เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 31
  พิมพ์  
อ่าน: 20709 รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว [2]
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 135  เมื่อ 14 ก.ค. 23, 15:20

เขียนเรื่องในกระทู้นี้มีความสุขที่สุดครับ 

ช่วงหนึ่งในยุคต้น 70s วิทยุเปิดเพลง 2 เพลงจากนักร้องคนเดียวกัน (ตอนนั้นเดาเอา สมองผมยังไม่พัฒนาพอที่จะจับแพะชนแกะได้)  เป็นเพลงที่เพราะทั้งคู่



Rose Garden นี่ดังกระหึ่มทั้งที่บ้านเขาและบ้านเรา  ก็สมควรละฟังแล้วมันเพลินหูจริง ๆ  ผมรู้ในตอนนั้นว่านักร้องชื่อ Lynn Anderson  และรู้เพิ่มเติมในเวลาต่อมาว่าเธอเป็นนักร้องแนว country อีกคนที่สามารถนำเพลงแนวนี้ ข้ามฟาก มาดังฝั่งเพลง pop ได้  ชื่อของเธอสร้างความสับสนให้ผมเป็นประจำกับนักร้องอีกคนคือ Loretta Lynn  เธอคือหนึ่งในราชินีเพลง country  ของยุค  แต่วิทยุบ้านเราไม่เคยเอาเพลงของเธอมาเปิดเลย

สำหรับอีกเพลงของ LA ที่วิทยุเปิดให้ฟังในเวลาไล่เลี่ยกันนั้นคือเพลงนี้



ขณะที่เพลงนี้สนุกสนานกับการชอนไชหูของนักฟังเพลงฯ ในเวลานั้น  ที่บ้านเขาไม่มีใครรู้จักเพราะมันไม่ใช่ single  เป็นเพลงหนึ่งใน album  ซึ่งดีเจบ้านเขาไม่มีสิทธิเอามาเปิดออกอากาศเพราะติดลิขสิทธิ์  ถ้าไม่ซื้อ album ของเธอก็จะไม่มีทางได้ยิน  นี่แสดงว่า สถน.วิทยุบ้านเราไปซื้อแผ่นของเธอมาซึ่งน่าแปลกใจเพราะ  บ้านเราไม่สนใจเพลงแนวนี้และ album นี้ก็ไม่ได้ดังอะไร (ที่ตาราง album ฝั่ง pop)  อีกหนึ่งสมมติฐานคือไปรับแผ่นรวมเพลงฮิตมาจาก Hong Kong/Singapore ซึ่งก๊อปปี้เพลงต้นฉบับมาอีกที แล้วเอามาเปิดให้พวกเราฟัง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 136  เมื่อ 14 ก.ค. 23, 16:08

ลีนน์เมื่อครั้งยังเป็นนักร้องโนเนม    เข้าสู่วงการในวงบิ๊กแบนด์ของ Lawrence Welk  เมื่อปี 1967

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 137  เมื่อ 14 ก.ค. 23, 16:09

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 138  เมื่อ 14 ก.ค. 23, 16:10

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 139  เมื่อ 15 ก.ค. 23, 14:24

อีกหนึ่งเพลง country ที่สามารถข้ามฟากมาดังฝั่งเพลง pop ได้

ผู้ชายในชุดดำที่ทำหน้าที่พิธีกรคือศิลปินระดับตำนาน Johnny Cash ที่เพิ่งนำเสนอไป

ผมอ่านใน wikiฯ  มีเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับเพลงนี้คือ... At first, record companies were uncomfortable with the song's honest sexuality, which was new for country music (ปี 1971), but DJs tested the song and the response from listeners was enormous.

SS ไม่ได้เป็นนักร้องประเภท one hit wonder  ก่อนหน้านี้และหลังจากเพลงนี้เธอก็เวียนว่ายอยู่กับ country music ของเธอ  เพลงนี้เริ่มแรกก็เป็นเพลง country  แต่ดีเจฝั่ง pop  เอามาแนะนำ  บ้านเราสนใจแต่เพลงดังในอันดับเพลง pop  ก็เลยมีเพลงนี้เพลงเดียวที่เคยได้ยินจากเสียงของเธอ

ผมว่าเพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงที่มีคนรู้จักครึ่งค่อนโลกนะ  ใคร ๆ ก็เอามาร้องกัน  บ้านเราก็เป็นหนึ่งในนั้น  แต่หาคนรู้ชื่อนักร้องต้นฉบับได้ยาก  ยิ่งชื่อผู้แต่งนั้นไม่มีใครรู้เลยมั้ง  เธอคือ อีกหนึ่งศิลปินระดับตำนาน Kris Kristofferson




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 140  เมื่อ 15 ก.ค. 23, 14:34

ในยุค 70s มีนักร้องแนว country นำเพลงข้ามฟากมาแดน pop อยู่เนือง ๆ  บางคนอยู่นานจนกลายเป็น ‘เหยียบเรือสองแคม’  เช่น John Denver, Anne Murray ฯลฯ  แต่บางคนก็ข้ามมาสนุกสนานชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็กลับไปอยู่ที่เดิม

Freddy Fender เป็น 1 ในพวกหลัง  ในปี 1975  ความดังของสองเพลงนี้ไม่มีใครจำไม่ได้






นำเสนอ single ที่ 3 ที่เริ่มแผ่วในอันดับเพลง pop



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 141  เมื่อ 16 ก.ค. 23, 14:39

Mini series อุทิศให้กับหนึ่งในศิลปินเพลงสุดหล่อตลอดกาลของผม

อาชีพศิลปินเพลงของ Glenn Frey (เธอสอนผมให้อ่านว่า ฟราย) เริ่มก้าวหน้าตั้งแต่ครั้งเป็นนักดนตรีวง backup ให้กับ Linda Ronstadt   วันหนึ่งเธอกับเพื่อนร่วมวงคนสนิทคือ Don Henley (มือกลอง) ก็ขออนุญาตหัวหน้าวงแยกตัวออกไปตั้งวงของตัวเองโดยใช้ชื่อว่า The Eagles  ที่ต่อมาสร้างชื่อเสียงจนได้รับการยกย่องว่าเป็นวง rock ชั้นยอดวงหนึ่งของโลกดนตรี


(clip นี้ เป็นวง The Eagles แล้ว  วงเชิญ LR มาเป็นแขก  lead guitarist คือ Bernie Leadon สมาชิกยุคบุกเบิกรวมถึง Don Henley (กลอง), Don Felder, Randy Meisner)





สมัยที่ยังเป็นสมาชิกของวง Eagles  เพลงจากเสียงร้องนำของเธอสร้างชื่อเสียงให้กับวงมากมาย  นำร่องอย่างแรงด้วยเพลงนี้  ตอนนั้นยังใส่ขาสั้น  หันหน้าไปทางไหนก็ได้ยิน



ส่วนเพลงนี้  ไม่ต้องหมุนมือหาคลื่นให้เมื่อยกล้ามเนื้อ  เพราะมันกระหน่ำเข้ามาทุกทิศทุกทาง



นี่เป็นเพลงอันดับ 1 ที่เพราะมาก ๆ สำหรับผม  มันเป็น single แรกจากแผ่นดังระดับโลก Hotel California  ส่วน single ที่ 2 คือ HC เป็นเสียงร้องของ Don Henley (มือกลองของวง)





มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 142  เมื่อ 17 ก.ค. 23, 15:07

เพลงนี้จากเสียงของ Glenn Frey ตอนยังอยู่ในวง The Eagles  มาจากแผ่นต่อมาคือ The Long Run  ทั้ง single และ album  ดังระเบิดติดอันดับ 1 ที่บ้านเขา  แต่บ้านเรากลับไม่เท่าไร  ผมว่าดนตรีหนักแน่นมาก  ตอนฟังจากแผ่น ฯ (ขายไปแล้ว  เสียดายถ้ารู้อนาคตว่าอีก 15 ปีข้างหน้าผมจะได้มาเล่าเรื่องเพลงนะ)  เสียงกลองเล่นเอาพื้นบ้านสะเทือนไปเลย



เพลงอื่น ๆ จากวง The Eagles โดยเสียงร้องของเธอที่วิทยุเปิดเพียงประปรายแต่ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เพราะ







บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 143  เมื่อ 18 ก.ค. 23, 14:50

ขอแทรกข่าวพิเศษ ...

นักฟังเพลงฝรั่งในยุคนั้นไม่มีใครลืมเพลงนี้ได้




ผมจำได้ว่ามีสถานีวิทยุคลื่นหนึ่งใช้เพลงนี้เป็นเพลงเปิดรายการ  ผมอ่านรายละเอียดใน Wikiฯ  ที่มาที่ไปของเพลงนี้สนุกมาก ๆ  เสียดายที่ผมไม่มีเวลาว่างพอจะรวบรวมสมาธิทำอะไรนาน ๆ เช่น แปล ได้  ผมจะตัดต่อข้อมูลเอาเป็นคร่าว ๆ ดังนี้

The song was written and recorded in late 1967 for Gainsbourg's girlfriend, Brigitte Bardot.




After a disappointing, witless date with Bardot, the next day, she "phoned and demanded as a penance" that he write, for her, "the most beautiful love song he could imagine" and that night he wrote "Je t'aime".

They recorded an arrangement of "Je t'aime" at a Paris studio in a two-hour session in a small glass booth; the engineer William Flageollet said there was "heavy petting".

However, news of the recording reached the press and Bardot's husband, German businessman Gunter Sachs, was angry and called for the single to be withdrawn.

Bardot pleaded with Gainsbourg not to release it. He complied but observed "The music is very pure. For the first time in my life, I write a love song and it's taken badly.”

In 1968, Gainsbourg and English actress Jane Birkin began a relationship when they met on the set of a film. After filming, he asked her to record the song with him. Birkin had heard the Bardot version and thought it "so hot". She said: "I only sang it because I didn't want anybody else to sing it", jealous at the thought of his sharing a recording studio with someone else.

Gainsbourg asked her to sing an octave higher than Bardot, "So you'll sound like a little boy".

Birkin said she "got a bit carried away with the heavy breathing – so much so, in fact, that I was told to calm down, which meant that at one point I stopped breathing altogether. If you listen to the record now, you can still hear that little gap.”

There was media speculation, as with the Bardot version, that they had recorded live sex, to which Gainsbourg told Birkin, "Thank goodness it wasn't, otherwise I hope it would have been a long-playing record.”

Bardot regretted not releasing her version, and her friend Jean-Louis Remilleux persuaded her to contact Gainsbourg. They released it in 1986.



นี่ถ้าไม่มี อตน. เราคงไม่มีทางรู้เรื่องและได้ฟังเพลงฉบับข้างบนนี้

Single แผ่นนี้ (ฉบับของ JB&SG) เมื่อออกจำหน่ายถูกตีตราว่า ‘บัดสี’  แต่ในทางการตลาดมันประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในฝั่งยุโรป  แม้ประเทศต่าง ๆ จะไม่เห็นดีเห็นงามกับเพลงชิ้นนี้  หลายประเทศห้ามเปิดเพลงนี้  กรุง Vatican สั่งประณามและสั่ง ‘excommunicate’ ผู้บริหาร บ. แผ่นเสียงที่จัดจำหน่ายเพลงนี้ในอิตาลี ขณะที่บางประเทศเช่น ฝรั่งเศสอนุญาตให้เปิดได้หลัง 5 ทุ่ม

ที่อังกฤษยอดขายแผ่นฯ ไต่อันดับไปได้ถึงอันดับ 2 ก็ต้องถูกถอดออก  แต่หลังจากการเจรจา ‘ลับ’  แผ่นฯ นำออกขายใหม่  คราวนี้ขึ้นถึงอันดับ 1  เป็น single แผ่นเดียวที่มีความหยาบโลนที่ขึ้นอันดับ 1 ได้สำเร็จ  ส่วนที่อเมริกา  เสียงครวญครางเหมือนกำลังร่วมเพศกันอยู่ตลอดเพลงทำให้ไม่สามารถออกกระจายเสียงได้ทุกสถานีและทุกเวลาเหมือน single ทั่วไป  มันจึงขายได้ไม่ดี





ตอนทำเรื่องนี้  มีแค่ Serge Gainsbourg เท่านั้นที่ตาย  เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ที่ผ่านมา  ก็ได้ข่าวการตายของ Jane Birkin  นักร้อง/นักแสดงเลือดผสมอังกฤษ/ฝรั่งเศส ตกลง ณ บัดนาว ศิลปินเพลงนี้ตายแล้วทั้งคู่

สาว ๆ นักบริโภคสินค้า brand name คงเคยได้ยินผลิตภัณฑ์ยี่ห้อ Hermes แขนงกระเป๋ารุ่น Birkin  แต่อาจจะไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปว่าชื่อรุ่นตั้งขึ้นเป็นเกียรติแต่ JB  ประวัติมีดังนี้ (เอามาจาก Wikiฯ อีกนั่นแหละ  ทนแปลหน่อย  สนุกไม่แพ้ที่มาที่ไปเรื่องเพลง)

In 1984, Hermès chief executive Jean-Louis Dumas was seated next to Jane Birkin on a flight from Paris to London. Birkin had just placed her straw traveling bag in the overhead compartment for her seat, but the contents fell to the deck, leaving her to scramble to replace them. Birkin explained to Dumas that it had been difficult to find a leather weekend bag she liked.

Dumas took this encounter as inspiration to create a supple black leather bag, based on an earlier design, the Haut à Courroies, which Hermès had created around 1900. Birkin initially used the bag, but changed her mind because she was carrying too many things in it: "What's the use of having a second one?" she said laughingly. "You only need one and that busts your arm; they're bloody heavy. I'm going to have an operation for tendonitis in the shoulder."

Nevertheless, since the late 1980s, the bag quickly became a symbol of wealth and exclusivity due to its high price and assumed long waiting lists.  It has become much easier to purchase due to aftermarket resales.

Birkins are a popular item with handbag collectors, and were once seen as the rarest handbag in the world. The bag's value is a matter of its intentionally high price, which has led to its being described as a Veblen good.

In 2020, prices started at US$11,000 for a regular leather bag. Costs can vary widely according to the type of leather, if exotic skins are used, and if precious metals and jewels are part of the bag. A bag made of exotic skin and diamond was sold at auction by Christie's in Hong Kong for a record price of US$380,000 in May 2017. Birkins are distributed to Hermès boutiques on unpredictable schedules and in limited quantities, which creates artificial scarcity and exclusivity; however, the bags have also flooded the upscale resale market and are frequently sold in second-hand boutiques (resellers) and through social media.

In July 2015, Birkin asked Hermès to stop using her name for the crocodile version due to ethical concerns, as PETA alleged crocodile farms supplying the hide to Hermès for the manufacture of the bags crammed their animals into barren concrete pits. PETA said, "At just one year old, alligators are shot with a captive bolt gun or crudely cut into while they're still conscious and able to feel pain.” Birkin is quoted as having asked Hermès "to debaptise the Birkin Croco until better practices in line with international norms can be put in place".


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 144  เมื่อ 19 ก.ค. 23, 14:18

ควันหลงจากเมื่อวาน...  ทำให้นึกถึงอีกเพลงที่เซ็กซี่ไม่แพ้กัน




Sylvia (Vanderpool) เป็นอีกหนึ่งนักร้องที่ปล่อยเพลงดังออกมาจากลำโพงเพียงเพลงเดียวแล้วหายเงียบ  นั่นเป็นเพราะการเป็นนักร้องเป็นงานอดิเรก  งานหลักของเธอคือผู้บริหารค่ายเพลง
 
อย่างไรก็ตามเพลงนี้ไม่หายไปจากใจผมเพราะมันฟังแล้ว ‘hot’ มาก ๆ  ใครที่คิดว่า Love to love you baby ของ Donna Summer เซ็กซี่แล้ว  เทียบไม่ติดกับเพลงนี้  แล้วเพลงนี้ยังมาก่อนด้วย (1973)

ทำนองเดียวกับเพลง Je t’aime ก่อนหน้านี้  หลายสถานีวิทยุที่อเมริกา โดยเฉพาะภาค AM  ที่คลื่นชอนไชไปได้ทั่ว  ต่างอึดอัดใจกับการเล่นเพลงนี้เมื่อแฟน ๆ โทร. เข้ามาเพื่ออยากให้เปิดให้ฟัง  โดยเฉพาะท่อนครวญครางพร้อมคำพูดสองแง่สองง่ามในตอนท้ายของเพลง  ไม่เหมือนบ้านเราที่เปิด 2 เพลงนี้เช้าสายบ่ายเย็นแถมตอนกลางคืนด้วย

ผมว่าช่วงเวลาการปล่อย 2 เพลงนี้ออกสู่ตลาดที่ห่างกัน 4 ปี  บรรยากาศคงจะผ่อนคลายกว่า  เพราะเพลงนี้ไต่ขึ้นถึงอันดับ 3 และคว้าแผ่นเสียงทองคำได้อย่างไม่แคร์ใคร

นำเสนอเพลงของเธออีกเพลงที่ออกมาในยุค 50s  ตอนนั้นเธอเป็นครึ่งหนึ่งของ Mickey & Sylvia (เป็นเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินในสมัยเด็ก ๆ)






พรุ่งนี้กลับมาหา น้า Glenn  น้าแกหน้างอ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 145  เมื่อ 20 ก.ค. 23, 14:37

คุยเรื่อง น้า Glenn ต่อ

ในปี 1980 หลังจากประสบความสำเร็จจากแผ่น The Long Run  วง The Eagles ออก album แบบแผ่นคู่ที่รวบรวมการแสดงสดจากที่ต่าง ๆ ในอดีต  ยอดขายพุ่งกระฉูด  แม้นักวิจารณ์จะเหน็บว่าเอาของเก่ามาขาย  แต่แฟนรวมถึงผมไม่สนใจทั้งที่ราคาสูงกว่าปกติร่วม 2 เท่า   จากแผ่นคู่นี้มี single เพียงเพลงเดียวที่บ้านเราก็เอามาเปิดอย่างซื่อสัตย์  ผมฟังครั้งแรก (ตอนนั้นแผ่นฯ ยังไม่เข้ามา  เป็นปกติที่เพลงจากวิทยุจะนำร่องก่อนการมาของแผ่นเสียงเสมอ) คิดว่านี่คงกรุ๊งกริ๊งแค่ต้นเพลง  อีกแป๊บคงกระหน่ำ  แต่เปล้า



หลังจากงานนี้สมาชิกตกลงกันเป็นเอกฉันท์ว่ายุบวง ซึ่งต่อมากลายเป็น หยุดพักชั่วคราว เพราะในอีก 10 กว่าปีต่อมาทุกคนก็กลับมารวมตัวกันใหม่  และออกงานอีก 1 ชุด (ในรูปแบบ CD แล้ว) ซึ่งขึ้นอันดับ 1 ทันทีที่ออกวางตลาด
 
ช่วงหยุดพักดังกล่าวสมาชิกแต่ละคนออกไปเสี่ยงโชคกับการเป็นศิลปินเดี่ยว  อาชีพศิลปินเดี่ยวของ Glenn Frey ไปได้สวยทีเดียว  แต่ไม่โดดเด่นหรือยืนยาวเหมือนตอนอยู่กับวงฯ

Singles 2 เพลงแรกจาก album เดี่ยวชุดแรกของเธออยู่ในสายตาของเหล่าดีเจเพลงฝรั่งเมืองไทยที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น



(ผมว่าเพลงนี้ครองอันดับหนึ่งของเพลงฝรั่งที่ได้ยินทางวิทยุบ่อยที่สุดในช่วงนั้นเลยละ)


พอมา album ที่ 2 ดูเหมือนเหล่าดีเจจะเลิกสนใจเพลงของเธอเสียดื้อ ๆ ผมไม่ได้ยินเพลงอื่นอีกเลย  ยกเว้นเพลงนี้ที่ไม่ใช่ single แต่วิทยุบ้านเราเปิดเอา ๆ จนผมนึกว่าเป็น single






มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 146  เมื่อ 21 ก.ค. 23, 14:33

ปีนั้นมีหนังเกี่ยวกับตำรวจนอกคอกที่สนุกมากเข้าฉาย  มันชื่อ Beverly Hills Cop  สุดหล่อของผมทำเพลง soundtrack ให้ 1 เพลงที่ต่อมากลายเป็นเพลงขายดีที่สุดเพลงหนึ่งของเธอ  

(หล่อจนกลุ้มจายยยย)


อีกเพลงหนึ่งที่ขายดีที่สุดก็เป็น soundtrack เช่นกัน  เธอทำให้กับหนังทีวี Miami Vice (มาฉายบ้านเราด้วย) แต่ผมไม่เคยดูอ้ะ



ในปี 1998 วง The Eagles ได้รับเลือกเข้า Rock and Roll Hall of Fame ซึ่งนับเป็นเกียรติสูงสุดสำหรับศิลปินเพลง  การที่วงได้รับเลือกก็หมายความว่าสมาชิกของวงต่างก็มีชื่ออยู่ใน RRHOF กันทั้งหมด

ในปี 2014 Linda Ronstadt ก็ได้รับเลือกเข้า Rock and Roll Hall of Fame  เธอป่วยจึงไม่สามารถมาร่วมงานได้  เธอได้ให้ Glenn Frey ขึ้นไปกล่าวและรับรางวัลแทน  จากนั้น GF ก็ดูแลอยู่บนเวทีจนจบช่วงเวลาของ LR  นี่แสดงถึงความเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนมานานตั้งแต่ปลายยุค 60s   หลังจากนั้นเพียง 2 ปี GF ก็ตาย


(นักร้องนำ (และเปิ่นได้อย่างน่ารัก) คือ Stevie Nicks สมาชิกวง Fleetwood Mac วงดนตรีร่วมยุคกับ The Eagles  เธอก็ได้รับเลือกเข้า RRHOF เช่นกัน  และได้ถึง 2 ครั้ง  คือในฐานะสมาชิกวง FM กับในฐานะศิลปินเดี่ยว)







บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 147  เมื่อ 21 ก.ค. 23, 15:43

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 148  เมื่อ 22 ก.ค. 23, 10:45

ดาวดวงใหญ่ที่ค้างฟ้าอยู่จนอายุ 96 ปี  Tony Bennett  ตามเพื่อนๆยุคเดียวกันไปร้องเพลงต่อบนสวรรค์แล้ว
บรรดาพวกเบบี้บูมเมอร์ ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  จำเพลงของเขาได้ดี
ขอให้คุณทวดไปสู่สุคติ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 149  เมื่อ 22 ก.ค. 23, 10:47

คุณทวดเคยดวลเพลงกับเลดี้ กาก้าด้วยนะคะ

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 8 9 [10] 11 12 ... 31
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.073 วินาที กับ 19 คำสั่ง