|
|
| | ๏ ครุวารกติกมาเส
|
| สุกรอัศสังวัจฉเร | | เหมันต์จตุมีดิถียัง
|
| นาฬิกาหึ่งหึ่งถึงยามสอง | | ได้สามบาทคาดฆ้องประโคมสังข์
|
| พระมงกุฏปิ่นเกษนิเวศวัง | | ไม่รอรั้งร้างมิ่งพิมานเย็น
|
| พระสถานสถิตย์เยือกยินแต่เสียง | | สุรางค์เรียงร่ำเทวศก็เหลือเข็ญ
|
| ข้าธุลีมีกรรมจึงจำเปน | | ไม่เห็นเลยหลักภพพิบัติวาย
|
| โอ้พระมิ่งโมฬีที่พึ่งโลกย์ | | ประชาโศกแสนละห้อยไม่รู้หาย
|
| ฤๅผลเวรสัตว์ทำประจำกาย | | จึงทำลายเจาะจอมกระหม่อมจง
|
| พระกฤษฎาดังพรหมอุดมเดช | | ที่ทรงเพศพาหนพระยาหงษ์
|
| เหมือนสุริเยศไขศรีรวีวงษ์ | | เมื่อเสร็จทรงกลดเยี่ยมโพยมงาม
|
| อรินราชกราบเกรงพระบารเมศ | | มงกุฏเกษสรวมชีพทวีปสาม
|
| เคยเปนฉัตรแก้วกั้นสุวรรณวาม | | ดังศศิตามส่องโลกย์สว่างวาว
|
| เย็นเกษบารเมศบรมจักร | | ที่พำนักนิ์หายหาชนาหนาว
|
| พระอานุภาพเลิศลบจบแดนดาว | | ปัจจาผ่าวอุรพาระอาใจ
|
| อันปิ่นราชนิเวศน์วังบวร | | ดัษกรรื่นราบกราบไสว
|
| ถึงรัตนังอังวะที่ฦๅไกร | | ก็ปราบได้ด้วยพระฤทธิเดชาชาย
|
| เมื่อปางหลังที่นั่งสุรามรินทร์ | | อยุทธสิ้นย่อยยับประหารหาย
|
| เพราะไพรินลุยลามตามทำลาย | | กระหม่อมหมายเมืองล่มไม่เล็งคืน
|
| บิตุรงทรงนามธรรมิกราช | | ทั้งสามโลกย์เนียรนาศไม่อาจฝืน
|
| มายกพระสาสนาภิญญายืน | | ประชาชื่นชมโพธิสมภาร
|
| คือล้นกระหม่อมมิ่งมไหวงษ์ | | สองพระองค์เลิศฟ้ามงกุฏสถาน
|
| แบ่งภาคจากองค์พระอวตาร | | ผ่านนิเวศน์ปราบดาด้วยบารมี
|
| จึงสิ้นยุคสุขกระเษมทั้งสามภพ | | เทพนบน้อมเกษทุกราษี
|
| สรรเสริญเดชาทั้งธาตรี | | กรชุลีโปรยทิพย์สุมาลย์มา
|
| โอ้พระคุณเคยการุญพำนักนิ์โลก | | ยิ่งวิโยคยามร้อนไม่ผ่อนหา
|
| เมื่อดับเข็ญเย็นแล้วทั้งโลกา | | ไยนิราร้างราษฏร์อนาถเนา
|
| ปางครั้งทศเศียรอสุรภักตร์ | | เที่ยวหาญหักสามโลกย์ได้โศกเศร้า
|
| นารายน์รามตามล้างจึงบางเบา | | บันเทาทุกข์ทั่วเทพดาคืน
|
| สุดเกษมไตรภพสบกระสัน | | อภิวันท์ทุกพิมานสำราญรื่น
|
| เหมือนปิ่นจอมล้นกระหม่อมเมื่อยังยืน | | หมื่นนิเวศน์วรถวายสุมาลี
|
| จึงนิพนธ์แต่หลังไว้หวังสนอง | | ให้จำลองสืบกระษัตริย์บดีศรี
|
| หนึ่งครุลหุเคียงแต่เพียงตรี | | ที่ท่านปรีชาช่วยอำนวยกลอน
|
| ใครยลอย่าเพ่อเย้ยพึ่งศึกษา | | ใช่เมธาเจนจิตรบัณฑิตย์สอน
|
| แสนถวิลถึงพระปิ่นชนากร | | สุดนิวรณ์หวั่นเทวศกำศรวญครวญ
|
| ปัญญาหญิงไหนจะพริ้งไม่คล่องเคล้า | | นี่โดยเดานึกคเนอย่าเสสรวล
|
| ถ้าชำนาญอ่านเล่นเห็นสำนวน | | ปราชญ์ช่วยปรวนเติมแต้มให้งามคำ
|
| เราใช่ราชกระวีที่เฉลียว | | ก็เสียวใจจะไม่คมเหมือนลมขำ
|
| อ่อนหัดไม่สันทัดพึ่งลองทำ | | จะริร่ำร่างลงก็งงนาน
|
| หนึ่งชุลิตฝ่าธุลีมีพระเดช | | ซึ่งก่อเกษเลื่องโลกย์ระบือหาญ
|
| เสด็จสู่สวรรค์เทวพิมาน | | ขอมัสการกรน้อมศิโรดม
|
| ถวายต่างทิพมาศมโนแผ้ว | | กราบแล้วจึงลิขิตอักษรสม
|
| โอ้พระปิ่นภพร้อนดังเพลิงรม | | ล้มพระโรคแรกประทับจะอับจน
|
| ประชวรแต่มาฆมาสเหมันต์ | | ฤดูนั้นเดือนหนาวเปนคราวฝน
|
| สิ้นทั้งวังตั้งแต่ทุกข์ระทมทน | | ถึงยุคลมิ่งแก้วเกษกำนัล
|
| เสด็จนั่งหนือบัลลังก์วิเชียรช่วง | | ประดับดวงมณฑามาแต่สวรรค์
|
| ดารารายพรายพร้อมเข้าล้อมจันทร์ | | เหมือนสุริยันย่างเยี่ยงพระเมรุทอง
|
| หมู่อับสรเฝ้ารอบหมอบระดาษ | | พร้มพระราชธิดาประนมสนอง
|
| สุวรรณผุดโพธิญาณ์ฝ่าลออง | | ให้แผ่ปองทรงปิดพระปฏิมา
|
| พระรัศมีหมองเหมือนเมื่อเดือนดับ | | ลูกวาววับหวั่นทรวงสหัสา
|
| พระฉวีเสียศรีสุนทรา | | ชลนานองเนตรตลึงแล
|
| ยลอนงค์นุชนางสนมน้อม | | งามลม่อมหมอบผจงดังวงแข
|
| เคยรองบาทจะบำราศสวาดิแด | | เหมือนจะแปรปราศจากไม่อยากยล
|
| เหนพระไทยจะเปนห่วงหน่วงถนอม | | จะไกลกล่อมขวัญให้ระหวยหน
|
| จึงเรียกรศอมฤตยวิเชียรชล | | เสี่ยงกุศลซึ่งสร้างพระโพธิญาณ
|
| แม้นชนม์จะอยู่ช่วยบำรุงทวีป | | ขอให้รีบรับน้ำรศาหาร
|
| ถ้าชีวิตรนี้จะปลิดไม่เนานาน | | อย่าให้พานสอคล่องนิยมยิน
|
| เทวศว่าต่อพระภักรพระชนศรี | | แล้วทวีทรงพระวิตกถวิล
|
| พิศฐานเสร็จเสวยวารีริน | | แต่ชั้นกลิ่นกลืนกลับวิบัติเปน
|
| พระอาเจียนเวียนประทะอุรหมอง | | จึงตรัสร้องว่าโอ้มิพ้นเข็ญ
|
| เคยเปนร่มเกล้าโลกย์ได้อยู่เย็น | | เห็นสุเมรุเอนแล้วจะตรมตรอม
|
| สุเรศดังสุรางค์บำเรออินทร์ | | จะไกลกลิ่นกล่อมกลีบมณฑาหอม
|
| เคยสงวนนวลเฉลิมเปนเจิมจอม | | ยามถนอมแนบชื่นไม่คืนเคียง
|
| แต่ครวญคร่ำน้ำพระเนตรนั้นนองเนตร | | แสนเทวศพร้องเพราะพระสุรเสียง
|
| พระสนมรอบร่ำพิไรเรียง | | เคยชุบเลี้ยงจะนิราศพระบาทา
|
| จึงดำรัสเรียกเหล่าบุตรีสมร | | ประโลมสอนพ่อจะร้างนิราศา
|
| ดวงจิตรฝากชีวิตรพระบิตุลา | | วาศนาหาไม่จงเจียมสกนธ์
|
| สมรยากฝากองค์ให้การุญ | | ถ้าพระคุณเคืองเข็ญไม่เปนผล
|
| จะพึ่งพ่อเล่าก็พ่อไม่ยืนชนม์ | | ยลแต่บาทนะจงตั้งภักดีตรง
|
| หนึ่งพระเสาวนีที่มียศ | | พระธิดาปรากฎมงกุฎหงษ์
|
| จงฝากกายนะอย่าหมายหมิ่นทนง | | เจ้าเปนวงษ์จงรักษ์ธุลีลออง
|
| ที่นี้ถึงเทพถือโอสถทิพย์ | | ผจงหยิบมาประมูลทูลฉลอง
|
| ไม่เสวยเลยให้เวทนาปอง | | จะต้องเนิ่นทรมานรำคาญเคือง
|
| สดับตรัสดังมัจจุราชรีบ | | ประหารชีพลูกหายทำลายเบื้อง
|
| เมรุมุ่งเคยประจำทวีปเรือง | | ถ้าล่มแล้วจะมิเนืองน้ำตาตาย
|
| บ้างข้อนอกร่ำโอ้มิควรเข็ญ | | ดังกระเด็นเศียรเกล้าของเราหาย
|
| เคยปราโมทมีศุขทุกวันวาย | | เหมือนสายเนตรจะเปนสายโลหิตกอง
|
| ถึงยามเกษมเคยแสนสำเริงรื่น | | กลับสอื้นนึกโอ้มโนหมอง
|
| แต่นั้นมาพร้อมหน้าไม่ไกลลออง | | หมายฉลองพระคุณคอยระวัง
|
| ผลัดโมงกันไม่ให้คลาดสักบาททุ่ม | | ดังเพลิงรุมร้อนอกวิตกหลัง
|
| แต่นั่งยามย่ำฆ้องจนเคาะระฆัง | | ลูกหวังฟังราชกิจจะหนักเบา
|
| ปางปิ่นโมฬีทั้งสี่ทวีป | | ดังศศิธรร่อนรีบขึ้นเหลี่ยมเขา
|
| เสวยทุกข์มิได้ศุขสถิตย์เนา | | ให้เชิญเอาพระอาการนราพงษ์
|
| พอรตินทิวาเวลาสงัด | | ดำรัสร่ำคำหวานละลานหลง
|
| ตลึงแลดูนิเวศจังหวัดวง | | ยิ่งแสนทรงพระวิโยคเมื่อยามตรอม
|
| ว่าอนิจจังครั้งนี้จะไกลเนตร | | นึกสังเวชก็แต่บุตรสุดถนอม
|
| จะพึ่งวงษ์ไม่จงเหมือนบิตุจอม | | จะร่ำโอ้ทูลกระหม่อมนิราคลา
|
| พรหมภักตร์พร้อมภักตร์ละห้อยหวล | | แต่นี้นวลนะอย่าโหยละห้อยหา
|
| ทั้งพิมานดุสิดาสวรรยา | | ฤๅจะราแรมร้างจากปรางค์ไป
|
| แต่พื้นทรงสมญาปราสาทซื่อ | | ประสิทธินามไว้ให้ฦๅพิภพไหว
|
| แล้วนึกพระบิตุลายิ่งอาไลย | | จะเปลี่ยวพระไทยจินดานุชาครัน
|
| คราวณรงค์เห็นจะทรงดำริห์คิด | | เคยร่วมจิตร่วมคู่เสวตรสวรรค์
|
| ร่วมชีวิตรปลิดพรากไปจากกัน | | ร่วมสุวรรณเสวตรฉัตรกระจัดนาม
|
| จะภินทนาอยู่เออนาโถ | | จะนึกโอ้ฤๅไม่เอื้อนระคางขาม
|
| ฤาจะแสนโศกเทวศถวิลความ | | เปนเพื่อนไร้ในยามกันดารนาน
|
| พระเดชขจรนครกระษัตริย์สิ้น | | แต่พื้นผินน้อมศียรหัตถ์ประสาน
|
| ถวายเครื่องทิพย์มาศสุมาลย์ | | บรรณาการเนื่องแน่นประนมคม
|
| ออกพระนามก็ให้ขามขยาดยศ | | เห็นปรากฎเกียรติเกินพระสยม
|
| อาณาราษฎร์ร้องถวายพระพรชม | | จนประถมล่วงพระชนม์นรินทร์
|
| ร้อนอาศน์เทวราชอมรเมศร์ | | เทพเทวศทุกวิมานรังสิน
|
| สิบหกชั้นช่อฟ้าดุสิตอินทร์ | | ประชุมผินผันย้ายราษีจร
|
| เข้าสถิตย์สิงสู่กำภูฉัตร | | กระจัดแจ้งออกด้วยเทพสังหร
|
| หวังให้เลื่องบารมินปิ่นนคร | | กระฉ่อนภพจบหล้าลือขจาย
|
| มหัศจรรย์โลกย์ลั่นกำปนาท | | สุธาวาศไหวกระทบคูหาหาย
|
| สุเมรุเอียงแทบจะเอนอันตราย | | สายสินธุ์เปนละลอกกระฉอกฟอง
|
| พระสมุทเพียงจะทรุดไม่หยุดคลื่น | | ภุชชงศ์ตื่นเผ่นน้ำผันผยอง
|
| ประทุมเกตุอาเภทดังสีทอง | | แสงส่องยลปลาดไม่อาจแล
|
| เมฆหมอกออกมัวไปทั่วทวีป | | พิรุณรีบโปรยกระสินธุ์รินกระแส
|
| ฟ้าดินวิปริตเห็นผิดแปร | | ทีนี้แน่แล้วพระจอมกระหม่อมเวียง
|
| ทั้งโพยมก็พยับพยุฝน | | ดูฤกษ์บนเทเวศร์ถวายเสียง
|
| สุนีฟาดอากาศก้องสำเนียง | | ดังเปลื่องเปลี้ยงฟ้าลั่นคำรามรน
|
| วายุพาพัดปาริกชาติ | | ก็พินาศพังรเนนไม่ตั้งต้น
|
| เสวตรฉัตรหักยับระยำยล | | ฤๅเทพดลบันดาลฟ้ามาเชิญ
|
| วิหคร้องในห้องเวหาหาว | | เหมือนเสียงสาวสมรอัปศรเหิน
|
| เหมือนศุลีรอยชลอพิมานเกิน | | คอยพระราชดำเนินเสด็จคลา
|
| บังเกิดมีองค์พระศรีมหาโพธิ | | นิโรธร่มฝูงสัตวมนัศา
|
| ก็แรมร่วงล่วงลับอยู่โรยรา | | กลับระย้ายอดลัดระบัดใบ
|
| เมื่อจวนจอมรพีพงษ์ทิวงคต | | โพธิ์สลดเอนล้มระทมไข้
|
| ดังมีจิตรคิดแสนเทวศใจ | | ดังอาไลยในเบื้องบดินทร์วาย
|
| ฦๅล้นกระหม่อมจอมดาวดึงษ์เดช | | แสดงเหตุแจ้งอัตถ์กระจัดถวาย
|
| ว่าโพธิ์ทองหมองแล้วจะอันตราย | | เมื่อลูกหมายเหมือนพระจอมโลกากร
|
| ด้วยพระปิ่นจรรโลงอยุทธเยศ | | ทุกประเทศเกรงจบสยบสยอน
|
| จึงสำแดงบารเมศฦๅขจร | | ว่าร่มร้อนเกล้าโลกย์เคยอยู่เย็น
|
| ครั้งนี้จะเสด็จสู่สวรรคต | | ก็ปรากฏอัศจรรย์จะให้เห็น
|
| นิจาโอัอกเอ๋ยมิเคยเปน | | จะเกิดเข็ญูแน่แล้วสุชลริน
|
| บัญูชรวายุสถานอัมเรศ | | ทั้งพิมานพรหเมศนรังสิน
|
| เลร็จศุขจตุรมุขพระแกลยิน | | เยยดังพิณพาทย์เพลงบรรเลงกลอน
|
| ไฉนหมองกลับร้องสำเนียงโหย | | อดูรโดยพระมิ่งอดิศร
|
| แต่พระที่นั่งดังภินทนาวรณ์ | | นี่ฤๅเราจะมิข้อนอุระครวญ
|
| ซรอยเทพยดารักษาวัง | | ถวิลหวังบริรักษ์แรมสงวน
|
| เคยรองมุลิกานิรานวล | | รเหยหวลอาไลยธุลีลออง
|
| มหัศเหดุใหัเทวคทวีร่ำ | | ยิ่งกลืนระกำกอบกินสุชลหมอง
|
| สารพัดจะวิบัติบังเกิดปอง | | ชวนกันพร้องพร่ำโอ้แต่นี้เรา
|
| อันฉัตรแก้วร่มเกษเฉลิมโลกย์ | | เห็นวิโยครัศมีมณีเศร้า
|
| เคยเรืองแสงส่องวามเห็นงามเพรา | | เสมอเขาพระสุเมรุเอนทำลาย
|
| สุกรปักษ์เหมันติกามาค | | เสร็จปำราศเอกานิราหาย
|
| กำสรดสั่งยังวิหารอารามพราย | | ถวายกรวอนทูลพระชินวงษ์
|
| มณฑปดังจุฬามณีสวรรค์ | | พระเพลิงหั่นล้างใหัเปนผุยผง
|
| พึ่งทรงสรัางฤๅจะรัางไปเอองค์ | | จะชีพจงคตสิ้นเสียก่อนกาล
|
| สถิตย์เถิดลาแลัวพระชินศรี | | ชุลีหัตถ์ไห้ร่ำด้วยคำหวาน
|
| พระวรรณโรครึงรนไม่ทนทาน | | ทรมานนานเนิ่นก็เกินแรง
|
| ประชวรซูบผิดพระรูปร่ำเทวศ | | ชลเนตรนองภักตร์ชักพระแสง
|
| จะล้างองศ์ลงใหัวางเสียกลางแปลง | | โอรสแย่งเคียงยุดพระกรกุม
|
| อนิจาอาดูรแล้วทูลหัาม | | จงโปรดตามอย่าเพ่อทอนพระชนม์ทุ่ม
|
| พระเป็นที่ร่มฉัตรสัตว์ประชุม | | ค่อยเหือดกลุ้มพระอุระสบายคลาย
|
| กลับสู่พระนิเวศน์นิวาศสถาน | | ถีงพระทวารสั่งเสร็จพระไทยหาย
|
| โอ้เวียงเอ๋ยเคยเกษมเปรมปราย | | ประมาณหมายแม่นมิ่งพิมานอินทร์
|
| ทีนี้จะเงียบเหงาเย็นเปนวังร้าง | | ดำรัสพลางทอดถอนฤทัยถวิล
|
| แต่ครรไลรอบราชวังนรินทร์ | | แล้วก็ผินเผยผันพระบัณฑูร
|
| ว่าอนิจาครั้งนี้จะนิราศ | | เคยเอนอาศน์ปัจฐรณ์จะสิ้นสูญู
|
| พระภักตร์หมางหมองเศร้าด้วยอาดูร | | ภูลเทวศทุกทิวานิจากรรม
|
| จึงเอื้อนเทวบัณฑูรสั่งสนม | | ต่างประนมหัตถ์รับพิไรร่ำ
|
| จงค่อยอยู่เถิดวิบากจะจากจำ | | น้ำพระเนตรอาบชลธารนอง
|
| ตรัสสั่งวสันดรพิมานแก้ว | | จะลาแล้วแรมรัางอย่าหมางหมอง
|
| เคยสำราญูเนาสถานพิมานทอง | | จะไกลห้องทิพเยศนิเวศน์วัง
|
| นิเวศน์เวียงยินแต่เสียงสนมโศก | | เสน่ห์แสนสุดวิโยคไม่วายหวัง
|
| ไม่เว้นว่างนางในไห้ประดัง | | ประดาหวลครวญตั้งตลอดปี
|
| แต่ปางหลังครั้งเบื้องบรเมศร์ | | บรมบาททุเรศนิราหนี
|
| นิราศร้างแสนสุรางคเทพี | | เทพินมีแต่ตีอุระกรม
|
| อุราเกรียมเทียมแทบไคลทับ | | ศิลาทุ่มทรวงคับด้วยทุกข์ถม
|
| ทุกข์ปะทะถึงบดินทร์สุรินทร์รมย์ | | สุเรศร้างจะระบมอารมณ์โรย
|
| อารามร่ำจำจากจอมนิเวศน์ | | จึงนิวรณ์อ่อนเกษถวิลโหย
|
| ถวิลหาถีงฝ่าลอองโอย | | ลอายอาบเนตรโกยแต่กองชล
|
| แต่การชื่นฝืนใจใม่มีศุข | | มาน่ามุขเหงาเงียบละห้อยหน
|
| ละห้อยหวลล้วนลางพิไรรน | | พิลาปแล้วจะไม่ยลยุคลคืน
|
| ยิ่งฆ้องค่ำย่ำสนธยาหมอง | | ทเยศหมางห่างห้องหวลสอื้น
|
| โหยสอึกนึกอนาถสวาดิกลืน | | เสวยทุกข์ไม่ชื่นสักนาฬิกา
|
| นาฬิกาลฆ้องขานประจวบทุ่ม | | สุชลชุ่มเนตรซับกับภูษา
|
| มิไดัเยื้อนเบือนเบิกสักเวลา | | ชลนาดังสายพิรุณโปรย
|
| จึงโศกสั่งพระที่นั่งสุทธาสวรรย์ | | ว่าแต่วันนี้จะลาระหาโหย
|
| เคยจำเริญเมาฬีสวัสดิ์โดย | | โอ้จะโอยโอษฐร่ำระกำครวญ
|
| ถีงเกยเคยปรัทับพระยานุมาศ | | แล้วลีลาศตามท้องวิถีฉนวน
|
| เทพบุตรนำน่าสง่าควร | | กระบวนแห่แล่ล้วนประนมเรียง
|
| บ้างก็เชิญเครึ่องสูงมยุรฉัตร | | แน่นขนัดแตรสังข์ประดังเสียง
|
| วรเทพมลายูเปนคู่เคียง | | เหมือนอิเหนาเข้าเวียงนาดกรมา
|
| ล้วนกุมกฤชกรายเยี้องชำเลืองคม | | ดูสวยสมเมื่อมะงุมมะงาหรา
|
| ฤๅปันหยีที่มาปลอมจอมชวา | | งามสง่าปางก่อนบ่ห่อนมี
|
| ฝูงอนงค์ถือทิพย์ประทุเมศ | | ดังสุเรศแรมฟัาจากราษี
|
| ที่เดินถัดเชิญพัชนีวี | | เหมือนลักษมีแบ่งภาคจากนารายน์
|
| นางถือพระแส้แลเลี่อนลอยโพยม | | งามโฉมดังจะล่องละลิ่วหาย
|
| นางเชิญพระแสงแต่งกรีดกระบวนกราย | | เสมอหมายเหมือนอุเมศครรไลลง
|
| ที่เชิญเครื่องค่อยเยื้องมาเจียนจริต | | เมื่อพินิจดังนางสุรางค์หงษ์
|
| อันแห่น่ากุมารีมีพงษ์ | | ล้วนทรงเครื่องประดับสำหรับกาย
|
| ถือดอกไม้ทิพมณฑาสวรรค์ | | ดังเทวัญว่ายเมฆลงมาถวาย
|
| กรประนมสมภักตร์ประพริ้มพราย | | ฝรั่งรายเดินคู่ก็ดูงาม
|
| อันเกณฑ์แห่แลสล้างดังนางเขียน | | ก็หันเวียนวงรอบคำรบสาม
|
| กระบวนนำพฤฒาราชกระวีพราหมณ์ | | เคียงตามโปรยเจียนวิเชียรวรรณ
|
| อันฝ่ายหลังล้วนฝูงสนมแน่น | | ประหนึ่งแสนกัญูญามแต่สวรรค์
|
| ดังอับศรจรจากพิมานจันทร์ | | พระกำนัลนางสระละออองค์
|
| บรรดาหมู่มนตรีที่มีหน้า | | ก็ตัองมาตามเสด็จโดยประสงค์
|
| พระโอรสรับเครื่องกุภัณฑ์ทรง | | ดังอินทร์องค์ทรงเอราวรรณจร
|
| เสด็จพระราซดำเนินดูสง่า | | ดังนราหน่อนารายน์เมื่อกรายศร
|
| อันเขาแก้วดังแก้วคิรินทร | | เทียมนครไกรลาศศุลีฦๅ
|
| สงสารแกัวกำพร้าที่อยู่หลัง | | โอ้จะได้เหมือนยังพระชนม์ฤๅ
|
| เคยตั้งการมงคลจนระบือ | | ข้างน่าคือใครจะช่วยอำนวยนาม
|
| ชรอยสิ้นวาศนาโอ้อาภัพ | | จะแลลับหวั่นเวทนาหวาม
|
| ได้พึ่งพระบิตุลาพยายาม | | จึงงามยศงดยังประทังทน
|
| เสด็จออกท้องพระโรงวินิจฉัย | | ไขเทวบัณฑูรอนุสนธิ์
|
| แด่บรรดาเหล่าข้าฝ่ายุคล | | ไม่ยลภักตร์จะนิราศแรมคลา
|
| จึงดำรัสสั่งเสวกามาตย์ | | เคยรองบาทเปนศุขเถิดทุกหน้า
|
| เราจะล่วงทิวงคตครรไลลา | | จงชีพใตัฝ่าธุลีลออง
|
| อย่าคิดคดทรยคไม่จงรัก | | จงตั้งภักดีต่อยุคลสนอง
|
| อาสาอย่าได้คิดชีวิตรปอง | | ฉลองพระเดชกว่าจะสิ้นชีวินปลง
|
| เสนางค์ต่างแสนกำสรดเศรัา | | แล้วรับสั่งใส่เกล้าตลึงหลง
|
| สุชลอาบกราบเบื้องบรมวงษ์ | | โอ้พระทรงคุณโลกย์ไดัความเสบย
|
| จะนิราศแรมร้างนิราสถาน | | จะแดดาลโดยวิตกนะอกเอ๋ย
|
| เมื่อเฝ้าบาทไม่ขาดเวลาเคย | | จะแลเลยทุกนิรันดร์นับวันตรอม
|
| พระบิตุลาปรีชาเฉลียวแหลม | | ขยายแย้มสั่งให้ห้อยมณฑาหอม
|
| พระโองการร่ำว่านิจาจอม | | ถนอมขวัญตรัสโอ้พระอนุชา
|
| ว่าพ่อผู้กู้ภพทั้งเมืองพึ่ง | | จงข้ามถึงพ้นโอฆสงสาร์
|
| ดำรงจิตรคิดทางพระอนัตตา | | อนาคตนำสัตว์เสวยรมย์
|
| ครั้นทรงสดับโอวาทประสาทสอน | | ค่อยเผยผ่อนเคลื่อนคล้องอารมณ์สม
|
| แต่หนักหน่วงห่วงหลังยังเกรงกรม | | ประนมหัตถ์ร่ำว่าฝฝ่าลออง
|
| บุญน้อยมิได้ครองยุคลคืน | | ยิ่งทรงสอื้นโศกสั่งกันทั้งสอง
|
| จึงทูลฝากพระนิเวศน์ที่เคยครอง | | ประสิทธิปองมอบไว้ใต้ธุลี
|
| ฝากหน่อขัติยานุชาด้วย | | จงเชิญช่วยโอบอ้อมถนอมศรี
|
| แต่นั้นพงษ์จงพึ่งพระบารมี | | จงปรานีนัดดาอย่าราคิน
|
| เหมือนเห็นแก่นุชหมายถวายมอบ | | จะนึกตอบแต่บุญการุญถวิล
|
| ก็จะงามฝ่ายุคลไม่มลทิน | | ก็เชิญผินนึกน้องเมื่อยามยัง
|
| อนึ่งหน่อวรนารถผู้สืบสนอง | | โปรดใหัครองพระนิเวศน์เหมือนปางหลัง
|
| อย่าบำราศใหันิราแรมวัง | | ก็รับสั่งอวยเออพระโองการ
|
| จึงตรัสปลอบพระบัณฑูรอาดูรด้วย | | ว่าจะช่วยเอาธุระแสนสงสาร
|
| เปนห่วงไปไยพ่อใหัทรมาน | | จะอุ้มหลานจูงลูกไม่ลืมคำ
|
| อันเยาวยอดสืบสายโลหิตพ่อ | | ที่ตั้งต่อสุจริตอุปถัมภ์
|
| ครั้นทรสดับแน่นึกลำเนาคำ | | ก็คลาย่ำทุกข์ถ้อยบันเทาทน
|
| จึงออกโอษฐเรียกโอ้ปิโยรส | | ทรงกำสรดซ้ำสั่งอนุสนธิ์
|
| อยู่หลังนะจงเจียมเสงี่ยมตน | | ฝากชนม์พระปิตุลาอย่าอาวรณ์
|
| อย่าประมาทเกรงราชไภยผิต | | ระวังจิตรนะจงจำคำสอน
|
| สุจริตคิดพระคุณดังบิดร | | พ่อจะจรจากแล้วประโลมลา
|
| อันสมเด็จหน่อนารถพระราชบุตร | | จะเปนมงกุฎสืบสายในภายน่า
|
| อย่าบังอาจล่วงพระราชอาญา | | พ่อจะนิราร้างเจ้าไม่เนานาน
|
| จึงให้หาพระบัญชาวังหลังสั่ง | | พ่ออยู่หลังเลี้ยงน้องประคองหลาน
|
| พระนัดดาน้อมศิราลงกราบกราน | | ก็จากสถานเมื้อมิ่งพิมานแมน
|
| ครั้นเสร็จสั่งพอได้พิไชยฤกษ์ | | บ่ายเบิกบุษบกอมรแสน
|
| มาตุลีชักรถออกจากแดน | | เทวแน่นเภรีลั่นกลองประโคม
|
| ลูกยินแว่ววาบกรรณประหวั่นเสียง | | สำเนียงเพียงพิณพาทย์อมรโฉม
|
| แด่ยลเวชยันต์นั้นลอยโพยม | | คะครึกโครมแตรสังข์ทั้งวิมาน
|
| พระบิตุรงค์ทรงบุษบกเคลื่อน | | ละลิ่วเลื่อนออกช่องบัญชรสถาน
|
| ต่างสยองศิโรราบลงกราบกราน | | ชมโพธิสมภารอเนกนันต์
|
| ปางพระเนาวโลกโมฬีล่วง | | ก็ตกพวงมณฑามาแต่สวรรค์
|
| คราวนี้ก็จะมีพระเกียรติครัน | | ด้วยอัศจรรย์เห็นแจ้งประจักษ์ความ
|
| ผู้ใดสดับอย่าหมิ่นประมาทแหนง | | ถ้าใครแคลงจงลืบสำเนาถาม
|
| ใช่จะยกพระยศยอแต่พองาม | | เราแต่งตามจริงใจในนิพนธ์
|
| มาดถ้าใครฟังอ่านนิพานนี้ | | ไม่น้อมศิราราบกราบสามหน
|
| ให้วิบัติอุบาทว์อย่าขาดสกนธ์ | | แต่ยลเร่งประนมนมัสการ
|
| จะเหมือนพรธาดาประกาสิต | | ต้วยบพิตรเลิศภพจบสถาน
|
| จะนำสัตว์ลัดล่วงตัดบ่วงมาร | | โพธิญาณแท้เที่ยงพระชินวร
|
| จึงจาฤกนึกดังสุพรรณบัตร | | ออกพระนามจักรพรรดิในนอักษร
|
| อย่าเมินหมิ่นว่ารบิลเปนราวกลอน | | จงอ่อนเศียรบังคมให้สมควร
|
| อันหน่อสุริวงษ์ดำรงโลกย์ | | สุดวิโยคมิได้วายกระหายหวล
|
| ทั้งบุตรีโอรสกำสรดครวญ | | ฤๅโดยด่วนเด็ดพระอาไลยไป
|
| พระคุณเอ๋ยผันภักตร์มาสักน้อย | | ลูกละห้อยซลเนตรนี่เหลือไหล
|
| ไหลหยัดๆ ย้อยแต่ชลไนย | | ในใจนึกที่ไหนจะเสร็จคืน
|
| คืนมาวังวังเหงาให้เปล่าจิตร | | จิตรยิ่งเศร้าเศร้าคิดโศกสอื้น
|
| ลอื้นโอ้โอ้จะพร่ำระกำกลืน | | กลืนทุกข์ๆ ไม่ชื่นมโนตรอม
|
| ตรอมในอกๆ เอ๋ยลูกเคยเห็น | | เห็นหายๆ เว้นแต่ทูลกระหม่อม
|
| กระหม่อมโลกย์ๆ ร้อนนิวรณ์จอม | | จอมนิกรๆ น้อมทั้งหมื่นกรุง
|
| กรุงเทพๆ พระนครสถาน | | สถานเพียงๆ พิมานดุสิตมุ่ง
|
| มุ่งเหมือนเมืองๆ แมนแดนผดุง | | ผดุงเดชๆ บำรุงโลกาควร
|
| ควรเปนปิ่นๆ ปักหลักเฉลิม | | เฉลิมยศๆ เพิ่มกุศลสงวน
|
| สงวนงามๆ พระเกียรติระบือทวน | | ทวนภพๆ ครวญอยู่เครงคราง
|
| ครางครุ่นๆ ยังหวลรำจวนหา | | หาองค์ๆ อิศราขนาง
|
| ขนางนึกๆ เสียดายไม่วายวาง | | วางโศกๆ ไม่สร่างอดูรตรม
|
| ตรมตรอมๆ จิตรพระบิตุราช | | ราษฎร์ร่ำๆ อนาถราคินขม
|
| ขมก็กลืนๆ เฝื่อนฝาดระทม | | ระทมแทบๆ ระบมอุระราน
|
| รานร้างๆ พระจอมกระหม่อมโลกย์ | | โลกย์ร่ำๆ วิโยคทั้งทวยหาญู
|
| หาญเหิมๆ บรรดาข้าราชการ | | การศึกๆ สท้านทั้งโลกา
|
| ดังนเรศร์อวตารมาผ่านภพ | | ทหารรบพระนารายน์ฝ่ายสวา
|
| เหมือนสิบแปดมงกุฏของรามา | | ฤๅราเมศร์พวกพานรินทร์ราม
|
| นารายน์แรมจึงแจ่มขจรเดช | | กระจ่างดังสุริเยศไพรินขาม
|
| ไพรีเข็ดสั่นเศียรเวียนประณาม | | หวังประนอมนึกคร้ามพระเกียรติครัน
|
| ด้วยมีพระเดชาอานุภาพ | | ทั้งสามภพรื่ราบสโมสันต์
|
| เสมอองค์กับพระทรงอาศน์สุบรรณ | | เสด็จมาปราบอาธรรม์ประไลยลอย
|
| โอ้ครั้งนี้มานิราศพระบาทแล้ว | | ดังหลักแก้วหักล้มระทมถอย
|
| ไม่ยลใครชาญสนามจะตามรอย | | ไหนน้อยยศยามตกอกระกำ
|
| แล้วคืนคิดถึงพระบิตุลาเล่า | | สร่างเศร้าอยู่ด้วยได้ที่อุปถัมภ์
|
| เพราะสั่นรับสัจจาสัญญาคำ | | เห็นจะลำฦกได้ไม่แปรปรวน
|
| ลูกยลล้นกระหม่อมสวรรคต | | ฝ่าลอองกำสรดแสนกำสรวญ
|
| ยังรักน้องคงประคองนัดดาครวญ | | ถ้าหุนหวลเห็นจะทำเพราะกรรมเคย
|
| แด่ทรงเสนหาพระนุชมาก | | เมื่อคราวฝากนั้นก็เศร้าโศกเสวย
|
| นึกพระน้องหมองฤไทยไม่เสบย | | เสด็จเลยมาพอยลพระชนม์วาย
|
| ทรงสถิตย์เหนือจอมศิโรเพศ | | เห็นสังเวชหวามวาบพระไทยหาย
|
| กรายพระกรกรีดน้ำพระเนตรกระจาย | | กระหม่อมหมายเหมือนชีวิตรประไลยไป
|
| พระสนมตรมทรวงไม่สร่างเทวศ | | พระบารเมศเลิศหล้าจะหาไหน
|
| เคยเย็นเกษคุ้มเภทระงับไภย | | เห็นเขาไห้ก็ละห้อยพระไทยตรอม
|
| ดำรัสร่ำเรียกโอ้พ่อมิ่งเมือง | | ถึงยามเคืองพี่ก็ข้ามตามถนอม
|
| สู้เอาใจใม่ถือทั้งอดออม | | เพราะหมายกล่อมขวัญูน้องประคองเคียง
|
| ถึงคราวณรงค์เคยรบประจันหน้า | | หมู่ปัจจาถอยท้อไม่ต่อเถียง
|
| ความศุขให้พี่แสนสำราญเวียง | | อุระเพียงเพียบทุกข์สักพันกอง
|
| โองการร่ำว่าโอ้โมฬีเฉลิม | | เชษฐเติมตวงชลวิมลหมอง
|
| เคยดับเข็ญูเย็นราษฏร์อำนาจครอง | | ประชาปงอพึ่งพ่อทั้งอยุทธยา
|
| มาซัดพี่หน่ายหนีประยูรญาติ | | พ่อนิราศแต่เออนาถา
|
| ดังนเรศร์เริงฤทธีอิศรา | | พระบิตุลาทรงโศกกำสรดโทรม
|
| ฝูงอนงค์ร่ำร้องแล้วนองเนตร | | ว่าโอ้พระเดชปกจอมกระหม่อมโฉม
|
| ดังทินกรจรเยี่ยมเหลี่ยมโพยม | | ทุกกรุงโน้มน้อมพึ่งพระเดชา
|
| ทั้งหมื่นเมืองเลื่องพระยศระย่อขาม | | ออกพระนามดังนารายน์อยู่ฝ่ายน่า
|
| เศียรสยองต้องออนศิโรมา | | จนชั้นข้าทูลบาทก็เกรงครัน
|
| พระคุณเอ๋ยดังองค์พระสุริเยศ | | เสร็จประเวศเลื่อนล่วงเสวยสวรรค์
|
| ไม่เยี่ยมยอดเขาแก้วสัตภัณฑ์ | | เหมือนบุหลันลอยฟ้าเมื่อราตรี
|
| อันดาวอื่นถึงจะเอี่ยมไม่เทียมแข | | กระจ่างแลก็แต่จันทร์จำรัสศรี
|
| ดังหิ่งห้อยน้อยกว่าพระบารมี | | ถึงจะชี้แข่งเรียงไม่เคียงดวง
|
| ไหนจะเทียมเท่ารัศมีเหมือน | | สว่างเดือนสิมาดับลับล่วง
|
| ดังอกเราก่นแต่เฝ้าระหน่ำทรวง | | จะตั้งตวงเติมเทวศไม่วายวัน
|
| โอ้สุเมรุหลักหล้าโลกาสถาน | | มานิพานสู่ฟ้าเสวยสวรรค์
|
| เหมือรคราวพบครั้งไภยประไลยกัลป์ | | ถึงวิสัญญียุคประจวบเปน
|
| เพราะพระมิ่งโมฬีนิราศา | | หากลอองพระบิตุลาคุ้มเข็ญู
|
| คลายร้อนด้วยเอนดูให้อยู่เย็น | | ก็เขม้นหมายพึ่งพระบารมี
|
| แต่กำสรดระทดวิมลหมอง | | จนย่ำฆ้องจวนอรุณรังษี
|
| เชิญพระแสงปราบประจามาชุลี | | แสนทวีโศกถวายยุคลครอง
|
| แล้วพิลาปต่างว่านิจาเอ๋ย | | พระคุณเคยปกจอมกระหม่อมหมอง
|
| พี่นางเกษราชลนานอง | | กลืนเต่กองทุกข์ทบสลบลง
|
| เหล่าขนิษฐคิดหวั่นอุระร้อน | | ประคองช้อนเชิญสุคนธ์มาโสรจสรง
|
| ยิ่งอาดูรฤๅจะสูญไปตามองค์ | | พอดำรงฟื้นสมประดีมี
|
| ลืมพระเนตรมิได้ยลล้นกระหม่อม | | สอี้นพร้อมกันพิไรอยู่ในที่
|
| จึงพระจอมบดินทร์ปิ่นธรณี | | มงกุฎตรีโลกย์เลื่องสุธาดล
|
| นึกธรรมสังเวชสมเพชเห็น | | จะดับเข็ญใหัเปนศุขสถาผล
|
| ว่าจะเลี้ยงเหมือนบิดาอย่าร้อนรน | | ดังคืนชนม์ได้ชื่นด้วยโองการ
|
| ครั้นสุริยงรังษีรวีไข | | เชิญให้บรมเบื้องสรงสนาน
|
| ก็ชุบรอยฝ่าพระบาทไว้กราบกราน | | โศกประลานแซ่เสียงสำเนียงระงม
|
| จึงเชิญพระศพสถิตย์พระโกษฐแก้ว | | ประดับแล้วแห่มาสง่าสม
|
| ประทับที่ยิ่งทวีเทวศตรม | | บอบระบมแต่ด้วยทุกข์ไม่ศุขมี
|
| พระโองการสั่งประภาศให้โกนเกษ | | ทั่วทั้งอยุทธเยศบุรีศรี
|
| อีกร้อยเอ็จนัคราประชาชี | | แจ้งคดีกัฎหมายมีตราวาง
|
| พระคุณเอ๋ยเอกาอนาโถ | | นิจาโอ้องค์เดียวอางขนาง
|
| เมื่อยามศุขพร้อมองค์อนงค์นาง | | ถึงคราวร้างไร้ลวาดิอนาถองค์
|
| ลูกใคร่ตามไปสนองรองธุลี | | ห่วงมีอยู่เหมือนไม่อาไลยหลง
|
| จะทอดทิ้งเล่าก็มิ่งมาตุรงค์ | | แล้วไรัพงษ์จึงสถิตย์เปนเพื่อนยัง
|
| โอ้พระจอมอิศเรศเกษกระหม่อม | | บุตรีตรอมแสนเทวศถวิลหวัง
|
| เพราะมงกุฎประชานิราวัง | | ร้อนทั้งอยุทธร่ำทุกเวลา
|
| ครั้นทรงพระโสภะบุพโพไหล | | ปลาดใสสีแดงระแวงว่า
|
| ฦๅตลอดแต่พระยอดสัพพัญญา | | เสด็จมาเมืองแก้วพระนิพาน
|
| พระบุพโพเพียงหรคุณชาด | | ดังพระบาทปิ่นโลกย์โศกประสาน
|
| จะสำเร็จปรมาภิเศกฌาน | | อันว่าการมีมาเหมือนบาฬี
|
| ฤๅไนยสืบรงสร้างพระบารเมศ | | ไม่เพี้ยนเพศผิดพุทธชินศรี
|
| จะนำสัตว์ตัดกิเลศในโลกีย์ | | ใหัถึงที่วิโมกข์อมรเมือง
|
| ฝ่ายคนคอยประจำสำหรับเฝ้า | | ก็นำเอาพระบุพโพโมฬีเลื่อง
|
| เชิญสุคนธ์ปนปรุงอำรุงเรือง | | ได้กลิ่นเฟื่องรศทิพย์อาบลออง
|
| เชิญพระโกษฐเพ็ชรรัตน์จำรัสเนตร | | นำประเวศชูช้อนกรสนอง
|
| ขึ้นอาศน์พระยานุมาศทอง | | คนประคองเคียงตามเสด็จมา
|
| อันเกณฑ์แห่แต่งเปนเทพบุตร | | กรก็ยุดเครื่องสูงสพรั่งหน้า
|
| ประโคมฆ้องกอลงลั่นปี่ชวา | | ฝูงประชาโศกแซ่สำเนียงพล
|
| เห็นเกณฑ์แห่แลตามความวิโยค | | ว่าโอ้โลกย์แล้วจะไม่จำเริญผล
|
| จะนองเนตรเทวศท่าฝ่ายุคล | | ราษฎร์รนร้อนร่ำทุกเวลา
|
| ครั้นถึงวัดไชยชนะสงครามขันธ์ | | เคยปลุกเครื่องคงกระพันได้ศึกษา
|
| จึงหยุดประทับเชิญพระบุพโพมา | | ขึ้นมหาเชิงตะกอนดำเกิงพราย
|
| โอ้พระหนึ่งจุลเจิมเฉลิมโลกย์ | | ข้าพระบาทหวาดวิโยคไม่เหีอดหาย
|
| จึงจุดเพลิงเริงแรงแสงขจาย | | ไม่ขาดสายเนตรสอี้นแล้วคืนวัง
|
| พอประจักษ์พวกที่นั่งนามวิเชียร | | โคมเขียนเพ็ชรพนักฝาผนัง
|
| กระหนาบยกเปนกระจกช่องกระจัง | | ตังพระแท่นแว่นฟ้าสง่างาม
|
| วัดพระจอมจุลจักรสวรรคต | | ก็ระทดทุกข์สิ้นถวิลหวาม
|
| จึงโถมถาสาครินทร์ทุเรศตาม | | ไม่ขามชีพไว้ชื่อใหัฦๅชาย
|
| ก็เลื่องโลกย์เปนตราดังจารึก | | อันตายงามนามนึกไม่วายหาย
|
| ดังทหารทรงครุธบุตรพระพาย | | สู้ถวายชีวาตม์บาทบงสุ์
|
| ยังมึสารนามสังหารคชสีห์ | | ที่นั่งนี้คู่ศึกเสร็จประสงค์
|
| ดังพระยาไอยเรศสุรินทร์องค์ | | เคยทรงอานุภาพได้ปราบดา
|
| อนิจาเครื่องประดับสำหรับหาญ | | อันตรธานโดยเสด็จนิราศา
|
| เสด็จอยู่ถีงฤดูดวงผกา | | เคยพาวรพงษ์อนงค์นวล
|
| ไปรับพวงทิพมาศประทุเมศ | | โอ้ถึงเทศกาลแล้วสิหายหวล
|
| มหาชาตึไตรมาสประจวบจวน | | เคยประมวญดวงมาลย์ประทานทำ
|
| ยังแต่พระที่นั่งทรงธรรมสถิตย์ | | ธรรมาศน์แม้นวิจิตรเลขาขำ
|
| พระชินวงษ์ช่วยทรงบำบัดกรรม | | ขอเชิญนำเสด็จคืนสักหมื่นปี
|
| ติกมาศกาฬปักษ์จะชักโคม | | เคยชวนโฉมสุเรศในราษี
|
| สนมน้อมพร้อมพระราชบุตรี | | ดังศุลีพานางสุรางค์จร
|
| ล้วนอนงค์ทรงลักษณ์ละลานโฉม | | ลอยโพยมมาด้วยเทพอับศร
|
| จุดพระเทียนกระทงลอยชโลธร | | ถวายกรพระคงคาในสาชล
|
| ฤดูวสันต์อาสุชมาศา | | เปนน่ากระฐินทานการกุศล
|
| พลแห่โห่กระหึ่มเสียงคำรน | | กระสินธุ์วนเวียนละลอกกระฉอกโครม
|
| อันพระที่นั่งกิ่งแกัวนำเสด็จ | | บรรทุกเสร็จไตรเพทวิเศษโสม
|
| พยุพยับมืดเมฆมัวโพยม | | เสียงประโคมครื้นครั่นสนั่นวัง
|
| เสด็จตรงลงพระตำหนักแพ | | ประสานแตรพิฌพาทย์ดีดสีสังข์
|
| กระทุ้งส้าวกลองชนะสำเนียงดัง | | ทรงขี่นั่งโคมเพ็ชรเพียงนารายน์
|
| ประชาราษฎร์ก็ขยาดพระเดชรอบ | | ประนมหมอบโอษฐอวยพระพรถวาย
|
| แต่นี้นับทิวาไม่ราวาย | | ไหนจะคลายเคลื่อนทุกข์ทวีเติม
|
| ถึงทวารวดีบุรีร้าง | | ก็ทรงสร้างพระอารามงามเฉลิม
|
| ที่วัดค้างโรยราปัจจาเจิม | | จะรื้อเพิ่มบารมินภิญโญปอง
|
| ประสงค์สร้อยสรรเพ็ชญ์ให้เลร็จสม | | โดยนิยมโพธิญาณการฉลอง
|
| พวกข้าเฝ้าใต้ฝ่าธุลีลออง | | นำสนองในสำนวนมาลวนลาม
|
| ซึ่งขอคำเหน็บแนมดูแหลมเหลือ | | หมายว่าเชื่อตั้งกระกู้ขู่ให้ขาม
|
| แม้นดีจริงก็จะตรงออกสงคราม | | นี่ปิดนามหลบหน้าท้าแต่มนต์
|
| หมายสู้พระบารมีโมฬีโลกย์ | | จะกระโชกผุดกลางหว่างพหล
|
| เมี่อทัพหลวงล่วงเดินดำเนินพล | | ประชาชนสามทิวาชล่าแล
|
| จะหักยอดพระสุเมรุทำลายล้าง | | อวดอ้างห้าวหาญในสารกระแส
|
| ประชาชาวอยุทธเยศสังเกตแปร | | สำคัญจตรคิดว่าแน่ประหม่าใจ
|
| ขวัญหายพร้อมถวายบังคมทัด | | พระบิตุลาทราบอรรถก็สงไสย
|
| เสน่ห์พระอนุชายังอาไลย | | ดำรัสให้หมู่มาตยากร
|
| ถือรับสั่งทูลห้ามตามนุกิจ | | จะทรงพิจารณาในอักษร
|
| ชำระเสี้ยนพสุธาใหหถาวร | | จึงค่อยเชิญบทจรไปจากวัง
|
| ปางบรมกรมราชบิตุเรศ | | ไว้พระเดชมิได้พรั่นประหวั่นหวัง
|
| ขัดโองการให้ทหารโห่ประดัง | | ทรงที่นั่งนามสวัสดิชิงไชย
|
| นำโอรสธิดาคณาสนม | | ไป่สร้างสมบารมินแผ่นดินไหว
|
| อรินราบกราบเกรงพระเกียรตไกร | | ไม่เหมือนในอักขราที่ท้าทาย
|
| พลปืนๆ พลประจำหัตถ์ | | ใหัจัดทวนๆ จัดประจำหมาย
|
| ที่ชักกฤชๆ ชักจากฝักกราย | | สพายดาบๆ สพายเงื้อกรคอย
|
| ง่ากระบี่ๆ ง่าจะถาโถม | | กระโจมง้าวๆ กระโจมไม่ราถอย
|
| บ้างซัดหอกๆ ซัดตัดเศียรลอย | | ตะบองพลอยๆ ตะบองลงสองมือ
|
| แล้วโบกธงๆ โบกเอาโชคศึก | | ล้วนฮึกเหิมๆ ฮึกกระหึมหือ
|
| ที่โล่ห์ถือๆ โล่ห์โห่กระพือ | | คือที่ฤทธิๆ คือทหารราม
|
| พระเดชสยองพองเศียรทั้งสามภพ | | มาเคารพไม่อาจประมาทหยาม
|
| เกรงพระยศปรากฎพระเกียรติงาม | | เปนอุปราชฦๅนามมงถุฎชาย
|
| เสี้ยนสงบหลบคลาดอำนาจขึง | | ไม่ดันดึงกล้าสู้ศัตรูหาย
|
| แต่ปางหลังครั้งมฤทผิดทวาย | | แทบจะหมายตะนาวได้ไว้วงกร
|
| พระบารเมศเลิศหล้าไม่หาถึง | | ทั้งทรงรำพึงผลบำเพ็ญสอน
|
| คือพระราชกุศลมาดลจร | | สมสมรเทวมิ่งวิมานทอง
|
| เคยเสด็จออกตั้งพิชัยยุทธ | | ทีนนี้สุดสิ้นแล้วไม่คืนสนอง
|
| จะมิเคืองถึงเบื้องยุคลลออง | | เห็นจะต้องเปนธุระดำริห์ราญ
|
| อันพระเจ้าเอกาทศรฐ | | ใช่พระยศจะไม่ยิ่งทุกสิ่งหาญ
|
| แต่ฝ่ายน่าต่างพระเนตรสังเกตการ | | เคยเบิกบานเสวยศุขจะขุกเคือง
|
| ยังพระราขสมภารสารเสวก | | ตระกูลเอกผ่องศรีฉวีเหลีอง
|
| รัศมีขำขาวดังตาวเรือง | | ทั้งเมืองกระเดื่องด้วยพระเดชา
|
| ควรเปนอาคมบรมจักร | | ประเสริฐศักดิ์ฉัททันต์สุดสรรหา
|
| ราษฎร์น้อมพร้อมชมพระโพธิญา | | ดังเอราวรรณเพ็ชรปาณี
|
| สมสำอางเปนนางพระยาหญิง | | สองพระองค์เฉลิมมิ่งโมฬีศรี
|
| ทุกกระษัตริย์จัดแพ้พระบารมี | | ปิ่นทวารวดีสถาวร
|
| พระนุภาพฦๅสห้านแต่ผ่านภพ | | ทุกกรุงกระทบเศียรราบกราบสลอน
|
| อินทปัตจักรพรรดิผ่านนคร | | พระอินทรลงมาสร้างบุรินทร์ราม
|
| พระประทุมสุริวงษ์ดำรงภพ | | พระเกียรติจบดินฟ้าชนาขาม
|
| ประสาทขรรค์ศักดาสง่างาม | | เคยปราบสามโลกย์เลื่องพระเดชครัน
|
| เกิดพระเกษมาลาหน่อนเรศร์ | | พระเมาฬีมีเพศมาแต่สวรรค์
|
| พระเดชาปรากฏเสมอกัน | | จนถึงพระขันธกุมารหลานชาย
|
| จึงมอบมิ่งอดิเรกเศกฉัตร | | ให้กระษัตริย์สุริวงษ์ผู้สืบสาย
|
| สองพระองค์พงษ์อินทร์นรินทร์กลาย | | ก็ว่ายเมฆขึ้นสถิตย์พิมานแมน
|
| มิได้สวรรคตปรากฏกล่าว | | ประทุมท้าวคือบุตรอมรแสน
|
| อันบดินทร์ที่เปนปิ่นประชาแทน | | ในพื้นแผ่นธรณีไม่มีปาน
|
| นุภาพเพียงสุริโยวโรภาษ | | เหมือนบิตุราชสืบวงษ์มหาศาล
|
| ลอยโพยมล่องพยับเผ่นทยาน | | ขึ้นเฝ้าอินทร์อัยการพระบิดา
|
| รู้ชำแรกปัถพีด้วยมีฤทธิ์ | | ทั้งสิบทิศน้อมทิพบุบผา
|
| พอนาคินทร์ขี้นเย้าองค์อมรา | | บังคมคลานผ่านน่าที่นั่งไป
|
| แสนพิโรธเคืองดุดุ๊ดูหมิ่น | | แทรกแผ่นดินเดชาสุธาไหว
|
| ถึงบุรียลวาสุกรึไกร | | พระขรรค์ชัยไล่ล้างวางชีวี
|
| โลหิตของพระยานาคราช | | กระเด็นสาดต้องพระกายสลายศรี
|
| กำลังแค้นมุ่งเขม้นก็เปนที | | เมื่อเหตุมีจะวิบัติอัศจรรย์
|
| บังเกิดเปนพยาตเพลิงถเกิงแสง | | พระโรคแรงขาดเฝ้ามงกุฎสวรรค์
|
| มัฆวานแจงการด้วยทิพกรรณ | | สงสารขวัญไนยนานัตดาเธอ
|
| สั่งเทพนิมนต์มุนีนารถ | | เทวราชฝากชีพโอสถเสนอ
|
| ฝ่ายกระษัตริย์หมิ่นความตามอำเภอ | | มิได้เออเอี้อนคิดให้ระอา
|
| ละเลยไม่เสวยโอสถทิพย์ | | จนสักจิบวิงวอนไม่ผ่อนหา
|
| ถึงเจ็ดครั้งเวียนปลอบประกอบยา | | อิศราบิดเบือนแต่เชือนไป
|
| จึงถวายพระเพิ่มภิญโญยศ | | ใหัปรากฏพระเกียรติขจรไหว
|
| จะชุบโฉมใหัประโลมลานฤไทย | | เปนฉัตรไชยพำนักนิ์ทั้งจักรวาฬ
|
| ถึงจะไม่เสพทิพโอสถ | | ก็ปรากฏผิวพรรณสัณฐาน
|
| จะหายประชวรราคินสิ้นสันดาน | | ดังอวตารงามล้ำอัมรา
|
| ปางสมมติเทวัญอินทปัต | | เวรุวิบัติเมื่อจะน้อยวาศนา
|
| เปนกองกรรมที่ได้ทำปาณา | | ในวิญญาเคลิ้มเขลาเหมือนเมามัว
|
| จะสิ้นบุญเสี่อมฤทธิวิทย์เวท | | บันดาลเหตุเห็นดีเปนที่ชั่ว
|
| อวิชาครอบงำประจำตัว | | พเอิญกลัวทิ้งอายอุบายลม
|
| จึงไขเทวโองการสารสนอง | | พระคุณของสิทธาอยู่เหนือผม
|
| มัสการขอเผดียงพระโคดม | | เชิญบรมอิศเรศวิเศษฌาน
|
| โยมนี้พรั่นหวั่นหวาดอนาถนัก | | จงโปรดชักชี้เช่นให้เห็นหาญ
|
| เมี่อยศเยี่ยงก็จะเพียรเหมือนเรียนปราณ | | พระยอดญาณจึงค่อยชุบกระหม่อมตาม
|
| พระทรงสิกขาบทประเสริฐศิลป์ | | ถืออัตเวทินไม่เข็ดขาม
|
| ตั้งสัตย์เปนบรรทัดไม่วู่วาม | | ประสาทสามศิษย์สำอยู่ลำพัง
|
| จงชุบกายเถิดถวายบพิตรเห็น | | เมื่อจะเปนการแล้วจึงกลับหลัง
|
| แจ้งเราจะนิวัติเข้ามาวัง | | ครั้นเสร็จสั่งคืนที่กุฎีดง
|
| ส่วนสามสานุศิษย์ที่ศึกษา | | มิได้ทราบมารยานราหลง
|
| ดำรัสเตือนเดินตามกันสามองค์ | | เสด็จตรงเข้ากองพิธีกรรม์
|
| ซ้ำซัดทิพโอสถถวาย | | ก็ละลายสูญสิ้นเบญจขันธ์
|
| ยังไม่กลับคืนคงเปนองค์ทัน | | ให้รีบพลันออกไปเททเลลอย
|
| ผลบุญเดชะตระบะกิจ | | พระนักสิทธิเสร็จมาน้าวผลาสอย
|
| เห็นปริ่มๆ ริมกระสินธุ์วารินลอย | | เหมือนจอกน้อยติดสวะมาปะกัน
|
| จึงพินิจพิศดูเปนครู่เพ่ง | | ปลาดเล็งญาณทราบทุกสิ่งสรรพ์
|
| ก็ชุบสามฤๅษีมีชีวัน | | พระนักธรรม์สาปสรรด้วยคำคม
|
| อันพระจอมโมฬีวงษ์ตรีเนตร | | เคยเรืองเดชแต่ตั้งสุธาปฐม
|
| ให้เสื่อมสิ้นศักดาวรารมย์ | | จงระทมไปชั่วกัลปา
|
| อย่าเหาะเหินเดินได้ดังใจหวัง | | แต่นี้ตั้งไปจนสืบพระวงษา
|
| นครวัดอันกระษัตริย์กัมพูชา | | หญิงชายให้นิรากำจัดวัง
|
| ไม่ควรเนาพระมณเฑียรอัมเรศ | | ต้วยผิดเพศเยี่ยงอย่างแต่ปางหลัง
|
| เพราะไม่มีขันติกระตัญญัง | | อันสัจจังสิ้นหายละลายธรรม
|
| ถ้าผู้ใดขืนสถิตย์คงสถาน | | จงบันดาลเกิดอันตรายร่ำ
|
| แต่พระขรรค์ตกไหนจงให้นำ | | มาประจำคืนมอบสำหรับเมือง
|
| อันกรุงอินทปัตนิเวศน์นี้ | | ถึงใครจะมีเดชฦๅระบือเลื่อง
|
| ผิดวงษ์อย่าใหัผ่านบุรีเรือง | | เว้นแต่เนื่องหน่อขัติยามา
|
| สาสมที่พระองค์ไม่ทรงสัตย์ | | จะวิบัติเร็วรุดเพราะมุสา
|
| จงหย่อนตระบะเดชะที่ฦๅชา | | ไปจนสิ้นสาสนาทั้งห้าพัน
|
| ให้ได้ความเคืองแค้นแสนเทวศ | | เมื่อไรองค์ประทุเมศเจ้าของขรรค์
|
| เกิดในสุริวงษ์ดำรงธรรม์ | | พระเกียรตินั้นจึงจะเรืองเดชาชาย
|
| จะมีพระกฤษฎาอานุภาพ | | ปัจจาราบคอยถือบังเหียนถวาย
|
| อาริยเจ้าจะตรัสกำจัดวาย | | จึงจะหายสิ้นสาปที่หยาบกัน
|
| ครั้งนี้ก็มารองบทเรศ | | บรรณาการน้อมเกษประหวั่นขวัญ
|
| เพราะพระบารมีทวีครัน | | บันฤๅลั่นสามโลกย์อรินเกรง
|
| โอ้พระจอมติลกภพนิราศา | | ทุกทิวาจะระดมกันข่มเหง
|
| พระนิเวศน์เย็นเยือกอยู่วังเวง | | ราษฎร์เครงครวญคร่ำระกำใจ
|
| เจ็บอกดังหนึ่งยกไศลทับ | | มาทอดทุ่มทรวงคับไม่พูดได้
|
| ไม่เล็งเห็นใครจะเปนที่พึ่งไป | | เหมือนหาไม่ไร้ญาติขาดระทม
|
| เสียมิได้ก็พอกันครหา | | เมตตานั้นไม่เห็นเท่าเส้นผม
|
| แต่หลักโลกย์ยั่งยืนอยู่ชื่นชม | | เพราะพระร่มเกล้าร่วมครรภาพันธุ์
|
| ถึงเจตรมาศหิมหันต์ประหวั่นโหย | | สุชลโปรยเปรียบรินพิรุณลวรรค์
|
| เคยชำระเบื้องพระบาทอนาถครัน | | ดังฉัตรกั้นเกษกลิ้งแต่กายกร
|
| ด้วยเคยเห็นสองพระองค์ดำรงราษฎร์ | | ใจจะขาดถึงพระมิ่งอดิศร
|
| ถ้าพระคุณอุ่นวังไม่แรมจร | | ฤดูร้อนน่านี้สิเทศกาล
|
| เคยฉลองกองก่อพระทรายพลาง | | ด้วยเห็นทางเวียนวงในสงสาร
|
| แล้วเสร็จปล่อยมัศยาในท่าธาร | | หวังจะเพิ่มโพธิญาณบำเพ็ญภูล
|
| โดยพระราชประสงค์ทรงดำริห์ | | พระปิติเลื่อมใสไม่เสี่อมสูญ
|
| ก็ไม่ชูชนมาให้อาดูร | | พระบัณฑูรทิ้งลูกระกำทวี
|
| ถึงเวลาฝูงคณาสนมแน่น | | กำสรดแสนโศกเข็ญโมฬีศรี
|
| บ้างร่ำโอ้อนิจาฝ่าธุลี | | นิราศหนีข้าบาทยุคลจร
|
| เสวยเคยถวายสุพรรณภาพ | | ศิโรราบในมโนสโมสร
|
| ดังผกายรายรอบศศิธร | | แต่ปางก่อนไม่นิราศสวาดิวาง
|
| พระคุณเอ๋ยเคยทรงพระปราโมทย์ | | เกษมโสตรปราไสมิให้หมาง
|
| โอ้เคยมีมาโนชทุกหน้านาง | | ถึงยามร้างแต่พระองศ์เอกากาย
|
| เวลาเฝ้าเปล่าเนตรคนึงบาท | | เคยบำเรอบำราศฤไทยหาย
|
| ที่นั่งเย็นๆ เหงาสงัดดาย | | ลูกยิ่งฟายอสุชลนานอง
|
| ผคุณมาศอาสาธมาศา | | ทรงลร้างโพธิญาไม่หาสอง
|
| เชิญชักพระชินราชบาทประคอง | | หอมลอองทิพมาศตระหลบวัง
|
| อันทางรัถยานิวาวาศน์ | | ปาริกชาติโปรยปรายถวายหวัง
|
| ปื่นนิเวศน์ไว้พระเดชดังเสร็จยัง | | เหมือนปางครั้งเนาเขตรพระเชตุพน
|
| พระเนาวโลกย์เสด็จโดยนภางค์เคลี่อน | | ลอยละเลื่อนโปรดสัตว์สำเร็จผล
|
| พระอรหันต์ห้าร้อยคอยนิมนต์ | | ประสาจนก็มีใจศรัทธาทำ
|
| คราวนี้ตั้งสถิตย์ประดิษฐาน | | เพราะพระราชสมภารอุปถัมภ์
|
| พระพุทธรูปเสด็จดำเนินนำ | | พระชินวงษ์ประจำไม่ขาดวัน
|
| เหมือนพระอรรคสาวกบิณฑบาต | | เพดานดาดห้อยพวงโกสุมภ์สวรรค์
|
| ระย้าภู่กลิ่นระคนจันทน์ | | สำคัญว่าไปชมพิมานทอง
|
| พระสถานปานเมืองอมรเมศ | | โอ้สังเวชเศร้าศรีมณีหมอง
|
| นิราคร้างสุรางค์บำเรอประคอง | | ฝ่าลอองเอกานิราโรย
|
| สุราฤทธิสถิตย์บำรุงโลกย์ | | ยามวิโยคก็ไม่ดับระงับโหย
|
| ไยพระราชกุศลไม่ดลโดย | | กลับโกยทุกข์ทวีไม่มีเสบย
|
| ลูกทรงษิโณทกอุทิศถวาย | | กระหม่อมหมายใหัพระคุณศุขเสวย
|
| บรรพชาศีลาธิคุณเลย | | อกเอ๋ยมีแต่พร่ำระกำกิน
|
| ต่างนิมนต์ราชาคณะเทศน์ | | ถวายองค์อิศเรศวิเศษสิ้น
|
| แล้วเคาะพระโกษฐกราบทูลสุชลริน | | เชิญพระปิ่นเกล้าโลกย์สดับธรรม
|
| พระโกษฐลั่นยินแสยงพอแจ้งเหตุ | | ถึงสองเชษฐต้องคดีที่ข้อขำ
|
| เขาว่าโทษลึกลับให้จับจำ | | ก็ค้างคำเทศนาเข้ามาฟัง
|
| ต่างคนึงสุดคเนสนเท่ห์จิตร | | ไม่ทราบกิจโอ้ไฉนอย่างไรมั่ง
|
| ครั้นรู้แน่ว่ากระบถหมดทั้งวัง | | ชวนกันชังไม่มีภักดีปอง
|
| ควรเคืองเบื้องบรมจักรพรรดิ | | ไม่คิดว่าฉัตรแก้วกั้นเกษสนอง
|
| จะได้พึ่งเดชาฝ่าลออง | | ฉลองบาทบิดุเรศนิราไป
|
| พระบิดาบัญชากำชับสั่ง | | คำหลังลืมพระคุณไม่คิดได้
|
| เพราะทนงนึกประมาทราชไภย | | ไม่อาไลยถึงถวายพระเพลิงปลง
|
| สาใจจนไม่ยลยุคลธเรศ | | สองเทวศแสนคนึงตลึงหลง
|
| ตั้งภักตร์จำเภาะเบี้องพระบิดุรงค์ | | บังคมตรงมาพระโกษฐวังบวร
|
| เสียเชิงที่เปนชาติชายกำแหง | | หาญเสียแรงรู้รบสยบสยอน
|
| เสียพระเกียรติมงกุฎโลกย์ฦๅขจร | | เสียแรงรอนอรินราบทุกบุรี
|
| เสียดายเดชเยาวเรศปิโยรส | | เสียยศบุตรพระยาไกรสรสีห์
|
| เสียชีตรผิดแพ้พระบารมี | | เสียทีทางกตัญญุตาจริง
|
| เทพสอดส่องเวไนยสัตว์ | | ก็เห็นแพ้น้ำพิพัฒน์สนัดกลิ้ง
|
| จึงดลพระไทยไม่อ่อนให้วอนวิง | | จะมิชิงเชิญเชษฐราคลา
|
| ฤๅชรอยทูลกระหม่อมจะตรอมถึง | | นึกคนึงนำสองโอรสา
|
| ไปตามเสด็จเสวยศุขสวรรยา | | ประเสริฐกว่าน้องยังอยู่วังตรอม
|
| นี่หากศุขด้วยพระเดชปกเกษเลี้ยง | | บวรเวียงสรรเสริญไม่สิ้นหอม
|
| ค่อยเหือดโหยโดยแด่อาดูรจอม | | ได้ชื่นด้วยล้นกระหม่อมบันเทาทน
|
| พระคุณเอ๋ยคราวหลังเมี่อครั้งเถิน | | พม่าเกินเกือบจวนจะขัดสน
|
| ชนากรร้อนร่ำเสียดายชนม์ | | ต้องเสด็จไปประจญจึงเมื้อมรณ์
|
| ก็กรีธาพาหน่อดรุณเรศ | | ดังราเมศปราบยุคด้วยแสงศร
|
| ไปทำศึกไกยเกษธิเบศร์จร | | พระมงกุฎต่อกรกับพานา
|
| พระโอรสเทียมหน่อนารายน์หมาย | | สังหารหายศึกเลร็จนิราศา
|
| ทั้งสิบทิศเกรงพระฤทธิไม่รอรา | | ไยมิฝ่าฝากชีพในบาทบงสุ์
|
| แม้นซื่อต่อสามองค์มงกุฎเกล้า | | ไหนจะเศร้าคงจะสืบตระกูลหงษ์
|
| แต่กาวิลมีวิทยายง | | ยังขามองค์อิศยมบังคมเชิญ
|
| เสร็จออกช่วยรณรงค์จึงคงชีพ | | สี่ทวีปแซ่ซร้องสรรเสริญ
|
| อันพระเจ้าเชียงใหม่แต่ก่อนเกิน | | หมิ่นประเมินมิได้น้อมประนมคม
|
| ครั้งพระลอก็ประหารชีวาวาตม์ | | นี่เกรงบาทเศียรพองสยองผม
|
| เปนข้าทูลลอองธุลีประนม | | จิตรนิยมยอมพึ่งพระเดชา
|
| บรรณาเนื่องล้วนเครื่องสุวรรณมาศ | | มิได้ขาดต่างประเทศทุกภาษา
|
| แขกลาวชาวปกันกัมพูชา | | ก็เข้ามาพึ่งโพธิสมภาร
|
| | |
|