การที่เราค้นหาข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง แต่อาจเป็นการไปกระทบกับความเชื่อเดิมว่าเจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์มีตัวตนจริง แล้วก็กราบไหว้เคารพบูชากันมาจนถึงปัจจุบัน คุณเทาชมพูมีข้อคิดเห็นประการใดมั้ยครับ หรือว่าควรปล่อยไปตามกระแสของสังคมนั้น ๆ
หากความเชื่อเรื่องเจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ (จัน) เป็นประวัติศาสตร์จากโลกวิญญาณ หรือ ประวัติศาสตร์ฉบับนั่งทางใน อาจารย์คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้เวลาเราพูดถึง “ความจริง” คล้าย ๆ มันมีหลายระดับ เช่น ระดับ fact คือระดับข้อเท็จจริง หมายถึงสิ่งที่พิสูจน์ได้ในทางประสาทสัมผัสและสามารถโต้แย้งถกเถียงกันได้หากมีหลักฐานที่ถูกต้องหรือดีกว่า ระดับ reality หรือความจริงที่ไม่เกี่ยวกับมุมมองของเรา เพราะเป็นความจริงนอกตัวเราที่จริงอยู่อย่างนั้น เรื่อยไปจนถึงระดับ truth หรือสัจธรรมอันเป็นความจริงนิรันดร คล้าย ๆ ความจริงสูงสุดที่มีลักษณะนามธรรมยิ่งกว่าทุกระดับ
ในชีวิตประจำวันดูเหมือนเราใช้ความจริงระดับ “ข้อเท็จจริง” มากกว่าระดับอื่น ส่วนศาสนาและปรัชญานั้นล่วงล้ำเข้าไปถึงเขตแดนความจริงระดับสัจธรรม ทว่าปรัชญาต่างกับศาสนาตรงที่ไม่ได้อ้างสัจธรรมหนึ่งเดียวโดยอาศัยความเชื่อ แต่ถือว่าแม้แต่การพูดถึงสัจธรรมก็อยู่ในข่ายแห่งการถกเถียงโต้แย้งด้วยเหตุผลได้
เดิมทีนักปรัชญาพยายามหาเส้นแบ่งระหว่าง “ความจริง” กับ “ความเชื่อ” ให้ชัดเจน ต่อมาดูเหมือนจะให้ความสนใจความสัมพันธ์ระหว่างสองสิ่งนี้มากกว่า เพราะเส้นแบ่งที่ว่านี้พร่าเลือนลงหลังยุคโพสต์โมเดิร์น
การแยกแยะหาเส้นแบ่งระหว่างความเชื่อกับความจริงยังคงเป็นเรื่องจำเป็นมากโดยเฉพาะในสังคมไทยที่ดูเหมือนความเชื่อจะนำความจริงไปซะทุกเรื่อง ถึงขนาดแม้จะมี “ข้อเท็จจริง” ที่ขัดแย้งกับความเชื่อนั้นก็ตาม ยิ่งหากความเชื่อนั้นถูกตอกย้ำจนกลายเป็นศรัทธาแล้วมีธงความดีหรือ “เจตนาดี” นำไปด้วย คนก็จะยิ่งละเลยทั้งข้อเท็จจริงหรือความจริงออกไปอีก
ประวัติศาสตร์ถกเถียงกันด้วย “หลักฐาน” เท่าที่มี แต่แน่นอนว่าหลักฐานอาจไม่สมบูรณ์หรือขัดแย้งกัน มันจึงถูกตีความหรือโต้แย้งได้ การสร้างเรื่องราวขึ้นมาลอย ๆ โดยอำนาจวิเศษจึงไม่ควรถูกเรียกว่าประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำ เพราะมันอยู่ในฟากของความเชื่อเต็ม ๆ ใครอยากจะเชื่ออะไรก็เชื่อไป เป็นสิทธิของท่าน หากความเชื่อนั้นมันไม่ไปละเมิดสิทธิของคนอื่น แต่ท่านเชื่ออะไร คนอื่นก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่ออย่างท่าน แล้วก็ไปบังคับเขาไม่ได้ รวมทั้งหากเขาจะโต้แย้งวิพากษ์วิจารณ์ก็เป็นสิทธิของเขาด้วย
การเลือกเอาศรัทธาและความดีเป็นข้ออ้าง เราก็ได้สร้างสังคมที่ปฏิเสธความรู้ขึ้นมา แม้ความรู้นั้นอาจสร้างขึ้นจากข้อเท็จจริงและหลักฐานก็ตาม สังคมเราจะเป็นอย่างไร มันจะไม่กลายเป็นสังคมแห่งความรู้หรือสังคมแห่งปัญญาในความหมายที่ควรเป็น เพราะสุดท้ายความรู้บางอย่างจะถูกปฏิเสธหากมันขัดกับความศรัทธาหรือความดี ในขณะเดียวกัน ความรู้ที่เหลืออยู่จะถูกเอาไว้รับใช้ความเชื่อหรือความดีเท่านั้น
ตัวแปรสำคัญอีกอย่างในการก่อรูปสังคมที่ปฏิเสธความรู้คือบรรดาผู้วิเศษนี่แหละ การอ้างคุณวิเศษที่พิสูจน์ไม่ได้เป็นอำนาจอย่างหนึ่งของสังคมที่ถูกฝึกไม่ให้พึ่งตัวเอง เราต่างถูกฝึกให้พึ่งผู้วิเศษอยู่เสมอโดยไม่รู้ตัว พึ่งในครอบครัว ในระบบการศึกษา ในศาสนา ในการเมือง ไปจนระดับรัฐจากบทความเรื่อง ประวัติศาสตร์ฉบับนั่งทางใน บนเส้นแบ่งของความรู้-ความจริง-ความเชื่อ กับข้ออ้างแห่งศรัทธาในสังคมอุดมผู้วิเศษ โดย คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
https://www.matichonweekly.com/column/article_325686