เบื้องหลังการโจมตีทางอากาศ ความเสียหายของกองทัพเรือมีมากกว่านี้ สนามบินน้ำในอ่าวฉลองทหารไทยถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว ความสูญเสียทั้งหมดผมค้นพบในอินเทอร์เน็ตสั้นๆ ใจความว่า เครื่องบินทะเล บรน.2 หรือนากาชิมาเสียหาย 2 ลำ ทว่าตัวเองบังเอิญเจอบทความเขียนโดยพลเรือตรีสนอง นิสาลักษณ์ ผู้บังคับฝูงบินประจำอ่าวฉลองในช่วงเวลาดังกล่าว จากหนังสืออนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพพลเรือเอกสินธุ์ กมลนาวิน (หลวงสินธุสงครามชัย) จึงขอคัดลอกมานำเสนอเพื่อความสมบูรณ์ของบทความ
สมัยหนึ่งกองทัพเรือไม่ค่อยสนใจต่อการข่าวนัก กับยังได้ยินนายทหารผู้ใหญ่ฝ่ายการข่าวพูดทีเล่นทีจริงว่า เจ้ากรมข่าวนั้นทำหน้าที่เหมือนผู้จัดการโรงแรมหรือหัวหน้าฝ่ายรับรองทำนองนั้น เพราะงานออกหน้าออกตาของกรมข่าวสมัยนั้นก็คือการรับรองชาวต่างประเทศ และข้าพเจ้าก็มีเรื่องติดใจเกี่ยวกับการข่าวควรแก่การศึกษาคือ
ตอนท้ายของสงครามโลกข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้ไปเป็นผู้บังคับฝูงบินประจำฐานบินที่อ่าวมะนาวจังหวัดภูเก็ต มีหน้าที่ลาดตระเวนฝั่งทะเลมหาสมุทรอินเดีย และทำการบินคุ้มกันเรือพาณิชย์ที่เดินระหว่างภูเก็ตกับกันตัง จังหวัดตรัง ข้าพเจ้าประจำทำงานอยู่ในตำแหน่งนั้นจนกระทั่งถูกกองเรือบรรทุกเครื่องบินอังกฤษอันประกอบด้วย เรือบรรทุกเครื่องบิน 1 ลำ เรือลาดตระเวน 1 ลำ กับเรือคุ้มกันอีก 10 กว่าลำ เข้ามาทิ้งระเบิดและระดมยิงฐานบินและเครื่องบินที่มีอยู่ทำให้เกิดไฟไหม้เสียหายหมดสิ้น
ทั้งนี้ตลอดเวลาข้าพเจ้าไม่เคยได้รับข่าวสารจากกองทัพเรือเลย จริงอยู่หน่วยทหารที่อยู่ในแนวรบมีหน้าที่ต้องหาข่าวทางยุทธการและเราก็กระทำอยู่ แต่ข่าวการเคลื่อนกำลังกองทัพเรือของอังกฤษน่าจะได้รับทราบจากหน่วยเหนือมิทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้าพเจ้าถอนตัวกลับมาถึงกันตังแล้วและคุยกับนายทหารญี่ปุ่นซึ่งเคยประจำอยู่ ณ สนามบินที่จังหวัดภูเก็ต ทราบว่าทหารญี่ปุ่นถอนตัวออกจากเกาะภูเก็ตหมดสิ้นแล้วก่อนกองเรืออังกฤษจะเข้ามาทิ้งระเบิดและระดมยิงชายฝั่ง ซึ่งแสดงว่าเขารู้ข่าวจึงทำให้เขาไม่ได้รับความเสียหาย
ผู้ที่ไม่อยู่ในสนามรบขณะนั้นอาจตั้งคำถามว่า ทำไมข้าพเจ้าไม่ประสานงานกับญี่ปุ่นเรื่องขาวสารการเคลื่อนไหวของข้าศึก ข้าพเจ้าก็ใคร่ที่จะแถลงว่าการทำงานของฝ่ายเราในขณะนั้น ไม่อยู่ในฐานะที่จะสร้างความไว้วางใจให้กับญี่ปุ่นจนถึงขั้นที่จะให้ความร่วมมือกันได้สนิทนัก สรุปก็เก็บเอาไว้เป็นบทเรียนเพื่อปรับปรุงวิธีปฏิบัติต่อไปในอนาคต
ข้อมูลจากบทความพลเรือตรีสนอง นิสาลักษณ์ สามารถอธิบายได้ดังนี้
1.เครื่องบินทะเลทุกลำถูกยิงถล่มเสียหายอย่างหนัก แต่ไม่ทราบจำนวนไม่ทราบว่าซ่อมแซมได้หรือไม่
2.วันที่ 24 ถึง 25 กรกฎาคม 2488 ฝูงบิน 804 ประจำเรือบรรทุกเครื่องบิน HMS Ameer ไม่ได้ทำลายเครื่องบินญี่ปุ่นแต่เป็นเครื่องบินกองทัพเรือไทย ต่อมาในวันที่ 26 กรกฎาคม 2488 จึงได้บินไปทิ้งระเบิดสนามบินญี่ปุ่นที่คอคอดกระ ก่อนถูกญี่ปุ่นย้อนรอยกลับมาทวงแค้นด้วยฝูงบินกามิกาเซ่
3.แต้มสะสมบนเรือบรรทุกเครื่องบิน HMS Ameer ส่วนหนึ่งเป็นเครื่องบินทะเลกองทัพเรือไทย
4.บนเกาะภูเก็ตไม่มีทหารญี่ปุ่นแม้แต่รายเดียว เครื่องบินญี่ปุ่นที่ย้ายออกไปก่อนไม่ทราบชะตากรรม อาจอยู่สนามบินคอคอดกระแล้วถูกถล่มยับเยินก็เป็นได้
การเขียนบทความสมควรมีข้อมูลครบทุกฝ่าย โชคร้ายเหลือเกินผมไม่มีข้อมูลจากญี่ปุ่นแม้แต่นิดเดียว จึงขาดมุมมองที่สนใจมากที่สุดมุมมองนี้ไป ปฏิบัติการโจมตีภูเก็ตจัดอยู่ในลำดับความลับสุดยอดมากที่สุด ทว่าญี่ปุ่นกลับรับรู้เรื่องราวคล้ายตัวเองเข้าไปนั่งกลางที่ประชุมฝ่ายสัมพันธมิตร
คำถาม : พวกเขารู้ความเคลื่อนไหวอังกฤษได้อย่างไร?
คำตอบ : น่าจะได้รับแจ้งข่าวจากค่ายทหารญี่ปุ่นบนเกาะสุมาตรา
คำถาม : พวกเขาเคลื่อนกำลังพลออกจากเกาะอย่างเงียบกริบได้เช่นไร?
คำตอบ : การข่าวทหารไทยในพื้นที่ไม่ดีเท่าไร การข่าวจากกองบัญชาการที่กรุงเทพก็ไม่ดีเช่นกัน เครื่องบินและทหารญี่ปุ่นจำนวนมากเวลาเคลื่อนพลปิดบังไม่ได้แน่นอน ถ้ามีแนวที่ห้าประกบติดฐานทัพญี่ปุ่นถึงเคลื่อนทัพตอนกลางคืนก็ต้องรู้
ภาพประกอบคือเครื่องบินทะเล บรน.๓ หรือ AICHI E13A Type Zero Model 11 ซึ่งกองทัพเรือมีใช้งานจำนวน 3 ลำ ไม่ทราบจริงๆ ว่าอยู่ที่ภูเก็ตในวันถูกโจมที่ทางอากาศด้วยหรือไม่