เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
อ่าน: 39972 หลาน(ลูกของลูก)น้าเรา เป็นอะไรกับแม่เราครับ
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41291

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 30  เมื่อ 21 พ.ค. 11, 10:19

พระโอรส-ธิดาในพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์

พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทำพิธีอาวาหะมงคล กับคุณพัฒน์ บุนนาค บุตรีเจ้าพระยาภาสกรวงศ์ และท่านผู้หญิงเปลี่ยน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงมีพระโอรส-ธิดา คือ

    หม่อมเจ้าจันทร์เจริญศิริ รัชนี
    ท่านหญิงศะศิเพลินพัฒนา บุนนาค
    หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุวัฒน์ รัชนี
    หม่อมเจ้ารัชนีพัฒน์พิทยาลงกรณ์ รัชนี
    ท่านหญิงศะศิธรพัฒนวดี บุนนาค
    หม่อมเจ้าจันทร์พัฒน์โมลีจุฑาพงศ์ รัชนี

เมื่อหม่อมพัฒน์ อนิจกรรมแล้ว ทรงเสกสมรสใหม่ กับหม่อมเจ้าหญิงพรพิมลพรรณ รัชนี (วรวรรณ) พระธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ ทรงมีพระโอรส-ธิดา คือ

    หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต (พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต)
    หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี

   วิกี้ให้นามพระโอรสเพิ่มอีก 3 องค์   ไม่ทราบว่าจากหม่อมท่านไหน
    
    หม่อมเจ้าชายจันทรจิรากาล
    หม่อมเจ้าชาย (ไม่ระบุพระนาม)
    หม่อมเจ้าชายจันทร์จรัส (? - 28 ธ.ค. 2450)

    หามาได้แค่ชั้นลูก  ชั้นหลานหาไม่ไหวค่ะ
บันทึกการเข้า
art47
องคต
*****
ตอบ: 739


ความคิดเห็นที่ 31  เมื่อ 21 พ.ค. 11, 13:42


พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ทำพิธีอาวาหะมงคล กับคุณพัฒน์ บุนนาค



อาวาหะมงคล
(การพาหญิงมาอยู่บ้านชาย)

คำนี้ปัจจุบันไม่ค่อยมีใครใช้กันแล้ว
ไม่ว่าจะแต่งงานแบบไหน
ต่างก็ใช้ "วิวาหะ" (การพาชายไปอยู่บ้านหญิง) กันแทบทั้งนั้น

ไม่ว่าแต่งแล้วผู้ชายอยู่บ้านผู้หญิง ผู้หญิงอยู่บ้านผู้ชาย หรือทั้งคู่จะแยกบ้านออกมาอยู่กันเอง ก็ตามทีเถิด
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 32  เมื่อ 21 พ.ค. 11, 13:55

ถ้าไม่ไปอยู่ทั้งบ้านฝ่ายชายและฝ่ายหญิง

๔. "คนธรรพวิวาห์" (บาลี คนฺธพฺพวิวาห, สันสกฤต คนฺธรฺววิวาห) "การได้เสียเป็นผัวเมียกันเอง"

เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า

วิวาห์เหาะ


 ยิงฟันยิ้ม
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 33  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 14:48

ฟบ. อ.ปรัชญา ปานเกตุ นำกลับมาโพสท์อีกครั้ง เรื่อง โหลน  ความว่า

ตามหาคำว่า "โหลน"

           เมื่อวันที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๒ สำนักงานราชบัณฑิตยสภาเผยแพร่บทความเรื่อง “โหลน…มาจากไหน”
จั่วหัวว่า “...คำว่า ‘โหลน’ ไม่มีที่ใช้และไม่มีความหมายอะไร...แต่คำนี้ปรากฏในบทเพลงปลุกใจเพลงหนึ่ง เนื้อร้องมีว่า
‘ลูกหลานเหลนโหลนภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย’ ข้อความดังกล่าวทำให้เข้าใจได้ว่า โหลน น่าจะเป็นลูกของเหลน...”
          และจบบทความด้วยการกล่าวถึงคำนับลำดับญาตินับจากตนลงไปว่าคือ ลูก หลาน เหลน ลื่อ ลืบ และลืด
          ไม่มีคำว่า "โหลน" ?
          ข้อน่าสังเกตคือเพลงปลุกใจ "เราสู้"* นี้เผยแพร่ครั้งแรกราว พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๑๙
          ในขณะที่คนรุ่นเทียดทวดพูดคำว่า “ลูกหลานเหลนโหลน” กันมาก่อนหน้านั้นแล้ว
          ไม่มีใครรู้จักคำว่า “ลื่อ” เพราะพูดแต่คำว่า “โหลน” จนชินปาก
          "ลูก-หลาน-เหลน-โหลน"
          ไม่ปรากฏคำว่า “โหลน” ในพจนานุกรมทั้งฉบับหลวงและฉบับราษฎร์
          พจนานุกรมทุกฉบับเก็บแต่คำว่า “ลื่อ” ในบทนิยามว่า “ลูกของเหลน” อย่างที่ราชบัณฑิตย์ว่า
          สันนิษฐานว่าความรู้นี้มาจากพระไอยการลักษณะมรดกในกฎหมายตราสามดวงที่ปรากฏข้อความว่า
          “...มาตราหนึ่งลูกหลานเหลนลื่ผู้ใดบวดตัวเป็นสามเณร แลบิดามารดาปู่หญ้าตายายถึงแก่มรณภาพไซ้ ควรให้ได้
ทรัพยส่วนแบ่งปันตามพระราชกฤษฎีกา ให้เปนจัตุปใจยแก่เจ้าสามเณรนั้น...”

*ประพันธ์คำร้องโดย อ. สมภพ จันทรประภา อดีตรองอธิบดีกรมศิลปากร ท่านมีผลงานหนังสือ บทละครประวัติศาสตร์ ละครดึกดำบรรพ์
(ออกอากาศทางช่องสี่ บางขุนพรหม)


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 34  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 14:51

          วรรณคดีอันเคยเป็นสรณะที่พึ่งก็ไม่พบคำว่า "โหลน" เลยแม้แต่คำเดียว
          พบแต่คำว่า "ลูก/หลาน/เหลน" และมีพิเศษคือพบคำว่า “ลืด” ในฉันท์กล่อมช้างของเก่า ความว่า

          “...อ้าพ่ออย่าคิดคณผู้บุตร
          อันเสน่หนงพาล
          อ้าพ่ออย่าคิดคชผู้หลาน
          เหลนเหลือลืดแลพงษ์พันธุ์...”

          เมื่อไม่พบคำว่า “โหลน” ในเอกสารราชการจึงต้องสืบคำจากภาษาไทยถิ่นหรือภาษาไทกลุ่มอื่น
          ภาษาไทยถิ่นเหนือ รศ.เรณู วิชาศิลป์ แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมตตาตอบว่าเคยท่องจำคำสำรับนี้ว่า “ลูก-หลาน-เหลน-หลีด-หลี้”
          ยิ่งกว่านั้นท่านยังกรุณาค้นข้อมูลเพิ่มเติมให้อีกว่าจารึกวัดช้างค้ำ ด้านที่ ๒ พ.ศ. ๒๐๙๑ ปรากฏคำว่า “ลูกหลานเหลนหลีดหลี้”
ตรงกับที่อาจารย์เคยท่อง
          ภาษาไทยถิ่นใต้ อ.ล้อม เพ็งแก้ว ปราชญ์ด้านภาษาและวรรณคดีไทย คนพัทลุง ว่าเรียก "ลูก-หลาน-เหลน-หลิน"
          ภาษาไทถิ่นอื่น อ.ประพันธ์ เอี่ยมวิริยะกุล ผู้ก่อตั้งเพจพันศาสตร์พันภาษา ว่าไทดำเวียดนามเรียก “ลูก์-หลาน-เหลน-หล้อน-หลอก์”
          แต่ไทโซ่งสุโขทัยเรียกลูกของเหลนว่า “ล่อน” และไทโซ่งนครปฐมเรียก “หล่อน”
          ภาษาลาว Mr.Sengfa Hola นักภาษาศาสตร์ชาวนครหลวงเวียงจันทน์ ว่าลูกของเหลนเรียก “หล้อน”
          คำว่า “หล้อน/ล่อน/หล่อน” นี้ใกล้เคียงกับคำว่า “โหลน” ในภาษาไทสยามมาก
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 35  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 14:55

          เอกสารฝ่ายไทย อ.ศรันย์ ทองปาน นักวิชาการประจำนิตยสารสารคดี ช่วยค้นและพบว่า "โหลน" ปรากฏในวรรณกรรมแปลจีน
สมัยรัชกาลที่ ๕ เรื่อง “ไซอิ๋ว” ความว่า
          “...เห้งเจียนั่งอยู่ข้างริมนั้น ครั้นได้ยินเจ้าวัดบอกดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านยังเปนคราวแก่หลานเหลนโหลนของเราอยู่...”
          แสดงว่าคำว่า “โหลน” เริ่มกระจายตัวและแพร่หลายเป็นที่เข้าใจร่วมกันแล้วอย่างน้อยในสมัยรัชกาลที่ ๕
          และเมื่อค้นต่อไปก็พบว่าเอกสารร่วมสมัยดังกล่าวปรากฏคำว่า “โหลน” อยู่บ้าง ดังตัวอย่าง
          “...เหตุฉนั้นเจ้าคุณนวลท่านเปนย่าสมเด็จเจ้าพระยา (ช่วง) เจ้าคุณนวลท่านเปนราชนิกูลแล้ว บุตรหลานเหลนโหลนหลินหลือของท่าน
ก็ตกเป็นราชนิกูลทั้งสิ้น...” (มหามุขมาตยานุกูลวงศ์ : ก.ศ.ร.กุหลาบ)
          “...คนนั้นไปป่าให้เสือกินแม้คนนั้นไปทางน้ำให้เงือกใหญ่กิน และให้อัปรีย์จัญไรถึงตัวคนนั้นทุกวันจนชั่วบุตรและหลานเหลนโหลน
ใครอย่าได้ชิงเขตต์แดนซึ่งกันและกัน...” (ตำนานลาวพวน : ประชุมพงศาวดารภาค ๗๐)
 
          ทั้งนี้หลักฐานสำคัญที่ควรกล่าวถึงอย่างยิ่งคือพระราชนิพนธ์และสมุดภาพฝีพระหัตถ์ในรัชกาลที่ ๕

          พระราชนิพนธ์นี้ชื่อ "จดหมายเหตุเสด็จประพาสต้นครั้งที่ ๒"
          ครั้งนั้นเสด็จฯ จากพระราชวังดุสิตตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ร.ศ. ๑๒๕ (พ.ศ. ๒๔๔๙) ผ่านจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา
สระบุรี อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท อุทัยธานี นครสวรรค์ และกำแพงเพชร รวมระยะเวลา ๓๔ วัน
          เนื้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์วันที่ ๒๖ สิงหาคม ว่าขณะประทับที่เมืองกำแพงเพชร หลังจากพระราชทานพระแสงประจำเมืองแล้ว
ทรงถ่ายรูปตระกูลเจ้าเมืองกำแพงเพชรที่มาเข้าเฝ้า
          หารู้พระองค์ไม่ว่าพระมหากรุณาธิคุณนี้จะเป็นหลักฐานสำคัญแก่การศึกษาของชาติในภายภาคหน้า
          ทรงถ่ายภาพท่านผู้หญิงทรัพย์ภรรยาพระยากำแพง (เกิด) และภาพท่านผู้หญิงทรัพย์กับบุตรหลานด้วยหลายภาพ


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 36  เมื่อ 11 ก.ค. 24, 14:58

           ภาพสำคัญคือภาพ “๕ ชั่วคน” เป็นภาพท่านผู้หญิงทรัพย์กับ “ลูก-หลาน-เหลน-โหลน” ดังความในพระราชนิพนธ์ว่า
           “...โหลนได้ตัวมา ๒ คน แต่ถ่ายคนเดียวแต่ที่ชื่อเลอียดบุตรีโน้มอายุ ๑๓ ปี ได้ถ่ายรวมกันเปน ๕ ชั่วคน ที่ถ่ายนี้กันออกเสียบ้าง
ด้วยมาไม่ครบหมดด้วยกัน ลูก หลาน เหลน โหลน ซึ่งสืบมาแต่ท่านผู้หญิงทรัพย์ ซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยกันเดี๋ยวนี้ ๑๑๑ คน...”
          ส่วนสมุดภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ฯ เป็นสิ่งอนุสรณ์ที่รัชกาลที่ ๙ โปรดให้พิมพ์พระราชทานเป็นที่ระลึกในงานพระราชทานเพลิงศพ
นายภาวาส บุนนาค อดีตรองราชเลขาธิการ
          สมุดภาพหน้า ๒๐๘ และ ๒๐๙ มีลายพระหัตถ์ของรัชกาลที่ ๕ เขียนคำว่า “โหลน” ในความหมายว่า “ลูกของเหลน” ไว้ชัดเจน
          หลักฐานดังประมวลมานี้คงมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้คณะกรรมการชำระพจนานุกรมฯ แทรกคำว่า “โหลน” ไว้ในพจนานุกรม
ราชบัณฑิตยสถานได้บ้าง

          อย่างไรก็ตามแม้ไม่อาจยืนยันมั่นคงได้ว่า “โหลน...มาจากไหน" แต่คำว่า "โหลน” นั้น  มีที่ใช้  มีความหมาย
          และไม่ได้มาจากเพลงเราสู้เป็นแน่
           
ปรัชญา ปานเกตุ เขียนเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๔


บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 37  เมื่อ 12 ก.ค. 24, 06:19

ขอบคุณคุณศิลาที่ช่วยอธิบายครับ แนวคิดที่ว่าคำว่าโหลนมาจากเพลง ผมเองได้ยินมานานแล้ว บัดนี้พิจารณาแล้วคงไม่ใช่ ภาษาถิ่นว่าหล่อนนั้นผมเคยได้ยินในภาคอีสานและลาวในความหมายของ ลูกของโหลนอีกที ส่วนในภาษาชาวบ้านภาคกลางเคยได้ยินบางคนเรียกลูกของโหลนว่า หลิน คาดว่าคำพวกนี้คงไม่มีรูปแบบที่เป็น standard เลยวิวัฒนาการไปตามภาษาพูดของชาวบ้านในแต่ล่ะท้องถิ่น

ภาษาที่มีคำเรียกญาติหลายรุ่นหลายชั่วคนเท่าที่ผมทราบมีอยู่สองภาษาครับ ภาษาจีนและภาษาชวา
ภาษาจีนมีคำศัพท์เรียกบรรพบุรุษและเหลนโหลนยาวลงไปถึงสิบรุ่น

ส่วนภาษาชวามีคำเรียกไปถึง สิบเอ็ดรุ่น
จึงคาดว่ามาจากวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับบรรพบุรุษและสาแหรกตระกูล
จึงต้องมีคำเรียกชื่อลำดับหลายรุ่น
ไทยไม่มีการเก็บบันทึกสาแหรกตระกูลในหมู่ชาวบ้านถ้าไม่ใช่เจ้าขุนมูลนาย
ชาวบ้านส่วนมากรู้ข้อมูลบรรพบุรุษของตนไกลสุดก็แค่รุ่นเทียด หรือพ่อแม่ของเทียดเท่านั้น
บันทึกการเข้า
CVT
องคต
*****
ตอบ: 527


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 38  เมื่อ 12 ก.ค. 24, 08:00

ตามข้อมูลนี้แสดงว่า

โหลน คือ ลื่อ ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตฯ

แล้วราชบัณฑิตฯ ไปเอาคำว่า ลื่อ มาจากไหน ในเมื่อเราใช้ โหลน กันมานานแล้ว
บันทึกการเข้า
ภศุสรร อมร
พาลี
****
ตอบ: 216


ความคิดเห็นที่ 39  เมื่อ 12 ก.ค. 24, 08:39

ลื่อน่าจะเป็นคำดั่งเดิมที่มีอยู่แล้ว ใช้อย่างเป็นทางการอยู่ก่อน ผมเดาอย่างไม่มีอ้างอิงว่าโหลนในสมัยก่อนอาจจะเป็นภาษาพูดที่ใช้เฉพาะในชาวบ้าน ทางราชการจึงเห็นว่าเป็นศัพท์แสลง ไม่นับรวมในทางการ
มีหลักฐานการใช้คำว่าลื่อมาช้านานแล้วเช่นเดียวกัน

‘เลี้ยงชีพช้าอยู่ร้อย ชั่วหลื้อเหลนหลาน‘
(โคลงโลกนิติ)
บันทึกการเข้า
siamese
หนุมาน
********
ตอบ: 7267


หนุ่มรัตนะกับภูเขาทอง


ความคิดเห็นที่ 40  เมื่อ 12 ก.ค. 24, 14:35

ข้อมูลจากราชกิจจานุเบกษา 2430 ให้ข้อมูลการเรียกศักดิ์ต่าง ๆ  ของครอบครัว ในประกาศนุ่งขาว ลูกของเหลนอ่านได้ว่า "ลืบ" ไหม


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 8424


ความคิดเห็นที่ 41  เมื่อ 12 ก.ค. 24, 16:03

เพิ่มเติม             

              ลื่อ ลื้อ โดย อ.จำนงค์ ทองประเสริฐ ๑ มิถุนายน๒๕๓๕  https://thai-notes.com/ภาษาไทย๕นาที
 
          ...ข้าพเจ้าได้เปิดหนังสือ "ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์" บรรพ ๑ ดู ก็พบว่าในมาตรา ๒๙ มีข้อความดังนี้
             "บุคคลวิกลจริตผู้ใด ถ้าภริยาสามีก็ดี ผู้บุรพการี กล่าวคือ บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ทวด ก็ดี ผู้สืบสันดาน กล่าวคือ
              ลูก หลาน เหลน ลื้อ ก็ดี ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ ก็ดี หรือพนักงานอัยการก็ดี ร้องขอต่อศาล ศาลจะสั่งให้บุคลผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้

              คำที่ข้าพเจ้าข้องใจ ก็คือคำว่า "ลื้อ" ซึ่งอยู่ถัดจาก "เหลน" ออกไป ถ้าพิจารณาข้อความในประมวลกฎหมายนี้ ก็จะเห็นว่า
              "ผู้สืบสันดาน" นั้นท่านเรียงลำดับไว้ดังนี้ "ลูก-หลาน-เหลน-ลื้อ" เมื่อ "หลาน" คือ "ลูกของลูก" "เหลน" ก็คือ "ลูกของหลาน หรือ หลานของลูก"
แล้ว คำว่า  "ลื้อ" ก็ควรจะเป็น "ลูกของเหลน" หรือ "หลานของหลาน" หรือ "เหลนของลูก"

              แต่เมื่อเปิดดูในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ แล้ว ไม่ปรากฏว่าคำว่า "ลื้อ" ในความหมายที่ว่า "ลูกของเหลน" เลย
พจนานุกรม ได้ให้บทนิยามของคำว่า "ลื้อ" ไว้ดังนี้ "น. ไทยพวกหนึ่ง อยู่ในแคว้นสิบสองปันนา." ซึ่งบางทีเราก็เรียกว่า "ไทยลื้อ" หรือมิฉะนั้น ก็เป็น
คำสรรพนามในภาษาจีน อันหมายถึงบุคคลที่เราพูดด้วย... คำว่า "ลื้อ" ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ คงมิได้หมายถึงคนไทยพวกหนึ่งใน
แคว้นสิบสองปันนาเป็นแน่ เพราะคนไทยพวกนั้นจะมาเป็น "ผู้สืบสันดาน" ในกฎหมายดังกล่าวนี้ไม่ได้
         
              คำนี้ที่ถูกต้องควรจะเป็น "ลื่อ" มากกว่า ทั้งนี้เพราะคำว่า "ลื่อ" พจนานุกรม ได้ให้บทนิยามไว้ว่า "น. ลูกของเหลน."
              แต่คำนี้ เราไม่ค่อยได้ใช้กัน
              เรามักจะเรียกลูกของเหลนว่า "โหลน" ดังเพลงในพระราชนิพนธ์ว่า "ลูกหลานเหลนโหลน ภายหน้า จะได้มีพสุธาอาศัย"
แต่คำว่า "โหลน" พจนานุกรม ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๕ ยังมิได้เก็บไว้


             คำที่อยู่ในชุดเดียวกัน "ลูก - หลาน - เหลน - ลื่อ" ซึ่งถัดจาก "ลื่อ" ไปก็คือ "ลืด" และ "ลืบ" พจนานุกรมได้ให้ความหมายของคำทั้ง ๒ ไว้ดังนี้

             "ลืบ น. ลูกของลื่อ, หลานของเหลน."

             "ลืด น. ลูกของลืบ."

              คำว่า "ลื่อ - ลืบ - ลืด" ทั้ง ๓ นี้ นักกฎหมายส่วนมากก็ไม่ทราบว่าหมายถึงใคร โดยเฉพาะคำว่า "ลื่อ" นั้น ในกฎหมายตราสามดวงก็มิใช้แล้ว
แต่เขียนเป็น ๓ รูปด้วยกัน คือ "ลื่" (ไม่มี อ ตาม) "ลื่อ" (มี อ ตาม) และ "หลื้" (ห ล สระอือ ไม้ไท) ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างมาประกอบคำอธิบายดังนี้

              ที่เขียนเป็น "ลื่" (ไม่มี อ ตาม) ดังที่ปรากฏใน "พระไอยการ ลักษณมรดก" หน้า ๓๗ ดังนี้

              "๓๗ มาตราหนึ่ง ลูกหลานเหลนลื่ไดบวดเปนสามเณร แลบิดรมานดาปู่หญ้าตายายถึงแก่มรณภาพไซ้ ควรให้ได้ทรัพยส่วนแบ่งปัน
ตามพระราชกฤษฎีกาให้เป็นจตุปใจยแก่สามเณรนั้น"

              ที่เขียนเป็น "ลื่อ" (มี อ ตาม) ดังปรากฏใน "พระไอยการลักษณมรดก" ข้อ ๑ ดังนี้

              "๑ ถ้าแลผู้มีบันดาศักดิตั้งแต่นา ๔๐๐ ขึ้นไปถึงแก่มรณภาพและจะแบ่งปันทรัพยมรดกเป็นส่วน ซึ่งจะได้แก่บิดามานดาแลญาติพี่น้อง
บุตรภรรยาหลานเหลนลื่อนั้น โดยได้รับราชการแลมิได้รับราชการ แลมีบำเน็จบำนาญ แลหาบำเน็จบำนาญมิได้ ให้ทำเปนส่วนดั่งพระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้นี้

               ส่วนที่เขียนเป็น "หลื้" (ห นำ ล สระอือ ไม้โท) นั้น มีปรากฏอยู่ในข้อ ๒๘ วรรค ๒ และ ๓ ดังนี้

               "อนึ่งถ้าพี่น้องลูกหลานเหลนหลื้สาขาญาติไปรับราชการอยู่ณะเมืองแล แขวงจังหวัดไซ้ ให้แบ่งทรัพยบันดาส่วนซึ่งจะได้นั้นไว้ ณะพระคลังก่อน
ถ้าผู้นั้นมาแต่ราชการ แล้วจึ่งเอาทรัพยซึ่งไว้ ณะพระคลังนั้นให้"

               ข้าพเจ้าจึงขอเสนอว่า คำว่า "ลื้อ" ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๙ นั้น ควรจะได้แก้ไขให้ถูกต้องเป็น "ลื่อ" เสียด้วย.   
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16059



ความคิดเห็นที่ 42  เมื่อ 12 ก.ค. 24, 17:35

ลื่อ ลื้อ โดย อ.จำนงค์ ทองประเสริฐ ๑ มิถุนายน๒๕๓๕  https://thai-notes.com/ภาษาไทย๕นาที

ลิงก์ที่สามารถเข้าถึงได้ คือ
https://thai-notes.com/ภาษาไทย๕นาที/ภาษาไทย๕นาที.html?ลื่อ-ลื้อ

บทความนี้เคยโพสต์ในกระทู้นี้ตั้งแต่หน้าแรกแล้ว เมื่อ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๔
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4407.msg84808#msg84808
และ
http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4407.msg84810#msg84810
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.069 วินาที กับ 20 คำสั่ง