ยังจำได้ถึงภาพรพินทร์ ไพรวัลย์นุ่งโสร่ง ค่ะ
จะเล่าเหตุผลที่ทำไมจึงใช้โสร่งในระหว่างการทำงานสำรวจในสนาม ครับ
หลังจากเดินทำงานในดงกะเหรี่ยงมาพักหนึ่ง ก็ได้เห็นประโยชน์ของการใช้โสร่งของกะเหรี่ยงเทียบได้กับการใช้ผ้าขะม้า (เขียนอย่างไรถูกครับ ขะม้า หรือ ขาวม้า) โสร่งนั้นใช้งานได้สารพัดอย่างเท่าๆกับผ้าขะม้า ที่จริงแล้วมันก็คือผ้าขะม้าเย็บชายเข้าด้วยกันนั่นเอง ทั้งคู่ทำจากผ้าฝ้าย สามารถเลือกความหนาของผ้าเพื่อให้เหมาะกับลักษณะการใช้งานได้ ลวดลายบนผืนผ้ามีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง โสร่งจะมีลายที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก ในขณะที่ผ้าขะม้าที่ใช้กันในเกือบจะทุกพื้นที่จะเป็นลายตาตรางสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ความต่างอีกอย่างหนึ่ง คือ โสร่งมักจะเป็นผ้าทอจากโรงงานเกือบทั้งหมด ส่วนผ้าขะม้ายังคงมีการการทอด้วยมืออยู่มากพอสมควร
ผ้าขะม้านั้น ถูกนำไปใช้สารพัดงาน แต่ที่ชาวบ้านไทยนิยมใช้กันเป็นหลักนั้น ดูจะมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ ใช้อาบน้ำ ใช้โพกหัว และใช้ปูนั่งหรือนอน
โสร่งนั้น ก็ถูกใช้สารพัดงานเช่นกัน แต่ที่นิยมคือใช้ใส่เป็นเครื่องนุ่งห่มห่อหุ้มกาย ซึ่งสำหรับชาวบ้านกะเหรี่ยงนั้น ได้ใช้โสร่งเป็นผ้าห่มอีกด้วย
ช่วงหนึ่ง ผมนิยมใช้โสร่งก็เพราะเห็นว่าสะดวกในการเดินทำงานตามห้วยที่มีน้ำไหล และในห้วยขนาดใหญ่ (เช่น ห้วยขาแข้ง) เราสามารถยกชายให้สูงพ้นน้ำ จะเหน็บหยักรั้งก็ได้ โป้งโล้งดี เย็นสบาย เปียกน้ำก็แห้งใด้เร็ว แล้วก็คล่องตัวเมื่อเรือล่มในแม่น้ำที่เชี่ยว (เช่น แควใหญ่ แควน้อย)