เวลาเพื่อนคนไหนได้ที่ 1 หรือได้รางวัลอะไร ชนะเลิศกลับมา ก็มีการประกาศให้รู้กันอย่างชื่นชมในโรงเรียน ครูก็พอใจ เพื่อนฝูงก็นับถือคนนั้นว่าเก่ง ก็ไม่เห็นใครรู้สึกขึ้นมาว่า..แหม เก่งแล้วร.ร.ต้องยกย่องให้เด่นเกินหน้าคนอื่นด้วย เงียบๆหน่อยไม่ได้รึไง
ใครคิดยังงั้นก็คงถูกมองว่าบ้า ก็คนนี้เขาทำอะไรได้มากกว่าคนอื่นเขาถึงเด่น ไม่เห็นผิดตรงไหน ทำไมจะต้องแอบๆ เอาไว้ราวกับไปทำอะไรอับอายขายหน้ามา
อันนี้ตรงกับที่ผมเขียนไว้ตรงนี้
กลอนทั้งบริบทที่ลงบาทสุดท้ายที่ว่า ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกินนั้น ทำให้ด้อยค่าไปเกือบหมด ทั้งที่คนส่วนใหญ่ทีเดียวที่ไม่ได้ขี้อิจฉาตาร้อน เที่ยวหมั่นไส้คนเก่งกว่า ดีกว่า เด่นกว่าตัว ถ้ามี ก็เห็นจะเป็นพวกโรคประสาทรับประทาน เหมือนนังแม่เลี้ยงของนางสโนว์ไวท์ กับพวกนางร้ายในละครทีวีเมืองไทยเท่านั้น ที่คิดว่าตัวเองดีวิเศษไม่มีใครเทียม
ส่วนว่า
ถ้ายึดถือเคร่งครัดว่า " อย่าเด่นจะเป็นภัย" คัทเอาท์ตามหน้าโรงเรียนที่ลงรูปและรางวัลของนักเรียนเก่งทำชื่อเสียงให้ร.ร. ต้องถูกปลดลงมาให้หมด มิฉะนั้นเด็กคนนั้นจะอยู่กับเพื่อนได้ลำบาก เพราะใครๆก็หมั่นไส้ พวกศิษย์เก่าหรือศิษย์ปัจจุบันดีเด่นในสถาบันทั้งหลาย พวกข้าราชการดีเด่น นักธุรกิจดีเด่นฯลฯ ได้รางวัลแล้วต้องปกปิดเป็นความลับ ห้ามเผยแพร่ข่าว คณะกรรมการต้องส่งโล่ไปให้ทางไปรษณีย์ หรือสั่งให้คนเดินหนังสือแอบเอามามอบให้ที่โต๊ะ ห้ามเพื่อนร่วมงานรู้ เดี๋ยวเขาจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ ถูกเกลียดชังหมั่นไส้เพราะเด่นเกิน
เท่ากับส่งเสริมประชากรให้เข้าใจไปในทางเดียวกันทั้งประเทศว่า ความอิจฉาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่ต้องแก้ไข รักษามันเอาไว้ ส่วนเหยื่อนั้นต้องหาทางปกป้องตัวเองไปตามยะถากรรม ใครก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
อันนี้ผมได้เขียนไว้ว่า
ความจริงการทำดีกับทำเด่น ก็มีความหมายต่างกันในตัวเอง คนที่ชอบทำเด่นอาจจะไม่ได้กำลังกระทำดีก็ได้
“จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย”เห็นจะใช้ไม่ได้ในเรื่องการเรียน ตลอดจนการทำงานตามหน้าที่ ซึ่งคิดดีแล้ว ชอบแล้ว และความดีนั้นถูกยกให้เด่นขึ้นโดยผู้อื่นที่อยู่ร่วมสังคม ไม่ใช่ยกหางตนเองให้คนทั้งหลายยกย่อง
แต่หากว่าจะต้องตกเป็นเหยื่อของพวกโรคประสาทประเภทขี้อิจฉาแล้ว ก็เห็นจะต้องยอมละครับ ส่วนจะปกป้องตนเองอย่างไร ก็ว่ากันไปอีกประเด็นหนึ่ง