่นกัน  เลยโทรไปสอบถามส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง จึงได้ทราบว่าพื้นที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชนิดนี้อยู่ที่ อ.วังทอง พิษณุโลก  ติดต่อไปก็ได้ความว่ามีขายแต่ไม่มีการจัดส่ง ต้องไปจัดการและขนของที่สำนักงานด้วยตัวเอง ซึ่งก็ทำให้ได้ทราบต้นทุนของเมล็ดพันธุ์ข้าวที่แท้จริง     โชคดีที่เจ้าที่สั่งของบนแพล็ดฟอร์มเห็นเบอร์โทรศัพท์ตกค้างอยู่ในระบบ จึงโทรติดต่อมา เรื่องก็จึงจบ   

ปรากฏว่าสภาพเป็นเช่นนี้ คนสั่งของ(ตัวผม)อยู่กรุงเทพฯ คนขายบนแพล็ตฟอร์มอยู่จังหวัดหนึ่ง ของอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ส่งของมาให้ผม(ปลายทาง)ในอีกจังหวัดหนึ่ง  ราคาของที่ต้องจ่ายจริงเป็น ค่าของ(ต้นทุนจากแหล่งผลิต+ค่าขนส่งไปยังร้านค้า)+ค่าขนส่งจากร้านค้าไปยังผู้ซื้อ (ซึ่งในกรณีของผมอยู่ที่ประมาณ 3 ใน 5 ของต้นทุนจากแหล่งผลิต เพราะระยะทางไกล)

เรื่องที่เล่ามาค่อนข้างละเอียดนี้ น่าจะพอช่วยฉายภาพในบางมุมเกี่ยวกับเรื่องของข้อจำกัด โอกาส การเข้าถึง การสนับสนุน ... ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้านคนหนึ่งคนใด/ในสังคมหนึ่งใด   

ในมุมหนึ่งของสังคมที่ดูเรียบง่าย ก็จึงอาจจะเป็นเพราะการรู้จักตนเองของผู้คนในสังคมนั้นๆ รู้จักการประมาณ ...   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 13 ก.ค. 23, 19:17

ลองเข้าไปดูภาพในเรื่องของการใช้จ่ายต่างๆที่มีลักษณะเป็นประจำในแต่ละรอบปี ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะต่างไปจากของชาวเมือง  ก็จะมีค่าน้ำ-ค่าไฟประจำเดือน   ส่วนที่เป็นค่าไฟก็คงจะเหมือนๆกันกับชาวเมือง เพราะราคาค่าไฟพื้นฐานต่อหน่วยของการใช้จะไม่ต่างกัน   แต่ในเรื่องของค่าใช้น้ำประปา เรื่องนี้จะต่างกันเพราะระบบการผลิตน้ำประปาของแต่ละชุมชนมีความแตกต่างกัน เพราะ บ้างก็ใช้น้ำจากน้ำบาดาล (ประปาบาดาล)  บ้างก็ใช้น้ำจากอ่างน้ำของเขื่อนกักเก็บน้ำ  บ้างก็ใช้น้ำจากฝายกั้นลำธารน้ำไหล/ลำห้วย (ประปาภูเขา)     

ประปาบาดาล จะมีค่าใช้จ่ายในเรื่องของการต้องใช้พลังงานในการสูบน้ำจากบ่อขึ้นสู่หอถังเพื่อการแจกจ่ายเข้าระบบท่อต่างๆ   ประปาในระบบนี้ค่อนข้างจะมีค่าใช้จ่ายในการผลิตคงที่ มีการจัดตั้งคณะผู้ดูแลของชุมชนชุดหนึ่ง  เป็นระบบประปาที่รัฐจัดการให้ในส่วนของการเจาะบ่อบาดาลและการทำหอถังน้ำ รวมทั้งระบบปรับคุณภาพน้ำและการวางท่อหลักสำหรับการส่งน้ำในระยะทางหนึ่ง

ประปาที่ใช้น้ำจากอ่างน้ำของเขื่อน(และแม่น้ำ) ระบบนี้เป็นระบบที่เป็นไปตามมาตรฐานในเรื่องของการประปาทั่วๆไป (คุณภาพ ความปลอดภัย...) ประปาลักษณะนี้ทั้งหมดดูจะเป็นการดำเนินการโดยการประปาส่วนภูมิภาค  ค่าใช้จ่ายในการใช้น้ำก็จะตั้งขึ้นอยู่กับปริมาณการใช้น้ำ

ประปาภูเขาหรือประปาชาวบ้าน  ระบบนี้พบอยู่ในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบตีนเขา  เป็นระบบที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างขึ้นมา มีทั้งแบบลงทุนลงแรงร่วมกันและแบบได้รับการอุดหนุนงบประมาณจากโครงการที่เสนอของบงบประมาณช่วยเหลือ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 14 ก.ค. 23, 17:52

ระบบประปาที่ชาวบ้านช่วยกันลงแรงนี้ เป็นระบบที่มีการกรองน้ำเพียงหยาบๆคือแยกเศษไม้ใบหญ้าและตะกอนบางส่วน  มีคณะผู้ดูแลที่ได้รับค่าตอบแทนจากการดูแลระบบและเก็บค่าใช้น้ำ ในช่วงฤดูฝนก็จะไม่มีการเก็บค่าใช้น้ำ เพราะชาวบ้านมีน้ำใช้จากแหล่งต่างๆอย่างเกินพอ    ระบบประปานี้เป็นแบบใช้แรงดันน้ำไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ มีการสร้างบ่อคอนกรีตสำหรับดักตะกอนก่อนที่จะปล่อยน้ำเข้าระบบ   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 14 ก.ค. 23, 20:07

การใช้จ่ายอีกอย่างหนึ่งอยู่ในรูปแบบของการให้และการบริจาค...  ซึ่งวันสำคัญต่างๆโดยรวมก็ไม่ต่างไปจากของชาวเมือง  ต่างกันที่ของชาวบ้านจะอยู่ในลักษณะของภาคบังคับมากกว่าชาวเมือง  มีงานเป็นจำนวนมากที่ชาวเมืองสามารถหลีกเลี่ยงไม่เข้าร่วมได้ ต่างกับชาวบ้านที่ต้องเข้าร่วมเกือบจะทุกครั้ง  ด้วยเพราะเป็นสังคมของชุมชนขนาดเล็ก ทุกคนรู้จักกัน มีความเกี่ยวดองกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง   ก็อาจจะพอกล่าวได้ว่า ชาวบ้านต้องลงทั้งแรงและทั้งเงินเพื่อสร้างสรรค์กิจกรรมเกี่ยวกับงานนั้น และเงินที่อยู่ในรูปของการบริจาคหรือเพื่อร่วมทำบุญ 

นอกจากงานตามปฏิทินแล้ว ชาวบ้านบางหมู่ก็อาจจะจัดงานเพื่อสร้างเสริมความสามัคคีกันภายใน ที่พบมาก็มีเช่น การแข่งขันกีฬาต่างๆ  การจัดงานวันทำความสะอาดหมู่บ้าน  การจัดแห่และแข่งขันบ้องไฟ ซึ่งงานบ้องไฟนี้ แต่ก่อนนั้นก็มีในภาคเหนือ แล้วก็หายไปเลยหลัง พ.ศ.2510 +/-   งานผีตาโขนของ อ.ด่านซ้าย จ.เลย  วานวันลองกอง ซึ่งจัดในหลาย  ฯลฯ     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 15 ก.ค. 23, 18:21

ตกคำว่า 'จังหวัด' ท้ายประโยคสุดท้ายของข้อความที่แล้ว  ก็เป็นไปตามปกติตามประสาของคนสูงวัย ครับ หลงๆลืมๆ

นึกไปถึงคำบรรยายลักษณะทางพฤติกรรมของคนที่ฉายภาพได้อย่างชัดเจนดีด้วยวลีสั้นๆ เช่น ตกๆหล่นๆ หลงๆลืมๆ งกๆเงิ่นๆ เลอะๆเทอะๆ ลมๆแล้งๆ นั่งๆนอนๆ บ้าๆบอๆ ลับๆล่อๆ ดีๆร้ายๆ    น่าสนใจก็ตรงที่ เพียงเติม 'ไม้ยมก' ต่อท้ายคำบางคำ มันก็ทำให้เปลี่ยนความหมายจากที่แสดงลักษณะของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครั้งหนึ่งครั้งใด ไปเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง  ลักษณะวลีและความหมายเช่นนี้ดูจะมีอยู่แต่เฉพาะในภาษาไทยภาคกลาง นึกไม่ออกว่ามีการใช้ในภาษาพื้นถิ่นแต่เดิมในภาคต่างๆหรือไม่  ในภาษาถิ่นต่างๆดูจะเป็นลักษณะของการใช้คำเปรียบเทียบและคำพังเพยเพื่อขยายความในเรื่องของพฤติกรรมของคน             
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 15 ก.ค. 23, 19:19

เขียนเสร็จแล้ว มือกับใจไม่ไปด้วยกัน  พลาด ข้อความหายก็เลยหายไปหมดเลย  ต่อพรุ่งนี้ครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 16 ก.ค. 23, 18:34

ด้วยรายได้ไม่ค่อยจะสมดุลย์กับรายจ่าย ชาวบ้านจึงขวนขวายหารายได้แบบเก็บเล็กผสมน้อย จนกระทั่งในช่วงประมาณปี พ.ศ.2515 ในช่วงต้นของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3  รัฐได้เริ่มปรับระบบเศรษฐกิจจากการพึ่งพาการขายทรัพยากรธรรมชาติ ไปเป็นการส่งเสริมการผลิตเพื่อการส่งออก ก็คือการเริ่มเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในแผน 4    ทั้งมวลก็คือการแรกเริ่มของของการเคลื่อนย้ายแรงงงานในลักษณะเป็นกลุ่ม  ที่เป็นภาพชัดเจนที่สุดก็คือในเรื่องของแรงงานในการตัดอ้อยสำหรับป้อนอุตสาหกรรมน้ำตาล  พื้นที่ราบรกชัฎติดเขาทางตะวันตกถูกแปลงไปเป็นไร่อ้อยเกือบทั้งหมด  เมื่อถึงฤดูกาลตัดอ้อย ก็จะมีการนัดหมายเอารถไปรับผู้คนมาจากหมู่บ้านต่างๆเป็นกลุ่มๆ กลายเป็นช่วงเวลาของหมู่บ้านที่มีแต่ผู้สูงวัย ผู้หญิง และเด็กเป็นส่วนมาก  ทำให้เศรษฐกิจชุมชนดีขึ้น ทั้งที่บ้านตน และชุมชนตั้งใหม่ มีการใช้จ่ายเงินที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนต่อยอดกันในระดับ grassroots economy ที่ดี ชาวบ้านยิ้มแย้มแจ่มใส   เมื่อครั้งยังทำงานภาคสนามอยู่ในพื้นที่ทางภาคตะวันตก ผมได้พบเห็นและสัมผัสกับภาพนี้ตั้งแต่ก่อนเริ่มการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงไปแบบเกือบจะจำพื้นที่ไม่ได้ จากป่าโปร่ง ละเมาะ ทุ่งหญ้า กลายเป็นไร่อ้อยกว้างใหญ่มองไม่สุด   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 16 ก.ค. 23, 19:07

ภาพหนึ่งคือเรื่องทางเศรษฐกิจดูดีขึ้นในทุกระดับในองค์รวม  ก็มีอีกภาพหนึ่งที่ได้เห็น คือความก้าวหน้าในเชิงของไหวพริบและความรู้ของทั้งฝ่ายแรงงาน ฝ่ายผู้จ้าง และฝ่ายนายทุน  เกิดระบบเศรษฐกิจจุลภาคที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้น ผมต้อง update ความรู้และความเข้าใจทุกๆปีที่เข้าไปทำงานในพื้นที่

อีกภาพหนึ่ง เป็นภาพในทางลบ เป็นความรู้ที่ได้มาจากการพูดคุยกัยผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษก็เพราะตัวเองติดเชื้อมาลาเรียมาหลายครั้งด้วยกัน (8 ครั้ง)  เรื่องก็คือ จากกรณีปฏิบัติการฉีด DDT เพื่อควบคุมไข้มาลาเรียทั่วประเทศที่ดำเนินการมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.2500  ซึ่งทำให้ไทยเราสามารถควบคุมไข้นี้ได้ดีมาก ลดปริมาณการติดเชื่อเป็นไข้ของชาวบ้านได้จนใกล้จะหมดสิ้น  ก็จนกระทั่งเกิดกรณีขนแรงงานข้ามฝั่งจากภาคอีสานมาตัดอ้อย โดยเฉพาะจากในพื้นที่ใกล้ชายแดนด้านตะวันออก ก็เลยมาพร้อมกับเชื้อมาลาเรีย เอามากระจายในพื้นที่ๆเกือบจะปลอดเชื้อไปแล้ว แถมทำให้เกิดการดื้อยาบางอย่างขึ้นมาอีกด้วย จะดื้อยามากน้อยเพียงใดก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามากพอที่ทำให้แพทย์ทางโรคเขตร้อนกังวลเหมือนกัน 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 17 ก.ค. 23, 18:29

การตัดอ้อย-ปลูกอ้อย ทำให้ที่พักคนงานค่อยๆเกิดเป็นชุมชนเล็กๆ ค่อยๆขยายตัว   พื้นที่ๆใช้ปลูกอ้อยไม่ค่อยดีก็เปลี่ยนไปเป็นปลูกมันสำปะหลัง การย้ายที่อยู่ชั่วคราวก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นการตั้งหลักปักฐานชีวิตใหม่   ด้วยที่ชุมชนเกิดใหม่เหล่านี้ประกอบไปด้วยผู้คนจากถิ่นอื่นและมีจำนวนน้อยคน มีวัฒนธรรมประเพณีในเชิงกระบวนวิธีการต่างกันกับภูมิลำเนาเดิมที่ตนอยู่  เมื่อถึงกาลเวลานั้นๆก็จึงเดินทางกลับไปร่วมพิธีกรรมที่ถิ่นเดิม บ้านเกิดเมืองนอนของตน  ชุมชนใหม่เหล่านี้ก็ยังพอจะสังเกตร่องรอยที่มาแต่เดิมได้ในปัจจุบัน เช่น จากชื่อของหมู่บ้าน ลักษณะบ้าน จากนามสกุลของผู้คน จากพืชผัก อาหารและของกินของใช้ที่ขายในตลาด (เช่น ลักษณะมีด พร้า แห รูปทรงของอุปกรณ์การจับปลา ...) ฯลฯ

อันที่จริงแล้วผู้คนของชุมชนใหม่เหล่านี้ ส่วนหนึ่งย้ายมาอยู่เพราะต้องการหลีกหนีภัยจากความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองในสมัยก่อน ผนวกกับการที่จะได้มีผืนดินสำหรับการทำมาหากินใหม่  ชุมชนใหม่เหล่านี้ได้ขยายใหญ่จนกลายเป็นอำเภอก็มี เช่นอำเภอทางด้านตะวันตกของ จ.กำแพงเพชร

ก็น่าสนใจที่ชุมชนเหล่านี้ค่อนข้างจะมีความสงบสุขทั้งๆที่ประกอบไปด้วยผู้คนจากหลากหลายที่มา ทั้งชาติพันธุ์ ภาษา อาหาร วัฒนธรรม ...   นึกไปถึงพื้นที่รอยต่อของนครปฐม กาญจนบุรี ราชบุรี  ซึ่งเป็นชุมชนที่สงบเรียบง่าย มีอาหารอร่อยๆแบบดั้งเดิมอีกด้วย    'ห้วยกระบอก' ครับ
   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 17 ก.ค. 23, 19:17

เมื่อเข้าสู่แผน 4  สภาวะความขัดแย้งทางการเมืองดีขึ้น การเชื่อมต่อทางสังคม เศรษฐกิจ คมนาคม ฯลฯ ทำได้ง่ายขึ้น ปลอดภัยมากขึ้น  มีการก่อสร้างทางวิศกรรมขนาดใหญ่ทั้งในและนอกประเทศ(เขื่อน ถนน อาคาร ...) เกิดอุตสาหกรรมใหม่ๆขึ้นมามากขึ้น   ก็ได้เห็นภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานขึ้นมาในอีกลักษณะหนึ่ง   แรงงานวัยกลางคนมักจะพบอยู่ตามงานก่อสร้างทางวิศวกรรม  แรงงานวัยฉกรรจ์ดูจะไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิต   ผู้หญิงส่วนมากจะไปอยู่ในภาคอุตสาหกรรมบริการ (พนักงานต่างๆ)   

ที่สัมผัสมา หมู่บ้านต่างๆก็เลยดูเงียบ ที่พบมักจะเป็นผู้เฒ่าอยู่กับหลาน และก็จะพบว่าในแต่ๆละรอบปีจะมีการเปลี่ยนแปลงภายในหมู่บ้าน ที่เห็นได้ชัดก็จะเป็นในเรื่องของการปรับปรุงที่อยู่อาศัยเล็กน้อยๆ และปริมาณมอเตอร์ไซด์ที่เพิ่มมากขึ้น 

ในช่วงเวลานี้เช่นกัน ได้เห็นชาวบ้านมีการรวมตัว จับกันเป็นกลุ่มอาชีพเฉพาะทาง เช่น การขายสลากกินแบ่ง งานลงเสาเข็ม(อาคาร)แบบเจาะ งานทาสีอาคาร ฯลฯ 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 7004


ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 18 ก.ค. 23, 18:31

โครงการตามพระราชดำริต่างๆได้ทำให้ชาวบ้านทั่วไปได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ในการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาทำให้เกิดใช้ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ  พวกที่ไม่ออกไปทำงานต่างถิ่นก็จะหารายได้ด้วยการทำผลิตภัณฑ์ตามทักษะของตนออกขาย  ในช่วงเวลาของแผน 4 และ แผน 5 นั้น การคมนาคมมีการเติบโตมาก มียานยนต์วิ่งกันขวักไขว่ทั่วทุกถนน  สินค้าเหล่านั้นปรากฏให้เห็นอยู่ในร้านค้าตามเส้นทางที่มีรถวิ่งผ่าน มีทั้งเครื่องจักสาน อาหารแห้ง อุปกรณ์เครื่องใช้ด้านอุปโภคและบริโภค ...     ผมได้เห็นประดิษฐกรรมตามภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความหลากหลายมากมายอย่าง เช่น กับดักหนู  ทรงมีดสำหรับการใช้งานแบบต่างๆที่ต่างกัน  ยาดองสมุนไพร  การถนอมอาหารต่างๆ (ลักษณะ วิธีการ)  เครื่องมือดักจับสัตว์(โดยเฉพาะที่ใช้กับนกชนิดต่างๆ) การตัดต่อดัดแปลงต่างๆให้เหมาะสมกับการใช้งาน (สามล้อเครื่องสกาบแลป มอเตอร์ไซด์พ่วงข้าง ....) ฯลฯ   

งานที่ต้องใช้สติปัญญา ความคิด และงานฝีมือต่างๆนั้น จะรังสรรค์ให้เกิดขึ้นมาได้ก็แต่เพียงในสังคมที่มีความสงบและมีความสมบูรณ์มากพอที่ผู้คนสามารถสัมผัสได้ถึงระดับของความเพียงพอ ก็คือมากพอที่จะดำเนินชีวิตได้แบบมีความสุข มีช่องเวลามากพอที่จะใช้ไปในด้านความคิด/สติปัญญาเพื่อทำสิ่งใหม่ๆ 

ก็เป็นเครื่องบ่งชี้อีกรูปแบบหนึ่งของสังคมที่สงบสุขและเรียบง่าย แม้นคนภายนอกจะดูว่าเป็นสังคมที่วุ่นวายก็ตาม           
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 11
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.076 วินาที กับ 19 คำสั่ง