นิราศธารถลาง
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 10:26, 9 กรกฎาคม 2552 โดย Admin (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: นายมี
เนื้อความยังพิมพ์ไม่ครบ
บทประพันธ์
| จะร่ำปางทางไกลไปถลาง | |||
| เพราะกองกรรมจำคลาดนิราศนาง | ทุเรศร้างรสรักหนักอุรา | ||
| เมื่อวันลงเรือใหญ่หัวใจหาย | แสนเสียดายมิ่งมิตรขนิษฐา | ||
| ชลนัยน์ไหลหลั่งดังธารา | พี่ก้มหน้าครวญครางมากลางเรือ | ||
| แล้วเหลียวแลดูเมืองเรืองระหง | ของพระองค์แสนสุขสนุกเหลือ | ||
| บริบูรณ์พูนเกิดทั้งข้าวเกลือ | ก็เอื้อเฟื้อยิ่งกว่าทุกธานี | ||
| พร้อมด้วยปรางปราสาทราชฐาน | โอฬาฬารล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
| ดังวิมานเมืองฟ้าสง่าดี | ย่อมเป็นที่ทัศนามหาชน | ||
| วัดพระแก้วมรกตก็สดใส | งามวิไลเลิศฟ้าเวหาหน | ||
| โอ้แต่นี้ที่ไหนจะได้ยล | จะเที่ยวทนทุกข์ไปเสียไกลครัน | ||
| ลาพระแก้วแล้วลามหากษัตริย์ | อันเป็นฉัตรกรุงไกรไอศวรรย์ | ||
| ให้พระองค์อยู่เย็นไม่เว้นวัน | กระหม่อมฉันจะไปภัยอย่ามี | ||
| ให้ได้กลับมารับขวัญที่ฉันรัก | อย่ารู้จักห่างหากกระดากหนี | ||
| ให้น้องน้อยคอยท่าสักห้าปี | ขอเดชะพระบารมีพระภูวนัย | ||
| ครั้นเสร็จคำร่ำฝากออกจากท่า | จนเวลารุ่งรางสว่างไสว | ||
| ได้ฤกษ์งามยามพฤหัสกำจัดภัย | ก็ล่องไปจากท่าหน้าวัดโพธิ์ | ||
| ถึงตลาดท้องน้ำระกำหวน | พี่ซมซานซูบพักตร์ลงอักโข | ||
| ด้วยเป็นห่วงบ่วงใยนั้นใหญ่โต | หัวอกโอ้เจียนจะแยกออกแตกตาย | ||
| ยิ่งคิดไปใจคอให้หดหู่ | ชำเลืองดูแถวตลาดไม่ขาดขาย | ||
| เห็นพวกแพแม่ค้านาวาพาย | ออกเกียกกายเยียดยัดอยู่อัดแอ | ||
| โอ้ทีนี้เช้าเย็นไม่เห็นตลาด | จะนิราศแรมร้างไม่ห่างแห | ||
| เมื่อไรเลยจะได้มาเห็นหน้าแพ | จะเห็นแต่คงคากับปลาวาฬ | ||
| วิตกพลางทางมาถึงสามปลื้ม | มิได้ลืมรสรักสมัครสมาน | ||
| ยังปลื้มปลาบซาบใจอาลัยลาน | ถึงไปนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงสำเพ็งเล็งแลแพตลาด | ไม่เห็นยอดกัลยานิจจาเอ๋ย | ||
| เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย | พี่เมินเฉยชมเหล่าสำเภาราย | ||
| โอ้สำเภาเหล่านี้ถึงปีเข้า | บรรทุกเอาสินค้าเข้ามาขาย | ||
| พี่เคยซื้อของเล่นไม่เว้นวาย | โอ้เสียดายที่จะไปกับสำเภา | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงคอกควายท้ายบ้านละลานเหลียว | ยิ่งลอยเลี้ยวลับเมืองให้เคืองหมอง | ||
| จนพ้นหลักปักเขตสังเกตปอง | นาวาล่องตามลำแม่น้ำไป | ||
| ถึงสำเหร่นึกหวาดขยายผี | ด้วยเป็นที่ฆ่าคนริมชลไหล | ||
| ล้วนป่าเตยเคยแลดูแต่ไกล | พลางครรไลล่องมาไม่ช้านาน | ||
| กระทั่งถึงดาวคะนองริมคลองน้อย | แม่ค้าลอยขายของร้องประสาน | ||
| บ้างก็หยุดจัดของที่ต้องการ | น่าสงสารสาวสาวที่ชาวบาง | ||
| รู้ค้าขายพายล่องออกคล่องแคล่ว | เสียงเจื้อยแจ้วฝีปากพูดถากถาง | ||
| พี่เมินเฉยเลยตรงถึงน้องนาง | จนเรือห่างเหินมาในสาคร | ||
| ถึงวัดราชบูรณะระยะสวน | เห็นแต่ ล้วนมิ่งไม้ใบสลอน | ||
| บ้างคลี่ดอกออกช่ออรชร | แมลงภู่ฟอนเรณูดูกระจาย | ||
| พี่เพ่งพิศคิดถึงคะนึงน้อง | ไปตามท้องวังวนชลสาย | ||
| เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | สังเกตหมายคุ้งคดกำหนดมา | ||
| ถึงบางผึ้งผึ้งลงที่ตรงไหน | พี่แลไปไม่เห็นผึ้งคะนึงหา | ||
| ถ้าเห็นแล้วจะทึ้งหัวน้ำผึ้งมา | ละลายยาแก้โรคที่โศกใจ | ||
| มาถึงด่านด่านเรียกให้เรือหยุด | แล้วรีบรุดมาในลำแม่น้ำไหล | ||
| ต้องเดินอ้อมค้อมคดรันทดใจ | มิได้ไปทางลัดน่าขัดเคือง | ||
| ถึงบางขมิ้นพี่คะนึงถึงขมิ้น | ที่ยุพินขัดสีฉวีเหลือง | ||
| สำอางเอี่ยมเรียมพิศเป็นนิตย์เนือง | งามประเทืองทั้งกายไม่หายงาม | ||
| ถึงบางยอยอใครทีไหนหนอ | ได้ยินยอแล้วก็จิตพี่คิดขาม | ||
| คะนึงถึงน้องหญิงให้กริ่งความ | กลัวจะตามลูกยอเขาปร๋อไป | ||
| มาถึงช่องอินทรีทวีโศก | แสนวิโยคยลป่าพฤกษาไสว | ||
| สิ้นประเทศเขตสวนด่วนครรไล | รันทดใจดังจะดิ้นสิ้นชีวา | ||
| ถึงศาลเจ้าพระประแดงแสยงเกล้า | นึกกลัวเจ้าพระประแดงหนักหนา | ||
| บนศาลศรีมีเศียรของกุมภา | แต่พันตาพันวังหัวฝังดิน | ||
| พระประแดงแข็งกล้าเจ้าข้าเอ๋ย | ขอลาเลยลับไปดังใจถวิล | ||
| ช่วยป้องกันกุมภาในวาริน | อย่าให้กินชาวบ้านชานบุรี | ||
| มาตะบึงลุถึงพระโขนง | น้ำก็ลงเรือก็ล่องยิ่งหมองศรี | ||
| ดูพวกเพื่อนทั้งหลายสบายดี | แต่ตัวพี่โศกศัลย์ถึงขวัญตา | ||
| ถึงสำโรงเห็นโรงเจ้าภาษี | ไม่เห็นมีสำโรงโกงนักหนา | ||
| เห็นแต่นกกาน้ำลงดำปลา | แล้วพาโบกบินไปกินรัง | ||
| อนิจจาปลาว่ายอยู่ในน้ำ | นกยังดำกินได้ดังใจหวัง | ||
| ก็เพราะปลาว่ายไม่ระวัง | จนพลาดพลั้งตัวตายวายชีวา | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงนครเขื่อนขันธ์ตะวันบ่าย | ระกำกายตรึกตรองถึงน้องหญิง | ||
| เป็นปืนใหญ่นึกจะยื่นให้ปืนยิง | ปืนก็นิ่งพี่ก็นั่งประทังตน | ||
| ทัศนาธานีเห็นพิลึก | พวกข้าศึกเสียวแสยงทุกแห่งหน | ||
| ถึงใครประจักหักโหมโจมประจญ | คงจะป่นลงกับปืนไม่คืนมือ | ||
| ป้อมปราการต่อกันเป็นคันขอบ | ช่องปืนรอบเรียบร้อยน้อยไปหรือ | ||
| พระญามอญกินเมืองย่อมเลื่องลือ | ประทานชื่อยศนามตามตระกูล | ||
| พระทรงภพตบแต่งไว้แข่งขัน | คอยป้องกันไพรินไม่สิ้นสูญ | ||
| ทั้งชีพรมหมณ์ไพร่ฟ้าไม่อาดูร | ก็เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| มาถึงบางหัวเสือพี่เหลือพรั่น | ให้หวั่นหวั่นหวาดเสือริบเรือหนี | ||
| ไม่หยุดหย่อนจรมาในวารี | ถึงเจดีย์กลางน้ำพอค่ำเย็น | ||
| พี่นั่งนบอภิวาทพระธาตุบรรจุ | ว่าสาธุช่วยดับระงับเข็ญ | ||
| ให้ฉันว่างวิญญาน้ำตากระเด็น | อย่าให้เป็นทุกข์โศกมีโรคภัย | ||
| รำพันแล้วแคล้วคลาดลีลาศล่อง | มาตามท้องคงคาชลาไหล | ||
| เห็นเมืองสมุทรปราการอันชาญชัย | พระภูวไนยสร้างสรรไว้ มั่นคง | ||
| ดูสง่าหนาแน่นแสนสาหัส | เห็นถนัดหอคอยลอยระหง | ||
| มีเชิงเทินเดินพลรณรงค์ | กำแพงวงป้อมคูดูพิลึก | ||
| มีปืนใหญ่ใส่ประจำไว้ทุกช่อง | จะคอยปองล้างผลาญสังหารศึก | ||
| ถึงเมืองไหนจะราญทำหาญฮึก | มิได้นึกพรั่นจิตสักนิดเดียว | ||
| ถูกแต่ปืนปากน้ำจะคว่ำซุด | คงม้วยมุดเป็นวงลงประเดี๋ยว | ||
| ไม่ต้องรบยืดยาวให้กราวเกรียว | พริบตาเดียวก็สิ้นไพรินราญ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงอกเต่าอ่าวสมุทรดูสุดเนตร | พระสุริเยศดวงดับลับพฤกษา | ||
| ก็หยุดจอดทอดสมอรอนาวา | กินข้าวปลาสรรเสร็จสำเร็จการ | ||
| พวกเพื่อนฝูงมากหลายชายทั้งนั้น | พัลวันนั่งลุกสนุกสนาน | ||
| บ้างนั่นล้อมตาเฒ่าเล่านิทาน | ต่างสำราญสรวลเสเสียงเฮฮา | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายคิด | พระอาทิตย์แจ้งจบพิภพสวรรค์ | ||
| ก็ปลุกเพื่อนเตือนตื่นขึ้นพร้อมกัน | พัลวันเกะกะเอะอะอึง | ||
| จึงนายท้ายนายหัวตัวสันทัด | ให้รีบจัดสายระยางสองข้างขึง | ||
| ถอนสมอช่อใบใส่รอกรึง | พอลมตึงติดใบก็ไคลคลา | ||
| ออกน้ำเขียวเกลียวคลื่นดูครืนครึก | ทะเลลึกกว้างใหญ่ไกลหนักหนา | ||
| ดูเบื้องซ้ายสายสมุดสุดสายตา | ดูเบื้องขวาทิวไม้รำไรราย | ||
| เห็นเมฆใกล้เมฆกระปุ่มกระปิ่ม | ติดกับริมฟ้าเกลื่อนแล้วเคลือนหาย | ||
| ชมทะเลเมฆาจนตาลาย | ตะวันสายคลื่นลมระดมดัง | ||
| เหลียวเห็นเกาะสีชังนั่งพินิจ | เฉลียวคิดถึงนุชที่สุดหวัง | ||
| ให้นึกกลัวน้องหญิงจะชิงชัง | ถ้าเป็นดังชื่อเกาะแล้วเคราะห์กรรม | ||
| เห็นสมมุกขอให้สมอารมณ์มาด | ขอเชิญไทธิราชช่วยอุปถัมภ์ | ||
| ถึงคนอื่นขืนแค่นสักแสนคำ | อย่าให้น้ำใจน้องเป็นสองใจ | ||
| รำพันพลางเรือแล่นแสนสาหัส | พระพายพัดคลื่นคลอนสะท้อนไหว | ||
| เรือกระโดดคลื่นดังปึงปังไป | จนเพลาใบตีน้ำน่ารำคาญ | ||
| ถึงบ้านแหลมแหลมจริงตลิ่งเอ๋ย | ขอลาเลยแหลมไปไกลสถาน | ||
| กว่าจะได้กลับมาก็ช้านาน | แสนรำคาญคิดไปใจระบม | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงบางแก้วโอ้ว่าแก้วของพี่เอ๋ย | จะลอยเลยลับเนตรของเชษฐา | ||
| มิได้กกกอดแก้วพี่แล้วนา | เป็นเวลากรรมมากที่จากไกล | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| มาตะบึงลุถึงตระโหนดหลวง | ก็แล่นล่วงเลยลัดตัดสถาน | ||
| ไม่รอรามาตะบึงจนถึงปราณ | เห็นเรือนบ้านมากมายชายทะเล | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ครั้นถึงสามร้อยยอดก็ทอดอยู่ | พี่นั่งดูหาดทรายชายสิงขร | ||
| มีบ้านตั้งฝั่งฝาริมสาคร | ดูซับซ้อนแสนสุขสนุกสบาย | ||
| พวกชาวบ้านแถวนี้ไม่มีโง่ | ปลูกแตงโมริมไร่เอาไว้ขาย | ||
| ข้างหลังบ้านนั้นมีคีรีราย | ศิลาลายแลเลื่อมชะเงื้อมเงา | ||
| สามร้อยยอดยอดอะไรไม่ประจักษ์ | หรือยอดรักเรียมอยู่บนภูเขา | ||
| มองเขม้นไม่เห็นยอดรักเรา | เห็นภูเขายอดเยี่ยมเทียมอัมพร | ||
| ฟังเสียงนกในเกาะเสนาะก้อง | เรไรร้องหริ่งหริ่งบนสิงขร | ||
| สุริยาลงลับยุคนธร | พระจันทรจรแจ่มฟ้าดาราราย | ||
| น้ำค้างพรมลมพัดเย็นระย่อ | ถอนสมอแล่นไปดังใจหมาย | ||
| เห็นน้ำเค็มพราวพร่างกระจ่างพราย | ดังแก้วปรายโปรยปราดสาดระแนง | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงม่องไล่มองแลชะแง้หา | เห็นภูผาแต่ไกลใหญ่มหันต์ | ||
| ชื่อม่องไล่ไล่ใครที่ไหนทัน | จังสาปสรงชื่อเกาะไว้เหมาะใจ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ทะเลนี้มีคณามัจฉาชาติ | ปลาวาฬแกลบว่ายกลาดลีลาศล่อง | ||
| บ้างอมชลพ่นฟุ้งเป็นฝอยฟอง | ตะเพียนทองโดดดิ้นกินสินธู | ||
| ฝูงฉลากเรรวนเข้ากวนเพื้อน | ราหูเลื่อนลอยหาพวกราหู | ||
| ฝูงฉลามตามพวกฉลามพรู | บ้างขึนพูฟ่องพลิกกระดิกกระโดง | ||
| บ้างกินปลาเล็กปลาน้อยลอยขยอก | ดูเกลื่อนกลอกกลับหางเสียงผางโผง | ||
| ปลาโลมาพาเพื่อนขึ้นเกลื่อนโคลง | ดูโป้งโล้งเล่นคลื่นตัวลื่นลาม | ||
| ปลาโลมาใจดีไม่มีดุ | มุทะลุหนักหนาปลาฉลาม | ||
| เห็นเรือแล่นแต่ไกลมันว่ายตาม | พี่นึกคร้ามนั่งภาวนาไป | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงเกาะเศียรปลาวาฬดาลเทวศ | ชำเรืองเนตรชมชะง่อนก้อนสิงขร | ||
| ดูช่างเหมือนปลาวาฬ ตระหง่านงอน | ใครตัดรอนทิ้งขวางเสียบางไร | ||
| เห็นแต่หัวตัวหายมิได้เห็น | ดูก็เช่นเรียมหมองไม่ผ่องใส | ||
| ไม่เห็นตัวแก้วตาด้วยมาไกล | เห็นแต่ใบกับเรือเหลือรำคาญ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| แล่นเฉลียงเฉียงทิศตะวันตก | ราวกับนกบินเตร่บนเวหา | ||
| ชมละเมาะเกาะแก่งทุกแห่งมา | ไม่รอรารีบรัดตัดตำบล | ||
| ถึงเกาะแก่งรำพึงตะลึงคิด | นิ่งพินิจแนวทางมากลางหน | ||
| พี่รำพึงถึงน้องหมองกมล | จนเลยพ้นแม่รำพึงตะบึงมา | ||
| กระทั่งถึงบางสะพานสถานที่ | มีทองแต่โบราณนานหนักหนา | ||
| บังเกิดกับกายสิทธิอิศรา | ไม่มีราคีแกมแอร่มเรือง | ||
| เนื้อกษัตริย์ชัดแท้ไม่แปรธาตุ | ธรรมชาติสุกใสวิไลเหลือง | ||
| ชาติปะหังหุงขาดบาทละเฟื้อง | ถึงรุ่งเรืองก็ยังเบาเยาราคา | ||
| บางตะพานผุดผ่องไม่ต้องหุง | ราคาสูงสมสีดีหนักหนา | ||
| พี่อยากได้เนื้อทองให้น้องทา | แต่วาสนายังไม่เทียมต้องเจียมใจ | ||
| รำพรรณพรางเรือเรื่อยมาเฉื่อยฉิว | ถึงประทิวทัศนาพฤกษาไสว | ||
| เป็นทิวทิวริ้วริ้วอยู่ไรไร | พี่แลไปเป็นสถานที่บ้านคน | ||
| เป็นเมืองริมวารีกะจีริด | นั่งพินิจแล้วก็ห่างมากลางหน | ||
| ให้ว้าเหว่วิญญาในสาชล | ถึงบางสนแสนโศกวิโยคนัก | ||
| โอ้บางสนต้นสนประจำอยู่ | จึงได้รู้เรียกนามความประจักษ์ | ||
| แต่ตัวเรามิได้อยู่ประจำรัก | มาไกลพักตร์นุชนาฏอนาถใจ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงปากน้ำชุมพรพระนครน้อย | เขาเคยคอยจับพม่าเข้ามาถวาย | ||
| ที่ริมเมืองมีเกาะละเมาะราย | เป็นหาดทรายทั่วปลอดตลอดไป | ||
| เห็นเจดีย์มีอยู่บนจอมเกาะ | ดูงามเหมาะเสาหงส์ธงไสว | ||
| พี่ชี้บอกนายท้ายบ่ายเข้าไป | แวะขึ้นไปพระเจดีย์ด้วยปรีดา | ||
| แล้วลดเลี้ยวเที่ยวเล่นบนจอมเขา | ชมลำเนาตามเกาะละเมาะผา | ||
| แลสลับซับซ้อนก้อนศิลา | ดูก็น่าเพลิดเพลินเนินคีรี | ||
| เวลาค่ำน้ำขึ้นเป็นคลื่นต่วม | น้ำก็ท่วมถึงตีนคีรีศรี | ||
| ชมไม่ทั่วภูผาเข้าราตรี | ลาเจดีย์ลงเรือเหลือเสียดาย | ||
| ถอนสมอช่อใบขึ้นใส่รอก | แล้วแล่นออกไปในวนชลสาย | ||
| กระจ่างแจ้งแสงจันทรพรรณราย | ดาวกระจายแจ่มฟ้านภาลัย | ||
| เห็นดาวฤกษ์ทั้งปวงขึ้นช่วงโชติ | อร่ามโรจน์เรืองรองดูผ่องใส | ||
| โอ้ว่าดาวเอ๋ยดาวฉันหนาวใจ | ทำอย่างไรจึงได้อุ่นละมุนทรวง | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงหลังสวนสวนหลวงหรือสวนราษฎร์ | หลากประหลาดสวนมีอยู่ที่ไหน | ||
| ไม่เห็นสวนเห็นแต่เกาะละเมาะไพร | ภูเขาใหญ่อยู่ข้างขวาริมสาคร | ||
| ดูเวิ้งว้างเพิงผาน่าสนุก | มีร่มรุกข์เรียงรายชายสิงขร | ||
| บ้างคดงองามงอกขึ้นซอกซอน | แอบชะง่อนอิงโกรกชะโงกบัง | ||
| บนจอมเขาเหล่าไม้เล็ก ๆ งอก | ฤดูดอกฤดูดีดังสีสังข์ | ||
| ที่ตีนเขาน้ำตื้นคลื่นประดัง | ไม่รอรั้งรีบมาจนช้านาน | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงไชยาธานีบุรีสถาน | เห็นเมืองบ้านใหญ่โตสโมสร | ||
| สะพรึบพร้อมไพร่ฟ้าประชากร | สถาพรพูนสุขสนุกสบาย | ||
| ตั้งตลาดสองแถวแนวถนน | ล้วนผู้คนอึงอื้อมาซื้อขาย | ||
| เสียงกระหนุงกระหนิงทั้งหญิงชาย | บ้างร้องขายลูกพะเนียงเถียงกันอึง | ||
| บ้างก็ขายมะปลิงมะปรางมะซางสด | ทุเรียนรสชื่นใจสิบใบสลึง | ||
| ชมตลาดลานจิตคิดรำพึง | นึกคะนึงทัศนาแล้วคลาไคล | ||
| สิ้นประเทศเขตทางกลางสมุทร | ก็รีบรุดเข้าในลำแม่น้ำไหล | ||
| ถึงบ้านดอนลมหมดก็ลดใบ | แจวขึ้นไปตามลำแม่น้ำราย | ||
| แม่น้ำใหญ่ยาวยืดจืดสนิท | พี่วักวิดอาบกินกระสินธุ์สาย | ||
| เห็นบ้านช่องสองฟากนั้นมากมาย | เป็นเมืองใต้จันตประเทศเขตนคร | ||
| มีเรือกสวนล้วนเหล่ามะพร้าวมาก | ทั้งสองฟากซ้อนซับสลับสลอน | ||
| ต้นทุเรียนมังคุดละมุดกะท้อน | อรชรช่อผลระคนใบ | ||
| เกตระกำอำพาจำปาดะ | ทั้งสละกินเปรี้ยวเคี้ยวไม่ไหว | ||
| สะตือสนพะเนียงเคียงกันไป | มะเฟืองมะไฟพวงระย้าดูน่ากิน | ||
| พี่ชมพลางทางพ้นตำบลสวน | นาวาด่วนมาในแควกระแสสินธุ์ | ||
| โทมนัสทัศนาดูวาริน | ระรื่นกลิ่นเสาวคนธุ์ริมชลธาร | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| รำพันแล้วแจวหนักมาสักครู่ | เห็นลำพูรายรากเป็นขวากแหลม | ||
| ในทรวงพี่เจ็บมากเหมือนขวากแซม | ด้วยร้างแรมรสรักลีลาศมา | ||
| ไม่รู้จักแห่งหนตำบลสถาน | ยิ่งรำคาญคิดหวนรัญจวนหา | ||
| ขึ้นเหนือน้ำรำพึงตะบึงมา | ได้สี่ห้าคุ้งคิดกำหนดทาง | ||
| พอถึงท่าที่จอดทอดประทับ | ตะวันลับเมรุไกรฤทัยหมาง | ||
| พี่เอนเอียงแอบนอนลงตอนกลาง | นายระวางพูดจาปรึกษากัน | ||
| ว่าหนทางที่จะไปยังไกลเหลือ | ขึ้นจากเรือเดินไปในไพรสัณฑ์ | ||
| เอาเรือใหญ่ไปยากลำบากครัน | จะผ่อนผันคิดหานาวาพาย | ||
| ขึ้นไปอีกสามคืนน้ำตื้นติด | เราจะติดกลอกกลับขยับขยาย | ||
| ขึ้นไปหาเจ้าบ้านท่านเป็นนาย | ขอเรือพายขอขี่สักสี่ลำ | ||
| เอาเรือใหญ่ไปเปลี่ยนเขาไว้ด้วย | ก็เห็นทีเขาจะช่วยอุปถัมภ์ | ||
| ครั้นปรึกษากันเสร็จสำเร็จคำ | ขึ้นจากลำเรือมาหากำนัล | ||
| ก็พอสมน้ำจิตที่คิดหมาย | ได้เรือพายปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
| เอาเรือใหญ่นั้นเปลี่ยนเข้าไว้พลัน | แล้วช่วยกันเก็บของที่ต้องการ | ||
| บรรทุกลงเรือน้อยขึ้นลอยล่อง | ไปตามท้องสาคเรศประเทศสถาน | ||
| ช่วยกันพายพุ้ยมาเป็นช้านาน | เสียงโห่ขานอึงมี่ทั้งสี่ลำ | ||
| เห็นเพื่อนกันหรรษาเป็นผาสุก | แต่ตัวพี่เป็นทุกข์ถึงงามขำ | ||
| ละห้อยหวนครวญครางมากลางน้ำ | พิไรร่ำเรื่อยมาในวารี | ||
| ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกะทะ | เห็นสวะติดวนวารีศรี | ||
| ชื่อท่าข้ามใครจะข้ามก็ไม่มี | ไม่เห็นที่คนข้ามนึกคร้ามกลัว | ||
| เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ข้างขวา | หัวกุมภาพิงถวายไว้หลายหัว | ||
| จรเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว | แลดูทั่วท่าข้ามก็คร้ามจริง | ||
| จึงพายพ้นวนวังมาทั้งหมด | คอยเลี้ยวลดเลียบพายชายตลิ่ง | ||
| มาประมาณสิบคุ้งเห็นฝูงลิง | อยู่บนกิ่งกุ้มน้ำออกคล่ำไป | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| พิเคราะห์ดูสิงห์สัตว์ก็อัศจรรย์ | ช่างเหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ | ||
| ไม่รุ้สิ้นโศกศัลย์รำพึงถึง | รีบตะบึงมาในลำแม่น้ำไหล | ||
| เห็นวัดร้างข้างซ้ายเมื่อพายไป | มีพระใหญ่หน้าตักได้สักวา | ||
| ไม่เห็นมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่ง | แลตะลึงลานจิตพินิจหา | ||
| ดูรกนักหักพังเป็นรังกา | อนิจจาวัดร้างเหมือนอย่างเรา | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ได้สองวันมั่นหมายพายจนบอบ | ถึงน้ำรอบเขาเรียกสำเนียกบ้าน | ||
| มีวัดใหญ่พระอยู่ดูสำราญ | โบสถ์วิหารมุงจากวัดยากจน | ||
| สาธุสะพระอยู่ดูเคร่งครัด | ปฏิบัติสิกขาหากุศล | ||
| เวลาค่ำย่ำระฆังย่ำสวดมนต์ | อยู่ที่บนหอกลางหว่างกุฎี | ||
| พี่หยุดฟังนั่งบ่นจนจบสวด | อยากใคร่บวชถือศีลพระชินสีห์ | ||
| แต่อายุยังไม่ครบประจบปี | ต้องรอรีร่ำรักหนักอุรา | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| รำพันพลางทางมาเวลาค่ำ | เรไรร่ำเรื่อยร้องก้องประสาน | ||
| ดูสองฟากฝั่งฝาสุธาธาร | ไม่มีบ้านรกอยู่ดูน่ากลัว | ||
| มีแต่ป่ายางยูงสูงระหง | เสียงผีโป่งร่ำร้องสยองหัว | ||
| ดูแม่น้ำล้ำลึกให้นึกกลัว | ยิ่งมืดมัวยิ่งมาในสาคร | ||
| พอเดือนขึ้นแจ่มฟ้าดารารุ่ง | ข้างแหลมคุ้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
| มาประมาณยามหนึ่งถึงบางงอน | ก็แวะนอนเนินทรายชายปริ่มปริม | ||
| ลมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำรำเพยพัด | น้ำค้างหยัดหยดย้อยฝอยหยิมหยิม | ||
| พี่คิดถึงมุ้งแพรสีทับทิม | แม่เนื้อนิ่มเคยกางให้เรียมนอน | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| พระจันทร์ส่องต้องทรายที่ชายหาด | เดียรดาษแวววามงามไสว | ||
| เหมือนหิ่งห้อยพรอยพรายกระจายไป | ดูสุกใสสีจับกับแสงจันทร์ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงวัดถ้ำถ้ำมีเป็นที่สนุก | มีร่มรุกข์ริมรายชายภูผา | ||
| พี่แวะขึ้นชมวัดทัศนา | เข้าวันทาพุทธรูปจุดธูปปราย | ||
| แล้วลัดวัดเวียนไปเข้าในถ้ำ | เงื้อมชะง้ำนั่งแลชะแง้หงาย | ||
| เขาเขียนถ้ำน้ำยาทาระบาย | วิไลลายทองทาบดูปลาบตา | ||
| ที่ลางแห่งสดส่างบ้างก็หมอง | ด้วยเป็นของแต่โบราณนานหนักหนา | ||
| เขียนเป็นเรื่องชาดกยกออกมา | ตามพระบาลีตั้งไว้ทั้งปวง | ||
| พี่แลดูรู้เรื่องแล้วเยื้องย่าง | มาตามทางลำเนาภูเขาหลวง | ||
| หอมบุษผาพาชื่นระรื่นทรวง | แล้วเลยล่วงหลีกวัดลัดลงเรือ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| บรรลุถึงวัดฆ้องมองเขม้น | แลไม่เห็นฆ้องชัยฤทัยถอน | ||
| เห็นแต่แถวแนวชลากับป่าดอน | ก็รีบร้อนแรมไปดังใจปอง | ||
| ถึงน้ำตื้นต้องเย็นเย็นยะเยือก | น่ากลัวเงือกตกลึกนึกสยอง | ||
| เพื่อนเขาขึ้นริมตลิ่งวิ่งคะนอง | บ้างโห่ร้องรื่นเริงบรรเทิงใจ | ||
| บ้างเก็บผักหักฟืนมายื่นส่ง | บ้างโยนลงนาวาไม่ปราศรัย | ||
| บ้างก็แบกปืนผาพากันไป | ที่ยิงได้เนื้อกวางมาย่างแทง | ||
| แล้วชวนกันกินกลุ้มประชุมหน้า | รินสุราดื่มดังฟังแสยง | ||
| ที่เมามายร้ายร้องคะนองแรง | หน้าตาแดงลุกโลดกระโดดเรือ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ได้วันครึ่งมาถึงบ้านพระแสง | เป็นเขตแขวงบ้านป่าพนาสีห์ | ||
| เขาว่าเสือชุมนักมักราวี | ดูสองฟากนทีเป็นป่าดอน | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| บรรลุถึงป่าพนมพนาเวศ | เป็นประเทศชื่อบ้านเขาขานไข | ||
| ก็สิ้นทางคงคาชลาลัย | จะขึ้นไปเดินป่าพนาวัน | ||
| อันหนทางที่จะไปเป็นไพรกว้าง | ต้องเช่าช้างเข้าป่าพนาสันฑ์ | ||
| สิบห้าเชือกเลือกได้มาเร็วพลัน | หมดด้วยกันค่าเช่าสิบเก้าตำลึง | ||
| ช้างพังสิบพลายห้างาเสลา | พอรุ่งเช้าผูกสัปประคับขึง | ||
| มิได้พลาดคลาดเคลื่อนรัดเงื่อนตึง | ชาวบ้านอึงออกดูเสียงกรูเกรียว | ||
| เห็นลูกสาวชาวบ้านทาขมิ้น | มิใคร่สิ้นราคีดูสีเขียว | ||
| ไม่น่าชมเชยชิดสักนิดเดียว | ขี้เกียจเกี้ยวพี่ก็เตือนให้เพื่อนเรือ | ||
| ขนข้าวสารข้าวสุกบรรทุกช้าง | กระโถนกระถางหม้อไหมิให้เหลือ | ||
| กระจุกกระจิกพริกหอมกะปิเกลือ | เตรียมไปเผื่อขัดสนในหนทาง | ||
| เอาผ้าพับจับจีบใส่หีบหับ | ก็เสร็จสรรพสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
| แล้วให้นายควาญหมอขึ้นคอช้าง | ขยับย่างยกเท้าออกก้าวเดิน | ||
| พี่ขึ้นหลังช้างพลายสบายจิต | ไปทางทิศหรดีวิถีเถิน | ||
| บ้างก็ขึ้นขี่ช้างบ้างก็เดิน | ดูเพลินเพลินหนักหนาเมื่อคลาไคล | ||
| บ้างโห่ร้องก้องกึกพิลึกลั่น | เสียงสนั่นเฮฮามาไสว | ||
| ถือหอกดาบดาษดื่นทั้งปืนไฟ | คอยกันภัยกลางทางที่กลางดง | ||
| เหล่านักเลงกัญชาหาหวานหวาน | ได้อ้อยตาลใส่ย่ามตามประสงค์ | ||
| หยุดที่ไหนนั่งพร้อมล้อมเป็นวง | เอาหม้อส่งสูบครอกแล้วออกเดิน | ||
| เหล่านักเลงสุราหากระบอก | เอาเหล้ากรอกอัดอุดไม่หยุดเผิน | ||
| แบกกระบอกสุราพากันเดิน | พูดหยอกเอินกันตามความสบาย | ||
| แต่ตัวพี่มิได้มีซึ่งความสุข | มีแต่ทุกข์อาดูรไม่สูญหาย | ||
| ดูสองฟากมรรคาพฤกษาราย | พี่ซังตายชมไพรอาลัยครวญ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถึงทุ่งคาเนียรก็พอย่ำค่ำ | มีธารน้ำศาลาที่อาศัย | ||
| ไม่เห็นทุ่งเห็นแต่ป่าพนาลัย | ศาลพระไพรเจ้าปู่อยู่ขวามือ | ||
| ใครไปมาหาของกองคำนับ | อารักษ์รับบวงบบคนนับถือ | ||
| ที่ป่านั้นพรั่นเสือเขาเหลือลือ | ผู้ใดดื้อไม่บูชาชีวาวาย | ||
| ก็ปลงช้างวางแวะเข้าสำนัก | ทำเซ่นวักเจ้าไพรเป็ดไก่ถวาย | ||
| จึงเชิญเจ้าคุ้มกันอันตราย | ขอฝากกายอาศัยในศาลา | ||
| แล้วกองไฟรายรามตามขอบนอก | มิอาจออกจากกันพรั่นหนักหนา | ||
| ได้ยินเสียงแรดร้องก้องวนา | พี่คิดว่าเสียงเสือก็เหลือกลัว | ||
| ทั้งผีสางนางไม้ก็ไห้โหย | เสียงโหวยโหวยขนพองสยองหัว | ||
| เรไรร้องมิได้นิ่งหริ่งระรัว | ยิ่งมืดมัวหิมวันต์ยิ่งพรั่นใจ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| จนแสงทองส่องสว่างน้ำค้างร่วง | กระจ่างดวงสุริยาในราศรี | ||
| ก็ตื่นขึ้นพร้อมกันด้วยทันที | อัญชลีลาเจ้าลำเนาไพร | ||
| บ้างเดินนาดดาดดื่นบ้างขึ้นช้าง | มาตามทางหิมวาพฤกษาไสว | ||
| แต่เดินทางกลางป่าพนาลัย | กำหนดได้สามวันเป็นมั่นคง | ||
| เข้าเขตแคว้นแดนกลางหนทางหลวง | ก็ลัดล่วงลำเนาเขานางหงส์ | ||
| ถึงปลายน้ำเมืองถลางหนทางลง | ก็เดินตรงรีบรัดตัดตำบล | ||
| ถึงถลางกลางวันไม่ทันค่ำ | ชวนกันทำที่ประทับออกสับสน | ||
| อยู่วัดร้างน้ำพังริมฝั่งชล | ก็ต่างคนต่างสบายเป็นหลายเดือน | ||
| พี่เที่ยวชมนคเรศเขตสถาน | จะเปรียบปานเมืองใหญ่นั้นก็เหมือน | ||
| เรือนพระยาเป็นสง่ากว่าพลเรือน | มีค่ายเขื่อนขอบคูประตูชัย | ||
| ข้างหลังหน้าธานีบุรีรอบ | เป็นเขตขอบโขดเขินเนินไศล | ||
| ดูยอดเยี่ยมเทียมเมฆวิเวกใจ | แม่น้ำไหลลึกกว้างอยู่กลางเมือง | ||
| มีสำเภาเลากามาค้าขาย | ทอดอยู่ท้ายเวียงชัยใบนองเนื่อง | ||
| มีสินค้าสารพัดไม่ขัดเคือง | ที่ในเมืองก็เป็นสุขสนุกสบาย | ||
| ตลาดบกนั่งเบียดกันเสียดแทรก | ดีบุกแลกเงินเหรียญเที่ยวเวียนขาย | ||
| พวกไทยเจ็กแขกชวาขายผ้าลาย | มาตั้งขายเรียงพับสลับกัน | ||
| บ้างขายแสแพรสีมีต่างต่าง | ชาวถลางนุ่งห่มดูคมสัน | ||
| เห็นสาวสาวรูปร่างสำอางครัน | พี่หวั่นหวั่นหวาดหวาดไม่อาจดู | ||
| กลัวยาแฝดแปดเปื้อนจะเชือนหลง | ไม่ประสงค์เชยชิดคิดอดสู | ||
| ผู้หญิงทั่วบ้านมาบรรดาดู | ยังไม่สู้ยอดรักพี่สักคน | ||
| พูดเป็นเสียงชาวนอกไม่ออกอรรถ | ฟังไม่ชัดเจนแจ้งทุกแห่งหน | ||
| พี่พาชายชาวในออกไปปน | ที่ลางคนชอบจิตพูดติดพัน | ||
| ชาวถลางช่างฉอเลาะจนเพราะหู | ได้เป็นคู่เชยชมภิรมย์ขวัญ | ||
| ผู้หญิงเกี้ยวผู้ชายก็ตายมัน | หลงอยู่นั่นมากมายชายชาวใน | ||
| แต่ตัวพี่ใจตรงต่อนงนุช | ได้ถือพุทธแล้วก็ซื่อไม่ถือไสย | ||
| อยู่ถลางค้างปีไม่มีภัย | สู้อดใจราวกับพระชนะมาร | ||
| พี่สู้ทนวิตกให้หมกมุ่น | แต่ปีกุนเดือนยี่จนปีขาล | ||
| เพื่อนเขาเห็นเรียมตรมอยู่นมนาน | ก็คิดอ่านไปชมยมนา | ||
| เขาว่ารอยพระบาทที่หาดกว้าง | แต่หนทางที่จะไปไกลหนักหนา | ||
| พี่อยากไหว้รอยพระบาทพระศาสดา | ก็ชักชวนกันมาเหมือนใจจง | ||
| ไปตามทางข้างทิศตะวันตก | ต้องเดินบกบุกป่าพนาระหงส์ | ||
| ข้ามห้วยหนองคลองบางในกลางดง | ครั้นค่ำลงนอนค้างอยู่กลางไพร | ||
| ได้สองวันบรรลุถึงทุ่งกว้าง | เป็นที่ทางท้องนาชลาไหล | ||
| มีหนองน้ำอยู่ข้างหนทางไป | ดูโตใหญ่เป็นทะเลจระเข้มี | ||
| สารพัดผักปลาในสาคเรศ | ปทุมเมศดอกประดับสลับสี | ||
| ทั้งขาวเขียวเหลืองแดงแสงขจี | พี่ชมชี้เพลิดเพลินแล้วเดินมา | ||
| ลมกระพือฮือหอบทะเลฟุ้ง | ในท้องทุ่งทางเกวียนเตียนหนักหนา | ||
| เห็นแต่ล้วนต้นตาลดูลานตา | ก็รีบมาพักหนึ่งถึงบางคน | ||
| เป็นเมืองเก่าร้างเรื้อเหลือพม่า | ดูโรยราร้างไปเป็นไพรสณฑ์ | ||
| มีแต่บ้านห่างห่างทางตำบล | ประชาชนหญิงชายสบายบาน | ||
| ทำไร่นาสวนเรือกปลูกเผือกผัก | ทั้งแฟงฟักลูกโตแตงโมหวาน | ||
| สารพันมันกลอยทั้งอ้อยตาล | ไม่กันดารส้มสุกเขาปลูกกิน | ||
| พี่ชมพลางทางพ้นตำบลบ้าน | มาถึงย่านยมนาชลาสินธุ์ | ||
| ลงเลียบเดินเนินทรายชายวาริน | พี่ผันผินทัศนาชลาลัย | ||
| ทะเลลึกครึกครื้นเป็นคลื่นคลั่ง | กระทบกระทั่งหาดหินแผ่นดินไหว | ||
| พี่ฟังเสียงคลื่นคลอนสะท้อนใจ | ทะเลใหญ่ลึกล้นพ้นประมาณ | ||
| สีมัจฉาสารพัดสัตว์ในน้ำ | บ้างผุดดำเสียงฟาดอยู่ฉาดฉาน | ||
| จระเข้เหราทั้งปลาวาฬ | ผุดขนานแน่นหนาในสาคร | ||
| ทั้งงูเงือกเกลือกกลอกเข้าหยอกเพื่อน | ขึ้นลอยเลื่อนเคียงคู่ดูสลอน | ||
| กรกฎกุ้งกั้งแลมังกร | เที่ยวสัญจรโบกหางอยู่กลางชล | ||
| มีเนินทรายชายหาดสะอาดเลี่ยน | เป็นที่เตียนเบื้องขวาเป็นป่าสน | ||
| มีเบี้ยหอยพรอยพรายลายชอบกล | ระคนปนกรวดทรายชายชลา | ||
| ทั้งเบี้ยจั่นเบี้ยไทยลูกใหญ่น้อย | มากกว่าร้อยโกฏิแสนดูแน่นหนา | ||
| มีทั้งเบี้ยประหลาดสะอาดตา | ดาษดาดีดีสีต่างกัน | ||
| บ้างก็แดงแดงก่ำดังน้ำฝาง | บ้างดำด่างพรอยพรายลายขยัน | ||
| บ้างก็เหลืองเหลืองดีดังสีจันทร์ | ประหลาดพรรณพิศดูน่าชูชม | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ถูกคลื่นจัดซัดสาดขึ้นหาดกว้าง | เข้าเกยค้างกลิ่นเหม็นเหมือนเช่นผี | ||
| ครั้นแห้งหอมกลิ่นรสหมดราคี | เนื้อเป็นสีสุวรรณอำพันทอง | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ครั้นแดดร่มลมตกเสียงนกเพรียก | หอมลำเจียกรำจวนเที่ยวหวนหา | ||
| พระพายพัดฉ่ำเฉื่อยระเรื่อยมา | พระสุริยาอัสดงค์ลงไรใร | ||
| พี่เดินเรียบเนินทรายข้างฝ่ายขวา | ไม่รู้ว่าแห่งหนตำบลไหน | ||
| เดินบนทรายชายน้ำนั้นร่ำไป | ยิ่งสุดใกลถิ่นฐานพ้นบ้านคน | ||
| ดูเบื้องซ้ายสายสุนทรก็สุดกว้าง | ดูฝ่ายข้างเบื้องขวาล้วนป่าสน | ||
| ดูไสวใบบังพระสุริยน | เป็นพวงผลดาดาดสะอาดตา | ||
| พิกุลแก้วเกดกุ่มต้นชุมแสง | ทั้งจวงแจงไม้มริดกฤษณา | ||
| ปริงประยุงค์ปรงประดูกระดังงา | กระลำภาโกฐสอสมอไทย | ||
| หญ้าฝรั่นจันทามหาหิงค์ | กระไดลิงเล็บนางแลห่างไกล | ||
| ต้นกำยานว่านกระสือกระทือไพร | มีอยู่ในป่านั้นทุกพันธุ์ยา | ||
| เหล่าไม้ดอกออกดอกกระดาดาด | ปักษาชาติจิกกินบินถลา | ||
| นกโนรีสีแดงดังชาดทา | มยุราลงเดินบนเนินทราย | ||
| กระตั้วเห็นกระเต็นห้อยกระต้อยโหน | จิงโจ้โจนจับกระถินแล้วบินหาย | ||
| กระสาจับสนเคียงคู่เรียงราย | เค้าแมวหมายมองโพรงเค้าโมงเมียง | ||
| ฝูงนกผกผินเที่ยวบินร่อน | บ้างเจ่านอนแน่นิ่งบนกิ่งเหนียง | ||
| บ้างมีคู่อยู่สองประคองเคียง | แล้วส่งเสียงตามภาษาทิชากร | ||
| บ้างพลัดคู่ดูเศร้าเหมือนเราโศก | แสนวิโยคมิได้อยู่เป็นคู่สมร | ||
| พี่ครวญพลางทางล่วงครรไลจร | ทินกรเลื่อนลับลงกับชล | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| มาประมาณโมงหนึ่งถึงพระบาท | ที่กลางหาดเนินทรายชายสิงขร | ||
| พี่ยินดีปรีดาคลายอาวรณ์ | ประณมกรอภิวาทบาทบงส์ | ||
| จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพร้อม | รินน้ำหอมปรายประชำระสรง | ||
| แล้วกราบกรานคลานมอบยอบตัวลง | เหมือนพบองค์โลกนาถพระศาสดา | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ตามริมรอบราบรื่นทั่วพื้นหาด | ดังแก้วลาดแลรอบเป็นขอบขัณฑ์ | ||
| ดูก็น่าผาสุกสนุกครัน | ด้วยสีสรรแสงพรายหลายประการ | ||
| พวกเพื่อนฝูงทั้งหลายน้อมกายกราบ | ศิโรราบเรียบเรียงเคียงขนาน | ||
| พระสุริยงลงลับโพยมมาน | ก็คิดอ่านสมโภชพระบาทา | ||
| บ้างรำเต้นเล่นตามประสายาก | พิณพาทย์ปากฟังเสนาะเพราะหนักหนา | ||
| บ้างก็นั่งตีกรับขับเสภา | ตามวิชาใครถนัดไม่ขัดกัน | ||
| อึกทึกกึกก้องทั้งท้องหาด | ไหว้พระบาทปรีเปรมเกษมสันต์ | ||
| แต่นอนค้างกลางทรายอยู่หลายวัน | บ้างชวนกันเที่ยวเล่นไม่เว้นวาย | ||
| บ้างเที่ยวเก็บว่านยากายสิทธิ์ | ปรอทฤทธิ์พลวงแร่แม่เหล็กหลาย | ||
| พวกลายแทงก็แสวงไปตามลาย | เที่ยวแยกย้ายมรรคาเข้าป่าไป | ||
| บ้างเที่ยวจับนกหนูลูกหมูเม่น | มาเลี้ยงเล่นตามประสาอัชฌาศัย | ||
| บ้างลงเล่นยมนาชลาลัย | เห็นแต่ใหญ่ขึ้นหาดดาษดา | ||
| ชวนกันจับขี่เล่นเช่นกับช้าง | ให้คลานกลางหาดทรายชายพฤกษา | ||
| เต่ามันพาลงทะเลเสียงเฮฮา | กลับขึ้นมาหัวร่อกันงอไป | ||
| เขาเที่ยวเล่นเป็นสุขสนุกสนาน | ในกลางย่านยมนาชลาไหล | ||
| แต่ตัวพี่เศร้าสร้อยละห้อยใจ | แสนอาลัยนิ่มนุชสุดประมาณ | ||
| ไหว้พระบาทยมนาแล้วลากลับ | ก็เสร็จสรรพเรื่องราวที่กล่าวสาร | ||
| นิราศนุชสุดใจไปไกลนาน | แต่งไว้อ่านอวดน้องลองปัญญา | ||
| ฉันเป็นศิษย์สุนทรยังอ่อนศักดิ์ | พิไรรักมิ่งมิตรกนิษฐา | ||
| ประโลมโลกโศกศัลย์พรรณา | ยุติกาจบกันเท่านั้นเอย ฯ | ||
