เชียงใหม่เป็นอีกหนึ่งเมืองสำคัญระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ผมมีข้อมูลจากบทความ ‘สะป๊ะตะวา เรื่อง สงครามโลกครั้งที่ 2 ในเมืองเชียงใหม่’ มาเล่าสู่กันฟัง ต้นทางมีหลายตอนผมขอลงแค่ตอนเดียวก่อนให้พอเห็นเป็นน้ำจิ้ม ลิงก์ต้นทางสูญหายไปแล้วพอดีข้อมูลพวกนี้ผมเซฟไว้ถือว่าโชคดีมาก
เดิมเชื่อว่าสมัยก่อนด้านหน้า ร.ร.มงฟอร์ตประถมมีโรงพักเล็กๆอยู่ก่อนที่จะยุบมาตั้งเป็นโรงพักแม่ปิง ใกล้ตลาดวโรรส แต่เมื่อได้พูดคุยกับมาสเซอร์สมาน ผอนตระกูล อายุ ๖๗ ปี เป็นครูรุ่นแรกๆของ ร.ร.มงฟอร์ต เริ่มสอนเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๖ บ้านอยู่ละแวกหน้ามงฟอร์ต ยืนยันว่ามีโรงพักด้านหน้า ร.ร.มงฟอร์ตจริงๆ เป็นอาคารไม้ใต้ถุนเตี้ย บันไดขึ้นด้านหน้า ด้านบนมีสัก ๓ ห้อง มีเวรยาม ราวปืนเหมือนโรงพักทั่วไป น่าเชื่อว่าเป็นโรงพักย่อยของสภ.อ.เมืองเชียงใหม่ เพื่อควบคุมดูแลปราบปรามการลักลอบฆ่าสัตว์โดยเฉพาะ เนื่องจากย่านช้างตลานมีการลอบฆ่าสัตว์กันทั้งนั้น ไม่แน่ใจ ว่ารื้อเลิกไปปีใด แต่ราวปี พ.ศ.๒๔๙๕ ยังมีอยู่เพราะว่ามาสเซอร์สมาน ยังได้ไปเล่นตะกร้อกับตำรวจด้านหน้าโรงพักอยู่ ส่วนโรงพักแม่ปิงมีมานานแล้ว ย่านช้างคลาน ในอดีตมีอาชีพฆ่าวัวกันแทบทุกบ้าน บ้านละ ๓ – ๔ ตัว แม่น้ำปิงในละแวกนี้ จึงลงเล่นไม่ค่อยได้ และไม่สะอาดเหมือนที่อื่น เนื่องจากเป็นที่ทิ้งกระดูกวัว จะเห็นกระดูกวัวกองริมแม่น้ำขาวโพลนทั่วไป ต่อมาเมื่อมีการตั้งโรงงานทำปุ๋ย จึงมีการเก็บกระดูกสัตว์ขายเข้าโรงงานทำปุ๋ย
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.2484-2488) ที่รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงครามประกาศเป็นฝ่ายเดียวกับญี่ปุ่นและยอมให้ทหารญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทย เพื่อเข้าประเทศพม่า บรรยากาศในเมืองเชียงใหม่ช่วงนั้น จะมีทหารพม่ามาตั้งกองทหารตามวัดโดยทั่วไป แทบจะทุกวัด เช่น วัดศรีดอนไชย, วัดหมื่นเงินกอง, วัดช่างเคี่ยน, ร.ร.วัฒโนทัยพายัพ ส่วนคลังน้ำมันขนาดใหญ่ของทหารญี่ปุ่นอยู่บริเวณด้านหน้าวัดสวนดอก บริเวณรพ.ประสาทในปัจจุบัน โดยเฉพาะที่สนามบินมีกองกำลังทหารญี่ปุ่นและมีเครื่องบินของญี่ปุ่นมาจอดเพื่อบินไปโจมตีพม่า มองจากย่านช้างคลานเห็นได้ชัด เนื่องจากสมัยก่อนเป็นทุ่งโล่ง เครื่องบินญี่ปุ่นไม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ลำ จุดสนามบินจึงเป็นจุดที่เครื่องบินสัมพันธมิตร (ฝ่ายอเมริกา) ที่ใช้ฐานทัพที่เมืองคุนหมิงประเทศจีนบินมาโจมตีอยู่เสมอ อีกจุดหนึ่งที่ถูกโจมตีคือ สถานีรถไฟ
ผู้คนจะต้องขุดหลุมหลบภัยในบ้านของตนเอง แม้แต่ในโรงเรียนมงฟอร์ตก็ต้องขุดไว้ด้วย เป็นหลุมขนาดให้คนเข้าไปอยู่ได้พอสบาย สูงประมาณแค่อกยาวเป็นรูปฟันปลา เมื่อเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรบินมาโจมตี ทางการจะให้สัญญาณเสียงหวอดังไปทั่วเมืองเชียงใหม่ ทุกคนจะวิ่งหลบลงหลุม สัญญาณเสียงหวอดังกล่าวติดอยู่บริเวณตึกร้านรัตนผล ถนนท่าแพตรงข้ามห้างตันตราภัณฑ์เก่า ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นตึกสูงของเมืองเชียงใหม่ ส่วนหอสังเกตการณ์ที่มีเจ้าหน้าที่คอยส่องกล้องดูเครื่องบินข้าศึกที่จะมาทิ้งระเบิด คือ ที่ต้นยางสูงบริเวณประตูเชียงใหม่ เครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรมาแต่ละครั้งไม่ใช่แค่ลำหรือสองลำ มากันเป็นร้อยลำกระหึ่มเต็มท้องฟ้า โผล่พ้นมาทางดอยสุเทพมาทิ้งระเบิดและยิงกระสุนเน้นที่บริเวณสถานีรถไฟและสนามบินเท่านั้น ไม่ทำลายบริเวณบ้านคน ตลาด โรงเรียน หรือสะพาน ในเวลากลางคืนก็ต้องมีการพรางไฟกัน ต้องใช้ผ้าดำ หรือน้ำเงินคลุมหลอดไฟไม่ให้มีแสง ต่อมาไม่นานน้ำมันที่ใช้สำหรับเครื่องปั่นไฟฟ้า ของเมืองเชียงใหม่ขาดตลาด ไฟฟ้าดับต้องหันกลับมาใช้ตะเกียงกันอีกครั้งหนึ่ง น้ำมันก๊าดก็ขาดตลาด ต้องใช้ไขวัวไขควายแทน (มาสเซอร์สมาน ผอนตระกูล, สัมภาษณ์)
คุณปิยะนารถ ภูวกุล (อายุ ๗๐ ปี) เจ้าของร้านรัตนผล ถนนท่าแพ เล่าว่า “ช่วงสงครามอายุแค่ ๑๕ ปี เรียนอยู่โรงเรียน เรยินาเชลี มีทหารมาขอติดตั้งสัญญาณหวอที่ดาดฟ้า สมัยนั้นที่บ้านถือว่าสูงที่สุดก็ว่าได้ เป็นอาคารตึก ๓ ชั้น พ่อแม่มีอาชีพค้าขายด้ายสำหรับทอผ้า บ้านตึกหลังนี้สร้างปี พ.ศ.๒๔๗๕ ใช้เวลาสร้างประมาณ ๑๓ เดือน หัวหน้าช่างเป็นชาวจีนจากกวางตุ้ง พ่อแม่เล่าว่าวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ มีเจ้าแก้วนวรัฐมาเป็นประธาน และที่สำคัญที่ต่างจากบ้านอื่น คือ มีดาดฟ้า สมัยก่อนไม่ค่อยมีบ้านไหนทำดาดฟ้ากันมักจะเป็นหลังคาธรรมดา แม้จะเป็นบ้านตึก สัญญาณหวอเป็นโลหะ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๒ ฟุตครึ่ง ทำขาตั้งด้วยไม้ประมาณ ๒ เมตร มีสวิตช์ปิดเปิดสัญญาณเสียง เสียงดังมาก แต่ละครั้งมีทหารมาประจำ ๒ คน และมีวิทยุรับส่ง เมื่อเครื่องบินฝ่ายสัมพันธมิตรมาก็จะเปิดสัญญาณหวอ”
คนเก่าๆหลายคนบอกว่า ทหารญี่ปุ่นยุคนั้นตัวเล็ก เตี้ยกว่าคนไทยเรานิสัยสุภาพเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มักแสดงความยิ่งใหญ่ให้เห็น เช่น มีนายทหารระดับ นายพล แต่งเต็มยศ ขี่ม้าเทศตัวใหญ่มีทหารเดินตามเป็นขบวน เดินวางมาดที่ถนนท่าแพและสายอื่น ดูเป็นที่เกรงขามของคนไทย
ด้านบริเวณโรงแรมลานนาพาเลสใกล้แยกประชาสัมพันธ์ เป็นที่ตั้งของรถถังปืนใหญ่ต่อสู้ทางอากาศหรือ ปตอ. มีด้วยกัน ๔ คัน อยู่ละแวกเดียวกันคอยหมุนยิงเครื่องบินสัมพันธมิตร มีทหารมาตั้งเต็นท์อยู่ แต่เครื่องบินสัมพันธมิตรมักบินต่ำเพื่อหลบกระสุนทำให้ยิงไม่ค่อยถูก มีคราวหนึ่งที่เครื่องบินถูกยิง ไปร่อนตกเกือบถึงลำพูน ทราบว่านักบินเป็นคนเชื่อสายจีน ไม่เสียชีวิตและรับความช่วยเหลือหลบซ่อนจากคนเชื้อสายจีนที่ลำพูน
ช่วงสงครามศพผู้เสียชีวิตที่ถูกระเบิดและกระสุนจากเครื่องบินจะถูกนำบรรทุกเกวียนมาวางสุมรวมกันไว้ที่สุสานช้างคลานเป็นกองพะเนิน มีทั้งชาวบ้านและทหารญี่ปุ่น เพื่อคอยให้ญาติมารับศพไปจัดการ เช่นเดียวกับที่สุสานสันกู่เหล็กและสุสานบ้านเด่น ศพเหล่านี้ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากบริเวณสถานีรถไฟ ซึ่งบริเวณนั้นสมัยก่อนมีโรงงานฟอกหนังหลายโรง ชาวช้างคลานคนหนึ่งเป็นหญิงที่ทำงานที่นั่นก็ถูกกระสุนปืนจากเครื่องบินขณะลุกจากหลุมหลบภัยจึงโดนสะเก็ดระเบิด เสียชีวิต
ทหารญี่ปุ่นที่พลุกพล่านอยู่ทั่วไป ปกติมักไม่รังแกชาวบ้านยกเว้นต่างชาติที่มาอาศัยในเมืองเชียงใหม่จะถูกขับไล่ บ้านหนึ่ง คือ บ้านของมิสเตอร์แบร์ ชาวเดนมาร์ก อยู่ด้านตะวันตกของวัดศรีเกิด ทหารญี่ปุ่นเข้าครอบครองอาศัย แต่ถ้าหากมีชาวบ้านบางคนลักขโมยของก็จะถูกจับขึงให้ตากแดดที่สนามบินให้เป็นการทำโทษ สินค้าชาวบ้านที่ขายดีมาก คือ กล้วยหอม เป็นที่นิยมของทหารญี่ปุ่น เรื่องการที่ทหารญี่ปุ่นสามารถพิมพ์ธนบัตรได้เองส่งผลให้สินค้ามีราคาแพง ทหารญี่ปุ่นจะนำธนบัตรของไทยมาใช้จับจ่ายซื้อของในตลาด มักเป็นธนบัตร ฉบับละ ๑๐ บาท นำมาเป็นปึกเมื่อถึงตลาดก็ใช้กรรไกรตัดแบ่งเป็นฉบับซื้อสินค้า ตัดขอบตรงบ้านไม่ตรงบ้างชาวบ้านก็รับไว้หมด เพราะไม่มีทางเลือกและถือเป็นธนบัตรที่ถูกต้องเนื่องจากเหมือนธนบัตรไทยทุกประการเชื่อกันว่ารัฐบาลไทยจำต้องยอมให้ญี่ปุ่นพิมพ์มาใช้
มีผู้บอกว่าด้านหลังวะดพระสิงห์ มีโสเภณีอาศัยอยู่ประมาณ ๒๐ คน เป็นหญิงสาวชาวไต้หวันและจีน เข้าใจว่าทหารญี่ปุ่นบังคับมาเพื่อบำรุงขวัญนายทหารญี่ปุ่น ไม่แน่ใจว่าบังคับหรือไม่ เนื่องจากแต่ละคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใสกันดี
หมายเหตุ : ข้อมูลจากลุงบุญแถม ไชยทอง, มาสเซอร์สมาน ผอนตระกูล, มาสเซอร์เฮง เงาโสภา และคุณปิยะนารถ ภูวกุล
ในภาพคือบริเวณด้านหน้าสถานีรถไฟเชียงใหม่ พ.ศ. 2480 มีบรรยากาศผู้คนบนถนนเจริญเมือง ถ่ายจากฝั่งโรงแรมรถไฟเชียงใหม่ฝั่งตรงข้ามสถานี ก่อนที่สถานีเชียงใหม่เดิมจะถูกทิ้งระเบิดจนเกิดเสียหายระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญอีกหนึ่งจุดในเชียงใหม่