เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5]
  พิมพ์  
อ่าน: 18838 บทสุดท้าย นิยายชีวิต(จริง)ของ Brittany Maynard
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 04 มี.ค. 19, 15:30

           บางเว็บกล่าวว่า การได้ยินและประสาทสัมผัสจะเป็นส่วนรับรู้ความรู้สึกที่เสียไปหลังสุด
หากเป็นไปตามนี้ ช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต, การเปิดเสียงที่ผู้ซึ่งกำลังจะจากไปคุ้นเคยชินที่จะชักนำ
จิตของเขาให้สงบและนึกถึงภพที่ดี เช่น เสียงสวดมนต์ น่าจะเป็นสิ่งที่พึงกระทำ สำหรับในกรณีการุณยฆาต
การที่ผป.ตั้งจิตไว้ไม่ขุ่นข้องแล้วเปิดเสียงนี้ฟังตั้งแต่ก่อนเริ่มต้นขบวนการน่าจะพอช่วยเหนี่ยวนำจิตของ
ผป.ที่แม้จะง่วงงุนจวนหมดสติได้บ้างโดยเฉพาะหากเป็นจิตที่ฝึกมาแล้ว

ส่วนลิ้งค์ข้างล่างนี้เป็นบทความ วันที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต เมื่อ
วันพฤหัสบดีที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๑

https://www.silpa-mag.com/this-day-in-history/article_3007

           (ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔) ทรงเจริญกรรมฐาน ซึ่งกล่าวกันว่า พระองค์ทรงกำหนดอานาปานัสสติ คือ
การกำหนดลมหายใจเข้าออก ประกอบด้วยภาวนาบทพุทโธกำกับ จึงทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดในสมัยนั้น ได้ยิน
แต่เสียงว่า พุท-โธ, พุท-โธ, พุท-โธ ฯ แล้วพระสุรเสียงค่อยแผ่วเบาลงๆ ได้ยินแต่เพียงคำว่า โธ-โธ-โธ ๆ
แล้วเสด็จสวรรคตด้วยพระอาการอันสงบ


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 27 มิ.ย. 24, 14:48

        
          บางเว็บกล่าวว่า การได้ยินและประสาทสัมผัสจะเป็นส่วนรับรู้ความรู้สึกที่เสียไปหลังสุด

        เว็บบีบีซีไทย 26 มิถุนายน 2024 มีรายงาน  -  เกิดอะไรขึ้นกับสมองมนุษย์ขณะที่เราตาย ?

https://www.bbc.com/thai/articles/cm5528k5vnmo

           ดร.จิโม บอร์จิจิน นักประสาทวิทยา รู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอรู้ว่า เรา "แทบจะ(ไม่รู้)อะไรเลย" เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองตอนเราเสียชีวิต
แม้ว่า "การตายจะเป็นส่วนสำคัญของชีวิต"...
           "เราได้ทำการทดลองในหนูและเฝ้าดูการหลั่งสารเคมีประสาทในสมองของพวกมันหลังการผ่าตัด", หนูสองตัวตายลง นั่นทำให้เธอได้สังเกต
กระบวนการตายของสมองของพวกหนู  
           "หนูตัวหนึ่งหลั่งเซโรโทนินอย่างมากมายออกมา เป็นไปได้ไหมว่าหนูตัวนั้นกำลังเจอภาพหลอน ?" "เซโรโทนินเชื่อมโยงกับภาพหลอน"
            ตั้งแต่นั้นมา ดร.บอร์จิจิน ซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์ด้านสรีรวิทยาเชิงโมเลกุลและการบูรณาการและประสาทวิทยาที่มหาวิทยาลัยมิชิแกน
ได้อุทิศตัวเองให้กับการศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นในสมองเมื่อเรากำลังจะตาย

             "ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์คือ สมองดูเหมือนจะไม่ทำงานเพราะไม่มีการตอบสนอง.."
             "ทุกสัญญาณที่มองเห็นจากภายนอกบ่งบอกว่าสมองไม่ทำงานอีกต่อไป หรืออย่างน้อยสมองก็ทำงานน้อยลง"
             แต่ งานวิจัยจากทีมของเธอแสดงให้เห็นสิ่งที่แตกต่างออกไป


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 27 มิ.ย. 24, 14:56

สมองในภาวะ "ไฮเปอร์ไดร์ฟ"

         ในงานศึกษาปี 2013 เกี่ยวกับหนู พวกเขาสังเกตเห็นกิจกรรมที่รุนแรงในสารสื่อประสาทหลายชนิดหลังจากหัวใจของสัตว์หยุดเต้น
         “เซโรโทนินเพิ่มขึ้น 60 เท่า และโดปามีนซึ่งเป็นสารเคมีที่ทำให้รู้สึกดี เพิ่มขึ้นมหาศาล มากถึง 40 ถึง 60 เท่า “และนอร์เอพิเนฟริน
ซึ่งทำให้คุณรู้สึกตื่นตัวมาก ๆ เพิ่มขึ้นประมาณ 100 เท่า”  
         ในปี 2015 ทีมงานได้ตีพิมพ์การศึกษาอีกฉบับเกี่ยวกับสมองของหนูที่กำลังจะตาย
         “ในทั้งสองกรณี สัตว์ 100% แสดงให้เห็นว่ามีการกระตุ้นสมองที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก” เธอกล่าว
         “สมองอยู่ในสภาวะไฮเปอร์ไดร์ฟ [ทำงานสูงเกินปกติ]”

คลื่นแกมมา (gamma waves)

          ในปี 2023 พวกเขาได้ตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่เน้นไปที่ผู้ป่วยสี่รายที่อยู่ในอาการโคม่า ซึ่งได้รับการช่วยชีวิตด้วยเครื่องช่วยหายใจ
และถูกติดตั้งเครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography) เพื่อตรวจสอบกิจกรรมของสมอง
           ผู้ป่วยทั้งสี่คนกำลังจะเสียชีวิต แพทย์และครอบครัวมารวมตัวกันและ "..ตัดสินใจให้พวกเขาจากไป" ...เครื่องช่วยหายใจถูกปิดลง
           นักวิจัยพบว่า สมองของผู้ป่วยสองรายมีการทำงานสูงขึ้น บ่งชี้ถึงการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการคิด
           คลื่นแกมมา ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่เร็วที่สุด ยังถูกตรวจพบด้วย คลื่นแกมมาเกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนและความทรงจำ
           สมองกลีบขมับ หรือสมองส่วนที่เรียกว่าเทมโพรัล (temporal lobes) ทั้งสองข้าง ของผู้ป่วยรายหนึ่งมีการทำงานสูงขึ้น
           ดร.บอร์จิจินชี้ว่า อธิบายว่าส่วนสมองที่อยู่ในสมองกลีบขมับด้านขวา (right temporoparietal junction) มีความสำคัญมากต่อ
ความเห็นอกเห็นใจ

            จากข้อมูลอ้างอิง อธิบายว่า จุดเชื่อมต่อระหว่างกลีบขมับและกลีบกระหม่อม (temporoparietal junction หรือ TPJ) เป็น
ส่วนเยื้อหุ้มสมองหรือคอร์เทกซ์ (cortex) ที่มีการเชื่อมโยงหลายโหมด ซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละซีกของสมอง ณ จุดที่กลีบกระหม่อมและกลีบขมับมาตัดกัน
            "ผู้ป่วยหลายคนที่รอดชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นและมีประสบการณ์เฉียดตาย (NDEs) บอกว่าประสบการณ์นั้นทำให้พวกเขากลายเป็น
คนที่ดีขึ้น และสามารถมีความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นได้"
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 27 มิ.ย. 24, 15:14

ประสบการณ์เฉียดตาย

           บางคนที่ผ่านประสบการณ์ใกล้ตาย (NDEs) บอกว่า  พวกเขาเห็นชีวิตของตนเองแว็บผ่านตาไปหรือจำเหตุการณ์สำคัญได้
           หลายคนบอกว่า เห็นแสงสว่างจ้า และบางคนอธิบายว่ามีประสบการณ์นอกกาย (out-of-body experiences) และ
มองเห็นเหตุการณ์จากมุมมองด้านบน
           "อย่างน้อย 20%-25% ของผู้รอดชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นรายงานว่าเห็นแสงสีขาว เห็นบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งนั่นแสดงให้เห็นว่า
มีการกระตุ้นเปลือกสมองส่วนการมองเห็น (visual cortex)"
           ในกรณีของผู้ป่วยสองราย ที่มีการสังเกตพบการทำงานของสมองสูงหลังจากปิดเครื่องช่วยหายใจ นักวิจัยกล่าวว่า เปลือกสมองส่วนการมองเห็น
ของพวกเขา (ซึ่งสนับสนุนการมองเห็นที่มีสติ) แสดงการถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง "ซึ่งอาจสัมพันธ์กับประสบการณ์การมองเห็นนี้"

ความเข้าใจใหม่

           ดร.บอร์จิจิน ยอมรับว่า การศึกษาของเธอในมนุษย์ยังมีขนาดเล็กมาก และจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม
           หลังจากทำการวิจัยในประเด็นนี้มากกว่า 10 ปี มีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนสำหรับเธอ: "ฉันคิดว่าแทนที่สมองจะทำงานน้อยลง สมองกลับทำงานมากขึ้น
ในระหว่างที่หัวใจหยุดเต้น"
            แต่เกิดอะไรขึ้นกับสมองตอนที่มันรู้ว่ามันไม่ได้รับออกซิเจน ?
            เธอกล่าวถึงการจำศีลและบอกว่ามีสมมติฐานว่า ในฐานะสัตว์ซึ่งรวมถึงหนูและมนุษย์ พวกเรามีกลไกภายในเพื่อรับมือกับการขาดออกซิเจน
            "จนถึงตอนนี้ สมองถูกมองว่าเป็นผู้ยืนมองอย่างไร้เดียงสาเมื่อเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น หัวใจหยุด สมองก็แค่ตาย นั่นคือความคิดในปัจจุบัน"
            แต่เธอยืนยันว่า เราไม่รู้แน่ชัดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่ เธอเชื่อว่าสมองไม่ได้ยอมแพ้ง่าย ๆ มันลุกขึ้นมาต่อสู้
            "ภาวะการจำศีลเป็นตัวอย่างที่ดีมากที่ฉันเชื่อว่า [แสดงให้เห็นว่า] สมองมีความพร้อมด้วยกลไกในการอยู่รอดจากความยากลำบากนี้
หรือการขาดออกซิเจน แต่สิ่งนั้นยังต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม"

Much more to discover มีอีกหลายอย่างให้ค้นพบ

             ดร.บอร์จิจินพิจารณาว่า สิ่งที่เธอและทีมของเธอค้นพบในการศึกษานั้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของยอดภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่
            "ฉันเชื่อว่า สมองมีกลไกภายในเพื่อรับมือกับภาวะขาดออกซิเจน (hypoxia) ซึ่งเรายังไม่เข้าใจ"
            "ดังนั้นเบื้องต้นเรารู้ว่าคนที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นมีประสบการณ์ที่น่าทึ่งและมีลักษณะเฉพาะ และข้อมูลของเราชี้ให้เห็นว่าประสบการณ์นั้น
เกิดจากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมในสมอง"
             "ตอนนี้คำถามคือ: ทำไมสมองที่กำลังจะตายถึงมีการทำงานของสมองที่เพิ่มขึ้น ?"
             "เราจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อเข้าใจ เพื่อศึกษา เพื่อวิจัย และค้นหาคำตอบ เพราะเราอาจกำลังวินิจฉัยการเสียชีวิตอย่างไม่ทันสมัย
สำหรับคนหลายล้านคน เนื่องจากเราไม่เข้าใจกลไกของการเสียชีวิต”


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 30 มิ.ย. 24, 11:27

วันนี้ บีบีซีไทย (เจ้าเก่า) นำเสนอ การุณยฆาตแบบคู่

         ทำไมคู่รักแสนสุขชาวดัตช์จึงเลือกจบชีวิตด้วย "การุณยฆาตแบบคู่"

https://www.bbc.com/thai/articles/c88694e5w54o

         แจน(70 ปี) และเอลส์(71 ปี) คู่สามีภรรยาแต่งงานกันมาเกือบ 50 ปี เมื่อต้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา พวกเขาเสียชีวิตพร้อมกัน
หลังจากได้รับการให้ยาทางการแพทย์ที่ทำให้เสียชีวิต สำหรับในเนเธอร์แลนด์ สิ่งนี้เรียกว่า "การุณยฆาตแบบคู่" (duo-euthanasia)
ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกกฎหมาย และในทุก ๆ ปี มีคู่รักชาวดัตช์มากขึ้นที่เลือกจบชีวิตด้วยวิธีนี้
         ในปี 1999 แจนประสบปัญหาปวดหลังอย่างรุนแรงจากการทำงานยกของหนักมากว่าสิบปี และเข้ารับการผ่าตัดที่หลังในปี 2003
แต่ อาการปวดหลังก็ไม่ดีขึ้น เขาหยุดการใช้ยาแก้ปวดขนานใหญ่และทำงานไม่ได้อีกต่อไป
         ส่วนเอลส์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น โรคสมองเสื่อม ในเดือน พ.ย. ปี 2022  
         แจนอธิบายกับครอบครัวของเขาว่า เขาไม่ได้ต้องการมีชีวิตยืนยาวเกินไปขณะที่ตัวเองยังมีข้อจำกัดทางร่างกาย และเป็นช่วงเวลานั้น
ที่คู่รักคู่นี้เข้าร่วมกับองค์กร NVVE องค์กรด้าน "สิทธิในการตาย" ของเนเธอร์แลนด์
         "ดังนั้น ด้วยความเจ็บปวดที่ผมมี และภาวะสมองเสื่อมของเอลส์ ผมคิดว่าเราต้องหยุดสิ่งนี้" ที่เขาหมายความถึง การหยุดมีชีวิต
         "อันนี้ดีมาก" เอลส์กล่าวขณะยืนอยู่พร้อมกับชี้ไปที่ร่างกายตัวเอง และบอกว่า "แต่นี่แย่มาก" โดยชี้ไปทางศีรษะของเธอเอง


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 30 มิ.ย. 24, 11:29

           ในเนเธอร์แลนด์ การการุณยฆาต (euthanasia) และการฆ่าตัวตายภายใต้การช่วยเหลือ (assisted suicide) เป็นเรื่องที่ถูกกฎหมาย
หากว่ามีการยื่นร้องขออย่างสมัครใจ และความทุกข์ทรมานของเขาหรือเธอ ทั้งทางร่างกายหรือจิตใจ ได้รับการประเมินจากแพทย์แล้วว่า
"ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป" และไม่มีแนวโน้มที่จะดีขึ้น
          คนทุกคนที่ร้องขอให้มีการฆ่าตัวตายภายใต้การช่วยเหลือ จะถูกประเมินจากแพทย์สองคน
          ในปี 2023 มีคนจำนวน 9,068 คน เสียชีวิตด้วยวิธีการุณยฆาตในเนเธอร์แลนด์ โดยถือเป็นสัดส่วน 5% ของผู้เสียชีวิตในปีนั้น
และเป็นการการุณยฆาตแบบคู่ 33 กรณี ซึ่งรวมเป็น 66 คน
           (อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งของเนเธอร์แลนด์และภรรยาเลือกที่จะเสียชีวิตด้วยกันเมื่อต้นปีนี้)

           "แพทย์จำนวนมากไม่อยากคิดถึงการทำการุณยฆาตผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมด้วยซ้ำ" ดร.โรสมาริน ฟาน บรูเคม แพทย์เฉพาะทาง
ด้านผู้สูงอายุและนักจริยธรรมเวชศาสตร์ สถาบันการแพทย์อีราสมุส ในเมืองรอตเทอร์ดาม กล่าว
          นี่คือสถานการณ์ที่แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปหรือหมอจีพีของแจนและเอลส์เผชิญ แพทย์จะประเมินข้อกำหนดทางกฎหมายสำหรับ
"ความทุกข์ทรมานที่ทนไม่ได้" ในผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมได้อย่างไร?
          ในกรณีที่คู่รักร้องขอการจบชีวิตพร้อมกัน แพทย์ต้องแน่ใจว่าคนใดคนหนึ่งไม่ได้ถูกชักจูงหรือได้รับอิทธิพลในการตัดสินใจ
จากอีกฝ่ายหนึ่ง
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8428


ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 30 มิ.ย. 24, 11:31

เช้าวันนั้น
           ทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านพักรับรองในพื้นที่ เพื่อนสนิทของทั้งคู่ พี่ชายของทั้งแจนและเอลส์ ลูกสะใภ้ และลูกชาย
          "เรามีเวลาด้วยกันสองชั่วโมงก่อนที่หมอจะมาถึง" ลูกชายกล่าว "เราพูดถึงความทรงจำของเรา… และเราก็ฟังเพลง"
           เพลง Idlewild โดยทราวิส ถูกเปิดสำหรับเอลส์ และเพลง Now and then ของวงเดอะบีทเทิลส์ สำหรับแจน
           "ครึ่งชั่วโมงสุดท้ายเป็นช่วงเวลาที่ยาก" ลูกชายของพวกเขากล่าว "แพทย์มาถึงแล้วและทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
พวกเขาปฏิบัติตามกิจของพวกเขา จากนั้นก็ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น"
           เอลส์ ฟาน เลนินเกน และแจน เฟเบอร์ ได้รับยาที่ทำให้เสียชีวิตโดยแพทย์ และเสียชีวิตพร้อมกันในวันจันทร์ที่ 3 มิ.ย. 2024



ภาพแจนและเอลส์ ในวันแต่งงาน


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41298

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 04 ก.ค. 24, 10:47

ขอมาร่วมวงบ้างค่ะ
นำมาจาก
https://www.psychiatry.or.th/JOURNAL/v4317f.html

ลักษณะเฉพาะของภาวะใกล้ตาย

จากการศึกษาพบว่าแต่ละคนมีปรากฏการณ์เกี่ยวกับภาวะใกล้ตาย (a near-death experience or NDE) แตกต่างกัน แม้กระนั้นก็ยังมีความคล้ายคลึงกันที่น่าพิศวงหลายอย่างในคนเหล่านี้ ลักษณะบางอย่างมักเกิดแล้วเกิดอีกโดยไม่คำนึงถึงเพศ อายุ เชื้อชาติ วัฒนธรรม และศาสนา Bruce Greyson7,8 ผู้เป็นจิตแพทย์ชาวอเมริกันและนักวิจัยเกี่ยวกับภาวะใกล้ตายได้ศึกษาลักษณะเฉพาะของภาวะดังกล่าวอย่างน่าสนใจ เหตุการณ์เหล่านี้มักเกิดขึ้นในคนที่กำลังเผชิญกับภาวะใกล้ตาย แต่น้อยคนจะมีเหตุการณ์ทุกอย่างครบหมด

ความรู้สึกสงบ (feeling of peace) คนส่วนมากมีความรู้สึกเป็นสุขสงบ ศานติ และดื่มด่ำอย่างล้นพ้น ซึ่งเป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เกิดขึ้นและจำได้ดีที่สุด ความรู้สึกเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานที่มีอยู่เดิมมักหายไป

ประสบการณ์นอกกายเนื้อ (out of the body experience) มักเกิดความรู้สึกว่ามีร่างอีกร่างหนึ่งออกไปจากร่างเดิม ร่างนี้บางคนเรียกว่า กายละเอียด (astral body) ซึ่งหลุดลอยออกไปจากกายเนื้อ (physical body) โดยมีสายโยงใยสีเงิน (silver cord) เชื่อมต่อระหว่างกายทั้งสองนี้9,10 กายนี้มีลักษณะโปร่งใสไร้น้ำหนัก มักล่องลอยอยู่บริเวณเบื้องบนใกล้เพดานและมองเห็นกายเดิมนอนสงบอยู่เบื้องล่าง เคลื่อนที่ไปตามที่ต่าง ๆ โดยไร้จุดหมาย

การเข้าไปสู่อุโมงค์ (into the tunnel) กายละเอียดอาจเคลื่อนเข้าสู่ความมืด ซึ่งมักเป็นอุโมงค์ที่มืดทึบ มีความรู้สึกเหมือนว่าสามารถผ่านเข้าไปได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ เมื่อถึงปลายอุโมงค์จะมองเห็นแสงสว่างเป็นจุดเล็กและเมื่อเคลื่อนเข้าไปใกล้ ๆ แสงสว่างนี้จะใหญ่ขึ้น ๆ สำหรับบางคนภายในอุโมงค์เต็มไปด้วยแสงสว่าง ไม่ใช่ความมืด

การเข้าหาแสงสว่าง (approaching the light) แสงสว่างเป็นประสบการณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับคนเหล่านี้เป็นจำนวนมาก มีลักษณะเป็นแสงที่สวยจ้าสุกใส มีสีขาวหรือสีทอง แต่ไม่ทำให้ตาพร่าหรือระคายตา บ่อย ๆ แสงนี้มีลักษณะคล้ายแม่เหล็ก พยายามดึงดูดกายละเอียดเอาไว้

ผู้ที่อยู่ในแสง (the being of light) ในช่วงนี้กายละเอียดอาจพบกับผู้ที่อยู่ในแสงสว่าง ถ้าเป็นผู้ที่มีศรัทธาในศาสนาอาจมองเห็น พระพุทธเจ้า อัครสาวก พระเยซูคริสต์ พระนาบีมะหะหมัด ศาสดาในศาสนาต่าง ๆ นักบุญ เทพเจ้า เทพบุตร เทพธิดา และบุคคลอื่น ๆ ผู้มีความสำคัญในศาสนาที่ตนนับถือ การเห็นบุคคลเหล่านี้เป็นประสบการณ์ทางอารมณ์อย่างรุนแรง จนไม่สามารถจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เป็นประสบการณ์ที่น่ายินดี ปลื้มปีติ ซาบซึ้ง และมีความรู้สึกว่าได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นและละมุนละไมจากบุคคลเหล่านี้

สิ่งกีดขวาง (the Barrier) ในขณะที่กายละเอียดล่องลอยไปตามที่ต่าง ๆ อยู่นั้น บางครั้งจะรู้สึกว่ามีสิ่งกีดขวางระหว่างตัวเขากับแสงสว่าง สิ่งกีดขวางเป็นเสมือนสิ่งหนึ่งที่เตือนว่าได้มาถึงจุดที่จะกลับมาไม่ได้อีกแล้ว (a point of no return) หลายคนอาจเห็นสิ่งกีดขวางนี้เป็นคน สิ่งที่มีชีวิต ประตู หรือรั้วที่คอยห้ามไว้ บางครั้งอาจเกิดความรู้สึกขึ้นมาเองว่าได้มาถึงจุดที่ไม่สามารถผ่านต่อไปอีกได้แล้ว

สถานที่อีกแห่งหนึ่ง (another country) เกิดความรู้สึกว่าตนหรือกายละเอียดได้ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ เห็นทิวทัศน์, ท้องทุ่ง, ไร่นา, ขุนเขาที่มีทุ่งหญ้าเขียวขจี เต็มไปด้วยแสงสีสว่างน่าตื่นตา บางครั้งอาจเห็นสถานที่เหล่านั้นอยู่นอกสิ่งกีดขวางออกไป

การพบญาติพี่น้อง (meeting relatives) บางคราวได้มีโอกาสพบกับคนอื่น โดยเฉพาะญาติพี่น้องที่ตายไปแล้ว รวมทั้งเพื่อนฝูงหรือคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันและยังมีชีวิตอยู่ บางครั้งบุคคลเหล่านี้ก็พยักหน้า โบกมือให้หรือทำท่าคล้ายจะเป็นสัญญาณบอกให้กลับไป บางคนได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่เสียชีวิตแล้ว2

การเห็นภพภูมิต่าง ๆ (different realms) กายละเอียดอาจประสบภพภูมิต่าง ๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน สามารถท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ ได้คล่องแคล่ว และรวดเร็วตามใจปรารถนา บางครั้งอาจไปปรากฏในแดนที่สวยสดงดงาม เป็นสถานที่อันกอรปด้วยแสง สี และดนตรีอันไพเราะคล้ายสวรรค์หรือแดนสุขาวดี

ภาพนรก (hellish visions) บางโอกาสกายละเอียดกลับท่องเที่ยวไปในสถานที่ที่น่ากลัว วังเวงและหดหู่ มีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความร้อนหรือความเย็นจนทนแทบไม่ได้ บางทีได้ยินเสียงหรือเห็นสัตว์นรกกำลังถูกทรมานอย่างแสนสาหัส11

การทบทวนวิถีชีวิต (the life review) แต่ละคนมักเห็นเหตุการณ์ในชีวิตปรากฏต่อหน้าอย่างชัดเจน มองเห็นกุศลกรรม หรืออกุศลกรรมที่เคยกระทำไว้ เป็นการทบทวนบุญและบาป ความดีและความชั่วของตนอีกครั้งหนึ่ง บางคนมีประสบการณ์ราวกับว่าได้มาถึงวันพิพากษาครั้งสุดท้าย (day of judgment) บางครั้งมีการระลึกถึงธุรกิจที่ยังไม่เสร็จสิ้น (unfinished business) ซึ่งทำให้เขาต้องกลับไปจัดการให้เสร็จเสียก่อน

จุดแห่งการตัดสินใจ (the point of decision) คนส่วนมากต้องการที่จะอยู่ในภาวะเช่นนี้ต่อไปนาน ๆ แต่ก็เข้าใจว่าเป็นไปไม่ได้ มีความรู้สึกว่าครอบครัวยังต้องการเขาอยู่ บางคนก็ถูกส่งกลับไปสู่ที่เดิมโดยผู้ที่อยู่ในแสงสว่าง เพื่อน หรือญาติพี่น้องที่ได้พบ ไม่มีใครยอมให้ผ่านสิ่งกีดขวางไปได้

การกลับ (the return) การกลับคืนของกายละเอียดสู่กายเนื้อมักเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เกิดความรู้สึกคล้ายกับว่ามีพลัง ผลักให้กลับเข้าสู่อุโมงค์ด้วยความเร็วที่สูงสุดจนเข้าไปอยู่ในกายเนื้อตามเดิม

ภายหลังกลับมาแล้ว (the aftermath) สำหรับคนเป็นจำนวนมาก ภาวะใกล้ตายเป็นประสบการณ์ที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งในช่วงชีวิตของเขา มักจะจดจำอย่างติดตาติดใจเป็นเวลาหลายปีหรือจนชั่วชีวิต สิ่งที่ทุกคนรายงานเหมือนกันคือว่า เขาไม่มีความกลัวตายแม้ว่าไม่มีใครที่ต้องการจะตาย เจตคติของคนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือมีศรัทธาและปสาทะในศาสนาที่ตนนับถืออยู่มากขึ้น มีความเชื่อในเรื่องของผลบุญและบาป และกฎแห่งกรรมมากกว่าแต่ก่อน บางคนคิดว่ามีอำนาจจิตมากขึ้น สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หรือสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างได้
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 20 คำสั่ง