ผมจำกลอนได้ 2 บท ดังนี้
" กลอนสุภาพพึงจำมีกำหนด กลอนหนึ่งบทสี่วรรคกรองอักษร
วรรคละแปดพยางค์นับศัพท์สุนทร อาจยิ่งหย่อนเจ็ดหรือเก้าเข้าหลักการ
ห้าแห่งคำคล้องต้องสัมผัส สลับจัดรับรองส่งประสงค์สมาน
เสียงสูงต่ำต้องเรียงเยี่ยงโบราณ เป็นกลอนการครบครันฉันนี้เอย "
ที่ผมสงสัยคือ ทำไมในกลอนบทนี้ถึงใช้คำว่า สลับ ไม่ใช่ สดับ เหมือนในปัจจุบันครับ
กลอนนี้มาจาก หนังสือเรียนภาษาไทย ทักษะสัมพันธ์ เล่ม ๑ ปกสีเหลือง
ผมก็ท่องมาอย่างเดียวคุณ atsk ถ้าจำไม่ผิด ผู้แต่งคือ หลวงธรรมาภิมณฑ์ (จิตร จิตรกถึก)
อยู่หนังสือประชุมลำนำ
อันที่จริง กลอนเพลงยาว กลอนสุภาพ กลอนตลาด กลอนสักวา กลอนดอกสร้อย
หรือกลอนอื่นๆ อีกมากมายหลายประเภท ก็ล้วนมีที่มาจากกลอนเพลงพื้นบ้านมาก่อน
โดยพัฒนามาจากกลอนหัวเดียว กลอนสังขลิก จากนั้นก็กลายมาเป็นกลอนเข้ารูปแบบ
ซึ่งมีลักษณะบังคับเป็นระเบียบมากขึ้น และเป็นการกลอนเขียน ไม่ใช่กลอนสดว่าปากเปล่า
อย่างไรก็ดี การเรียกแต่ละวรรคของกลอน ๑ บท ยังคงอิงตามลักษณะกลอนเพลงพื้นบ้าน
กล่าวคือ เมื่อฝ่ายหนึ่งว่าเพลงขึ้นต้นมา อีกฝ่ายฟังได้ความจากฝ่ายแรกได้ความว่าอย่างไร
ก็กล่าวเกริ่นสรุปที่ฟังได้ไว้ในวรรคแรก อันเป็นเหตุให้เรียกวรรคแรกของกลอนว่า วรรคสดับ
ทีนี้ ต่อมา คำว่า สดับ ตามปากคนไทยอะไรก็เพี้ยนไปตามธรรมชาติ ที่มุ่งให้ออกเสียงสะดวก
สดับ จึงกลายเป็น สลับ ในกลอนเขียน กลอนวรรคสดับ เป็นการเกริ่นเปิดประเด็นให้คนอ่านทราบ
ส่วน รับ หมายถึง กลอนวรรคถัดมา เป็นการกล่าวโต้ตอบความที่ฝ่ายแรก เหมือนประหนึ่ง
รับคำท้าแล้ว เนื้อความวรรคนี้เป็นการเริ่มโต้ หรือถ้าไม่โต้ ก็ต้องขยายความจากวรรคแรก
โดยให้เนื้อความรับ(สัมพันธ์)กับวรรคแรก
วรรครอง เป็นกลอนที่สนับสนุนเนื้อความวรรครับให้ชัดขึ้น หรือขยายเนื้อความต่อมา
วรรคส่ง เป็นวรรคจบลงท้าย ซึ่งต้องลงท้ายให้ประทับใจ และถ้าเป็นเพลงพื้นบ้าน
ก็จะได้ฮากันวรรคนี้ พร้อมกับทิ้งกลอนให้อีกฝ่ายแก้ต่อไปแบบแสบๆ คันๆ
อธิบายอย่างนี้ อิงตำราบ้างไม่อิงบ้าง