ดูเหมือนว่า 5ปีผ่านไป ฝ่ายราชการโดยกรมศิลป์ ไม่ยอมขยับ ดังนั้นฝ่ายเอกชน จะดำเนินการเองไม่ได้หรือครับ เพื่อให้ชัดเจน ตามที่เขาสงสัยกันว่า... (ให้ไปศึกษาข้อมูลจากห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ในประเทศอังกฤษด้วย เพราะเคยมาปกครองพม่า เนื่องจากอาจจะมีหลักฐานและข้อมูลบ่งชี้เกี่ยวกับสถูปดังกล่าวบ้าง).. ในเมื่อกระทรวงต่างประเทศก็ดูไม่ขัดข้อง เงินทุนก็เเหลือเฟือ คณะดำเนินงานฯ จะขอสำเนาสมุดข่อยมาทั้งเล่ม แล้วจ้างคณะผู้เชี่ยวชาญแปลภาษาพม่าเป็นไทย สังเคราะห์ เอาเนื้อความให้ชัดๆได้ไหมว่า สมุดข่อยนี้ใครเป็นผู้บันทึก เชื่อถือได้มากแค่ไหน ตรงกับหลักฐานอื่นมากหรือน้อย ...การที่มีเนื้อหาบางส่วนสอดคล้อง แต่บางส่วนก็ขัดแย้งกับหลักฐานอื่น จะเชื่อได้แค่ไหน ขนาดชื่อกษัตริย์คู่สงครามที่ควรจะมีความสำคัญต่อการบันทึก ยังเขียนผิด จำผิด และบันทึกไว้แบบผิดฝาผิดตัวเอาชื่อพระเชษฐามาใส่พระอนุชา แล้วอย่างนี้ข้อความส่วนอื่นๆจะไปเชื่อถือได้สักเท่าไรสุสานลินซินกอง ที่นักประวัติศาสตร์ไทยรู้จัก แต่ไพล่ไปเรียกว่าสุสานล้านช้างนั้น เพราะคนพม่าเองก็ยังไม่ทราบความหมายที่แท้จริงของชื่อนี้ ซึ่งหากแปลตรงตัวก็มีความหมายว่าหอสูง จึงอาจจะให้ข้อมูลที่ผิดแล้วยังเกิดการเดาซึ่งนำไปสู่ความเข้าใจผิด ความจริงนักประวัติศาสตร์พม่าทราบแต่เพียงว่า ในอดีตเป็นสุสานสาหรับชนชันสูงที่เป็นชาวต่างชาติเท่านั้น
เมื่อความสำคัญของ parabike มีถึงเช่นนี้ หากจะเชื่อข้อมูลฝ่ายพม่าเพียงอย่างเดียวอาจมีปัญหาหากเอกสารดังกล่าวไม่มีอยู่จริง เพื่อความรอบคอบ วิจิตรจึงได้ขอให้คนรู้จักที่อยู่ในลอนดอนช่วยไปติดตามดู และยืนยันกลับมาให้ทราบด้วย
หลังจากใช้ระยะเวลาอันยาวนานและอดทน เนื่องจากในครั้งแรกเจ้าหน้าที่หาเอกสารนั้นไม่พบ สุดท้ายได้คุณเพลิน นักศึกษาที่นั่น สามารถสืบได้ตัวภัณฑารักษ์ซึ่งเป็นคนพม่าชื่อ ซาน ซาน เมย์ ผู้ค้นพบเอกสารนั้นและนำออกมาให้ ดร.ทิน หม่อง จี ดูเมื่อหลายปีที่แล้ว เธอได้กล่าวว่าเอกสารชิ้นนั้นได้ถูกย้ายที่เก็บไปอยู่ห้องอินเดีย และหมายเลขที่ถูกต้องก็คือ OMS/Mss Burmese 199 หน้า 48
คุณเพลินได้พยายามขอให้ ซาน ซาน เมย์ เป็นผู้แปลเป็นภาษาอังกฤษให้ แต่เธอทำไม่ใด้ เนื่องจากมีระเบียบบังคับอยู่ แต่ได้อ่านที่สำคัญให้ฟังโดยสรุปว่ากษัตริย์ไทยพระองค์นี้ได้มาอยู่เมืองพม่า มีพิธีพระบรมศพที่ยิ่งใหญ่ ที่บรรจุพระบรมศพอยู่ที่ Linzhin Amarapura
เป็นอันว่าหายใจโล่งอกไปได้เปลาะหนึ่ง ในอนาคตหากรัฐบาลไทยให้ความสำคัญและเป็นผู้ติดต่อดำเนินการขอหลักฐานนี้พร้อมคำแปลอย่างเป็นทางการ ก็คงไม่เหลือวิสัย
ข้างล่างคือภาพที่วิจิตรได้รับในครั้งนั้น
จากที่ผมเล่าไว้ใน คคก. ๘๙ เราก็ทำแล้ว แต่จะให้ไปขอมาแปลทั้งเล่มนั้น คุณวิจิตรบอกว่า หน้าอื่นๆก็เป็นเรื่องของเจ้านายต่างชาติระดับเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ที่มาเป็นเชลย หรือตัวประกันอยู่ในพม่า ส่วนมากเป็นเป็นชาวไทยใหญ่ เห็นว่ามีเจ้านายไทยเพียงพระองค์เดียว ที่บอกว่าเป็นพระสงฆ์ แต่ระบุนามไม่ตรงกับเนื้อเรื่อง
และจากคลิปที่ผมนำมาในคคห. ๒๕๓
http://youtu.be/I7pcdSJL_7s?t=487คุณดำรง ใคร่ครวญ รองอธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศในปี ๒๕๕๕ กล่าวว่า ทางกระทรวงได้ห้สถานทูตไทยในลอนดอนไปถ่ายเอกสารที่เกี่ยวข้องในสมุดข่อยเล่มที่ว่าส่งมาใหเ ซึ่งก็ได้รับ ๑ แผ่น เช่นเดียวกับที่คุณวิจิตรได้มาเช่นกัน
ดังนั้น สมาคมสถาปนิกสยามคงไม่ลงทุนส่งคนไปขอถ่ายมาทั้งเล่ม แล้วจ้างคนแปล เพราะไม่รู้จะทำไปทำไม ยิ่งจ้างคนไปนั่งค้นคว้าข้อมูลทางประวัติศาสตร์ กรรมการบริหารสมาคมสถาปนิกคงไม่เอาด้วย เพราะเรื่องที่ต้องทำในสมาคมเองก็มากพออยู่แล้ว
แต่ถ้าคุณสนใจใคร่รู้จริงจัง ผมก็ขอแนะนำให้คุณฟังคลิปนั้นแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะผู้พูดคนสุดท้าย ซึ่งเป็นนักวิจัยประวัติศาสตร์ คุณจะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่ใครซึ่งไม่รู้ภาษาพม่า จะไปนั่งค้นเรื่องราวต่างๆในห้องสมุดหนังสือโบราณ ซึ่งกระจัดกระจายมิได้เป็นหมวดหมู่
ส่วนเรื่องที่เอกสารเขียนชื่อพระเจ้าเอกทัศ คุณดำรง ซึ่งเรียนมาทางประวัติศาสตร์เช่นกันก็ได้อธิบายไว้แล้ว ว่าผู้บันทึกๆหลังจากที่พระเจ้าอุทุมพรสวรรคตไปแล้วเกือบ ๑๐๐ ปี ชื่อจึงสลับสับสนได้ แต่ที่ท่านเชื่อว่าใจความทั้งหมด เขาหมายถึงพระเจ้าอุทุมพร เพราะอะไร
เรื่องนี้ ผมเองมีความเห็นว่า ที่เขาเขียนอธิบายใต้ภาพกษัตริย์ที่ทรงชุดฆราวาสว่าพระเจ้าเอกทัศ ก็ถูกแล้วนี่ครับ ถ้าภาพนั้นเป็นภาพพระภิกษุตามเนื้อเรื่อง จึงน่าจะตั้งข้อสงสัย