เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ปีนี้ สุนทราภรณ์วงดนตรีเพลงไทยสากลแห่งแรกของไทย ฉลองวันครบรอบ 84 ปี วงดนตรีสุนทราภรณ์ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2482 นับเป็นวงดนตรีบิ๊กแบนด์ที่อายุยืนยาวที่สุดในสังคมไทย ความจริง การรวมกลุ่มของนักดนตรีวงสุนทราภรณ์ เกิดขึ้นก่อนหน้า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2479 หัวหน้าวง ครูเอื้อ สุนทรสนาน กับเพื่อน ๆ ร่วมกันตั้งวงดนตรีไทยฟิล์ม ของบริษัท ภาพยนตร์ไทยฟิล์ม จำกัด ซึ่งมีเจ้าของคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ต่อมา เมื่อบริษัทเลิกกิจการในปี พ.ศ. 2482 วิลาศ โอสถานนท์ อธิบดีกรมโฆษณาการ(หรือกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) ประสงค์จะก่อตั้งวงดนตรีประจำกรมสำหรับบรรเลงในราชการงานเมืองต่างๆ จึงขอให้ครูเอื้อและเพื่อนนักดนตรีวงไทยฟิล์มเข้ามารับราชการ ทำงานด้านดนตรีในชื่อ "วงหัสดนตรีกรมโฆษณาการ" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น "วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์" นักร้องและนักดนตรีชุดเดียวกันนี้ เดิมเมื่อทำงานของทางราชการใช้ชื่อว่า วงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ แต่เมื่อรับงานส่วนตัวนอกเวลาราชการ จะใช้ชื่อว่าวงดนตรีสุนทราภรณ์ โดยมีที่มาจากนามสกุลของเอื้อ (สุนทรสนาน) สนธิคำกับชื่อภรรยาของครูเอื้อ คุณอาภรณ์ กรรณสูต รับเล่นตามงานเอกชนต่างๆนอกเวลาราชการ หลังจากครูเอื้อถึงแก่กรรมเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2524 วงสุนทราภรณ์ตกทอดเป็นสิทธิมรดกตามกฎหมายของอติพร เสนะวงศ์ บุตรสาวของครูเอื้อกับคุณอาภรณ์ กรรณสูต มีนักร้องและนักดนตรีของตนเอง ส่วนวงดนตรีกรมประชาสัมพันธ์ขึ้นกับกรมประชาสัมพันธ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 20 พ.ย. 23, 09:49
|
|
ลักษณะวงดนตรีสุนทราภรณ์ คือวงดนตรีบิ๊กแบนด์ (Big band) หมายถึงวงดนตรีที่มีนักดนตรีตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ส่วนมากประกอบด้วยเครื่องเป่าเช่นทรัมเป็ต ทรอมโบน แซ็กโซโฟน และยังมีเปียโน, กีตาร์ เบส และกลอง ส่วนเพลงของสุนทราภรณ์เรียกว่าเพลงไทยสากล คือเพลงที่ขับร้องด้วยภาษาไทย แต่ใช้มาตรฐานของโน้ตเพลงแบบสากล จนเป็นเพลงไทยแนวใหม่ คนละอย่างกับเพลงไทยเดิมที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ทรงเป็นผู้นำการแต่งทำนองเพลงตามมาตรฐานดนตรีสากลและในการประพันธ์เพลงสำหรับบรรเลงด้วยแตรวงโดยเฉพาะเพลงวอลซ์ปลื้มจิต ในปี พ.ศ. 2446 สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพลงไทยสากลเพลงแรกในประวัติศาสตร์ดนตรีของเมืองไทย เพลงต่าง ๆ เหล่านี้ทรงนิพนธ์โดยใช้โน้ตและจังหวะแบบสากล จากพระปรีชาสามารถในการทรงประพันธ์เพลง จึงทรงได้รับการยกย่องเป็น “พระบิดาแห่งเพลงไทยสากล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 20 พ.ย. 23, 09:50
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 20 พ.ย. 23, 21:28
|
|
เนื่องจากปกวอลซ์ปลื้มจิต จึงขออนุญาตแว้บออกซอยข้างทางนิดนึงครับ สุภาพสตรีที่เป็นปก คลับคล้ายว่าน่าจะใช่ “คุณเรียม”ลูกสาวกำนันเรือง-แม่รวย แห่งทุ่งบางกะปิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 07:55
|
|
อ้าว คุณ Jalito นี่เอง เชิญนั่งแถวหน้าค่ะ ความจำดีมาก ใช่ค่ะ เธอคือแม่เรียมแห่งทุ่งบางกะปิ หลังจากพี่ขวัญจากไปแล้วก็โยกย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่สหรัฐอเมริกาจนปัจจุบัน ภาพข้างล่างคือภาพล่าสุดที่หาได้ น่าจะประมาณ 10 ปีแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 08:52
|
|
ครูเอื้อเป็นชาวอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2453 เป็นบุตรชายคนสุดท้องของนายดี และนางแส สุนทรสนาน มีพี่ชายและพี่สาว 2 คน คือ หมื่นไพเราะพจมาน (อาบ) นางเอื้อน แสงอนันต์, นายเอื้อ สุนทรสนาน ครูเอื้อเริ่มเรียนหนังสือที่โรงเรียนวัดใหม่ราษฎร์บูรณะในจังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อเข้าศึกษาได้เพียงปีเศษ อายุ 7 ขวบ บิดาก็ส่งตัวเข้ามากรุงเทพให้อยู่กับหมื่นไพเราะพจมาน พี่ชาย ซึ่งรับราชการเป็นคนพากย์โขนในกรมมหรสพ ครูเอื้อจึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนวัดระฆังโฆสิตารามจนจบชั้นประถมศึกษา ระยะนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งโรงเรียนพรานหลวงขึ้นที่สวนมิสกวัน เพื่อสอนวิชาสามัญตามปกติในช่วงเช้า และวิชาดนตรีทุกประเภทในช่วงบ่าย เด็กชายเอื้อเลือกเรียนดนตรีฝรั่ง ตามความถนัดกับครูผู้ฝึกสอนคือ ครูโฉลก เนตตะสุต และ อาจารย์ใหญ่คือ อาจารย์พระเจนดุริยางค์ พรสวรรค์ด้านดนตรีของครูเอื้อฉายออกมาตั้งแต่ชั้นประถม เข้าตาพระเจนดุริยางค์ ดังนั้นหลังจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ในปี พ.ศ. 2465 ท่านจึงให้หัดไวโอลิน และแซ็กโซโฟน ทั้งยังให้เปลี่ยนมาเรียนดนตรีเต็มวัน ส่วนวิชาสามัญนั้นให้งดเรียนตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เป็นต้นมา สองปีต่อมา เมื่ออายุได้เพียง 12 ขวบ พรสวรรค์ด้านดนตรีเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อคณาจารย์ ท่านจึงส่งเข้ารับราชการประจำ กองเครื่องสายฝรั่งหลวงในกรมมหรสพ กระทรวงวัง รับพระราชทานยศเป็น "เด็กชา" ได้เงินเดือน 5 บาท เมื่อ พ.ศ. 2467 กระทั่งมีความชำนาญมากขึ้นจึงได้เลื่อนขึ้นไปเล่นวงใหญ่ใน พ.ศ. 2469 เงินเดือนเพิ่มเป็น 20 บาท และ สองปีต่อมาก็ได้รับพระราชทานยศ "พันเด็กชาตรี" และ "พันเด็กชาโท" ในปีถัดไป
จนถึงพ.ศ. 2475 ครูเอื้ออายุ 22 ปี โอนไปรับราชการสังกัดกรมศิลปากรในสังกัดกองมหรสพ และใน พ.ศ. 2478 เมื่อหลวงวิจิตรวาทการเป็นอธิบดีกรมศิลปากร ได้รับเงินเดือนขึ้นเป็น 40 บาท และ 50 บาท เส้นทางของครูเอื้อสู่โลกดนตรีเริ่มขยายกว้างออกเป็นลำดับ ได้ร่วมงานกับคณะละครร้องที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เช่น คณะของ แม่เลื่อน ไวณุนาวิน และได้แต่งทำนองเพลง ยอดตองต้องลม ขึ้น นับเป็น เพลงแรกที่แต่งทำนอง (เฉลิม บุณยเกียรติ ใส่คำร้อง) ในปีเดียวกันนั้นได้ขับร้องเพลง นาฏนารี (คู่กับ นางสาววาสนา ทองศรี นักร้องและดาราดังในสมัยนั้น) กับวงนารถ ถาวรบุตร ซึ่งถือว่าเป็น เพลงแรกที่ได้ขับร้องบันทึกเสียง ภายหลังต่อมาได้มีการบันทึกเพลง บัวขาว เป็นเพลงที่สอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 08:53
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 08:59
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 09:39
|
|
ในระยะแรกของการเป็นหัวหน้าวง ครูเอื้อทำงานทั้งภาครัฐและเอกชนไปพร้อมๆกัน ทางภาครัฐคือควบคุมวงดนตรีขึ้นอยู่กับกรมประชาสัมพันธ์ แต่งเพลงตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และนำวงออกแสดงในงานต่างๆตามแต่ราชการกำหนด ส่วนภาคเอกชน ก็นำวงออกบรรเลงตามงานต่างๆนอกเวลาราชการ เมื่อเริ่มมีวงดนตรี ประเทศไทยอยู่ในยุค "รัฐนิยม" ตามนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ที่จะสนับสนุนทุกทางให้ไทยก้าวไปสู่ความเป็นมหาอำนาจ อย่างหนึ่งในนั้นคือการแต่งเพลงปลุกใจ และเพลงสนับสนุนนโยบายของรัฐ หัวหน้าวงดนตรีของกรมโฆษณาการ(หรือกรมประชาสัมพันธ์)จึงได้รับมอบหมายให้รับหน้าที่นี้ไป ครูเอื้อได้คัดเลือกและรวบรวมนักร้องเสียงดีจำนวนมากมาอยู่ในวง เช่น ล้วน ควันธรรม มัณฑนา โมรากุล รุจี อุทัยกร เลิศ ประสมทรัพย์ สุปาณี พุกสมบุญ สุภาพ รัศมิทัต ชวลี ช่วงวิทย์ วินัย จุลละบุษปะ เพ็ญศรี พุ่มชูศรี จันทนา โอบายวาทย์ จุรี โอศิริ และยังมีนักแต่งเพลงฝีมือเลิศอีกหลายคนที่มาแต่งเนื้อร้องให้กับทำนองของครูเอื้อ บุคคลสำคัญที่ได้ชื่อว่าเป็นขุนพลเพลงคู่ใจครูแก้วคือครูแก้ว อัจฉริยะกุล เพลงปลุกใจที่โดดเด่นที่สุดของสุนทราภรณ์คือ บ้านเกิดเมืองนอน จากฝีมือแต่งทำนองของครูเอื้อ และแต่งเนื้อร้องของครูแก้ว ชนะเลิศการประกวดในปี 2487 เพลงดั้งเดิมขับร้องในจังหวะฟร็อกทร็อต กับดนตรีที่ให้อารมณ์ปลุกใจฮึกเหิม
https://www.youtube.com/watch?v=1K23d0gaRz0&list=PLf_frVsaYeVg4_jZ_-t8RRIMtM1hLtqJm&index=1
นำมาร้องอีกครั้งโดยนักร้องคลื่นลูกใหม่ สุนทราภรณ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 09:44
|
|
77 ปีต่อมา เพลงนี้กลับคืนมาในจังหวะร็อค ได้รับความนิยมอย่างสูงจนมีอีกหลายชุดติดตามมา พิสูจน์ว่าเพลงของสุนทราภรณ์ ยั่งยืนข้ามกาลเวลาอย่างแท้จริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 09:45
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 10:39
|
|
อีกเพลงหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33598
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 12:45
|
|
รัฐนิยมอีกอย่างหนึ่งคือบังคับให้ประชาชนทุกคนต้องสวมหมวกเมื่อออกนอกบ้าน ตามแบบของชาวตะวันตก ตามที่จอมพล ป. ไปดูงานต่างประเทศมา วงสุนทราภรณ์จึงมีเพลง "สวมหมวก" สำหรับเชิญชวนประชาชนให้เห็นดีเห็นงามกับเรื่องนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พี่วรภัทรของพี่ชายใหญ่
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 14:01
|
|
กะจะกล่าวถึงวงสุนทราภรณ์พอดีเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
พี่วรภัทรของพี่ชายใหญ่
อสุรผัด
ตอบ: 0
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 21 พ.ย. 23, 14:09
|
|
เมื่อกล่าวถึงเพลงปลุกใจของสุนทราภรณ์ ผมเคยตั้งข้อสังเกตว่าเพลงปลุกใจที่เก่าที่สุดของวงคือเพลงอะไร?
ส่วนตัวผมเชื่อว่า น่าจะเป็นเพลง "ปลุกไทย" ที่นำบทพระราชนิพนธ์ รัชกาลที่ 6 มาใส่ทำนอง
เพลงนี้เข้าใจกันว่าแต่งในปี 2483 อันเป็นปีที่เกิดสงครามอินโดจีน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|