เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
อ่าน: 5142 แชร์ลูกโซ่
พี่วรภัทรของพี่ชายใหญ่
มัจฉานุ
**
ตอบ: 74


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 14 ต.ค. 24, 22:12

นึกถึงนิยายเรื่อง บ้านบุญหล่น เลยครับ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 15 ต.ค. 24, 08:37

 ยิ้ม


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 15 ต.ค. 24, 08:53

     ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ยังคงผลุบๆโผล่ๆ อยู่ในประเทศโน้นประเทศนี้ทั่วโลก     พวกมิจฉาชีพที่หากินทางนี้ ไม่มีใครบอกหรอกว่าสิ่งที่ตัวทำคือ "แชร์ลูกโซ่"  แต่จะใช้ชื่อว่าเป็นธุรกิจต่างๆที่ฟังดูน่าสนใจ  น่าเข้าไปร่วมด้วย น่าเป็นลูกค้าฯลฯ    ฝรั่งจึงตั้งข้อสังเกตให้ระวังเอาไว้ ว่าธุรกิจไหนส่อแววว่าเป็นแชร์ลูกโซ่

     สัญญาณเตือนของแชร์ลูกโซ่

     1   คุณถูกชักชวนให้เข้าร่วมเป็น ‘โอกาสทางธุรกิจ’ แทนที่จะเน้นเรื่องสินค้า
     2    คุณถูกขอให้จ่ายเงินเพื่อเข้าร่วม คือยังไม่ทันจะได้สินค้า หรืออะไร  ขั้นแรกจ่ายเงินก่อนแล้ว  มากหรือน้อยก็แล้วแต่
     3   คุณต้องจ่ายเงินสำหรับเครื่องมือการขายและการอบรมที่มีราคาแพง   ตอนแรกอาจจะถูกหน่อย แต่เมื่อเข้าไปแล้ว ขั้น 2 ขั้น 3  ก็จะแพงเป็นคนละเรื่อง
     4  คุณได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการขายหลักสูตรอบรมในภายหลัง 
     5  คุณต้องซื้อสินค้าจำนวนมากที่ขายยาก และไม่สามารถคืนได้
    6   ประเด็นด้านกฎหมายถูกมองข้ามหรือไม่ได้รับการกล่าวถึง
     7  สินค้ามีราคาแพง   เมื่อเทียบกับสินค้าประเภทเดียวกันในท้องตลาด   
     8 มีการนำเสนอที่ชักจูงใจให้เข้าร่วม   แต่ไม่เน้นคุณภาพหรือความดีเด่นเฉพาะตัวของสินค้า   
      9  อ้างสถานที่ทำงาน  ประวัติของผู้ประกอบการ   และผู้นำเสนอที่โอ่อ่าหรูหราน่าเชื่อถือ
      10 ล่อใจให้รีบตัดสินใจ โดยใช้คำเช่น   ’ โอกาสพิเศษสำหรับผู้เข้าร่วมก่อนใคร’ 
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 15 ต.ค. 24, 10:35

เมื่อไม่นานมานี้ แม้แต่ สิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของเอเชีย ก็เพิ่งมีแชร์ลูกโซ่ ที่สร้างมูลค่าความเสียหายมากสุด ในประวัติศาสตร์ของประเทศ

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังแชร์ลูกโซ่ครั้งนี้ คือนักธุรกิจชาวสิงคโปร์ ชื่อว่า อึ้งหยูจี (黄有志) เขาเกิดในปี ๑๙๘๗ เรียนจบด้านบัญชี และเคยทำงานอยู่กับบริษัทผู้ตรวจสอบบัญชีชั้นนำอย่าง KPMG มาก่อน ในระหว่างที่ทำงานตรวจสอบบัญชีนั้น เขาได้ร่วมงานกับบริษัท BHP Group ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจเหมืองแร่รายใหญ่ของโลกอยู่หลายครั้ง ทำให้เกิดความสนใจในการเก็งกำไรสินค้าโภคภัณฑ์ จนต่อมาก็ลาออกมาเป็นเทรดเดอร์อย่างเต็มตัว

ในปี ๒๐๑๕ อึ้งหยูจี ก่อตั้งบริษัทเครือ Envy Group เพื่อทำธุรกิจบริหารจัดการทรัพย์สิน และเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ โดยมุ่งเน้นการซื้อขายแร่นิกเกิลเป็นหลัก เนื่องจากเขามองว่า มันเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น ราคาแร่นิกเกิลได้พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกองทุนของ Envy Group ก็ให้ผลตอบแทนที่ดี ทำให้บริษัทเริ่มมีชื่อเสียงในแวดวงการเงินของสิงคโปร์ จนเม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ต่อมาในปี ๒๐๑๗ อึ้งหยูจี จัดตั้งกองทุนใหม่ โดยบอกว่าจะนำเงินไปซื้อแร่นิกเกิล จากบริษัทเหมืองแร่สัญชาติออสเตรเลีย ชื่อว่า Poseidon Nickel ในราคาที่ได้รับส่วนลดพิเศษ แล้วไปขายทำกำไรต่อกับธนาคารยักษ์ใหญ่จากประเทศฝรั่งเศสอย่าง BNP Paribas ซึ่งเขาสัญญากับนักลงทุนว่า จะให้ผลตอบแทน ๑๕% จ่ายในทุก ๆ ๓ เดือน หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้นสูงถึง ๗๕% ต่อปีเลยทีเดียว ทำให้ผู้คนจากหลากหลายอาชีพ สนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย แม้แต่กลุ่มคนที่มีฐานะดี เช่น ผู้บริหารของ Temasek Holdings, พนักงานธนาคาร Standard Chartered, แพทย์ หรือทนายความ ส่งผลให้บริษัทสามารถระดมเงินทุนสะสมจนถึงช่วงต้นปี ๒๐๒๑ รวมทั้งหมดเป็นมูลค่าประมาณ ๑ฐ๕๐๐ ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือราว ๓๖,๐๐-ล้านบาท


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 16057



ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 15 ต.ค. 24, 10:35

เหตุที่นักลงทุนเหล่านั้นเชื่อ อึ้งหยูจี อย่างสนิทใจ เพราะว่าในสายตาของคนทั่วไปในสังคม อึ้งหยูจี มีภาพลักษณ์ค่อนข้างดี โดยถูกมองว่าเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีฐานะร่ำรวยและครอบครองทรัพย์สินจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นเจ้าของร้านอาหารชื่อดังอีกหลายแห่งในสิงคโปร์ นอกจากนั้น เขายังบริจาคเงินเพื่อการกุศลอยู่บ่อยครั้ง ถึงขนาดเคยได้รับคำชื่นชมจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ ประกอบกับช่วงปี ๒๐๒๐ เกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด ๑๙ ทำให้ผู้คนต้องเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตที่ยากลำบาก จึงถูกดึงดูดด้วยอัตราผลตอบแทนสูงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

แต่ทุกอย่างก็ล้วนเป็นเรื่องโกหก เมื่อความจริงถูกเปิดเผย ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ๒๐๒๑ อึ้งหยูจี ถูกตำรวจเข้าดำเนินการจับกุม ในข้อหาฉ้อโกงแชร์ลูกโซ่ เพราะธุรกรรมซื้อขายแร่นิกเกิลที่บริษัทอ้างถึงนั้น ไม่มีอยู่จริง โดยบริษัท Poseidon Nickel ปฏิเสธว่า ไม่เคยทำธุรกิจกับ Envy Group เลยสักครั้งเดียว ส่วน BNP Paribas ก็กล่าวว่า หน่วยงานที่ดูแลเรื่องสัญญาซื้อขายล่วงหน้าของสินค้าโภคภัณฑ์ ได้หยุดดำเนินการไปตั้งแต่ปี ๒๐๑๙ แล้ว ดังนั้นเอกสารต่าง ๆ ที่แสดง น่าจะเป็นการปลอมแปลงขึ้นมาเอง หรือแม้แต่ในปี ๒๐๒๐ ที่ อึ้งหยูจี เคยบันทึกคลิปวิดีโอ ตอนเดินตรวจแร่นิกเกิลในคลังสินค้า ที่ซื้อมาจากบริษัทชื่อว่า Raffemet ในปริมาณ ๒,๐๐๐ ตัน มูลค่ากว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท ส่งไปให้กลุ่มนักลงทุนดู แต่จริง ๆ แล้ว เป็นเพียงแค่การจัดฉาก เพราะหลังจากนั้น เขาก็ขายสินค้าคืนให้ Raffemet ทันที

ผลตอบแทนที่กองทุนของ Envy Group ทำได้นั้น เป็นแค่การนำเงินของนักลงทุนรายใหม่กว่า ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท มาจ่ายให้กับนักลงทุนรายเก่า นั่นเอง และเงินอีกส่วน ประมาณ ๗,๐๐๐-๑๑,๐๐๐ ล้านบาท ได้ถูกโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของ อึ้งหยูจี ซึ่งเขานำไปซื้อทรัพย์สินจำนวนมาก เช่น รถยนต์แบรนด์หรู ไม่ต่ำกว่า ๒๐ คัน, อสังหาริมทรัพย์, อัญมณี, งานศิลปะ รวมถึงหุ้น คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า ๒,๔๐๐ ล้านบาท การหลอกระดมเงินทุนจากนักลงทุนไปถึง ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท นับเป็นคดีแชร์ลูกโซ่ ที่มีมูลค่าความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศสิงคโปร์

อึ้งหยูจี ถูกฟ้องร้องไปทั้งหมด ๗๕ คดี ซึ่งหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง ก็คงถูกจำคุกเป็นเวลานาน และต้องชดเชยค่าเสียหายอีกมหาศาล เรื่องราวนี้ก็คงเป็นอีกหนึ่งกรณีที่ย้ำเตือนเราว่าก่อนตัดสินใจลงทุนอะไรก็ตาม ควรวิเคราะห์และตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้ให้มากที่สุด เพราะไม่ว่าเราจะมีพื้นฐานความรู้ที่ดีแค่ไหน หากใช้อารมณ์และความโลภมาเป็นตัวตั้งต้น ก็มีโอกาสถูกชักจูงด้วยภาพลักษณ์อันสวยหรู และตกเป็นเหยื่อของการต้มตุ๋นได้เสมอ ซึ่งผลลัพธ์ที่ตามมา อาจไม่ใช่กำไรมหาศาลแบบที่วาดฝันไว้ แต่เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต

ข้อมูลจาก ลงทุนแมน

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 16 ต.ค. 24, 17:54

  ขอย้อนกลับไปในยุค 2530s เมื่อแชร์ลูกโซ่เฟื่องฟู   เจ้ามือแชร์สำคัญๆอีก 3 เจ้านอกจากแม่ชม้อย คือแชร์แม่นกแก้ว  แชร์ชาร์เตอร์ และแชร์เสมาฟ้าคราม
   ขอเล่าถึงแชร์ชาเตอร์  ของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร เจ้าของบริษัท ชาร์เตอร์ อินเวสต์เมนท์ จำกัด
   จุดเริ่มต้นคือเอกยุทธชักชวนให้คนนำเงินมาลงทุนซื้อสินค้าโภคภัณฑ์และเงินตราต่างประเทศมาเก็งกำไร ให้ผลตอบแทนถึงเดือนละ 9% สูงกว่าแชร์แม่ชม้อยถึง 2.5 % ทำให้มีคนแห่นำเงินมาลงทุนเป็นจำนวนมาก กิจการเดินหน้าไปด้วยดี ยิ่งแชร์แม่ชม้อยเริ่มหยุดชะงักหลังจากรัฐบาลเริ่มตรวจสอบ   ประชาชนก็ย้ายมาลงทุนกับบริษัทชาร์เตอร์ที่ดูว่าเป็นธุรกิจมั่นคง
    แรกๆ บริษัทสามารถจ่ายผลตอบแทนได้ตามราคาคุย  แต่ไม่นาน ถึงปี 2528 แชร์ล้มครืนลงอีกวงหนึ่ง
 นายเอกยุทธหลบหนีออกนอกประเทศ หลังมีข่าวว่าจะถูกออกหมายจับคดีฉ้อโกง  ลูกแชร์ชาร์เตอร์นับพันคนเข้าร้องเรียนกับกองปราบปราม
   เอกยุทธหลบหนีอยู่ต่างประเทศจนคดีหมดอายุความ  จึงเดินทางกลับไทย  กลับมาดำเนินชีวิตอย่างนักธุรกิจ  ต่อมาเสียชีวิตเนื่องจากถูกฆาตกรรมด้วยฝีมือคนขับรถของตนเอง  เมื่อเดือนมิถุนายน 2556


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 17 ต.ค. 24, 12:25

    แชร์ลูกโซ่มักแอบแฝงในชื่อว่า "ธุรกิจขายตรง" ซึ่งเป็นการค้าที่ถูกกฎหมาย   นิยมรูปแบบชนิดมีเครือข่าย  หรือ   Multi-Level Marketing: MLM    ไม่ต้องให้ผู้เข้าร่วมธุรกิจไปเช่าหรือหาซื้อทำเลร้านค้าเอาไว้อย่างการค้าขายทั่วไป  แต่สร้างทีมขายของตัวเอง เพื่อกระจายสินค้าและบริการ  แต่รายได้หลักมาจากการแนะนำและส่วนแบ่งจากยอดขายของสมาชิกใหม่ 
     การหาสมาชิกใหม่เพื่อเอายอดขายสูงๆ  เจ้าของหรือผู้บริหารบริษัทนิยมจูงใจด้วยการแถมโน่นให้รางวัลนี่ ล้วนเป็นของดีมีราคา  ยิ่งหาสมาชิกใหม่ได้มาก คนชวนยิ่งได้ของแถมแพงๆหรือเงินตอบแทนมาก  ลูกค้าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมราคาแพงเพื่อสต็อกสินค้า มากกว่าการมุ่งทำกำไรจากการขายสินค้า หรือพัฒนาทักษะสมาชิกให้สามารถปิดการขายโดยตรงกับลูกค้าได้
       ตัวอย่างคดีแชร์ลูกโซ่ที่แอบแฝงมาในรูปของการขายตรง ในอดีตที่หลายคนคงจำได้คือ “เมจิกสกิน” ผู้ผลิตเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผิดกฎหมาย  ทำเอาพรีเซนเตอร์หลายคนถูกดำเนินคดีฐานโฆษณาเท็จ อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง กระตุ้นยอดขาย หลอกล่อให้คนเข้าร่วมเครือข่ายจ่ายเงินสต็อกสินค้าจำนวนมาก และหาลูกทีมมารับซื้อสินค้าต่อให้ได้ตามยอดที่กำหนด เพื่อแลกกับค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ที่สูงเกินจริง จนมีคนหลงเชื่อจำนวนมาก สร้างมูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท
       คำพิพากษาในคดีนี้ออกมาว่า จำเลยทั้งหมดมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 วรรคแรก, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(1), พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ. 2522 มาตรา 41, 71 และจำเลยที่ 1-3 มีความผิดตามมาตรา 6(10), 25(2), 53,59 และ พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ. 2558 การกระทำของจำเลยทั้งหมดเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และฐานร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ และฐานร่วมกันโฆษณาคุณประโยชน์ สรรพคุณของอาหารโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษบทหนักสุด มีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 ให้จำคุกจำเลยที่ 2-6 กระทงละ 2 ปี รวม 59 กระทง และปรับ 5,000 บาท รวม 59 กระทง และความผิดข้อหาอื่นฯ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 17 ต.ค. 24, 12:26

  “สมาคมธุรกิจขายตรงไทย” ได้ชี้แจงรูปแบบธุรกิจขายตรงที่ถูกต้อง 8 ข้อ ดังนี้

1. ผู้ประกอบธุรกิจต้องจดทะเบียนก่อนการประกอบธุรกิจขายตรงกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค

2. ค่าธรรมเนียมในการสมัครเป็นผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรงต้องมีความเหมาะสม เงินค่าสมัครจ่ายเพื่อคู่มือความรู้ เอกสารฝึกอบรม และสินค้าตัวอย่างเท่านั้น

3. มีความรับผิดชอบต่อผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรงโดยมีแผนธุรกิจที่เป็นไปได้จริง และคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจในระยะยาว

4. การจ่ายผลตอบแทน รายได้ และตำแหน่งให้แก่ผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง ต้องมาจากการขายสินค้าหรือบริการ ไม่ใช่การระดมทุนหรือใช้เงินซื้อตำแหน่ง โดยผู้ประกอบการจะต้องยื่นแผนธุรกิจในการจ่ายผลตอบแทนเพื่อให้สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาและอนุมัติ

5. เน้นการจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพ ยอดขายมาจากการจำหน่ายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคโดยตรง ไม่ได้มาจากการกักตุนสินค้าของผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง และคำนึงถึงความพึงพอใจของลูกค้าเป็นสำคัญ

6. มีการรับประกันความพอใจของสินค้า โดยลูกค้าสามารถคืนสินค้ากับบริษัทได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

7. มีกฎระเบียบที่เข้มงวดในการดำเนินธุรกิจ เพื่อปกป้องผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง และผู้บริโภค

8. ผู้ประกอบธุรกิจ ผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนขายตรง ต้องไม่กล่าวอ้างหรือโฆษณาสรรพคุณของสินค้าเกินจริง
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 18 ต.ค. 24, 11:17

Facebook ของ คุณปราย พันแสง เล่าถึงแชร์ลูกโซ่ได้น่าสนใจ

เมื่อคืนดูคลิปบอสเล่านิทานเรื่อง“มดไต่แก้ว”แล้วนอนไม่หลับเอาเลย ยอมรับว่าเล่าเก่งโคตร
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมจึงมีเหยื่อมากมายนัก
ก็มันชวนเคลิ้มซะขนาดนี้

นานมาแล้ว สตีฟ จอบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิ้ลเคยบอกว่า "The most powerful person in the world is the storyteller.“ คนที่ทรงพลังที่สุดในโลกคือนักเล่าเรื่อง จอบส์ฟันธงไว้อย่างนั้น
เขาบอกว่า“นักเล่าเรื่อง” หรือคนที่เล่าเรื่องเป็น(storyteller) จะเป็นผู้กำหนดวิสัยทัศน์ ค่านิยม และระเบียบวาระต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้กับผู้คนทั้งเจเนอเรชั่น อาจจะกล่าวได้ว่า นักเล่าเรื่องเก่งๆ นั้นสามารถกำหนดเทรนด์หรือทิศทางของสังคมได้
ส่วนที่จอบส์ไม่ได้บอกไว้ก็คือ นักเล่าเรื่องเก่งๆ หลายคน สามารถทำให้คนคิดฆ่าตัวตาย ทำให้เกิดความฉิบหายระดับหมื่นล้านแสนล้านได้ด้วย
สิ่งที่ปรากฏต่อสังคมไทยในวันนี้    มันอาจเป็นประจักษ์พยานด้านมืด   ของ storyteller อย่างชัดๆ

“มดไต่แก้ว” เป็นเรื่องเล่าง่ายๆ เกี่ยวกับมดที่พยายามป่ายปีนออกไปให้พ้นแก้ว มดบางตัวปีนไปจนอยู่ในจุดสูงที่สุดของปากแก้ว แต่แล้วก็พลัดตกลงมา
บอสบอกไว้คมเฉียบว่า ”การตกลงมาจากจุดสูงสุดอย่างนั้น มันทำให้เจ็บที่สุด ทำให้มีมดบางตัวยอมแพั แต่ก็ยังมีมดบางตัวสู้ต่อ จนได้รับอิสรภาพในที่สุด“
“ตอนนี้รู้มั้ยมดตัวนั้นอยู่ที่ไหน”
บอสตั้งคำถามยิ้มๆ    แล้วก็ชี้มาที่ตัวเขาเอง
เคลิ้มมั้ย  ^__^
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 18 ต.ค. 24, 11:18

เอาจริง จากอาชีพอ่านๆ เขียนๆ เรื่องเล่าประเภทนี้ไม่ได้กินเราหรอก แต่สำหรับคนที่ไม่ได้คลุกคลี อีกทั้งยังต้องอยู่ในสถานะลูกข่ายที่ต้องไล่ล่าทำยอดขาย พลังของเรื่องเล่าแบบนี้มันคงพุ่งปรี๊ดทะลุปม กระแทกต่อมได้ตรงจุด
จึงไม่น่าแปลกใจถ้ามันจะทำให้ใครๆ ที่ได้ฟังครั้งแรกถึงกับน้ำตาไหลพราก ซาบซึ้งตรึงใจ
เราเองฟังเรื่องมดไต่แก้วนี้กลับไปคิดถึงอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้มีใครเคยฟังมั้ย  เป็นนิทานเรื่องกบกระโดด
เรื่องมีอยู่ว่า  มีกบตัวหนึ่งพยายามปีนออกจากบ่อลึก ทุกครั้งที่มันพยายามกระโดด เพื่อนๆ กบจะพากันตะโกนห้ามว่า "เลิกเถอะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก!"
ทว่ากบตัวนั้นไม่ยอมแพ้ สุดท้ายในการกระโดดครั้งที่ 99 มันก็กระโดดออกจากบ่อได้สำเร็จ
ความจริงของเรื่องนี้คือ
กบตัวนี้หูหนวก  มันเลยไม่ได้ยินเสียงร้องห้ามจากเพื่อนๆ เลยสักนิดเดียว
ช่างไม่ต่างอะไรเลยกับผู้เสียหายมากมาย
ที่ไม่ยอมฟังคำทัดทานจากใครเลย
เหมือนกบหูหนวก

คดีบอสๆ นี้ เราว่านิทานเรื่องมดไต่แก้วนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ที่เรารู้สึกเองว่ามันทรงพลังแห่ง storytelling จริงๆ น่าจะเป็นนิทานเรื่องจริงที่แชร์กันเยอะๆ วันนี้
เป็นคลิปเล่าเรื่องบอสพอลพาผู้ชมกลับไปทัวร์สลัมคลองเตยถิ่นเก่า พาไปชมแฟลตชั้นสองห้อง 16 ที่เคยเติบโตมา
แคปชั่นตรึงใจ “ผมไม่เคยลืม...ว่าผมเติบโตมาจากที่ไหน ชุมชนแออัดหรือที่ใครหลายคนเรียกว่า "สลัม"ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ในตอนที่ยังเริ่มต้นสร้างชีวิต”
“20 ปีที่แล้ว กับภาพในวันนี้ ทุกอย่างมันยังคงอยู่เหมือนเดิม ราวกับว่ามันหยุดเวลาไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจอะไรบางอย่าง มันคือจุดเริ่มต้น ที่ทำให้ผมไม่เคยคิดดูถูกความฝันหรือความพยายามของใคร เพราะผมก็เคยเป็นหนึ่งคน ที่ชีวิตไม่พร้อม แต่มีความฝัน ขอเป็นกำลังใจให้กับนักสู้ชีวิตทุก ๆ ท่านครับ“
คลิปถ่ายสวย ไม่เวอร์   ภาพดี เสียงดี เล่าเรื่องดี    นักแสดง(บอสพอล)แอ๊คติ้งเป็นธรรมชาติ
ไม่มีตรงไหนชวนแหวะ หรือชวนเอ๊ะเลย
ตอนโทรคุยกับแม่หน้าแฟลตเก่า พูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวไก่เจ้าอร่อยที่ยังขายอยู่นั่นก็ดูจะเป็นซีนที่น่าจดจำมากทีเดียว ถ้าไม่ติดเรื่องข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจผิดกฎหมายเนี่ย อยากเชิญคนทำคลิปนี้ไปสร้างหนังไทยเลย อยากดู
ในคลิปนี้ บอสยืนพูดหน้าแฟลตที่อีเหละเขละขละว่า ตอนที่เขายังใช้ชีวิตอยู่ในสลัมแห่งนี้  วัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าแค่อยากดูแลแม่ให้มีความสุขเท่านั้น ตรงนี้เชื่อว่าเอฟซีชมอยู่อาจน้ำตาร่วง
ตัดมาน้ำเสียงของแม่ปลายสายร่าเริงมีความสุข กับการพูดถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำที่เคยกินสมัยอยู่สลัม สื่อให้เห็นว่าเมื่อก้าวพ้นความยากจนไปแล้ว ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่ในสลัมรกรุงรังก็ยังให้ความรู้สึกงดงามวิจิตรขึ้นมาได้
ชีวิตจะดูดีทุกด้านเมื่อร่ำรวย
นั่นแหละสาร
ทุกอย่างสอดคล้องกลมกลืนลื่นไหล เป็นคลิปฟิลลิ่ง Nostalgia การรำลึกความหลังยากแค้นของเศรษฐีหมื่นล้านที่สุดละเมียดจริงแท้
ใครไม่เคลิ้มให้มันรู้ไป
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 18 ต.ค. 24, 11:21

ยอดขายระเบิดเถิดเทิง   หมื่นล้านแสนล้าน   ไม่ใช่ได้มาแบบฟลุคๆ แน่นอน
มันผ่านการเล่าเรื่องที่คัดเค้นมาแล้วอย่างประณีต เพื่อพิชิตใจมหาชนคนสามัญ  ที่คุ้นเคยชมชอบกับเรื่องดรามาชนิดซึมเข้ากระดูกดำแบบไทยๆ เราอย่างเหมาะเหม็ง
ดูคลิปนี้แล้วยิ่งไม่แปลกใจเลยสักนิด  ว่าทำไมลูกข่ายหอบเงินมาประเคนให้ เป็นหลักหมื่นแสนล้าน

เอาจริง เรื่องเล่าตรึงใจระคายต่อมพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก มันเป็นเครื่องมือสำเร็จรูปที่มีใช้กันนานแล้วในวงการต่างๆ โดยเฉพาะในแวดวงหลอกลวงต้มตุ๋น ดูเหมือนจะสร้างเม็ดเงินมหาศาลทำลายสถิติได้ทุกยุคสมัย
เรื่องเล่ากระตุ้นต่อมที่ชาวโลกรู้จักกันแพร่หลาย ก็คงจะเป็นนิทานเรื่อง“ปลาทอง" ในคดีฉ้อฉลของเบอร์นี แมดอฟฟ์ในอเมริกา ที่น่าจะอื้อฉาวพอๆ กับคดีดิ ไอคอน ในเมืองไทยตอนนี้ก็ว่าได้
สมัยนั้น เบอร์นี แมดอฟฟ์  ก็มักจะชอบเล่าเรื่องเปรียบเทียบการลงทุนกับการให้อาหารปลาทอง โดยบอกว่าต้องให้อาหารสม่ำเสมอ ไม่มากไม่น้อยเกินไป เพื่อให้ปลาเติบโตอย่างแข็งแรง
เขาใช้เรื่องนี้อธิบายกลยุทธ์การลงทุนที่ "สม่ำเสมอ" ของเขา ซึ่งในความเป็นจริงคือแผนการณ์หลอกลวงแบบพอนซี (Ponzi scheme- คล้ายแชร์ลูกโซ่ แต่ไม่มีสินค้า ใช้วิธีเอาเงินคนใหม่ไปจ่ายให้คนเก่าวนไปเรื่อยๆ )
พอนซีของแมดอล์ฟฟ์มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
แมดอฟฟ์ใช้เรื่องเล่าเกี่ยวกับปลาทองเพื่อสื่อว่ากลยุทธ์การลงทุนของเขานั้น "สม่ำเสมอ" และ "ปลอดภัย" เขาอ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่คงที่และน่าเชื่อถือได้ ไม่ว่าสภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร เรื่องเล่านี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนและทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังลงทุนกับผู้เชี่ยวชาญที่มีกลยุทธ์ที่มั่นคง
ในความเป็นจริง แมดอฟฟ์ไม่ได้นำเงินของลูกค้าไปลงทุนเลยสักนิด  เขาใช้เงินจากนักลงทุนรายใหม่เพื่อจ่ายผลตอบแทนให้กับนักลงทุนรายเก่า ซึ่งเป็นลักษณะของแผนพอนซี ผลตอบแทน "สม่ำเสมอ" ที่เขาอ้างถึงนั้นเป็นเพียงตัวเลขที่เขาสร้างขึ้นมาเอง
แผนฉ้อโกงนี้ดำเนินมานานหลายทศวรรษก่อนจะถูกเปิดโปงในปี 2008 มีผู้เสียหายจำนวนมาก รวมถึงบุคคลทั่วไป องค์กรการกุศล และสถาบันการเงิน
แมดอฟฟ์ถูกจับกุม
และถูกตัดสินจำคุก 150 ปี

เบอร์นี แมดอฟฟ์ เป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือสูงมาก เขาเริ่มอาชีพใน Wall Street ตั้งแต่ปี 1960
เคยเป็นประธาน NASDAQ (1990-1993) มีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ที่กลายเป็นพื้นฐานของ NASDAQ
เคยเป็นที่ปรึกษาให้กับ SEC (Securities and Exchange Commission) ในบางโอกาส มีความสัมพันธ์ที่ดีกับนักลงทุนชั้นนำและสถาบันการเงินขนาดใหญ่
วิธีล่าเหยื่อ นอกจากเรื่องเล่า “ปลาทอง”ที่ทรงพลัง เขายังใช้กลยุทธ์ "Split-Strike Conversion" ที่อ้างว่าสามารถสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอ อีกทั้งยังหลอกล่อสร้างความรู้สึก "exclusive" สุดๆ โดยปฏิเสธนักลงทุนใหญ่บางราย นั่นยิ่งทำให้มีคนอยากเข้าร่วมมากขึ้น
ในวันที่ 10 ธันวาคม 2008 เบอร์นี แมดอฟฟ์ สารภาพกับมาร์คและแอนดริว แมดอฟฟ์ ลูกชายทั้งสองว่าธุรกิจกองทุนของเขาเป็นแผนการณ์พอนซีขนาดใหญ่
ลูกชายทั้งสองปรึกษากับทนายความ และตัดสินใจแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ FBI โดยให้ข้อมูลที่นำไปสู่การจับกุม เบอร์นี แมดอฟฟ์ ในวันถัดมา

มาร์คและแอนดริว แมดอฟฟ์  ลูกชายทั้งสองทำงานในบริษัทของแมดอฟฟ์ แต่ทำในส่วนที่แยกออกจากธุรกิจกองทุน
พวกเขาอ้างว่าไม่รู้เกี่ยวกับการฉ้อโกงของพ่อมาก่อน การตัดสินใจแจ้งทางการเป็นการพยายามแสดงความบริสุทธิ์และความรับผิดชอบของพวกเขา
การตัดสินใจนี้นำไปสู่การแตกแยกอย่างรุนแรงในครอบครัว มาร์คและแอนดริว แมดอฟฟ์ ไม่เคยพูดคุยกับพ่ออีกเลยหลังจากนั้น
แม้จะไม่ถูกตั้งข้อหา แต่ทั้งคู่ต้องเผชิญกับความกดดันทางสังคมและทางกฎหมายอย่างมาก
มาร์คฆ่าตัวตายในปี 2010 ในวันครบรอบ 2 ปีของการจับกุมพ่อของเขา ส่วนแอนดริวเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี 2014 ทิ้ง รูธ แมดอฟฟ์ ผู้เป็นแม่ซึ่งถูกตัดขาดจากสังคมต้องใช้ชีวิตต่อไปอย่างโดดเดี่ยว

นอกจากนิทานปลาทองของแมดอฟฟ์ ยังมีนิทานอีกเรื่องที่โด่งดังไม่แพ้กัน นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า “ช้างล่ามโซ่” ที่เกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงของบริษัท One Coin
One Coin  เป็นโครงการที่อ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) แต่ในความเป็นจริงเป็นแผนหลอกลวงแบบพีระมิด (pyramid scheme) ที่ใหญ่ที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ต้มตุ๋น
รูจา อิกนาโตวา (Ruja Ignatova) ผู้ก่อตั้ง One Coin
เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 1980 ที่เมืองรูส ประเทศบัลแกเรีย ย้ายไปเยอรมนีตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จบปริญญาเอกด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอนสแตนซ์ ประเทศเยอรมนี เคยทำงานให้กับบริษัทที่ปรึกษา McKinsey & Company ในปี 2014 เธอก่อตั้งบริษัท One Coin  ซึ่งอ้างว่าเป็นสกุลเงินดิจิทัลใหม่
บริษัท One Coin  เติบโตอย่างรวดเร็ว มีสมาชิกกว่า 3 ล้านคนทั่วโลก จนกระทั่งในปี 2016 เริ่มมีการสงสัยและตรวจสอบ One Coin  ว่าอาจเป็นแชร์ลูกโซ่
วันที่ 25 ตุลาคม 2017 รูจาหายตัวไปอย่างลึกลับหลังจากบินจากโซเฟียไปยังเอเธนส์ ในปี 2019 เธอถูกฟ้องในสหรัฐอเมริกาในข้อหาฉ้อโกงและฟอกเงิน

ในการหลอกล่อเหยื่อมาลงทุน รูจา อิกนาโตวา มักใช้นิทานเรื่องช้างล่ามโซ่ในการปราศรัยบ่อยครั้ง
เธอเปรียบเทียบว่าคนทั่วไปเหมือนช้างที่ถูกล่ามด้วยโซ่ทางการเงิน ไม่กล้าที่จะหลุดพ้น เธอชี้ให้เห็นว่า One Coin  คือโอกาสที่ทุกคนจะได้ "ตัดโซ่" และเป็นอิสระทางการเงิน
นิทานเรื่องนี้นำมาใช้เพื่อกระตุ้นให้คนรู้สึกว่าตนกำลัง "ติดกับดัก" ทางการเงิน สร้างความรู้สึกว่า One Coin  เป็นทางออกเดียวที่จะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากข้อจำกัดทางการเงิน สร้างแรงจูงใจให้คนกล้าที่จะ "ทำลายกรอบความคิดเดิมๆ" และเข้าร่วมโครงการ
ในความเป็นจริง One Coin  ไม่ได้เป็นสกุลเงินดิจิทัลจริง ไม่มีบล็อกเชนที่ใช้งานได้จริง เป็นระบบพีระมิดที่สร้างรายได้จากการรับสมาชิกใหม่เท่านั้น ผู้ลงทุนไม่สามารถถอนเงินหรือแลกเปลี่ยน One Coin  เป็นเงินจริงได้
One Coin  มีผู้เสียหายทั่วโลกมากกว่า 3 ล้านคน ความเสียหายทางการเงินประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รูจา อิกนาโตวา ได้รับฉายาว่า “ราชินีคริปโต” หรือ Cryptoqueen เธอหายตัวไปในปี 2017 ทุกวันนี้ยังคงเป็นที่ต้องการตัวของ FBI
ปัจจุบัน เธอกลายเป็นหนึ่งในอาชญากรทางการเงินที่มีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัย​​​​​​​​​​​​​​​​จนทุกวันนี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 18 ต.ค. 24, 11:23

ะเห็นได้ว่า เรื่องเล่าอย่าง "ช้างล่ามโซ่" ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างอารมณ์ร่วมและกระตุ้นการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผล จึงควรระวังโครงการที่สัญญาว่าจะทำให้รวยอย่างรวดเร็วหรือหลุดพ้นจากปัญหาทางการเงินอย่างง่ายดาย
คดีนี้แสดงให้เห็นว่าเรื่องเล่าที่สร้างแรงบันดาลใจสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกลวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและไม่เป็นที่เข้าใจกันดีนักเช่น cryptocurrency

ยังมีนิทานประเภทสร้างแรงบันดาลใจอีกมากมายหลายเรื่อง ที่มักนำมาใช้ในบริบทการฉ้อโกงลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นนิทานเรื่อง“มีดเหลาดินสอ”ที่หลายคนอาจจะคุ้น พวกคอร์สอบรมต่างๆ จะเอามาเล่าบ่อย
เรื่องราวมีอยู่ว่า ดินสอบ่นว่าเจ็บเมื่อถูกเหลา แต่มีดเหลาบอกว่า "การเจ็บนี้จะทำให้เธอแหลมคมและเขียนได้ดีขึ้น“ นิทานเรื่องนี้ถูกนำมาใช้เพื่อให้แง่คิดเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากที่อาจทำให้เราได้เติบโตและพัฒนา

"นิทานเรื่องช้างและเชือกเส้นเล็ก"
เรื่องมีอยู่ว่าในคณะละครสัตว์ มีช้างตัวใหญ่ถูกล่ามด้วยเชือกเส้นเล็กๆ เด็กน้อยสงสัยว่าทำไมช้างไม่ดึงเชือกให้ขาด คนเลี้ยงช้างอธิบายว่า ตั้งแต่ช้างยังเล็ก มันถูกล่ามด้วยโซ่ใหญ่ที่ไม่สามารถหลุดได้ ช้างจึงเชื่อว่าตัวเองไม่มีทางหลุดจากการล่าม แม้โตแล้วก็ยังคิดเช่นนั้น

"นิทานเรื่องหินสลักและค้อน"
เรื่องราวของช่างแกะสลักกำลังทำงานบนหินก้อนใหญ่ เขาตีค้อนลงบนหินครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นผล คนผ่านไปมาสงสัยว่าทำไมเขาไม่ยอมแพ้ ในที่สุด หลังจากตีค้อนครั้งที่ 101 หินก็แตกออกตามที่เขาต้องการ ช่างแกะสลักอธิบายว่า "ไม่ใช่การตีครั้งสุดท้ายที่ทำให้หินแตก แต่มันเป็นผลรวมของการตีทุกครั้งที่ผ่านมา"

นิทานเหล่านี้มักถูกใช้เพื่อสื่อถึงความอดทน การไม่ยอมแพ้ และการเอาชนะข้อจำกัดทางความคิด
นิทานไม่ได้มีพิษภัยในตัวมันเอง มันเป็นเรื่องเล่าแสนวิเศษ สร้างแรงบันดาลใจได้จริง แต่เมื่อมีการนำมาใช้ในบริบทของการลงทุนหรือธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง การตีความและการนำไปใช้ กลับเป็นสิ่งที่ต้องระวัง

บางครั้งนิทานเหล่านี้ มักถูกใช้เพื่อกระตุ้นอารมณ์มากกว่าเหตุผล อาจไม่สะท้อนความเป็นจริงของสถานการณ์
ในบริบทของธุรกิจที่น่าสงสัย อาจใช้เพื่อกดดันให้คนทำในสิ่งที่ไม่ควร
การยอมรับความจริง เลิกทนและถอยออกมา ก็อาจเป็นการตัดสินใจ ที่ชาญฉลาดได้เช่นกัน

“ในยุคข้อมูลข่าวสาร ความจริงกำลังถูกบดบังด้วยเรื่องเล่าหรือเรื่องราวที่สร้างขึ้น (narratives)”
ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ เขียนไว้ในหนังสือ"21 Lessons for the 21st Century"เมื่อหลายปีมาแล้ว (21 บทเรียน สำหรับศตวรรษที่ 21 : ผู้แปล ธิดา จงนิรามัยสถิต, ดร. นำชัย ชีววิวรรธน์ , สำนักพิมพ์ยิปซี)
ฮาราริอธิบายว่าผู้คนมักเชื่อในเรื่องราวที่สอดคล้องกับความเชื่อและอัตลักษณ์ของตน มากกว่าข้อเท็จจริงที่อาจขัดแย้งกับความเชื่อนั้น และชี้ให้เห็นว่ามนุษย์มีแนวโน้มที่จะเชื่อในเรื่องเล่าที่ให้ความหมายและอธิบายโลกรอบตัว เขาบอกว่า“เรื่องเล่าเหล่านี้มีพลังมากกว่าข้อเท็จจริงเพราะมันตอบสนองต่อความต้องการทางอารมณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์”
ฮาราริเตือนว่าเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะ AI และ Big Data สามารถใช้ในการสร้างและเผยแพร่เรื่องราวที่มีอิทธิพลต่ออารมณ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (อย่างคลิปเรื่องเล่าสารพัดที่ผลิตออกมาชักจูงใจคน) เขาชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเข้าใจและจัดการกับอารมณ์มนุษย์ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
การให้ความสำคัญกับ“อารมณ์”มากกว่า“ความจริง”อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการประชาธิปไตยและการตัดสินใจที่สำคัญ เขาเตือนว่าสังคมอาจถูกชี้นำด้วยการปลุกเร้าอารมณ์มากกว่าการใช้เหตุผลและข้อมูล
ในอนาคต ทักษะทางอารมณ์และความคิดสร้างสรรค์อาจมีความสำคัญมากกว่าความรู้ทางเทคนิค เขาแนะนำว่าระบบการศึกษาควรปรับตัวเพื่อเตรียมคนให้พร้อมสำหรับโลกที่อารมณ์และความคิดสร้างสรรค์มีบทบาทสำคัญ
ฮาราริเน้นย้ำความสำคัญของการรู้จักและเข้าใจตนเอง รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราให้ได้อย่างถ่องแท้ เขาบอกว่า“การเข้าใจตนเองจะช่วยให้เราสามารถรับมือกับโลกที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยการกระตุ้นทางอารมณ์ได้ดีขึ้น”
ผู้เขียน "21 Lessons for the 21st Century" ไม่ได้บอกว่า แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่ชี้ให้เห็นว่ามันเป็นความท้าทายที่สำคัญที่เราต้องเตรียมพร้อมรับมือ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา การเมือง และการพัฒนาตนเอง เพื่อรักษาสมดุลระหว่างอารมณ์และเหตุผล ในยุคสมัยปัจจุบันที่“อารมณ์”อาจมีอิทธิพล
มากขึ้นเรื่อยๆ​​​​​​​​​​​​​​​​

จากข่าวสารประเด็นร้อนแรงในประเทศไทยวันนี้ เราก็ได้เห็นการใช้ Storytelling ในทางที่ผิดหลายเรื่อง
เรื่องเล่าถูกใช้เพื่อบิดเบือนความจริงและสร้างภาพลวงตา มุ่งเน้นการกระตุ้นอารมณ์มากกว่าการให้ข้อมูลที่เป็นจริง
นิทานเหล่านี้สร้างความเชื่อที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำเร็จและความมั่งคั่ง ทำให้คนมองข้ามความเสี่ยงและความเป็นจริงของสถานการณ์
เรื่องเล่าที่น่าประทับใจอาจทำให้ผู้ฟังลดการใช้เหตุผลและการคิดวิเคราะห์ ผู้คนอาจตัดสินใจบนพื้นฐานของ“อารมณ์” มากกว่า“ความจริง” อย่างที่ยูวัล โนอาห์ ฮาราริ กล่าวไว้ไม่มีผิด
Storytelling : นิทานหรือเรื่องเล่าที่มีประสิทธิภาพสามารถสร้างความไว้วางใจได้อย่างรวดเร็ว แม้กับคนแปลกหน้า ในกรณีของการหลอกลวง Storytelling ถูกใช้เพื่อลดความระแวดระวังของเหยื่อ เรื่องเล่าที่สวยงามอาจถูกใช้เพื่อปิดบังความจริงที่น่าเป็นห่วงหรือรายละเอียดที่สำคัญ
ในกรณีของแชร์ลูกโซ่หรือ MLM นิทาน เรื่องเล่า หรือ Storytelling ทั้งหลาย อาจถูกใช้เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่กดดันให้สมาชิกไม่ยอมแพ้ แม้จะเผชิญกับความล้มเหลว
เรื่องเล่าเหล่านี้มักเล็งเป้าไปที่ความฝันและความหวังของผู้คน ทำให้เหยื่ออ่อนไหวและเปราะบาง
ทำให้ง่ายที่จะหลอกลวง

นิทาน เรื่องเล่า Storytelling ทั้งหลาย มันไม่ได้เลวร้ายในตัวมันเอง แต่เป็นเครื่องมือที่ทรงพลัง สามารถใช้ในทางที่ดีหรือไม่ดีก็ได้
ในด้านบวก Storytelling สามารถใช้เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สอน และสื่อสารความคิดที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สิ่งสำคัญที่คนเรายุคนี้ต้องรับมือคือต้องพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการรู้เท่าทันสื่อของตัวเอง  เพื่อแยกแยะให้ออกระหว่างการใช้ Storytelling ในทางที่สร้างสรรค์หรือการใช้เพื่อหลอกลวง
บันทึกการเข้า
superboy
สุครีพ
******
ตอบ: 817


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 18 ต.ค. 24, 18:53


การใช้ Storytelling ของสื่อมวลชนไทยก็มีเยอะนะครับอาจารย์ ผมดูข่าวแต่ละช่องแล้วสงสัยทำไมต้องใส่อารมณ์มากถึงเพียงนี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 41269

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 18 ต.ค. 24, 19:06

เดาว่าเพื่อให้ไม่น่าเบื่อ   และถูกใจคนดูค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.069 วินาที กับ 20 คำสั่ง