เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 23 ก.ย. 12, 22:49
|
|
เยฟอานีเอช ----> F.R.G.S.(Fellowship of Royal Geographical Society สมาชิกราชสมาคมภูมิศาสตร์)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 23 ก.ย. 12, 23:43
|
|
ท่านเซอร์อัลเฟรด จอห์น ลอฟตัส หรือคุณพระนิเทศชลธี นอกจากเก่งทั้งทางทะเลและบนบก ยังเก่งอีกอย่างคือเป็นนักประดิษฐ์ พบว่าท่านมีประดิษฐกรรมอยู่ 2 อย่าง (เป็นอย่างน้อย) ที่ดูจะประสบความสำเร็จเอาการ 1 ตะเกียงที่เรียกว่า Loftus Patent Glycerine Lamp ซึ่งในประวัติบอกว่าใช้กันแพร่หลายในรัฐบาลหลายประเทศและในบริษัทเดินเรือหลายแห่งด้วย 2 นาฬิกาแดด เรียกว่า Royal Cylinder Axis Sun Dial ซึ่งใช้ในพระราชอุทยานหลายแห่งในสยาม
พยายามหารูปในกูเกิ้ลแต่ไม่พบ จะอธิบายรายละเอียดก็อธิบายไม่ถูกเพราะไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ใครพอจะนึกออก ช่วยกรุณาต่อความด้วยนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 06:00
|
|
กัปตันลอฟตัสประดิษฐ์นาฬิกาแดดแบบใหม่ขึ้น เรื่องมีอยู่ว่า ขณะอยู่คนเดียวท่ามกลางความสงัดของอ่าวไทยวันหนึ่งนั้น เห็นว่านาฬิกาแดดที่มีอยู่หลายแบบล้วนอ่านค่ายาก จึงเกิดปิ๊งในความคิดขึ้นถึงรูปแบบใหม่ กึ๋นอยู่ที่วิธีทำให้เกิดเงาและแผงอ่านค่าเวลาของมัน เมื่อประดิษฐ์ขึ้นมาทดสอบแล้ว สามารถอ่านเวลาท้องถิ่นในขณะนั้นได้เลยเหมือนมองนาฬิกาธรรมดา โดยมีคลาดเคลื่อนไม่เกิน28วินาที
ท่านได้ร่วมกับกัปตันริชลิวสร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเครื่องหนึ่ง ทรงโปรดให้ตั้งไว้ในสวนที่พระราชวังบางปะอิน (ทุกวันนี้ยังตั้งอยู่ที่หน้าโบสถ์วัดนิเวศธรรมประวัติ) รู้จักกันในนามว่า the Royal Cylinder Axis Sundial และได้จำลองแบบส่งไปแสดงที่เยอรมันและอิตาลี่ ได้รับความสนใจมากพอประมาณทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 08:34
|
|
ตะเกียงที่เรียกว่า Loftus Patent Glycerine Lamp ซึ่งในประวัติบอกว่าใช้กันแพร่หลายในรัฐบาลหลายประเทศและในบริษัทเดินเรือหลายแห่งด้วยตามที่ท่านอาจารย์เทาชมพูสงสัยนั้น เป็นตะเกียงที่ใช้ในการเดินเรือครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 08:37
|
|
ปกติทะเลกว้างใหญ่ไพศาลยากที่เรือจะวิ่งมาประสานงากันได้ก็จริง แต่ในบางตำแหน่ง เช่นในร่องน้ำระหว่างแม่น้ำกับทะเลเป็นต้น มันมักจะแคบเสียจนเรือที่วิ่งสวนกันเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย โดยเฉพาะในยามค่ำคืน
ท่ามกลางความมืดมิด เมื่อเรื่มเห็นแสงของเรือตรงหน้าไกลออกไปนั้น ไม่ทราบหรอกครับว่า เรือลำนั้นอยู่ในทิศทางที่วิ่งมาหาเรา หรือวิ่งในทิศทางเดียวกับเราแต่ความเร็วต่างกัน ควรจะหลบเรือไปทางซ้ายหรือขวาดี ชาวเรือเขาจึงคิดทำตะเกียงข้างเรือขึ้น กำหนดให้ข้างซ้ายมีแสงสีแดง ข้างขวามีแสงสีเขียว และแสงสีธรรมดาอยู่ด้านท้ายเรือ พอเรือเห็นแสงตะเกียงของกันและกันจะรู้อะไรเป็นอะไรได้โดยทันที และจะตั้งเข็มหลบเรือไปทางด้านขวาเสมอ ถือเป็นกฎสากลปฎิบัติ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 08:39
|
|
สมัยนี้มันง่ายเพราะใช้แสงจากไฟแบตตารี สมัยก่อนที่ต้องใช้ตะเกียงจุดไฟที่แสงริบหรี่(เพราะต้องประหยัดเชื้อเพลิงไว้ใช้นานๆด้วย) กว่าจะมองเห็นกันก็ยาก ลองมโนภาพสมัยที่เรือยังใช้ใบกันอยู่ ไม่มีเสียงเครื่องยนต์ และบางทีเมฆหมอกลงสลัว กว่าจะรู้ตัวก็หลบกันไม่ทันเสียแล้ว กัปตันลอฟตัสสามารถคิดค้นเอากลีเซอรีน ซึ่งเป็นสารที่มีลักษณะเป็นไขแข็งตัวได้ พอเติมสีลงไปแล้วจะโปร่งแสง มาทำเป็นแผ่นเลนซ์โค้งใช้สำหรับตะเกียงนำร่อง ได้รับการพิสูจน์รับรองว่าแสงสีแดงที่ผ่านตะเกียงไป จะสามารถมองเห็นได้ถึงระยะ9000หลา สีเขียว6000หลา และแสงก็สดใสกว่าของเดิมๆ แถมยังไม่แตกเมื่อเรือผจญพายุ หรือดับเพราะแรงอัดอากาศเวลายิงปืนใหญ่
สิทธิบัตรที่กัปตันลอฟตัสจดทะเบียนไว้นี้ คงเป็นรายได้แบบน้ำซึมบ่อทรายนานตราบกระทั่งใครไม่รู้ คิดค้นแบตตารีได้ ตะเกียงลอฟตัสชาวเรือสมัยนี้เลยไม่รู้จัก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 09:02
|
|
^
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 09:24
|
|
สิทธิบัตรจากตะเกียงและนาฬิกาแดดที่คุณพระนิเทศชลธีจดไว้ในต่างประเทศคงจะทำรายได้ให้ท่านได้ดีมิใช่น้อย พอเป็นรายได้อีกทางหนึ่งนอกเหนือจากเงินเดือนที่ได้จากรัฐบาลสยาม พูดถึงเรื่องค่าตอบแทน ดิฉันคิดว่าในรัชกาลที่ 5 มีการจ่ายเงินเดือนขุนนางกันแล้ว แต่เงินเดือนข้าราชการไทยกับข้าราชการฝรั่งคงจะต่างกันหลายเท่าตัว เห็นได้จากเงินพระราชทานเลี้ยงชีพ หรือสมัยนี้เรียกว่าบำนาญตกทอดที่คุณนายอาลาบาศเตอร์กับลูกๆได้รับหลังพ่อตาย ปีละ 30ชั่ง หรือ 300ปอนด์ ส่วนบุตรได้ปีละ 20ชั่ง หรือ 200 ปอนด์ นับว่าเป็นเงินรายได้อย่างงามทีเดียวสำหรับฝรั่ง เทียบรายได้สมัยวิคตอเรียน ครูพี่เลี้ยง (governess) ได้ประมาณปีละ 50 ปอนด์ ถ้าเป็นพ่อค้าระดับเถ้าแก่ ก็ค้าขายมีรายได้ปีละ 600-700 ปอนด์
ส่วนเงินเดือนข้าราชการไทยได้เท่าใด ย้อนกลับไปเปิดประวัติเจ้าพระยามหิธรดู พบว่าในพ.ศ. 2438 เมื่อเป็นเสมียนเอก ท่านได้เงินเดือน 40 บาท ก็ตกปีละ 480 บาท หรือ 6 ชั่ง
ถ้าหากว่าฝรั่งไม่ได้เงินเดือนมากเท่านี้ คงจะไม่ยอมทิ้งบ้านเรือนมาอยู่คนละซีกโลก เพราะถึงอยู่ในเมืองหลวงก็ไม่สะดวกสบายเหมือนบ้านตัวเอง ของกินของใช้ก็ขาดแคลน รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บในเมืองร้อนด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 18:58
|
|
ไปหาเงินเดือนของคุณพระนิเทศชลธีมาได้ พบว่าใน พ.ศ.๒๔๒๑ โปรดเกล้าฯ ให้กัปตัน ลอฟตัส เป็น พนักงานเซอรเว ในสังกัดกรมทหารมหาดเล็ก รับพระราชทาน เงินเดือนๆ ละ ๒๕๐ เหรียญ (๕ ชั่ง) ก็ตกปีละ ๓๐๐๐ เหรียญ หรือ ๖๐ ชั่ง เท่ากับ ๖๐๐ ปอนด์ หลังจากนั้นอีก ๘ ปี ในวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๒๙ ท่านได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระนิเทศชลธี ตำแหน่งเป็นเจ้ากรมเซอรเวทางน้ำ สังกัดกรมท่ากลาง ถือศักดินา ๘๐๐
ยังค้นไม่เจอว่า คุณพระนิเทศชลธีถวายบังคมลาออกจากราชการ เพื่อกลับไปใช้ชีวิตวัยเกษียณในอังกฤษในพ.ศ.ใด พบแต่ว่าท่านถึงแก่กรรมเมื่อค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2442) รวมอายุ 63 ปี ในประวัติกล่าวสั้นๆว่าท่านใช้ชีวิตอยู่ในสยามนานกว่า 25 ปี ไม่ทราบอีกอย่างคือครอบครัวของท่าน ว่ามีบุตรภรรยาชาวอังกฤษหรือไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 24 ก.ย. 12, 21:06
|
|
คอลัมน์สังคมไฮโซบางกอกซุบซิบว่า คุณนายลอปตัสและเด็กๆจะลงเรือยอท์ชของสยามชื่ออเลกซานดราที่สามีเป็นกัปตันเรือ นำV.I.P.ไปทัศนศึกษาชายฝั่งทะเลตะวันออกของอ่าวไทย โดยจะไปขึ้นที่อ่างหิน และรอที่นั่นจนกว่าเรือจะกลับมารับ
คุณนายลอปตัสเป็นคนอังกฤษแน่เลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 25 ก.ย. 12, 06:56
|
|
ข่าวคุณนายให้กำเนิดบุตรชายในกรุงเทพ วันที่ 22 มกราคม 1871
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33587
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 25 ก.ย. 12, 11:23
|
|
สรุปประวัติการทำงานของคุณพระนิเทศชลธี โดยการบวกลบปีศักราชเอาเองจากประวัติที่ลงในข่าวมรณกรรมของท่านที่อังกฤษ - เกิดเมื่อค.ศ. 1836 (พ.ศ. 2379) - อายุ 13-19 เป็นนักเรียนนายเรือ - จากนั้นเดินเรือสำรวจในดินแดนไกลๆทางตะวันออกหลายแห่ง - เข้ามารับราชการในสยามเมื่ออายุ 35 ปี ในค.ศ.1871 (พ.ศ.2414) เมื่อรัฐบาลสยามทำสัญญากับรัฐบาลอังกฤษแบบช่วยเหลือซึ่งกันและกัน โดยว่าจ้างนายนาวาโท อัลเฟรด เจ. ลอฟตัส (Alfred J. Loftus) พร้อมกับ มิสเตอร์ จอห์น ริชาร์ดส์ ซึ่งเป็นนายทหารที่เคยเข้ามาสำรวจในอดีต ให้เข้ามารับราชการเป็นหัวหน้าสำรวจแผนที่ทะเลขึ้นกับกรมพระกลาโหม เพื่อทำการสำรวจต่อจากที่อังกฤษได้ทำไว้แล้ว ในปีเดียวกันนี้ เป็นผู้บังคับการเรือปืนพิทยัมรณยุทธ(Regent) นำนายโทมัส น๊อกซ์กงสุลใหญ่อังกฤษ ตามเสด็จพระราชดำเนินเยือนอินเดียของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยร่วมขบวนไปกับเรือพระที่นั่งและเรืออื่นๆที่บรรทุกผู้ตามเสด็จ - อายุ 39 ปี อยู่สยามมาได้ 4 ปี นำนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษไปสังเกตปรากฏการณ์ดาวศุกร์ผ่านหน้าดวงอาทิตย์ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2418 ในสยาม - อายุ 35-55 ปี มีภารกิจหลักรับผิดชอบการสำรวจชายฝั่งทะเล แม่น้ำต่างๆ เส้นทางปักเสาโทรเลขและทางรถไฟเพื่อทำแผนที่ - อายุ 47 ปี ในปี 1883 (พ.ศ.2424) ร่วมกับคณะสำรวจฝรั่งเศสภายใต้การนำของนายนาวาโทบิลลิยงเพื่อศึกษาภูมิประเทศของคอคอดกระตามแนวที่อาจจะขุดคลอง - จากนั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เซอร์ - อายุ 51 ปี (ค.ศ.1887) เซอร์อัลเฟรด ลอฟตัสได้กลับอังกฤษอีกครั้งเพื่อร่วมงานฉลองสิริราชสมบัติครบ50พรรษาของสมเด็จพระบรมราชินีนาถวิกทอเรีย ณ ราชสำนักเซนต์เจมส์ - ลาออกจากราชการสยาม กลับภูมิลำเนาในอังกฤษ - ถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 63 ปี ในค.ศ. 1899 (พ.ศ. 2442)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
V_Mee
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 25 ก.ย. 12, 12:39
|
|
ขออนุญาตแทรกความรู้เรื่องทหารเรือไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในยุคที่เรายังต้องใช้ฝรั่งเป็นผู้บังคับการเรือ ซึ่งเรื่องนี้ นายพลเรือโท พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรอุดมศักดิ์ เสนาธิการทหารเรือ พระยศและตำแหน่งในเวลานั้น ทรงพระนิพนธ์ไว้ใน เรื่อง “ความเจริญแห่งราชานาวี” ที่ประทานไปลงใน ดุสิตสมิต เล่ม ๖ (ฉบับพิเศษ สำหรับเปนที่ระฤกเนื่องในงานเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ ๓ มกราคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๒) ว่า
“ในระหว่างที่ชาวต่างประเทศเปนผู้บังคับบัญชา (นายงาน) อยู่นั้นก็หาได้ตั้งใจจะฝึกสอนให้คนไทยมีความรู้สำหรับทำการในน่าที่ และมิได้จัดการบังคับบัญชา ให้เปนระเบียบแบบแบบธรรมเนียมของทหารอันมียุทธวินัย, เปนแต่เวลาทำงานก็ใช้แรงทำงานและข่มขี่อย่างทาษ; ส่วนความประพฤติของทหารนั้นมิไยใคร จะประพฤติเกะกะเกกมะเหรกละเมิดบทกฎหมายหรือต้องโทษต้องทัณฑ์อย่างไรก็ช่าง "มิหนำซ้ำในสมัยนั้น ถ้าจะมีใครกล่าวขวัญถึงราชนาวีด้วยบ้าง ก็ไม่ต่างกัน กับกล่าวขวัญถึงกุลีของรัฐบาลพวกหนึ่งสำหรับใช้ทางเรือ (ในทเล, ลำน้ำ, ลำคลอง, และเบ็ดเตล็ดจุกจิกอื่นๆ อีกเอนกประการ)”
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 25 ก.ย. 12, 13:45
|
|
^ เรื่องที่คุณวีหมีกล่าวมานี้เห็นทีจะต้องว่ากันอีกยาว แต่ตอนนี้ขอผลัดไปก่อนนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 25 ก.ย. 12, 13:50
|
|
ในฐานะผู้ตรวจสอบงานสำรวจรังวัดและรับรองความถูกต้องของนายนาวาเอก พระนิเทศชลธีหน่วยงานในความรับผิดชอบของท่านได้ผลิตแผนที่อันมีคุณค่าสำหรับประเทศผู้เป็นเจ้าของ ท่านได้ตีพิมพ์แผนที่สยามและประเทศราชขึ้นหลายแบบหลายฉบับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|