naitang
|
ความคิดเห็นที่ 90 เมื่อ 18 ก.ค. 23, 19:57
|
|
เรื่องของทักษะที่ได้กล่าวมาดูจะเป็นเรื่องของบุคคล ก็มีที่ทำกันเป็นกลุ่ม ทำเป็นผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้าน (ลักษณะเข้าไปอยู่ในเกณฑ์ของเรื่อง OTOP) ซึ่งดูจะพอจำแนกได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ เป็นของดีที่มีพื้นเดิมเป็นของหมู่บ้านของตนจริงๆ และที่เป็นของดีที่ได้จากผลิตของอื่นใดในหมู่บ้านของตน
น่าสนใจก็คือ ในเรื่องที่กล่าวถึงนี้ เป็นเรื่องที่ผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องเกือบทั้งหมด เป็นเรื่องที่ทำกันอยู่หน้าประตูของความเป็น Micro SME และ Entreprenoirship และในเรื่องของ Economy of scale ซึ่งเท่าที่ได้สัมผัสมาในหลายพื้นที่ หมู่บ้านในกลุ่มที่กล่าวถึงนี้ดูจะมีความสงบเรียบง่ายเอามากๆเลยทีเดียว อาจจะเพราะด้วยเหตุของความรู้สึกว่าเป็นสุขพอแล้วในสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมเท่าที่เป็นอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 91 เมื่อ 19 ก.ค. 23, 19:03
|
|
ภาพก็เป็นดังนี้ ระหว่างวัน ฝ่ายชายออกไปทำงานในพื่นที่ไร่นานอกบริเวณชุมชนที่อยู่อาศัย ฝ่ายหญิง เมื่อเสร็จงานเกี่ยวกับบ้านเรือนและลูกเต้าแล้ว ก็ไปรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อช่วยกันทำผลิตภัณฑ์เพื่อจำหน่ายหารายได้เพิ่ม ซึ่งกระทำกันใน 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือ ทำงานที่บ้านของตนเองแต่ละคน เป็นผลิตภัณฑ์ตามทักษะฝีมือของแต่ละคน เอาไปวางรวมกันที่จุดจำหน่าย จุดจำหน่ายเหล่านี้ มีทั้งที่เป็นของพ่อค้าคนกลางหรือที่เป็นของหมู่บ้านหรือของตำบล สินค้าเหล่านี้ส่วนมากจะเป็นพวกที่เกี่ยวกับสิ่งทอ ท่านที่เป็นนักท่องเที่ยวน่าจะคุ้นกับหลายๆชื่ออยู่แล้ว เช่น ผ้าเกาะยอ สงขลา, ผ้าบ้านเขว้า ชัยภูมิ, ผ้าหม้อฮ่อมทุ่งโฮ้ง แพร่, ผ้าบ้านไร่ อุทัยธานี, ผ้าน้ำอ่าง อุตรดิตถ์, ผ้าทอต่างๆของอีสานตอนบน.....
อีกลักษณะหนึ่ง คือช่วยกันทำงานโดยใช้พื้นที่ของบ้านผู้ใดผู้หนึ่งหรือที่ศาลาประชาคม เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูจะเป็นพวกที่เกี่ยวกับเครื่องปรุงประกอบอาหารเป็นส่วนมาก เช่น ไข่เค็มไชยา น้ำปลาทำจากปลาสร้อยของบางเลน(นครปฐม)/บ้านกร่าง(พิษณุโลก), เค็มบักนัดอุบลฯ, กล้วยตากพิษณุโลก/กำแพงเพชร, ปลากุเลาเค็มตากใบ นราธิวาส, ฝอยทองฉะเชิงเทรา, น้ำบูดูสายบุรี, เค็กลำภูรา ตรัง, น้ำพริกของถิ่นต่างๆ ..... ซึ่งล้วนเป็นของดีของอร่อยทั้งนั้น
ที่จริงแล้วก็มีของดีอีกมากมายที่ซ่อนอยู่ในหลายหมู่บ้าน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 92 เมื่อ 19 ก.ค. 23, 19:18
|
|
ที่ได้เล่ามานั้น กิจกรรมเกือบทั้งหมดดูจะจัดอยู่ในประเภทวิสาหกิจชุมชน เข้าข่ายของการเป็นผู้ประกอบการ เพียงแต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในลักษณะขนาดจิ๋ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 93 เมื่อ 20 ก.ค. 23, 19:14
|
|
ผู้ประกอบการขนาดจิ๋วน่าจะพบได้ในเกือบจะทุกหมู่บ้าน มีทั้งที่ทำผลิตภัณฑ์ส่งขายกระจายอยู่ภายในเขตตำบลของตน ที่วางขายข้ามพื้นที่ไปในตำบลอื่นๆ ที่กระจายข้ามอำเภอสู่ระดับพื้นที่ของจังหวัดก็มี และก็มีที่ข้ามจังหวัดไปไกลๆ กิจกรรมเหล่านี้มีทั้งในลักษณะที่เป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนและหัตถกรรมครัวเรือน และก็มีผู้ประกอบการในอีกลักษณะหนึ่ง จะเป็นประเภทรับเหมางาน
กิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆน่าจะพอจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท คือ พวกที่อยู่ในตลาดเฉพาะกลุ่ม ก็มีทั้งเฉพาะถิ่นและในวงกว้าง พวกที่อยู่ในตลาดตามฤดูกาล พวกนี้มีมาก และพวกตลาดที่ต้องใช้ทักษะและฝีมือเป็นการเฉพาะและพิเศษ พวกนี้จะเป็นกลุ่มงานที่ใช้เวลาในการทำงานแต่ละชิ้นงาน ดูเป็นภาพที่ดีในเชิงของเศรษฐกิจระดับรากหญ้า แต่ในภาพของความเป็นจริง มันเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ค่อยจะมีที่เกิดใหม่ มีแต่จะล้มหายไป เพียงแต่การเกิดใหม่กับการล้มอยู่ในระดับที่พอจะมีความสมดุลย์กันอยู่บ้าง แม้จะใช้ช่วงเวลานานสักหน่อย ทั้งนี้ ที่เกิดใหม่นั้นก็มักจะเป็นกิจกรรมในลักษณะหรือรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม ก็เป็นภาพที่บ่งชี้ว่ามีลักษณะของการ 'สู้ตลอด' ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นใด เช่นกัน ก็เป็นภาพที่บ่งบอกว่ามันมีภูมิปัญญาท้องถิ่นแอบแฝงอยู่มากมายในผู้คนที่เราเรียกว่าชาวบ้าน ซึ่งภูมิปัญญาที่แฝงอยู่ในตัวผู้คนเหล่านั้นได้แสดงออกมาทางตรรกะความคิดต่างๆในกิจกรรมที่สร้างสรรค์ขึ้นมา ก็เป็นประเด็นในการพุดคุยสนทนากับชาวบ้านที่ทำให้มีความสนุกเพลิดเพลินและได้เรียนรู้เรื่องราวนอกตำรามากมาย ฟังจากเขาแล้วทำความเข้าใจ(ในใจ)ให้ถ่องแท้ด้วยความรู้ทางตำราของเรา ก็จะเข้าใจในความเหมือนหรือไม่เหมือนของตรรกะต่างๆของเขาและเรา ระหว่างความเป็นไปตามธรรมชาติกับความเป็นไปตามความรู้ที่เราถูกครอบมา...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 94 เมื่อ 21 ก.ค. 23, 18:46
|
|
ตัวอย่างหนึ่งที่ได้เข้าไปยุ่มย่ามและให้ความเห็น ทำให้ได้เข้าใจในเรื่องราวและประเด็นที่เป็นข้อจำกัด/ปัญหาในด้านการเข้าสู่การเป็นผู้ประกอบการในระบบการค้าที่เราคุ้นกัน
ก็มีแม่บ้านกลุ่มหนึ่งประมาณ 10 คน ร่วมกันลงทุนทำน้ำพริกตาแดงใส่กระปุกขาย เป็นการนัดรวมตัวกันเพื่อทำการผลิตสัปดาห์ละครั้ง บังเอิญได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน ทำความรู้จัก และได้นั่งสนทนาด้วย ก็ทราบว่าขายดีและผลิตไม่ทัน ต้นเหตุหลักๆที่พบก็คือ เป็นเพราะความพิถีพิถันในการผลิต จึงใช้เวลาในการจัดการกับแต่ละส่วนประกอบ จะปรับให้เร็วขึ้นก็พอได้อยู่ แต่คุณภาพก็จะลดลง และก็ไม่อยากจะถูกต่อว่า กระบวนการผลิตก็มีการคั่วพริกแห้งให้หอม แล้วตำให้ละเอียด การเคี่ยวปลาร้าในกระทะจนสุกและแห้งพอดีๆ การเผาหัวหอมให้สุกทั่วทั้งหัว ซึ่งใช้วิธีหมกในขี้เถ้าร้อนๆใต้เตาไฟ ปอกเปลือกให้สะอาด เพื่อใส่ครกรวมกับเครื่องปรุงอื่นแล้วโขลกให้ละเอียด ก็จะได้น้ำพริกตาแดงที่มีเนื้อละเอียดยิบ มีความหอม มีรสเผ็ดไม่มาก มีความฉ่ำและมีความนุ่มเนียนคล้ายกะปิคลองโคลน
ได้คุย ได้สอบถามในรายละเอียดของแต่ละขั้นตอนการผลิตแล้วก็ได้พบว่า เพียงเพิ่มกระทะขนาดใหญ่กว่าเดิม 1 ใบ เพิ่มหัวเตาแกส 1 หัว และข้อต่อสามทางสำหรับสายยางท่อแกส ก็น่าจะพอที่จะทำให้เวลาที่ใช้ในการผลิตสั้นลง จะควบคุมความสม่ำเสมอของคุณภาพได้คงที่มากขึ้น และจะช่วยเพิ่มปริมาณการผลิตได้พอสมควร ก็ดูจะเป็นการปรับปรุงที่ง่ายๆ ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เงินที่เป็นรายได้สะสมใว้ก็มีพอที่จะใช้จ่ายได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 95 เมื่อ 21 ก.ค. 23, 20:01
|
|
ก็ได้พบว่า มันไม่ใช่เรื่องของการไม่มีเงิน แต่มันเป็นเรื่องของข้อจำกัดทางด้านเวลา และการเข้าถึงสิ่งที่ต้องการ
ในเรื่องของเวลา ก็คือแต่ละคนต่างก็มีภาระ เรื่องบ้านบ้าง เรื่องลูกบ้าง เรื่องต้องช่วยงานสามีในนาบ้าง ในสวนบ้าง เรื่องนัดเอาแรงบ้าง ใช้แรงบ้าง (การลงแขก) สารพัดเรื่องที่เราๆในสังคมชาวเมืองแบบเราๆไม่คุ้นเคยและอาจจะไม่เข้าใจในความเป็นสาระสำคัญของมัน สรุปง่ายๆก็คือไม่มีเวลาไปใช้เวลาเสาะหาซื้อในเมืองหรือในพื้นที่อื่นใด
ในเรื่องของการเข้าถึงสิ่งที่ต้องการ เราชาวเมืองก็ไม่ต่างกับชาวบ้านมากนัก เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมายที่ทำให้น่าจะดูเป็นเรื่องที่ไม่เห็นจะยาก ลองดูกรณีเช่น ถ้าเราต้องการจะซื้อเมล็ดกาแฟที่ยังไม่คั่วหรือที่คั่วแล้วในกรุงเทพฯเพื่อเอามาบดชงเป็นกาแฟถุงแบบโบราณ จะต้องไปหาซื้อที่ใด หรือจะไปหาซื้อหมูตั้งได้ที่ใหน เพื่อเอามากินเป็นกับข้าวต้มหรือเอามาทำเป็นใส้ปอเปี๊ยะสด .... ของชาวบ้านแย่กว่าเรามากทั้งในเรื่องของการเดินทาง การขนส่ง ชนิด ขนาด คุณภาพ ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 96 เมื่อ 22 ก.ค. 23, 19:16
|
|
เมื่อเห็นว่าเป็นของดี มีตลาดพอที่จะขยาย น่าจะสามารถจะทำเป็นธุรกิจที่เป็นกิจจะลักษณะได้ ก็เลยให้คำแนะนำเท่าที่จะมีความรู้ ให้เริ่มโดย้ให้จัดมีการจดบันทึกรายรับ/รายจ่าย ก็ถึงขั้นที่ต้องบอกว่าจะต้องทำเช่นใด ให้ใช้สมุดนักเรียน แบ่งหน้าซ้ายขวา หน้าหนึ่งให้เป็นรายรับอีกหน้าหนึ่งให้ป็นรายจ่าย เพื่อจะได้มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของทุน/กำไรเฉลี่ยในแต่ละช่วงเวลา เพื่อจะได้ใช้ตัดสินใจในการจัดการเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้อง คุยกันไปคุยกันมาก็เลยได้รู้ว่ามีข้อจำกัดค่อนข้างมากในการจะขยายกิจการ อาทิ จะต้องมีคนที่ทำงานในลักษณะงานประจำ ซึ่งหมายถึงคนเหล่านั้นจะต้องได้รับค่าตอบแทน ซึ่งค่าตอบแทนก็จะต้องใกล้เคียงกับรายได้แรงงานมาตรฐาน แต่เงินหมุนเวียนในกิจกรรมที่ทำกันอยู่นั้นยังอยู่ในวงเงินน้อยกว่าหลักหมื่น ทรัพย์สินที่ใช้ในกระบวนการผลิตก็มีมูลค่าน้อยมาก (มีกระทะสามใบ หัวเตาแกส 2 หัว มีครกหิน ...) มีเพียงตู้อบที่ใช้แกสใบเดียวที่มีราคาในหลักหมื่นบาท ซึ่งเป็นของที่ได้รับการสนับสนุนจากงบอะไรสักอย่างหนึ่ง ด้วยสภาพเช่นนี้ โอกาสในการเข้าถึงสถาบันการเงินเพื่อการขยายกิจการเป็นศูนย์ คงนึกออก และคงไม่ต้องขยายความต่อไป
ปัจจุบันนี้ กิจกรรมของแม่บ้านกลุ่มนี้ก็ยังอยู่ แต่ละคนก็มีความสุขดี ทุกสัปดาห์ก็ได้มาพบกัน ตั้งวงทำงานไป เม้าท์กันไป กลุ่มเองก็มีรายได้สะสมมากพอที่จะแบ่งปันกันเอาไปใช้ในลักษณะเป็นเงินก้อนเมื่อต้องการ (แชรฺแบบไม่มีดอก) ทั้งมวลก็คือสภาพของการมีกิน มีใช้ อยู่ดี กินดี พอเพียง เพียงพอ สอดคล้องกลมกลืนไปตามสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของพื้นถิ่นที่อยู่อาศัย เป็นสภาพของความสุขและความสงบสุขของลักษณะการ living in harmony
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 97 เมื่อ 23 ก.ค. 23, 17:46
|
|
'กรรมการ' ตัด ร.เรือ ออกไปตัวหนึ่งก็จะกลายเป็น 'กรมการ'  มี ร.เรือ 2 ตัว เป็นเรื่องเกี่ยวกับคณะบุคคลกลุ่มเล็กที่ใช้กำลังสมองและกำลังใจในการดำเนินการ เหลือ ร.เรือ ตัวเดียว กลายเป็นเรื่องเกี่ยวกับคณะบุคคลกลุ่มใหญ่ที่มีความพร้อมเรื่องของอุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆเพื่อการทำงานงาน ไม่ไหวครับ ต้องหลบฝนอีกแล้ว 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 98 เมื่อ 24 ก.ค. 23, 19:25
|
|
'คณะกรรมการ' เป็นเครื่องมือที่ใช้กันในระบบการบริหาร/จัดการเพื่อแสดงออกถึงความโปร่งใสและความเป็นกลาง ทั้งในด้านแนวคิดและด้านปฏิบัติการ ก็เป็นเรื่องที่มีอยู่ค่อนข้างมากและหลากหลายในระดับหมู่บ้าน/ชุมชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ต่างในส่วนกลาง ที่เราได้ยินคุ้นหูกันจากข่าวสารต่างๆ
ที่จะต่างกันอยู่บ้างก็คือ ของหมู่บ้าน/ชุมชน มีคณะกรรมการจำนวนค่อนช้างมากที่ไม่มีเบี้ยประชุมให้กับกรรมการในวาระการประชุมและวาระงานต่างๆ ซึ่งเป็นผลดี ทำให้กรรมการมีอิสระในการแสดงความคิดเห็นโดยไม่ต้องคำนึงถึงรายได้ที่อาจจะต้องสูญไป (เนื่องจากถูกขับออกจากคณะ) หากแต่จะยังได้รับความนิยมในหมู่ชาวบ้านเสียอีกว่ากล้าพูด/กล้าแสดงความเห็น และอีกประการหนึ่งคือ จะต้องเป็นผู้ที่ทำงานจริงๆ ลงแรงจริง มิใช่เอาแต่พูด เพราะกรรมการทุกคนในเรื่องใดก็ตาม ไม่ว่าจะเสนอตนเองหรือได้รับการเสนอชื่อ ล้วนจะต้องได้รับความเห็นชอบจากชาวบ้านในที่ประชุมประชาคม โดยนัยก็คือเป็นคณะกรรมการที่ได้รับมอบหมายโดยเสียงส่วนมาก และมี commitment ในวาระงานที่ชัดเจน
ก็มีกรรมการที่ต้องจัดตั้งขึ้นตามกฎระเบียบของทางราชการ กรรมการเหล่านี้มีการประชุมที่มีการกำหนดชัดเจนทั้งวาระและช่วงเวลาของการประชุม เป็นกรรมการที่ดูจะได้รับเบี้ยประชุม ทำให้เกิดภาพที่ไม่ต่างไปจากที่มีอยู่ทั่วไปในส่วนกลาง เช่นกรณีเซ็นชื่อแล้วออกไปทำธุระอื่นของตน หรือให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน หากแต่ของชาวบ้านจะค่อนข้างดีกว่าตรงที่ กรรมการตัวจริงใช้วิธีแบ่งเบี้ยประชุมให้กับผู้แทนที่เข้าประชุม มิได้รับเบี้ยแล้วเก็บไว้คนเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 99 เมื่อ 25 ก.ค. 23, 18:27
|
|
คณะกรรมการที่ชาวบ้านตั้งขึ้นมา ค่อนข้างจะมีความซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบสูง และทำงานจริงจัง ในมุมหนึ่ง โดยนัย คณะกรรมการของชาวบ้านก็คือฝ่ายเลขาฯ(ฝ่าย Secretariat)ของงานเรื่องหนึ่งใดของชุมชน มิใช่เรื่องในนิยมของการเอาเท่ห์ อวดอ้างและแสวงเงิน
ขยายความนิดเดียวว่า เมื่อมีเหตุให้ต้องตั้งคณะกรรการหนึ่งใดขึ้นมา มักจะนิยมให้ความสำคัญกับการได้รับหน้าที่เป็นประธาน ในมุมมองว่ามีอำนาจและการสั่งการในเรื่องราวต่างๆ หลายคนพอใจในหน้าที่เพียงการเป็นกรรมการ เป็นพระอันดับที่เกือบจะไม่ต้องมีความรับผิดชอบใดๆนอกจากการเข้าร่วมประชุมเพื่อแสดงตนเพื่อให้ครบองค์ประชุม น้อยคนที่อยากจะอยู่ในตำแหน่งเลขานุการของคณะกรรมการ ด้วยเห็นว่าเป็นตำแหน่งเบ็ มีงานมาก ต้องทำงานมาก ในความเป็นจริงแล้ว ฝ่ายเลขาฯมีความสำคัญอย่างมากเลยทีเดียว เพราะเป็นฝ่ายที่ทำหน้าที่บันทึกการประชุม ประมวลข้อมูลและเรื่องราว วิเคราะห์ และนำเสนอแนวคิดเพื่อให้คณะกรรมการพิจารณา/ตัดสินใจ เรื่องราวต่างๆจึงอาจจะถูกโน้มน้าวให้ไปทางใดก็ได้ เมื่อคณะกรรมการเห็นด้วย ประธานก็เกือบจะหนีไม่พ้นที่จะต้องรับรองความเห็นหรือการตัดสินใจนั้นๆ ความรับผิดหรือรับชอบจึงไปตกอยู่ที่ประธานเป็นหลัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 100 เมื่อ 25 ก.ค. 23, 19:18
|
|
คงจะพอนึกออกว่าฝ่ายเลขาฯทำอะไรได้มากน้อยเพียงใด ในภาพที่ไม่ยุ่งยากนัก ก็ลองนึกถึงการประชุมหนึ่งที่มีการถกความเห็นกันหลากหลาย ซึ่งย่อมจะต้องมีคำเปรียบเปรย สำนวนภาษา มีการใช้ภาษาอื่นเข้ามาปนเพื่อความหมายหนึ่งใด .... ฝ่ายเลขาฯที่ทำหน้าที่บันทึกการประชุม สามารถทำหน้าที่ได้ใน 2 ลักษณะ คือ นำเสนอรายงานการประชุมแบบถอดเทปเป็นตัวอักษรทุกคำพูด หรือนำเสนอรายงานการประชุมแบบเป็นเนื้อหาสรุปเรื่องราว ซึ่งเป็นลักษณะของความเห็น เมื่อต้องมีการรับรองรายงานการประชุม ก็เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่า ไม่ค่อยจะมีการแก้ไขในเรื่องของสาระ เอาเพียงเท่าที่พอที่จะเข้าใจได้ในเรื่องราวก็พอ ก็น่าจะพอนำให้เห็นภาพว่าฝ่ายเลขาฯสามารถทำอะไรได้มากน้อยเพียงใด
เป็นประสบการณ์ที่พบมาในการประชุมภายในประเทศ ระหว่างรัฐ องค์กรพหุภาคี และองค์กรนานาชาติ ซึ่งการแก้ไขให้มีความถูกต้องเป็นไปตามกระบวนความที่เป็นประโยชน์แก่เรานั้น สามารถทำได้ทั้งในห้องประชุม และการเข้าไปยุ่มย่ามตรวจทานในห้องฝ่ายเลขาฯก่อนที่จะพิมพ์แจกในห้องประชุม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 101 เมื่อ 26 ก.ค. 23, 19:03
|
|
การลงแขก เรื่องนี้อคงจะไม่ต้องขยายความใดๆ ดูผิวเผินก็จะเป็นแต่เพียงเรื่องของการมารวมกันเป็นกลุ่มเพื่อช่วยกันทำงานหนึ่งใดให้ลุล่วงไป การลงแขกจัดเป็นประเพณีของหมู่ชนชาวไทยทั่วทุกภูมิภาค เป็นภาพที่แสดงถึงความเป็นมิตรไมตรี ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกันในหมู่ชาวบ้าน แต่ดั้งเดิม ภาพก็เป็นเช่นนั้น จนกระทั่งเข้าสู่ยุคแบ่งแยกพวกมึงพวกกูเมื่อประมาณเกือบสองทศวรรษที่แล้ว สภาพก็เข้าสู่การเปลี่ยนไปเป็นมุมมองในตรรกะ nothing is for granted คือ ทุกการกระทำมิใช่เป็นของฟรี การกระทำนั้นๆมีราคาหรือมีคุณค่า แถมยังเพิ่มเรื่องของการได้กับเสียไปในเชิงของกำไรและขาดทุนเข้าไปอีกด้วย คำว่า'เอาแรง'และ'ใช้แรง' จากเดิมที่เกือบจะไม่มีการคำนึงถึงเรื่องของผลตอบแทน กลายเป็นเรื่องที่ต้องมีการประเมินถึงความจำเป็นหรือความต้องการที่เหมาะสมในแต่ละรอบปี จะไปให้แรงมากน้อยเพียงใดเพื่อที่จะได้แรงมากพอสำหรับงานของตนในรอบปีนั้นๆ ทั้งมวลเป็นเรื่องในวงรอบของแต่ละปี ในกรณีที่ได้แรงไม่พอตามที่ประเมินไว้ ก็ต้องไปหาคนมาเติม หากแต่จะอยู่ในลักษณะของการจ้างแรงงาน
ระบบลงแขกยังคงมีความนิยมใช้กันในทุกๆเรื่องที่ต้องใช้คนหลายคน โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นการทำงานรูปแบบเดียวกัน/เหมือนกัน (เช่น กรณีการสร้างบ้าน งานศพ งานแต่ง ขุดบ่อน้ำ ....) แต่ก็มีระบบลงแขกที่กำลังหายไปอย่างอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำนา โดยเฉพาะในด้านของการเกี่ยวข้าว เพราะการใช้รถเกี่ยวข้าวมีความสะดวกและประหยัดกว่ามาก สำหรับในด้านการปลูกข้าวนั้น แม้จะยังคงต้องใช้คนในการดำนา แต่ก็เริ่มมีการใช้เครื่องจักรกลเข้ามาทดแทนมากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 102 เมื่อ 26 ก.ค. 23, 20:14
|
|
การลงแขกในปัจจุบันนี้ดูจะเป็นกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ตอนเช้า ทุกคนมารวมกัน ต่างคนต่างห่อข้าวมื้อกลางวันของตัวเองมาด้วย มื้อกลางวัน ทุกคนจะมานั่งกินข้าวร่วมกัน เอากับข้าวที่ห่อมาคนละเล็กละน้อยมาแกะวางรวมกันเป็นสำรับกับข้าวกลาง กับข้าวตามปกติของแต่ละคนมักจะเป็นน้ำพริกแบบแห้งๆ กินกับผักแนม อาจจะมีเนื้อสัตว์พวกปลาแห้งหรือย่างอยู่บ้าง เจ้าของงานก็มักจะดูแลด้วยการจัดน้ำดื่มหรือน้ำเย็นให้ เรื่องใหญ่จะมาตกอยู่ในช่วงเย็นก่อนกลับบ้านซึ่งได้เล่าผ่านมาแล้ว แต่ก่อนนั้นกับแกล้มหรือของว่างแก้หิวก่อนกลับไปหุงหาอาหารเย็นต่อที่บ้าน ก็จะเป็นพวกของที่หาได้ตามห้วย/หนอง ที่เป็นของน้ำก็อยู่ในใหตามโคนต้นไม้ ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายมากนัก แต่ในปัจจุบันนี้ ของแนมน้ำเหล่านี้กลายเป็นของที่พึงต้องดูดี (ที่มิใช่มะขามจิ้มเกลือ) อาจจะเป็นลาบหรือยำอะไรสักอย่าง ยิ่งจำนวนคนมาก การสนทนาหลังความเหนื่อยก็นานมากขึ้น ปริมาณของกินแก้เหนื่อยก็เลยมีมากขึ้นตามไปด้วย (อาจนึกถึงภาพการละเล่นหลังเลิกงานของชาวบ้านภาคกลางก็ได้ _เพลงฉ่อย เพลงอีแซว...)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 103 เมื่อ 27 ก.ค. 23, 20:02
|
|
คำว่า 'บ้านนอก' 'โง่' 'ล้าหลัง' 'จน' 'หลอกง่าย' 'ใช้ง่าย' 'งมงาย' 'ขาดความรู้' และอื่นๆที่เป็นคำในลักษณะ hashtag ที่มักจะปรากฎอยู่ในวลีหนึ่งใดในเรื่องราวที่เกี่ยวกับคำว่า'ชาวบ้าน'นั้น ก็อาจจะมองในมุมกลับในอีกมุมหนึ่งได้เช่นกันว่า อาจจะเป็นตัวเรา(คนเมือง)เองนั่นแหละที่ควรจะมี hashtag เหล่านั้นติดอยู่ในกระบวนความรู้และความคิดของเราที่เผยออกไป เพราะในสังคมหนึ่งๆ ในสิ่งแวดล้อมหนึ่งๆ ในศาสตร์หนึ่งๆ ล้วนมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องของตรรกะพื้นฐานทั้งในด้านที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมที่ทำให้ปรากฎเป็นภาพที่เราได้เห็นและได้สัมผัส การเปรียบเทียบกันโดยใช้มาตรฐานของเรา(คนเมือง)เป็นที่ตั้ง ซึ่งดูจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่อง availability เป็นหลัก จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องนัก การใช้การเปรียบเทียบกันด้วยดัชนีความสุข (happiness index) อาจจะเป็นวิธีที่น่าจะมีความเหมาะสมมากกว่า
เรื่องราวและภาพที่ปรากฎตามสื่อต่างๆที่นักท่องเที่ยวต่างชาติได้ให้ความเห็นและเผยแพร่ออกไปในสื่อโซเชียลต่างๆ ล้วนแสดงถึงภาพของความเฉลียวฉลาด(intelligence) ของชา่วบ้าน มิใช่ในทางความโง่ แสดงถึงความความเคารพในประเพณีวัฒนธรรม (respectful) ของชาวบ้าน มิใช่ในทางของความโง่เขลา/งมงาย และแสดงถึงความทันสมัย (modern) มิใช่ตกเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมถึงการแสดงถึงเชิงภูมิปัญญาบางอย่างที่น่าทึ่งของชาวบ้าน
ดูๆไป บางทีก็คิดว่าสังคมเมืองกับสังคมชนบทนั้น อยู่ร่วมกันในลักษณะคล้ายๆกับระบบ apartheid กลายๆ (ขอยืมคำนี้มาใช้) ที่แบ่งกันด้วยฐานะทางเศรษฐกิจ คำว่านายทุนกลายเป็นคำที่ชาวบ้านดูจะนิยมใช้กับชาวเมืองใหญ่ที่ไปอยู่ในพื้นที่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 104 เมื่อ 28 ก.ค. 23, 18:24
|
|
ก็เป็นภาพภายในของสังคมที่ผู้คนภายนอกเห็นว่าดูเรียบง่าย เป็นมุมมองของผมได้เห็นจากการที่ได้มีโอกาสคลุกคลีเป็นระยะๆกับสังคมแบบชาวบ้านมานานหลายสิบปี ภาพที่ได้เล่ามานั้นจะมีรายละเอียดลึกๆไม่เหมือนกันในภูมิภาคต่างๆ แต่ในภาพรวมๆจะใกล้เคียงกัน
ก็มาถึงเรื่องของภาพต่างๆที่เกิดขึ้นกับฝั่งคนที่ไปอยู่อาศัย/ไปใช้ชีวิตในสังคมที่เรียบง่าย หรือไปใช้ชีวิตเป็นบางช่วงเวลาในพื้นที่ๆเห็นว่าเป็นสังคมที่เรียบง่าย ก็มีทั้งในลักษณะที่เป็นการย้ายที่อยู่อาศัย ย้ายถิ่นทำมาหากิน หรือในลักษณะที่เป็นบ้านที่สองเพื่อการพักผ่อน
ในภาพหลวมๆ คนที่จะย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยดูจะมีอยู่ 3 พวก คือพวกที่มีพื้นหลังเคยทำงานหรือประจำการอยู่ในพื้นที่นั้นๆ พวกนี้โดยส่วนมากดูจะย้ายบนเหตุผลเพราะว่าชอบความสงบเรียบร้อย (สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและทางสังคม) พวกที่สองเป็นพวกที่ทำอาชีพทางการค้าขาย พวกนี้ย้ายบนเหตุผลที่เกี่ยวกับเรื่องของการทำมาหากิน (เศรษฐกิจ) และพวกที่ย้ายที่อยู่ตามคู่สมรส (ครอบครัว)
ก็จะขอเล่าความเฉพาะพวกที่ไปอยู่ด้วยเหตุผลเพราะว่าชอบสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติและสภาพทางสังคมของพื้นที่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|