เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33619
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 255 เมื่อ 16 ต.ค. 23, 15:46
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 256 เมื่อ 16 ต.ค. 23, 17:35
|
|
ชินจิ ทานิมูระ (谷村新司) เกิดเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๙๑ ที่จังหวัดโอซากะ (大阪) เป็นทั้งนักร้องและนักแต่งเพลง เสียชีวิตแล้วเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๖ ด้วยวัย ๗๔ ปี
ทานิมูระแต่งเพลง ฮานะ (花-ดอกไม้) บันทึกออกจำหน่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓
พ.ศ. ๒๕๓๒ สาว สาว สาว ได้รับเลือกจากประเทศญี่ปุ่นให้เป็นตัวแทนของประเทศไทยเข้าร่วมงานโตเกียวมิวสิคเฟสติวัลประจำปี ๑๙๘๙ (พ.ศ. ๒๕๓๒) ที่จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม ซึ่ง สาว สาว สาว ได้รับการต้อนรับจากแฟนเพลงชาวญี่ปุ่นอย่างอบอุ่น
ฮานะ เป็นเพลงฟินาเล่ที่ใช้ปิดงานโดยนักร้องทุกชาติต้องขับร้องเพลงนี้ร่วมกัน สาว สาว สาวประทับใจเพลงนี้มาก เพราะมีความไพเราะและความหมายที่ดีของเพลง จึงขออนุญาตจากผู้แต่งเพื่อนำเพลงนี้ไปใช้บันทึกเสียงในอัลบั้มชุดใหม่และเป็นชุดสุดท้ายด้วยในชื่อ เพลงดอกไม้ของน้ำใจ ออกจำหน่ายเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๓
พ.ศ. ๒๕๕๔ เกิดแผ่นไหวใหญ่และสึนามิในญี่ปุ่น เพลงนี้เป็นเหมือนกำลังใจจากชาวไทยให้ชาวญี่ปุ่นผู้ทุกข์ยาก
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17 ต.ค. 23, 19:34 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 257 เมื่อ 16 ต.ค. 23, 20:11
|
|
ชินจิ ทานิมูระ (Shinji Tanimura) เจ้าของเพลงดัง "Subaru " จากไปเสียแล้วในวัย 74 ปี เขาเริ่มดังตั้งแต่ปี 1971 ในฐานะสมาชิกวง Alice ได้โกอินเตอร์หลายๆ ประเทศ จนปี 1980 โด่งดังจากเพลง "ซูบารุ" กลายเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ เพลงนี้ ดอน สอนระเบียบ ได้นำมาทำเพลง “ดาวประดับใจ”
ทานิมูระดังทั้งญี่ปุ่นและจีน ส่วนทางไทย เพลง "Hana" (ดอกไม้) ที่เขาประพันธ์สำหรับงาน Tokyo Music Festival 1989 วง สาว สาว สาว นำมาทำเป็นภาษาไทยในเพลง "ดอกไม้ของน้ำใจ" แต่งเนื้อโดย แอม-เสาวลักษณ์ ลีละบุตร
ได้ยินเพลง Subaru ทีไรจะนึกถึงตอนนั่งอ่านหนังสือเตรียมสอบ คลื่นหนึ่งของเครือรายการ Nite Spot เปิดประจำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 258 เมื่อ 16 ต.ค. 23, 20:22
|
|
อย่าเพิ่งเบื่อถ้าผมจะ ‘ฉายซ้ำซาก’ ว่า ในสมัยนั้นผมไม่รู้โดยละเอียดหรอกว่าเพลงนั้น ๆ บางเพลง อย่าว่าแต่ชื่ออะไรเลย ใครเป็นคนร้องก็ยังงงๆ มันแค่เป็นเพลงทำนองกิ๊งก่อง ๆ ที่ฝังอยู่ในความทรงจำเท่านั้น ความรู้มาพอกพูนขึ้นตามอายุเมื่อผมโตขึ้นได้ฟังมามากขึ้น ประกอบกับมีปูมอันดับเพลงทั้งที่ออกตลาดในอเมริกาและอังกฤษ และมา ‘สุด ๆ’ เอาตอนยุค อตน. ที่ออกลูกหลานข้อมูลมายั้วเยี้ยให้เก็บเกี่ยวมาต่อยอด อย่าง อากู๋, Wikiฯ, youtube ฯลฯ ผมไม่ใช่ Superboy เป็นแค่ไอ้โหน่งบ้าเพลง (ฝรั่ง) ที่ในสมองมีแต่เพลงมากกว่าตำราเรียนเท่านั้นเอง นี่เป็นอีกสองเพลงที่ได้ยินตามคลื่นวิทยุ มารู้ทีหลังว่ามาจากศิลปินเดียวกัน นักร้องนำ Jay Black ตายไปแล้วตั้งแต่ ปี 2014 (เกิด 1943) ส่วน Howie Kane เพิ่งไปเมื่อ 27 มี.ค. 2023 อายุไม่ 77 ก็ 78 นำเสนอ ผมว่าเพลงนี้เพราะที่สุด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 259 เมื่อ 17 ต.ค. 23, 10:01
|
|
อุ๊ย! มีคนพาดพิง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 260 เมื่อ 17 ต.ค. 23, 19:50
|
|
อุ๊ย! มีคนพาดพิง อุ๊บส์ ... Superboy ตัวจริงอ้ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 261 เมื่อ 17 ต.ค. 23, 20:06
|
|
ไม่มีวงร้องประสานเสียงวงไหนจะดัง ทั้งในบ้านเขาและบ้านเรา เท่าวง The Ray Conniff Singers ผมสังเกตได้อย่างหนึ่งคือ เพลงร้องประสานเสียงไม่เป็นที่นิยมในอันดับเพลง วง RCS นี้ดังสุดกู่ ผลงานมีเป็นร้อย รางวัลมีเป็นกะตั๊ก แต่มีไม่กี่มีเพลงที่เข้าอันดับตารางเพลง billboard ได้ เพลงนี้ขึ้นได้สูงที่สุด (อันดับ 9) นี่เป็นเพลงบรรเลงที่ผมชอบมากที่สุด เธอใช้ชื่อว่า Ray Conniff เฉย ๆ ผลงานส่วนใหญ่ของ RCS จะเป็นการเอาเพลงของต้นฉบับมาเรียบเรียงใหม่ในสไตล์ร้องประสานเสียง เช่น... และเป็นเจ้าของผลงานอมตะ 2 ชุดที่บัดนี้ยังมีคนหาซื้อไปเปิดอยู่เป็นประจำ ผมได้ยินมาตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียน (คริสต์) ฝังอยู่ในหัวจนกระทั่งเข้ายุคบ้าแผ่นเสียงก็ไปหาซื้อมาครอบครอง ถึงตอนนั้นฟังไปแล้วมันขาดเสน่ห์ไม่เหมือนก่อน ผมว่าเป็นเพราะผมโตอีกทั้งอากาศมันไม่หนาวเหมือนสมัยก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 262 เมื่อ 18 ต.ค. 23, 20:33
|
|
นี่เป็นอีกหนึ่งเพลงประสานเสียงที่เข้าอันดับเพลง แม้ไปได้ไม่ไกลแต่ก็เพราะน่าฟังมาก ต้นฉบับแต่งโดย Burt Bacharach (who is widely regarded as one of the most important and influential figures of 20th-century popular music) ผู้ล่วงลับไปแล้ว BB นำมาเรียบเรียงให้วงประสานเสียงของตนร้อง ปรากฎว่าเป็นที่ติดอกติดใจ มีผู้บริหารตำแหน่งต่าง ๆ ในวงการเพลงต่างเช่าลิขสิทธิ์เพลงไปให้นักร้องในสังกัดของตนร้องมากมาย ฉบับที่พวกเราคุ้นหูเป็นอย่างดีร้องโดย Dionne Warwick
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 263 เมื่อ 18 ต.ค. 23, 20:40
|
|
เมื่อครั้งเริ่มงานใหม่ ๆ ในช่วงนำเสนอเพลงบรรเลงจากศิลปินที่ตายไปแล้ว ผมเคยนำเสนองานของ Roger Williams ชื่อเพลง Autumn Leaves มานึกได้ว่าเธอเคยมีผลงานขึ้นอันดับ BB อีกเพลงหนึ่ง เป็นเพลงที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนชาวบ้านคือ เริ่มต้นด้วยการบรรเลง แต่พอมาครึ่งหลังเธอจับกลุ่มนักร้องประสานเสียงชายมาลงจนจบเพลง เป็นงานที่เพราะมากและได้รับความนิยมจนขึ้นถึงอันดับ 7 ในปี 1966 มาฟังกันว่าเพราะแค่ไหน พิธีกรในรายการคือ Gary Collins เธอแสดงเป็นตัวเอกในหนังทีวีชื่อ Born Free ซึ่งดัดแปลงมาจากหนังโรงอีกที GC เคยเข้ามาดังในบ้านเราในต้นยุค 70s กับหนังทีวีสั่นประสาทชื่อ The Sixth Sense หรือชื่อไทยว่า มิติที่ 6 (แหม่ง ๆ ท่าจะเพี้ยน) เธอรับบท Dr. Rhodes นักจิตวิทยาผู้มีประสาทสัมผัสที่ 6 (เขียนแบบนี้ใช่ป่าว) มันเป็นหนังที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเด็กชายโหน่งโฉ่งโกร่ง แต่ก็ไม่เคยพลาดสักตอน ดูไปก็ใจเต้นไป แล้วก็นอนไม่หลับ โดยเฉพาะตอนผีม้ากับตอนฝาแฝดที่ตายไปคนหนึ่ง กลับมาที่เพลง Born Free เพลงนี้เคยได้รางวัล Oscar ในปี 1966 จากหนังชื่อเดียวกันที่ร้องโดย Matt Monro (became the singer's signature tune for the remainder of his career) รางวัลมอบให้กับคนแต่งเนื้อและทำนอง ไม่ใช้คนร้อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 264 เมื่อ 19 ต.ค. 23, 20:12
|
|
The Moody Blues เป็นวงชั้นดีจากอังกฤษที่เล่นเพลงแนว progressive rock แต่ตอนนั้นผมไม่รู้ประสาหรอก รู้แต่ว่าเพลงนี้โหยหวนชะมัด ต่อมาเมื่อผมได้รู้จักซี้คลาสสิค เธอก็เล่าว่าในช่วงที่วงนี้เล่นเพลงดังนี้เป็นวงในยุคต่อมา ในยุคแรกเริ่มนั้นสมาชิกเป็นคนละชุด แนวของวงก็เป็นคนละแบบ แล้วเธอก็เปิดเพลงดังในยุคที่ว่าให้ผมฟังซึ่งเพราะดี แนะนำเพลงในยุคหลังอันเป็นยุคที่ได้รับการยกย่อง (ชอบอยู่ 2 เพลงนี้แหละ) (Graeme Edge died on 11 November 2021, at the age of 80. Upon Edge's death, Justin Hayward announced that the Moody Blues had no longer been active since Edge had retired in 2018. Edge was the only member to remain with the band from formation to ending)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 265 เมื่อ 20 ต.ค. 23, 19:59
|
|
วงนี้มาจากอังกฤษ ส่งเพลงมาให้เราฟังหลายเพลงอยู่ ลองฟังดูว่าคุ้นหูบ้างไหม 2 เพลงแรกดังถล่มกรุงเทพฯ แต่สำหรับหูเด็กน้อยอย่างผม มันโฉ่งฉ่างเกินจะรับไหว ก็เลยจำได้แต่ไม่เคยชอบ มาชอบเอาเมื่อแก่และหูเริ่มชินชา ส่วนเพลงที่ 3 นี้ไม่ดังในบ้านเรา แต่เพลงกลับมาดังอย่างกว้างขวางเมื่อหนัง Four weddings and a funeral ออกฉายในปี 1994 หนังไม่มาฉายในบ้านเรา (รู้สึกมาหลังจากนั้นอีกนาน ผมดูทางม้วนวิดีโอ) แต่เพลงมาอย่างครึกโครม เป็นเสียงร้องของวง Wet Wet Wet ร้องในฉบับนุ่มนวล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 266 เมื่อ 21 ต.ค. 23, 20:17
|
|
สลับฉากด้วยเพลงบรรเลงกันหน่อย 2 เพลงที่จำได้ มักได้ยินในช่วงคั่นรายการก่อนมีรายการพิเศษหรือดีเจมาไม่ทันเวลา นำเสนอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 267 เมื่อ 22 ต.ค. 23, 20:29
|
|
Don Costa, His Orchestra & Chorus Horst Jankowski Hugh Masekela Hugo Montenegro เพลงนี้ผมเพิ่งรู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 268 เมื่อ 23 ต.ค. 23, 20:51
|
|
Laurel Canyon เป็นย่านที่อยู่อาศัยตั้งอยู่บนกลุ่มเนินเขาที่เรียกว่า Hollywood Hills ในเมือง Los Angeles รัฐ California สถานที่แห่งนี้เริ่มมีชื่อเสียงติดปากในกลางยุค 60s ถึง ต้น 70s เนื่องจากเป็นยุคที่ศิลปินเพลง rock ต่างโยกย้ายกันเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในตอนนั้นแต่ละคนยังเพิ่งตั้งไข่ การมาอยู่ใกล้กันทำให้ได้รู้จักกันแล้วเลยเถิดไปถึงการตั้งแก๊งค์มั่วสุมกันซ้อมดนตรี แต่งเพลง ต่อเพลง ฯลฯ ศิลปินเหล่านี้ต่อมาล้วนดังสนั่นและเป็นที่ยอมรับในเรื่องฝีมือในวงการเพลงไปตาม ๆ กัน เป็นต้นว่า Jackson Browne, The Byrds, Jim Morrison, Graham Nash, Neil Young, Linda Ronstadt, Carole King, The Eagles, The Beach Boys และอื่น ๆ อีกมากมาย
ผมเคยดูสารคดีเกี่ยวกับที่มาที่ไปของความมีชื่อเสียงของ Laurel Canyon อยู่ 2 ชุด สังเกตตรงเพลงประกอบตัวอย่างสารคดีทั้ง 2 จะเห็นว่ามีเพลงหนึ่งใช้ร่วมกันใน 2 สารคดีนี้
(1.52)
(0.31)
เพลงนั้นคือ California Dreamin’ ของวง The Mamas and the Papas
The Mamas & the Papas เป็นวง folk rock ที่ถือกำเนิดในช่วงกลางยุค 60s แนวของวงเป็นของแปลกใหม่ในยุคนั้นคือนำเพลง folk มาใส่จังหวะ จึงได้ชื่อว่าเป็นหัวหอกของดนตรีแนว folk rock วงนี้อยู่ในวงการแค่ 3-4 ปี (1965-1968) ก่อนจะล่มสลาย แต่ความแปลกใหม่ที่ทางวงเสนอให้ทำให้ได้รับการคัดเลือกเข้าไปอยู่ในตำนานเพลงหน้าหนึ่งของอเมริกา ได้มีชื่ออยู่ใน Rock and Roll Hall of Fame แสดงว่าสร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการเพลงอย่างยากที่จะลืมได้
สมาชิกวงประกอบด้วย 2 สาว Cass Elliot กับ Michelle Phillips และ 2 หนุ่ม Denny Doherty กับ John Phillips แต่จุดศูนย์กลางของวงอยู่ที่สาวอ้วน Cass Elliot หรือชื่อที่ทุกคนพร้อมใจกันเรียกเธอว่า Mama Cass ความดังของเธอข้ามน้ำข้ามทะเลมาถึงเมืองไทยด้วย ผมว่าคนไทยยุคนั้น (ผมคนหนึ่งละ) น่าจะจำเธอได้จากความอ้วนของเธอที่ปรากฏอยู่ตามสิ่งพิมพ์เช่นในหน้าหนังสือเพลงต่าง ๆ นส. Starpics หรือ ปกแผ่นเสียง
Mama Cass และสมาชิกอื่น ๆ ของวงก็มีบ้านอยู่ใน LC นี่เหมือนกัน ในบ้านเรา นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคทุกคนรู้จักเพลงนี้เป็นอย่างดี รวมทั้งอีกเพลงที่ดังไม่แพ้กัน (ความจริงยอดขายแผ่นฯ มากกว่าแต่ความดังกลับน้อยกว่า) ผมฟัง 2 เพลงนี้เมื่อไรจะนึกถึงบรรยากาศสดใสในหน้าร้อนของกรุงเทพสมัยเป็นเด็ก (ที่อุณหภูมิสูงสุดแค่ประมาณ 30-31 องศา) คงเป็นเพราะว่าเป็นช่วงเวลาที่เริ่มได้ยินและติดใจ 2 เพลงนี้
อีก 1 เพลงดังที่บ้านเขา บ้านเราดังน้อยหน่อย
คนสมัยนี้โชคดีได้รู้ได้เห็น 'ทุกอย่าง' ในขณะที่คนร่วมสมัย ไม่ต้องเอ่ยถึงหน้าตาหรือ 'action' เอาแค่เสียงเพลงยังต้องคอยติดตามว่าเมื่อไรดีเจจะเปิดให้ฟัง ผมจำความรู้สึกเวลาหมุนคลื่นวิทยุมาถึงเพลงโปรดแต่ปรากฏว่ามันกำลัังจะจบ (fading) ได้ แหม... มันทั้งโมโห (ที่ไม่หมุนมาถึงคลื่นนี้ให้เร็วกว่านี้) ทั้งเสียดาย (เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้ฟังอีก) อย่างไรก็ตาม ผมว่ามันคือเสน่ห์ (ของยุคก่อน อตน.) อย่างหนึ่งนะ เรื่องแบบนี้ต้องรุ่นเดียวกันถึงจะเข้าใจ ผมเล่าให้เด็ก ๆ ฟัง มันไม่ 'in' เนื่องจากไม่เคยมีประสบการณ์
ผมเคยเล่าว่าตั้งแต่เกิดมา (จนถึงยุค อตน.) เคยได้ยินเพลง I am what I am ของ Lois fletcher เพียงครั้งเดียว วันนั้นไปหาเพื่อนที่หอพักของโรงเรียน (ม.ต้น) แล้วเด็กหอฯ คนหนึ่งกำลังเปิดเพลงนี้ (ทางเครื่องเล่นแผ่นเสียง) แค่ได้ยินขณะเดินผ่านก็ติดใจ ผมยังจำได้ว่าหยุดและหยิบซองแผ่น (แผ่นก็อปปี้เล็ก) ขึ้นมาดูถึงได้รู้ชื่อเพลง แต่เพลงติดหูผมมาตลอด ผมไม่เคยได้ยินเพลงนี้ทางวิทยุ ได้ฟังเพลงนี้ครั้งที่ 2 ก็เมื่อ youtube ถือกำเนิด ซึ่งไม่ใช่กำเนิดขึ้นมาปั๊บก็หาเจอ (มารู้ในเวลาต่อมาว่า) มันเป็นเพลงที่ไม่ดังเอาเลย อีกเกือบ 10 ปีต่อมาละมังถึงมีคนเอามาปล่อย ต้นฉบับเป็นแผ่นเสียงด้วย ฝนตกยับเยิน รวมเวลาแล้วน่าจะ 30 สิบปีต่อมาละมัง กว่าจะได้ยินเป็นครั้งที่ 2 พอพูดจบมันก็หยิบมือถือขึ้นมา 'จิ้ม ๆ ปัดๆ' แล้วเพลง I am what I am ก็ดังขึ้นมา ช่างง่ายดายเสียเหลือเกิน (มาตอนนี้คุณ ๆ ท่าน ๆ คงเปิดหาเพลงนี้ฟังกันละ ผมว่า)
มีต่อ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
nathanielnong
อสุรผัด
ตอบ: 13
|
ความคิดเห็นที่ 269 เมื่อ 24 ต.ค. 23, 20:02
|
|
นั่นเป็น 3 เพลงของวงนี้ที่ผมได้ยินมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แล้วก็ชอบเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อรู้จักแผ่นเสียงและเริ่มออกท่องเที่ยวไปในโลกกว้าง วันหนึ่งก็ลองซื้อแผ่นฯ ของวงนี้มาฟัง (แผ่นฯ ไม่มีขายในเมืองไทยแล้วเพราะต่างยุคกันมาก) เลือกแผ่นรวมเพลงฮิตของพวกเขา ฟังแล้วพบว่าเพราะ ๆ ทั้งนั้นเลย เช่น
(เพลงนี้คนแต่งคือ John Phillips แต่งด่าเมียตัวเองคือ Michelle ในฐานที่ร่านมาก เที่ยวได้นอนกับผู้ชายไปทั่ว)
ส่วนเพลงนี้เล่าความเป็นมาของสมาชิกแต่ละคนของวงว่าเป็นไงมาไงถึงได้มาเจอกันและร่วมกันตั้งวงนี้ เนื้อเพลงเยี่ยมมาก ตามเนื้อเพลง ในตอนนั้นแต่ละคนยังต๊อกต๋อยกันอยู่ เพลงมาจบที่ในที่สุดวงนี้ก็ดังจนได้กับเพลง California Dreamin’ ชื่อศิลปินคนอื่นที่ผู้แต่ง (ผัวเมีย JP&MP ) เอ่ยถึงในเนื้อร้อง ต่อมาก็ดังสนั่นวงการเพลงทั้งนั้น ... Lovin’ Spoonful (Zal-Sebastian), the Byrds (McGuinn), Barry McGuire ถ้าเป็นสิงห์เพลงฝรั่งเช่นผม อ่านเนื้อแล้วสนุกชะมัด
ความดังและแปลกใหม่ของวงนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินอื่นพาดพิงถึงในเนื้อเพลงที่ตัวเองเขียน คือเพลง I dig rock & roll music ของ Peter, Paul and Mary ที่เพิ่งเอ่ยถึงไป
มีต่อ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|