พระรถคำà¸à¸¥à¸à¸™
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 08:27, 26 เมษายน 2554 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: [[]]
บทประพันธ์
สำนวนที่ ๑
| ◉ ประนมกรอ่อนกายถวายเศียร[1] | |||
| ต่างโกสุมประทุมมาศดาษเดียร | ประทีปเทียนส่องนัยนาแทน | ||
| ด้วยอารมณ์ชมบุญพระไตรรัตน์ | วาจาสัตย์สรรเสริญนี้สุขแสน | ||
| ถึงดินหล้าฟ้าเหล่าตลอดแดน | ทุกเมืองแมนยกยอชะลอคุณ | ||
| ยังหลงเหลือเผื่ออยู่ไม่รู้สิ้น | เป็นอาจิณเจืออยู่ไม่รู้สูญ | ||
| คือสิ่งใดพิสดารไม่ปานปูน | เพราะนุกูลไกรโลกให้เลิศไกร | ||
| ยอมรื้อสัตว์ในวัฏสงสาร | ดลสถานศิวาโมกข์มไห | ||
| เด็ดสังขารดาลดับมหาภัย | อันเกิดในตัณหาอันสาธารณ์ | ||
| เราคำนึงจะพึ่งพระทั้งสาม | จะใคร่ข้ามแอ่งโอฆสงสาร | ||
| จะเด็ดรักหักบ่วงที่ห่วงมาร | เห็นกันดารไม่สำเร็จโดยเจตนา | ||
| เพราะรึงรังกำลังด้วยโมโห | ทั้งโลโภเข้ามาเกาะเพราะตัณหา | ||
| บาปทำซ้ำเติมจะเพิ่มพา | ให้เชือนช้าชักไว้ในโลกีย์ | ||
| จะครรไลไปสถานพิมานสุข | ก็เห็นทุกข์ในกลางหว่างวิถี | ||
| ยังทุรพลจนแต่บารมี | เป็นสุดที่จะได้ถึงซึ่งนิพพาน | ||
| แสนมหาโพธิสัตว์ยังพลัดพลาด | เพราะประมาทอาจองในสงสาร | ||
| ด้วยตัณหาทาระกำให้รำคาญ | เบญจมารมาระคนจนลังเล | ||
| อันพวกเราเหล่าพวกชนาเนก | ยังโหยกเหยกตัณหาพาให้เห | ||
| จะจวบจมตกหล่มในกาเม | เหลือคะเนในอนาคตกาล | ||
| จึ่งคิดถึงความเพียรโพธิสัตว์ | เมื่อสัญจรในวัฏสงสาร | ||
| ที่สร้างสมบารมีมีนิทาน | ในกัปกาลก่อนล่วงแต่หลังมา | ||
| หวังจะให้ชายชาญชำนาญศิลป์ | แจ้งระบิลภิปรายไปภายหน้า | ||
| บาลีในชาดกท่านยกมา | ยังไม่ปรากฏที่คัมภีร์ใด | ||
| เรามิใช่เมธาบาเรียนปราชญ์ | ด้วยสามารถชี้แจงแถลงไข | ||
| แต่บูราณท่านเล่าพอเข้าใจ | จัดแจงไว้ให้ระบือเลื่องลือยศ ฯ | ||
| ◉ จะขอกล่าวราวเรื่องนิทานหลัง | ในบูรังสมญามีปรากฏ | ||
| เป็นใหญ่ในแว่นแคว้นแดนโสฬส | ชื่อไกรจักรปรากฏบูรีรมย์ | ||
| ประกอบด้วยศีลาปราการกั้น | สูงเจียนจดตะวันคะเนสม | ||
| สีมารายปรายปราการปานเมืองพรหม | ระงมลมพัดต้องคะนองดัง | ||
| ซุ้มทวารบานชิดที่ปิดเปิด | ฉลุลายฉลักเลิศเครือฝรั่ง | ||
| มีมหาปราสาทราชวัง | แสงปลั่งสุกปลาบกาบมณี | ||
| จตุรมุขสุกสว่างกระจ่างแสง | ระยับแดงเขียวเหลืองประเทืองศรี | ||
| ผลึกลาดดาดฝ้าหลังคาดี | กระจกสีกระจ่างแสงแจ้งอัมพร | ||
| สารพันสมบูรณ์พูนทรัพย์ | สารพัดสิ่งสรรพสลับสลอน | ||
| เรือนจันทน์สรรสุดาพะงางอน | อรชรเฉิดโฉมประโลมตา | ||
| เนาในห้องทองเป็นถ้องแถว | ดังนางแก้วเกิดประกอบวาสนา | ||
| แห่งองค์รถสิทธิ์อิศรา | เพียงมหาจักรพรรดิขัตติยวงศ์ | ||
| พระชมเชยเสวยสุขในสมบัติ | เป็นกษัตริย์อนุพันธุ์อันสูงส่ง | ||
| ครองสนมรมเยศยุพยง | ไร้องค์เอกอัครชายา | ||
| ฝูงนิกรไพร่ฟ้าประชาราษฏร์ | ทั้งพระญาติมนตรีมียศถา | ||
| สามนต์ต่างประเทศมีเจตนา | จะพึ่งเดชบุญญาบารมี | ||
| ยกธิดามาถวายเป็นหลายสิบ | จะหยิบบุญแบ่งไปให้เป็นศรี | ||
| เคืองระคางหมางพระทัยไม่ไยดี | สั่งให้นางเทวีคืนพารา ฯ | ||
| ◉ จะกลับกล่าวราวเรื่องถึงเศรษฐี | ในบูรีจำปากอันสุขขา | ||
| มีทรัพย์เหลือที่จะนับคณนา | นามกรชื่อว่าท่านหิรัญ | ||
| ภรรยาชื่อว่ากาญจนี | ผ่องศรีสมบูรณ์ทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| ทั้งข้าวของทองนากมากครัน | สารพันข้าทาสดาษดา | ||
| มีตึกกว้านบ้านเรือนเป็นเขื่อนขอบ | กำแพงรอบสองชั้นกั้นแน่นหนา | ||
| ตั้งโรงหีบน้ำตาลทรายขายสุรา | เรือกสวนไร่นามีครบครัน | ||
| เกวียนลากรับจ้างพวกลูกค้า | เป็นอัตรามิได้ขาดทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| บ่าวค้าเหนือล่องเรือเป็นนิรันดร์ | สารพันบริบูรณ์เป็นช้านาน | ||
| จึ่งปรึกษาภรรยาผู้ร่วมใจ | ถ้าบุญเราหาไม่เป็นแก่นสาร | ||
| เงินทองข้าวของแลสิงคาร | ไม่นานก็จะเป็นของเขาไป | ||
| ด้วยเราไร้โอรสแลธิดา | จะครอบครองไปข้างหน้าหามีไม่ | ||
| ห่วงสมบัติวัตถาแลข้าไท | มิได้ว่างเว้นสักเวลา ฯ | ||
| ◉ ครั้นพลบค่ำสนธยาราตรี | เศรษฐีเข้านอนในเคหา | ||
| ดึกสงัดมัชฌิมเวลา | หลับสนิทนิทราแล้วฝันไป | ||
| ว่ายังมีเทวาสุราฤทธิ์ | สถิตอยู่บนต้นพระไทรใหญ่ | ||
| เข้าไปในเรือนด้วยทันใด | แล้วปราศรัยบอกความตามคดี | ||
| ว่าผัวเมียสองคนอย่าบ่นบ้า | อยากได้บุตรธิดาเกษมศรี | ||
| พระไทรใหญ่อยู่ข้างทิศหรดี | ไปบัตรพลีบวงบนต้นพระไทร | ||
| นั้นแหละก็จะสมอารมณ์หมาย | จะขอลูกหญิงชายก็คงได้ | ||
| เศรษฐีผวาตื่นขึ้นทันใด | ก็นึกได้ว่าฝันเป็นมั่นคง | ||
| รุ่งสว่างสางแสงพระเวหา | ล้างหน้าแล้วมานั่งดังประสงค์ | ||
| จึ่งแก้ฝันให้เมียฟังดังจำนง | เล่าความตามตรงที่ฝันไป | ||
| กาญจนีว่าครั้งนี้เห็นสมคิด | ด้วยอารักษ์ศักดิ์สิทธิ์มาบอกให้ | ||
| มาเราจะพากันคลาไคล | ไปตามคำเทพไทให้รู้การ | ||
| ว่าแล้วคืนเข้าในเคหา | แต่งตัวนุ่งผ้าเกษมศานต์ | ||
| เรียกบ่าวไพร่อึงมี่ตะลีตะลาน | ให้ถือพานเทียนธูปเครื่องบูชา | ||
| แล้วออกจากสถานพ้นบ้านช่อง | ทั้งพวกพ้องวงศ์วานไปแน่นหนา | ||
| รีบเดินตามเนินมรคา | มิทันช้าถึงต้นพระไทรพลัน | ||
| พระไทรใหญ่โตได้ถึงแปดอ้อม | กิ่งค้อมร่มชิดปิดสุริย์ฉัน | ||
| ทิศหรดีทีจะจริงของเทวัญ | ก็พากันเข้าไปใต้ร่มไทร | ||
| จึ่งจุดธูปเทียนทองมิทันช้า | บวงบนเทวาแล้วกราบไหว้ | ||
| ประนมกรวอนว่าไปทันใด | ข้าอยากได้ลูกรักแต่สักคน | ||
| ถ้าได้บุตรที่สุดเสน่หา | จะแก้บนเทพดาไม่ขัดสน | ||
| ควายวัวหัวหมูคู่บานบน | สีชมพูห่มต้นพระไทรทอง | ||
| จะปลูกศาลให้ตระการประไพจิตร | เสาปิดทองคำไม่มีสอง | ||
| จะเวียนเทียนสมโภชแล้วโห่ร้อง | ใบศรีทองใบศรีนากมากครามครัน | ||
| จะมีงิ้วโขนหนังทั้งละคร | ให้ถาวรเครื่องเล่นเป็นมหันต์ | ||
| จะสมโภชสรรพเสร็จทั้งเจ็ดวัน | ตามยุบลรำพันที่กล่าวมา | ||
| จงอารักษ์ศักดิ์สิงพระไทรใหญ่ | ขอให้ได้สมความปรารถนา | ||
| แล้วกราบไหว้พระไทรอำลามา | บ่าวไพร่ก็พากันจรลี | ||
| แล้วคืนกลับสถานยังบ้านช่อง | พร้อมพวกพร้อมวงศ์วานท่านเศรษฐี | ||
| ครั้นอยู่มาเจียรกาลประมาณปี | กาญจนีมีครรภ์วันอังคาร | ||
| ด้วยอารักษ์ชักสัตว์ให้ปฏิสนธิ์ | ประสูติบุตรสองคนเมื่อปีขาล | ||
| เป็นฝาแฝดเดือนแปดวันอังคาร | ได้เมื่อทศกัณฐ์มารขับน้องยา | ||
| ครบหกปีมีบุตรถึงหกคู่ | พิศดูหน้าแสนเสน่หา | ||
| ล้วนสตรีมีโฉมประโลมตา | วัฒนาทั้งสิบสองกุมารี | ||
| พี่คนใหญ่ชันษาได้สิบเก้า | นางน้องสาวอายุได้สิบสี่ | ||
| จึ่งให้นามตามวงศ์พงศ์ผู้ดี | นางผู้พี่มีนามเมศรา | ||
| ถัดไปไพรสพอันเฉิดฉาย | งามประโลมใจชายในใต้หล้า | ||
| ชื่อมณีสีสันนั้นถัดมา | มรกตกัลยาอนงค์นาง | ||
| คู่สามเกษอรกับผกา | โสภาราศีไม่มีหมอง | ||
| คู่สี่มาลีทรงสำอาง | กับเอวบางบุศรากุมารี | ||
| คู่ห้ามาลัยประไพพักตร์ | กับนงลักษณ์เบญจวรรณอันมีศรี | ||
| คู่หกเสาวรัตน์สวัสดี | นางลำเภาโฉมศรีนั้นสุดท้อง | ||
| พิมพ์พักตร์ลักขณานั้นเพริศพริ้ง | งามยิ่งสารพัดไม่ขัดข้อง | ||
| ผิวฉวีสีเหลืองเรืองรอง | ดังทาทองนพคุณละมุนละไม | ||
| เนตรคมหน้าขำผมดำขลับ | ไรรับพักตราน่าพิสมัย | ||
| อรชรอ้อนแอ้นแสนวิไล | แม้นผู้ใดได้เห็นเป็นขวัญตา | ||
| ด้วยผลบุญจุนเจือนางนงเยาว์ | แต่ก่อนเก่าสร้างสมมานักหนา | ||
| เผอิญให้บิตุเรศแลมารดา | สุดแสนเสน่หาพันทวี | ||
| อันเศรษฐีไหรัญนั้นประมาท | ด้วยแน่นเหนียวร้ายกาจเป็นพ้นที่ | ||
| ไปบานบนขวนขวายได้บุตรี | ที่พระไทรใหญ่ทวีเป็นสำคัญ | ||
| ครั้นได้บุตรสุดสวาทเสน่หา | ไม่แก้บนเทพดาในไพรสัณฑ์ | ||
| เสียดายทรัพย์ข้าวของเงินทองนั้น | จะจำหน่ายให้ปันก็เสียดาย ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระไทรเทวฤทธิ์มีสิทธิศักดิ์ | บำรุงรักษ์เศรษฐีได้สมหมาย | ||
| ไม่เห็นเครื่องพลีกรรมโดยภิปราย | แต่คอยหายนิ่งอยู่มาช้านาน | ||
| สิบเก้าปีเศรษฐีไม่คำนับ | กิตติศัพท์เงียบเซียบไปทั้งบ้าน | ||
| เทพไทขัดจิตคิดรำคาญ | เดือดดาลฤทัยอยู่ไปมา | ||
| อุเหม่อุเหม่เศรษฐีนี้โกหก | คราววิตกมีกังวลซนมาหา | ||
| ครั้นได้การสมถวิลจินตนา | ไม่กลับมาแลดูกูสักที | ||
| เสียแรงเราสงเคราะห์สะเดาะทุกข์ | ช่วยทำนุกบำรุงผดุงศรี | ||
| อันนวลนางสิบสองกุมารี | เรามีอุปถัมภ์ช่วยนำมา | ||
| เออสิบสองราศีจะจุติ | เราดำริแนะนำพร่ำว่า | ||
| ให้มาปฏิสนธิ์ในคัพภา | แห่งนางภรรยากาญจนี | ||
| จนพี่ใหญ่ก็ได้ถึงสิบเก้า | น้องสาวก็ประจวบเข้าสิบสี่ | ||
| อ้ายเศรษฐีไหรัญกาญจนี | มันจะได้ดูดีกันกับกู | ||
| เหมือนเขาว่าได้ทุกข์ขุกเจ็บไข้ | มาบนให้ควายวัวกับหัวหมู | ||
| ครั้นหายหกตกหล่นกำนลครู | ควายวัวหัวหมูก็หายไป | ||
| ถึงกระไรในจิตจะคิดบ้าง | นี่มันช่างตัดเด็ดไม่เกล็ดให้ | ||
| จะให้มันรู้จักศักดิ์สิทธิ์ไว้ | ไอ้จังไรชาติอกตัญญู | ||
| ปางพระไทรเทพาวาจาสิทธิ์ | แค้นคิดแช่งประชดให้อดสู | ||
| อ้ายเศรษฐีมีพยศปดกับกู | มันซื้อรู้แล้วจะทำให้รู้ตัว | ||
| แต่นั้นมาข้าคนที่ใช้สอย | ก็ตำรอยตำมะรึงเพราะทำชั่ว | ||
| มันอพยพหลบหายไปหลายครัว | ควายวัวขโมยลักหักคอกไป | ||
| ทรัพย์สินลูกหนี้ก็หนีหาย | ที่ค้าขายก็หามีกำไรไม่ | ||
| ทั้งเมียงามก็หนีตามชายชู้ไป | ทั้งเก่าใหม่ไปหมดได้อดอาย | ||
| จะค้าบกตกเรี่ยก็เสียสูญ | กำไรทุนชาวป่าพาไปหาย | ||
| เข้าของเงินทองก็วุ่นวาย | มีผู้ร้ายตีชิงวิ่งเอาไป | ||
| ทรัพย์สินตั้งแต่จะบกพร่อง | เงินทองเหมือนกับปีกมันบินได้ | ||
| มีแต่จะสูญหายละลายไป | บ่าวไพร่แต่จะใช้ก็ไม่มี | ||
| ยังเหลืออยู่แต่ลูกสิบสองคน | ความกังวลแสนวิตกอกเศรษฐี | ||
| ทั้งข้าวปลาอาหารก็ไม่มี | เชื้อผู้ดีตกยากลำบากครัน | ||
| จึ่งกระซิบปรับทุกข์กันเมียผัว | จะเลี้ยงตัวทำไฉนอย่างไรนั่น | ||
| ลูกเราทั้งสิบสองคนนั้น | จะผ่อนผันคิดอ่านประการใด | ||
| จะเข้าชื่อซื้อขายก็อายหน้า | เขาจะค่อนนินทาไม่ปราศรัย | ||
| คนนับถือลือเลื่องกระเดื่องไป | ตัวเราไซร้มั่งมีมาครามครัน | ||
| จะตบแต่งให้ไปไม่มีทุน | ผู้ใดเล่าจะอุดหนุนให้เรานั่น | ||
| ทั้งสองคนตรองตรึกปรึกษากัน | จะคิดอ่านผ่อนผันกันอย่างไร | ||
| พรุ่งนี้พี่คิดจะไปสู่ป่า | พาสิบสองธิดาไปจงได้ | ||
| ปล่อยเสียในป่าพนาลัย | จงหุงข้าวห่อไว้ให้จงดี | ||
| จะแจกให้คนละห่อพอแก้หิว | อย่าบิดพลิ้วรั้งรอไม่พอที่ | ||
| ไหรัญกระซิบสั่งกาญจนี | แล้วโศกีรักลูกสิบสองคน | ||
| กาญจนีได้ฟังผัวสั่งเสีย | น้ำตาเรี่ยจากตาดังห่าฝน | ||
| คิดอาลัยพันผูกด้วยลูกตน | สิบสองคนเจ้าจะไปไกลมารดา | ||
| โอ้สงสารแต่ลำเภาสุดท้องแม่ | ยังอ่อนแอเป็นเด็กเล็กหนักหนา | ||
| ขวัญข้าวเจ้าจะไปเสียไกลตา | มารดาเล่าก็แสนได้แค้นเคือง | ||
| ด้วยความจนบ่นร่ำทุกค่ำเช้า | ได้กินข้าวแต่ละมื้อก็คางเหลือง | ||
| จะหนักหน่วงห่วงเจ้าข้าวจะเปลือง | จักยักเยื้องแยกเจ้าให้เข้าไพร | ||
| จึ่งตั้งสัตย์อธิษฐานด้วยวาจา | ขอเดชะเทพดาในป่าใหญ่ | ||
| ช่วยคุ้มครองธิดาของข้าไซร้ | อย่าให้มีเหตุเภทภัยพาน | ||
| แต่ครวญคร่ำร่ำรักซึ่งบุตรี | จนสุริย์ศรีจวนแจ้งแสงฉาน | ||
| เอารำเคล้าเข้าห่อมิทันนาน | เตรียมการคนละห่อพอครบคน | ||
| ห่อหนึ่งนั้นดีมีแต่ข้าว | ให้ลำเภาเอาไปกินเมื่อขัดสน | ||
| เศรษฐีจัดแจงแล้วแต่งตน | แจงยุบลบอกลูกไปทันใด | ||
| วันนี้พ่อจะพาไปสู่ป่า | เก็บพฤกษาหาฟืนตามแต่ได้ | ||
| ด้วยจนยากลำบากเป็นพ้นไป | จะแจกให้ข้าวห่อสิบสองคน | ||
| ทางก็ไกลไปมาถ้าค่ำคืน | แม้นดึกดื่นจะต้องค้างกลางไพรสณฑ์ | ||
| แล้วยื่นข้าวให้ทั้งสิบเอ็ดคน | แต่ห่อหนึ่งไม่ปนให้ลำเภา | ||
| สิบสองคนคำนับรับข้าวห่อ | จึ่งถามว่าพ่อจะไปข้างไหนเล่า | ||
| ก็ตามแต่ปรารถนาบิดาเรา | สิบสองเจ้ามิได้ขัดหัทยา | ||
| เศรษฐีฟังลูกยาว่าทุกข์อก | อย่าวิตกซึ่งจะไปที่ในป่า | ||
| ฤดูนี้ผลไม้สุกระย้า | พฤกษาสารพันนั้นอุดม | ||
| ทุเรียนลำไยก็ดกดาษ | ลางสาดทั้งลิ้นจี่ก็ิมีถม | ||
| ขนุนหนังทั้งมะดูกลูกมะยม | อย่าปรารมภ์กรมใจในพงพี | ||
| ทั้งผักหญ้าหาง่ายบนชายเขา | ไปแต่เช้าเก็บมาให้ถ้วนถี่ | ||
| ลวงลูกให้เร่งจรลี | สิบสองนางฟังคดีก็ไคลคลา | ||
| ถือข้าวห่อที่ให้ตะพายหิ้ว | เมื่อยมือถือพลิ้วขึ้นใส่บ่า | ||
| ออกจากบ้านข้ามตะพานถึงทุ่งนา | พ่อก็พาเข้าดงตัดพงไป | ||
| เดินในป่าพาลูกเข้าไพรชัฏ | จะกริ่งเกรงสิงสัตว์ก็หาไม่ | ||
| เลี้ยวลัดดัดเดินดำเนินไป | หวังจะให้ลูกหลงเที่ยววงเวียน | ||
| เวลาสายตะวันบ่ายสักน่อยหนึ่ง | บรรลุถึงภูผาศิลลาเลี่ยน | ||
| สะอาดตาสนุกดีเป็นที่เตียน | ไม่มีเสี้ยนหนามรกที่รึงรัง | ||
| เศรษฐีชวนลูกเต้าเข้าอาศัย | ก็ดีใจแล้วพากันมานั่ง | ||
| ร่มรื่นพื้นบนใบไม้บัง | พร้อมพรั่งพ่อลูกสิบสองคน | ||
| เห็นได้ที่เศรษฐีก็สั่งบุตร | เจ้าจงหยุดอย่าไปในไพรสณฑ์ | ||
| พ่อจะไปริมคีรีมีกังวล | จรดลสักประเดี๋ยวเที่ยวหายา | ||
| สิบสองนางฟังพ่อเข้าล่อหลอก | ไม่รู้ว่าย้อนยอกแกล้งมุสา | ||
| นึกว่าพ่อไปแล้วจะกลับมา | เหมือนสัญญาว่าจะจริงก็นิ่งไป | ||
| ฝ่ายเศรษฐีหนีลูกเข้าหลังเขา | จากลำเนาพฤกษาลัดป่าใหญ่ | ||
| กลับมาบ้านหายรำคาญสบายใจ | ก็อยู่ในบ้านช่องแต่สองคน ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายสิบสองนารีที่อยู่ป่า | ครั้นบิดาจรไปในไพรสณฑ์ | ||
| แต่คอยหาช้าไปให้กังวล | ดูแต่ต้นมรคาบิดาไป | ||
| ยิ่งคอยคอยก็ยิ่งหายจนสายเที่ยง | ฟังเสียงไม่ได้ยินถวิลไห้ | ||
| หวั่นหวาดประหลาดจิตเห็นผิดใจ | พากันไปเที่ยวหาบิดาตัว | ||
| เที่ยวสอดเสาะทุกละเมาะลำเนาไม้ | ในพงไพรพลบมืดขมุกขมัว | ||
| ก็หวั่นไหวใจหวามด้วยความกลัว | กายระรัวร้อนเร่าให้เปล่าตา | ||
| เห็นไม้ไหวแลไปคิดว่าพ่อ | ไม่รั้งรอกู่ก้องตะโกนหา | ||
| เข้าใกล้ได้ยินเสียงสกุณา | ก็โศกาพากันเที่ยวสัญจร | ||
| จนเสียงแห้งแรงอ่อนเห็นรังใหญ่ | มีเพิงผาอยู่ใต้ร่มสิงขร | ||
| หยุดประทับยับยั้งด้วยแรงร้อน | ระอาอ่อนหวยระหายเพียงกายปลิว | ||
| แสบท้องเหลือทนจนใจพ่อ | แก้ข้าวห่อออกมาเพลาหิว | ||
| เห็นแต่รำห่อมากับปลาซิว | มีแต่ผิวหนังปลาให้หมากิน | ||
| สิบเอ็ด[2]นางอย่างจะเด็ดชีวิตดับ | โอ้อาภัพจริงจริงทุกสิ่งสิ้น | ||
| แม่เจ้ากรรมทำได้ช่างให้กิน | ก็ทิ้งข้าวลงดินทุกนารี | ||
| ฝ่ายลำเภาแก้ข้าวของตัวเล่า | ก็เห็นข้าวเต็มห่อจึงเรียกพี่ | ||
| มากินข้าวห่อฉันนั้นข้าวดี | ตามแต่มีพี่น้องต้องปันกัน | ||
| นางลำเภาจัดแจงแบ่งข้าวห่อ | ให้แต่พอแก้จนคนละปั้น | ||
| พอกลั้วลิ้นกินข้าวได้เท่ากัน | พอแรงนั้นชุ่มชื่นคืนยินดี | ||
| ครั้นโพล้เพล้สนธยาเพลาค่ำ | สิบสองคนบ่นพร่ำจนถ้วนถี่ | ||
| ก็รู้ว่ามารดาของข้านี้ | ใจไม่ดีลำเอียงไม่เที่ยงธรรม์ | ||
| เราได้กินแต่ข้าวลำเภาให้ | พอชื่นใจจึ่งไม่ม้วยชีวาสัญ | ||
| บิดาช่างกระไรใจฉกรรจ์ | มาบากบั่นทิ้งลูกผูกเวรา | ||
| ทั้งพี่น้องร้องไห้ไม่วายโศก | แสนวิโยคต่างตนก็บ่นบ้า | ||
| ชะรอยเวรากรรมได้ทำมา | บิดาพามาทิ้งเพราะชิงชัง | ||
| ถึงยากง่ายเอาไปขายก็ไม่ว่า | จะแทนคุณบิดามารดาบ้าง | ||
| มาทอดทิ้งเราได้ไม่อินัง | พ่อก็ช่างตัดได้ไม่กลัวกรรม | ||
| โอ้อกเอ๋ยพี่น้องสิบสองหญิง | อนาถจริงใครเล่าจะอุปถัมภ์ | ||
| จะตายด้วยสัตว์ร้ายกายระยำ | มืดค่ำแล้วจะไปข้างไหนนา | ||
| นางลำเภาจึ่งว่าไปทันใด | เราอาศัยนอนที่นี่ดีหนักหนา | ||
| ต่อรุ่งรางสางแสงพระสุริยา | จึ่งค่อยพากันจรซอกซอนไป | ||
| พูดกันพลางทางชวนกันนิทรา | เอนกายาลงระงับก็หลับใหล | ||
| ด้วยอารักษ์คุ้มครองป้องกันไว้ | หวังมิให้สัตว์ร้ายมาบีฑา | ||
| ครั้นแสงทองส่องฟ้าเวหาหน | สิบสองคนออกจากร่มพฤกษา | ||
| ไก่ขันสนั่นไพรไหววิญญา | คิดถึงแม่แลหาให้อาดูร | ||
| จนซูบผอมผิดศรีฉวีวรรณ | ทั้งผิวพรรณงามโฉมก็โทรมสูญ | ||
| คิดถึงพ่อก็ให้แค้นแสนอาดูร | ให้เพิ่มพูนถวิลทุกข์ทุกเวลา | ||
| ได้ยินเสียงสกุณีร้องมี่ก้อง | ชะนีเหนี่ยวไม้ร้องร้องเรียกหา | ||
| ให้ฉุนเฉียวเฉลียวคิดถึงมารดา | อนิจจาเคยอยู่บ้านสำราญใจ | ||
| อกเอ๋ยไม่เคยมาตกยาก | แสนลำบากเคืองเข็ญเป็นไฉน | ||
| ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ฉุกใจ | ทั้งสิบสองทรามวัยก็โศกี ฯ | ||
| ◉ ครั้นค่อยคลายหายโศกกันแสงศัลย์ | ก็พากันจรไปในไพรศรี | ||
| เจ็บบาทาค่อยย่องจ้องจรลี | แรงไม่มีอ่อนใจไปโซเซ | ||
| อดอาหารโหยหาหิวหน้าแห้ง | จนสิ้นแรงผอมไผ่ใจโผเผ | ||
| ไม่รู้แห่งตำแหน่งไหนให้โลเล | คิดระเหระหนหาอาหารกิน | ||
| ชวนกันมองตามช่องระหว่างผา | แสวงหาลูกไม้ดังใจถวิล | ||
| หิวระหวยฉวยอะไรได้ก็กิน | พอกลั้วลิ้นเลี้ยงท้องสิบสองนาง | ||
| จะกลับหลังตั้งหน้าคืนมาบ้าน | ก็บันดาลเดินหลงเข้าดงกว้าง | ||
| ปรึกษากันพี่น้องสิบสองนาง | เราหลงทางแล้วจะไปข้างไหนดี | ||
| นางลำเภาสาวน้อยจึ่งค่อยว่า | จะตั้งหน้าไปข้างไหนไปเถิดพี่ | ||
| คงจะพบเรือนเหย้าชาวบุรี | พอเป็นที่อาศัยในบ้านคน | ||
| เมศราว่าจริงแล้วนะแม่ | จะท้อแท้ทำไมไม่เป็นผล | ||
| ชีวิตเราพี่น้องสิบสองคน | จะปี้ป่นตายเป็นก็เป็นไป | ||
| พูดกันพลางทางเดินเข้าเนินผา | พากันมาเลี้ยวลัดตัดไศล | ||
| หนามเกี่ยวเลือดย้อยเป็นรอยไป | รีบคลาไคลตามแถวแนวอรัญ | ||
| อุตส่าห์เดินเถิดนะเจ้าอย่าเศร้าสร้อย | ตะวันคล้อยลงแล้วรีบผายผัน | ||
| ทั้งสิบสองกัลยาก็จรจรัล | บรรลุถึงสวนขวัญเข้าทันที | ||
| ขนุนหนังลางสาดมะตาดต้อง | พลับพลองลำไยกล้ายลิ้นจี่ | ||
| มังคุดพุทราพะวาดี | กล้วยตานีหักมุกลูกอัมพา | ||
| ใต้ต้นเตียนสบายทรายสะอาด | รุกขชาติงามล้ำดังเลขา | ||
| เหมือนไม้ฉากหลากผลหล่นลงมา | เกลื่อนสุธากลาดกลิ้งทิ้งลงดิน | ||
| สวนนั้นของนางอสุรี | นามบูรีทานตะวันทิศทักษิณ | ||
| นางสุนนทามารอสุรินท์ | เป็นปิ่นเกล้ายักษาในธานี | ||
| ประกอบด้วยกำพตวิเศษมนต์ | ถกลทิพโอสถภิเษกศรี | ||
| จะประสงค์สิ่งใดในธรณี | ก็ได้ด้วยฤทธีวิเศษมนต์ | ||
| ถึงพระพายพานพัดขจัดกล้า | จะห้ามว่าอย่าให้พัดในเวหน | ||
| ก็สมใจห้ามได้ดังเล่ห์กล | มนต์นั้นเรียนได้จากพระมารดา | ||
| ครั้นสิ้นบุญบิตุเรศชนนี | ได้ปกป้องครองบูรีแห่งยักษา | ||
| ไร้คู่อยู่เดียวเปลี่ยวกายา | ครองประชาราษฎรไม่ร้อนรน | ||
| วันหนึ่งรำพึงด้วยสมบัติ | โทมนัสคิดไปในนุสนธิ์ | ||
| จะหาบุตรสุดรักนิฤมล | อันถกลตระกูลประยูรวงศ์ | ||
| อันตัวกูไร้คู่เสน่หา | จะใคร่ได้ธิดาดังประสงค์ | ||
| หมายจะให้อยู่ครองสนององค์ | ควรตำรงนคเรศอสุรี | ||
| จึ่งออกนั่งยังท้องพระโรงรัตน์ | พร้อมขนัดเสนางค์ของยักษี | ||
| จึ่งสั่งสิทธิกรรม์ด้วยทันที | กูนี้จะไปเที่ยวในชมพู | ||
| จงรักษาธานีอยู่ข้างหลัง | กูกลับวังอย่าเอาร้ายมาป้ายหู | ||
| จงกำชับป้อมรายแลค่ายคู | อย่าให้ศัตรูมาบีฑา | ||
| หนึ่งสวนแก้วอุทยานสำราญยศ | ปรากฏพระราชพฤกษา | ||
| มะม่วงหาวมะนาวโห่อันโอฬาร์ | เกิดสำหรับพาราเป็นเสี่ยงทาย | ||
| แต่ดอกใบนั้นอย่าให้ใครจับต้อง | จะเกิดกองทุกข์เข็ญเป็นเหลือหลาย | ||
| ใครเข้ามาจับฆ่าเสียให้ตาย | เร่งบาดหมายตรวจดูอยู่ระวัง | ||
| สิทธิกรรม์รับสั่งอาญาสิทธิ์ | จึงเขียนหมายไปปิดตามรับสั่ง | ||
| สุนนทากลับเข้านิเวศวัง | ทรุดนั่งยังแท่นรัตนา | ||
| สาวสรรยักษีพนักงาน | หมอบกรานชะเง้อเสนอหน้า | ||
| คอยฟังรหัสดูอัชฌา | จะตรัสด้วยกิจจาประการใด ฯ | ||
| ◉ นางสุนนทามารยักษี | แต่งองค์เทวีหาช้าไม่ | ||
| ทรงภูษาผืนแดงดังแสงไฟ | ฉลององค์เข้มขาบไหมดูเพราพราย | ||
| สิบนิ้วสอดทรงธำมรงค์รัตน์ | สังวาลสร้อยสายสะพัดจำรัสฉาย | ||
| เข็มขัดเพชรลงยาพรรณราย | สไบลอยดอกลายเครือวัลย์ | ||
| โขมพัสตร์กระหวัดเวียนพระเศียรสม | คาดนมตะแบงมานดูแข็งขัน | ||
| ทรงกำพตยศไกรดังไฟกัลป์ | จรจรัลจากปรางค์ย่างกราย | ||
| โอมอ่านมหาจินดาเวท | บันดาลเหตุเหาะขึ้นเวหาหาย | ||
| เฉียวฉิวปลิวไปด้วยพระพาย | ผันผายเผ่นฟ้าจากธานี | ||
| เที่ยวไปทุกประเทศเขตพิภพ | จบเมืองในทวีปชมพูศรี | ||
| เล็ดลอดสอดดูทุกบูรี | หวังจะหาสามีแนบนอน | ||
| บ้านน้อยเมืองใหญ่ก็ไปจบ | ไม่พานพบบุตรีสโมสร | ||
| ก็เผ่นฟ้าผ่าเมฆบทจร | ถึงนครจำปากบูรีรมย์ | ||
| เห็นภูมิฐานบ้านเมืองนั้นมั่งคั่ง | เวียงวังดูอร่ามงามสม | ||
| คำนึงในฤทัยดังนิยม | ว่าเมืองนี้อุดมเจษฎา | ||
| ชะรอยว่ากษัตริย์สุริยวงศ์ | สูงส่งปรากฏมียศถา | ||
| จำกูจะไปทอดทัศนา | ในมหาปราสาทราชวัง | ||
| แม้นกษัตริย์ผู้ครองเมืองนี้ | สำอางองค์ทรงศรีเปล่งปลั่ง | ||
| จะพาไปพิศมัยในบูรัง | ครองนิเวศเขตวังของเรา | ||
| คิดแล้วนางมารก็ลินลาศ | ผันผาดเข้าแอบอยู่เงื้อมเขา | ||
| พักผ่อนหายร้อนค่อยบรรเทา | พอพลบค่ำจึ่งจะเข้าไปในบูรี ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงบรมพรหมทัต | ผ่านสมบัติจำปากบูรีศรี | ||
| แสนสุดสุขกระเษมเปรมปรีดิ์ | ในจำปากบูรีพระนคร | ||
| เกศินีที่เป็นอัครชายา | ก็ประสูติธิดาสายสมร | ||
| รูปโฉมโนมพรรณนางบังอร | อรชรจิ้มลิ้มพริ้มพักตรา | ||
| แต่อายุหกเดือนกับเจ็ดวัน | นางจอมขวัญแสนโสมนัสสา | ||
| รักใคร่ในบุตรสุดปัญญา | ดังดวงตาของชนกชนนี | ||
| ทั้งพี่เลี้ยงนางนมก็พรั่งพร้อม | ห้อมล้อมถนอมเลี้ยงนางโฉมศรี | ||
| จัดแจงอู่ทองล้วนของดี | ให้มารศรีบรรทมสำราญใจ | ||
| พระพี่เลี้ยงนางนมคอยเห่ช้า | จวนเวลาก็มาพร้อมล้อมไสว | ||
| เห่กล่อมแซ่เสียงสำเนียงไป | อยู่ในห้องแก้วแพรวพรรณ | ||
| เมื่อจะเกิดเหตุเภทภัยพาล | ให้บันดาลให้สงัดเงียบทั้งไอศวรรย์ | ||
| พลบค่ำสนธยาสายัณห์ | พวกรักษาหน้าที่นั้นก็กองไฟ | ||
| นายประตูผู้รักษาพระทวาร | ก็ลั่นดาลแน่นหนาหาช้าไม่ | ||
| บ้างตีฆ้องกองเกณฑ์ตระเวนไป | รอบในนคเรศเขตธานี ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงนนทา[1]สุรามาร | เข้าแอบอยู่ที่ชานบุรีศรี | ||
| พอพลบค่ำสนธยาราตรี | อสุรีแอบย่องไปมองดู | ||
| คิดแล้วร่ายมนต์อันศักดิ์สิทธิ์ | สะกดจิตโยธาทุกหมวดหมู่ | ||
| ให้รี้พลล้อมวังนั่งประตู | มิให้รู้สึกสมประดี | ||
| ก็ค่อยย่องเข้าไปในปราสาท | องอาจดุจนางราชสีห์ | ||
| ร่ายเวทวิเศษประสิทธี | ทวาราวดีประสาทนาง | ||
| ก็แย้มชักสลักหลุดผลุดเผลาะ | สะเดาะห้องหอรีและหอขวาง | ||
| ประทีปแจ้งแสงส่องทุกห้องนาง | แจ่มกระจ่างดังว่าทิวาวัน | ||
| นางมารทัศนาในปราสาท | โอภาสเครื่องแต่งแสงฉัน | ||
| เตียงตั้งแท่นแก้วแพรวพรรณ | ล้วนสุวรรณเลขาศิลาพราย | ||
| นางสนมสมบูรณ์จำรูญโฉม | งามประโลมล้ำเลิศเฉิดฉาย | ||
| อสุรียลยิ้มพริ้มพราย | แล้วผันผายเข้าในห้องกระษัตรา | ||
| เห็นอู่ทองรองนางกุมารี | มีพี่เลี้ยงทั้งสี่อยู่ซ้ายขวา | ||
| นางก็เร่งพิศวงด้วยสงกา | เข้ามาแลดูอยู่ช้านาน | ||
| เห็นบุตรีกรุงกระษัตริย์สุริยวงศ์ | ประทมในอู่ทรงน่าสงสาร | ||
| พักตรากายาเยาวมาลย์ | เปรียบปานทองแท่งธรรมดา | ||
| นางยิ่งดูไปใจยิ่งรัก | วรพักตร์ดังเทพเลขา | ||
| แล้วโอบอุ้มจุมพิตพระธิดา | ขึ้นไว้แอบอุราอสุรี | ||
| ก็บังเกิดน้ำนมพรมหยด | ปรากฏจากถันของยักษี | ||
| ด้วยกุศลหนหลังกุมารี | เคยเป็นบุตรีสุนนทา | ||
| กุมารีอ้าอมนมเสวย | ดื่มเลยมิได้คลายโอษฐา | ||
| กรกำขยำนมอสุรา | นางมารจินตนาด้วยยินดี | ||
| รักเหมือนธิดานั้นมาเกิด | กำเนิดจากครรภ์ของยักษี | ||
| คำนึงในฤทัยอสุรี | กูนี้จะพาพระธิดา | ||
| ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม์ | ครอบครองเขตขันธ์ด้วยหรรษา | ||
| ทั้งโภไคยไอศูรย์สวรรยา | กูมรณาจะได้สืบสุริย์วงศ์ | ||
| จึ่งร่างสารศุภลักษณ์เป็นอักษร | โดยสุนทรเรื่องความตามประสงค์ | ||
| หวังจะให้กรุงกระษัตริย์สุรีวงศ์ | ที่เป็นองค์ชนกชนนี | ||
| ในลักษณ์นั้นว่าสุทามาร[2] | เป็นปิ่นผ่านทานตะวันบุรีศรี | ||
| อย่าให้บิตุรงค์ทรงโศกี | ทุกข์ทวีเทวษเศร้าถึงลูกยา | ||
| เราไร้ภัสดาและบุตรี | จะขอไปไว้เป็นที่เสน่หา | ||
| ทั้งโภไคยไอศูรย์สวรรยา | จะมอบให้ธิดาทั้งธานี | ||
| ครั้นจารึกราชสารลงลานแล้ว | นางมารผ่องแผ้วกระเษมศรี | ||
| แขวนไว้ที่อู่ทองมณี | อสุรีอุ้มนางเหาะไปพารา | ||
| ลอยคว้างมากลางเวหาหน | สุริยนแจ่มแจ้งพระเวหา | ||
| เชยชมมาพลางกลางเมฆา | ดุจกาคาบแก้วกระพือบิน | ||
| คว้างคว้างมากลางเวหาหาว | ก็ถึงด้าวแดนมารสถานถิ่น | ||
| เหาะลงปรางค์ปราในธานินทร์ | ก็ลินลาศเข้าสู่ปราสาทไชย ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงพี่เลี้ยงทั้งสี่ | ซึ่งรักษาบุตรีในกรุงใหญ่ | ||
| ครั้นรุ่งแสงสุริโยอโณทัย | แลไปไม่เห็นพระบุตรี | ||
| ต่างตระหนกอกสั่นขวัญหาย | วุ่นวายบอกกันอยู่อึงมี่ | ||
| ว่าองค์พระราชกุมารี | ประทมอยู่ในที่พระอู่ทอง | ||
| หายไปไม่เห็นเหตุไฉน | ต่างต่างตกใจให้หม่นหมอง | ||
| บ้างข้อนทรวงโศกาน้ำตานอง | ทั้งกลัวตัวจะต้องพระอาชญา | ||
| สาวสนมกำนัลทุกหมวดหมู่ | ค้นคว้าหาดูเป็นหนักหนา | ||
| ทุกห้องหับสับสนเที่ยวค้นคว้า | บ้างบ่นว่าน่าอัศจรรย์ใจ | ||
| บ้างก็ว่าถ้าไม่ได้พระบุตรี | เห็นชีวีเรานี้จะตักษัย | ||
| บ้างบนบานศาลกล่าวกันวุ่นไป | ถวายพวงมาลัยสักสิบพวง | ||
| แล้วแยกย้ายรายกันเที่ยวค้นคว้า | ทุกห้องหับกัลยาพวกข้าหลวง | ||
| ไม่พานพบบุตรีธิดาดวง | บ้างข้อนทรวงมาทูลพระชนนี | ||
| ว่าองค์พระธิดาดวงใจ | ประทมในอู่ทองผ่องศรี | ||
| หายไปในราษราตรี | เมื่อใกล้ศรีสุริโยอโณทัย ฯ | ||
| ◉ ปางองค์อัคเรศเกษณี | แจ้งคดีกัมปนาทหวาดหวั่นไหว | ||
| ดังพระกาลผลาญชีพให้บรรลัย | มาเด็ดเอาดวงใจไปจากองค์ | ||
| ทั้งพระจอมจำปากกรุงกระษัตริย์ | แจ้งอรรถแล้วรำพึงตะลึงหลง | ||
| เหตุไฉนใครหนอช่างตัวยง | มาลักองค์พระธิดากูพาไป | ||
| จะว่าเป็นศัตรูมาดูถูก | ลักลูกเช่นนี้หามีไม่ | ||
| จึ่งชวนเหล่าสาวสรรกำนัลใน | มาจะลงไปดูให้รู้การ | ||
| ตรัสพลางทางเสด็จจรลี | กับองค์มเหสียอดสงสาร | ||
| ครั้นเข้าใกล้แลไปเห็นใบลาน | ก็ยื่นหัตถ์หยิบมาอ่านด้วยทันใด | ||
| ครั้นประจักษ์เรื่องสารในอักษร | นรินทรเสื่อมคลายหายสงสัย | ||
| แล้วออกข้างหน้าหาโหรมาทันใด | ภูวไนยจึ่งแจ้งแห่งเหตุการณ์ | ||
| แล้วซักถามโหราพฤฒาเฒ่า | ว่าลูกเราหายไปไกลสถาน | ||
| อันสาราจารึกในใบลาน | ว่าขานเท็จหรือจริงยังกริ่งใจ | ||
| จงทายทักให้ประจักษ์ตามรู้เห็น | ว่าตายเป็นจงแจ้งแถลงไข | ||
| ฝ่ายโหรกราบก้มบังคมไท | เข้าใจจับกระดานมาหารคูณ | ||
| เอาปุตตะมาบวกด้วยชันษา | เอาสามมาบวกเหตุเป็นเศษศูนย์ | ||
| ที่ชันษาพระธิดานั้นสมบูรณ์ | ราศีร่วมเค้ามูลกับชะตา | ||
| เหตุด้วยพระเสาร์มาเล็งลัคน์ | แจ้งประจักษ์แล้วหมอหัวร่อร่า | ||
| จึ่งกราบทูลความตามตำรา | พระอาชญาสุดแต่จะโปรดปราน | ||
| นี่หากว่าพระธิดามารับเคราะห์ | ดังสะเดาะทุกข์โศกจากสถาน | ||
| ถ้าหาไม่ก็จะได้ความรำคาญ | พระภูบาลจะต้องไปจากพารา | ||
| หญิงกาลกิณีมาต้องมูล | จะอาดูรด้วยหญิงมารสา | ||
| บุตรนั้นเป็นศรีทับจรมา | ร่วมราศีกันทันนาที | ||
| นางมารจึ่งได้เห็นแต่พระหน่อ | ถ้าเห็นพ่อสุนนทาจะพาหนี | ||
| ลูกหายทายว่าพระเคราะห์ดี | พระภูมีอย่าทรงพระอาลัย | ||
| แต่ชันษาพระธิดานั้นดีนัก | จะมีศักดิ์สมปองครองมไห | ||
| จะเลื่องชื่อลือตระหลบภพไตร | แจ้งพระทัยอย่าได้ทรงวิตกเลย | ||
| มเหสีฟังโหรมาทายทัก | ไม่ประจักษ์ถามโหรว่าตาเอ๋ย | ||
| ลูกหายทายว่าดีข้ามิเคย | กรรมเอ๋ยไม่เคยฟังเลยอย่างนี้ | ||
| หมอทูลตามสนองให้ต้องกิจ | มันลักผิดไปดอกนะพระโฉมศรี | ||
| ถ้าลักถูกก็จะพาพระสามี | เกิดกุลีวุ่นวายทั้งเวียงไชย | ||
| ไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองแค้น | พระแม่เจ้าก็จะแสนกระมลไหม้ | ||
| อย่าเศร้าสร้อยโศกาให้อาลัย | จงหักใจเสียเถิดพระทรงธรรม์ | ||
| สองพระองค์ทรงฟังตาโหรเฒ่า | ที่โศกเศร้าเสื่อมหายคลายกระศัลย์ | ||
| พระราชทานเงินทองของรางวัล | แพรพรรณเสื้อผ้าให้อาจารย์ | ||
| เถลิงศกปีใหม่เกษณี | ก็ประสูติบุตรีเมื่อปีขาล | ||
| งามพริ้งยอดสุดาพารามาลย์ | เหมือนนงคราญโฉมฉายที่หายไป | ||
| จึ่งให้นามตามวงศ์พระมารดา | ชื่อเกษณีแก้วผกาอันผ่องใส | ||
| แสนถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้ | สำราญใจกระเษมสุขอยู่ในวัง ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงสุนนทาอสุรี | ถึงปราสาทแล้วมีบัญชาสั่ง | ||
| ให้ชาวแม่และสนมกรมวัง | อีกทั้งชาวสะดึงที่ตัวดี | ||
| ชาวพระคลังวิเสทข้างฝ่ายใน | ให้ไปเบิกโขมพัสตร์อันรังสี | ||
| เย็บยี่ภู่ทรงองค์เทวี | สำหรับที่ลูกหลวงจะบรรทม | ||
| ให้ช่างทองกรองอู่สุวรรณมาศ | งามประหลาดด้วยมณีล้วนศรีสม | ||
| พระพี่เลี้ยงขอเฝ้าแลเจ้ากรม | นางนมขับกล่อมพร้อมมากมี | ||
| ฟักฟูมอุ้มเสวยให้บรรทม | เชยชมพระธิดามารศรี | ||
| ขนานนามกัลยาว่าเมรี | จำเริญศรีวัฒนาสถาพร | ||
| ชันษาเจ็ดปีมีศักดิ์ | สารพัดรู้หลักเขียนอักษร | ||
| สุนนทาเชยชิดสนิทนอน | ไม่เจียรจรไปจากพระธิดา | ||
| ยามเสวยกระยาหารทุกเช้าค่ำ | เสวยน้ำเมรัยด้วยหรรษา | ||
| ดังดวงใจของนางสุนนทา | สุดแสนเสน่หาพันทวี ฯ | ||
| ◉ จะกลับกล่าวจับเรื่องสิบสองนาง | หลงทางอยู่ในสวนของยักษี | ||
| เที่ยวชมผลพฤกษาบรรดามี | ไม่รู้ว่าสวนศรีของนางมาร | ||
| เห็นพฤกษาผลาผลนั้นสุกสด | ปรากฏงามไสวทั้งใบก้าน | ||
| บ้างทรงผลหล่นกลาดดาษดินดาน | งามตระการรื่นเริงบันเทิงใจ | ||
| บ้างเก็บผลไม้ลูกที่สุกสด | อร่อยรสโอชาจะหาไหน | ||
| ชวนกันกินเล่นสำราญใจ | เที่ยวชมพรรณมิ่งไม้มีหลายพรรณ | ||
| เห็นสระศรีมีอยู่ที่กลางสวน | ก็ชวนกันลงอาบกระเษมสันต์ | ||
| ด้วยร้อนรนกระวนกระวายมาหลายวัน | ค่อยกระสันชื่นบานสำราญใจ | ||
| แล้วขึ้นจากสระศรีมิทันช้า | เที่ยวชมพรรณพฤกษางามไสว | ||
| เห็นมะม่วงพวงงามอร่ามไป | มะนาวใหญ่เคียงอยู่เป็นคู่กัน | ||
| สิบสองนางต่างคนเข้าน้าวกิ่ง | แย่งชิงกันเก็บแล้วสรวลสันต์ | ||
| หักมะม่วงพวงงามอร่ามครัน | ลางคนนั้นหักมะนาวลงก่ายกอง | ||
| ต้นมะม่วงร่วงแล้วก็ร้องหาว | ผลมะนาวลูกโตก็โห่ก้อง | ||
| เสียงสนั่นลั่นป่าดังฟ้าคะนอง | โห่ร้องสนั่นดังทั้งกรุงไกร | ||
| ฝ่ายพวกพลมารที่อยู่เฝ้า | ก็บอกกล่าวต่อกันอยู่หวั่นไหว | ||
| พลเมืองเล่าลือกันอื้อไป | ตกใจตื่นวิ่งเป็นสิงคลี | ||
| บ้างก็เข้าไปแจ้งซึ่งยุบล | แก่สุนนทามารยักษี | ||
| ว่าต้นไม้เสี่ยงทายพระบูรี | เผอิญมีเสียงโห่เป็นโกลา | ||
| สุนนทามารครั้นได้ฟ้ง | ให้แค้นคั่งขัดใจเป็นนักหนา | ||
| ฉวยกำพตเพชรรัตน์อันศักดา | นางมารรีบมาอุทยาน | ||
| ถึงสวนด่วนเข้าไปด้อมมอง | เห็นสิบสองกัลยาสนุกสนาน | ||
| สอยมะม่วงพวงหล่นลงดินดาน | นางมารโกรธานัยน์ตาแดง | ||
| ร้องตวาดด้วยเสียงสำเนียงดัง | อุเหม่มึงโอหังช่างขันแข็ง | ||
| ล่วงลัดตัดทางมากลางแปลง | เข้าถึงแขวงแว่นแคว้นแดนของกู | ||
| จะจับฟัดกัดกินให้สิ้นซาก | พลางสำรากคุกคามตะคอกขู่ | ||
| อีหน้าเป็นจะได้เล่นกันกับกู | ว่าแล้วโจมจู่เข้าจับนาง | ||
| สิบสองคนใจพรั่นขวัญหาย | ดังชีวิตจะละลายไปจากร่าง | ||
| ร้องกราดกรีดหวีดผวาเที่ยวหาทาง | หนีนางอสุรีไม่มีใจ | ||
| ฝ่ายเทพอารักษ์นิโครธนั้น | อยู่ป้องกันสายสวาทไม่ขาดได้ | ||
| กำบังตาสุนนทาเสียทันใด | มารมิได้เห็นนางสิบสองคน | ||
| ทั้งสิบสองหนียักษ์เข้าป่าใหญ่ | ซอกซอนซ่อนไปในไพรสณฑ์ | ||
| มารไม่เห็นเผ่นเหาะขึ้นนภภน | เทพดลใจมารทะยานไป | ||
| สิบสองคนแสนกลัวตัวสั่นเหลือ | กลัวเสือก็หากลัวเหมือนยักษ์ไม่ | ||
| เที่ยวบุกรกด้นดั้นพากันไป | หนามไหน่เกี่ยวยับเลือดซับกาย | ||
| จูงมือกันพลางทางบ่นว่า | เห็นไม่รอดชีวาอย่าพักหมาย | ||
| เราพี่น้องครั้งนี้ถึงที่ตาย | จะวอดวายเป็นเหยื่ออสุรี | ||
| จึ่งตั้งสัตย์อธิษฐานด้วยวาจา | ขอเดชะเทพดาทุกราศี | ||
| อันตัวข้าทั้งสิบสองพี่น้องนี้ | แม้ถึงที่มรณาไม่อาลัย | ||
| แม้นไม่ถึงที่ตายวายชนม์ | ขอให้พ้นมือมารไปจงได้ | ||
| เสร็จตั้งจิตพิษฐานด้วยทันใด | พอเกือบใกล้สถานท่านโยคี | ||
| นางลำเภาบอกพี่สาวโน่นอะไร | มีเสาหงส์ธงใหญ่ตรงนี้นี่ | ||
| ครั้นมาใกล้แลไปเห็นกุฎี | อารามกลัวอสุรีวิ่งพัลวัน | ||
| วันนั้นพระสิทธาเธอกวาดลาน | ทั้งสิบสองเยาวมาลย์รีบผายผัน | ||
| วิ่งเข้ากอดบาทพัลวัน | โปรดดีฉันช่วยชีวิตไว้เอาบุญ | ||
| พระสิทธาตาไม่เห็นเอามือป้อง | แล้วแกร้องว่าอะไรออกว้าวุ่น | ||
| มายื้อยุดฉุดกูออกชุลมุน | นี่เกิดขุ่นขึ้นอย่างไรไปไหนมา | ||
| ทั้งสิบสองกัลยาก็ทูลไข | อีนางยักษ์มันจะไล่พิฆาตฆ่า | ||
| พระมุนีนึกสมเพชเวทนา | อียักษาตาจะช่วยอย่ากลัวมัน | ||
| สุทามารทะยานขึ้นบนอากาศ | ผิดประหลาดไม่แลเห็นเป็นแม่นมั่น | ||
| กลับลงมายังพี้นสุธาพลัน | ผายผันเล็งแลไปแต่ไกล | ||
| เห็นนางเข้าไปอยู่ที่สิทธา | แล้วร้องว่าจะพ้นมือหรือไฉน | ||
| พระอาจารย์เห็นอีมารก็ขัดใจ | เอาไม้กวาดแกว่งไปต่างกระบอง | ||
| แล้วก็ร้องว่าเหม่อีนางมาร | อหังการดูถูกทำจองหอง | ||
| อวดศักดากล้าหาญพาลคะนอง | กูจะลองให้เห็นฤทธิ์อันเกรียงไกร | ||
| แล้วอ่านมนต์คาถามหาเวท | อันวิเศษเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
| เอาไม้กวาดฟาดหวดแล้วแกว่งไป | เป็นเปลวไฟไล่ล้างอีนางมาร | ||
| สุนนทาเห็นไฟมาไล่รุก | ก็หนีบุกซุกไปในไพรสาณฑ์ | ||
| แล้วรีบเหาะหนีตะลีตะลาน | ไปยังเนินจักรวาลด้วยทันใด | ||
| พระอาจารย์จึ่งบรรหารสารสนอง | นี่ถิ่นฐานบ้านช่องเอ็งอยู่ไหน | ||
| จึ่งพากันซอกซอนสัญจรไพร | อีมารไล่วิ่งกระจัดซัดเซมา | ||
| สิบสองนางพลางทูลสนองไข | จึ่งเล่าความหลังไปไม่กังขา | ||
| ด้วยแสนยากสุดจนพ้นปัญญา | บิดาพามาปล่อยเสียในไพร | ||
| จึ่งหนียักษามาพบพระอัยกา | รอดชีวาเพราะพระคุณช่วยไว้ได้ | ||
| ถ้าหาไม่ชีวันคงบรรลัย | จงทราบใต้เบื้องบาทบทมาลย์ ฯ | ||
| ◉ พระสิทธาฟังว่าน่าสมเพช | สิบสองร่วมบิตุเรศกันฤๅหลาน | ||
| ล้วนสาวสาวรุ่นราวคราวกระการ | มาบันดาลเกิดเข็ญเป็นทุกข์ภัย | ||
| แล้วหลับเนตรสำรวมฌานญาณกิจ | ก็ทราบกิจเรื่องหลังครั้งไหนไหน | ||
| เห็นประจักษ์แจ้งสิ้นไม่กินใจ | แล้วปราศรัยว่าชะตายังร้ายครัน | ||
| ถูกเมื่อสดายุนั้นปีกหัก | แทบจักสิ้นชีวาอาสัญ | ||
| จะอยู่ด้วยกับตาลำบากครัน | ไม่ต้องด้วยทางธรรม์ซึ่งชีไพร | ||
| แล้วหยิบเอาพฤกษาโอชารส | อันปรากฎลูกส้มมะยมใหญ่ | ||
| ขนุนหนังทั้งทุเรียนลูกลำไย | เฟืองไฟลูกตะโกล้วนโอชา | ||
| จึ่งชวนกันกินเถิดให้สำราญ | พอชื่นบานผลไม้ของในป่า | ||
| สิบสองนางพลางกินของสิทธา | เสร็จแล้วก็พากันกราบกราน | ||
| ว่าพระคุณเลิศลบจบธาตรี | ไม่มีผู้ใดเปรียบเสมอสมาน | ||
| ขอหยุดพักสักเพลาราตรีกาล | ต่อรุ่งแจ้งสุริฉานจะกราบลา | ||
| ว่าพลางเหลียวดูทินกร | ศศิธรลับไม้ไพรพฤกษา | ||
| พระอาจารย์ชี้บอกกับกัลยา | ศัลลาโน่นเปล่าอยู่จงไปนอน | ||
| ทั้งสิบสองก็ชวนกันไคลคลา | เข้านอนในศัลลาสโมสร | ||
| ครั้นรุ่งรางสางแสงทินกร | บังอรล้างหน้าด้วยทันใด | ||
| แล้วกราบลาอาจารย์ผู้ชาญเวท | พระเดชนั้นล้นเกล้าจะหาไหน | ||
| หลานจะลาซอกซอนสัญจรไป | ตามกุศลทำไว้ได้สร้างมา | ||
| พระอาจารย์จึ่งว่าหลานนี้เคราะห์ร้าย | ยังมากมายหลายอย่างไปข้างหน้า | ||
| จะเวียนทุกข์เวียนสุขอยู่ไปมา | ต่อเดือนห้าปีเถาะสิ้นเคราะห์ร้าย | ||
| จงไปเถิดทางเฉลียงเฉียงอิสาน | จะพบพานบ้านเมืองได้สมหมาย | ||
| หลานจงเร่งระมัดระวังกาย | ถึงได้ดีแล้วจะกลายเมื่อปลายมือ | ||
| แล้วให้พรถาวรสวัสดี | จงเป็นที่ประชาชนคนนับถือ | ||
| ปรากฏเกียรติยศให้เลื่องลือ | ให้มีชื่อรุ่งสราญกระการไป | ||
| สิบสองนางกราบก้มบังคมคัล | ก็โศกศัลย์โศกาน้ำตาไหล | ||
| พากันจรดลด้นดั้นไป | ลุถึงกรุงไกรนครา | ||
| มาพบต้นพระไทรใบดก | คิดวิตกกลัวยักษ์อยู่หนักหนา | ||
| ใต้ต้นไทรแลโล่งไม่ลับตา | จะอยู่อาศัยนั้นไม่กันภัย | ||
| เห็นสระน้ำอยู่ใต้พระไทรนั้น | วารีสีสันสะอาดใส | ||
| จะซ่อนยักษ์จักหนีอยู่ที่ใด | อโณทัยก็ใกล้จะสนธยา | ||
| เห็นโพรงไทรนั้นอยู่ที่โคนต้น | ชอบกลที่นี่ดีหนักหนา | ||
| ก็ชวนกันเข้าในโพรงนิโครธา | นิทราอาศัยอยู่ในนั้น | ||
| กายสั่นรันรัวจนตัวแข็ง | น้ำลายแห้งอกใจไหวหวั่น | ||
| ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีระวีวัน | นึกพรั่นกลัวยักษ์นั้นเหลือใจ | ||
| เห็นมนุษย์นิกรที่เดินหน | ตามถนนยุรยาตรไม่ขาดได้ | ||
| ก็คลางแคลงแหนงคิดด้วยกลัวภัย | ไม่ไว้ใจกลัวอียักษ์มันมักแปลง | ||
| นางลำเภากัลยาว่ากับพี่ | อยู่ที่นี่คับแคบจะแอบแฝง | ||
| แม้นใครมาเห็นหน้าจะระแวง | ด้วยที่แจ้งไม่มีที่กำบัง | ||
| ท่าบนพระไทรใบหนา | จะบังตาผู้ตนอยู่ได้บ้าง | ||
| พี่สาวทั้งนั้นครั้นได้ฟัง | เห็นจริงจังด้วยน้องว่าต้องใจ | ||
| ก็ชวนกันปีนป่ายตะกายเกาะ | ค่อยละเลาะมือกุมเอาปุ่มได้ | ||
| ทะยานยุดฉุดก้านย่านกิ่งไทร | พลิ้วไพล่ขึ้นบนกิ่งพิงกายา | ||
| ใบปกดกมิดสนิทนั่ง | ปิดบังตาคนบนสาขา | ||
| สิบสองนางเยี่ยมยลคนไปมา | อยู่บนต้นนิโครธาระงับกาย ฯ | ||
| ◉ จะจับเรื่องสาวสาวชาวในวัง | ครั้นราตรีตีระฆังก็ใจหาย | ||
| จวนจะแจ้งแสงตะวันพรรณราย | ฟื้นกายเรียกกันสนั่นไป | ||
| ต่างนางต่างตื่นยืนหยิบขัน | ล้างหน้าที่ชั้นหน้าต่างใหญ่ | ||
| เช็ดหน้าเสร็จแล้วมาเช็ดไร | หวีไม้มะกรูดดีหวีผมงาม | ||
| จับกระเหม่าดำขลับกำชับผม | แป้งประสมผัดพักตร์ชักมะขาม | ||
| ส่องกระจกดูเงาเห็นพองาม | นุ่งเขียวครามงามล้ำพอขำคม | ||
| สีขี้ผึ้งกินหมากให้ปากแดง | จัดแจงเลือกขาวม้าเอามาห่ม | ||
| สะแบงมานให้สนิทปิดเนื้อนม | จับกะละออมกลมขึ้นใส่เอว | ||
| บอกกันว่าจะไปตักน้ำจืด | ไปแต่มืดถ้าไม่ทันพากันเหลว | ||
| เรียกเตือนเพื่อนว่ามาเร็วเร็ว | จะไปเหวไปสระจะช้าไป | ||
| ต่างคนสับสนไปเป็นยืด | แต่เช้ามืดก็ถึงสระพระไทรใหญ่ | ||
| ต่างคนตักน้ำสำราญใจ | เต็มกระออมแล้วก็ไปเข้าในวัง | ||
| แต่นางหนึ่งเกียจคร้านพาลจะเชือน | เที่ยวแวะนั่งไม่ทันเพื่อนอยู่ล้าหลัง | ||
| ฉวยกระออมลงจ้องละล้าละลัง | เงาหัวตัวบังที่เงาไทร | ||
| แลเห็นเงานางลำเภาอยู่ในน้ำ | งามประเสริฐเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
| พักตราเป็นนวลน่ายวนใจ | คำนึงในเงาเขาว่าเงาตัว | ||
| จึ่งรำพึงว่ากูงามถึงเพียงนี้ | เป็นสาวมาสิบห้าปีไม่มีผัว | ||
| น่าแค้นแสนระคายนายของตัว | ใช้ให้กูอยู่ที่ครัวต้องตักน้ำ | ||
| จะเป็นไรก็เป็นไปเถอะหม่อม | ฉวยกระออมลงทิ้งกลิ้งล้มคว่ำ | ||
| เมื่อกูงามราวกับทองต้องตักน้ำ | หยิบกระออมฟัดซ้ำสองสามที | ||
| แล้วชี้นิ้วลอยหน้าด่ากระออม | ดีแล้วคะเจ้าจอมกระออมผี | ||
| กูมาต้องตักน้ำเพราะมึงดี | มึงแตกแล้วกูนี้ไม่ต้องมา | ||
| หน้ากูงามราศีดีกว่าหม่อม | แต่กระออมมันให้กูเป็นทาสา | ||
| กระทืบตีนเร่าเร่าเดินเข้ามา | ทำไว้หน้าท่าทางเหมือนนางแมว | ||
| แล้วลงนั่งกอดเข่าเจ่าจุก | ขุกใจตัวกูเหมือนดวงแก้ว | ||
| มาตกต่ำคล้ำหมองไม่มีแวว | ถ้ารู้แล้วเช่นนี้จะอยู่ไย | ||
| คิดเสียใจนั่งบ่นเหมือนบ้าหลัง | เหลือกำลังเจ็บจิตจะคิดไฉน | ||
| อันตัวกูนี้จะอยู่ไปทำไม | เกิดมาไม่สมพักตร์ต้องตักชล | ||
| พวกหนุ่มหนุ่มเห็นเข้าเขาจะสรวล | จะลามลวนล้อเล่นไม่เป็นผล | ||
| รูปงามงามต้องตักน้ำดูพิกล | จะเป็นที่ฝูงคนมันไยไพ | ||
| ผูกคอตายเสียเถิดนะมันจะดี | สิ้นชีวีเอากำเนิดเกิดเอาใหม่ | ||
| พลางเปลื้องขาวม้าผ้าสไบ | แล้วหวนคิดท้อใจกลัวเวรา | ||
| สิบสองนางลักดูเป็นครู่พัก | อดหัวเราะกลั้นสำลักเป็นนักหนา | ||
| จนกิ่งไทรไหวสั่นอยู่ไปมา | กระซิบห้ามกันว่าอย่าอึงไป ฯ | ||
| ◉ นางทาสีได้ยินผินหน้าเงย | ร้องว่าแม่เจ้าเอ๋ยใครที่ไหน | ||
| มาหัวร่อล้อคนที่ต้นไทร | พินิจไปก็เห็นสิบสองนาง | ||
| นึกกระดากที่ตัวทำชั่วช้า | ทั้งนึกอายขายหน้าพาให้หมาง | ||
| ออกได้รีบวิ่งเดินตามเนินทาง | มาทันนางเพื่อนที่ไปถึงในวัง | ||
| เร่งรำพึงถึงกระออมก็ใจหาย | พรั่นตัวกลัวนายจะตีหลัง | ||
| ด้วยความกลัวคิดแก้ตัวดูสักครั้ง | เข้าไปนั่งหมอบนายแล้วไหว้พลัน | ||
| จะเอาเรื่องอะไรเล่าก็ไม่ได้ | ขาตะไกรเจียนจะครากปากคอสั่น | ||
| แต่กระแอมรั้งรอปากคอคัน | กระออมฉันตกแตกที่ต้นไทร | ||
| ด้วยว่านางรูปทองสิบสองหญิง | มานั่งอยู่บนกิ่งพระไทรใหญ่ | ||
| ข้านึกว่าผีหลอกก็ตกใจ | ล้มลงไปกระออมแตกเป็นความจริง | ||
| หม่อมนายได้ฟังยังไม่เชื่อ | เออมันเหลือแล้วที่กูจะสู้นิ่ง | ||
| มึงลุกลนสุดทนเหมือนค่างลิง | เอาผู้หญิงริงเรือที่ไหนมา | ||
| จริงจริงนะเจียวหม่อมไม่ย้อมพูด | จะพิสูจน์ตัวได้ให้ฟ้าผ่า | ||
| เห็นประจักษ์จริงใจกับนัยน์ตา | แม้นไม่จริงอย่างว่าฆ่าให้ตาย | ||
| เถ้าแก่ชาวเครื่องที่เนืองนั่ง | ครั้นได้ฟังมันว่าน่าใจหาย | ||
| ก็ชวนกันนั่งล้อมพร้อมมุลนาย | เห็นแยบคายโจษกันสนั่นไป ฯ | ||
| ◉ วันนั้นพอองค์พระทรงฤทธิ์ | รถสิทธิ์กรุงกระษัตริย์อันเป็นใหญ่ | ||
| พระเสด็จยาตราคลาไคล | ทอดพระเนตรข้างในอยู่ไปมา | ||
| ได้ยินเสียงโจษกันสนั่นอยู่ | จะใคร่รู่ที่พระทัยเธอกังขา | ||
| จึงตรัสถามสาวสนมกัลยา | วิวาทกันด้วยกิจจาประการใด | ||
| เถ้าแก่กราบทูลมูลเหตุ | ว่าวันนี้อาเพศจึงถามไถ่ | ||
| อีทาสีมันแก้ตัวด้วยกลัวภัย | กระออมแตกแก้ไขสำนวนดี | ||
| ว่านางสาวสวรรค์ที่ไหนก็ไม่รู้ | มานั่งอยู่ต้นไทรริมสระศรี | ||
| มันตกใจกระออมแตกเช้าวันนี้ | ดูพาทีกิริยาเห็นมั่นคง | ||
| พระทรงฟังสั่งให้หาอีทาสี | เข้ามาถามตามคดีที่ประสงค์ | ||
| มึงได้เห็นแม่นยำคำมั่นคง | จงบอกความตามตรงอย่าอำพราง | ||
| นางทาสีบังคมแล้วก้มกราบ | สารภาพแล้วทูลไปไม่อางขนาง | ||
| ข้าเห็นแท้แน่ใจไม่อำพราง | สิบสองนางนั่งอยู่บนต้นพระไทร | ||
| รูปงามล้ำเหลือเนื้อกระษัตริย์ | ไม่ข้องขัดทรวดทรงที่ตรงไหน | ||
| ข้าดูดูก็เผอิญให้เพลินไป | กระออมแตกเมื่อไรไม่รู้ตัว | ||
| ถ้าทูลไม่แม่นยำเหมือนคำว่า | ให้ลงพระอาญาถึงตัดหัว | ||
| เมื่อจริงแล้วความตายไม่หมายกลัว | พระอยู่หัวจงทราบบทมาลย์ ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายองค์รถสิทธิ์กรุงกระษัตริย์ | แจ้งรหัสในราชบรรหาร | ||
| เสด็จออกพระโรงรัตน์ชัชวาล | มีโองการสั่งให้หาเสนาใน | ||
| จึ่งตรัสเล่ากิจจาเมื่อวันนี้ | อีทาสีไปตักน้ำที่สระใหญ่ | ||
| ว่ามีหญิงนั่งอยู่กิ่งร่มพระไทร | ท่านเร่งไปสืบดูให้รู้การ ฯ | ||
| ◉ อำมาตย์ได้ฟังรับสั่งตรัส | ก็รีบรัดตัดไปสระสนาน | ||
| บ่าวไพร่สี่ห้าคนตาลนลาน | กระบัดการก็ถึงที่ต้นไทร | ||
| เหลือบแลเห็นนางสิบสองคน | งามล้ำเลิศล้นในต่ำใต้ | ||
| อำมาตย์แลดูขึงตะลึงไป | งามล้ำเหลือใจแล้วแม่คุณ | ||
| คนเล็กทรวดทรงองค์อ้อนแอ้น | แขนแมนคิ้วตาเหมือนหน้าหุ่น | ||
| ท่วงทีกิริยาอ่อนละมุน | ให้ว้าวุ่นพิศวงสงสัยใจ | ||
| หรือจะเป็นยักขินีผีเสื้อป่า | มันแกล้งแปลงปลอมมาฤๅไฉน | ||
| ฤๅสาวสุรางค์นางฟ้านภาลัย | มาล่อลวงภูวไนยเจ้าธานี | ||
| ให้ยลโฉมพอประโลมลานสวาท | แล้วจะผาดผันผยองล่องลอยหนี | ||
| ให้กรุงกระษัตริย์โทมนัสแสนทวี | เสนีตำริแล้วก็กลับไป ฯ | ||
| ◉ ครั้นถึงจึงคลานเข้าไปเฝ้า | ก้มเกล้ากราบก้มบังคมไหว้ | ||
| ทูลแถลงแจ้งการทั้งปวงไป | โดยในคดีที่เห็นมา | ||
| ขอเดชะฝ่าละอองธุลีบาท | เห็นประหลาดจริงอย่างคำที่ทาสา | ||
| สิบสองนางอย่างนางสุรางค์ฟ้า | ลงมาหล้าล่มชาวชมพู | ||
| ข้าบาทได้เห็นก็ใจหาย | แต่เงยหงายหน้าแหงนอยู่เป็นครู่ | ||
| ลืมสติตาชะแง้แต่แลดู | พึ่งได้รู้ว่าตัวเป็นบุญตา | ||
| ช่างงามจริงหญิงใดทั้งไตรจักร | ถึงงามหลักแหลมเหลือเพียงเนื้อห้า | ||
| ถ้าแปดปนเป็นหกตกลงมา | นี้เนื้อว่านพคุณควรนคร | ||
| ชะรอยสบสมพงศ์แต่ปางไหน | ปางนี้พระจะได้สมสมร | ||
| เสมอเหมือนองค์อินทร์ทินกร | เทพจรชวนชักชู้สู่สมภาร | ||
| สมเพชพระยุพินลำเพาภาค | ลำเพาพื้นพลัดพรากมาสู่สถาน | ||
| สถิตกิ่งพระไทรได้รำคาญ | ระคนการทุรพลมาดลตา | ||
| แต่ยามยากอย่างนี้ยังมีโฉม | ดังจันทร์ลอยกลางโพยมกระจ่างหล้า | ||
| ถ้ายามมีราศีจะส่องฟ้า | สุริยายังไม่แจ้งเหมือนแสงนาง | ||
| เชิญเสด็จภูวไนยไปชมโฉม | ที่ทุกข์โถมหฤทัยจะใสสว่าง | ||
| อันนางในไตรภพไม่ลบนาง | เป็นสุดอย่างยอดหญิงที่กิ่งไทร ฯ | ||
| ◉ พระทรงยศรถสิทธิ์จอมกระษัตริย์ | ฟังทูลพูนสวัสดิ์จัดแจ่มใส | ||
| ดังอมฤตฟ้ามายาใจ | สะเทือนไหวซาบสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
| ได้ข่าวโฉมประโลมใจดังได้เห็น | เพียงจะเผ่นจากท้องพระโรงศรี | ||
| ดังได้สัมผัสต้องนางเทวี | ประคองเชยชมศรียุพาพาล | ||
| จึ่งมีโองการสั่งหมู่อำมาตย์ | ให้เตรียมกุญชรชาติเคยสนาน | ||
| มนตรีเทียมเทียบระเบียบการ | พนักงานคอยเสร็จเสด็จจร | ||
| เสด็จเข้าที่สรงแล้วทรงเครื่อง | อร่ามเรืองดั่งหนึ่งราชไกรสร | ||
| จับพระแสงศรสิทธิ์ฤทธิรอน | แล้วกรายกรมาขึ้นคชาธาร | ||
| พวกตำรวจเกณฑ์แห่อยู่แออัด | พร้อมขนัดเหล่าพวกโยธาหาญ | ||
| ก็เดินกระบวนพร้อมกันมิทันนาน | กระบัดการก็ถึงต้นพระไทร | ||
| จึ่งตำรัสตรัสถามซึ่งเสนา | ว่าสาวสวรรค์กัลยานั้นอยู่ไหน | ||
| ครั้นเหลือบเห็นนิรมลบนต้นไทร | จึ่งปราศรัยด้วยราชวาที | ||
| อนิจจาร้อยชั่งทั้งสิบสอง | ไฉนน้องจึ่งมาอยู่ที่สระศรี | ||
| ขอเชิญดวงสุดาแม่พาที | เล่าคดีชี้แจงให้แจ้งใจ ฯ | ||
| ◉ สิบสองนางได้ฟังรับสั่งถาม | ให้วาบหวามหวั่นหวาดฤทัยไหว | ||
| จะทูลความตามจริงก็อายใจ | จึงแก้ไขทูลทัดกษัตรา | ||
| ตัวข้าพี่น้องสิบสองคน | เที่ยวดั้นด้นสัญจรนอนป่า | ||
| พระชนกชนนีก็มรณา | ตัวข้าพี่น้องท้องเดียวกัน | ||
| เป็นบุญแล้วจึ่งได้พบภูวนาถ | ขอรองบาทบาทาจนอาสัญ | ||
| ทางเคลื่อนองค์ลงจากพระไทรพลัน | ทั้งสิบสองนางนั้นอัญชุลี ฯ | ||
| ◉ ปางองค์ธิบดินทร์ปิ่นกระษัตริย์ | แจ้งรหัสนึกสงสารนางโฉมศรี | ||
| พี่จะรับขวัญตาไปธานี | ครองบูรีเป็นปิ่นสนมใน | ||
| สิบสองนางกราบก้มประนมหัตถ์ | จึ่งตอบอรรถกรษัตราที่ปราศรัย | ||
| ซึ่งพระองค์กรุณาจะพาไป | ตามพระทัยมิได้ขัดพระอัชฌา | ||
| พระฟังนางจึ่งสั่งพวกชาวที่ | ให้จัดวออย่างดีอันเลขา | ||
| มาเทียบประทับรับสิบสองดวงสุดา | กัลยาสิบสององค์ขึ้นทรงวอ | ||
| เสด็จบ่ายช้างธินั่งเข้าวังเวียง | ตำรวจเรียงแห่หน้ามาสอสอ | ||
| พวกโขลนจ่าเรียงรายมาท้ายวอ | เสียงแจจอเสียดแซงแข่งกันเดิน | ||
| เหล่าถนนคนดูอยู่พรูพร่าง | บ้างก็หมอบยอบหลังสรรเสริญ | ||
| องค์กระษัตริย์รีบรัดกุญชรเดิน | จนเกือบเกินเข้าประตูพระบูรี | ||
| เสด็จถึงปราสาทราชฐาน | รับยุพานเยาวมิ่งมเหสี | ||
| ขึ้นไพชยนต์ปราสาทอาสน์รูจี | นฤบดีสุขเกษมเปรมใจ | ||
| ประทานห้องของแต่งตำแหน่งเอก | อดิเรกเตียงตู้ยี่ภู่ใหม่ | ||
| ม่านมุ้งปรุงเจือเหลือวิไล | งามประไพพื้นสรรด้วยบรรจง | ||
| ทั้งแสนสาวชาวแม่อยู่แออัด | เป็นขนัดจัดแจงแต่งเครื่องสรง | ||
| สิบสองนางพลางผลัดภูษาทรง | สำอางองค์อดิเรกในเรือนจันทน์ | ||
| ฝ่ายองค์รถสิทธิ์กรุงกระษัตริย์ | โสมนัสหฤทัยให้กระสัน | ||
| แต่ได้นางมาไว้ในวันนั้น | ให้ผูกพันประดิพัทธ์สวัสดี | ||
| แต่ครวญเคร่าเฝ้าปองจะครองสวาท | ภาณุมาศเย็นคล้อยรัศมี | ||
| ดำริพลางเสด็จจรลี | มาเข้าที่โสรจสรงคงคาลัย | ||
| สำอางองค์ทรงเครื่องสรรพเสร็จ | ด่วนเสด็จลินลาหาช้าไม่ | ||
| ส่องโคมนำหน้าแล้วคลาไคล | เสด็จถึงปรางค์ในปราสาททอง | ||
| เข้าสู่ห้องเมศราเชษฐาใหญ่ | จึ่งปราศรัยกล่าวเกลี้ยงสุนทรสนอง | ||
| พี่อยู่เดียวเปลี่ยวเทวศให้กรมกรอง | ได้ข่าวน้องค่อยคลายสบายใจ | ||
| เป็นบุพเพสันนิวาสพาสนา | เทพดานำสิบสองน้องมาให้ | ||
| พลางสัพยอกหยอกชักชายสไบ | นางปัดกรค้อนให้แล้วพาที | ||
| พระทรงเดชช่างไม่เวทนาน้อง | มาจับต้องกอดรัดน่าบัดสี | ||
| น้องเป็นชาวดงพงพี | ควรแต่รองธุลีพระบาทา | ||
| พระฟังคำนุชน้องสนองไข | ยิ่งมีใจกระสันแสนเสน่หา | ||
| เจ้าว่าไยอย่างนั้นกัลยา | บริจาข้าบาทนั้นมากมี | ||
| อย่างเช่นน้องควรประคองไว้แนบข้าง | เป็นปิ่นนางสนมให้สมศรี | ||
| พลางตระโบมโลมลูบนางเทวี | เปรมปรีดิ์ประดิพัทธ์กำหนัดใน | ||
| พระจุมพิตชิดเชยปรางทอง | ฟ้าร้องลั่นเลื่อนสะเทือนไหว | ||
| ดังมังกรคาบแก้วอยู่แววไว | สำราญใจอยู่ในห้องทั้งสองรา ฯ | ||
| ◉ พระได้ครองสิบสองสายสมร | ไม่จากจรเริศร้างเสน่หา | ||
| เป็นเวรเวียนเปลี่ยนเฝ้าทุกทิวา | พระผ่านฟ้ารักใคร่ไว้พระทัย | ||
| ถึงเวรสุดศรีลำเภาเยาวลักษณ์ | รสรักเชยชิดพิสมัย | ||
| ประทมแท่นทองรัตน์กับภูวไนย | ไม่ห่างไกลเกลียวกลมภิรมย์นาง | ||
| พระได้ครองสิบสองเสาวรส | มีพระยศเฟื่องหล้าฟ้าสว่าง | ||
| ศรีลำเภาเยาวลักขณานาง | เป็นหญิงอย่างยิ่งยอดกัลยา | ||
| นางก็เผื่อเจือจานการนุกิจ | มิได้ผิดแหนงเหตุกับเชษฐา | ||
| สิบเอ็ดนางรักน้องดังดวงตา | ความอิจฉาสิ่งใดก็ไม่มี ฯ | ||
| ◉ จะจับเรื่องทานตะวันนคเรศ | เมื่อเกิดเหตุเฟื่องฟุ้งในกรุงศรี | ||
| มะม่วงหาวมะนาวโห่เป็นโกลี | ชาวบูรีตระหนกตกใจ | ||
| สิทธิกรรม์เสนารักษาเมือง | ก็ขุ่นเคืองทุกข์ทนหม่นไหม้ | ||
| วิ่งไปยังท้องพระโรงชัย | ให้เชิญองค์อรทัยพระธิดา | ||
| ออกมายังพระโรงวินิจฉัย | แล้วทูลว่ากรุงไกรของยักษา | ||
| พญาไม้เสี่ยงทายในพารา | เป็นโกลาหาวโห่เป็นโกลี | ||
| ไพร่ฟ้าประชากรก็ร้อนรน | ตื่นตนตกใจอยู่อึงมี่ | ||
| จะโปรดปรานประการใดให้บูรี | อยู่เป็นศรีบรมสุขสนุกสบาย ฯ | ||
| ◉ พระธิดาบุตรีเมรีรัตน์ | เชื้อกระษัตริย์สมบูรณ์ประยูรสาย | ||
| สดับสารสิทธิกรรม์มาบรรยาย | โฉมฉายมีรสพจนา | ||
| ว่าดูก่อนสิทธิกรรม์อันมีศักดิ์ | นครยักษ์เคยบรมสุขา | ||
| อันยุคเข็ญเช่นนี้ที่มีมา | จงปรึกษาโหราพราหมณ์ตามบูราณ | ||
| จะสมโภชบ้านเมืองที่เคืองเข็ญ | ให้อยู่เย็นเป็นสุขสนุกสนาน | ||
| จงจัดแจงบัตรพลีพลีการ | เตรียมงานเร่งทำตามตำรา | ||
| ตรัสแล้วเสด็จคืนเข้าปรางค์มาศ | ยังนิวาสพิมานอันเลขา | ||
| สิทธิกรรม์ได้ฟังพระบัญชา | ก็ตรวจตราเตรียมงานการละคร | ||
| สั่งกรมพระสัสดีให้เกณฑ์ไพร่ | มูลนายน้อยใหญ่มาสลอน | ||
| บ้างเจาะเสาเกลาฟากถากกลอน | บ้างขุดถอนหลักตอให้ที่เตียน | ||
| บ้างขุดหลุมยกเสาเอารอดใส่ | ติดขื่อวางอกไก่มีกระเสียน | ||
| แล้วใส่แปผูกหวายใต้หัวเทียน | กลอนเปลี่ยนกันรายเอาปลายลง | ||
| มุงจากลากเอาแต่ห่างห่าง | หอขวางหอรีที่สระสรง | ||
| โรงโขนหมายจ่ายเกณฑ์พะทำมะรง | เร่งบรรจงตบแต่งให้แนบเนียน | ||
| แปดตำรวจนายด้านจัดการเกณฑ์ | ชัดเจนตรวจตราหาเสมียน | ||
| จ่ายคนเลกด้านดาษเดียร | ที่หลบหนีตีเฆี่ยนเอาตัวมา | ||
| ที่บอกป่วยฉวยตัวเมียมาได้ | เกาะไว้เร่งเอาผัวให้มาหา | ||
| ที่ติดการภารธุระจะทำนา | เสียเงินตราจ้างคนให้แทนตัว | ||
| แก่ชราตาเฒ่าชาวบ้านนอก | ให้จักตอกเหลาหวายจ่ายให้ทั่ว | ||
| ลาวระดมสมส่งไปโรงครัว | เกณฑ์หัวสิบไว้ให้กำชับ | ||
| น้ำกับฟืนพื้นเหล่าพวกชาวบก | ตะวันตกเกณฑ์ยกให้เสร็จสรรพ | ||
| แม้นโตกจานพานหายให้นายรับ | เร่งกำชับกวดขันกันสักคราว | ||
| เจ้าภาษีเกณฑ์มาล้วนหน้าใหญ่ | เอาหมูไก่มาประจำทำกำหลาว | ||
| โรงครัวเตรียมการทั้งหวานคาว | ทั้งไพร่บ่าวพร้อมสรรพลำดับการ | ||
| ถึงวันดีฤกษ์งามยามมีโชค | ต้องโฉลกโหรกล่าวไม่ร้าวฉาน | ||
| เชิญเสด็จพระธิดายุพาพาล | ยังอุทยานสวนขวัญอันอุดม | ||
| นางเสด็จลีลาพลับพลาสวน | โดยกระบวนด้วยสุรางค์นางสนม | ||
| ทัศนาโรงงานการนิยม | อันอุดมด้วยเครื่องเรืองระยับ | ||
| พระโหรเฒ่าพฤฒาแท้แกตัวดี | ตั้งบัตรพลีบายศรีแล้วเสร็จสรรพ | ||
| วางบนศาลเพียงตาโดยคำนับ | พร้อมกับข้าวปลาสุราริน | ||
| ควายวัวหัวหมูคู่บายศรี | แว่นเวียนเทียนดีก็เสร็จสิ้น | ||
| จุดธูปเทียนเชิญเทพเทวินทร์ | เจิมกระแจะรสกลิ่นสุคนธา | ||
| แก้บนอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ | พระเสื้อเมืองเรืองฤทธิ์ทุกทิศา | ||
| เชิญสิงสู่อยู่บนต้นอัมพา | ทั้งพญารุกขมาศชาติมะนาว | ||
| แต่นี้ไปสองไม้พญาพฤกษ์ | อย่าอึกระทึกโทโสร้องโห่หาว | ||
| จงอยู่เย็นเป็นสุขให้ยืดยาว | สิ้นที่กล่าววอนไหว้แล้วเวียนเทียน | ||
| ฆ้องชัยลั่นเสียงสำเนียงโห่ | ให้ไชโยเวียนแว่นฉวัดเฉวียน | ||
| มโหรสพโขนเรื่องรามเกียรติ์[1] | ทศเศียรลักสีดาพาเหาะไป | ||
| พบราชปักษี | เข้าโฉบตีจะแย่งนางให้ได้ | ||
| ราพณ์ร้ายไม่มีความละอายใจ | ถอดแหวนก้อยนางใส่นั้นขว้างมา | ||
| ถูกพญาสกุณาจนปีกหัก | แทบจักสิ้นชีวังสังขาร์ | ||
| อิเหนาเล่นไปเมืองมะละกา | ลงเภตราชักใบไปทันที | ||
| งิ้วเล่นสี่โรงเข้าสมทบ | จับเมื่อโจโฉแตกจิวยี่[2] | ||
| พะบู๊หกคะเมนล้วนเจนดี[3] | จุดประทัดอึงมี่ลอดบ่วงไฟ | ||
| หุ่นเล่นจองสนนขนศิลา | หนุมานไล่คว้ามัจฉาได้ | ||
| ฝูงมัจฉาคาบศิลามาคืนไว้ | พระรามยกข้ามไปเมืองลงกา | ||
| ทวายรำร้องทะแยออกแซ่เสียง | ทำอ่อนเอียงซัดแขนแอ่นซ้ายขวา | ||
| พวกไต่ลวดถือหางมยุรา | ทั้งทัดทาโมงครุ่มรุมล้อมวง | ||
| พวกแม่ค้านั้นนั่งรายขายหวานคาว | บุหรี่ยาวลูกบัวถั่วยะสง[4] | ||
| ร้านสุราขายหมี่นั้นมีธง | ตามจำนงพวกมาดูซื้อสู่กิน | ||
| หญิงชายประชาชนคนดูงาน | บ้างอุ้มลูกจูงหลานมาหมดสิ้น | ||
| เที่ยวงานแสบท้องซื้อของกิน | แลดูสิ้นเห็นสนุกไปทุกโรง | ||
| ชาวบ้านนอกขอกนามาอึงมี่ | ห่มแพรสีต่างต่างดูโอ่โถง | ||
| พอเย็นย่ำกำลังน้อยก็ลาโรง | เสียงเกราะโกร่งโรงหนังตั้งกระบวน | ||
| ทั้งสองนายชูเชิดดูเฉิดฉาย | รูปนารายณ์เรืองฤทธิ์มหิศวร | ||
| เบิกหน้าพระปล่อยลิงชิงกระบวน | ทั้งสองล้วนฤทธิ์แรงไม่แพ้กัน | ||
| ลิงขาวโดดกัดมัดด้วยหาง | ท่าทางเรี่ยวแรงดูแข็งขัน | ||
| จูงข้างหน้าพาลัดไปวัดพลัน | พระนักธรรม์ขอโทษโปรดปล่อยลิง | ||
| พวกดูงานรื่นเริงบันเทิงจิต | เที่ยวพินิจพิศดูไปทุกสิ่ง | ||
| เสร็จสมโภชธานีนั้นดีจริง | ไม้ก็นิ่งหาวโห่ไม่โกลา | ||
| นางเสด็จยังนิเวศเขตสถาน | พอนางมารสุนนทายักษา | ||
| กลับมาเมืองรู้เรื่องว่าธิดา | ให้สมโภชพาราก็ยินดี | ||
| ประคององค์ลูกแก้วแล้วรับขวัญ | แม่ดวงจันทร์แจ่มฟ้าทุกราศี | ||
| ช่างรอบคอบรอบรู้การบูรี | ประกอบปรีชาฉลาดนั้นเหลือใจ | ||
| ควรจะมอบสมบัติพัสถาน | เมืองมารนี้แม่จะมอบให้ | ||
| จงอยู่ครองพระสนมกรมใน | ทั้งกำพตฤทธิไกรกับห่อยา | ||
| จงรับไว้เป็นมหาศาสตราวุธ | รณรงค์ยงยุทธ์ไปข้างหน้า | ||
| กำพตพิษฤทธิไกรดังไฟฟ้า | หนึ่งห่อยานี้สำเร็จมโนปอง | ||
| ประสมเนตรฤๅจะนึกเอาแม่น้ำ | ตามจะทำได้ดังฤทัยสนอง | ||
| อันกรุงไกรโฉมตรูจงอยู่ครอง | แม่นี้ปองฆ่านางสิบสองคน | ||
| แม้นพบเข้าที่ไหนจะไล่ฆ่า | ให้มรณายับย่อยเป็นฝอยฝน | ||
| ค่อยอยู่เถิดแม่จะลาอย่ากังวล | นฤมลแก้วแม่อย่าโศกา | ||
| นางเมรีฟังคดีมารดาสั่ง | น้ำตาหลั่งกราบบาททั้งซ้ายขวา | ||
| รับกำพตปรากฏทั้งห่อยา | ทั้งโศกาอาดูรด้วยมารดร | ||
| สุนนทาสั่งธิดายุพาพักตร์ | ประยูรยักษ์วงศ์ญาติสลอน | ||
| ต่างโศกเศร้าโศกาด้วยอาวรณ์ | เพราะนางมารจะจรไปแรมไกล | ||
| อสุรีสั่งเสร็จสำเร็จแล้ว | ก็คลาศแคล้วไคลคลาหาช้าไม่ | ||
| นึกขัดใจพระอาจารย์ชาญชัย | ออกแก้ไขป้องกันสิบสองนาง | ||
| จึงอ่านมนต์จินดามหาเวท | อุดมเดชนึกได้ไม่ขัดขวาง | ||
| เหาะทะยานผ่านเมฆในนภางค์ | ลอยคว้างกลางหาวราวกับลม | ||
| ลอยฟ้าทัศนาทั่วทวีป | แล้วก็รีบลงมายอดคีรีสม | ||
| ไม่เห็นนางทั้งสิบสองดังนิยม | ก็ปรารมภ์หฤทัยอยู่ไปมา | ||
| จึงนึกได้ร่ายมนต์อันประสิทธิ์ | โดยฤทธิ์อิทธิเวทแห่งยักษา | ||
| เรียกพระพายมาใกล้แล้วนนทา | มีวาจาถามไปในทันที | ||
| อันนางสิบสองนั้นอยู่ไหน | จงแถลงแจ้งไปให้ถ้วนถี่ | ||
| องค์พระพายได้ฟังอสุรี | แจ้งคดีไปสำนักพระอาจารย์ | ||
| แล้วก็พากันไปจากพระมุนี | นั่งบนที่กิ่งไทรทิศอีสาน | ||
| ในกรุงไกรบรมจักรพาล | จอมนิเวศนเรศสถานผ่านพารา | ||
| นามกรรถสิทธิ์อิศเรศ | มารับไปพระนิเวศครองยศถา | ||
| เป็นเอกอัครนารีศรีสุดา | จงแจ้งหัทยาของนางมาร | ||
| บอกแล้วเทวาพายุวาต | คืนยังพิมานมาศอันไพศาล | ||
| ฝ่ายว่าสุนนทาอสูรมาร | แจ้งการยักษีก็ดีใจ | ||
| จึงเหาะลงตรงกรุงไกรจักร | ยังตำแหน่งแหล่งหลักพระไทรใหญ่ | ||
| เนรมิตกายาแล้วคลาไคล | เป็นมนุษย์เดินไปในพารา | ||
| นั่งอยู่ริมสระที่ร่มไม้ | ทำเหมือนนางชาวไร่มาแต่ป่า | ||
| ครั้นเห็นคนพลเมืองนั้นเดินมา | กินอาบธาราในสระนั้น | ||
| นางมารจึ่งเข้าไปทายทัก | ผูกรักแยบคายหมายมั่น | ||
| ไถ่ถามเอาความที่สำคัญ | ครั้นนั้นได้ยินข่าวเล่าลือไป | ||
| ว่าพระเจ้าไกรจักรภูวดล | ได้นางสิบสองคนนั้นที่ไหน | ||
| ข้าเป็นชาวป่าพนาลัย | อยากจะใคร่รู้เรื่องของนารี | ||
| ประชาชนชาวเมืองทั้งหญิงชาย | มิได้รู้แยบคายว่ายักษี | ||
| นึกว่าเป็นชาวป่าพนาลี | จะไม่รู้คดีสิ่งอันใด | ||
| จึงบอกว่าเออเจ้าชาวบ้านนอก | ยังไม่รู้เราจะบอกเรื่องราวให้ | ||
| จอมกระษัตริย์ได้หญิงที่กิ่งไทร | เอาไปไว้เป็นเอกกัลยา | ||
| โปรดปรานประทานทั้งเงินทอง | ข้าวของสมบัติแล้วสถา[5] | ||
| ด้วยรูปทรงส่งศรีเข้าโสภา | วาสนาถึงเข้ากับเจ้านาย | ||
| สุนนทาฟังแสดงก็แจ้งเหตุ | จึงสังเกตโดยนิยมว่าสมหมาย | ||
| ก็เสสรวลชวนมนุษย์ทั้งหญิงชาย | พูดภิปรายแล้วก็ไปดังใจปอง | ||
| ครั้นราตรีนางยักษ์สำนักไทร[6] | ประจุสมัยไก่ขันสนั่นก้อง | ||
| จวนจะแจ้งแสงใสอุทัยทอง | ก็ตรึกตรองยักย้ายอุบายกล | ||
| สุนนทาทิ้งยาลงในสระศรี | เป็นบัวผุดในวารีมีดอกผล | ||
| แล้วอ่านเวทจินดามหามนต์ | บันดาลตนเป็นสุดากุมารี | ||
| สถิตในดอกบัวกลั้วเกสร | อรชรชุ่มแช่ชลศรี | ||
| ด้วยดอกบัวสำหรับสระนั่นเดิมมี[7] | บัวของนางอสุรีอยู่กลางกอ | ||
| กลีบสดปรากฏด้วยศรีแสง | ดอกแดงเขียวสลับอยู่กับหน่อ | ||
| ทั้งโตใหญ่ใบบังช่างลออ | งามพอใจคนเมื่อยลงาม ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงทาสีที่ในวัง | ครั้นได้ยินเสียงระฆังเมื่อยามสาม | ||
| ชวนกันตื่นแต่งแง่แต่พองาม | ถือกระออมเดินตามกันคลาไคล | ||
| ถึงสระศรีดีใจลงในสระ | ก็อาบน้ำชำระสระเกศา | ||
| เห็นดอกบัวสะพรั่งหลังคงคา | ดอกหนึ่งใหญ่กว่าทั้งปวงนั้น | ||
| ต่างคนดลใจจะใคร่ได้ | ก็โผไปชิงชักหักสะบั้น | ||
| ยังไม่ได้ดอกดีที่สำคัญ | แต่ชวนกันวนเวียนเพียรอยู่นาน | ||
| น้ำนั้นลึกซึ้งไม่ถึงดิน | สุดว่ายป่ายปีนไปเด็ดก้าน | ||
| ก็พากันขึ้นจากชลธาร | ตักน้ำไปบ้านเข้าในวัง | ||
| ต่างคนมาถึงก็อึงอื้อ | บอกกล่าวเล่าลือกันไปบ้าง | ||
| เฒ่าแก่มูลนายครั้นได้ฟัง | โด่งดังได้รู้ถึงภูมี | ||
| พระซักไซ้ไล่เลียงเอาถ้อยคำ | เห็นแม่นยำถ่องแท้แก่ทาสี | ||
| ให้หาตัวเข้ามาทุกนารี | ฟังคดีจะต้องกันหรือฉันใด | ||
| ถ้าเอาความมุสามาทูลแถลง | ไม่ประจักษ์จริงแจ้งที่ตรงไหน | ||
| จะผูกเข้าเฆี่ยนขับให้ยับไป | สาแก่ใจมันเอาเท็จมาเจรจา | ||
| อีทาสีสี่ห้าคนสดับสาร | พระภูบาลคาดโทษไว้นักหนา | ||
| จึงกราบทูลตามมูลกิจจา | ข้าลงไปสู่ท่าชลาลัย | ||
| ทั้งห้าคนก็ได้เห็นพร้อมกันหมด | ดอกสัตตบงกชอันสุกใส | ||
| อยู่กลางสระดูเป็นทองผ่องวิไล | เหมือนอุทัยไขสว่างกลางวารี | ||
| ถ้าไม่สัตย์จริงจังเหมือนยังว่า | ลงอาญาแล้วให้ส่งไปโรงสี | ||
| ด้วยโทษผิดสับปลับกับภูมี | ขอจงทราบใต้ธุลีบทมาลย์ ฯ | ||
| ◉ พระฟังทาสีทูลมูลเหตุ | ภูวเรศมีพระทัยใสศานต์ | ||
| จึงตำริตริตรองทำนองการ | ประทุมมาลย์นี้เกิดเพราะบุญญา | ||
| จึ่งตรัสสั่งกรมช้างผูกกุญชร | ขุนนางหมอบสลอนก้มเกศา | ||
| รับสั่งบังคมแล้วไคลคลา | ออกมาผูกช้างระวางใน | ||
| นำมาเทียบประทับกับเกยลา | พระผ่านฟ้ารีบเสด็จหาช้าไม่ | ||
| ขึ้นเกยเลยทรงคชไกร | ภูวไนยให้ขับซึ่งกุญชร | ||
| ช้างทรงขององค์รถสิทธิ์ | เชิงชิตชำนาญชาญสมร | ||
| ย่างบาทยาตรเยื้องบทจร | พาพระภูธรจากวังใน | ||
| ครั้นถึงจึงมีบัญชาการ | พนักงานบังคมก้มไสว | ||
| ให้หยุดช้างพระธินั่งด้วยทันใด | เสนาในหมอบรอบสโรชา | ||
| พระเสด็จจากช้างธินั่งทรง | แลเห็นดอกบุษบงอันเลขา | ||
| งามล้ำเล่ห์ทิพย์ประทุมมา | พระผ่านฟ้าแสนถวิลยินดี | ||
| จอมกระษัตริย์ผลัดผ้าภูษาทรง | พระประสงค์จะลงในสระศรี | ||
| เห็นดอกบัวผุดผ่องในนที | บัวยักษีลอยไล่ใกล้พักตรา | ||
| พระก็หยิบขึ้นดูชูชมรส | ปรากฏงามล้ำในแหล่งหล้า | ||
| พระเสด็จยุรยาตรคลาศคลา | ขึ้นทรงไอยราเข้าธานี | ||
| ครั้นถึงจึงเสด็จเข้าปรางค์มาศ | ขึ้นนั่งแท่นแสนสวาทเกษมศรี | ||
| พอบัวแย้มพระเห็นก็กุมารี | พระภูมีโอบอุ้มกัลยา | ||
| เป็นกุศลหนหลังเราทั้งสอง | เผอิญให้น้องมาอยู่ในบุปผา | ||
| สัพยอกหยอกเย้าอยู่ไปมา | สุดแสนเสน่หาอาลัย | ||
| นางมารแสร้งปัดสลัดกร | ชำเลืองเนตรคมค้อนแล้วปราศรัย | ||
| อนิจจาช่างคุมเหงไม่เกรงใจ | น้องไร้ญาติวงศ์แลพงศ์พันธุ์ | ||
| พระฟังสุนทรถ้อยดังฝอยฝน | ต้องสกนธ์ซาบใจให้กระสัน | ||
| จึงมีรสวาจาว่าดวงจันทร์ | เจ้าผู้ขวัญเมืองมิ่งอย่ากริ่งใจ | ||
| เป็นบุญแล้วแก้วตามาประสบ | จะเลื่อนหลบหลีกหนีพี่ไปไหน | ||
| เป็นบุญพี่กับนางได้สร้างไว้ | จึงมาได้พบกันในวันนี้ | ||
| พี่จะเสกให้เป็นเอกอัครฐาน | ครอบครองสิงคารเกษมศรี | ||
| เจ้าอย่าคิดสลัดตัดไมตรี | แก้วพี่อย่าหมางระคางเคือง[8] | ||
| ว่าพลางทางประโลมเยาวลักษณ์ | เชยพักตร์ชมศรีฉวีเหลือง | ||
| มารยายักษ์ผลักหัตถ์ทำขัดเคือง | ยักเยื้องสลัดกายไม่ไยดี | ||
| แต่แรงราคอยากนิยมจะชมรส | แกล้งถอยถดทีเหมือนจะเบือนหนี | ||
| จึงกล่าวรสพจนาว่าภูมี | มาด่วนตีมัจฉาต่อหน้าไซ | ||
| พระเป็นมิ่งโมลีบุรีรมย์ | อันจะไร้นักสนมอย่าสงสัย[9] | ||
| ที่ดีดีมีเอกก็ถมไป | จะมาเห็นอะไรกับน้องนี้ | ||
| อันคนอยู่ในสัดจองล่องลอยมา | จะร่วมรสเสน่หาน่าบัดสี | ||
| ครั้นนานหน่อยค่อยคลายที่ยินดี | จะมีแต่เทวศช้ำระกำใจ | ||
| เชิญพระองค์เอาไปส่งเสียที่สระ | เหมือนปล่อยปละเต่าปลาลงท่าใหญ่ | ||
| ไม่ควรคู่จะมาอยู่กับภูวไนย | ด้วยน้องไซร้ไร้ญาติประยูรวงศ์ ฯ | ||
| ◉ อนิจจาเยาวยอดผกาสรรค์ | เพราะบุญทันจึงมาปะที่สระสรง | ||
| ทำถ่อมตัวกลัวไฉนยุพยง | พี่นี้จงใจรักภคินี | ||
| ถึงไร้ญาติก็ย่อมแจ้งว่าสาวสวรรค์ | เจ้าดวงจันทร์เกิดในสระกระสินธุ์ศรี | ||
| ควรเป็นปิ่นกษัตราในธานี | เฉลิมศรีสมบูรณ์กษัตรา | ||
| ขอเชิญเจ้าเนาในบนแท่นที่ | ให้เปรมปรีดิ์เป็นบรมสุขา | ||
| แม้นน้องรักหักรสภิรมยา | อันชีวาพี่จะวางลงกลางรัก | ||
| ว่าพลางกางกรเข้าช้อนองค์ | วางลงเพลาพลางนางก็ผลัก | ||
| ไพล่พลิกหยิกข่วนกระบวนยักษ์ | ทำปัดผลักคมค้อนงอนกระบวน | ||
| พระองค์จะมาทำให้ช้ำจิต | กิตติศัพท์ลือเลื่องเครื่องคนสรวล[10] | ||
| แต่กองกรรมนำให้ประจวบจวน | พระมาด่วนโดยได้ไม่เมตตา | ||
| ไหนไหนก็ได้พามาถึงนี่ | ไม่รู้ที่จะหักห้ามเสน่หา | ||
| ใช่จะแข็งขืนขัดวัจนา | แม้นโกรธาน้องจะยับลงกับกร | ||
| ถ้าแม้นทรงเมตตากับข้าบาท | จงประสาทความสัตย์โดยนุสรณ์ | ||
| ขอพระเดชภูวเรศประทานพร | ตามสุนทรข้าน้อยเจตนา | ||
| อันสิ่งใดอยู่ในอาณาเขต | ที่น้องรักจงเจตนาหา | ||
| จะทูลขอพระอย่าขัดซึ่งอัชฌา | กระนั้นและเห็นว่าพระปรานี | ||
| ถ้าพระไม่โปรดปรานประทานพร | ถึงม้วยมรณ์ฆ่าเข่นให้เป็นผี | ||
| มิร่วมประดิพัทธ์ด้วยภูมี | ถ้าปรานีจงประทานสัตยา ฯ | ||
| ◉ รถสิทธิ์ได้ฟังกำลังหลง | งวยงงพระเวทอียักษา | ||
| นางชะอ้อนวอนกล่าวเป็นมารยา | ก็เยื้องหาว่าไปไม่ทันคิด | ||
| ว่าเจ้าแม่แน่แล้วจะให้สัจ | ไม่ข้องขัดเลยนะแม่แต่สักหนิด | ||
| ของสิ่งใดในขัณฑ์ขอบอยู่รอบชิด[11] | ที่เป็นสิทธิ์อยู่ในศักดิ์สุริวงศ์ | ||
| แม้นเจ้าออกโอษฐ์ขอจะยอยก | อย่าวิตกที่น้องต้องประสงค์ | ||
| เว้นดวงจันทร์พระอาทิตย์ฤทธิรงค์ | สุดจะปลงปลิดให้ได้ดังใจ | ||
| แต่นอกนั้นพี่มิได้ให้ข้องขัด | ความกำหนัดรักน้องจะหาไหน | ||
| หลงระเริงเชิงอีมารนั้นพ้นไป | เคล้นไคล้คลึงเคล้าเยาวลักษณ์ | ||
| นางสุนนทามารก็สมหมาย | ระทวยกายอ่อนกระบวนไม่ควรผลัก | ||
| กำเริบราคร้อนระคนทุรนรัก | พยศยักยั่วยวนให้ป่วนใจ[12] | ||
| พลางร่ายมนต์จินดามหาเสน่ห์ | เล่ห์กระเท่ห์เป่าพระองค์ให้หลงใหล | ||
| พระจอมภพกลบกลุ้มในฤทัย | รักใคร่มืดมัวทั่วอินทรีย์ | ||
| ถนอมนางวางแท่นแสนสวาท | สัมผัสกายสมพาสเกษมศรี | ||
| รูปนิมิตงามสนิทเสน่ห์ดี | แต่ท่วงทีอำมหิตติดคะนอง[13] | ||
| อย่างเยี่ยงม้าพยศที่ตัวดี | เร็วรี่เบานักชักผยอง | ||
| เต้นน้อยบางทีมีลำพอง | ผยองย่องหกกลับเต้นหรับรัว | ||
| จ้วงฝีเท้าเดินหยกหกหน้าหลัง | กระทืบโกลนโผนดังสนั่นทั่ว | ||
| ขยับแส้ทำชม้อยคอยจะกลัว | เต้นรัวเหยาะย่ำทำพยศ | ||
| กระทืบแผงแกว่งแส้ก็แหย่ท้าย | หน้าหงายเงยแหงนแอ่นกระชด | ||
| ถ้ารู้ทันแก้ดีที่พยศ | ได้รู้รสว่าฝีมือไม่ดื้อดึง | ||
| จะยักย้ายซ้ายขวาท่าทางเต้น | โผนเผ่นเล่นโลดโดดทะลึ่ง | ||
| ถ้าควบขับชอบใจไปตะบึง | กระทั่งถึงสำนักชั่วพักม้า | ||
| ประมาณเหมือนเสมอสมรมิตร | เชยชิดเชิงชวนกระบวนหา | ||
| อันเรื่องรักนั้นจักร่ำพรรณนา | จะเนิ่นช้าต้องตัดหลีกลัดเลย ฯ | ||
| ◉ พระจอมภพลบโลกนาถา | ตั้งแต่ได้สุนนทามาเคียงเขนย | ||
| แสนรักร่วมภิรมย์อยู่ชมเชย | ช่างงมงายไปไม่เงยด้วยมารยา | ||
| ด้วยหลงรักนางยักษ์ลืมสนม | เชยชมรูปนิมิตผิดภาษา | ||
| ลืมทั้งสิบสองกัลยา | ถึงขึ้นเฝ้าผ่านฟ้าไม่ไยดี | ||
| สิบสองนางพี่น้องนั้นครรภ์แก่ | ก็ลือแซ่ซุบซิบทั้งปรางค์ศรี | ||
| จึงได้รู้ไปถึงหูอสุรี | ยิ่งให้มีอิจฉาวิญญานัก | ||
| นางสุนนทามารให้ดาลโกรธ | หฤโหดก็เพราะใจอัปลักษณ์ | ||
| แต่หากไทเทวาสุรารักษ์ | มาพิทักษ์รักษาทุกนารี | ||
| แต่ตำริตริปองจะปองผลาญ | ให้สิบสองเยาวมาลย์นั้นเป็นผี | ||
| จึงอุบายแยบคายอสุรี | ทำทีป่วยไข้ใช้มารยา | ||
| เข้าประทมเอาผ้าห่มแล้วเมื่อยมื่น[1] | ประหนึ่งไม่มีชื่นทำโหยหา | ||
| ให้ปวดเศียรเวียนวิงทั้งนัยนา | โรยราอาเจียนเหียนหาวลม | ||
| สะอึกไอหายใจก็ไม่คล่อง | กายสะดุ้งพุงพองให้ปากขม | ||
| เบื่ออาหารเห็นเข้าให้เป็นลม | อยากแต่นมเนยเนื้อนั้นเหลือใจ | ||
| ประทมเหนือแท่นทองทำร้องคราง | สนมนางเข้าไปเยี่ยมก็ไม่ได้ | ||
| ร้องครางครวญคร่ำร่ำไร | ถอนใจให้สะท้อนอ่อนทั้งกาย | ||
| ฝ่ายองค์รถสิทธิ์อิศเรศ | ครั้นสนธเยศสิ้นศรีพระสุริยฉาย | ||
| เสด็จยังห้องแก้วอันแพรวพราย | เคียงสายสุนนทาอสุรี | ||
| ทัศนาเห็นน้องนั้นหมองหมาง | ครวญครางกำสรดสลดศรี | ||
| ทางประคองต้ององค์พระเทวี | ยังอ่อนอุ่นอินทรีย์ทั้งกายา | ||
| นางมารมารยาพระอย่าต้อง | ตัวน้องปวดเจ็บเหน็บนักหนา | ||
| พระคุณเอ๋ยสุดจะทนพ้นปัญญา | ในอุราเพียงจะแยกแตกกระจาย | ||
| พระได้ฟังนั่งถามด้วยสงสัย | เจ็บที่ไหนบอกให้แจ้งเถิดโฉมฉาย | ||
| ปวดกระดูกในตัวทั่วทั้งกาย | โอ้เจ้าสายสวาสดิ์พี่นี้เป็นไร | ||
| ความเจ็บของน้องนี้เหลือทน | นิรมลเจ็บปวดจะนวดให้ | ||
| พระอย่าต้องเหมือนหนองอยู่ข้างใน | เหลืออาลัยเมียขืนสุดชื่นชู ฯ | ||
| ◉ พระให้หาหมอหลวงมาสะพรั่ง | ก็มานั่งพรั่งพร้อมกันเป็นหมู่ | ||
| หมอนวดหมอยาก็มาดู | ก็ไม่รู้จักเหตุว่าเพทใด | ||
| นางมารมารยาหลับตาคราง | พระคุณเอ๋ยอย่าหมางกมลไหม้ | ||
| สองกรค่อนทรวงเข้าร่ำไร | ร้องไห้ร่ำรักพระภูวดล | ||
| พระได้ฟังสั่งให้หมอหายาแก้ | หมอก็แซ่กันเข้ามาน่าฉงน | ||
| ถวายยาหลายขนานแล้วบานบน | ทั้งน้ำมนต์น้ำมันสุคันธ์เคียง | ||
| เสวยยาหลายขนานบันดาลโรค | รากโอ๊กร้องครางจนสุดเสียง | ||
| จอมกระษัตริย์โลมเล้าเข้านั่งเคียง | ครางก็เสียงอ่อนลงแต่คงคราง | ||
| พลางชะอ้อนวอนว่าทำอ้อยอิ่ง | พระก็พิงแนบน้องประคองข้าง | ||
| ยักษ์ร้ายสำออยตะบอยคราง | แม้นพระวางครางก็ดังช่างสำออย | ||
| จอมกระษัตริย์หลงกลสุนนทา | ด้วยมนตราเข้าประจำนั่งคลำป้อย | ||
| เตือนให้เมียเงยเสวยแต่สักน้อย | พอใส่ปากรากก็พลอยไม่ลงคอ | ||
| สุนนทาแต่งกลแล้วเยื้องยัก | ว่าพระจักไม่ช่วยเมียเสียแล้วหนอ | ||
| ให้ร้อนอกหมกไหม้อยู่ในคอ | น้องจะขอลาองค์พระทรงชัย | ||
| ในชาตินี้มีกรรมน้องจำลา | ไปชาติหน้าขอให้พบพระองค์ใหม่ | ||
| พระองค์จงรับรับว่าไว้ | มิได้สนองคุณพระภูบาล | ||
| ซึ่งข้าน้อยผิดพลั้งแต่หลังมา | อย่าเป็นเวรเวรากระหม่อมฉัน | ||
| ให้ทนทุกข์เวทนาอยู่ช้านาน | จงประทานโทษาได้การุญ ฯ | ||
| ◉ รถสิทธิ์ได้ฟังนางสั่งว่า | ดังศรศักดิ์ปักอุราให้เคืองขุ่น | ||
| โอ้ขวัญเนตรน้องทองนพคุณ | จะตัดสูญไมตรีทิวาวัน | ||
| อียักษีแปลงแสร้งทำกลมารยา | หลับตาประหนึ่งว่าจะอาสัญ | ||
| รถสิทธิ์ค่อนอุราเข้าจาบัลย์ | นางมารนั้นลืมเนตรทูลทันที | ||
| จะเป็นกรรมอะไรไม่พอหู | เมื่อสักครู่หลับตาเห็นฤๅษี | ||
| มาบอกยาอาหารขนานดี | ว่านัยน์ตานารีสิบสองนาง | ||
| ให้เอามาประกอบยามหาวิเศษ | ที่อาเพศโรคภัยจะได้สว่าง | ||
| จะเอาได้อย่างไรนัยน์ตานาง | เป็นสุดอย่างแล้วพระองค์จงปรานี | ||
| พระได้ฟังกำลังมนต์เข้าดลจิต | จึ่งตอบมารมิ่งมิตรมเหสี | ||
| อนิจจานงลักษณ์ภคินี | การเท่านี้พลางไว้ไม่บอกกัน | ||
| อย่าว่าแต่นัยนานางสิบสอง | จะต้องการก็คงได้ดอกสาวสวรรค์ | ||
| อย่าทุกข์ร้อนอาวรณ์เลยเท่านั้น | ตรัสแล้วทรงธรรม์ก็บัญชา | ||
| กรมท่าไปหาหมอฝรั่งนอก | ให้ล่ามบอกชี้แจงเข้ามาหา | ||
| จะให้ควักนัยน์เนตรประกอบยา | ก็พามาเฝ้าองค์พระทรงชัย | ||
| จึ่งมีพระราชบัญชาการ | กับเถ้าแก่พนักงานหาช้าไม่ | ||
| นำสิบสองกัลยาคลาไคล | ก็รีบไปหาหมอด้วยทันที | ||
| ให้กินเหล้าอย่างฝรั่งทั้งพี่น้อง | นางสิบสองเมาตึงพอถึงที่ | ||
| ไม่รู้สึกสิ้นสมประฤดี | ทุกนารีซอนซบสลบลง | ||
| ฝรั่งหมอควานควักชักดวงเนตร | ทั้งสิบเอ็ดอัคเรศที่ประสงค์ | ||
| แต่ลำเภาสุดท้องน้องโฉมยง | พระองค์ให้ควานควักจักษุเดียว | ||
| ประสมยาทาตานางสิบสอง | เจ็บร้องโศกาจนหน้าเขียว | ||
| ชลนัยน์ไหลกระเซ็นลงเป็นเกลียว | จะแลเหลียวมืดมนอนธการ | ||
| ให้อยู่ในอุโมงค์ตรงท้องนา | ที่ริมป่าพงไม้ใกล้เรือนบ้าน | ||
| สิบสองคนทนเทวศมาเนานาน | น่าสงสารแสนลำบากยากใจ | ||
| หมอฝรั่งแสนฉลาดเหมือนบาทหลวง | เมื่อควักดวงนัยนาเอามาได้ | ||
| ล่ามก็พามาเฝ้าพระภูวไนย | ท้าวไทรับตาแล้วพาจร | ||
| มานั่งแนบแอบนางสุนนทา | ส่งนัยน์ตานั้นให้กับสายสมร | ||
| นี่แนะเจ้าดวงสุดาพะงางอน | จงยื่นกรรับแก้วนัยนา ฯ | ||
| ◉ นางสุนนทามารประสานหัตถ์ | โสมนัสรับเนตรด้วยหรรษา | ||
| เก็บไว้มิดปิดมั่นด้วยสัญญา | ครั้นลับตาจอมกระษัตริย์ผู้สามี | ||
| จึ่งอ่านเวทจินดามหามนต์ | เรียกพระพายเดินหนมาปรางค์ศรี | ||
| นางยื่นเนตรส่งไปในทันที | แล้วจึงมีพจนาว่าไป | ||
| เราฝากตานางสิบสองของประสงค์ | ไปถึงองค์พระธิดาอย่าช้าได้ | ||
| แล้วจารึกสาราให้พาไป | ถึงอรไทเมรีผู้ธิดา | ||
| พระพายรับของฝากรำพากพัด | เป็นลมจัดพัดฮือกระพือกล้า | ||
| ก็ลุกรุงทานตะวันนครา | วางนัยน์ตากับสาราให้ทันที | ||
| พระเยาวลักษณ์อัคเรศสังเกตได้ | ก็รับไว้แล้วก็อ่านซึ่งสารศรี | ||
| ว่านัยน์ตานางสิบสองของทั้งนี้ | ให้เทวีรับไว้ดังจินดา | ||
| ครั้นนางแจ้งเหตุรหัสสั่ง | นางร้อยชั่งสั่งสนมให้ห่อผ้า | ||
| แล้วห้อยไว้ใต้เพดานที่หลังคา | ตามคำสั่งมารดาทุกสิ่งอัน ฯ | ||
| ◉ น่าสงสารเยาวมาลย์ทั้งสิบสอง | เฝ้าแต่กรองเวทนาเพียงอาสัญ | ||
| อยู่ในอุโมงค์มาก็นานครัน | แต่จาบัลย์กัลหายไม่วายครวญ | ||
| อดอาหารการกินดิ้นประดัก | มาตกคลักครวญคร่ำให้กำสรวล | ||
| นัยน์ตามืดฝืดเคืองเรื่องรัญจวน | เสียนวลน่าอนาถประสาทครัน | ||
| ไม่มีใครที่จะได้อุปถัมภ์ | ทารกรรมกายเกินจะปลักปล้ำ | ||
| จะหากินก็ไม่มีที่จะทำ | มีแต่ร่ำซานซมอยู่งมงาย | ||
| นางลำเภาเยาวยอดขนิษฐ์น้อย | กำสรดสร้อยเศร้าใจไม่รู้หาย | ||
| ตายังมีข้างเดียวเที่ยวถ่อกาย | ขวนขวายแต่จะหาอาหารกิน | ||
| ตื่นแต่เช้าเข้าป่าหาลูกไม้ | กล้วยกล้ายหักมุกทุกสิ่งสิ้น | ||
| มังคุดละมุดมะยมลูกพรมอิน | มะเดื่อดินส้มโอตะโกนา | ||
| โฉมเฉลาเจ้าเก็บใส่กระจาด | แล้วลีลาศเลียบเดินตามเนินผา | ||
| พอสายัณห์ตะวันลับก็กลับมา | ถึงอุโมงค์ลงไปหาสิบเอ็ดนาง | ||
| แจกให้พี่ตามมีที่หาได้ | พอทาไส้จานเจือที่ขัดขวาง | ||
| สิบเอ็ดคนทนเทวศก็ร้องคราง | จนรูปร่างนั้นผิดศรีฉวีวรรณ | ||
| สงสารแต่เมศรานิจจาเจ้า | ยิ่งโศกเศร้าโศกาแทบอาสัญ | ||
| จะคลอดโอรสยศยงที่ทรงครรภ์ | พระกายนั้นเจียนทรุดแทบสุดแรง | ||
| พอลูกออกจากท้องก็ร้องแหว | นางแม่ก็ปวดท้องร้องเสียงแข็ง | ||
| พระลูกคลอดทอดกายหงายให้ตะแคง | ทั้งอู่แอ่งก็ไม่มีที่จะทำ | ||
| ครั้นลูกร้องเซ่อซ่ามาหาลูก | เหยียบตะหมูกถูกปากถลากถลำ | ||
| ให้งันงกหกล้มลงทับล้ำ | ลูกเจ้ากรรมทำลายตายทันที | ||
| ฝูงแม่น้ามาประชุมอยู่กลุ้มกลาด | ด้วยสามารถความอยากลากเอาผี | ||
| มาฉีกเนื้อเถือหนังกุมารี | มาเผาจี่คนละอันปันกันกิน | ||
| แจกให้นางลำเภาเก็บเอาไว้ | กินไม่ได้ย่างแห้งแข็งดังหิน | ||
| ใครคลอดบุตรออกมาป้าน้ากิน | คนละชิ้นคนละอันปันกันมา | ||
| แต่คลอดบุตรทีละคนทนไม่รอด | แม่ตาบอดป่วยไข้ไม่รักษา | ||
| ลูกตายหมายกินต่างข้าวปลา | พอเป็นยาแก้แสบท้องร้องอุทร | ||
| นางลำเภาได้แจกสิบเอ็ดครั้ง | ประสมเนื้อเหลือยังสิบเอ็ดก้อน | ||
| เจ้าหาของท้องนาในป่าดอน | เลี้ยงอุทรตามประสาคนตาเดียว ฯ | ||
| ◉ ครั้นกำหนดทศมาสนาถลำเภา | ยุพเยาว์ปวดครรภ์กระสันเสียว | ||
| เจ้าหลีกไปไกลเพื่อนไม่กลมเกลียว | อดเหนียวทนเจ็บไม่จาบัลย์ | ||
| พอได้ฤกษ์นางก็คลอดปิโยรส | ไม่กำสรดเกลากล่อมถนอมขวัญ | ||
| สิบเอ็ดนางเชษฐาก็มาพลัน | หมายจะปันเนื้อแย่งไปแบ่งเอา | ||
| นางหยิบเนื้อย่างแห้งที่แบ่งไว้ | แล้วส่งให้ใช้เนื้อของพี่เขา | ||
| สิบเอ็ดนางรับเนื้อของลำเภา | ต่างก็เอามากินด้วยยินดี | ||
| เออมันแห้งแข็งกังทั้งเหม็นตืด | พวกตามืดแสนลำบากกินซากผี | ||
| ลูกอีเภาเนื้อเน่ากินไม่ดี | ต้องประชีกระฉีกกินจนสิ้นไป ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายลำเภาเยาวลักษณ์รักษาบุตร | บริสุทธิ์ราคินสิ้นปัถไหม | ||
| นิราศโศกโรคพยาธิอุบาทว์ภัย | ด้วยเทพไทบำรุงผดุงชู | ||
| เจียรกาลประมาณพระชันษา | ประจวบห้าหกปีมีผลู | ||
| พระกุมารงามประโลมโฉมตรู | ฉลาดรู้เฉลียวแหลมแต้มนักเลง | ||
| เมื่อออกจากอุโมงค์ตรงเข้าทุ่ง | ทำกริ่งกรุ่งตำเนินเดินโฉงเฉง | ||
| พบกับเด็กเลี้ยงวัวตัวเจ้าเพลง | ร้องแหะเราเองแก้เพลงกัน | ||
| เด็กชาวนาชอบใจให้ข้าวห่อ | พระน้อยหน่อห่อข้าวรัดกระสัน | ||
| คำนึงถึงแม่ป้าก็มาพลัน | เอาข้าวห่อให้ปันทุกคนไป | ||
| แม่กับป้าทั้งสิ้นได้กินข้าว | ก็โลมเล้าหลานพลางทางปราศรัย | ||
| อันข้าวปลาได้มาแต่แห่งใด | พ่อสายใจช่างหามาให้ทาน | ||
| พระบอกว่าเมื่อเย็นไปเล่นเพลง | เหล่านักเลงชาวไร่ให้แก่หลาน | ||
| ชนนีดีใจใครจะปาน | ป้าตาบอดกอดหลานแล้วเชยชม | ||
| ช่างแกล้วกล้าสามารถฉลาดเล่น | ชื่อเจ้ารถเสนจึ่งจะสม | ||
| พูดก็เหลือเนื้อก็เกลี้ยงเสียงก็กลม | ต่างนิยมชมหลานสำราญใจ | ||
| พระรถลาชนนีกับแม่ป้า | ว่าลูกยานี้จะเที่ยวไปหาไก่ | ||
| ไปชนพนันขันเอาข้าวกับน้ำไซร้ | ได้มาเลี้ยงแม่ป้าประสาจน | ||
| ว่าแล้วก็ตำเนินเดินออกมา | ตามแถวทางมรคาริมถนน | ||
| หลีกลัดตัดไปให้พ้นคน | ปากก็บ่นครึ่งท่อนเป็นกลอนเพลง ฯ | ||
| ◉ ก็ร้อนถึงเทวฤทธิ์สิทธิศักดิ์ | นิมิตไก่ให้ประจักษ์ดูเหมาะเหม็ง | ||
| เดินกอขันจ้าท่านักเลง | เที่ยวเขี่ยคุ้ยหากินเองตามทุ่งนา | ||
| พระรถแลเห็นไก่ของใครหนอ | ด่างประดับรูปเหมือนหล่องามหนักหนา | ||
| ก็จับเอาไก่นั้นอุ้มเอามา | เดินร่าพาเข้าไปสังเวียนดิน | ||
| วันนั้นเป็นนัดใหญ่ไก่พร้องเพรียก | ก็เรียกไก่เข้าไปเปรียบจนหมดสิ้น | ||
| ด่างประดับเปรียบได้ไก่เขียวนิล | ไก่ตาไลถิ่นนี้มีเดิมพัน | ||
| พวกนักเลงจึ่งว่าถ้าท่านแพ้ | จงสัญญากันให้แน่เป็นเหมาะมั่น | ||
| ถ้าเราแพ้ละจะให้เงินเดิมพัน | ถ้าท่านแพ้เรานั้นจงสัญญา | ||
| พระรถว่าถ้าเราแพ้แก่นักเลง | จะยำเกรงยอมตัวเป็นทาสา | ||
| ถ้านักเลงแพ้เรานั้นจงสัญญา | เอาโภชนาสิบสองห่อหม้อน้ำครบ | ||
| เหล่านักเลงเก่าเก่าก็พูดก้อ | ลวงล่อเอาเชิงกระเจิงประจบ | ||
| หมายจะได้เป็นทาสาหาไม่พบ | แล้วก็รบให้เอาไก่เข้าไปวาง | ||
| ต่างคนเคล้าหน้าหาทิศที่ | เห็นไม่ถูกผีหลวงแล้วปล่อยหาง | ||
| เขียวนิลลำโตนั้นตีคาง | ด่างประดับชนล่างผูกมัดไป | ||
| ด่างเสียทีเขียวตีถูกหลังคอ | ด่างประดับหักงอหัวไถล | ||
| เจ้าของเฮฮาอึงคะนึงไป | เออที่ไหนจะตลอดถึงสองอัน | ||
| กำลังเมาโยโสพูดโวหาร | ด่างของท่านคงไม่อดเป็นแม่นมั่น | ||
| พระกุมารว่าอย่าประมาทชาติเดิมพัน | เจ็บเท่านั้นที่จะแพ้อย่าพึงคิด | ||
| ด่างประดับหายคัดมัดขึ้นมา | ฉวยตุ้มแทงนัยน์ตาไม่มีผิด | ||
| พระรถว่าเออนั่นปะไรได้เหมือนคิด | แพ้สนิทพนันครัวไม่กลัวเลย | ||
| พวกไก่เขียวหน้าจ๋อยดูหงอยง่วง | อันจมทะลวงจับไก่ไว้หน้าเฉย | ||
| ให้ตาครูผู้ให้น้ำแก่คร่ำเคย | ว่าลุงเอ๋ยประคองสู้ดูอิกอัน | ||
| แล้วเย็บตาผ้าขี้ริ้วจุดตามแผล | หมอเข้าแก้สองคนจนมือสั่น | ||
| ให้หลับนอนป้อนข้าวอยู่พัลวัน | บ้างกระซิบบอกกันออกตัวไป | ||
| นาฬิกาจมลงพออันสอง | นายบ่อนร้องเร่งรีบให้วางไก่ | ||
| ข้างไก่รองร้องว่าทอดตั้งต่อไป | พระรถคิดแต่ในใจคงแพ้กู | ||
| พออันจมแล้วเอาไก่เข้าไปรับ | ด่างประดับขันจ้าเที่ยวก๋าอยู่ | ||
| เขียวตาบอดชะแง้เที่ยวแลดู | ทั้งคู่สองด่างปล่อยหางไป | ||
| ไอ้เขียวงงชนหลงเพราะตาบอด | ไก่ด่างลอดขึ้นมาตีคางคัดได้ | ||
| แทงซ้ำหักเหเซซวนไป | เจ้าของจับทันใดยอมแพ้พลัน | ||
| พวกนักเลงเล่นนอกกันนักหนา | ก็ชมว่าไก่พระรถนี้ขยัน | ||
| เจ้าของไก่ไอ้เขียวบอกเพื่อนกัน | ไก่นั้นอาเพศแต่เดิมที | ||
| เมื่อนัดก่อนชนชนะถึงห้าชั่ง | มันก็ยังไม่เป็นรองถึงสองสี่ | ||
| นี่ไก่เจ้าหนุ่มน้อยของเขาดี | เหมือนไก่ผีมิใช่เป็นไก่คน | ||
| คิดเสียใจครั้นจะกลับเข้าไปบ้าน | เมียจะพาลด่าว่าไม่เป็นผล | ||
| ก็ชวนเพื่อนพวกพ้องสองสามคน | ไปโรงหมี่หัวสนนกินสุรา ฯ | ||
| ◉ พระรถได้ข้าวน้ำสิบสองส่วน | ก็เดินด่วนมาถวายให้แม่ป้า | ||
| แต่มีชัยชนะไก่ได้โภชนา | มาเลี้ยงป้าเป็นนิจกาลนาน | ||
| ฝูงนักเลงก็ระบือลือพระรถ | ปรากฏจบสิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
| พระรถสิทธิ์อิศเรศเธอแจ้งการ | ทราบสารแสนถวิลยินดี | ||
| จะใคร่เห็นรูปทรงพงศ์เพศ | มาประเวศอยู่ในกรุงบูรีศรี | ||
| ด้วยมานะกษัตราธิบดี | ว่าใครมีชัยชนะจะผจญ | ||
| วิสัยกระษัตริย์สนัดในเอกระ | มิให้ใครมาชำนะแต่สักหน | ||
| อันนักเลงนองเนืองในเมืองตน | มาแพ้คนสับพลัดจึงขัดใจ | ||
| อุเหม่เหม่มานพนี้ลบหลู่ | ชนะในเมืองกูก็เป็นได้ | ||
| จำกูจะผจญให้เสียชัย | แล้วจะได้ข่มขี่ให้ลี้ลับ | ||
| แม้นเราเล่นสิ่งใดมีชัยเขา | เกียรติเราจะมีชื่อระบือศัพท์ | ||
| แม้นมันแพ้ก็จะร่ำทำให้ยับ | เฆี่ยนขับใส่คุกให้ทุกข์ทน | ||
| ดำริแล้วสั่งทแกล้วทหารหน้า | ให้ไปหานักเลงมาทุกแห่งหน | ||
| นายทหารรับสั่งพระภูวดล | จัดให้คนป่าวเหล่านักเลงมา | ||
| ฝูงนักเลงรู้กระแสก็แซ่ซ้อง | เป็นหมวดกองเข้ามานั่งอยู่ข้างหน้า | ||
| รถเสนหนุ่มน้อยก็พลอยมา | เป็นชาวป่าอยู่วังนั่งอยู่ไกล | ||
| จอมกระษัตริย์เสด็จยังธินั่งสนาม | รับสั่งถามว่าใครเล่นสกาได้ | ||
| ให้เข้ามาทอดสกากับภูวไนย | เสียหรือได้พ่ายแพ้แต่พนัน | ||
| เหล่านักเลงน้อยใหญ่ใครไม่สู้ | ก็นิ่งอยู่ดูใจใครจะขัน | ||
| สิ้นทุกคนมิได้ต่อขอประชัน | ยังแต่องค์ทรงธรรม์พระกุมาร | ||
| จึ่งถามว่าจะมาเล่นอะไรเจ้า | จงเร่งเข้ามาเร็วเถิดนะหลาน | ||
| เล่นสกาพนันสู้กับภูบาล | รีบคลานเข้าไปเถิดอย่ารั้งรอ | ||
| พระกุมารได้ฟังไม่ยั้งได้ | ไม่รู้จักเข้าไปใกล้ไม่ไหว้พ่อ | ||
| หมอบเมียงคอยฟังอยู่รั้งรอ | ไม่ย่อท้อหมายจะสู้กับภูบาล | ||
| รถสิทธิ์เห็นโอรสรถเสน | นฤเบนทร์มีราชบรรหาร | ||
| ว่าดูรามานพผู้เชี่ยวชาญ | เรารำคาญเคืองระคายไม่วายวัน | ||
| จะใคร่เล่นสกาให้ผาสุก | ให้คลายทุกข์เสื่อมสิ้นที่โศกศัลย์ | ||
| เจ้าก็เชิงนักเลงมาเล่นกัน | ไม่พนันก็ไม่เพลินจำเริญใจ | ||
| ถ้าเราแพ้ตามแต่จะปรารถนา | เงินตราผ้าพับจะนับให้ | ||
| ถ้าเจ้าแพ้แก่เราเอาสิ่งไร | มาเสียให้ราคาค่าพนัน ฯ | ||
| ◉ พระรถบุตรอุดมบรมหน่อ | จึ่งตอบพ่อด้วยใจมิได้พรั่น | ||
| แม้นตัวข้าแพ้พระองค์ทรงพนัน | ไม่มีอันที่จะเห็นเป็นราคา | ||
| ตัวหม่อมฉันคนเดียวเท่านี้แล | ถ้าแม้นแพ้จะยอมตัวเป็นทาสา | ||
| พระทรงฟังสั่งให้ยกกระดานมา | วางตรงหน้าทั้งสองต้องกระบวน | ||
| พระรถกับกรุงกระษัตริย์ทัศนา | บาศกาคู่กันไม่ผันผวน | ||
| ลูกขาวท้าวไททั้งมูลมวล | ลูกแดงล้วนแก่เจ้ารถดังพจนา | ||
| ทั้งสองทอดลูกบาศผาดผัน | ป้องกันคอยระวังทั้งหลังหน้า | ||
| ทีทับทีถอนผ่อนกันมา | พูดจาหลอกลวงดูท่วงที | ||
| พระกุมารพาลจะคล่องร้องเรียกบาศ | ซัดปราดบาศพลิกเป็นสามสี่ | ||
| หกกับหนึ่งสามหนึ่งกันก็ดี | ทำทีเรือนกันไว้มั่นคง | ||
| กรุงกระษัตริย์บาศขัดซัดบาศกริก | บาศก็พลิกหน้าร้ายไม่ประสงค์ | ||
| ก็จำเดินโดยขัดซัดบาศลง | แล้วพระองค์ยอมแพ้อายแก่ใจ | ||
| รถเสนมีชัยฝ่ายพ่อแพ้ | ถึงสามกระดานจะแก้ก็ไม่ไหว | ||
| ยิ่งแก้ก็ยิ่งแพ้ทุกทีไป | จนอ่อนใจยอมแพ้แก่กุมาร | ||
| จึ่งให้ของเงินตราค่าพนัน | ทรงธรรม์ทูลแจ้งแถลงสาร | ||
| เงินทองสิ่งของซึ่งประทาน | ไม่ต้องการคืนถวายแก่ราชา | ||
| จะขอแต่วารีสิบสองเต้า | ทั้งข้าวน้ำดังใจปรารถนา | ||
| กรุงกระษัตริย์ฟังอรรถกุมารา | จึ่งให้น้ำข้าวปลาได้ดังใจ | ||
| จึ่งตรัสว่าดูรามานพน้อย | เราก็พลอยพิศวงให้สงสัย | ||
| อันเงินทองของเราสักเท่าไร | ที่ยกให้ค่าพนันนั้นมากมาย | ||
| เจ้ามิได้จำนงที่ตรงทรัพย์ | ก็คืนกลับเงินตรามาถวาย | ||
| เราสงสัยไฉนเล่าจงภิปราย | บรรยายให้เรานี้เข้าใจ ฯ | ||
| ◉ พระกุมารฟังสารกระษัตริย์ถาม | จึ่งแจ้งความตามสัตยาศัย | ||
| อันเงินทองไม่ประสงค์จำนงใจ | จะเอาไปกินได้ฤๅไรนา | ||
| อันข้าวน้ำต้องประสงค์จำนงนัก | ด้วยบำรุงเลี้ยงรักษ์พระแม่ป้า | ||
| สิบสองคนทุรพลอัปรา | ด้วยหูตามืดมนอนธการ | ||
| พระฟังคำพระรถเสนยิ่งเกณฑ์ถวิล | แล้วทรงจินตนาบัญชาหาร | ||
| พิศดูรูปทรงองค์กุมาร | ในอาการประจักษ์ลักขณา | ||
| ทั้งมารยาทจะเป็นชาติประยูรยศ | ปรากฏงามประโลมทั้งโฉมหน้า | ||
| จะเป็นพงศ์องค์ใดที่ไหนมา | กิริยารูปร่างสำอางครัน | ||
| จึ่งตรัสว่าดูรากุมาเรศ | จงแจ้งเหตุโดยจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| อันสุริวงศ์พงศ์เผ่าของเจ้านั้น | เป็นพงศ์พันธุ์ว่านเครือเชื้อผู้ใด | ||
| ทั้งบิตุรงค์มารดาและป้าเชื้อ | เป็นชาวใต้ชาวเหนือตำบลไหน | ||
| จงบอกเล่ากับเราให้เข้าใจ | อยากจะใคร่รู้จักไว้ทักกัน ฯ | ||
| ◉ พระรถฟังบังคมบรมนาถ | จึ่งตอบราชบรรหารเจ้าไอศวรรย์ | ||
| เกล้ากระหม่อมไร้ญาติพงศ์พันธุ์ | เป็นคนจัณฑาลทุกข์ทุรพล | ||
| อันมารดาข้าชื่อนางลำเภา | สนิทเนาในอุโมงค์ด้วยขัดสน | ||
| กับแม่ป้าตาบอดสิบเอ็ดคน | มาทุรพลอดอยากได้ยากเย็น | ||
| ได้ยินว่าบิดาเป็นกระษัตริย์ | ไม่แจ้งชัดอยู่ที่ไหนมิได้เห็น | ||
| แม่กับป้าเลือดนัยน์ตาไหลกระเซ็น | อดแต่เช้ากินเย็นอยู่อัตรา | ||
| เมื่อได้ข้าวของพนันทุกวันนี้ | ไปให้แก่ชนนีกับแม่ป้า | ||
| สิบสองคนชนนีไม่มีตา | ได้ข้าวแล้วข้าจะลาพระองค์ไป ฯ | ||
| ◉ กรุงกระษัตริย์ฟังอรรถสนัดแน่ | ก็รู้แท้มั่นคงไม่สงสัย | ||
| ว่ากุมารเป็นบุตรพระภูวไนย | จึ่งเข้าไปสวมกอดกุมารา | ||
| อนิจจาขวัญข้าวเจ้าพ่อเอ๋ย | กระไรเลยได้ยากเป็นนักหนา | ||
| แต่นี้ไปพ่อจะให้ซึ่งโภชนา | ไปเลี้ยงป้ากับแม่ของโฉมยง | ||
| จงไปเฝ้าแหนให้เป็นนิจ | ถ้ามีกิจสิ่งใดต้องประสงค์ | ||
| ของในนิเวศวังดังจำนง | จะได้สืบสุริวงศ์พงศ์พันธุ์ | ||
| ตรัสพลางทางมีพระบัญชา | สั่งเฒ่าแก่โขลนจ่าตัวขยัน | ||
| จงไปบอกวิเสทนอกทั้งปวงนั้น | ให้เปลี่ยนกันส่งข้าวทุกเวลา | ||
| สั่งเสร็จเสด็จคืนเข้าปราสาท | ยุรยาตรเข้าในห้องอันเลขา | ||
| พระรถก็ลินลาศคลาดคลา | มายังแม่ป้าโดยจำนง | ||
| แม่กับป้าพากันมารับหลาน | ก็ชื่นบานเชยชมสมประสงค์ | ||
| พระรถบอกกับแม่แต่ตามตรง | วันนี้พบองค์พระบิดา | ||
| เล่นสกาพนันพระพ่อแพ้ | ประทานเงินผ้าแพรเป็นนักหนา | ||
| ลูกไม่เอาถวายคืนพระผ่านฟ้า | ทูลกิจจาตามคดีโดยจำนง | ||
| พระพ่อรู้เรื่องความตามกระแส | ประจักษ์แน่ว่าเป็นบุตรสุดประสงค์ | ||
| ก็โปรดให้โภชนาดังจำนง | สั่งวิเสทขนส่งทุกเพลา | ||
| สั่งลูกยาว่าจงอยู่นิเวศวัง | ลูกตั้งใจจะมาหาแม่กับป้า | ||
| นางลำเภาฟังอรรถวจนา | จึ่งเล่าเรื่องหลังมาให้แจ้งใจ | ||
| บิตุรงค์ได้องค์มเหสี | ในดอกประทุมมาลีที่สระใหญ่ | ||
| เวทมนตร์มันขลังล้นเป็นพ้นไป | มันว่าไรเป็นนั่นดังวาจา | ||
| มันให้ควักนัยน์ตาป้ากับแม่ | สุดแท้ตามใจมันปรารถนา | ||
| โทษผิดสิ่งไรไม่มีมา | พระผ่านฟ้าช่างทำได้ไม่อินัง | ||
| พระรถแจ้งคดีที่แม่เล่า | ก็โศกเศร้าโศกาน้ำตาหลั่ง | ||
| สงสารแม่พลัดพรากมาจากวัง | สุดจะสังเวชป้าแล้วว่าไป | ||
| อย่าทุกข์ร้อนลูกจะจรไปหาเลี้ยง | อันมีจนนั้นไม่เที่ยงอย่าสงสัย | ||
| วาสนาอาภัพก็ลับไป | แม่อย่าได้มัวหมองด้วยกองจน | ||
| ปลอบแม่ป้านั่งฟังพระหลาน | ก็ชื่นบานแต่ตามยามขัดสน | ||
| น่าสงสารพระกุมารนะถนน[1] | เที่ยวซุกซนหาเลี้ยงพระมารดา | ||
| กับได้ของประทานวิเสทส่ง | โดยจำนงเลี้ยงกายไปภายหน้า | ||
| วิเสทนอกออกมาส่งเป็นอัตรา | ตามบัญชากรุงกระษัตริย์ตรัสประทาน | ||
| รถเสนสุริวงศ์เธอองอาจ | สามารถแว่นไวใจทหาร | ||
| ค่ำเช้าเฝ้าแหนพระภูบาล | ยังมิได้ว่าขานการสิ่งใด | ||
| ฝูงข้าเฝ้าเหล่าพระยาก็ยำเกรง | ด้วยเธอเป็นนักเลงเก่งจนใหญ่ | ||
| ท่วงทีเชี่ยวชาญชำนาญใน | พริบไหวเชิงชั้นขยันนัก | ||
| ทั้งรูปทรงเจ้าชู้ดูหลักแหลม | กิริยาก็แชล่มดูแหลมหลัก | ||
| พวกขุนนางน้อยใหญ่มีใจรัก | ที่งอนง้อขอทักนั้นเราะราย | ||
| บ้างกระซิบพูดกันกระนั้นกระนี้ | กุมารนี้ท่วงทีดีใจหาย | ||
| อย่าทำเล่นดูถูกลูกงูร้าย | ฉวยกัดถูกแล้วก็ตายไม่รู้ตัว | ||
| อย่าคลำหางเสือผอมจะตรอมจิต | แต่ราชสีห์มีฤทธิ์ยังสั่นหัว | ||
| อันว่านเครือเชื้อสายเจ้านายตัว | ถึงตกยากก็ให้กลัวอย่าแรมโรย | ||
| บางทีว่าข้าพเจ้าเห็นเค้าเงื่อน | คงจะเลื่อนจากจนพ้นหิวโหย | ||
| พูดขอรับคำนี้ดีกว่าโฮย | ย่อมกันโพยพอให้รักสักเวลา | ||
| บางที่ว่าพระกุมารนี้นักหนา | ฉกาจเก่งท่วงทีดีหนักหนา | ||
| เล่นอะไรมีชัยไปทุกครา | ทั้งแกล้วกล้านานไปจะได้ดี | ||
| เหล่าขุนนางต่างคนสรรเสริญ | จนอายุเธอจำเริญได้สิบสี่ | ||
| ราชการทุกกระทรวงรู้ท่วงที | สิบหกปีปราดเปรื่องกระเดื่องกรุง | ||
| ก็ลือเล่าเข้าหูสุนนทา | นางยักษากลับวิตกตีอกผลุง | ||
| ให้เคืองขุ่นหุนหันหมั่นไส้พุง | นอนไม่หลับยังรุ่งจนตาโรย | ||
| แสนแค้นพี่น้องสิบสองคน | ไม่วายชนม์จนกายนั้นหิวโหย | ||
| มีลูกชายได้ข่าวราวขโมย | จะทำโพยก็เกรงพ่อต้องรอคิด | ||
| จะฆ่าเสียในเมืองจะเลื่องลือ | จะอึงอื้อรู้ถึงองค์รถสิทธิ์ | ||
| กูจะทำสงครามด้วยความคิด | ให้ชีวิตไอ้รถมันปลดปลง | ||
| คิดแล้วเข้าห้องทำร้องคราง | เอาหยูกยาทาข้างขอบขนง | ||
| เรียกเครื่องสุพรรณภาชนะทรง | ของประจงดีดีมีโอชา | ||
| จับช้อนทำทีเสวยข้าว | เมื่อยามเจ้าภพไตรจะไปหา | ||
| ทำแค่นขืนกลืนข้าวเหมือนกลืนยา | แล้วบ่นว่าอยากมะม่วงกับมะนาว | ||
| ต่อเมื่อใดได้มะนาวที่รู้โห่ | กับมะม่วงผลนั้นโตที่รู้หาว | ||
| ถ้าได้กินสักชิ้นลูกมะนาว | ประหนึ่งราวกับปลิดลิดโรคา | ||
| พูดกันไม่ทันจะขาดปาก | พอสามีเสด็จกรากเข้ามาหา | ||
| ได้ยินยังไม่ชัดตรัสถามมา | เมื่อตะกี้แก้วตาว่าอะไร | ||
| นางสุนนทามารได้ฟังผัว | ยอบตัวแกล้งชะอ้อนวอนไหว้ | ||
| วันนี้ให้ปวดหัวมัวตาไป | อกใจให้เขม่นเต้นริกริก | ||
| ให้นึกอยากมะม่วงหาวมะนาวโห่ | ท้องจะโตแล้วลำบากยากยุกยิก | ||
| อยากร้อนอยากเผ็ดอยากเม็ดพริก | มันให้อยากจุกจิกไปทีเดียว | ||
| ฉะนี้แน่แพ้ท้องหฤๅไรและ | มันเสาะแสะอยู่อยู่ก็ใจเสียว | ||
| ทูลพลางแอบองค์ลงกลมเกลียว | แสนฉลาดจริงเจียวช่างสอพลอ | ||
| จูบน้องลองรสแล้วพจนารถ | สายสวาททูลไปพิไรขอ | ||
| ประทานโทษโปรดเมียให้คล่องคอ | อย่าหาหมอมาลองไม่ต้องเลย | ||
| พระฟังนางพลางประโลมโฉมถนอม | อีมารปลอมย้อมพูดเล่นเฉยเฉย | ||
| เพราะต้องมนต์เล่ห์ลมหลงชมเชย | พระกอดเกยเกี้ยวกายคลายฤๅทัย | ||
| ประจงจับขยับเยื้องนางสลัด | ผลักพระหัตถ์กล่าวชะอ้อนแล้ววอนไหว้ | ||
| ไม่สบายพระอย่ายวนให้กวนใจ | เป็นอะไรในอุทรให้ร้อนร้าว | ||
| มันให้อยากเปรี้ยวหวานพานจะมาก | มันเหลืออยากผลพวงมะม่วงหาว | ||
| ที่รู้โห่เหมือนคนผลมะนาว | ถ้าได้กินแล้วราวกับได้พิมานทอง | ||
| โอ้เจ้าพี่ที่ไหนไม่เคยเห็น | ประหลาดเป็นอัศจรรย์สำคัญของ | ||
| ท่าเห็นมีแก้วพี่จงปรองดอง | ที่ตรงน้องเรียมไม่ขัดพระอัชฌา | ||
| มีอยู่ดอกพระทูลกระหม่อมแก้ว | น้องรู้แล้วมีในเมืองของยักษา | ||
| น้องจะเขียนราชสารตามปัญญา | ไปขอมาก็จะได้ดังใจปอง | ||
| รถเสนกุมารมีบุญนัก | ถ้าเจ้าไปเมืองยักษ์เห็นได้คล่อง | ||
| ด้วยชั้นเชิงโฉมตรูรู้ทำนอง | ไม่ขัดข้องที่จะใช้ให้ขอมา | ||
| ถ้ากระนั้นขวัญเมืองอย่าเคืองใจ | พี่จะใช้ให้องค์โอรสสา | ||
| ไปยังกรุงทานตะวันนครา | ขออัมพากับมะนาวมาให้น้อง | ||
| ว่าพลางคลึงเคล้าเย้ายวน | โดยกระบวนประดิพัทธ์ไม่ขัดข้อง | ||
| เสพสมรมยาดังฟ้าคะนอง | จนแสงทองส่องทิศบูรพา | ||
| พระก็ฟื้นตื่นสรงเพลาสาย | สำอางองค์พรรณรายทรงภูษา | ||
| เสด็จเข้าที่เสวยโภชนา | เสร็จทรงปัญจากุกุธภัณฑ์ | ||
| แล้วออกท้องพระโรงรัตน์อรรถอำมาตย์ | หมอบกลาดดังสิเนรุสองสวรรค์ | ||
| ข้าเฝ้าท้าวพระยาทั้งนั้น | ก็ถวายบังคมคัลด้วยทันใด ฯ | ||
| ◉ รถเสนโอรสประณตน้อม | พรั่งพร้อมเสนาทั้งน้อยใหญ่ | ||
| จอมกระษัตริย์ทัศนามาแต่ไกล | มีพระทัยโสมนัสด้วยอัชฌา | ||
| ด้วยพระองค์หลงเล่ห์เสน่ห์เมีย | พาให้เสียยศศักดิ์ลงหนักหนา | ||
| เมากิเลสเวทมนตร์ดลวิญญา | หลงตัณหาตาบอดลงกอดมือ | ||
| นึกจะใช้ลูกไปก็สมเพช | คิดถึงเมียที่สังเวชไม่อาจหือ | ||
| ระลึกคำเมียสั่งตั้งฮึดฮือ | เห็นหน้าลูกแล้วก็รื้อให้รั้งรอ | ||
| แต่ผินหน้าผินหลังนั่งแล้วลุก | ไม่มีสุขเหมือนจะเข้ต้องมนต์หมอ | ||
| ครั้นใจเขลาเมาเมียมาเคลียคลอ | ให้คันคอพอจะตรัสขัดในใจ | ||
| อันเมาเหล้าเมายาช้าก็หาย | อันเมาเมียนี้จะคลายอย่าสงสัย | ||
| มันคอยเติมคอยซ้ำอยู่ร่ำไป | ซ้ำทีไรรามาพิรากน | ||
| แต่ครั้งหนึ่งสองครั้งใจยังดี | มันเสียทีเมื่อครบจนสามหน | ||
| ครั้นถึงสี่สุดที่จะทานทน | มันลงเป็นผักต้มขนมยำ | ||
| ท่านว่ามีเมียผิดให้คิดหย่า | ครั้นเห็นหน้ามันแต่งล่อพอขำขำ | ||
| ก็ลืมคำสุภาษิตไม่คิดคำ | เฝ้าแต่ร่ำไรรักหักไม่ลง | ||
| ถึงรู้ว่าเมียชั่วถ้าตัวรัก | รักจะหักชั่วได้ไม่ประสงค์ | ||
| คิดว่าชั่วช่างมันเทอะก็เลอะลง | อันชายคงหลงเมียเสียทุกคน | ||
| ท้าวรถสิทธิ์หลงเล่ห์เสน่ห์ยักษ์ | มีความรักมืดฟ้าเวหาหน | ||
| มาปิดรักโอรสหมดกล | เพราะมัวมนต์หลงเล่ห์เสน่ห์เมีย | ||
| อันรักลูกก็หายคลายไปสิ้น | หวังถวิลให้กระจัดพลัดไปเสีย | ||
| จะยกยศให้ปรากฏไว้แต่เมีย | ลูกให้จำต่ำเตี้ยเมียชอบใจ | ||
| จึ่งตรัสเรียกโอรสนั้นเข้ามา | ลูบไล้พูดจาแล้วปราศรัย | ||
| ลูกเอ๋ยพ่อนี้หวังตั้งใจ | อยากจะได้ลูกไม้ที่เอกโท | ||
| ผลหนึ่งชื่อมะม่วงนั้นรู้หาว | ผลหนึ่งชื่อมะนาวนั้นรู้โห่ | ||
| ถ้าได้มาพาราเราจะภิญโญ | เป็นมโหฬารเลิศประเสริฐนัก | ||
| ไม้นั้นสุนนทาเขาว่ามี | ในบูรีทานตะวันอันมีศักดิ์ | ||
| เจ้าแก้ไขไปขอทูลอสูรยักษ์ | ว่ารู้จักกับนางสุนนทา | ||
| แต่ครั้งเขายังอยู่เขาไกรลาส | เป็นข้าบาทพระสยมอันนาถา | ||
| ได้ลงไปเที่ยวสวนอสุรา | เห็นอัมพากับมะนาววิเศษดี | ||
| พระธิดาบุตรีเมรีนั้น | ได้ผูกพันยอมเป็นบุตรของโฉมศรี | ||
| จงเอาสารนี้ไปส่งให้เมรี | ยังบูรีทานตะวันพระพารา | ||
| นางจะให้หนังสือเจ้าถือไป | แจ้งในข้อระบิลสิ้นกังขา | ||
| คงจะได้มะนาวผลอัมพา | จะอาสาพ่อได้หฤๅลูกรัก ฯ | ||
| ◉ พระโฉมยงฟังองค์พระบิตุราช | อภิวาทบาทบงสุ์พระทรงศักดิ์ | ||
| โดยจิตตรงเจตนาสามิภักดิ์ | ไม่รู้ว่ากลยักษ์มันอุบาย | ||
| จึ่งทูลว่าจะอาสาพระบิตุเรศ | ให้สมเจตนาในมโนหมาย | ||
| ไปเอาผลมะม่วงงามตามอุบาย | มาถวายบิตุรงค์ด้วยจงใจ | ||
| อย่าว่าเลยจะลำบากในแดนดง | ถึงของดีที่ประสงค์ตรงทิศไหน | ||
| แม้นพระองค์จำนงจงใจ | จะใคร่ได้จะเอามายังธานี | ||
| จะขอแต่อาชาม้าต้น | ขี่ข้ามพนาสณฑ์เดินวิถี | ||
| จงโปรดปรานประทานซึ่งพาชี | พอได้ขี่ข้ามพงดงดอน ฯ | ||
| ◉ กรุงกระษัตริย์ฟังอรรถพระลูกรัก | สามิภักดิ์โดยการชาญสมร | ||
| มีพระทัยโสมนัสสถาพร | นรินทรเยื้องย่างเข้าปรางค์ใน | ||
| นั่งแอบแนบน้องสุนนทา | เชยแก้วกัลยาแล้วปราศรัย | ||
| เจ้าจงแต่งสาราอย่าช้าไย | ให้โอรสถือไปบัดเดี๋ยวนี้ | ||
| มันก็รับอาสาว่ามั่นคง | จะไปส่งนครเมรีศรี | ||
| แม้นมิได้ผลไม้มาธานี | จะฆ่าให้ชีวีมันปลดปลง | ||
| สุนนทาฟังว่ากระเษมจิตร | ด้วยสมคิดนิยมสมประสงค์ | ||
| จึ่งทูลความตามอุบายหลายกระทง | เชิญพระองค์เสด็จออกยังเสนา | ||
| น้องจะคิดแต่งสารการตรองตรึก | ถ้าอึกทึกก็ไม่ชอบประกอบว่า | ||
| ถ้าเขียนเสร็จสำเร็จอักษรา | จะส่งไปข้างหน้าดังใจปอง | ||
| พระฟังแก้วขนิษฐามารยาบอก | เสด็จออกที่นั่งเย็นเผ่นผยอง | ||
| พระว่าขานการพาราตามทำนอง | พระกรรณจ้องคอยฟังสุทามาร ฯ | ||
| ◉ สุนนทายักษีมีพยศ | แต่งกลอนคิดคดลงในสาร | ||
| เป็นความลับกำชับในใบลาน | เสร็จสารม้วนห่อใส่กล่องพลัน | ||
| แล้วเสกมนต์ผูกรัดมัดกล่องแน่น | ใครจะแก้หมื่นแสนอย่าไหวหวั่น | ||
| เว้นแต่หมู่สุริวงศ์พงศ์พันธุ์ | แล้วถือสารจรจรัลมาทันใด | ||
| ทำกระแอมกระไอแล้วให้เสียง | ภูวไนยจำสำเนียงกระแอมได้ | ||
| เสด็จกลับหวนหันเข้าทันใด | เห็นอรทัยแล้วจึ่งถามไปทันที | ||
| ไหนเล่าราชสารจะให้ไป | ส่งมาเร็วไวเถิดโฉมศรี | ||
| นางส่งกล่องสาราด้วยทันที | พระเผยม่านจรลีกลับออกมา ฯ | ||
| ◉ เรียกองค์โอรสเข้ามารับ | พระรถคลานคำนับน้อมเกศา | ||
| รับสารจากหัตถ์กษัตรา | จึ่งมีบัญชาไปทันที | ||
| กรมม้าที่มาหมอบตามกระทรวง | แต่บรรดาม้าหลวงอยู่ที่นี่ | ||
| ให้จัดม้าทุกตัวชั่วแลดี | ให้ลูกยาเรานี้ไปเลือกพลัน | ||
| พระรถบังคมแล้วคลาดคลา | เดินมาทางวิโยคไห้โศกศัลย์ | ||
| มาถึงอุโมงค์เข้าด้วยพลัน | ทรงธรรม์กราบกับบาทพระมารดา | ||
| โอ้ว่าแม่ป้าผู้เพื่อนยาก | กรรมวิบากสิ่งไรเป็นหนักหนา | ||
| สมเด็จบิตุเรศไม่เวทนา | ใช้ข้าให้ถือหนังสือไป | ||
| ยังเมืองยักษ์ทานตะวันนครา | ขออัมพาที่รู้หาวมาจงได้ | ||
| ทั้งมะนาวที่รู้โห่อันเกรียงไกร | จะมิไปเล่าก็เกรงพระอาญา | ||
| ลูกเป็นห่วงแม่กับป้าอยู่ข้างหลัง | จะฝากฝังกับผู้ใดไม่เห็นหน้า | ||
| ลูกไปแล้วเมื่อไรจะกลับมา | มรคาทุ่งกว้างทางก็ไกล | ||
| นางลำเภากอดลูกเข้าครวญคร่ำ | โอ้เวรกรรมสิ่งใดมาซัดให้ | ||
| แสนลำบากยากจนคนไร้ | เจ็บไข้ก็ได้เห็นหน้ากัน | ||
| เกิดเหตุทั้งนี้อีนนทา | พยาบาทอิจฉานั้นเข้มขัน | ||
| ถ้ามิได้อย่างนี้เอาอย่างนั้น | มันว่าไรเป็นนั่นดังวาจา | ||
| คิดถึงตัวก็ให้นึกสังเวชจิต | คิดถึงลูกก็สงสารเป็นหนักหนา | ||
| ไหนจะคิดเคืองขัดพระภัสดา | กัลยาค่อนอุระประปราน | ||
| พระรถค่อยคลายหายความโศก | ว่าแม่ป้าอย่าวิโยคโศกถึงหลาน | ||
| แม้นกุศลหนหลังแต่ก่อนกาล | มาเจือจานแล้วไม่มีซึ่งโพยภัย | ||
| อันเกิดมาในวัฏสงสาร | จะพ้นการมรณาอย่าสงสัย | ||
| จงหักใจเถิดแม่ป้าอย่าห่วงใย | ลูกไปไม่ช้าจะมาพลัน | ||
| แล้วประกาศเทวัญทุกชั้นฟ้า | อันตัวข้ากระตัญญูถือสัตย์มั่น | ||
| บำรุงเลี้ยงแม่ป้ามานานครัน | จงมาช่วยป้องกันอันตราย | ||
| ตาก็บอดมืดมนอนธการ | ทั้งสาธารณ์ยากจนเป็นเหลือหลาย | ||
| ให้พ้นจากไภยันอันตราย | เทพเจ้าทั้งหลายจงเมตตา ฯ | ||
| ◉ ครั้นเสร็จตั้งจิตธิษฐาน | พระกุมารจึ่งบอกกับแม่ป้า | ||
| ของประทานเอมโอชโภชนา | วิเสทขนส่งมาเป็นนิจกาล | ||
| นั้นและจงบำรุงผดุงเลี้ยง | เป็นเสบียงเลี้ยงชีวาคอยท่าหลาน | ||
| แล้วกราบลาแม่ป้ามิทันนาน | แม่กับป้าให้พรหลานด้วยทันใด | ||
| พ่อไปให้เป็นสุขสวัสดี | จงปราบหมู่ไพรีให้แพ้พ่าย | ||
| ให้มีเดชภิญโญเดโชชัย | จงสมใจปรารถนาพยายาม | ||
| พระรถประนมกรรับพรแล้ว | ก็คลาศแคล้วไปยังวังสนาม | ||
| จึ่งเรียกกรมม้าให้มาตาม | อันม้างามอยู่ที่ไหนไปกะเรา | ||
| กรมม้าออกมากับพระรถ | ให้จูงม้ามาหมดทุกหมวดเหล่า | ||
| สีขาวแดงดีทั้งสีเทา | ม้าเก่าม้าใหม่ที่ในโรง | ||
| พระเลือกดูหมู่ม้ากว่าพัน | ฝีเท้านั้นผกเผ่นเต้นเยงโหยง | ||
| ไอ้ม้าอดอยากลากซี่โครง | ดูเกงโก้งรูปร่างไม่น่าดู | ||
| พระจึ่งถามกรมม้าว่าพาชี | ม้าระวางบรรดามีอยู่ทั้งหมู่ | ||
| เราดูไม่ต้องตำราไม่น่าดู | รูปเหมือนหมูเหมือนวัวชั่วเหลือใจ | ||
| นายม้าทูลว่าม้าของหลวง | ทุกกระทรวงเอามาหาเหลือไม่ | ||
| ทั้งม้าเชลยศักดิ์พรรคพวกใคร | บรรดามีที่ไหนก็เอามา | ||
| สุดสิ้นเท่านี้ไม่มีแล้ว | พระอย่าได้สอดแคล้วกังขา | ||
| ยังมีม้าหมู่หนึ่งในท้องนา | เที่ยวกินหญ้าดงรามมีสามตัว | ||
| ขอเชิญเสด็จไปดูให้รู้เห็น | มันร้ายร้องคะนองเล่นกัดเอาหัว | ||
| ชาวเมืองชาวบ้านสะท้านกลัว | พระอยู่หัวจงทราบบทมาลย์ ฯ | ||
| ◉ พระฟังนายกรมม้าว่ามั่นคง | พาเราไปโดยจำนงที่ว่าขาน | ||
| จะได้รู้กิริยาและอาการ | เหมือนท่านว่าแล้วจะจับมาขี่ลอง | ||
| พูดพลางกรมม้าพาพระรถ | เดินเลี้ยวลดตามถนนพ้นบ้านช่อง | ||
| ออกจากบึงพอถึงที่ริมคลอง | เห็นม้าสองสามตัวเที่ยวมัวกิน | ||
| กรมม้าพากันขึ้นต้นไม้ | จะไว้ใจไม่ได้โดยถวิล | ||
| อย่าพูดดังม้าร้ายจะได้ยิน | มันขี้ผินโผผกมาชกเอา | ||
| พระรถเห็นพาชีที่ในทุ่ง | เขม้นมุ่งเห็นดีทั้งสีขาว | ||
| เขียวขำลำนิลสินสีเทา | เชิงเชาว์ชาญคะนองว่องไว | ||
| พระเสด็จหากแกล้งแสดงองค์ | เป่าพระหัตถ์เสี่ยงส่งกระแสงไสย[2] | ||
| พลางตำเนินเดินตรงเข้าไป | มโนมัยผัวเมียเลียลูกพลาง | ||
| แล้วบอกว่าพระกุมารจ้าวเรามา | ตรงคันนาริมบึงที่ขึงขวาง | ||
| ลูกม้าเหลียวชะแง้แลตามทาง | เห็นพระรถเดินกลางคันนามา | ||
| ดีใจลำพองแล้วร้องกระหึมแห้ | ก็วิ่งแต้เต้นใหญ่เข้าไปหา | ||
| พระรถรักกวักหัตถ์กัณฐัศมา | แล้วอาชาเต้นชิดเข้าติดพัน | ||
| พระกอดคอม้าแก้วแล้วป้อนหญ้า | ชักชวนว่าพี่ม้าเอ็นดูฉัน | ||
| ครั้งนี้มีงานการสำคัญ | ไปด้วยกันกับน้องเถิดอาชา | ||
| จะถือสารไปเมืองทานตะวัน | หนทางนั้นสุดไกลเป็นนักหนา | ||
| จงพาน้องไปให้ถึงพระพารา | พระบิดาใช้ไปดังใจปอง | ||
| ม้าทรงขององค์พระสยม | สบเศียรก้มแล้วก็กล่าวสารสนอง | ||
| อัมรินทร์ปิ่นภพพิมานทอง | ให้พี่ม้าคอยน้องหลายราตรี | ||
| จะกริ่งเกรงอะไรไปเมืองยักษ์ | ไม่เกรงศักดิ์ยักษาดอกโฉมศรี | ||
| จงขึ้นหลังพี่เถิดนะภูมี | พาชีรื่นเริงบันเทิงใจ | ||
| พระฟังม้าพาทีดีใจนัก | กวักพระหัตถ์เรียกกรมม้าแล้วปราศรัย | ||
| เร่งเอาเครื่องมาแต่งมโนมัย | ให้ทันในเวลาอย่าช้าการ | ||
| กรมม้าพาเครื่องมาแต่งม้า | เบาะอานผ่านหน้าดูไพศาล | ||
| แผงจำหลักราชสีห์เผ่นทะยาน | ปานม้าทรงขององค์เวชยันต์ | ||
| ............................................ | ............................................ | ||
| ............................................ | ............................................ | ||
| ............................................ | ฝีเท้า........................ดังลมกรด | ||
| โผนเผ่นเต้นร้องลำพองพยศ | ก็พาพระรถ..................นภา[3] | ||
| ราษฎรยืนดูอยู่หวั่นไหว | บอกกันไปว่าองค์โอรสา | ||
| ............บุญเลิศล้นคณนา | คงได้ครองพาราพระบุรี | ||
| ม้าทรงพาองค์พระหน่อนาถ | ผันผาดข้ามเมรุคีรีศรี | ||
| พระโหยละห้อยไห้หาพระชนนี | ก็โศกีอยู่บนหลังอาชาไนย | ||
| โอ้ว่าปานฉะนี้พระแม่เจ้า[4] | .......................................... | ||
| ....................................................... | .......................................... | ||
| ...................................................... | ............................................ | ||
| หลานน้อยไม่ประสงค์ตรงว่านยา[5] | ด้วยไม่รู้มรคาจะโคจร | ||
| ตัวข้าชื่อว่ารถเสน | หน่อนเรนทร์รถสิทธิ์อดิศร | ||
| อยู่ไกรจักรพระพาราสถาวร | พระบิดรใช้ให้ถือหนังสือไป | ||
| ถึงเมรีลูกรักสุนนทา | อยู่พาราทานตะวันกรุงใหญ่ | ||
| ให้เอาผลมะม่วงหาวในกรุงไกร | พาไปถวายองค์พระบิดา | ||
| อันหนทางที่จะไปเมืองทานตะวัน | ทิศไหนนั่นใกล้หรือไกลให้กังขา | ||
| จึ่งโปรดเกศแจ้งเหตุแห่งมรคา | ได้เมตตาชี้แสดงให้แจ้งการ ฯ | ||
| ◉ พระมุนีฟังคดีกุมารไข | ก็แจ้งใจทราบสิ้นกระบิลสาร | ||
| จึ่งหลับเนตรสังเกตดูรู้ในฌาน | เหตุการณ์ทราบยุบลแต่ต้นมา | ||
| จึ่งปราศรัยว่าดูรากุมาเรศ | เจ้าประเวศมาถึงนี่ดีนักหนา | ||
| แต่เหน็ดเหนื่อยจงหยุดพักสักเวลา | บ่ายแสงสุริยาจึ่งบทจร | ||
| พระอาจารย์จึ่งไปเลือกผลไม้ | ทุเรียนระกำลำไยมะพร้าวอ่อน | ||
| ส้มโอส้มซ่าผลกระท้อน | ให้ภูธรเสวยเถิดพอชื่นใจ | ||
| พระภูบาลรับประทานของฤๅษี | ก็เปรมปรีด์ปราโมทย์ค่อยแจ่มใส | ||
| ด้วยเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้ามาแต่ไกล | พระภูวไนยเสด็จนั่งหลังศาลา | ||
| บนแผ่นผาศิลาใหญ่ใต้ร่มโศก | แสนวิโยคคิดคำนึงถึงแม่ป้า | ||
| จึ่งแก้กล่องที่ผูกคออาชา | วางไว้ริมกายาพระภูมี | ||
| แล้วเอนกายลงบนแผ่นศิลาลาด | ก็ไสยาสน์ใต้โศกกระเษมศรี | ||
| ฝ่ายว่าม้ามิ่งที่ตัวดี | ก็จรลีไปเที่ยวในพงไพร | ||
| พระมุนีเที่ยวจงกรมแล้วลินลาศ | เห็นกุมารไสยาสน์นอนหลับใหล | ||
| กล่องสารที่กุมารเอาวางไว้ | เธอหยิบได้เอาขึ้นดูอยู่ช้านาน | ||
| จึ่งแก้มนต์ที่อีมารมันผูกมา | แล้วหยิบเอาสาราออกมาอ่าน | ||
| ในสาราว่าสุนนทามาร | มาแจ้งการกับเมรีผู้ธิดา | ||
| ด้วยกุมารนี้เป็นหลานอีตาบอด | นัยน์ตามันนั้นให้ขอดไว้บนฝา | ||
| ถ้าวันใดมันมาถึงพารา | ให้ยักษาจับกินให้สิ้นไป | ||
| ทั้งอาชาม้าที่ขี่พยศ | กินให้หมดอย่าให้เลือดตกดินได้ | ||
| ครั้นแจ้งสารพระทรงญาณสังเวชใจ | ว่าพุทโธมันทำได้ไม่เวทนา | ||
| คิดสงสารพระกุมารยังอ่อนศักดิ์ | อีนางยักษ์มันใช้ไปให้เขาฆ่า | ||
| พระบิตุรงค์หลงกลมารยา | ก็คิดแปลงสาราเสียทันที ฯ | ||
| ◉ ในราชสารนางมารสุนนทา | มาถึงองค์พระธิดาเมรีศรี | ||
| ด้วยพระเจ้าไตรจักรธิบดี | ให้แม่นี้เป็นเอกสนมใน | ||
| บัดนี้แม่แต่งกุมารา | ให้เป็นคู่ธิดากระเษมใส | ||
| นามกรรถเสนอันเลิศไกร | แม่รักใคร่เสมอบุตรในอุทร | ||
| ไปถึงเช้าให้ข้าเฝ้ามาต้อนรับ | กลับไปอุภิเษกกับสายสมร | ||
| ให้เป็นศรีทานตะวันอันบวร | ตามราชสารมารดรอวยพรมา | ||
| ครั้นแปลงสารสิ้นเสร็จสำเร็จแล้ว | ก็ผ่องแผ้วเกษมสันต์ด้วยหรรษา | ||
| จึ่งใส่ไว้ในกล่องอย่างเดิมมา | แล้วคืนเข้าศาลาด้วยทันใด | ||
| พระกุมารฟื้นกายค่อยคลายจิต | แล้วคิดถึงม้าหาช้าไม่ | ||
| ม้าก็วิ่งผ่าพงตรงเข้าไป | อยู่แทบใกล้พระกุมารทะยานคะนอง | ||
| แล้วกราบลาพระอาจารย์ชาญพระเวท | คุณนั้นล้ำปกเกศเย็นสนอง | ||
| พระอาจารย์จึ่งว่าหลานจงตรึกตรอง | อันมะม่วงนั้นเป็นของที่เสี่ยงทาย | ||
| ถ้าใครปลิดใบก้านรานตัด | จะวิบัติบ้านเมืองเรื่องฉิบหาย | ||
| ในสารามันให้ฆ่าเสียให้ตาย | ตาเขียนกลายอภิเษกกับเมรี | ||
| เป็นกุศลล้นลบได้พบตา | หาไม่ชีวาจะเป็นผี | ||
| พระกุมารฟังสารพระมุนี | แจ้งคดีแข็งขึงตะลึงไป | ||
| โอ้ว่าทูลกระหม่อมพระจอมเกศ | มาอาเพศหลงกลอีมารได้ | ||
| เอากล่องสารายื่นมาให้ลูกไป | มิรู้ข้างในอสรพิษตัวสำคัญ | ||
| มันจองเวรจองผลาญมานานช้า | แม่กับป้าแทบชีวาจะอาสัญ | ||
| นี่หากว่าอัยกาท่านรู้ทัน | ถ้าที่ไหนชีวันคงมรณา | ||
| พระกุมารคิดแค้นพระบิตุเรศ | สงสารตัวคิดสังเวชถึงแม่ป้า | ||
| พลางซบพักตร์ลงทรงโศกา | ดังจะสิ้นชีวาวายปราณ | ||
| พระนักสิทธิ์คิดสงสารพระหลานเหลือ[1] | อย่าโศกนักจงเชื่อตาเถิดหลาน | ||
| คงได้สมอารมณ์ทุกประการ | ตาจะให้มนต์หลานกับขรรค์ชัย | ||
| แล้วบอกมนต์ศักดิ์สิทธิ์อิทธิเวท | กับพระขรรค์ทรงเดชนั้นส่งให้ | ||
| แล้วชี้ช่องมรรคาให้คลาไคล | ตรงมือเราชี้ไปและเมืองมาร | ||
| มีเขาใหญ่สูงเยี่ยมเทียมเวหา | บังสุริยาร่มชิดทิศอิสาน | ||
| จึงมีนามทานตะวันอันปราการ | แล้วอาจารย์อวยพรสวัสดี | ||
| ให้สุโขภิญโญโอฬารเลิศ | จงประเสริฐปราบได้ทิศทั้งสี่ | ||
| ให้สมปองได้ครองกับเมรี | พรของตานี้ให้ได้ดังใจ | ||
| พระกุมารยอกรรับพรแล้ว | ก็คลาศแคล้วออกมาหาช้าไม่ | ||
| เผ่นขึ้นบนหลังมโนมัย | ลอยละลิ่วปลิวไปในอัมพร | ||
| กำลังม้ายิ่งกว่าเพชรหึง | ประเดี๋ยวหนึ่งพระยลยอดสีขร | ||
| สูงตระหง่านพ้นเยี่ยมเทียมอัมพร | เห็นจะเป็นเขานครทานตะวัน | ||
| สมวาทีที่ฤๅษีเธอบอกเล่า | ก็ถึงเขาใหญ่เยี่ยมเทียมมหันต์ | ||
| เห็นขอบค่ายรายเรียงอยู่เคียงกัน | พวกกุมภัณฑ์รักษาด่านอยู่มากมี | ||
| ได้ยินเสียงฆ้องกระแตออกแซ่เสียง | ทั้งสำเนียงเกราะโกร่งอยู่อึงมี่ | ||
| พระจึ่งปรึกษากับพาชี | ที่นี้จะเป็นด่านชานนคร | ||
| เราจะรออยู่สักหน่อยฟังถ้อยความ | เขาจะได้ไต่ถามให้รู้ก่อน | ||
| แล้วจึ่งค่อยคลาไคลในนคร | อัสดรจะเห็นอย่างไรดี | ||
| อาชาฟังว่าไปไฉนพ่อ | มาย่อท้อยอมตัวกลัวยักษี | ||
| ไอ้ชาวด่านยักษ์ไพร่ใช่ผู้ดี | พ่อก็มีเวทมนตร์พระขรรค์ชัย | ||
| ว่าแล้วลำพองคะนองเหาะ | เฉพาะข้ามด่านมาหาช้าไม่ | ||
| ผาดผายหมายมุ่งยังกรุงไกร | หวังจะใคร่ให้รู้ในยุบล ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายฝูงชาวด่านทหารเมือง | ตาชำเลืองแลไปในเวหน | ||
| เห็นคนขี่ม้างามตามกระกล | ทั้งกล่องแก้วอำพนคอพาชี | ||
| หมู่ยักษ์ร้องถามแล้วห้ามไว้ | จะข้ามด่านไปไหนจงหยุดนี่ | ||
| เราจะถามตามข้อเรื่องคดี | อย่าทำทีไม่ได้ยินเร่งลงมา | ||
| พระฟังถามบอกความแก่ชาวด่าน | เราถือสารการเร็วเป็นหนักหนา | ||
| ครั้นจะหยุดพูดกันก็จะช้า | จะรีบไปพาราบัดเดี๋ยวนี้ | ||
| ฝ่ายว่าอาชาชาญระเห็จเหาะ | จำเพาะกรุงทานตะวันอันเรืองศรี | ||
| ชาวด่านแค้นคั่งดั่งอัคคี | ก็ตามพระภูมีเข้าพารา | ||
| ครั้นถึงวังขึ้นยังศาลาเวร | พอสิทธิกรรม์อสุเรนยักษา | ||
| ออกนั่งว่าขานการพารา | ขุนด่านคลานเข้าหาแล้วแจ้งการ | ||
| ว่ายังมีมนุษย์หนึ่งพึ่งรุ่นรวย | รูปสวยเป็นทูตถือสาร | ||
| ขี่ม้าเหาะเหินเดินทะยาน | ข้ามด่านเข้ามาในธานี | ||
| จะห้ามไว้ให้หยุดก็ไม่อยู่ | ทำจู่ลู่ดูถูกชาวกรุงศรี | ||
| จงท่านเสนาธิบดี | ได้ปรานีอดโทษจงโปรดปราน | ||
| สิทธิกรรม์ยักษีมีพยศ | ครั้นปรากฏกิจจาที่ว่าขาน | ||
| คิดแค้นเคืองใจดั่งไฟกาล | ให้บันดาลโมโหโกรธา | ||
| อันเป็นทูตถือสารการแต่ก่อน | ต้องแรมร้อนผ่อนผันหันหา | ||
| ให้ด่านทางบอกกล่าวจึงเข้ามา | เพ็ดทูลกษัตราให้แจ้งการ | ||
| สั่งให้เบิกเข้ามายังกรุงศรี | ต้องที่ให้ทูตมาแจ้งสาร | ||
| นี่ช่างทำอาจอุกรุกราน | ข้ามด่านเข้ามานี่ว่าไร | ||
| คิดแล้วเรียกทหารชำนาญฤทธิ์ | มากมายหลายชนิดน้อยใหญ่ | ||
| เร่งตรวจตราพากันมาเร็วไว | คอยระวังนอกในพระพารา ฯ | ||
| ◉ บรรดาพวกทหารชำนาญศึก | บอกกันอึกทึกถ้วนหน้า | ||
| ต่างรู้กรูเกรียวกันเนืองมา | ถือศาสตราอาวุธยุทธยง | ||
| บ้างขึ้นรักษาที่หน้าป้อม | บ้างก็ล้อมราชวังดั่งประสงค์ | ||
| บ้างเฝ้าประตูเป็นหมู่นั่งล้อมวง | ล้วนหมู่จตุรงค์มากมาย | ||
| บางที่ลากปืนใหญ่เข้าใส่ช่อง | ถือชุดคอยจ้องเขม้นหมาย | ||
| ถ้าศึกมาสงครามจะถามนาย | สั่งให้ยิงแล้วก็หมายจะยิงปืน | ||
| ที่ขี้ขลาดชาติพลคนตาขาว | คอยข่าวนายว่าไม่ฝ่าฝืน | ||
| ทั่วทั้งเมืองอึกทึกเสียงครึกครื้น | พากันตื่นตามกันใจสั่นริก | ||
| บ้างทีว่าบ้านเมืองเราแต่ก่อน | ราษฎรอยู่ได้ไม่หยุกหยิก | ||
| ประเดี๋ยวนี้มีแต่จะซุกซิก | มันหยุกหยิกยุ่งใจไปทีเดียว | ||
| บ้างปรับทุกข์ให้กันฟังว่าครั้งนี้ | ถ้าศึกมีจะร้อนใจดั่งไฟเขียว | ||
| ไร่นาทำไว้ได้นิดเดียว | ยังไม่เกี่ยวเข้ามาบ้านรำคาญใจ | ||
| หญิงชายชาวเมืองก็เลื่องลือ | ความระบือออกลั่นสนั่นไหว | ||
| ต่างคนต่างกระหนกตกใจ | ซุบซิบพูดกันไปทั้งพารา | ||
| ฝ่ายสิทธิกรรม์จัดสรรหมู่ทหาร | อลหม่านวุ่นวายฝ่ายข้างหน้า | ||
| ฝ่ายข้างในได้ความที่ถามมา | นำกิจจาไปทูลพระเทพี | ||
| ว่าบัดนี้มีทูตมาทูลสาร | ข้ามด่านเข้ามายังกรุงศรี | ||
| เหตุเห็นต้นปลายร้ายหรือดี | ยังไม่แจ้งคดีราชการ | ||
| สิทธิกรรม์จัดสรรซึ่งโยธา | ให้รักษานิวาสราชฐาน | ||
| ให้ขึ้นป้อมล้อมรอบขอบปราการ | อลหม่านหนักหนาทั้งธานี ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายองค์พระธิดาดวงสมร | ฟังสุนทรทูลข่าวแก่สาวศรี | ||
| จินตนาปรารมภ์ไม่สมประดี | เทวีรำพึงคำนึงใน | ||
| อันราชการพารามีมาถึง | จะอ้ำอึ้งอยู่ฉะนี้หาดีไม่ | ||
| จำเราจะลีลาคลาไคล | ออกไปพระโรงรัตนา | ||
| จะได้รู้ราชการในสารศรี | ร้ายดีใคร่ครวญควรปรึกษา | ||
| ด้วยมนตรีข้าเฝ้าท้าวพญา | ได้รักษาธานีบุรีเรา | ||
| คิดแล้วแต่งองค์ทรงเครื่อง | รุ่งเรืองด้วยสุวรรณดั่งหล่อเหลา | ||
| สอดสะอิ้งแซมศรีมณีเนาว์ | พราวเพราเฉิดโฉมประโลมตา | ||
| ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตร | ยังท้องพระโรงราชอันเลขา | ||
| ด้วยฝูงสาวสรรค์กัลยา | คอยฟังกิจจาดั่งใจปอง ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายมิ่งมโนมัยมีพยศ | พาพระรถองอาจผาดผยอง | ||
| ข้ามกำแพงกรุงไตรดั่งใจปอง | มาลอยล่องเวหาอยู่หน้าวัง | ||
| โยธาสิทธิกรรม์ครั้นแลเห็น | ก็โลดโผนโจนเต้นอยู่สะพรั่ง | ||
| ผาดแผลงสำแดงฤทธิ์กำลัง | เข้ารอรั้งจะจับเอาอาชา | ||
| สิทธิกรรม์หันเหาะขึ้นอากาศ | สำแดงเดชสิงหนาทสหัสสา | ||
| เข้าไปใกล้มโนมัยตรงพักตรา | แล้วจึ่งมีวาจาถามไป | ||
| เหวยมนุษย์วุฒิไกรใจกล้า | ขี่ม้านี่จะไปตำบลไหน | ||
| ว่าเป็นทูตพูดจาไม่เกรงใคร | บังอาจใจเข้ามาถึงธานี | ||
| ด่านทางจะเรียกก็ไม่หยุด | เป็นมนุษย์ดูถูกพวกยักษี | ||
| ว่าถือสารสำคัญอันใดมี | จงแสดงแจ้งคดีมาเร็วพลัน ฯ | ||
| ◉ ปางพระรถสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | แจ้งรหัสข้อคดีไม่มีพรั่น | ||
| จึ่งตอบคำยักษามาด้วยพลัน | กล่องสำคัญนั้นอยู่ที่คอม้า | ||
| แล้วแก้กล่องเชิดชูดูถกล | ของสุนนทามารยักษา | ||
| ให้พวกยักษ์เห็นประจักษ์กับนัยนา | แล้วจึ่งมีวาจาว่าไป | ||
| อันกล่องแก้วนี้ใส่ราชสาร | ของสุนนทามารประสาทให้ | ||
| มีสลักสำคัญเป็นมั่นใจ | ยังรู้จักหรือไม่อสุรา | ||
| สิทธิกรรม์ครั้นเห็นกล่องแก้ว | จำได้แล้วว่าของนางยักษา | ||
| โดยสำคัญมั่นใจไม่สงกา | ก็ลงมากราบทูลนางเมรี | ||
| ราชทูตซึ่งถือสารตรา | ขององค์พระมารดามารศรี | ||
| ด้วยกล่องแก้วของสำคัญพระเทพี | ควรที่จะรับสารมาอ่านดู ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายมิ่งเมรีศรีสวัสดิ์ | ได้ฟังอรรถสิทธิกรรม์ก็นิ่งอยู่ | ||
| แล้วคำนึงนึกในใคร่ความดู | นางโฉมตรูจึ่งมีพจนา | ||
| ท่านผู้ปรีชาชาญการนคร | พระมารดรวางพระทัยให้รักษา | ||
| กิจการพระนครแต่ก่อนมา | ธรรมดาไมตรีบูรีรมย์ | ||
| ย่อมต้อนรับราชทูตพูดปราศรัย | ตามใกล้ไกลทางบุรีที่งามสม | ||
| นี่สารตรามารดาดั่งนิยม | มิใช่เขตนิคมที่ไหนมา | ||
| ควรจะรับราชสารอ่านให้แจ้ง | แม้นได้จริงจึ่งแสดงข้อกังขา | ||
| เกลือกจะมีเหตุผลยุบลมา | จะได้แจ้งกิจจาของชนนี | ||
| สิทธิกรรม์รับสั่งศรีสมร | ประนมกรลาเบื้องบทศรี | ||
| ออกมาแต่งตำแหน่งพลโยธี | ให้คอยรับสารศรีดั่งใจปอง | ||
| แล้วเหาะขึ้นยังพื้นนภากาศ | เชื้อเชิญยุพราชสารสนอง | ||
| ว่าบัดนี้ที่ประทับรับรอง | สารตราของพระแม่ที่มีมา | ||
| เชิญราชสารศรีไปที่พัก | อย่าช้านักสารพัดจัดไว้ท่า | ||
| พระทรงศักดิ์ชักราชอัศวรา | ลงมายังสำนักนิ์ที่พักพลัน | ||
| พระเสด็จประทับที่ตามควร | ตามกระบวนอสุรีที่จัดสรร | ||
| อสูรมารรับสารนั้นกว่าพัน | เป็นเหล่าหลั่นชั้นขุนนางและต่างกรม | ||
| มหาดเล็กถามความพระภูบาล | จะใคร่ครวญตรองการให้เห็นสม | ||
| พระตอบความตามควรแก่นิยม | แต่ประถมเหตุแจ้งตำแหน่งมา | ||
| สิทธิกรรม์จึ่งมีพาทีสรวล | เพลานี้สมควรเป็นหนักหนา | ||
| เชิญท่านผู้ถือสารตรา | ขึ้นไปเฝ้ากัลยาประเดี๋ยวนี้ | ||
| พระฟังคำทำยิ้มแล้วหยิบสาร | จึ่งมีรสพจมานแก่ยักษี | ||
| ท่านจงรับสาราแต่ข้านี้ | ไปคลายคลี่อ่านดูให้รู้ความ | ||
| อันตัวเราจะไปเฝ้าพระธิดา | ด้วยกลัวความครหายังเกรงขาม | ||
| ชอบแต่พระธิดาพงางาม | มาฟังความให้ประจักษ์สำนักนิ์เรา | ||
| ด้วยมิใช่อื่นไกลที่ไหนมา | ไปอ่านดูสารตราก่อนเถิดเจ้า | ||
| จะได้ทราบเรื่องประจักษ์ว่าหนักเบา | ซึ่งตัวเรานี้ก็แปลกเป็นแขกเมือง ฯ | ||
| ◉ สิทธิกรรม์ตอบความตามขนบ | ว่าเคยพบกิจการโบราณเรื่อง | ||
| ถึงธิดาใช่แปลกเป็นแขกเมือง | ผู้นำเรื่องกิจการท่านใช้มา | ||
| ผู้ถือสารต้องภาระจะไปเฝ้า | แต่จอมเจ้าธิบดินทร์ปิ่นเกศา | ||
| นี่ตัวท่านถือสารพระมารดา | เป็นผู้มาก็ต้องเฝ้าเล่าคดี ฯ | ||
| ◉ พระฟังอสุราที่ว่าขาน | จึ่งตอบการให้ประจักษ์แก่ยักษี | ||
| เราก็อตส่าห์มาถึงธานี | ซึ่งพาทีนั้นก็ชอบระบอบควร | ||
| อันตัวเรานี้มาแต่ไตรจักร | เป็นลูกรักรถสิทธิ์มหิศวร | ||
| ฝ่ายพระแม่นนทาเธอใคร่ครวญ | ถึงนิ่มนวลอัคเรศเมรี | ||
| จึ่งใช้เราถือสารสมานข่าว | ในเรื่องราวราชการในกรุงศรี | ||
| ว่านั้นก็จริงการสิ่งนี้ | แต่ขอหยุดที่นี่ก็ควรการ | ||
| ถึงมิใช่ใยเจือก็เนื้อญาติ | จงคิดคาดดูในข่าวเรื่องราวสาร | ||
| ควรแต่องค์พระธิดายุพาพาล | ดำริการจงประกอบให้ชอบกล | ||
| ถึงมีมาก็จงพาราชสาร | ไปคลี่อ่านให้แจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
| เราจะกลับพาราพายุบล | แจ้งนุสนธิ์สุนนทาอสุรี | ||
| หรือจะไม่คำนับรับสารา | เราจะลากลับยังบุรีศรี | ||
| จงท่านผู้เสนาธิบดี | ปรีชาให้ต้องที่ทำนองใน ฯ | ||
| ◉ สิทธิกรรม์ครั้นฟังพจนารถ | ไม่อาจจะโต้ตอบฉันใดได้ | ||
| จึ่งคำนับรับราชสารไป | ยังในท้องพระโรงรัตนา | ||
| เอาพานทองรองรับสุวรรณบัตร | อย่างกระษัตริย์อนุพรรณอันยศถา | ||
| โหราพราหมณ์รามราชอันเมธา | มานั่งเฝ้ากัลยาอเนกนันต์ | ||
| คอยฟังราชสารการบุรินทร์ | จะใคร่รู้ระบิลทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| ฝ่ายมหาเสนาสิทธิกรรม์ | ถวายบังคมคัลซึ่งสารตรา | ||
| ฝ่ายเมรีศรีสวัสดิ์ขัตติยราช | อภิวาทน้อมเกศพระเกศา | ||
| หมู่อำมาตย์มนตรีและเสนา | ก็วันทาพร้อมกันขึ้นทันที | ||
| มหาดไทยคลี่สารอ่านถวาย | เห็นเป็นลายเลขามารศรี | ||
| แห่งนางสุนนทาอสุรี | ด้วยฤๅษีเสกสรรนั้นแนบเนียน | ||
| ว่าสารตราสุนนทาอสุรี | มเหสีรถสิทธิ์สถิตเสถียร | ||
| ยังกรุงไกรจักรราชมนเทียร | แต่จากเจียนเจียรกาลประมาณปี | ||
| ด้วยคิดถึงอัครเรศผู้ร่วมจิต | ยิ่งแสนคิดมัวหมองไม่ผ่องศรี | ||
| จึงใช้ให้ลูกเราเอาคดี | มาแจ้งเหตุกับเมรีผู้ธิดา | ||
| ถ้าพระรถภูบาลชาญสมร | มาถึงพระนครของยักษา | ||
| ให้มนตรีข้าเฝ้าท้าวพญา | แต่งการวิวาห์กับเมรี | ||
| เร่งจัดสรรพ์ให้ทันวันมาถึง | อย่าอ้ำอึ้งเร่งให้ภิเษกศรี | ||
| จงทำตามสารตราที่พาที | อสุรีอย่าระแวงแคลงใจ | ||
| ครั้นเสร็จสิ้นราชสารอ่านเสนอ | พระนางเธอไม่มีจิตคิดสงสัย | ||
| ให้ซับซาบอาบอิ่มในฤๅทัย | ด้วยเคยได้เป็นคู่แต่ก่อนมา | ||
| จึงเรียกเอากล่องแก้วราชาสาร | เยาวมาลย์ถือไว้ในหัตถา | ||
| แล้วจึ่งมีมธุรสพจนา | ตรัสปรึกษาสิทธิกรรม์ทันใด | ||
| ท่านผู้มีปรีชาปัญญาฉลาด | สามารถชำนาญการน้อยใหญ่ | ||
| อันราชสารมารดาที่ว่าไว้ | สุดแต่ใจจะประกอบให้ชอบการ | ||
| เราจะได้เชิญองค์พระทรงเดช | เสด็จประเวศในนิวาสราชฐาน | ||
| จงปรึกษาโหราพฤฒาจารย์ | ให้แจ้งการร้ายดีแต่ที่จริง ฯ | ||
| ◉ โหรเฒ่าเข้าใจไสยศาสตร์ | อภิวาทแล้วก็คิดพินิจนิ่ง | ||
| คำนวณในสมพงษ์เห็นพาดพิง | แอบอิงลัคน์จันทร์ก็พันพัว | ||
| ชันษานารีนั้นดีแท้ | ธาตุกระแสน้ำกับไฟมิใช่ชั่ว | ||
| แต่กระดากได้นาคคนละตัว | น่ากลัวสมพงษ์องค์ธิดา | ||
| เอาชันษาทั้งสองมาบวกกัน | เอาสามนั้นมาคูณชันษา | ||
| เจ็ดหารเศษสี่ก็มีมา | โหรากราบทูลพระเทพี | ||
| ขอเดชเบื้องบาทพระแม่เจ้า | พระอาชญาล้นเกล้าบทศรี | ||
| ข้าพระเจ้าเรียนรู้ดูคัมภีร์ | ราศีสมพงศ์นั้นตรงกัน | ||
| จะได้ครองลองลิ้มแต่ชิมรส | คงมีจิตคิดคดเป็นแม่นมั่น | ||
| แต่ชะตานั้นดูเป็นคู่กัน | รักสนิทติดพันไม่เคลื่อนคลา | ||
| แต่เป็นเวรหนหลังนั้นยังมี | ที่เศษสี่นั้นยังร้ายอยู่หนักหนา | ||
| จะพลัดพรากจากกันมิทันช้า | ในสารามิได้จริงทุกสิ่งอัน ฯ | ||
| ◉ นางฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | โกรธโหรว่าแกล้งทายให้ผิดผัน | ||
| เอาแต่ชั่วทายว่าสารพัน | จะให้คนทั้งนั้นมันระบือ | ||
| ด้วยพระแม่สุนนทาว่าทั้งนี้ | ถ้าไม่ดีมารดาจะว่าหรือ | ||
| มาแกล้งทายซุกซนให้คนลือ | จะเชื่อถือโหราไปว่าไร | ||
| ใครจะว่าร้อยปากไม่อยากแน่ | เชื่อแต่แม่มั่นคงไม่สงสัย | ||
| ก็ตามแต่บุญกรรมได้ทำไว้ | สิทธิกรรม์เป็นผู้ใหญ่จงจัดแจง | ||
| สิทธิกรรม์ครั้นฟังรับสั่งสาร | ก็ตรวจการเกณฑ์ทำตามตำแหน่ง | ||
| แล้วเกณฑ์กันกราวเกรียวเที่ยวขอแรง | จัดแจงการด่วนก็เสร็จดี | ||
| พฤฒาพราหมณ์เชิญสองกษัตรา | แต่งการวิวาห์ภิเษกศรี | ||
| มหรสพครบเสร็จเจ็ดราตรี | ตามมีแบบอย่างแต่ก่อนมา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายองค์เมรีศรีสวัสดิ์ | โสมนัสด้วยอารมณ์ปรารถนา | ||
| เทพเจ้าเดินหนดลวิญญา | ให้ปรีดาประดิพัทธ์สวัสดี | ||
| ด้วยทรงยศพระรถฤทธิไกร | บุญได้เคยภิรมย์สมศรี | ||
| นวลนางสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | มาเข้าที่โสรจสรงคงคา | ||
| แต่งองค์ทรงเครื่องพรายพรรณ | ล้วนสุวรรณทองทิพย์อันเลขา | ||
| ภูษาทรงยกเมล็ดเกล็ดนาคา | ห่มมหาตาดริ้วดูผิวนวล | ||
| พระสุคนธ์ปนทองผ่องฉวี | ล้วนมณีแวววามงามสงวน | ||
| งามโฉมงามประโลมงามกระบวน | ธำมรงค์ทรงถ้วนพระหัตถ์นาง | ||
| แต่งองค์สมทรงนางกระษัตริย์ | ดูจำรัสแจ่มศรีไม่มีหมาง | ||
| ดั่งเทพสาวสวรรค์ชั้นสุรางค์ | ออกจากปรางค์ยุรยาตรคลาศคลา | ||
| พร้อมด้วยสุรางค์นางสาวสรรค์ | จรจรัลตามยุพินมาแน่นหนา | ||
| ครั้นถึงห้องแก้วแววฟ้า | กัลยาบังคมภูวไนย | ||
| พระรถรับจับหัตถ์วรนุช | พระกรยุดกรแก้วแล้วปราศรัย | ||
| ขอเชิญน้องเจ้าของปราสาทชัย | มาเนาในแท่นทิพยโอฬาร์ | ||
| พี่เป็นคนตกยากมาฝากองค์ | ยุพยงเยาวยอดเสน่หา | ||
| มาชูเชิดขึ้นให้เลิศมโหฬาร์ | ดั่งเทวาดาลเดชไกรเกรียง | ||
| สำแดงฤทธิ์เนรมิตพระพาหา | ประกาศก้องช่องฟ้าด้วยแสงเสียง | ||
| เข้าประคองเขาสุเมรุที่เอนเอียง | ประเทืองเที่ยงฟูฟื้นให้คืนตรง | ||
| ก็เห็นใจว่ามีใยนิยมสวาสดิ์ | ขอเชิญเยาวราชนวลหงส์ | ||
| มาร่วมอาสน์อิงเขนยที่เคยทรง | ไยอนงค์เอื้อนอายระคายกัน | ||
| ตรัสพลางทางชวนสถิตแท่น | ฤๅทัยแสนเสน่ห์น้องประคองขวัญ | ||
| นางเมรีน้อมนบอภิวันท์ | พระกรกันกันกรด้วยงอนอาย | ||
| จึ่งน้อมเกล้ากล่าวรสพจนา | โดยอัชฌาสุจริตที่คิดหมาย | ||
| ขอพระเดชปกเกศอย่าระคาย | ด้วยเงื่อนสายแรกมาถึงธานี | ||
| อสูรไม่รู้จักจึ่งหักห้าม | ไม่ทราบความจะขุ่นข้องหม่นหมองศรี | ||
| จะแหนงจิตคิดคะเนว่าเมรี | นี่ถือใจไม่มีซึ่งอัชฌา | ||
| จงงดโทษโปรดปรานประทานให้ | ขออภัยอย่ามีซึ่งโทษา | ||
| พระปลอบนางทางตอบกัลยา | อนิจจาพี่หรือจะถือใจ | ||
| ด้วยรักเยาวยอดหญิงอย่ากริ่งโกรธ | จงปราโมทย์รสรักหนักไฉน | ||
| ดวงสมรอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย | อย่าขึ้งเคียดเกียดไยให้ระแวง | ||
| พระมารดาก็เป็นใหญ่ในไตรจักร | รักพี่รักน้องไม่กินแหนง | ||
| ยังเจือเนื้อสองชั้นท่านรักแรง | เจ้าย่อมแจ้งที่ในสารพระมารดร ฯ | ||
| ◉ พระเยาวยอดกระษัตริย์เมรีสดับ | ให้แจ้วจับฤทัยสายสมร | ||
| ดังสุคนธ์ทิพยรสชโลธร | มารดกายหายร้อนให้เย็นใจ | ||
| จึ่งอ่อนองค์ประณตบทศรี | กล่าวรสวาทีอันแจ่มใส | ||
| ทอดสนิทดั่งจะปลิดดวงฤๅทัย | ออกชูให้เห็นรักประจักษ์ตา | ||
| พระรถฟังนุชนางสว่างจิต | รักสนิทหลงเล่ห์เสน่หา | ||
| สองกระษัตริย์ประดิพัทธ์ภิรมยา | พระแนบชิดกัลยาด้วยทันใด | ||
| ฟั่นเฝือดุจเรือกับสายน้ำ | ประลองลำลอยวนชลไหล | ||
| ก็ฝ่าฝืนคลื่นเฉียงจะเหวี่ยงไป | เรือก็ไหลตามกระแสที่แปรปรวน | ||
| แม้นพายุกระพือพัดกระจัดกล้า | จึงทรุดซาไปประสมตามลมหวน | ||
| กระทบคลื่นเรือเต้นเป็นกระบวน | ปั่นป่วนด้วยระลอกกระฉอกซัด | ||
| ต้นหนคนท้ายก็ย้ายเย้ | พอเรือเหง้างเงื้อหางเสือตัด | ||
| พอลมดีก็เอากล้องส่องบรรทัด | เรือก็ลัดหลังน้ำไปตามลม | ||
| อย่างเยาวยุพาแรกมาเชย | ถึงไม่เคยจำเคยที่เสพสม | ||
| สองกระษัตริย์ประดิพัทธ์เกลียวกลม | ก็บรรทมอยู่บนแท่นแสนเปรมปรีดิ์ | ||
| เพลาค่ำย่ำสนธยากาล | พนักงานสังคีตดีดสี | ||
| ทั้งนางขับสำหรับมโหรี | คอยบำเรอภูมีอเนกเนือง | ||
| แต่ละคนอ้อนแอ้นทั้งกิริยา | โสภาผ่องฉวีสีเนื้อเหลือง | ||
| เนตรชม้ายคายคมทำชำเลือง | กระบิดกระบวนยวนเยื้องยั่วใจชาย | ||
| บ้างก็ตีโทนทับดีดจับปี่ | สีซอซอสีประสานสาย | ||
| ระนาดท้องฆ้องเล็กระนาดไม้ | ตะเข้สายฉิ่งกรับสำรับกัน | ||
| พรั่งพร้อมคอยกล่อมเมื่อบรรทม | ให้นิยมเพลินพระทัยกระเษมสันต์ | ||
| ครั้นพร้อมสรรพก็ขับขึ้นด้วยพลัน | กระหม่อมฉันจะกล่อมให้นิทรา ฯ | ||
| ◉ โอ้ว่าพระทองของน้องเอ๋ย | ทรามเชยผู้ยอดเสน่หา | ||
| มาไสยาสน์อยู่บนอาสน์รัตนา | งามดั่งสุริยากับพระจันทร์ | ||
| งามทรงวงพักตร์ลักขณา | ดั่งเทวากับสุรางค์นางสวรรค์ | ||
| อยู่ไกรจักรนคเรศเขตคัน | มรรคาไกลกันพันทวี | ||
| เทพดาดลใจให้ประเวศ | ข้ามเขตหมายมุ่งมากรุงศรี | ||
| ได้สมถวิลสิ้นกังขาไม่ราคี | ดั่งมณีเรือนรองทองสุวรรณ | ||
| ถนอมรักแล้วจงรักอย่าคลายถนอม | ดูพริ้งพร้อมสมปองครองไอศวรรย์ | ||
| พระทองหวนผวนเสียงแล้วโอดพัน | เพลงบุหลันลอยฟ้านภาลัย | ||
| สาวสุรางค์เหมือนหนึ่งนางในไกรลาส | สร้อยสนสนสวาทพิสมัย | ||
| เทพบรรทมจงบรรทมสำราญใจ | จีนแสให้โศกาแล้วจาบัลย์ | ||
| พระยาโศกโศกหนักสลักจิต | พระยาคิดวิโยคโศกศัลย์ | ||
| จงเป็นศรีรมเยศเขตทานตะวัน | ครอบครองเขตคันบุรี | ||
| จักรพงศ์ทรงฟังที่กล่อมขับ | ให้วาบวับจับเสียวพระทรวงศรี | ||
| ให้ฉุนเฉียวเฉลียวคิดถึงชนนี | พระภูมีทำชื่นขืนอารมณ์ | ||
| แล้วเสสรวลชวนชื่นประโลมลอง | ทั้งสองชื่นชมสมประสงค์ | ||
| พระเชยแก้มแนมปรางนางโฉมยง | เอนอิงพิงองค์พระเทพี | ||
| ปางพระรถเยาวราชภิรมเยศ | ด้วยเยาวเรศเมรีมารศรี | ||
| แสนสุดสุขกระเษมเปรมปรีดิ์ | ในแท่นที่ทิพอาสน์ปราสาททอง | ||
| ให้คิดถึงพาชีคู่ชีวิต | พระทรงฤทธิ์จึ่งบรรหารสารสนอง | ||
| ดูกรเจ้าเยาวยอดมณฑาทอง | พี่กริ่งกรองคิดถึงมโนมัย | ||
| ม้าตัวนี้เคยขี่มาแต่ก่อน | จะเขจรสถิตไปทิศไหน | ||
| มันแคล่วคล่องถูกต้องในฤทัย | พี่รักใคร่ได้อาศัยมาชำนาญ | ||
| เมื่ออยู่เมืองเชื่องใช้ให้หญ้าป้อน | อยู่แทบใกล้บัญชรรโหฐาน | ||
| อันมานี่ครั้งนี้หลายวันวาร | เนิ่นนานมิได้ไปเยี่ยมเยือน | ||
| อันม้าพยศหลายวันไม่ป้อนหญ้า | จะเริงร่าตื่นเต้นเช่นม้าเถื่อน | ||
| เมื่อขับขี่ก็จะมีแต่แชเชือน | จะฟั่นเฟือนทางที่พาชีไป | ||
| ถ้าผูกไว้ริมแกลพอแลเห็น | เช้าเย็นพี่จะไปป้อนหญ้าให้ | ||
| จะทำโรงพาชีไว้ที่ใน | แม่ขวัญใจจงแจ้งซึ่งกิจจา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายอัครนารีศรีสวัสดิ์ | ได้ฟังอรรถภูวไนยไม่กังขา | ||
| รักผัวกลัวจะขัดพระอัชฌา | ไม่รู้การผ่านฟ้าอุบายกล | ||
| จึ่งสั่งนางสาวศรีและโขลนจ่า | ให้จัดแจงโรงม้าโดยนุสนธิ์ | ||
| จึงจูงม้ามาไว้ใกล้ไพชยนต์ | ตามคำสั่งนฤมลเจ้าเมรี | ||
| แต่นั้นมาเวลาทั้งเช้าเย็น | พระผ่านเกล้ารถเสนเรืองศรี | ||
| เสด็จลงป้อนหญ้าให้พาชี | ทุกราตรีทิวาเวลากาล | ||
| อัสดรกระซิบสอนเตือนสติ | ให้เริ่มริปดป้อยอสมาน | ||
| ให้ชวนนางเลี้ยงเหล้าพิชัยบาน | ถ้าเยาวมาลย์เมาสุราเสียอารมณ์ | ||
| ให้ลวงถามความรหัสให้ชัดเหตุ | จะคืนนคเรศกระเษมสม | ||
| พระรถฟังคำม้ามานิยม | ก็เอื้อนอมความไว้ในพระทัย | ||
| จึ่งเสด็จขึ้นยังปราสาทศรี | ครั้นราตรีสิ้นแสงพระสุริย์ใส | ||
| พระเชยชมเยาวมาลย์สำราญใจ | อรทัยเมรีก็ปรีดา | ||
| เสด็จนั่งเหนือเตียงเข้าเคียงน้อง | พลางประคองกรแก้วขนิษฐา | ||
| เมรีโสมนัสด้วยภัสดา | เสน่หารำจวนป่วนใจ | ||
| พระจึ่งมีพจนารถถนอมขวัญ | เจ้าดวงจันทร์ยาจิตพิสมัย | ||
| แต่พี่มาช้านานนะทรามวัย | ประมาณได้หลายทิวาราตรี | ||
| พี่นึกนึกจะใคร่เลี้ยงราษฎร | ให้ถาวรเป็นสุขเขษมศรี | ||
| ทั้งจะเลี้ยงเสนาธิบดี | ให้เป็นที่สบายค่อยคลายทุกข์ | ||
| ว่าจะเลี้ยงโต๊ะกันสักวันหนึ่ง | แต่รำพึงก็เห็นเป็นสนุกนิ์ | ||
| ถ้ากินเหล้าเมามายก็หายทุกข์ | หมู่มุขมนตรีจะดีใจ | ||
| นางเมรีทรามวัยได้ฟังผัว | ชอบใจตัวเพราะต้องอัชฌาศัย | ||
| ด้วยกัลยาชอบสุราและเมรัย | ที่ตรึกไตรนี้ก็สมอารมณ์กัน | ||
| ไม่รู้จักว่าผัวตัวเจ้าเล่ห์ | นึกคะเนก็จริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| จึ่งทูลความตามระบอบที่ชอบธรรม์ | ซึ่งการนั้นอย่าได้คิดกังวล | ||
| พรุกนี้น้องรักจะจัดการ | เลี้ยงเหล้าพิชัยบานไม่ขัดสน | ||
| พระอย่าได้ตรองตรึกนึกกังวล | น้องจะคิดผ่อนปรนให้จงดี | ||
| สุดแต่จะประสงค์สิ่งอันใด | น้องมิให้ขัดเคืองเบื้องบทศรี | ||
| ทูลพลางทางเข้าทำเย้ายี | ชวนชักภักดีให้เปรมปรา | ||
| นางชะอ้อนวอนว่าแล้วยิ้มแย้ม | พระเชยแก้มแนมรสนาสา | ||
| นางยิ้มเยื้อนเตือนอารมณ์ภิรมยา | พระต้องถันกัลยายิ้มละไม | ||
| ประโลมเล่นให้เห็นว่ารักสนิท | ที่แยบยลกลคิดเอาการใหญ่ | ||
| ทำพิรี้อย่าให้อ้อนซ่อนน้ำใจ | เอาวาจาลูบไล้ให้หลงกล | ||
| ฝ่ายเมรีรักผัวจนตัวมืด | ดั่งหว่านพืชคิดเห็นว่าเป็นผล | ||
| ไม่รู้ว่าตัวพะวงมาหลงกล | ไม่เชื่อคนมัวรักด้วยภักดี | ||
| แต่คลึงเคล้าเย้ายวนป่วนสวาท | ในปรางค์มาศปราสาททองผ่องศรี | ||
| ทั้งสองสมสังวาสสวัสดี | ด้วยมีมาโนชญ์เสมอกัน | ||
| ถ้าแต่ตัวก็จะมัวเสน่หา | นิอาชาตักเตือนให้ผ่อนผัน | ||
| กระซิบบอกเหตุเห็นเป็นสำคัญ | พระทรงธรรม์รู้สึกสำนึกใน ฯ | ||
| ◉ ครั้นรุ่งแจ้งแสงสุริโยภาส | ฝ่ายเยาวราชเมรีศรีใส | ||
| ตื่นประทมออกสนมแล้วทรามวัย | ก็สั่งให้วิเสทเร่งเตรียมการ | ||
| ให้เทียบพระสุพรรณภาชน์โอชารส | ให้หมดจดของทั้งคาวหวาน | ||
| จัดแจงโรงเลี้ยงหน้าพระลาน | เตรียมการอย่าช้าเพลานี้ | ||
| ให้บาดหมายจ่ายไปตามตำแหน่ง | ที่เดือนออกขอแรงเข้ามานี่ | ||
| ให้เจ้าภาษีจ่ายให้ตามบาญชี | ทั้งชาดีบุหรี่หมากให้พร้อมเพรียง | ||
| ครั้นเสร็จสรรพยกสำรับมาแน่นหนา | ในโรงเลี้ยงข้างหน้าออกแซ่เสียง | ||
| เครื่องแกล้มเหล้านั้นมาตั้งทั้งของเคียง | หมูทั้งตัวตั้งเรียงเป็นหลั่นกัน | ||
| เป็ดนึ่งข้างในใส่ลูกบัว | ไก่ทั้งตัวปิ้งพะแนงแกงมัสมั่น | ||
| อั้งโล่แกงร้อนไฟใส่ในนั้น | เนื้อสมันยำญวนล้วนของดี | ||
| ยำเต่าตะพาบน้ำโอชารส | แกงปลาไหลใส่พริกสดร้อยสิบสี่ | ||
| กระจาบคั่วหมูหองล้วนของดี | ขวดบ้าหรั่นอาหนีเรียงกันไป | ||
| มีดตะเกียบส้อมช้อนที่อย่างดี | คนเลี้ยงนั้นมากมีมาจัดให้ | ||
| ของหวานพนักงานพวกข้างใน | ก็ขนไปโรงเลี้ยงดั่งบัญชา | ||
| ครั้นพร้อมเสร็จเสด็จทอดพระเนตร | พวกวิเสทขนส่งมาหนักหนา | ||
| สั่งให้หาข้าเฝ้าท้าวพระยา | มากินโต๊ะเต็มในหน้าพระโรงเลี้ยง | ||
| ครั้งนั้นผู้ดีที่มีศักดิ์ | ประยูรยักษ์บอกกันสนั่นเสียง | ||
| ก็มาพร้อมล้อมสะพรั่งเข้านั่งเรียง | กินเลี้ยงกินเหล้าก็เมามึน | ||
| หยิบตะเกียบเสียบลิ้มชิมดูกับ | มีดพับเชือดตะเกียบหนีบคีบขึ้น | ||
| เอาช้อนตักหมูหองไม่ต้องกลืน | ที่เมามึนเต็มประดาลงกรอกคอ | ||
| ที่ยังบกพร่องต้องซ้ำเติม | พวกคนเลี้ยงยุเสริมเอาสิพ่อ | ||
| รินส่งซ้ำเข้าไปเอาให้พอ | อย่าย่อท้อกินลองของประทาน | ||
| ที่กินมากเอาขวดมากอดไว้ | ไอ้ขวดนี้ดีสุดใจทั้งหอมหวาน | ||
| ที่มิใช่นักเลงเหล้าก็เมาซาน | บ้างลุกทะยานว่ามึงอย่าอึงไป | ||
| ทั้งสององค์ทรงดูเขาเมามาย | แสนสบายไม่มีที่เปรียบได้ | ||
| ก็ชวนกันเยื้องย่างเข้าข้างใน | พวกสาวใช้นั้นกินสิ้นทุกคน | ||
| บ้างฉวยได้ขวดบ้าหรั่นกะหลาป๋า | วิ่งพาเข้าในห้องทุกแห่งหน | ||
| แล้วรินแจกแบ่งปันกันทุกคน | สับสนเมามายไม่สมประดี ฯ | ||
| ◉ ปางองค์ทรงฤทธิ์นฤเบศร์ | ชวนองค์อัคเรศมเหสี | ||
| เสด็จเข้าในห้องอันรูจี | ภูมีสถิตที่แท่นอำไพ | ||
| พนักงานเชิญเครื่องเนืองกันมา | ตั้งถวายภูธรหาช้าไม่ | ||
| ทั้งแกล้มเครื่องชัยบานตระการใจ | ใส่ภาชนะทองล้วนของดี | ||
| พระจูงกรสายสมรขึ้นร่วมอาสน์ | ตรัสประภาษปราศรัยแก่โฉมศรี | ||
| มาเสวยน้ำจัณฑ์ขวดนั้นดี | แก้วพี่รินแล้วจงส่งมา | ||
| เมรีฟังภูมีก็รินเหล้า | แล้วถวายผ่านเกล้าด้วยหรรษา | ||
| พระรับจอกมาลิ้มชิมสุรา | ลืมพักตราว่ามันเก่งเสียจริงเจียว | ||
| แล้วส่งจอกให้น้องลองดูที่ | ชาติอาหนีนี่กระไรมันฉุนเฉียว | ||
| นางรับจอกมาดื่มเสียพักเดียว | แล้วก็เหลียวลองรินให้ราชา | ||
| พระจับจอกกลับบอกมเหสี | ไอ้จอกนี้สุดดีกะหลาป๋า | ||
| แล้วส่งจอกคืนไปให้สุดา | เจ้าลองดูอีกสักคราเถิดโฉมยง | ||
| เมรีหลงกลด้วยตนซื่อ | ก็ยื่นมือรับจอกโดยประสงค์ | ||
| แล้วหลับตาดื่มเหล้าดั่งใจจง | วางจอกลงเคลิ้มเขลาเมาสุรา | ||
| พระทรงฤทธิ์พิศวาสเจ้าเมรี | เห็นสมประดีเคลิบเคลิ้มเป็นหนักหนา | ||
| ฟั่นเฟือนเลื่อนเปื้อนกิริยา | ผ่านฟ้าอุบายในจำนง | ||
| มานี่น้องชมห้องดูฉากเขียน | ลายระเบียนเขียนเรื่องสุวรรณหงส์ | ||
| นั้นเยาวเรศรูปเจ้าเกศสุริยง | งามบรรจงจิ้มลิ้มยิ้มหยอกกัน | ||
| โน่นเขียนรูปอะไรเล่านะเจ้าพี่ | นางเมรีบอกว่าเรื่องพิมสวรรค์ | ||
| โน่นรูปแสงสุริยาวิลาวัลย์ | ที่ตรงนั้นเรื่องราวพระคาวี | ||
| โน่นแน่เจ้าดวงดาวที่ดาษ | เห็นโอภาสพรรณรายเป็นหลายสี | ||
| นั้นอะไรแขวนไว้ทั้งตาปี | ที่กั่งกั่งรีรีนั้นสิ่งไร | ||
| นางเมามัวบอกผัวว่าห่อยา | มีฤทธานึกอะไรก็ทำได้ | ||
| นั้นดวงเนตรนางสิบสองทรามวัย | ทั้งกำพตฤทธิไกรอันศักดา | ||
| ฝ่ายพระรถภูวไนยไถลถาม | แม่โฉมงามเยาวยอดเสน่หา | ||
| อันดวงเนตรแขวนไว้ไกลห่อยา | พี่ไม่แจ้งกิจจาประการใด | ||
| อันกำพตแขวนไว้ใต้เพดาน | จะต้องการไปทำไมสิ่งใดได้ | ||
| สายสวาทจงเล่าให้เข้าใจ | พี่เป็นคนมาใหม่ไม่แจ้งการ | ||
| นางไม่รู้ว่าผัวตัวเจ้าเล่ห์ | ทำแสร้งเสลบล้างทางสมาน | ||
| ด้วยสติเคลิ้มเขลาเมาซมซาน | จึงแจ้งการสิ่งรหัสแก่ภัสดา | ||
| โอ้พระทองน้องจะบอกนะทูนหัว | มิใช่ชั่วกำพตมียศฐา | ||
| แผลงไปในพื้นพระสุธา | มีศักดานึกได้ดั่งใจปอง | ||
| อันโอสถนั้นประสมด้วยนัยนา | ไปใส่ตาเอวบางนางสิบสอง | ||
| จะคืนดีแจ่มแจ้งแสงเรืองรอง | พระรูปทองจงแถลงแจ้งในใจ | ||
| พระทรงฟังชี้แจ้งรหัส | โสมนัสยินดีจะมีไหน | ||
| ก็สำคัญมั่นไว้แต่ในใจ | ภูวนัยชวนนางเยื้องย่างกราย | ||
| สถิตที่แท่นแก้วอันบวร | พระประคองสายสมรฤทัยหมาย | ||
| ถึงแม่ป้าตรากตรำระกำกาย | แสนระคายเคืองข้องให้หมองใจ | ||
| ทั้งรักนางพ่างจะกลืนให้ชื่นจิต | แนบสนิทพิศวงให้หลงใหล | ||
| ประโลมเล้ากัลยาด้วยอาลัย | ก็หลับไปในแท่นรจนา ฯ | ||
| ◉ บัดนั้นมโนมัยใจหาญ | คอยฟังการดาลดิ้นถวิลหา | ||
| ไม่เห็นภูวไนยเธอไคลคลา | มาป้อนหญ้าให้น้ำเป็นสำคัญ | ||
| พาชีร้อนใจดั่งไฟเผา | สิ้นสำเนาความเห็นเป็นมหันต์ | ||
| เอะไฉนใยองค์พระทรงธรรม์ | หลายวันแล้วพระองค์ไม่ลงมา | ||
| จะพิศวงหลงเล่ห์อีนางยักษ์ | เห็นประจักษ์จริงแจ้งไม่กังขา | ||
| อัศวราชเริงร้องก้องพารา | ทำมารยากระทืบโรงสนั่นไป | ||
| ฝ่ายพระรถร่วมห้องกับเมรี | ได้ยินเสียงพาชีให้มันไส้ | ||
| โมโหฮึกนึกเดือดอยู่ในใจ | ม้าลานี่กระไรมันคอยกวน | ||
| ม้าร้องหี่แห้ออกแซ่เสียง | กระทืบโรงเปรี้ยงเปรี้ยงทำหุนหวน | ||
| เธอก็รู้ท่วงทีที่กระบวน | วางนางแล้วก็ด่วนเสด็จมา | ||
| ครั้นถึงพาชีทำทีไถล | เข้าไปเอามือคลำเอาน้ำหญ้า | ||
| มาทอดให้มโนมัยมิได้ช้า | จึ่งกระซิบบอกว่าได้ใจความ | ||
| จึ่งเล่าเรื่องวันนั้นฉันชมฉาก | ได้ความมากโดยจริงสิ่งที่ถาม | ||
| อาชาอย่าด่วนให้ลวนลาม | ทำวู่วามความแตกจะแปลกใจ ฯ | ||
| ◉ อาชาได้ฟังแล้วสั่งซ้ำ | จงคิดทำผันแปรแล้วแก้ไข | ||
| จงตรองตรึกสู้ศึกข้างภายใน | ตั้งพระทัยไว้ให้มั่นกตัญญู | ||
| อันแม่ป้าทารกรรมอยู่ข้างหลัง | อย่าประมาทพลาดพลั้งจะอดสู | ||
| จะมาดหมายแต่ตัวมัวเล่นชู้ | จงตรึกดูผ่านฟ้าอย่าลืมเลย | ||
| มาได้เมียมั่งมีเป็นศรีสุข | ลืมความทุกข์ข้างหลังทำนั่งเฉย | ||
| หลงสมบัติสตรีไม่ดีเลย | ถ้าไม่เคยจะเกิดยุคไม่ทันรู้ | ||
| พระน้องเอ๋ยโลกีย์เป็นที่หลง | ใครตกหลุมแล้วก็คงได้อดสู | ||
| ใครหลงเมียแพ้เสียแก่ศัตรู | ก็มีอยู่แบบฉบับตำรับมา | ||
| อันชายเฉาเมามัวด้วยนารี | เสียแรงสร้างบารมีนั้นหนักหนา | ||
| อันเสียรู้เพราะรักจักคณนา | มากกว่าร้อยพันอนันต์ไป | ||
| จะหาเมียกล่นเกลื่อนเหมือนจอกแหน | จะหาแม่นี่จะหามาแต่ไหน | ||
| จะมีทองเท่าหัวตัวแบกไป | เอาทองแลกแม่ใครจะเอาทอง | ||
| แต่นักเลงทุกวันนั้นเขาว่า | คุณมารดามีแท้แต่สิบสอง | ||
| คุณเมียถึงสามสิบพอหยิบครอง | พูดกันเล่นพอคล่องคล่องสนุกนิ์ใจ | ||
| แต่พูดเล่นเพียงนี้ก็มีบาป | ใจคนหยาบพาทีหาดีไม่ | ||
| อย่าพึงฟังตั้งหูไว้ให้ไกล | พูดอะไรให้เป็นการท่านกล่าวมา | ||
| แต่โพธิสัตว์สร้างสมบรมทาน | อภิบาลพิทักษ์รักษา | ||
| สรรเสริญจำเริญคุณพระมารดา | สิ่งใดน่าเปรียบประมาณไม่ปานปูน | ||
| มาได้เมียใจปลื้มลืมพระแม่ | หลงกระแสมิตรมิ่งให้สิ่งสูญ | ||
| จงตรองตริ่งสิ่งใดในเค้ามูล | เพิ่มพูนตรึกตราหาเอาไป | ||
| ผลมะนาวมะม่วงก็ห่วงหนึ่ง | เร่งรำพึงผันแปรคิดแก้ไข | ||
| ได้แล้วเราจะพากันคลาไคล | จะอยู่ไยในเมืองอสุรา ฯ | ||
| ◉ พระฟังคำมโนมัยให้สติ | ทรงดำริต้องระบอบชอบหนักหนา | ||
| ก็กลืนกล้ำจำไว้ในอุรา | เสด็จมาปรางค์แก้วอันแววไว | ||
| เข้าสู่ห้องน้องรักภิรมย์ขวัญ | นางอภิวันท์ภัสดาแล้วปราศรัย | ||
| ไปทอดหญ้าอาชาสงบไป | เงียบเชียบนี่กระไรเป็นครึ่งวัน | ||
| พระตอบว่าม้าลาก็อาเพศ | มันเกิดเหตุเกิดความเมื่อยามกระสัน | ||
| ว่าพลางถนอมนางไม่ห่างกัน | แกล้งรำพันกล่าวถ้อยสุนทรวอน | ||
| พี่อยากไปเที่ยวชมในสวนศรี | ให้เปรมปรีดิ์เป็นสุขสโมสร | ||
| นางทูลองค์ภัสดาอย่าอาวรณ์ | น้องจะพาภูธรไปชมไพร | ||
| อันสวนแก้วอุทยานของน้องนั้น | สารพันพฤกษางามไสว | ||
| พระได้เห็นแล้วคงเพลินจำเริญใจ | น้องปลูกไว้มากมายมีหลายพรรณ | ||
| ต่อวันน้องจะพาไปเที่ยวเล่น | เพลานี้ตะวันเย็นสุริย์ฉัน | ||
| จะไปสวนด่วนกลับไหนจะทัน | ผัดต่อวันพรุ่งนี้จึ่งลีลา | ||
| พระองค์ทรงซึ่งพาชี | อันตัวของน้องนี้ขี่เยียงผา[1] | ||
| ตามเสด็จภูวไนยไคลคลา | เก็บผกาผลไม้ให้สารพัน | ||
| พระโลมลูบปฤษฎางค์ทางเชยชื่น | ดั่งจะกลืนไว้ในทรวงพวงสวรรค์ | ||
| แต่เชยชมสมญาจนสายัณห์ | สัพยอกหยอกกันจนราตรี | ||
| เสียงประโคมแตรสังข์ฟังเสนาะ | มโหรีตีเพราะด้วยดีดสี | ||
| นางบำเรอเสนอสำเนียงดี | ระเรื่อยรี่รับขับกล่าวกลอน | ||
| พระเสด็จเนาในไสยาอาสน์ | ด้วยเยาวราชเมรีศรีสมร | ||
| ฟังเพลินจำเริญจิตสนิทนอน | หลับอยู่เหนือบรรจถรณ์ในราตรี | ||
| ปัจจุสมัยไก่ขันสนั่นก้อง | ดุเหว่าร้องเร้าเร่งพระสุริย์ศรี | ||
| สุริวงศ์กับองค์เจ้าเมรี | ตื่นประทมจากที่ศรีไสยา | ||
| ฝ่ายเหล่าพนักงานถือพานชู | หมอบเมียงเคียงอยู่ทั้งซ้ายขวา | ||
| ถวายขันใส่สุวรรณธารา | โสรจสรงพักตราสิ้นราคี | ||
| ชาวเครื่องตั้งพระธัญญาหาร | สองเสวยสำราญกระเษมศรี | ||
| เสร็จแล้วทรงเครื่องอันรูจี | สอดศรีแลององค์พระทรงธรรม์ | ||
| นางประดับแต่งเครื่องเครื่องประดิษฐ์ | พระทรงเครื่องเขียวขจิตทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| พระจูงกรกัลยาวิลาวัณย์ | จรจรัลพลางเรียกซึ่งอาชา | ||
| นางเมรีเดินหลังสั่งให้แต่ง | เครื่องมณีสีแดงแต่งเยียงผา | ||
| เบาะอานแผงข้างอย่างอาชา | ก็นำมาถวายสองต้องพระทัย | ||
| นางเมรีโฉมยงทรงเยียงผา | พระรถทรงอาชาไม่ช้าได้ | ||
| ขับม้าเยียงผาก็คลาไคล | จากนิเวศวังในรีบไคลคลา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายว่าพาชีมีพยศ | พาพระรถบทจรก่อนเยียงผา | ||
| นางเมรีก็ขับเยียงผามา | ไม่ช้าก็ถึงอุทยาน | ||
| ถึงสวนก็ชวนนุชนาฏ | เที่ยวประพาสปรีดิ์เปรมกระเษมศานต์ | ||
| รุกขชาติดอกห้อยลงย้อยยาน | กิ่งก้านเรียบร้อยช้อยชด | ||
| บางดอกเบิกบานตระการกลิ่น | หอมประทิ่นกลิ่นขจรเกสรสด | ||
| วายุพัดรำเพยระเหยรส | ปรากฏกลิ่นแก้วพิกุลทอง | ||
| สารภีคลี่คลายขยายกลีบ | พุดจีบซองแมวเป็นแถวถ่อง | ||
| กรรณิการ์ตกรายอยู่ก่ายกอง | นวลละอองด้วยรสสุคนธาร | ||
| พระขับม้าเข้าเคียงกับเยียงผา | เด็ดดอกจำปามาจากก้าน | ||
| นางเก็บได้สายหยุดดอกพุดตาน | มาแลกเปลี่ยนภูบาลประทานไป | ||
| พระเด็ดดอกลำดวนชวนนางดม | โน่นแน่เจ้าสุกรมนมนางไสว | ||
| สารภีนี่แนเจ้าจงเอาไป | นั่นดอกดวงพวงอะไรดูเรียงราย | ||
| นางบอกว่าดอกปาริชาติ | พระว่าช่างงามประหลาดนั้นมากหลาย | ||
| พระชมพลางชวนนางทางอุบาย | ชักม้าร่ายเข้าไปเคียงเยียงผาน้อง | ||
| แล้วขับเคียงเรียงหน้ามาทั้งคู่ | ไม้ขนัดจัดดูเป็นแถวถ่อง | ||
| จะได้รู้จักนามแกล้งถามลอง | ยังไม่สบที่ต้องจำนงมา | ||
| จึ่งตรัสว่าเจ้าพี่ศรีสุวรรณ | จงบอกชื่อคือพรรณพฤกษา | ||
| พี่ไม่แจ้งเลยนะงามนามผลา | จงบอกมาตรงนี้ต้นอะไร | ||
| นั่นคือไม้อินจันพันธุ์ละมุด | โน่นมังคุดขนุนหนังทั้งโตใหญ่ | ||
| นั่นหรือลูกระกำนั่นลำไย | โน่นมะไฟลูกเหลืองมะเฟืองรี | ||
| ที่มีขนรึงรังอยู่ข้างนอก | ชื่อลูกเงาะน้องจะบอกพระโฉมศรี | ||
| ที่เกลี้ยงกลมโตโตส้มโอดี | ต้นกระถินลิ้นจี่มีผลพวง | ||
| นั่นต้นอะไรเล่านะเจ้าพี่ | นางเมรีบอกให้ว่าไม้ม่วง | ||
| นั่นมะนาวผลออกเป็นดอกดวง | ไม้มะม่วงมะนาวโห่หาวดัง | ||
| พระฟังคำจำมั่นสำคัญแน่ | ได้กระแสสมในพระทัยหวัง | ||
| จึ่งขับม้าวิ่งแต้แต่ลำพัง | นางอยู่หลังตามองค์พระทรงธรรม์ | ||
| มโนมัยรู้เชิงกระเจิงวิ่ง | พระยุดกิ่งพฤกษาพาผกผัน | ||
| พระหักกิ่งผลไม้ได้หลายพรรณ | อาชานั้นหันเหียนวิ่งเวียนวน | ||
| พระเด็ดได้ม่วงหาวมะนาวโห่ | อาชาโผตื่นเต้นเล่นกลางถนน | ||
| นางเมรีทัศนาพระภูวดล | เก็บผลไม้มะม่วงพวงมะนาว | ||
| นางตกใจไหวหวั่นให้พรั่นนัก | นงลักษณ์เกรงจะลือระบือฉาว | ||
| จะห้ามผัวกลัวจะมีราคีคาว | เกลือกท้าวเธอจะเคืองกระเดื่องใจ | ||
| ปิดความมิให้รู้ถึงหูยักษ์ | เห็นจักคงจะเกิดเหตุใหญ่ | ||
| สายสมรเศร้าสร้อยละห้อยใจ | ก็รีบตามเสด็จไปมิได้ช้า | ||
| เมื่อพระรถเก็บพวงมะม่วงหาว | อารักษ์เฝ้าพวงผลต้นพฤกษา | ||
| เห็นพระรถอุปการกับมารดา | จึ่งไม่มาหาวโห่เป็นโกลี | ||
| ให้อึงมี่วุ่นวายกระจายได้ | เทพไทซึ่งรักษาในสวนศรี | ||
| ให้มีความสงสารพระภูมี | เทพเจ้ายินดีเปรมปรีดา | ||
| พระรถชวนเมรีศรีสมร | คืนนครนิวาสยังปรารถนา | ||
| เสด็จยังเรือนจันทน์มิทันช้า | พอเพลาย่ำฆ้องเข้าราตรี | ||
| สองกระษัตริย์ปลดเปลื้องเครื่องประดับ | ผลัดภูษิตที่สำหรับตำแหน่งที่ | ||
| อัมพาผลอันถกลกระการดี | เอาซ่อนไว้ที่สีหบัญชร | ||
| สององค์ทรงนั่งยังที่เสวย | พนักงานตามเคยเฝ้าสลอน | ||
| ถวายเครื่องเอมโอชอันบวร | พระภูธรก็เสวยโภชนา | ||
| ทั้งเมรัยชัยบานสุรารส | อันปรากฏรสแรงแข็งกล้า | ||
| พระโฉมยงกับองค์กัลยา | เสวยเครื่องโอชาสุราบาน | ||
| เมรีรินน้ำจัณฑ์นั้นส่งให้ | พระรับไว้เสวยก่อนแล้วย้อนถาม | ||
| แล้วย้อนหยิบจอกส่งให้นงราม | เสวยตามชอบใจพี่ไม่เคย | ||
| จอกหนึ่งยังไม่ตึงพระพักตร์น้อง | จอกสองยังไม่ดีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
| สามจอกกลอกพับภิปรายเปรย | จอกสี่ทรามเชยช่างเราะราย | ||
| จอกห้ากิริยาเห็นฟั่นเฟือน | พูดเลื่อนผิดประหลาดที่มาดหมาย | ||
| จอกหกงกเงิ่นสะเทิ้นกาย | เจ็ดจอกโฉมฉายนั่งไม่ตรง | ||
| พระน้องเอ๋ยเสวยเล่นแต่เท่านั้น | พี่รับขวัญนิ่มเนื้อนวลหง | ||
| ขอเชิญมิ่งเมรีศรียุพยง | สถิตแท่นบรรจงอย่ากรมกรอง | ||
| ประคองนางวางลงไสยาอาสน์ | พิศวาสร่วมภิรมย์สมสอง | ||
| เยาวมาลย์จึ่งว่าพระรูปทอง | แม้นรักน้องแล้วอย่าไปให้ไกลกาย | ||
| น้องเมามัวเห็นผัวก็ชื่นจิต | ดั่งชีวิตของน้องอย่าหมองหมาย | ||
| พระโลมนางพลางต้องตระกองกาย | โอ้เจ้าสายสุดที่รักของพี่เอย | ||
| เสวยเมาเท่านี้มิเป็นไร | แม่ขวัญใจรูปทองของพี่เอ๋ย | ||
| พี่จะกล่อมถนอมนวลให้ชวนเชย | จงผินพักตร์มาเชยให้ชูใจ | ||
| นางเอนอิงพิงทับกับพระกร | เชิญสมรนอนเสียเถิดให้ผ่องใส | ||
| ด้วยมัวเมาเขลาเคลิ้มอรทัย | ก็ไสยาสน์หลับไปในราตรี ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายสินธพชาติอาชาไนย | ขัดใจรนร้องอยู่ก้องมี่ | ||
| เดือดดาลทะยานใจคอยภูมี | เห็นผิดทีเหตุไฉนจึ่งไม่มา | ||
| อาชาแกล้งกระทืบโรงส่งเสียงร้อง | หวังจะให้พระน้องลงมาหา | ||
| แล้วโผนผกโขกกระดานด้วยมารยา | ประหนึ่งว่าโรงที่อยู่จะทำลาย | ||
| พระฟังเสียงพาชีรู้ทีมา | ก็ลินลาจากห้องนางโฉมฉาย | ||
| ถึงโรงม้าหยิบยาออกโปรยปราย | โดยอุบายใช้กลด้วยรู้กัน | ||
| อาชาว่าอะไรกระนี้เล่า | มัวแต่เฝ้าห้องในจนไก่ขัน | ||
| เร่งเตรียมของต้องการภารสำคัญ | จัดสรรพ์ไว้สำหรับกำกับตน | ||
| ถ้าได้ทีหนีไปในบัดเดี๋ยว | จะหน่วงเหนี่ยวอยู่ไยไม่เป็นผล | ||
| ถ้ารักเมียเสียแม่แทบทุกคน | ถ้ากังวลอยู่ด้วยเมียคงเสียที | ||
| ถ้ารักอยู่แล้วจงอยู่พี่ไม่ว่า | แต่อาชานี้จะลาพระน้องหนี | ||
| จะไปหรือจะอยู่พระภูมี | จงบอกพี่ให้ประจักษ์ตระหนักใจ ฯ | ||
| ◉ พระฟังคำอาชาว่าเป็นเด็ด | ดั่งจักรเพชรผันผัดตัดกษัย | ||
| ให้ละห้อยละเหี่ยเสียน้ำใจ | เหลืออาลัยหวงแหนแสนเสียดาย | ||
| จึ่งแข็งใจปลอบม้าว่าพี่เอ๋ย | กระไรเลยจะด่วนทำมักง่าย | ||
| เมื่อนางนอนยังไม่หลับระงับกาย | ของที่หมายนั้นจะหยิบไม่คล่องใจ | ||
| พอให้นางหลับสนิทจะคิดลัก | ไม่ช้านักเป็นแน่จะแก้ไข | ||
| อย่าอึกทึกเลยพี่ที่จะไป | ลักได้แล้วจะมาไม่ช้าเลย | ||
| แล้วเสด็จครรไลลับกลับเข้าห้อง | ประคองน้องอิงแอบแนบเขนย | ||
| นางเมรีเมามายไม่เสบย | ยกเศียรเกยเอวองค์พระทรงธรรม์ | ||
| แล้วถามว่าไปไหนเมื่อตะกี้ | พระบอกว่าพาชีตัวขยัน | ||
| มันรนร้องก้องโรงตะโกรงครัน | พี่ไม่ทันป้อนหญ้าให้ม้ากิน | ||
| สาวสวรรค์ครั้นฟังไม่คลางแคลง | ที่ไกกลแอบแฝงไม่แหนงถวิล | ||
| แต่เพลินด้วยเมรัยแลเมริน | ยุพาพินเพิ่มดื่มไม่ลืมตา | ||
| พระรถรักฟักฟูมอุ้มถนอม | จึงกล่าวกล่อมกลด้วยขนิษฐา | ||
| เจ้าพี่เอ๋ยยามเชยมานิทรา | ก็ไสยาหลับไปในราตรี | ||
| ดึกสงัดปัจฉิมเวลา | โกกิลาเร้าเร่งพระสุริย์ศรี | ||
| นาฬิกาย่ำสามยามราตรี | เรื่อยรี่วิเวกวังเวงใจ | ||
| มโหระทึกกึกก้องประโคมเสียง | ฟังสำเนียงไม่ระงับหลับใหล | ||
| พระแน่นอนทอดถอนในฤทัย | ชลนัยน์ไหลอาบพระพักตรา | ||
| แล้วยกหัตถ์ให้สอดกอดเขนย | พระน้องเอ๋ยอย่าพะวังกังขา | ||
| พระเคลื่อนให้ห่างนางกัลยา | พระราชาเศร้าสร้อยละห้อยใจ | ||
| โอ้ว่าอนิจจาน้องแก้ว | พี่จำทิ้งน้องแล้วจะทำไฉน | ||
| เจ้าตื่นขึ้นไม่เห็นพี่จะร่ำไร | จะโหยไห้แทบชีวิตจะปลิดปลง | ||
| ครั้นพี่จะมิไปในครั้งนี้ | พระชนนีก็จะม้วยเป็นผุยผง | ||
| ถ้าหาไม่ไหนจะจากนางโฉมยง | อาชาส่งเสียงอึงคะนึงไป | ||
| พระได้ยินสำเนียงเสียงพาชี | มิใคร่จะจรลีไปจากได้ | ||
| พระแข็งขืนกลืนกลั้นชลนัยน์ | สงสารนางทรามวัยพันทวี | ||
| อันตัวพี่ได้อยู่ให้ชูจิต | จะจำปลิดรักกันหันหนี | ||
| ได้สมน้องครองสวาทเจ็ดราตรี | พี่จะลามารศรีกลับไปเมือง | ||
| พระเสด็จจากแท่นทองมิทันช้า | เสน่หาอาลัยไม่ปลดเปลื้อง | ||
| แล้วแข็งขืนอุระค่อยประเทือง | ก็ย่างเยื้องจากแท่นบรรทมพลัน | ||
| แล้วเหลียวดูนางอนงค์ผู้ทรงลักษณ์ | วรพักตร์ดั่งหนึ่งเทพอัปสรสวรรค์ | ||
| พระน้องเอ๋ยนางใดจะเทียมทัน | ดั่งสุวรรณทั้งแท่งแสร้งวางไว้ | ||
| งามทรงงามวงลักขณา | โสภานวลละอองผ่องใส | ||
| ชลนานองเนตรสังเวชใจ | เออก็กรรมสิ่งใดมาก่อกวน | ||
| โอ้โฉมยงนงลักษณ์สายสวาท | ตื่นจากไสยาสน์จะโหยหวน | ||
| ยามสรงยามเสวยเจ้าเคยชวน | เย้ายวนถามพี่ทุกเวลา | ||
| ร่ำพลางทางเช็ดชลเนตร | ทวีเทวศโศกเศร้ากันแสงหา | ||
| ชลนัยน์ไหลอาบพระพักตรา | ก็โศกาเพียงจะสิ้นสมประดี | ||
| ด้วยแสนเสน่หาอาวรณ์ | ทินกรจวนแจ้งแสงสี | ||
| โอ้โอ๋ยุพินปิ่นเทพี | ค่อยอยู่เถิดจงดีพี่ขอลา | ||
| เสียดายนางกำนัลบำเรอขับ | นับวันจะเว้นว่างห่างหา | ||
| จะโหยหนก่นกินแต่น้ำตา | ทุกสาวสรรกัลยาบำเรอเรียง | ||
| ครั้นรุ่งเช้าก็จะแจ้งว่าเราหาย | สาวสนมทั้งหลายจะแซ่เสียง | ||
| จะระบิลอสุรินทร์บำเรอเรียง[2] | ปานจะเพียงเมืองล่มระงมวัง | ||
| ระงมจิตคิดไปหัวใจหาย | หัวใจห่วงด้วยสายสวาทหวัง | ||
| สวาทรักหักทิ้งเหมือนชิงชัง | ครั้นจะสั่งไหนจะให้พี่ไคลคลา | ||
| พี่ไคลคลาศนิราศไปทั้งหลับ | ไปทั้งนอนพลิกกลับจะคว้าหา | ||
| จะคว้าหายแม่จะไห้ร่ำโศกา | พระราชากลับสถิตมณเทียรทอง | ||
| บนแท่นที่ภูมีเข้าแนบชิด | เข้าแนบเชยพระยิ่งคิดกระมลหมอง | ||
| กระมลไหม้แสนเสียดายไปจากน้อง | แต่ตรองตรองแล้วอย่าไปเลยกระมัง | ||
| พระส้วมสอดกอดน้องประคองโฉม | เฝ้าประโลมเล้าลูบจูบสั่ง | ||
| สามราตรีเถิดพี่จะกลับวัง | ไม่ทอดทิ้งร้อยชั่งให้กรมทรวง | ||
| แต่ห่วงหน้าห่วงหลังกังวลใจ | ดั่งผลักพลิกเมรุไกรไศลหลวง | ||
| พี่จำลาคลาไคลไกลพุ่มพวง | จงอยู่เถิดดวงสมรพี่ขอลา ฯ | ||
| ◉ เสด็จจากแท่นแก้วอลงกต | แล้วหยิบห่อโอสถกับพฤกษา | ||
| ดวงเนตรกำพตพิศม์อันฤทธา | เสด็จมาโรงราชอัสดร | ||
| บอกกับม้าว่าได้ของเสร็จแล้ว | มโนมัยผ่องแผ้วสโมสร | ||
| ด้วยสมมาดปรารถนาไม่อาวรณ์ | อัสดรสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | ||
| พระถอดขลุมมโนมัยใส่บังเหียน | ฤทัยเจียนเด็ดดับลงกับที่ | ||
| ม้าก็เตือนพระเกลื่อนแกล้งพาที | น่าสงสารเมรีเป็นพ้นไป | ||
| อาชาฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | อันประโยชน์ที่ตรงแม่ไม่แก้ไข | ||
| มาหลงด้วยรูปรสไม่งดใจ | เออกระไรชั่งไม่คิดสักนิดนาฯ | ||
| ◉ พระฟังม้าทานเทียบเปรียบระบิล | ก็ขาดสิ้นความรักลงหนักหนา | ||
| ดั่งพญาวาสุกรีมีศักดา | เหมือนใครหลงหักดังใจ[3] | ||
| ก็เยื้องย่างยูรยาตรคลาศคลา | เผ่นขึ้นหลังอาชาหาช้าไม่ | ||
| ม้าก็โดดโลดลอยขึ้นทันใด | เหาะไปในราชราตรีกาล ฯ | ||
| ◉ น่าสงสารภูบาลจอมนเรศ | ทอดพระเนตรเหลียวดูราชฐาน | ||
| แสนสนุกนิ์สุโขโอฬาร | ชัชวาลล้วนแก้วจำรัสพราย | ||
| ทั้งปราสาทราชวังดูคั่งคับ | อเนกนับพลไพร่ก็เหลือหลาย | ||
| ไม่สมปองน้องต้องครองอยู่เดียวดาย | พี่หมายอยู่เพื่อนน้องครองเขตคัน | ||
| ไม่สมจิตเพราะว่าคิดไม่สมนึก | เพราะการศึกอยู่ข้างหลังยังคับขัน | ||
| ต้องตัดรักหักใจจรจรัล | พระทรงธรรม์ก็รีบขับพาชี ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงเสื้อเมืองเรืองกำแหง | เห็นอาชาข้ามกำแพงพากันหนี | ||
| โกรธาตาแดงดั่งอัคคี | อสุรีขวางหน้าแล้วท้าทาย | ||
| ว่าดูรามานุษย์จงหยุดก่อน | ท่านจะจรไยจึงลักของทั้งหลาย | ||
| ทั้งโอสถผลอัมพาที่เสี่ยงทาย | ผลไม้สำหรับเมืองโดยจำนง | ||
| เราผู้เสื้อเมืองอันเรืองเดช | รักษาขอบพระนิเวศน์นวลหง | ||
| ไม่เกรงหรือชีวิตจะปลิดปลง | อย่าทะนงว่าจะรอดตลอดไป | ||
| แล้วจู่โจมโถมจะจับอัศวราช | ม้าลาดโลดโผนโจนไปได้ | ||
| อสุราแล่นโลดโดดตามไป | ก็โถมไล่ประจันบานราญรอน ฯ | ||
| ◉ ปางพระหน่อธิบดินทร์ปิ่นกระษัตริย์ | พูนสวัสดิ์ห้าวหาญชาญสมร | ||
| เห็นเสื้อเมืองต่อต้านจะราญรอน | พระภูธรไม่คร้ามครั่นหวั่นวิญญา | ||
| ชักพาชีเลี้ยวลัดสกัดกั้น | เอาพระขรรค์ฟันฟาดเป็นหนักหนา | ||
| ม้าโขกกัดพลัดไพล่กันไปมา | อสุราไม่ย่อย่นทนทาน | ||
| ด้วยเสื้อเมืองเรืองฤทธิ์เดช | เทเวศร์ให้มาเฝ้าราชฐาน | ||
| จะฆ่าฟันเท่าไรไม่วายปราณ | พระภูบาลจึ่งหยิบพระขรรค์ชัย | ||
| จบเกศอ่านเวทวิเศษฤทธิ์ | ของบพิตรสิทธาเธอสอนให้ | ||
| รำลึกคุณอาจารย์ผู้ชาญชัย | ขอให้ได้สมถวิลดังจินดา | ||
| ข้าจะเอาพระขรรค์นี้ขว้างไป | ตามประสงค์จงใจปรารถนา | ||
| เสี่ยงแล้วขว้างพระขรรค์มิทันช้า | เป็นข่ายเพชรเจษฎาเข้าเรียงราย | ||
| ล้อมรอบกุมภัณฑ์ไว้มั่นคง | สมจิตจำนงดังใจหมาย | ||
| เสื้อเมืองแทบสิ้นชีวาวาย | ตะกุยตะกายอยู่ในข่ายไม่สมประดี | ||
| พระรถเห็นเสื้อเมืองอันเรืองเดช | สิ้นฤทธิ์อสุเรศของยักษี | ||
| พระรีบขับอัสดรจรลี | ....................................................[4] | ||
| จวนอุทัยไขแสงแจ้งจำรัส | แจ่มกระจัดจ้าฟ้าในราศี | ||
| พระแสนเศร้าโศกศัลย์พันทวี | ถึงเมรียอดรักไม่หักคลาย | ||
| สะท้อนท้อถอนใจอาลัยจิต | คะนึงคิดโศกศัลย์ไม่กลั้นหาย | ||
| ดูจวนแจ้งแสงสุวรรณหิรัญราย | อาชาร่ายลอยตามโพยมบน[5] | ||
| ◉ จะเริ่มเรื่องพระรถนิราศสวาท | บำราศร้างห่างห้องระเหหน | ||
| เสด็จเดียวเปลี่ยวประเวศในนภน | ประจวบจนแดนด้าววนาดร | ||
| ฝ่ายนาฏเมรีศรีสวัสดิ์ | ผทมเหนือท่านรัตน์ปัจถรณ์ | ||
| ดาวเดือนเลื่อนลับยุคุนธร | จะใกล้แสงทินกรอโณทัย | ||
| ฟื้นกายชายเนตรนึกฉงน | มิได้ยลพระยอดผู้พิสมัย | ||
| ให้เศร้าสร้อยโศกาด้วยอาลัย | อรทัยทุ่มทอดสกลกาย | ||
| ให้เดือดดาลแดดูรพูนเทวษ | ชลเนตรคลอคลองลงนองสาย | ||
| พลางปลุกนางบำเรอจำเรียงราย | นักสนมทั้งหลายก็ฟื้นตน | ||
| มิได้ทราบเรื่องโดยคดี | พระเสาวนีย์จึ่งแจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
| ว่าพระยอดขัตติยาประชาชน | สถิตบนแท่นแก้วแล้วหายไป | ||
| เห็นเป็นวิปริตผิดประหลาด | พระภูวนาถจรดลไปหนไหน | ||
| หรือว่าพระผ่านฟ้าเสด็จไป | สถิตในโรงราชพาชี | ||
| ประหลาดใจเมื่อใกล้เข้ายามสอง | อาชาร้องในโรงเสียงอึงมี่ | ||
| เอะผิดแล้วพระแก้วกับพาชี | หรือจะหนีกลับหลังไปยังเมือง | ||
| เร็วเถิดสาวใช้ไปค้นหา | แต่กิจจานั้นอย่าให้ใครรู้เรื่อง | ||
| เกลือกเธอรู้อยู่แล้วจะขัดเคือง | จงยักเยื้องแยบคายชม้ายดู | ||
| แม้นท้าวเธอไปชมสนมไหน | อย่าทำให้ท้าวไทเธออดสู | ||
| แต่เอาเหตุมาแจ้งแสดงกู | เร่งค้นดูอย่าให้ใครวุ่นวาย ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายนางสนมในได้สดับ | คำรพรับพจมานคลานขยาย | ||
| ออกมาจัดสรรกันมากมาย | ก็แยกย้ายรายทั่งทั้งเรือนจันทน์ | ||
| บ้างก็จุดประทีปเทียนส่อง | ทุกชั้นช่องห้องปรางค์นางสาวสรรค์ | ||
| ทั้งที่สรงที่เสวยเคยจรัล | สาวสรรค์สอดส่องทุกห้องนาง | ||
| จนสิ้นเขตพระนิเวศที่เรือนหลวง | สนมนางทั้งปวงยิ่งหมองหมาง | ||
| ต่างก็คิดคำนึงรำพึงพลาง | เห็นจะร้างนคเรศนิราไกล | ||
| หรือเสด็จโรงราชอัสดร | ที่ภูธรเคยประพาสหรือไฉน | ||
| ฝูงนางต่างชวนกันคลาไคล | ด้วยสงสัยจะใคร่แจ้งซึ่งกิจจา | ||
| ก็เที่ยวทั่วโรงรัตน์อัศวเรศ | แล้วประเวศเวียนวนเที่ยวค้นหา | ||
| ก็สูญสิ้นพระนรินทร์และอาชา | ฝูงนางกัลยาก็ตกใจ | ||
| ต่างชวนกันวิ่งวางมาปรางค์รัตน์ | ประนมหัตถ์ทูลแจ้งแถลงไข | ||
| ข้าค้นทั่วพระนิเวศตำหนักใน | ก็มิได้พบองค์พระทรงฤทธิ์ | ||
| ทั้งโรงรัตน์อัสดรกุญชรชาติ | ที่ประพาสแต่ก่อนบ่ห่อนสถิต | ||
| อันหนึ่งราชอาชาที่ชอบชิด | ก็เห็นผิดหายไปไม่พบพาน | ||
| แม่นแท้ท้าวแกล้งประลวงโลม | ภิรมย์โฉมแล้วก็ร้างห่างสมาน | ||
| มาทอดทิ้งแม่ให้อัประมาณ | ให้แดดาลมิได้ชื่นทุกคืนวัน | ||
| ทูลพลางทอดทุ่มสกลกาย | ก็ฟูมฟายโศกาเพียงอาสัญ | ||
| บ้างโหยหวนครวญคร่ำเฝ้ารำพัน | ต่างจาบัลย์ไปทั่วทั้งวังใน ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายอนงค์นารีเทวีราช | ให้วุ่นหวาดหวั่นฤทัยไหว | ||
| อุราร้าวผ่าวรุ่มดั่งสุมไฟ | ด้วยอาลัยในกระษัตริย์ภัสดา | ||
| สองกรค่อนทรวงกันแสงร่ำ | ว่าโอ้กรรมสิ่งใดณอกข้า | ||
| แต่เพียงพรากจากราชมารดา | นานมาก็ได้พึ่งพระบารมี | ||
| ก็หมายใจว่าจะได้เป็นปิ่นเกศ | ภูวเรศก็มาแหนงเสน่ห์หนี | ||
| จะขัดเคืองเรื่องไรก็ใช่ที | เป็นกรรมของเรานี้ได้ทำมา | ||
| มิทันไรก็มาร่ายนิราศผัว | เหมือนหญิงชั่วชายเร่เสน่หา | ||
| โอ้โอ๋เอ๋ยอกเอ๋ยเป็นเวรา | จะต้องกินน้ำตาไปกว่าตาย | ||
| ร่ำพลางทางมองดูที่โอสถ | ทั้งกำพตดวงเนตรก็สูญหาย | ||
| เห็นประจักษ์ใจแท้ว่าอุบาย | ยิ่งฟูมฟายชลนาเฝ้าจาบัลย์ | ||
| โอ้ไฉนไยพระยอดเสน่ห์น้อง | เคยปกครองกรุงไกรมไหศวรรย์ | ||
| เมียได้ผ่องผาสุกทุกคืนวัน | ประชากรกุมภัณฑ์ก็เปรมปราย | ||
| ฝูงสนมกรมในอเนกแน่น | กระเษมแสนสุขอยู่ทุกหมู่หมาย | ||
| ทุกหมื่นเมืองเลื่องลือขจรจาย | ยอมถวายอภิวาทวันทา | ||
| ควรหรือพระมิ่งมงกุฎเกศ | มาประเวศแรมเร่เสน่หา | ||
| โอ้หมายใจอยู่ว่าพระจะเมตตา | ไม่สงกาพาซื่อจนเสียการ | ||
| อนิจจาพระจอมกระหม่อมโลกย์ | จะให้โศกปลดปลงไม่สงสาร | ||
| ไม่ขออยู่สู้ตายวอดวายปราณ | ฤดีดาลเดือดดิ้นดั่งอัคคี | ||
| เหตุผลเป็นต้นเพราะอัสดร | มันเสี้ยมสอนวอนเสนอให้เธอหนี | ||
| แล้วพาท้าวเหาะเหินจากธานี | เมื่อจวนรุ่งราตรีทิวากาล | ||
| อกเอ๋ยอยู่ไยให้เป็นคน | ประชาชนเขาจะพากันว่าขาน | ||
| สำหรับก็จะอัประมาณนาน | เหมือนหญิงพาลรานผัวไปจากเมือง | ||
| แม้นระบือลือข่าวถึงด้าวใด | กิตติศัพท์ถึงไหนก็ฟุ้งเฟื่อง | ||
| ว่าหญิงชั่วผัวร้างไว้ในเมือง | มีแต่เครื่องคำคนเขานินทา | ||
| ร่ำพลางทางทอดพระองค์ลง | กันแสงทรงเพียงชีวังจะสังขา | ||
| พลางทอดฤทัยอยู่ไปมา | โอ้พระภัสดาไม่เห็นใจ | ||
| อยู่หลัดหลัดซัดเสียให้เมียโหย | ร่วงโรยเรี่ยวแรงกันแสงไห้ | ||
| สิ้นเสียงเพียงพ่างจะขาดใจ | สลบไปในราชเรือนจันทน์ ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายนงลักษณ์สนมสนิทข้าง | เห็นน้องนางโศกเศร้ากันแสงศัลย์ | ||
| สลบลงนิ่งแน่อยู่แดยัน | ฝูงกำนัลทอดทุ่มอุราพา | ||
| โอ้ว่าแม่ขวัญเมืองผู้เรืองโฉม | งามประโลมเลิศล้ำดั่งเลขา | ||
| ควรแล้วหรือมาสิ้นชีวา | มาละข้านักสนมสมบัติไป | ||
| จะทอดทิ้งประยุรวงศ์สิ้นทั้งผอง | ทั้งห้องแก้วแกมทองอันผ่องใส | ||
| เสด็จไปสู่สวรรค์ชั้นใด | ก็ชวนกันร่ำไรทั้งเรือนจันทน์ | ||
| ดุจหนึ่งลมเพชรหึงหวน | ให้เซซวนเศร้าซบสยบสยัน | ||
| ก็ตื่นตายวายวุ่นทั้งเรือนจันทน์ | ต่างโศกศัลย์ร่ำรักพระธิดา | ||
| สาวแก่นางแม่พระสนม | ก็อกกรมพ่างเพียงจะเป็นบ้า | ||
| จึ่งเข้าไปต้ององค์พระธิดา | เห็นกายาอ่อนอุ่นอยู่ทั้งองค์ | ||
| ก็แจ้งว่ายังไม่บรรลัยลาญ | เอาสุคนธาธารมาโสรจสรง | ||
| หอมระรื่นก็ค่อยฟื้นดำรงคง | เห็นอนงค์นั่งแน่นอยู่ในปรางค์ | ||
| ความแค้นยิ่งแสนอเนกนัก | วรพักตร์เผือกผ่องด้วยหมองหมาง | ||
| ให้ร้อนโรยโหยหวนคร่ำครวญคราง | ดั่งหนึ่งนางจะวายชีวาวัน | ||
| ฝ่ายเหล่าสาวสนมคนสนิท | เข้านั่งชิดแนบโฉมประโลมขวัญ | ||
| โอ้แม่ดวงวรลักษณ์วิลาวัลย์ | จะโศกศัลย์อยู่ฉะนี้มิเป็นการ | ||
| จงดับโศกเสียบ้างให้บางเบา | ก็ควรเราจะยกโยธาหาญ | ||
| ไปเร่งรีบติดตามพระภูบาล | ไหนจะพ้นมือมารอย่าสงกา ฯ | ||
| ◉ นางฟังเค้ามูลทูลสนอง | ค่อยคลายหมองผ่องผันด้วยหรรษา | ||
| จึ่งมีมธุรสพจนา | ตรัสสั่งเสนาให้เตรียมพล | ||
| เร่งฆาตกลองชัยเภรี | เป็นที่ประชุมแห่งพหล | ||
| ฝ่ายมารฟังสารทะยานบน | ร้องเรียกพลพวกมารทะยานกาย | ||
| บ้างผาดโผนโจนจากโพยมเมศ | สำแดงเดชดั่งดวงพระสุริย์ฉาย | ||
| เขี้ยวงอกออกยืนทะยานกาย | วิเวกว่ายง้ำเงื้อมศิขริน | ||
| บ้างทำสีหนาทผาดโผน | เข้าโจมจับดวงพระสุริย์ศิลป์ | ||
| ดาวเดือนเลื่อนลับเมฆิน | ธรณินกัมปนาทสำเนียงพล | ||
| ทั้งเสียงรถเสียงทศโยธา | เป็นโกลากึกก้องโพยมหน | ||
| ขนัดแน่นล่วงแสนจัตุรงค์ | เคยประจญข้าศึกในสงคราม[1] | ||
| พลหลาวง้าวตั้งดาษสนาม | พลปืนยืนยงในสงคราม | ||
| พลหอกกลอกตามกระบวนฤทธิ์ | พลมารหาญศึกพิลึกแล่น | ||
| พลม้าหาญจิตประชิดแล่น | โกฏิแสนแน่นมาเป็นอักนิษฐ์ | ||
| เคยประจญประจัญปัจจามิตร | ทศทิศย่อย่นไม่ทนทาน | ||
| แต่ล้วนพวกยักษีมีพยศ | ก็มาหมดพร้อมสิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
| มาคอยเฝ้าดวงสุดาหน้าพระลาน | ฟังรสพจมานการณรงค์ ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายนาฏเมรีศรีสมร | แต่อาวรณ์ร้อนจิตพิศวง | ||
| ยิ่งให้ทอดฤทัยระทวยองค์ | ไม่เป็นสรงเป็นเสวยโภชนา | ||
| เสด็จด่วนมายังที่นั่งเคย | จึ่งผายเผยสุนทรแก่ยักษา | ||
| เราจะยกพหลพลโยธา | จงตริตราหาฤกษ์ให้จงดี ฯ | ||
| ◉ โหรเฒ่าก้มเกล้าทูลสนอง | หมอบจ้องพจมานสารศรี | ||
| นางท้าวจึ่งแสดงแจ้งคดี | ว่าบัดนี้พระรถนิราไกล | ||
| เราจะยกพวกพลไปติดตาม | จะเกิดความเคืองเข็ญเป็นไฉน | ||
| จะพบท้าวด้าวแดนดำบลใด | จงแจ้งไขกิจจาพฤฒาจารย์ | ||
| โหรเฒ่าฟังเสาวนีย์แสดง | ประจักษ์แจ้งคัมภีร์สี่สถาน | ||
| จึงประมูลทูลองค์พระนงคราญ | แต่เริ่มการมาข้าก็กริ่งใจ | ||
| ได้ทูลทัดขัดไว้แต่เดิมที | พระเทพีมิได้เชื่อจะทำไฉน | ||
| บัดนี้ซึ่งจะตามพระองค์ไป | เห็นสุดไกลไพรกว้างกลางพนม | ||
| อสุราฤทธาสักเพียงไหน | แต่คงได้พานพบประสบสม | ||
| เห็นว่าท้าวจะไม่คืนบุรีรมย์ | จะเกรียมกรมยากแค้นแสนทวี | ||
| ฝ่ายพระแม่ก็จะแดอาดูรดิ้น | เห็นจะสิ้นชีพม้วยไปเมืองผี | ||
| เห็นมิได้คืนมายังธานี | พระเคราะห์นี้ร้ายนักพระเทพิน ฯ | ||
| ◉ นางฟังโหรเฒ่าให้เศร้าจิต | ดั่งกรดกฤชขีดศอให้ขาดสิ้น | ||
| ยิ่งหวั่นไหวไปทั่วทั้งกายิน | ชลนัยน์ไหลรินดั่งธารา | ||
| โอ้อกเอ๋ยไหนเลยแต่นี้เล่า | จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าสร้อยนิราศา | ||
| ประชาชนเขาจะชวนกันนินทา | เจ็บอุราชอกช้ำระกำกาย | ||
| จะอยู่ไยในเมืองให้เคืองตน | ไปสิ้นชนม์เสียเถิดให้สูญหาย | ||
| ตรัสพลางทางขับพลนิกาย | จึ่งสั่งนายสิทธิกรรม์ทันใด | ||
| ท่านผู้เชี่ยวชาญชำนาญเดช | อิทธิเวทผันแปรจะแก้ไข | ||
| เร่งติดตามพระรถยศไกร | แม้นทันไทให้เชิญกลับพารา | ||
| ซึ่งไอ้อัสดรที่ตัวยง | ท่านจงกินเล่นเป็นภักษา | ||
| ชั้นโลหิตอย่าให้ติดพระสุธา | อสุราเร่งรีบไปเร็วไว | ||
| สิทธิกรรม์ครั้นฟังสั่งพหล | อลวนวุ่นวิ่งอยู่ไสว | ||
| ให้ยกพวกพหลพลไกร | เข้าในแนวป่าพนาวัน ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายมิ่งเยาวมาลย์นางโฉมศรี | แต่โศกีเศร้าสร้อยโศกศัลย์ | ||
| เสด็จโดยมรรคาในอารัญ | ล้วนสาวสรรค์ตามเสด็จเยาวมาลย์ | ||
| เยาวมิ่งยิ่งให้อาลัยถวิล | โอ้พระภูมินทร์ไม่สงสาร | ||
| ไม่สั่งเสียเมียบ้างพระภูบาล | อกน้องนี้จะรานชีพบรรลัย | ||
| ให้เศร้าจิตพิศดูนิวาสสถาน | สถิตเถิดสำราญให้ผ่องใส | ||
| ให้ผ่องศรีน้องนี้จะจำไกล | โอ้ที่ไหนจะได้กลับมายลเวียง | ||
| มายลวังพระที่นั่งเคยสนุก | เคยสนานการสุขจะเศร้าเสียง | ||
| จะเศร้าสิ้นอสุรินบำเรอเรียง | แต่นี้เวียงก็จะเงียบสงัดทรวง | ||
| สงัดสิ้นอสุรินอสุเรศ | อสุรีนิเวศในวังหลวง | ||
| วังหลังตั้งหน้าน้ำตาตวง | นับวันก็จะล่วงไปแรมโรย | ||
| จะแรมร้างห่างที่เคยบรรทม | เคยบันเทิงภิรมย์จะร่ำโหย | ||
| จะร่ำหาสุดาอยู่เดียวโดย | โอ้อกโกยทุกข์ทุ่มเฝ้ากลุ้มใจ | ||
| นิราศร้างห่างห้องสุวรรณเมศ | สุวรรณมาศนิเวศอันผ่องใส | ||
| ผ่องศรีด้วยแสงมณีนัย | จะมืดไปทั่วทิศเป็นนิจรันดร์ | ||
| จะราร้างปรางค์มาศปราสาทศรี | ประเสริฐแสงแดงดีดูเฉิดฉัน | ||
| ดูช่อช่วงดวงศรีรวีวรรณ | สารพันจะนิราศทั้งเรือนทอง | ||
| ทั้งเรือนทิพย์สถานพิมานเมศ | พิมานแม้นอมเรศไม่เทียมสอง | ||
| ไม่เทียมศรีแสงแก้วสุวรรณกรอง | โอ้แต่นี้ก็จะหมองอยู่โรยรา | ||
| โรยรินสิ้นแล้วนะอกเอ๋ย | อกโอ้มิเคยนิราศา | ||
| นิราศสมบัติทั้งภัสดา | ชะรอยสิ้นพาสนาเสียจริงจัง | ||
| อกข้าเมรีนี้เป็นไฉน | หรือเวรใดได้ล้างแต่ปางหลัง | ||
| ได้พรากสัตว์ให้เขาพลัดจากรวงรัง | เวรหลังนั้นจึ่งตามมาจำนอง | ||
| อกเอ่ยแต่นี้กลับจะลับแล้ว | ดั่งดวงแก้วมืดมนระคนหมอง | ||
| เมืองมารจะระงมด้วยกรมกรอง | จะนั่งนองน้ำตาไม่ราวัน | ||
| โอ้แสนเสียดายไมตรีเอ๋ย | พระย่อมเคยปรีดิ์เปรมกระเษมศัลย์ | ||
| แสนสนิทพิศวาสไม่ขาดวัน | เป็นมหันตมหาโอฬาฬาร | ||
| เมื่อพระปิ่นเมียแก้วมาปกเกศ | ครอบครองนคเรศราชฐาน | ||
| ข้าน้อยค่อยได้สบายบาล | พลมารแสนสุขสนุกนิ์ใจ | ||
| พระเดชาอานุภาพก็แผ่เผื่อ | ทั้งใต้เหนือนบนิ้วประนมไสว | ||
| มโหรสพก็สยบทั้งกรุงไกร | ดั่งหนึ่งในฉ้อชั้นสวรรยา | ||
| ทั่วประเทศเขตมารไม่เดือดร้อน | ราษฎรได้สุขทุกถ้วนหน้า | ||
| ลือเลื่องดั่งหนึ่งเมืองอมรา | ในมหาชมพูไม่เปรียบปาน | ||
| เมื่อยามท้าวสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | มเหสีนอบน้อมมโนสมาน | ||
| เคยถนอมกล่อมเกลี้ยงสุดามาร | เคยประสานสดับเสียงสำเนียงนวล | ||
| เคยหยอกเย้าเคล้าคลึงเสน่หา | กำดัดอาลัยหลงประจงสงวน | ||
| เคยแย้มยิ้มริมช่องบัญชรชวน | ทรงพระสรวลโสมนัสเปรมปรีดิ์ | ||
| เคยยามสมบรมสุขไสยาสน์ | เคยแสนพิศวาสสว่างศรี | ||
| เคยทั้งสองสำรวลรสฤดี | เคยแต่ความสุขมีทุกเวลา | ||
| ยามเสวยเคยเสวยบรมสุข | ยามสนุกนิ์เคยสนิทเสน่หา | ||
| ยามสรงเคยสรงสุคนธา | โอ้นึกน่าน้อยใจอาลัยลาญ | ||
| นี่เนื้อกรรมกำจัดจึ่งพลัดพราก | จึ่งจากนคเรศราชฐาน | ||
| แสนระกำจำไกลไปเนานาน | น่าสงสารแสนสุดจะรำพัน | ||
| ร่ำพลางทางสั่งฝูงนิกร | เราจะจรจากไกลไอศวรรย์ | ||
| ท่านจงอยู่สุขเป็นนิรันดร์ | อันเรานี้นับวันไม่กลับมา | ||
| ฝ่ายฝูงชนชาติหญิงชาย | ก็ฟูมฟายชลเนตรเทวศหา | ||
| ให้อัดอั้นตันจิตคิดโรยรา | ด้วยอาลัยในสุดาเสด็จจร | ||
| สาวสนมกรมในเจ้าขรัวนาย | ทั้งเตี้ยค่อมหม่อมยายตามสลอน | ||
| ต่างคนครวญใจอาลัยวรณ์ | ก็บทจรจากราชบูรี ฯ | ||
| ◉ เสด็จถึงสวนแก้วอันอุดม | เคยบรมสุขกระเษมศรี | ||
| รุกขชาติดาดดกอุดมดี | มลุลีลำดวนประดู่ดง | ||
| สาวหยุดโยทะกาประยงค์แย้ม | แก้วเกดแกมกระดังงากาหลง | ||
| มะลิลาสารภีชิงชี่ปรง | มหาหงส์ชงโคโยทะกา | ||
| ไทรย้อยสร้อยสนมะสังโศก | โอ้เมื้อยามวิโยคเสน่หา | ||
| สาวหยุดเหมือนพระหยุดจำนรรจา | อัมพาเหมือนพระพาเมียเดินจร | ||
| ซุ้มสวนเหมือนพระชวนให้ชมเถื่อน | นางแย้มเหมือนพระเยื้อนสโมสร | ||
| นางกวักเหมือนพระหัตถ์กวักกวัดกร | ขอนดอกเหมือนพระเด็ดให้เมียชม | ||
| ลำดวนเหมือนพระด่วนสวาดิหวัง | เต่าร้างเหมือนพระร้างนิราศสม | ||
| สนลมเหมือนหลงด้วยเล่ห์ลม | สุกรมเหมือนกรอมโอ้ออมใจ | ||
| ระกำเหมือนเมื่อเรียมระกำกลุ้ม | กระทุ่มเมื่อกระทุ่มทรวงไศล | ||
| ชบาเหมือนจะพาเป็นบ้าใจ | กาหลงหลงให้อาลัยเลย | ||
| คันทรงเหมือนทรงพระสรวลเสียง | รังเรียงเหมือนเคียงเรียงเขนย | ||
| ไม้รักษ์เหมือนรักมาแรมเชย | รำเพยเหมือนเคยรำเพยพัน | ||
| สวาดเหมือนมาคลาดสวาสดิ์แสวง | ชุมแสงเหมือนเศร้ากันแสงศัลย์ | ||
| ยมโดยเหมือนมาโดยกันดารครัน | เบญจวรรณเหมือนเมื่อวันรำพันพลาง | ||
| สะท้อนเหมือนสะท้อนฤทัยทึก | มะอึกเหมือนอึกอ่วนอางขนาง | ||
| ตะแบกเหมือนเราแบกเอาทุกข์พลาง | ไม้ยางเหมือนอย่างมาครวญกรรม | ||
| มะไฟเหมือนหนึ่งไฟมาใส่สุม | มะรุมเหมือนเรารุมอุราร่ำ | ||
| ตะบากเหมือนหนึ่งแสนวิบากทำ | มะกล่ำเหมือนกล้ำแต่กลืนทุกข์ | ||
| ส้มโอเหมือนโอ้ยามวิโยค | สนโศกเหมือนเศร้าศรีไม่มีสุข | ||
| ลั่นทมมาระทมด้วยความทุกข์ | ต้องเดินบุกป่าระหงดงดอน | ||
| ชมพลางทางพิศรำพึงถวิล | ชลนัยน์ไหลรินสะท้อนถอน | ||
| ไม่วางวายเทวศอาวรณ์ | ก็เสด็จจรจากสวนรีบด่วนคลา | ||
| โอ้สงสารนงลักษณ์อัคเรศ | สุริเยศส่องจำรัสพระเวหา | ||
| พักตร์เพียงด้วยพระจันทรา | แต่โศกาเศร้าสร้อยสลดลง | ||
| ทั้งอาหารการสรงไม่เป็นเสวย | แต่บนเบยเลยลืมละลานหลง | ||
| ทั้งสติก็ตั้งไม่คงตรง | ให้คะนึงถึงองค์นรินทร ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายว่าสิทธิกรรม์ผู้ห้าวหาญ | เหาะทะยานรีบร้นพลสลอน | ||
| เกลื่อนอากาศดาษไปในอัมพร | แผ่นดินดอนสะเทื้อนสะท้านดง | ||
| ต่างสำแดงสิงหนาทตวาดเสียง | ดังเปรี้ยงเปรี้ยงก้องฟ้าพนาระหง | ||
| ไม้ไล่ลู่ล้มระทมลง | เป็นผุยผงมืดคลุมชอุ่มดอน | ||
| คลาคล้ายจะใกล้ทันก็ถีบโถม | จะกระโจมจับองค์พระทรงศร | ||
| ดูกลัดกลุ้มรุมล้อมอัสดร | หมายจะรอนราญชีพพาชี ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายองค์นรินทร์ปิ่นนเรศ | อันเรืองเดชดั่งองค์พระสุริย์ศรี | ||
| เสด็จไปในห้องเมฆี | เห็นยักษีรุกรนพลนิกาย | ||
| ท่านท้าวเธอก็ทอดโอสถยา | อันศักดามืดได้ดังใจหมาย | ||
| ก็พูนเกิดคีรีขึ้นมากมาย | กระแสสายสินธูทะเลลม | ||
| เป็นเขาใหญ่กั้นเสร็จสักเจ็ดชั้น | คงคาคั่นพระสมุทรสุดประถม | ||
| จะประมาณสาครห่อนนิยม | อุดมด้วยมัจฉากุมภาพาล | ||
| ถึงว่าใครฤทธิรงค์จะทรงเดช | มิอาจข้ามสาคเรศอันไพศาล | ||
| ช้างแรดราชสีห์ที่ริมธาร | พ้นที่จะประมาณอเนกนอง | ||
| อสุราเห็นมหาชลาสินธุ์ | ในกายินรันทดสยดสยอง | ||
| เศียรเกล้าเร้าร้นขนพอง | ก็ร่ำร้องอยู่ริมฝั่งชลาลัย | ||
| สุดเห็นสุดรู้ก็สุดฤทธิ์ | ล้นเหลือความคิดจะแก้ไข | ||
| จะคิดอ่านข้ามชลไปกลใด | ชลาไหลลึกกว้างหนทางจร | ||
| จนจิตนั่งเจ่าอยู่ริมฝั่ง | เพียงประหนึ่งชีวังจะสังหรณ์ | ||
| บ้างล้มกลิ้งนิ่งแน่วเนนนอน | สะท้อนถอนอารมณ์ไม่สมประดี ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายอนงค์องค์นุชวิมลสมร | เสด็จจรมาในป่าพนาศรี | ||
| พอถึงริมฟากฝั่งชลธี | ประทับที่แล้วก็ทอดทัศนา | ||
| เหลือบเห็นองค์ทรงพุทธเธอหยุดยืน | เหนือเพิงพื้นสิงขรชะง่อนผา | ||
| ทรงนั่งเหนือหลังอัศวรา | อนิจจาละเมียเสียจริงจริง | ||
| แล้วก้มดุษฎีชุลีกร | งามงอนล้ำเลิศประเสริฐยิ่ง | ||
| แล้วกล่าวพจนสุนทรว่าวอนวิง | โอ้พระมิ่งเมียแก้วไม่กรุณา | ||
| โทษน้องนี้ไฉนไม่มีผิด | พระควรคิดร้างเร่เสน่หา | ||
| ไม่มีข้อเคืองขัดพระอัชฌา | อนิจจานี่หรือว่าพระปรานี | ||
| ขอพระเสด็จกลับมาดับเข็ญ | แต่พอเย็นเกล้าข้ามเหสี | ||
| จึ่งคืนกลับพาราไปธานี | เหมือนชูช่วยชีวีให้เนานาน ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายนรินทร์ยินคำร่ำสดับ | สุนทรวับแว่วเสียงสำเนียงสาร | ||
| โอ้โอ๋เอ็นดูสุดามาลย์ | ยุพาพาลเยาวลักษณ์วิไลวอน | ||
| มิเสียที่เป็นที่ประโลมขวัญ | ผิวพรรณเพียงเทพอัปสร | ||
| พิศพักตร์ผ่องพรรณดั่งจันทร | อรชรชื่นผ่องส่องโพยม | ||
| จะหาไหนได้เหมือนสมรพี่ | ช่างโสภีผุดผาดประหลาดโฉม | ||
| ฉวีวรรณวาวแววดั่งแก้วโคม | แลประโลมเนตรชายชม้ายชวน | ||
| ถ้าแม้นพี่มิพร้องสนองถ้อย | พระน้องน้อยก็จะเศร้ากำสรดสรวล | ||
| ที่ไหนนางเจ้าจะว่างรัญจวนครวญ | โอ้นิ่มนวลเจ้าจะวายทำลายลาญ | ||
| อย่าเลยจะประโลมโฉมสวาท | ให้คืนกลับนคราชนิวาสสถาน | ||
| จะได้เป็นจอมมิ่งในเมืองมาร | ตรึกแล้วบรรหารสารแสดง ฯ | ||
| ◉ ดูก่อนดวงสมรทิพย์มาศ | แสนสวาสดิ์นิ่มน้องไม่หน่ายแหนง | ||
| เป็นความจริงมิ่งมิตรอย่าคิดแคลง | ใช่จะแต่งลิ้นล่อประโลมลวง | ||
| โอ้อาลัยใครจะเท่าเหมือนเรานี้ | อุราพี่หนักเท่าภูเขาหลวง | ||
| ที่จิตคิดหมายเสียดายดวง | แต่หนักหน่วงนั้นน้อยไปเมื่อไร | ||
| เจ้าอย่าหวังว่าจะนิราศสวาสดิ์ | ไร้นิราศแรมมิตรพิสมัย | ||
| จงดับร้อนถอนทุกข์บรรเทาใจ | พี่มิให้นุชน้องเจ้าเนานาน ฯ | ||
| ◉ โอ้ไฉนว่าอาลัยกลใดพ่อ | มาแต่งล่อลิ้นลมคารมหวาน | ||
| ให้ไพเราะเสนาะในพจมาน | กระแสสารสอดคล้องทำนองใน | ||
| น้องพาซื่อมาเสียด้วยความสวาสดิ์ | มโนมาดมั่นคงไม่สงสัย | ||
| อันเหตุผลต้นปลายทั้งหลายไซร้ | ก็แจ้งใจทราบสิ้นในเชิงความ | ||
| วันเสวยชัยบานสำราญแผ้ว | ครั้นเมาแล้วซักไซ้พิไรถาม | ||
| ซึ่งของขำล้ำชีพลือนาม | เมียก็ตามใจแจ้งทุกสิ่งอัน | ||
| มิรู้เท่าได้เสร็จดังประสงค์ | ไม่หลอหลงเหลือเลยสักสิ่งสรรพ์ | ||
| เสียรู้ก็เพราะรักพระทรงธรรม์ | สารพันน้องนึกว่าปรานี | ||
| แม้นท้าวมิกลับประเทศฐาน | จงประหารเสียเถิดให้เป็นผี | ||
| อันน้องนี้ไม่เสียดายกับชีวี | เพราะเวรมีแต่หลังได้ทำมา ฯ | ||
| ◉ โอ้เจ้าเยาวมิตรดวงจิตพี่ | ไม่เห็นที่รักแรงใช่แกล้งว่า | ||
| เป็นความจริงจนจิตพนิดา | จึงต้องลาเลยไกลฤทัยกรม | ||
| ถึงม้วยดินสิ้นแดนแผ่นสมุทร | กาลาคนิรุทธสุดประถม | ||
| จนตลอดถึงยอดสุวรรณพรหม | อันอารมณ์ของพี่ไม่หน่ายนาง | ||
| ตราบใดถึงมหาศิวาโมกข์ | แน่ละเห็นจะวิโยคไปห่างข้าง | ||
| สุดถวิลสิ้นความเสน่ห์นาง | อันปางนี้แล้วไม่เรียมไกล ฯ | ||
| ◉ นางท้าวฟังถ้อยเศร้าสร้อยจิต | ยิ่งเพิ่มคิดรึงรักไม่หักไหว | ||
| จึ่งสนองพจนาด้วยอาลัย | โอ้พระทัยนี่หรือว่าเมตตาเมีย | ||
| ถึงตัวตายก็ไม่วายสวาสดิ์หวัง | อันสัจจังว่าไว้มิให้เสีย | ||
| เห็นแล้วละว่าพระไม่ละเมีย | จะไกล่เกลี่ยไปไยให้ป่วยการ | ||
| จนกรูกรีรี้พลมาสนส่ำ | เพราะเชื่อคำภูวนาถสวาสดิ์หวาน | ||
| สู้ติดตามพระองค์มาดงดาน | ข่าวสารทราบสิ้นทั้งดินแดน | ||
| ตลอดพิภพจบสกล | ในทวีปมณฑลอเนกแน่น | ||
| ก็ลือเลื่องไปถึงเมืองอมรแมน | ว่าพระแสนสุดสวาทเจ้าเมรี | ||
| สวาสดิ์จริงพระทิ้งไว้อางขนาง | นิราศร้างนคเรศบุรีศรี | ||
| ให้น้องแสนโศกช้ำระกำทวี | มิเสียที่ที่ว่ารักประจักษ์ตรง | ||
| ถึงม้วยดินสิ้นฟ้าสุธาสวรรค์ | จะรำพันไยเล่าให้เมียหลง | ||
| ถ้ารักจริงหรือจะทิ้งไว้กลางดง | เมื่อพระองค์ใจแจ้งจะจากนวล | ||
| อันน้องหญิงห่อนกลิ้งวิกลเกล้า | เนื้อแท้ท้าวทำเล่ห์แล้วเหหวน | ||
| แกล้งบิดผันหันแหพูดแปรปรวน | เป็นหญิงมาหลงด่วนด้วยลมชาย | ||
| โอ้โอ๋แต่นี้มิวายถวิล | ก่นแต่กินชลเนตรไม่รู้หาย | ||
| ดั่งเดือนดับอับศรีสกลกาย | เหมือนหนึ่งสายชลธีชโลธาร | ||
| ก็สาสมที่อารมณ์ไม่รอรั้ง | นิยมหวังกำหนดแต่รสหวาน | ||
| หมายใจว่าจะได้จิรังกาล | ที่นี้หวานหนักแล้วก็พลันรา | ||
| อกเอ๋ยไฉนเลยแต่นี้เล่า | ตั้งแต่จะเศร้านิราศา | ||
| เพราะสามีมิได้มีซึ่งเมตตา | ไม่กรุณาน้องแล้วก็ท่าจน | ||
| จะหันหน้าไปพึ่งพระผู้ผัว | พระทูนหัวก็มาขว้างเสียกลางหน | ||
| สำหรับแต่จะอัประมาณตน | เห็นไม่พ้นมรณาเสียจริงเจียว ฯ | ||
| ◉ พระสดับสารนุชเสนาะ | ให้จับเจาะใจแสนกระสันเสียว | ||
| โอ้โอ๋สงสารสุดาเดียว | ให้ฉุนเฉียวพระทัยอาลัยลาน | ||
| เพียงเอ๋ยแม้นได้ครรไลหงส์ | จะคืนคงกลับหลังยังสถาน | ||
| ถึงแก้วกัณฐัศว์จะทัดทาน | จะประหารเสียให้ประลัยลง | ||
| นี่สุดคิดสุดฤทธิ์จะทำไฉน | ไม่เหาะเหินเดินได้ดังประสงค์ | ||
| แล้วถอยหลังยั้งคิดปัญญายง | ค่อยดำรงพระทัยให้บรรเทา | ||
| จึ่งผายเผยพจนารถคำสนอง | พระน้องเอ๋ยอย่าหมองกระมลเศร้า | ||
| จงกลับหลังคืนยังบูรีเรา | เป็นจอมเจ้าศรีสวัสดิ์ให้ไพบูลย์ | ||
| ใช่พี่มิรักจักแกล้งรัก | จงประจักษ์จริงใจไม่ไปสูญ | ||
| จะคงคืนกลับมาอย่าอาดูร | จะเพิ่มพูนยิ่งยศให้ยงยืน | ||
| อันอารมณ์เรียมไซร้จะไปหา | แต่อาชาตัวนี้เฝ้าขัดขืน | ||
| จะกระชากสักเท่าใดก็คืนยืน | มันขัดขืนดื้อดึงตะบึงไป | ||
| ความแสนเจ็บใจไม่รู้ที่ | เช่นนี้แล้วแก้วพี่จะทำไฉน | ||
| เป็นเวรกรรมเราได้ทำแต่ปางใด | จึงชักให้เห็นแจ้งประจักษ์ตา | ||
| อยู่ดีดีดั่งเด็ดเอาดวงเนตร | ให้ทุเรศร้างเล่ห์เสน่หา | ||
| แสนวิตกอกโอ้เป็นเวรา | ประหนึ่งว่าชีวันจะพลันตาย | ||
| จำจิตจำใจไกลวิโยค | อย่าเศร้าโศกหนักเลยนะโฉมฉาย | ||
| เป็นความจริงมิได้ทิ้งให้เด็ดดาย | ใช่จะหน่ายแหนงหนีพระน้องยา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายนาฏเมรีศรีสวัสดิ์ | หน่อเนื้อนางกระษัตริย์เสน่หา | ||
| ได้สดับสุนทรภัสดา | ดั่งสายฟ้าผ่าฟาดให้ขาดใจ | ||
| นึกประหวั่นพรั่นในพระทัยหาย | สกลกายกัมปนาทหวาดไหว | ||
| ยิ่งแสนโศกโศกาด้วยอาลัย | หวาดไหวไปทั่วทั้งอินทรีย์ | ||
| โอ้พระพุทธพงษ์ผู้ทรงเดช | ไม่สังเวชแก่ข้ามเหสี | ||
| สู้บุกป่าฝ่าดงพงพี | ควรหรือมิเมตตาจะคลาไคล | ||
| นิจจาเอ๋ยเมื่อยามจะเชยชื่น | ล้วนแต่พื้นความดีจะมีไหน | ||
| จะสู้ม้วยด้วยกันกับขวัญใจ | น้องไซร้ซื่อเชื่อจนเหลือดี | ||
| หมายจะพึ่งพระบาทบรมเมศ | อยู่ปกเกศเกล้าข้ามเหสี | ||
| ก็ปลงจิตมิได้คิดราคีมี | ไม่รู้ทีที่แสร้งแต่งอุบาย | ||
| ต้องประสงค์จำนงปองของวิเศษ | ไม่รู้เหตุก็เล่าแจ้งแถลงถวาย | ||
| ประจักษ์สิ้นในระบิลบรรยาย | พอสมหมายท้าวมุ่งแต่เดิมมา | ||
| วันเมื่อชมสวนพระชวนน้อง | ไปเที่ยวท่องพิศผลพฤกษา | ||
| ทำเสแสร้งแกล้งถามนามผลา | ที่ผ่านฟ้าต้องประสงค์จำนงปอง | ||
| พระหักไม้ม่วงหาวมะนาวโห่ | อันภิญโญยิ่งล้ำกว่าสิ่งของ | ||
| น้องคิดว่าผ่านฟ้าคะนองลอง | มิรู้ต้องประสงค์จำนงนาน | ||
| ถึงกระนั้นไม่คะนึงเท่ากึ่งก้อย | ข้าน้อยมิให้เคืองเรื่องสมาน | ||
| หมายจะได้ไว้เป็นจอมกระหม่อมมาร | ถึงทำการก็กริ่งประวิงใจ | ||
| เมื่อแรกเริ่มจะสู่สมภิรมย์รัก | เขาทัดทักหนักแล้วน้องไม่สงสัย | ||
| หลงระเริงก็เพราะเชิงพระภูวไนย | หวังใจว่าจะฝากซึ่งชีวัน | ||
| ความสวาสดิ์มาดหมายพระทรงพุทธ | จนสิ้นสุดสังขาร์นิราศัลย์ | ||
| ควรแล้วหรือพระองค์ผู้ทรงธรรม์ | มาหุนหันเชื่อแต่มโนมัย ฯ | ||
| ◉ บัดนั้นนางค่อมคนสนิท | อันเชื่อชิดใช้ชอบอัชฌาศัย | ||
| เห็นเจ้านายโศกาก็อาลัย | นึกขัดใจเดือดด่าให้พาชี | ||
| ว่าเหวยนี่แน่ไอ้ม้าร้าย | ช่างพานายลนลานตะลอนหนี | ||
| เมื่อทั้งสองสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | ไยมึงพาหนีมาลนลาน | ||
| สัญชาติไอ้ม้าพลาหก | กระยาจกชั่วชาติเดรฉาน | ||
| มาเสแสร้งแกล้งทำให้รำคาญ | เราท่านพลอยยากลำบากกาย | ||
| ไพร่บ้านพลเมืองก็เคืองเข็ญ | มิพอเป็นก็มาเป็นระส่ำระสาย | ||
| แต่ก่อนกูอยู่สุขสนุกนิ์สบาย | เพราะเจ้านายของมึงมึงพามา | ||
| ให้แม่เจ้ากูจากไอศวรรย์ | มาโศกศัลย์ดั้นเดินตามเนินผา | ||
| ได้ความยากลำบากพระกายา | ไอ้อาชาเช่นนี้ไม่มีโรง ฯ | ||
| ◉ อัศวราชตอบคำลำนำแส | ว่านี่แน่นางค่อมหลังขดโขง | ||
| เจ้าช่างว่าพาชีไม่มีโรง | อีหลังโกงแก้หน้ามาว่ากู | ||
| ทั้งเจ้าทั้งข้าพากันวิ่ง | ดูเป็นหญิงบัดสีน่าอดสู | ||
| ช่างชวนกันมานั่งอยู่พรั่งพรู | แต่ล้วนหมู่ยักษีมีพยศ | ||
| มึงหมายใจว่ากูไซร้เป็นภักษา | ไยมิข้ามตามมาอีหน้าสด | ||
| ช่างเสกสรรกลั่นถ้อยทำช้อยชด | อีหลังขดค่อมคุ่มเป็นปุ่มเปา | ||
| อันตัวดังหนึ่งฟุมฝอยเฟื้อ | เป็นหยากเยื่อรองบาทพระเป็นเจ้า | ||
| ท้าวไม่หลงในเล่ห์กาเมเมา | ทำยั่วเย้าจะเล่นกับอาชา | ||
| อันสัญชาติเช่นเชื้ออีนางยักษ์ | เสียศักดิ์เสียชาติไม่ปรารถนา | ||
| อีนางค่อมหลังขดอย่าเจรจา | มึงเป็นแต่ทาสาสำหรับวัง ฯ | ||
| ◉ ยุพาพาลฟังสารอัศวเรศ | ชลเนตรลามไหลลงหลั่งหลั่ง | ||
| อุรานางพ่างเพียงจะพองพัง | ให้แค้นคั่งด้วยคำมโนมัย | ||
| พิศพักตร์นางค่อมแล้วไต่ถาม | ที่งามอยู่แล้วตั้งห้าไร่ | ||
| มึงจาบจ้วงล่วงด่าเขาว่าไร | อีชาติไพร่นอกเจ้าไม่เจียมตัว | ||
| เอาแต่คารมออกฉาดฉาน | จะประจานใครเล่าอีชาติชั่ว | ||
| หยาบช้าไม่ว่ากันแต่ตัว | ให้เกลื้อกลั้วปะปนมาถึงเรา | ||
| เดี๋ยวนี้เป็นไรไม่ตอบต่อ | พิษพอให้สมอารมณ์เล่า | ||
| มานั่งนิ่งผินหลังอยู่ซบเซา | นางหัวเปาปากกล้าอีหน้าเป็น ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายค่อมคนสนิททูลสนอง | ข้าตรึกตรองพินิจคิดเห็น | ||
| ว่าไอ้ม้าเจรจาที่ไหนเป็น | จะด่าเล่นช่วยองค์พระนงเยาว์ | ||
| มิรู้ก็กลับมาเป็นโทษ | ต้องกริ้วโกรธซ้ำด่าข้าอีกเล่า | ||
| อกเอ๋ยอาภัพแต่ตัวเรา | เจ็บแค้นแทนเจ้ากลับได้อาย | ||
| นางสนมกรมในได้ฟังสาร | ซึ่งอาชาว่าขานเป็นมากหลาย | ||
| ให้มีความอดสูไม่รู้วาย | จึงกราบทูลโฉมฉายเจ้าเมรี | ||
| ขอเชิญคืนหลังยังสถาน | จะทรมานอยู่ไยในไพรศรี | ||
| ให้เจ็บช้ำคำม้ามันพาที | จะนั่งเฝ้าเซ้าซี้ไปทำไม | ||
| ถึงมาดแม้นพระไม่อาลัยแล้ว | อันดวงแก้วหรือจะหมองไม่ผ่องใส | ||
| เหมือนมณีย่อมมีผู้เจียระไน | เพชรรัตน์หรือจะไร้ซึ่งเรือนทอง | ||
| ทั่วท้าวด้าวแดนแผ่นทวีป | ถ้ารู้แล้วก็จะรีบมาสมสอง | ||
| แสนสนิทพิศวาสดั่งใจปอง | ขอเชิญแม่คืนครองนครา ฯ | ||
| ◉ นางฟังสาวสนมทูลสนอง | ยิ่งมัวหมองในมนัสสา | ||
| เคืองขัดอัดอั้นตันอุรา | ยิ่งโศกาสะอื้นกันแสงกรม | ||
| จึงต่อตอบพจมานสารเฉลย | วานอย่าว่าไปเลยเห็นไม่สม | ||
| จะได้เรากลับเข้าบูรีรมย์ | จะนิยมยินดีด้วยอันใด | ||
| เป็นหญิงสิ่งซึ่งจะอัประดาษ | เพราะไร้ญาติสามีพิสมัย | ||
| เมื่อสามีหนีหน่ายไม่อาลัย | จะกลับไปเป็นหม้ายอยู่เอกา | ||
| อันสัญชาติชายอื่นสักหมื่นแสน | ในพื้นแผ่นพิภพไม่ปรารถนา | ||
| จะสู้ม้วยด้วยองค์พระภัสดา | เมื่อท้าวไม่กรุณาก็จนใจ | ||
| อันสตรีสามีถึงสองแล้ว | เหมือนดวงแก้วมัวหมองไม่ผ่องใส | ||
| ถึงเรืองรองทองคำเนื้ออุไร | เมื่อฝ้าไฝแปดเปื้อนระคนปน | ||
| ก็ขึ้นชื่อว่ามณีศรีสลาย | ถึงงามพรายก็เห็นไม่เป็นผล | ||
| อันอกน้องหมองเหมือนมณีปน | นับวันแต่จะมัวหมองเป็นมลทิน | ||
| สู้ตายมิได้คิดจะกลับหลัง | จะขอตายกับฝั่งชลสินธุ์ | ||
| ดูราอสุเรศอสุรินทร์ | จงพาพวกพลพินเข้าพารา | ||
| บรรดาสาวสุรางค์สิ้นทั้งปวง | อย่าหนักหน่วงห่วงเลยในตัวข้า | ||
| ถึงเป็นตายก็ตามแต่เวรา | เมื่อท้าวไม่เมตตาก็จนใจ | ||
| มาตรแม้นพระไม่กลับมาปกเกศ | อันจะคืนนคเรศอย่าสงสัย | ||
| จะครองสัตย์สู้เสียชีวาลัย | ท่านจงไปเป็นสุขสำราญ ฯ | ||
| ◉ สาวศรีฟังสารสุดาเจ้า | ให้ร้อนดั่งไฟเผาแลเพลิงผลาญ | ||
| ต่างต่างโทมนัสให้แดดาล | แสนสงสารสุดาจะอยู่เดียว | ||
| นิจจาเอ๋ยไม่เคยได้ความเข็ญ | จะไร้เร้นทาสาในป่าเขียว | ||
| แสนวิเวกพิศวงอยู่องค์เดียว | แม่จะเปลี่ยวสกลอยู่รนรัว | ||
| ต่างเข้าเชิญโฉมประโลมปลอบ | ตรัสนี้มิชอบแม่ทูนหัว | ||
| จะมาทิ้งวรกายเสียดายตัว | พระผู้ผัวก็จะตามเจ้างามตาย | ||
| เสียดายเจ้าเป็นจอมกระหม่อมโลก | จงสร่างโศกเสียเถิดแม่โฉมฉาย | ||
| จงกลับเข้าสู่เมืองให้เรืองพราย | ข้าทั้งหลายจะได้พึ่งพระบารมี | ||
| แต่เวียนเฝ้าเซ้าซี้พิรี้ปลอบ | ก็มิชอบชื่นพระทัยเท่าเกศี | ||
| จะขออยู่เพื่อนองค์ในพงพี | ก็มิได้ปรานีจะโปรดปราน | ||
| ต่างต่างตีอกสะอึกสะอื้น | เสียงครึกครื้นเครงไปทั้งไพรสาณฑ์ | ||
| ครวญคร่ำร่ำรักเยาวมาลย์ | กราบกรานอภิวาทบาทมูล | ||
| ทั้งฝูงอสุราประชากร | ฟังสารดวงสมรเพียงสิ้นสูญ | ||
| แสนทุกข์โทมนัสให้แดดูร | เพิ่มพูนพิลาปรำพัน | ||
| ว่าโอ้แต่นี้บูรีย์เรา | ไม่เคยเศร้ามีแต่สุขเขษมสันต์ | ||
| จะเหงาเงียบเชียบไปดั่งไพรวัน | สารพันจะวิบัติพรัดพราย | ||
| แสนสนุกนิ์เลิศล้ำแต่ปางหลัง | อนิจจังครั้งนี้จะเสื่อมหาย | ||
| จะโหยหนก่นกินน้ำตาตาย | พลางถวายประณตบทจร | ||
| ตั้งพักตร์จำเพาะนคเรศ | มาในวันเวศเนินสิงขร | ||
| สัตว์เสือเนื้อเบื้อเป็นเบื่อบอน | ก็เมื้อมรณ์พินาศดาษดง | ||
| ดินดอนสะท้อนสะท้านไหว | ไม้ไล่แหลกลุ่ยเป็นผุยผง | ||
| ดั้นเดินดัดป่าเข้าฝ่าพง | บ้างก็อยู่เฝ้าองค์พระเทพี ฯ | ||
| ◉ ปางสุริโยทัยเธอคล้อยเคลื่อน | จวนจะเลื่อนลับเหลี่ยมคีรีศรี | ||
| ฝ่ายฝูงลิงค่างบ่างชะนี | เม่นหมีมฤคาทิชากร | ||
| ทั้งฝูงภุมราคณานก | หมู่วิหคเซ็งแซ่แลสลอน | ||
| เข้าสู่ซุ้มพุ่มรังประนังนอน | สโมสรชื่นบานสำราญใจ | ||
| ลางตัวพลัดคู่อยู่เดียวโดด | ลิงโลดลานจิตพิสมัย | ||
| ให้วังเวงวิเวกในพระทัย | เมื่อจะใกล้สิ้นแสงอัสดง | ||
| ฝ่ายนาฏวรนุชโฉมเฉลา | เสด็จเนาวนาป่าระหง | ||
| ให้อนาถหวาดเหว่อยู่เอองค์ | บมีฝูงอนงค์สินิทธิ์นาง | ||
| จะแลซ้ายเห็นแต่ป่ารุกขาเขียว[1] | จะแลขวาเปล่าเปลี่ยวให้อางขนาง | ||
| สองกรค่อนอุระครวญคราง | พระพักตร์นางหมองเศร้าสลดใจ | ||
| ทรงโศกโทมนัสอัดอั้น | สุดกลั้นพระสุชลหลั่งไหล | ||
| หวั่นหวั่นสังเวชพนมไพร | นางโหยไห้ริมฝั่งชโลทร | ||
| แล้วน้อมเศียรอภิวาทบาทบงสุ์ | ทูลองค์บพิตรอดิศร | ||
| พระคุณเอ๋ยชีวาตม์จะขาดรอน | หรือภูธรนิ่งได้ไม่ปรานี | ||
| โทษน้องนี้ไฉนพระทัยแหนง | หรือเคลือบแคลงแห่งข้ามเหสี | ||
| อันโทษาน้องไซร้มิได้มี | ควรหรือพระจะหนีไปเด็ดดาย | ||
| นิจจาเอ๋ยเมื่อยามอารามเคล้า | แต่ล้วนเจ้าอย่าหมางระคางหมาย | ||
| อันเรียมหรือจะให้เจ้าได้อาย | จะสู้ม้วยด้วยสายสวาสดิ์เดียว | ||
| โอ้โฉมครั้งนี้นะอกเอ๋ย | พระคงเลยลับแน่ไม่แลเหลียว | ||
| เป็นกองกรรมทำมาเวราเจียว | ยิ่งแสนเสียวโศกซ้ำเฝ้าคร่ำครวญ ฯ | ||
| ◉ พระสดับพจนาสาราเรื่อย | แจ้วแจ้วเจื้อยจับจิตรำจวนหวน | ||
| พิศวงหลงเล่ห์เสน่ห์นวล | กระสันชวนชมชื่นจะคืนชม | ||
| กำเริบร่านอารมณ์ฤทัยรัก | พระทรงชักอาชาจะมาสม | ||
| พาชีขัดเชิงดั่งเพลิงรม | พระเจียนจมจะม้วยด้วยความรัก ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายอัศวราชฉลาดเรียบ | ภิปรายเปรียบความไปให้ประจักษ์ | ||
| จงฟังคำพี่เถิดนะน้องรัก | จะเป็นห่วงหน่วงหนักไม่ต้องการ | ||
| ทั้งแม่ป้าอาดูรพูนเทวษ | แสนทุเรศกินน้ำตาต่างอาหาร | ||
| สมรมิตรถึงจะปลิดบรรลัยลาญ | อันนงคราญอื่นอื่นมีถมไป | ||
| แม้นว่ามารดาชีวาสัญ | ผู้อื่นนั้นหรือจะเป็นมารดาได้ | ||
| อย่ากินแหนงแคลงคลางในน้ำใจ | จงตัดรักหักให้ได้สิ้นเชิง | ||
| อันเชื้อชาติชายชาญชำนาญศิลป์ | ไม่หลงลิ้นลมลานระเริงเหลิง | ||
| ย่อมกำจัดตัดรักให้หักเปิง | จึ่งเรียกว่าชายเชิงชำนาญชาญ | ||
| ทั่วเทพนิกรอ่อนเศียร | ประนมเนียรเอิกเกริกทุกถิ่นฐาน | ||
| สรรเสริญจำเริญยศบทมาลย์ | สาธุการอำนวยอวยพร | ||
| หนึ่งหลงด้วยรูปเสน่หา | ก็เหมือนว่าเลวล้ำที่คำสอน | ||
| รักเมียละเสียซึ่งมารดร | ใครห่อนจะเห็นว่าเป็นชาย | ||
| เขาจะตบมือสรวลสำรวลอื้อ | ตลอดลือทั่วโลกทั้งหลาย | ||
| เป็นสองข้อความขันบรรยาย | พระโฉมฉายเชิญทราบในพระทัย | ||
| พระฟังม้าชี้แจงแถลงอรรถ | กระจ่างจัดมั่นคงไม่สงสัย | ||
| ก็เสื่อมสร่างบางทุกข์บรรเทาใจ | พระก็กล้ำกลืนไว้ในอุรา | ||
| แล้วจึ่งพจนารถสนองนุช | พระน้องเอ๋ยอย่าวิมุติกังขา | ||
| สักสองสามราตรีทิวารา | จะกลับมาสมสองประคองนวล | ||
| เจ้าเนื้อเหลืองเรืองศรีสุวรรณมาศ | สายสวาสดิ์พี่มิให้เจ้าโหยหวน | ||
| นี่จนจิตทีจะคิดก็จนจวน | อย่าหมองนวลเลยนะเจ้าไม่เนานาน ฯ | ||
| ◉ ยุพยงทรงฟังสุนทรพจน์ | ดั่งศรกรดซัดแสร้งมาแผลงผลาญ | ||
| พิษเพียงเพลิงไหม้บรรลัยลาญ | ให้เสียวซ่านไปสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
| ยิ่งโศกศัลย์กันแสงสะอื้นอ้อน | สองกรน้อมประณตบทศรี | ||
| โอ้ไฉนผ่านฟ้าไม่ปรานี | ให้เมียนี้เปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย | ||
| ทั้งฝูงสัตว์เสือสิงห์ก็วิ่งพล่าน | น้องแดดาลอกสั่นมิ่งขวัญหาย | ||
| ถึงโกฎิแสนแม้นอื่นไม่ชื่นกาย | เหมือนพระสายสุดที่รักของเมียเดียว | ||
| พระคุณเอ๋ยเคยโอบอ้อมถนอมศรี | โอ้บัดนี้โศกแสนกระสันเสียว | ||
| เมียร้องไห้โหยหนอยู่คนเดียว | พระเด็ดเดี่ยวดูได้ไม่นำพา | ||
| หรือท้าวชิงชังโฉมไม่โลมเลี้ยง | เป็นคู่เคียงเรียงร่วมเสน่หา | ||
| น้องขอแต่เป็นทาสบริจา | ฉลองคุณไปกว่าชีวาวาย | ||
| โปรดเมียเท่านี้เป็นที่สุด | ล้ำสมุทรดินฟ้าก็เหลือหลาย | ||
| เห็นว่าเมียจะไม่รอดคงวอดวาย | ขอถวายชีวาตม์บาทบงสุ์ ฯ | ||
| ◉ นฤบาลฟังสารยุพาพิน | ดังวารินทิพรสมาโสรจสรง | ||
| ซับซาบอาบต้องละอององค์ | พระยิ่งแสนพิศวงสวาสดิ์นุช | ||
| คิดคิดดั่งหนึ่งจะกลับไป | แต่เกรงใจพาชีเป็นที่สุด | ||
| ให้ร้อนอกเป็นอัคนิรุทธ | ปิ้มประดุจจะม้วยลงด้วยรัก | ||
| พระจึ่งตอบพระนุชเสน่หา | อนิจจาเรียมหรือจะถือศักดิ์ | ||
| ภคินีก็เป็นที่บำเรอพักตร์ | ไม่ชิงชังร้างรักสวาสดิ์รส | ||
| นี่ชะรอยกุศลมาดลแสร้ง | จึ่งแยกแย้งชิงช่วยให้ม้วยหมด | ||
| พี่แสนห่วงที่จะห่างต้องร้างรส | เห็นปรากฏกองกรรมจึงจำเพาะ | ||
| ทั้งไมตรีพี่มาดก็ขาดสิ้น | โอ้ยุพินเจ้าอย่าได้ทำใจเสาะ | ||
| อย่าโศกศัลย์เลยนะเจ้าเป็นคราวเคราะห์[1] | ประจักษ์เจาะจริงแล้วพี่ขอลา | ||
| เยาวมาลย์ฟังสารดาลเทวษ | ชลเนตรอาบนองนาสา | ||
| ร่ำพลางทางทูลพระภัสดา | อนิจจาหรือว่าพระปรานี | ||
| แสนมหาแต่พระสุริยา | จะเลื่อนลับบัพพตาคีรีศรี | ||
| ยังอาลัยด้วยโลกธาตรี | มิใคร่จะรี่รถอัสดงค์ | ||
| ถึงพระจันทร์วันบุญจำรุญศรี | ในราตรีจะใกล้สิ้นซึ่งแสงส่ง | ||
| มิใคร่จะเลื่อนลับพระเมรุลง | แสงทรงส่องฟ้าอยู่เรืองรอง | ||
| เทวบุตรจุติปฎิสนธิ์ | ยังกังวลด้วยสุรางค์นางทั้งผอง | ||
| ทั้งห้องทิพย์สถานพิมานทอง | ยังเมียงมองอยู่มิใคร่จะไคลคลา | ||
| อย่าว่าแต่สุริยันพระจันทร | ถึงไกรสรยังรู้สั่งคูหา | ||
| มยุเรศยังรู้สั่งมยุรา | มัสยาก็ยังรู้สั่งชลธี | ||
| สุวรรณหงส์ยังรู้สั่งเหมราช | มฤคมาศยังรู้สั่งไพรศรี[2] | ||
| โนเรศยังรู้สั่งนางโนรี | หรือภูมีมิได้หวังมาสั่งเมีย | ||
| ถ้ามาตรแม้นสุดสิ้นซึ่งความรัก | จงผันพักตร์กลับหลังมาสั่งเสีย | ||
| แล้วภูธรจึงค่อยจรไปจากเมีย | อย่าให้น้องนี้เสียซึ่งน้ำใจ | ||
| เสียแรงน้องบุกป่าสู้ฝ่าหนาม | จะมีความกรุณาก็หาไม่ | ||
| แต่ตัดลำกัทลียังมีใย | นี้พระตัดสายใจให้จากเจียร | ||
| สารพัดพระก็ตัดสลัดแล้ว | เมียขอเชิญพระแก้วมาตัดเศียร | ||
| ให้สิ้นสูญชีวิตสนิทเนียร | อย่าให้เวียนวอนว่าอยู่ช้ากาล ฯ | ||
| ◉ พระฟังสารวรนุชสนองคำ | พิไรร่ำกำสรดน่าสงสาร | ||
| พระจึงตอบสารายุพาพาล | เยาวมาลย์อย่าละห้อยน้อยฤๅทัย | ||
| ใช่พี่มิรักจักแกล้งหนี | จะตัดใจไม้ตรีก็หาไม่ | ||
| เมื่ออัสดรมิจรก็จนใจ | จะข้ามไปหานุชพี่สุดคิด[3] | ||
| พระน้องเอ๋ยจนจิตพี่หนักหนา | อย่าโศกาแค้นขุ่นทำฉุนจิต | ||
| ขอลาแล้วแก้วตายุพาพิศม์ | พี่ไม่คิดแหนงน้องอย่าหมองนวล ฯ | ||
(ฯ คำโศกสั่งในดำเนินเรื่องยุติเพียงนี้ ฯ ทีนี้เสริมความพูดเศร้าต่อไป ฯ)
| ◉ สินธพฟังคั่งเคืองในเรื่องเล่ห์ | เห็นรอเรเรื่องรักไม่หักหวน | ||
| จึ่งทูลเทียบเปรียบสอนสุนทรทวน | ว่าเห็นควรหรือพระองค์มาหลงเมีย | ||
| จะอับอายขายหน้าหนักหนาแน่ | อย่าท้อแท้ถอยรักให้หักเสีย | ||
| ถ้าขืนตอบปลอบความคงลามเลีย | เฝ้าคลอเคลียครวญครางไม่ว่างวาย | ||
| ทูลพลางทางโลดจะโดดกลับ | พระหวิววับวาบในพระทัยหาย | ||
| สลดแลแปรพักตร์ไม่หักคลาย | ก็ฟูมฟายโศกาอุรารน | ||
| สินธพดันหันหน้าจะพาร่อน | พระภูธรกล่าวตรัสให้ขัดสน | ||
| อาชาเชิงเริงร่านทะยานบน | แล้วนึกจนใจจิตด้วยคิดเกรง | ||
| จึ่งทูลเทียบเปรียบความไปตามเรื่อง | จงกลับเมืองเถิดหนาเนาะเห็นเหมาะเหม็ง | ||
| ถ้าเชือนช้ารักเมียคงเสียเพลง | พระองค์เองก็ไม่สิ้นเขานินทา | ||
| ชนนีที่ยิ่งจะทิ้งเสีย | มาหลงเมียเมียไกลไม่ไปหา | ||
| ถ้าลืมแม่แน่หนอจะขอลา | แล้วอาชาเชิญองค์ให้ลงพลัน ฯ | ||
| ◉ พระรถฟังดั่งใครเอาไฟจี้ | พระภูมีแค้นขุ่นให้หุนหัน | ||
| พิโรธเรื่องเคืองคำที่รำพัน | จึ่งมีบัญชาวอนด้วยอ่อนโยน | ||
| ว่าดูราพาชีผู้มียศ | จงเงือดงดอย่าเพ่อโลดกระโดดโผน | ||
| ขอผัดพักสักครู่จึ่งจู่โจน | ไม่อ่อนโอนแล้วเห็นนางคงวางวาย ฯ | ||
| ◉ อาชาฟังคั่งเคืองทำเยื้องหน้า | เห็นราชาร่ำพิไรก็ใจหาย | ||
| นึกสงสารเยาวยอดเห็นทอดกาย | เฝ้าฟูมฟายชลนาด้วยอาลัย ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายเอกองค์ทรงยศพระรถราช | อารมณ์หวาดหวั่นหมองไม่ผ่องใส | ||
| เห็นน้องนวลครวญคร่ำเฝ้าร่ำไร | พระอ่อนใจสุดจะลาด้วยอาวรณ์ | ||
| จึ่งเอื้อนโองการพร้องสนองนุช | ว่าเรียมสุดโศกในฤทัยถอน | ||
| มโนมัยใจกล้าจะพาจร | เพราะกรรมก่อนเจียวหนอกรรมได้ทำมา | ||
| แสนวิบากพรากสัตว์ให้พลัดคู่ | ที่เคยอยู่ร่วมรักกันหนักหนา | ||
| ไปรื้อร้างห่างให้ต่างไคลคลา | จึ่งต้องมาห่างนวลที่ควรเคย | ||
| กุศลหลังยังสร้างไว้บ้างน้อง | จะกลับครองเคียงนางไม่ห่างเฉย | ||
| จงเห็นรักหนักแน่ไม่แปรเปรย | พระน้องเอ๋ยอย่ารำจวนเฝ้าครวญคราง | ||
| ขอผัดพักสักสามทิวาแน่ | อย่าดาลแดด่วนโศกวิโยคหมาง | ||
| จะให้สัตย์ปฏิญาณไว้ทานทาง | จงคลายหมางหม่นหมองเถิดน้องนวล ฯ | ||
| ◉ อนงค์ฟังดั่งศรมารอนจิต | ยิ่งแสนคิดโศกซ้ำแล้วกำสรวล | ||
| สะอื้นอั้นตันจิตให้คิดครวญ | แทบจะซวนเซทรุดด้วยสุดตรอง | ||
| จะตอบคำรำพันให้อั้นอัด | ประนมหัตถ์ทูลไทด้วยใจหมอง | ||
| โอ้เห็นเมียเสียนวลไม่ควรครอง | หรือจึ่งล่องร้างร้ายไม่หมายเชย | ||
| แต่แรกท้าวกล่าวไว้ว่าไม่ทิ้ง | จะรักจริงมิได้จางให้ห่างเฉย | ||
| เดี๋ยวนี้รักชัดเร่ปรวนเปรเปรย | นิจาเอ๋ยโอ้ว่าเวราเรา | ||
| จะทุกข์โทษโกรธใครเพราะใจจิต | ไปเชื่อชิดชื่นชมอารมณ์เขลา | ||
| จึ่งได้ทุกข์ฉุกใจเพราะใจเบา | มิรู้เอาลับแฝงมาแกล้งโลม | ||
| ทำปกปิดมิดไว้อยู่ในฝัก | จึงหลงรักงวยงงด้วยทรงโฉม | ||
| เพราะไม่ตรองตริดูด่วนจู่โจม | จนเศร้าโทรมหรือจะสดได้หมดมัว | ||
| เหมือนภูษาผ้าขาวที่พราวพริ้ง | ไม่มีสิ่งเศร้าคล้ำให้ดำหลัว | ||
| เนื้อละอองผ่องใสดั่งใยบัว | ถ้าตกชั่วช้ำลึกน้ำหมึกนอง | ||
| ก็เอิบอาบซาบซ้ำจะดำเศร้า | ถึงหยิบเอาซักสายไม่หายหมอง | ||
| คงเสียผ้าพาดำไม่ลำยอง | เหมือนตัวน้องนี้มาหน่ายด้วยชายทิ้ง | ||
| ก็เป็นม่ายร้ายผัวอยู่ตัวเปล่า | เครื่องแต่เขาเคาะยุ่งอยู่สุงสิง | ||
| ขอทูลลาบรรลัยเจ็บใจจริง | พระยอดยิ่งขัตติยาอย่าอาลัย | ||
| ไม่มีข้อความชั่วมามัวผิด | โอ้ทรงฤทธิ์น้อยหรือควรมาด่วนได้ | ||
| แต่ตัดกล้วยหน่วยปลียังมีใย | โอ้พระทัยน้อยหรือขาดสวาสดิ์เจียว | ||
| อันเกิดเช่นเป็นหญิงนี้ยิ่งชั่ว | แม้นมีผัวผัวแชไม่แลเหลียว | ||
| เขาคงค่อนเคาะว่าเล่นท่าเดียว | ทั้งจะเที่ยวติฉินพูดนินทา | ||
| ว่าหญิงนี้ดีร้ายจะหลายชู้ | ครั้นผัวรู้จึงได้เร่เสน่หา | ||
| ให้เหินห่างร้างไกลแล้วไคลคลา | เขาค่อนว่าเยาะเยื้องก็เรื่องอาย | ||
| ถ้าหญิงร้างห่างผัวเพราะผัวม้วย | บรรเทาด้วยเพราะกรรมจึงจำม่าย | ||
| ไม่มีใครนินทาทั้งว่าร้าย | เพราะผัวตายจึ่งต้องอยู่แต่ผู้เดียว | ||
| โอ้น้องนี้มีกรรมมาจำม่าย | ช่างซ้ำร้ายชายแชไม่แลเหลียว | ||
| จะโกรธาว่าใครเพราะใจเจียว | จะกลับเอี้ยวตัวทันสิบรรลัย | ||
| เหมือนมัจฉาปลาน้อยเที่ยวลอยว่าย | อยู่ตามสายวารินกระสินธุ์ไหล | ||
| แล้วหลงเข้าโพงพางเขากางไว้ | ที่น้ำไหลเชี่ยวฉ่าดูน่ากลัว | ||
| ฝ่ายมัจฉาปลาหลงที่งงโง่ | ก็ว่ายโร่เข้าไปนอนทำคลอนหัว | ||
| ต้องติดขังหวังว่ายเห็นข่ายพัว | จะกลับตัวรี่ออกระลอกนัก | ||
| ต้องว่ายวนทนทุกข์ในคุกขัง | เพราะไม่รั้งรอไว้ทำใจหนัก | ||
| เหมือนน้องงงหลงลามด้วยความรัก | เดี๋ยวนี้จักกลับตัวสิมัวแล้ว | ||
| มิขออยู่สู้ตายไปภายหน้า | ให้เห็นว่าใจน้องนี้ผ่องแผ้ว | ||
| ไม่มีผิดคิดเชือนเพราะเคลื่อนแคล้ว | เป็นกรรมแล้วขอลาชีวาวาย | ||
| แม้นอยู่ดีมีกรรมมาทำเหตุ | เหมือนราเมศร้างราสีดาหาย | ||
| เพราะมียักษ์ลักนางไปห่างกาย | จึ่งจำหน่ายแหนงร้างไปห่างกัน | ||
| พระรามรู้สู้ตามด้วยความรัก | ไปรบยักษ์มรณาถึงอาสัญ | ||
| แล้วได้คืนสีดาวิลาวัลย์ | มาเขตคันครองคู่ได้อยู่เชย | ||
| โอ้พระทัยใจจิตไม่คิดบ้าง | มาทิ้งทางรักเร่เสน่ห์เอ๋ย | ||
| แม้นมีเคราะห์เพราะกรรมจะจำเลย | ถึงแชเฉยก็ยังชั่วไม่มัวมล | ||
| แม้นพระไม่กรุณาเมตตาน้อง | ไม่ขอครองชีพเห็นไม่เป็นผล | ||
| จะสู้กลั้นใจตายให้วายชนม์ | เป็นผู้คนอยู่ก็อายทั้งขายพักตร์ ฯ | ||
| ◉ พระฟังนุชสุดครวญยิ่งป่วนจิต | คะนึงคิดแสนโศกวิโยคหนัก | ||
| จึ่งตรัสปลอบตอบตามด้วยความรัก | อย่าโศกนักเลยนะน้องจะหมองนวล | ||
| ทำไฉนจึ่งจะให้ประจักษ์แจ้ง | ว่ารักแรงมิได้เร่อย่าเหหวน | ||
| ไฉนน้องเจ้าจะวายค่อยคลายครวญ | ควรหรือนวลเจ้าช่างไม่เห็นใจจริง | ||
| จะปลอบเจ้าเท่าใดมิได้เชื่อ | หรือแล่เนื้อเรียมรักษ์ไว้สักสิ่ง | ||
| เป็นสัญญาว่าวางได้อ้างอิง | พี่ไม่ทิ้งดอกนะมิตรอย่าคิดแค้น | ||
| ถ้าพี่ไปไม่กลับมารับขวัญ | จึ่งโศกศัลย์โศกาให้สาแสน | ||
| จงดับโศกเสียเถิดนวลอย่าควรแค้น | ถ้ามาตรแม้นมิกระไรไม่ไกลน้อง | ||
| เพราะห่วงด้วยมารดาจึ่งลาร้าง | ใช่แกล้งห่างเหหวนให้นวลหมอง | ||
| ขอลาไปไกลพุ่มประทุมทอง | อย่าโกรธกรองกริ่งจิตเฝ้าคิดแคลง ฯ | ||
| ◉ พระนุชดั่งใครเอาไฟสุม | อุรารุ่มเริงร้อนเหมือนศรแผลง | ||
| ชลนัยน์ไหลเผือดเป็นเลือดแดง | ให้โรยแรงร้อนใจดั่งไฟฟ้า | ||
| แสนระกำจำตอบระบอบเรื่อง | ทั้งแสนเคืองแสนรักเป็นหนักหนา | ||
| จะเอื้อนโอษฐ์ให้สะอื้นฝืนวิญญา | ชลนาเอ๋ยกระไรช่างไหลริน | ||
| ใจเอ๋ยใจให้หักเสียสักครู่ | ยิ่งไม่รู้วายรักเบือนพักตร์ผิน | ||
| ตาเอ๋ยตาอย่าให้ดูพระภูมินทร์ | เฝ้ายลยินก็ยิ่งช้ำระกำกรอง | ||
| รักจักร้างห่างหายจงวายคิด | จิตเอ๋ยจิตเจียมใจอย่าได้หมอง | ||
| ตาเอ๋ยตาอย่าแลจงแปรปอง | ขืนแต่ร้องไห้ร่ำจะช้ำตา | ||
| ยิ่งห้ามห้ามก็ยิ่งลามละโลมไหล | ใจเอ๋ยใจใจรักเสียหนักหนา | ||
| นางคร่ำครวญหวนโหยยิ่งโรยรา | แล้วโศกากลิ้งเกลือกลงเสือกกาย ฯ | ||
| ◉ แสนสงสารทรงยศพระรถราช | ฤทัยหวาดหวิวหวั่นไม่กลั้นหาย | ||
| ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | เพียงจะวายชีวาด้วยอาวรณ์ | ||
| เห็นน้องนุชสุดเศร้าก็เฝ้าโศก | แสนวิโยคแล้วยิ่งให้ฤทัยถอน | ||
| ระทมทุกข์ฉุกใจมิใคร่จร | อุราร้อนแรงรักให้หนักทรวง | ||
| ไม่เกรงใจอาชาจะมาแนบ | ถนอมแอบอุ้มน้องประคองหวง | ||
| นี่ขัดสนจนใจอาลัยดวง | โอ้พุ่มพวงทิพย์มาศต้องคลาศรัก | ||
| ขอเชิญเจ้าเข้ายังในวังหลวง | อย่าโศกเศร้าเหงาง่วงให้หน่วงหนัก | ||
| พี่ไม่หน่ายแหนงนวลอย่าครวญนัก | ขอลาสักสามวันจะครรไล | ||
| มาครองรักภักดีไม่หนีหน่าย | จงเคลื่อนคลายโศกลงอย่าสงสัย | ||
| เจ้าดวงจันทร์ขวัญตาจงคลาไคล | เข้าวังในเสียเถิดนวลอย่าครวญคราง ฯ | ||
| ◉ อนงค์ฟังดังจะม้วยลงด้วยรัก | ยิ่งเหลือหักหวนหายให้คลายหมาง | ||
| ระทมทุ่มทรวงสลายเพียงวายวาง | สงสารนางโศกซ้ำระกำกรม | ||
| จึ่งทูลว่าอย่าตรัสทำผัดผ่อน | เหมือนเพิ่มร้อนรักรุกประทุกถม | ||
| ขอเชิญพระกวัดแกว่งพระแสงคม | มาตัดลมเล่ห์สวาสดิ์ให้ขาดคลาย | ||
| จะประนมก้มเศียรประเนียรนั่ง | อารมณ์หวังตั้งจิตชีวิตถวาย | ||
| แม้นรักเมียเหมือนที่พระภิปราย | จงผันผายตัดเกล้าให้เบาทุกข์ ฯ | ||
| ◉ พระสดับพจนาสาราสาร | ยิ่งร้อนร่านทรวงศรีไม่มีสุข | ||
| อุรารุ่มแรงเริงเหมือนเพลิงลุก | ระทมทุกข์แทบม้วยเสียด้วยกรอม | ||
| จึ่งตรัสว่าโอ้เจ้าลำเพาพักตร์ | ไม่เห็นรักรู้เชื่อเลยเนื้อหอม | ||
| พี่แสนครวญป่วนในฤทัยออม | แต่กรมตรอมตรองครวญรำจวนใจ | ||
| จะปลอบเจ้าเฝ้าแค้นเสียแสนสา | อนิจจาจิตปลงแต่สงสัย | ||
| โอ้มีเคราะห์เพราะกรรมอยู่ร่ำไป | ทำไฉนจะประจักษ์ว่ารักจริง | ||
| โอ้เจ้ายอดกัลยายุพาพี่ | จงเห็นที่รักเถิดแม่เลิศหญิง | ||
| จิตจะใคร่ให้กระจ่างที่อ้างอิง | ก็สุดสิ่งซึ่งจะสรรรำพันการ | ||
| กรรมเอ๋ยกรรมซ้ำร้ายไม่วายเศร้า | สุดเอาจริงแจ้งแถลงสาร | ||
| ถึงจะให้ความสัตย์ปฏิญาณ | เยาวมาลย์เจ้าก็ไม่เห็นใจจง | ||
| โอ้เจ้ามิ่งเยาวมิตรดวงจิตพี่ | ไม่พอที่เลยจะครวญนวลระหง | ||
| พี่แจ้งจริงอยู่ว่ารักประจักษ์ตรง | ควรหรือปลงใจแคลงระแวงวอน ฯ | ||
| ◉ นฤมลเยาวมาลย์ฟังสารถ้อย | ให้เศร้าสร้อยแทรกซมระทมถอน | ||
| ทั้งรักแสนแค้นสุดยิ่งรุทธ์ร้อน | นางก็ค่อนทรวงซ้ำเฝ้าร่ำไร | ||
| โอ้พระยอดธิบดินทร์นรินทร์ราช | จะตัดขาดรักละหรือไฉน | ||
| โอ้โอ๋เคราะห์เพราะกรรมได้ทำไว้ | เห็นจะไม่เหมือนหมายคงวายชนม์ | ||
| ทุกข์ของใครในโลกที่โศกเศร้า | ไม่เหมือนเราทุกข์คะนึงสักกึ่งหน | ||
| แต่ขัดขืนฝืนหน้าอตส่าห์ทน | ก็สุดจนใจจริงต้องนิ่งตาย | ||
| เห็นมิได้คืนครองสนองรัก | ถ้าท้าวจักผูกพันจงผันผาย | ||
| หรือทรงฤทธิ์คิดขาดสวาสดิ์คลาย | ขอถวายชีวันจงบั่นรอน | ||
| เหมือนท้าวได้กรุณาเมตตาช่วย | ให้มอดม้วยชีวังถึงสังขร | ||
| จะได้สิ้นโศกสิ่งที่วิงวอน | พระภูธรธิบดีจงปรีดา | ||
| แม้นท้าวไม่โปรดปรานประหารเสีย | จะคลอเคลียครวญรักอยู่หนักหนา | ||
| เมียประนอมยอมม้วยจงช่วยมา | ตัดเกศาเสียให้สิ้นราคินครวญ ฯ | ||
| ◉ พระทรงฟังดังมัจจุราชฤทธิ์ | มาผลาญในใจจิตให้ปลิดหวน | ||
| ยิ่งโศกแสนสุดกลั้นก็รัญจวน | จึงตอบนวลว่าไฉนนิใจนุช | ||
| จะให้พี่นี้ประหารแล้วผลาญจิต | วานอย่าคิดเลยนะนวลพี่ครวญสุด | ||
| หรือจะผลาญกัลยาด้วยอาวุธ | ขอเชิญนุชนิ่มน้องอย่าหมองใจ | ||
| โอ้ไม่เห็นเห็นรักที่หนักหนอ | จะเกิดก่อทุกข์กรองไม่ผ่องใส | ||
| โอ้เวรกรรมทำสร้างแต่ปางใด | เจ้าจึงไม่เห็นรักประจักษ์เจือ | ||
| พี่จนจิตที่จะคิดสนิทแนบ | หมายจะแอบอรทัยจนใจเหลือ | ||
| ด้วยอาชาชาญชัยเขาไม่เมื้อ | เจ้านิ่มเนื้อเย็นจิตอย่าคิดแคลง ฯ | ||
| ◉ สินธพฟังคั่งเคืองในเรื่องกล่าว | ว่าโอ้ท้าวหลงใหลมิได้แหนง | ||
| จึ่งทูลทวนถ้วนถี่ค่อยชี้แจง | ให้จะแจ้งข้อความที่งามครัน | ||
| ว่าพระลืมชนนีที่พำนัก | มาหลงรักเมียเมินไม่เหินหัน | ||
| นี่เห็นดีแล้วหรือองค์พระทรงธรรม์ | ไม่เชื่อกันแล้วก็ตามไม่ห้ามเลย | ||
| ควรหรือจอมจักรพงศ์มาหลงเล่ห์ | จะปรวนเปรแปรได้พระทัยเอ๋ย | ||
| เสียแรงเรืองฤทธิรงค์มาหลงเชย | โอ้มิเคยพบเห็นเหมือนเช่นนี้ | ||
| น้อยหรือลืมมารดานิจจาจิต | ช่างควรคิดรักหมายไม่หน่ายหนี | ||
| ทูลพลางทางเผ่นขึ้นเมฆี | แล้วพารี่เหาะร่อนไม่หย่อนยั้ง | ||
| แสนสงสารทรงยศพระรถราช | พระทัยหวาดหวั่นเสียวแล้วเหลียวหลัง | ||
| ยิ่งเคืองแค้นอาชาไม่รารั้ง | ยิ่งหวาดหวังตั้งจิตคิดคะนึง | ||
| สินธพรีบถีบถาไม่ราหวน | พระแสนป่วนแดดิ้นถวิลถึง[1] | ||
| ม้าเร่งพระร้อนอารมณ์รึง | ด้วยสองพึ่งพลัดพรากไปจากกัน | ||
| ต่างใจต่อใจมิตรจิต | สองปลิดสองเปล่าสองกระสัน | ||
| สองปิ้มปางม้วยชีวีวัน | พระโศกศัลย์มาตามอรัญวา | ||
| โอ้สงสารสังเวชพระวรนุช | แทบจะสุดสิ้นชีวังสังขา | ||
| พระทัยไหวว้าเหว่อยู่เอ้กา | ตั้งตาแลดูพระภูมี | ||
| แลเหลียวเลื่อนลอยไปลับลิบ | ดั่งใครหยิบดวงใจไปจากที่ | ||
| เอนองค์ลงเหนือพื้นปฐพี | ก็สัญญีภาวะนิ่งอยู่ริมชล | ||
| ฝ่ายว่าพระรถนฤเบศ | เสด็จไปในประเทศเวหน | ||
| แสนคะนึงถึงนาฏนฤมล | ภูวดลโศกสรวลรัญจวนใจ | ||
| สองกรข้อนทรวงพิลาปหา | โอ้อกเอ๋ยอนิจจาเป็นไฉน | ||
| ยามรักหรือมาร้างให้ห่างไกล | เวรใดนี่หนอมาก่อกวน | ||
| จึ่งเกิดเข็ญเช่นนี้นะอกเอ๋ย | ไม่เห็นเลยว่าจะร้างห่างสงวน | ||
| แสนละห้อยน้อยจิตคิดรำจวน | แต่โหยหวนคิดคะนึงรำพึงตรอม | ||
| เสียดายดวงพวงผกามณฑาสวรรค์ | ยังมิทันที่จะวายมาหายหอม | ||
| รสระรื่นเคยชื่นอารมณ์ออม | เคยถนอมกล่อมดวงสุดามาลย์ | ||
| เคยสมบรมสุขสำราญรื่น | เคยชวนชื่นเชยชมภิรมย์ศานต์ | ||
| เคยมีมธุรสพจมาน | เคยประสานสุรเสียงสำเนียงกัน | ||
| เคยย่องเข้ายียวนชวนสนิท | เคยชมชิดเชยโฉมประโลมขวัญ | ||
| เคยสรวลโสมนัสเป็นนิรันดร์ | เคยผินผันพักตร์แย้มให้ยินดี | ||
| เคยชม้ายชายเนตรชำเลืองคม | เคยสรวลสมสโมสรชะอ้อนพี่ | ||
| เจ้าเคยสุขเขษมเปรมปรีดิ์ | พี่มีมโนเสน่ห์น้อง | ||
| ยามเคืองเคยเข้าประคองอิง | ยามนิ่งเคยนำคำสนอง | ||
| ยามหยอกเย้ายิ้มพริ้มประคอง | เคยแนบน้องเป็นสุขทุกราตรี | ||
| เสียดายหนักลัคนาก็น่ารัก | เสียดายพักตราน้องผ่องฉวี | ||
| เสียดายเกศกุสุเมศสุมาลี | เสียดายศรีเหลืองสะอาดประหลาดตา | ||
| เสียดายขนงก่งกันดั่งคันศิลป์ | เสียดายเนตรดั่งนิลวัตถา | ||
| เสียดายปรางเปล่งปลื้มในอุรา | เสียดายดวงนาสาพะงางอน | ||
| เสียดายโอษฐ์เอี่ยมสะอาดดั่งชาดแต้ม | เสียดายแย้มเมื่อพี่เย้ายวนสมร | ||
| เสียดายศอสมทรงดั่งหงส์จร | เสียดายกรงอนงวงเอราวัณ[2] | ||
| เสียดายพุ่มโกมุทประมาณชื่น | ช่างรินรื่นมิได้รามณฑาสวรรค์ | ||
| สมศักดิ์ลัคนาสารพัน | เสียดายฝูงกำนัลคณานาง | ||
| โอ้ป่านฉะนี้จะคิดถวิล | ยุพาพินก็จะค่อนอุราหมาง | ||
| จะคร่ำครวญหวนเห็นไม่เว้นวาง | จะอ้างว้างว้าเหว่เหมือนอกเรา | ||
| พระคุณเอ๋ยเทพเจ้าอมรเมศ | ในขอบเขตดงดอนชะง่อนเขา | ||
| ในเถื่อนถ้ำท่าน้ำทุกลำเนา | เทพเจ้าจงโปรดได้นำพา | ||
| ช่วยดลใจให้เจ้าดวงสมร | คืนหลังยังนครเป็นสุขา | ||
| ข้าน้อยจึ่งจะค่อยกลับคืนมา | เสน่หามิได้วายทิวาเลย | ||
| เสียดายดวงพวงแก้วผกาทิพย์ | จะแลลิบลับแล้วนะอกเอ๋ย | ||
| ถ้าแม้นอยู่จะได้ชูประคองเชย | เมื่อไรเลยจะกลับหลังยังสุดา | ||
| โอ้ศรีเสาวภาคย์จำเริญขวัญ | จะหวาดหวั่นว้าเหว่เสน่หา | ||
| หญิงชายทั้งหลายบรรดามา | เขาก็คืนนคราไปเมืองตน | ||
| โอ้สงสารด้วยสายสวาสดิ์แม่ | จะดาลแดกลิ้งเกลือกอยู่เสือกสน | ||
| ไม่ยลเรียมเจ้าจะเยี่ยมอยู่ริมชล | จะระกำพร่ำบ่นอยู่คนเดียว | ||
| จะโศกศัลย์รัญจวนหวนละห้อย | กำสรดสร้อยเศร้าโศกกระสันเสียว | ||
| เจ็บจิตจำจากสุดาเดียว | ดั่งเพลิงเจียวอกช้ำระกำใจ | ||
| พระเหลือบแลกระแสชลาสินธุ์ | แสนถวิลเทวศมาในป่าใหญ่ | ||
| แลเห็นกฎีพระชีไพร | ก็ประจักษ์จำได้เป็นแน่นอน | ||
| จำเราจะเข้าบังคมคัล | คุณท่านนั้นใหญ่ล้ำกว่าสิงขร | ||
| ยิ่งดินยิ่งฟ้าแลสาคร | ท่านช่วยร้อนจึ่งไม่ม้วยชีวาลัย | ||
| จำเราจะเข้านมัสการ | ทูลข่าวสารให้แจ้งแถลงไข | ||
| ลงจากอาชาแล้วคลาไคล | ตรงเข้าไปประณตบทมาลย์ ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระมุนีผู้ทรงพรต | เห็นพระรถปรีดิ์เปรมกระเษมศานต์ | ||
| มีมโนภิรมย์เบิกบาน | จึ่งปราศรัยกุมารไปทันใด | ||
| ดูกรเจ้าลำเภาพงศ์กระษัตริย์ | ได้แค้นขัดขุ่นเข็ญเป็นไฉน | ||
| หรือได้ดั่งสั่งสารอักษรไป | รูปเอาใจช่วยกระษัตริย์สวัสดี | ||
| พระกุมารฟังสารตอบสนอง | ข้าน้อยปองว่ามิได้มาบทศรี | ||
| แทบจะม้วยด้วยมารมันราวี | นี่หากคุณมุนนีจำเริญพร | ||
| พอเมรีแจ้งคดีในสารทรง | จำนงจงเสกสองครองสมร | ||
| ได้เสร็จสมภิรมย์สว่างร้อน | แล้วยอกย้อนถามถึงของที่ต้องใจ | ||
| จึงได้สมอารมณ์ที่ความคิด | เพราะพระองค์ลิขิตแปลงสารให้ | ||
| ได้สมเสร็จประสงค์จำนงใน | ทั้งผลไม้มะม่วงหาวมะนาวมา[3] | ||
| พอได้ทีราตรีปัจจุสมัย | ก็ลักได้กำพตโอสถา | ||
| ฝูงนิกรหลับสนิทนิทรา | ดั่งว่าถูกยาวิเศษมนตร์ | ||
| จึ่งหนีนางจากปรางค์สำอางสะอาด | กับพระยาภัยราชระเห็จหน | ||
| พอเช้าตรู่เห็นหมู่กุมภัณฑ์พล | ทำคำรนตามทันกระชั้นชิด | ||
| หลานทิ้งยาสิทธิศักดิ์ประจักษ์เนตร | บันดาลเป็นสาคเรศโดยประสิทธิ์ | ||
| อันมหานทีนั้นมีฤทธิ์ | ดั่งว่าแสร้งนฤมิตประสิทธิ์จริง | ||
| อสูรมาถึงฝั่งยั้งชะงัก | อยู่พร้อมพรักไพร่นายทั้งชายหญิง | ||
| นางเมรีศรีสมรนั้นวอนวิง | หลานก็ทิ้งตัดรักหักใจมา | ||
| เพราะพระเกศปกเดชได้เย็นสนอง | แคล่วคล่องเป็นบรมสุขา | ||
| ไม่มีภัยในกลางมรรคา | จงทราบใต้บาทาพระทรงชัย | ||
| พระฤๅษีได้ฟังนั่งหัวร่อ | ดีแล้วพ่อปรีชาจะหาไหน | ||
| อันมิ่งเมียจะพะวงเฝ้าหลงไย | จงตั้งใจแทนคุณพระชนนี | ||
| ปานฉะนี้จะคอยหาน้อยไม่ | จงเร่งไปอย่าได้รอเลยโฉมศรี | ||
| ฆ่าอีมารผลาญให้วายชีวี | ตาอยู่นี่อวยชัยไปทุกวัน | ||
| ถ้าขัดขวางอย่างไรไปเบื้องหน้า | มาหาตาเถิดจะช่วยนะหลานขวัญ | ||
| พ่อจงไปให้เป็นสุขอยู่ทุกวัน | อีมารนั้นพ่ายแพ้แก่หลานรัก ฯ | ||
| ◉ พระยอกรรับพรพระนักสิทธิ์ | พระทรงฤทธิ์กราบบาทพระทรงศักดิ์ | ||
| แล้วลงจากอาศรมที่สำนักนิ์ | พระหัตถ์กวักอัสดรรีบเดินมา | ||
| ก็เผ่นขึ้นบนหลังอัศวเรศ | พาประเวศเหาะเหินขึ้นเวหา | ||
| เผ่นผยองล่องลิ่วปลิวฟ้า | บนนภาคว้างคว้างกลางอัมพร | ||
| สุริยะแรงร้อนระงมอบ | ชักสินธพลงเดินเนินสิงขร | ||
| หายระหวยลมช่วยด้วยแรงร้อน | ศศิธรลับเขามีเงาบัง | ||
| ทัศนาป่าไม้ที่ชายเขา | สูงเสลาสลับกอหน่อสะพรั่ง | ||
| ที่สูงเยี่ยมเทียมทัดขนัดรัง | ที่งอกตั้งอยู่ประจำเกาะชมพู | ||
| ระยะเขาเหล่าหลั่นชั้นขนัด | สูงชะง้ำต่ำถัดเป็นหมู่หมู่ | ||
| ที่ใหญ่สูงเคียงคั่นนั้นน่าดู | ที่ต้นคู่ต่ำเตี้ยเรี่ยเรี่ยดิน | ||
| ศิลาสลับซับซ้อนชะง่อนงอก | ที่ซึ้งซอกสิ่งศรีมีกระสินธุ์ | ||
| ที่ซึมแทรกแตกกระจายสายวาริน | ทะลุศิลลาไหลลงในธาร | ||
| ที่หินห้อยย้อยเด่นนั้นเย็นใส | คล่ำวิไลคูหาที่หน้าฉาน | ||
| ขจิตสีเขียวขจีดั่งนิลกาฬ | ดูปูนปานมรกตที่งดงาม | ||
| ที่ลางแห่งวุ้งแวงมีแสงแก้ว | ปรากฏแววแดงดีสีอร่าม | ||
| ที่สีเหลืองเรืองแฉล้มดูแพลมพลาม | บ้างแวมวามวับวับระยับตา | ||
| ที่ไม้ใหญ่ในเซิงเชิงบรรพต | สูงจรดจอมไศลมีใบหนา | ||
| ที่ต่ำเตี้ยเรี่ยพื้นพระสุธา | มีสาขาทรงผลระคนใบ | ||
| บ้างสุกสดปลดหล่นปนสุกหลาย | ทั้งโคควายมฤคินกินไม่ไหว | ||
| บังสาขาลูกมะขวิดขจิตใบ | กลิ่นดอกไม้แม้นกลิ่นเจ้าเมรี | ||
| แสนรำจวนหวนคะนึงถึงเมียรัก | วรพักตร์เศร้าหมองไม่ผ่องศรี | ||
| พอเหลือบปะนางสกุณกินรี | สำคัญว่ามารศรีเจ้าตามมา | ||
| ให้คลับคล้ายคลับคลายุพาพักตร์ | ลำลำจะร้องทักนางปักษา | ||
| แล้วเสด็จเดินตามนางงามมา | กินราย่างเยื้องชำเลืองไป | ||
| อนิจจาเจ้าหรือมาถือโทษ | จะขึ้งโกรธพี่ร่ำไปถึงไหน | ||
| แล้วยื่นหัตถ์รับขวัญไปทันใด | กินรีตกใจก็บินจร | ||
| สะดุ้งใจรู้ว่าใช่สมรมิ่ง | อนาถนิ่งเสียใจฤๅทัยถอน | ||
| ให้เจ็บจิตคิดระคางนางกินนร | พระภูธรขวยเขินสะเทิ้นใจ | ||
| แล้วทรงอัสดรเดินลงเนินผา | ทัศนาผลพรรณพฤกษาใส | ||
| ละแวกธารละหานน้ำลำเนาใน | บ้างเย็นใสไหลเชี่ยวเขียวดังนิล | ||
| จตุบาทเริงร่าถลาโลด | เสียงอุโฆษขู่ขานในฐานถิ่น | ||
| สิงหรากาสรในดอนดิน | พยัคฆินครึมครางช้างตกมัน | ||
| สุกรดงแถกพงอยู่แฝงเฝือ | เห็นเสือเสือเห็นสุกรผัน | ||
| สู้เสือเงื้อเขี้ยวแล้วขบฟัน | ต่างประจันเข้าชิดไม่คิดกลัว | ||
| หมูแถกเสือโจมเอาจมเล็บ | หมูเจ็บเสือใหญ่ก็ไส้รั่ว | ||
| บ้าเลือดลำพองทั้งสองตัว | ทำยกหัวกรีดหูจะสู้กัน | ||
| คชสีห์ผาดผังกำลังหาญ | ก็โจมจับคชสารอันแข็งขัน | ||
| ชาติพลายกล้างาบ้าน้ำมัน | คชประจญเข้าประจันกันกลางแปลง | ||
| ไม่รอรางาประกันฉะฉาด | สองตัวอาจเริงร่าด้วยกล้าแข็ง | ||
| คชสารเงื้อง้างช้างก็แทง | ต่างก็แรงรู้ฤทธิ์ระอากัน | ||
| พระดูเพลินทางตำเนินอัศวราช | เที่ยวประพาสชมไม้ในไพรสัณฑ์ | ||
| ทิชากรร่อนร้องก้องอรัญ | เบญจวรรณสัตวาพากันบิน | ||
| แขกเต้าเคล้าสาลิกาจับ | ที่กิ่งพลับพลอดแจ้วแล้วโผผิน | ||
| มยุราแผ่หางที่กลางดิน | มยุรินบินตามมยุรา | ||
| พระยลยูงสะดุ้งแดอาดูรถวิล | ถึงยุพินเยาวยอดเสน่หา | ||
| แต่โมรีมีคู่ภิรมยา | ตามภาษาเป็นสัตว์ไม่พลัดกัน | ||
| แต่อกเรียมมานิราศสมรมิตร | ดั่งได้ปลิดใจไปให้กระสัน | ||
| เสียดายเอ๋ยจากเชยมาหลายวัน | เมื่อไรนั้นจะไปชมได้สมปอง | ||
| แสนร่ำสรรพขับม้าลินลาเลียบ | ตามระเบียบพนาสณฑ์ให้หม่นหมอง | ||
| เห็นดอกไม้ตกรายอยู่ก่ายกอง | หอมล่องกลิ่นนวลให้ชวนใจ | ||
| พวงพะยอมหอมแฉล้มเหมือนแย้มยิ้ม | แถวทับทิมช่อชูดูไสว | ||
| กลิ่นแก้วกรรณิการ์สุมาลัย | บังใบบานตระพุ่มในสุมพง | ||
| สาวหยุดพุดปนจำปาป่า | อินทนิลจันคณามหาหงส์ | ||
| สลิดสักมะกล่ำสดำดง | กลิ่นส่งหอมซาบนาสามา | ||
| รสรื่นดุจผืนสไบน้อง | ยามประคองเคียงแก้วกนิษฐา | ||
| ยิ่งคิดไปแสนอาลัยเหลืออุรา | ประหนึ่งว่าชีวาจะวายปราณ | ||
| ก็ฝ่าฝืนขืนขับอัศวราช | ม้าฉลาดรู้เชิงก็เริงหาญ | ||
| ควบแข็งแรงเร็วดั่งลมกาล | เผ่นทะยานลำพองขึ้นล่องลม | ||
| ตะวันเย็นสนธยาฟ้าแดง | สุริยายอแสงมีเงาร่ม | ||
| จันทร์แจ่มกระจ่างฟ้าดูน่าชม | ดาวระดมดาษแดงแจ้งอัมพร | ||
| อาชาพาองค์พระทรงโฉม | เผ่นโพยมรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
| ถึงแว่นแคว้นไตรจักรพระนคร | อัสดรเหาะตรงอุมงค์มา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระชนนีบิตุเรศ | แสนเทวศทุกข์โทมนัสสา | ||
| ยุพาพินทรงสุบินในเวลา | ฝันว่าราหูจู่จับจันทร์ | ||
| แล้วขยายคลายกลืนคืนกลับ | แสงระยับส่องฟ้าพนาสัณฑ์ | ||
| ดูดวงแขแลกระจ่างสว่างครัน | ก็ตกลงยังสุวรรณกรุงไกร | ||
| ผวาตื่นฟื้นตกประหม่าฝัน | อัศจรรย์ดีร้ายจะฝ่ายไหน | ||
| หรือว่าบุตรสุดสวาทของเราไซร้ | จะมีเหตุฉันใดไปช้านาน ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายองค์พระรถนฤเบศร์ | เสด็จถึงนคเรศนิเวศสถาน | ||
| ก็ลงจากมิ่งม้าอาชาชาญ | พระกุมารมายังพระมารดา | ||
| จึ่งค่อยเคาะใบดานทวาเรศ | ให้ทราบเหตุหลานมาแล้วพระแม่ป้า | ||
| พิไรร่ำซ้ำเรียกเป็นหลายครา | จนสุริยาพวยพุ่งขึ้นรุ่งราง | ||
| สิบสองนางต่างตรับสดับเรียก | แน่สำเหนียกฟังสนัดไม่ขัดขวาง | ||
| ยังกริ่งเกรงแอบอยู่ดูท่าทาง | แจ้งกระจ่างลูกรักแม่มั่นคง | ||
| ก็ชักกลอนถอนสลักออกทันใด | เปิดบานทวารได้ดั่งประสงค์ | ||
| เหลือบไปเห็นโอรสยศยง | เข้าส้วมสอดกอดองค์พระลูกรัก | ||
| พระรถตอบกับบาทพระชนนี | ทั้งสองแสนเปรมปรีดิ์ยินดีหนัก | ||
| พระกุมารว่าบันดาลด้วยบุญชัก | หาไม่จักเป็นเหยื่ออสุรี | ||
| สิบเอ็ดนางต่างลุกขึ้นเก้กัง | หันหน้าหันหลังอยู่อึงมี่ | ||
| งุ่มง่ามตามกันแล้วจรลี | เรียกหลานอึงมี่ออกวุ่นไป | ||
| เอามือคลำเที่ยวคว้าหาพระหลาน | พบพานจูบพลางทางปราศรัย | ||
| แต่ป้าคอยน้อยไปหรือพ่อสายใจ | ทั้งแม่ป้าลูบไล้ประไพพักตร์ | ||
| พลางกล่าววาทียุบลถาม | พ่อโฉมงามจงแถลงให้แจ้งประจักษ์ | ||
| ไม่ขัดขวางอย่างไรหรือลูกรัก | พระภูบาลฟังซักประจักษ์การ | ||
| จึงแจ้งความเดิมไปให้ประสบ | โดยคำรพแรกพบฤๅษีสาร | ||
| พระนักสิทธิ์คิดชอบประกอบการ | จึ่งปลอดพ้นมือมารมาพารา | ||
| ได้สมสู่คู่นางในปรางค์มาศ | เหมือนประสงค์จงสวาสดิ์ปรารถนา | ||
| ได้ทั้งโอสถใส่นัยนา | ทั้งมะนาวเจรจาอันเกรียงไกร | ||
| ว่าแล้วแก้ห่อพระโอสถ | กระสายรดเทลงประจงใส่ | ||
| เอาประเนตรแนบชิดสนิทไว้ | ยาละลายทาในดวงเนตรพลัน | ||
| แล้วสอดใส่นัยนาให้ป้าแม่ | ก็ได้แลเห็นสว่างต่างสรวลสันต์ | ||
| แล้วอวยพรพระกุมารปรีชาญครัน | สารพันพูนพิพัฒน์สวัสดี | ||
| แล้วจึ่งกล่าวสุนทรด้วยวาจา | อันอัมพากับมะนาววิเศษศรี | ||
| พระพ่อใช้ให้เอามายังธานี | จะแจ้งดีหรือไม่พระลูกรัก | ||
| พระรถฟังวาจามารดาถาม | ก็ทูลความเล่าแถลงประจักษ์ | ||
| อันมะนาวหาวโห่นั้นลูกรัก | ซ่อนยักษ์ห่อผ้ามาได้แล้ว | ||
| จะได้ไปถวายพระทรงชัย | ด้วยแจ่มใสโสมนัสผ่องแผ้ว | ||
| กราบลามารดาแล้วคลาศแคล้ว | พระขรรค์แก้วกำพตก็ถือมา | ||
| ครั้นถึงเสด็จยังพระโรงรัตน์ | พร้อมขนัดขุนนางฝ่ายข้างหน้า | ||
| เกียรติศัพท์ปรากฏพระรถมา | ก็ทราบถึงราชากับนางมาร | ||
| จอมกระษัตริย์ออกนั่งบัลลังก์อาสน์ | ตรัสประภาษถามบุตรสุดสงสาร | ||
| เออไหนเจ้าไปเป็นช้านาน | ยังได้การหรือของที่ต้องใจ | ||
| พระรถฟังบังคมบรมนาถ | จึ่งทูลบิตุราชอันเป็นใหญ่ | ||
| ว่าลูกยาอาสาพระภูวไนย | ไปกรุงไกรทานตะวันนั้นได้การ | ||
| จึงถวายม่วงหาวมะนาวโห่ | อันภิญโญยิ่งผลถกลหวาน | ||
| พระรับพวงมะม่วงหาวให้เบิกบาน | เกษมศานต์นึกว่าสมเจตนา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายสุนนทามารมเหสี | ไปแอบดูรู้คดีก็ยื่นหน้า | ||
| เห็นมะม่วงกับมะนาวเขาได้มา | อสุราร้อนใจดั่งไฟกาล | ||
| เอะครั้งนี้เสียทีไฉนเล่า | อสูรเฝ้ารักษาล้วนกล้าหาญ | ||
| มันจะลวงหรือจะลักไปหักราน | หรือหมู่มารให้มาด้วยเสียกล | ||
| แต่นี้ไปธานีบูรีกู | จะอดสูสูญเห็นไม่เป็นผล | ||
| จะล้มจมเป็นทำเลชเลวน | เพราะไอ้คนคนนี้แน่ทีเดียว | ||
| จะละมันช้าไว้ได้อายด้วย | ฆ่าให้ม้วยทั้งพ่อไม่พอเขี้ยว | ||
| บันดาลโกรธกลายเพศบัดเดี๋ยวเดียว | แยกเขี้ยวรูปยักษ์ประจักษ์ตา | ||
| อ่านพระเวทเดชได้กระบองถือ | สองมือเบี่ยงซ้ายแล้วป่ายขวา | ||
| ทั้งสูงใหญ่ทะลึ่งโลดโดดออกมา | หวังจะฆ่าพระรถให้ปลดปลง | ||
| จอมกษัตรตกใจไม่รู้สึก | ไม่นึกว่าสุนนทาเป็นบ้าหลง | ||
| คิดห่วงเมียอยู่ข้างในใจพะวง | มาแอบองค์ยืนบังหลังพระรถ | ||
| เหล่าเสนาตกใจเห็นยักษ์ร้าย | กลัวตายหลบลี้หนีไปหมด | ||
| ยังแต่หน่อสุริย์วงศ์องค์พระรถ | ทรงกำพตกั้นกางนางสุนนท์ | ||
| อสูรโถมโจมจับพระรับรบ | ล่อหลบพัลวันกันสับสน | ||
| อสูรฝาดด้วยตระบองก้องมณฑล | ไม่ย่อย่นรับรองก้องพระโรง | ||
| พระทิ้งทอดยาทิพย์โอสถ | เป็นไฟกรดประลัยกัลป์ควันโขมง | ||
| อสุรีหนีออกนอกพระโรง | เพลิงโพลงติดตัวไปทั่วกาย | ||
| สุทามารอ่านจินดามหาเวท | ศักดาเดชดับไฟให้สูญหาย | ||
| แล้วเหาะหันผันผังกำบังกาย | ยักษ์ร้ายรีบออกนอกบูรี | ||
| พระเหลียวมาแลไปไม่เห็นยักษ์ | พระหัตถ์กวักเรียกม้ามาเร็วรี่ | ||
| เผ่นขึ้นหลังอาชาไม่ช้าที | เหาะรี่รีบรัดตัดมาทัน | ||
| อีมารร้ายโกรธาด่าสินธพ | ชาติไอ้ม้าหัวประจบตัวขยัน | ||
| ทำจองหองพองขนก็ครามครัน | กูจะฆ่าชีวันให้บรรลัย | ||
| อาชาฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | กำลังโกรธโกรธาไม่ปราศรัย | ||
| จึงกล่าวความตามยุบลเป็นกลใน | อันเอ็งไซร้มิได้รู้ข้างหลังเลย | ||
| มึงหมายใจนายกับกูเป็นภักษา | กูกลับพานายไปเป็นลูกเขย | ||
| นายกับกูรู้หรือไม่ได้เชลย | ยังงมเงยซมเซอะพูดเลอะละ | ||
| อันสาราที่มึงว่าไปถึงวัน | ให้กุมภัณฑ์กินให้สิ้นอย่าปล่อยปละ | ||
| ได้ครอบครองธิดาเสียอีกวะ | มึงเงอะงะแพ้กลมารยา | ||
| สุนนทาได้ฟังอัศวราช | เฉลียวจิตคิดประหลาดเป็นหนักหนา | ||
| จึงอ่านเวทมนตร์มหาจินดา | เรียกองค์พระพายมาด้วยทันใด | ||
| จึ่งกล่าวรสพจนาวาทีถาม | ที่ข้อความยังจะจริงหรือไฉน | ||
| องค์พระพายเล่ายุบลแต่ต้นไป | ก็แจ้งใจเสร็จสิ้นทุกประการ | ||
| สุนนทาเสียอารมณ์แทบลมจับ | ให้วาบวับหฤทัยดังไฟผลาญ | ||
| ไม่สมคิดผิดสนัดเสียนงคราญ | เพราะคิดการนั้นไม่สมทุกสิ่งไป | ||
| เสียแรงเรืองจินดามหาเวท | ถึงพรหมเมศจตุรพักตร์ไม่หักได้ | ||
| มาเสียรู้เพราะมันแก้กลภายใน | มโนมัยมันจึงว่าทั้งท้าทาย | ||
| จะได้ความอัปยศอดสู | หมู่มารมันจะเย้ยสิ้นทั้งหลาย | ||
| ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | แสนเสียดายลูกรักเจ้าเมรี | ||
| แล้วข่มขืนกลืนกลั้นกันแสงเทวศ | สำแดงเดชกายาของยักษี | ||
| สูงเยี่ยมเทียมเมรุคีรี | ถือตรีตระบองแก้วสุริย์กาล | ||
| ถาโถมโจมทยานด้วยสิงหนาท | ร้องประภาษว่าเหม่ไอ้เดรฉาน | ||
| กูจะฆ่าเสียให้ตายวายปราณ | ว่าแล้วนางมารเข้าโจมตี ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระหน่อสุริยวงศ์ทรงสวัสดิ์ | ทรงกัณฐัศอยู่บนยอดคีรีศรี | ||
| เห็นนางมารถาโถมเข้าราวี | พระภูมีจึ่งมีซึ่งสุนทร | ||
| ว่าดูราอสุรีมีพยศ | ช่างคิดคดลวงพระพ่อแล้วล้อหลอน | ||
| ให้ควานควักนัยนาพระมารดร | แกล้งชะอ้อนทำเจ็บเป็นเหน็บชา | ||
| แม้นได้กินมะม่วงหาวมะนาวโห่ | จะภิญโญหายได้ดั่งปรารถนา | ||
| ครั้นเราได้มะม่วงหาวมะนาวมา | เหตุใดโกรธาเป็นฟุนไฟ | ||
| ซึ่งแต่งสารให้สังหารเรานั้นแน่ | เรารู้แท้จึงได้รอดกลับมาได้ | ||
| เรามิได้ถือโทษถือโกรธใจ | ด้วยเห็นกับอรทัยเจ้าเมรี | ||
| จงกลับไปบูรีที่สถิต | อย่าควรคิดขุ่นข้องหม่นหมองศรี | ||
| จงแจ้งกับนงเยาว์เจ้าเมรี | ตามวาทีเราแจ้งทุกประการ | ||
| นางสุนนทามารฟังพระรถ | ดั่งจักรกรดตัดเศียรให้สังขาร | ||
| โกรธาตาแดงแสงเพลิงกัลป์ | นางมารจู่โจมเข้าโรมรัน | ||
| เข้าน้าวเศียรกัณฐัศว์อัสดร | พระภูธรฟันฟาดด้วยพระขรรค์ | ||
| สุทามารรับรองคอยป้องกัน | พัลวันหนีไล่กันไปมา | ||
| อสุรีมีกำลังจะโลดโผน | เข้าจู่โจนหมายมาตรพิฆาตฆ่า | ||
| อัศวราชฉลาดโลดกระโดดมา | สุนนทากั้นกางขวางหน้าไว้ | ||
| พระจึ่งชักกำพตยศยง | หมายปลงชีพมารให้ตักษัย | ||
| น้าวเหนี่ยวเรี่ยวแรงด้วยทันใด | ขึ้นสายแผลงไปในทันที | ||
| เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสะท้านปานพรหมาศ | เสียงฟ้าฟาดหรือจะดังเท่าศรศรี | ||
| เสมอเหมือนศรนารายณ์อันฤทธี | ฤทธิ์กำพตนี้ก็ลือชา[1] | ||
| ลูกศรร่อนไปในอากาศ | สำแดงสิงหนาทสหัสสา | ||
| ปักทรวงดวงแดสุนนทา | ล้มดิ้นสิ้นชีวาวายปราณ ฯ | ||
| ◉ ปางพระรถสุริย์วงศ์ทรงศักดิ์ | ฆ่าอียักษ์สิ้นชีวังสังขาร | ||
| พระชักชวนมโนมัยอันชัยชาญ | เหาะทะยานกลับหลังยังวังเวียง | ||
| ลงจากมโนมัยไคลคลา | ยังพระโรงรัตนาหน้าเฉลียง | ||
| สมเด็จพระบิดามานั่งเคียง | กล่าวเกลี้ยงปลอบประโลมพระลูกรัก | ||
| พระลูกเอ๋ยเกิดมาไม่เคยเห็น | มาเกิดเข็ญอกพ่อเพียงจะหัก | ||
| มาประสบพบพานอีมารยักษ์ | มันจะหักคอฟัดไปกัดกิน | ||
| มันส้อมแปลงแสร้งทำกลมารยา | เป็นมนุษย์เข้ามาในฐานถิ่น | ||
| พ่อหลงรักหลงกลคนทมิฬ | มาอยู่กินรักใคร่ไว้วางใจ | ||
| เจ้าได้ช่วยป้องกันบิดาด้วย | ชีวิตพ่อจึงไม่ม้วยตักษัย | ||
| บัดนี้มันหนีไปแห่งใด | บอกพ่อไปให้แจ้งซึ่งกิจจา | ||
| พระรถฟังวาจาบิดาถาม | ชักทำเนียบเปรียบความไม่กังขา | ||
| เหมือนกุมภัณฑ์ที่มันแกล้งปลอมแปลงมา | ให้สีดาเขียนรูปทศกัณฐ์ | ||
| จนพระรามคลั่งไคล้ใหลหลง | สั่งให้ลงอาชญาสีดานั่น | ||
| ให้พระลักษมณ์สังหารผลาญชีวัน | แต่นางนั้นซื่อตรงไม่บรรลัย | ||
| อันนงคราญเกิดในดอกประทุมเมศ | จึงอาเพศเหาะเหินเวหาได้ | ||
| บัดนี้ไปสู่สวรรค์ชั้นใด | ลูกไม่ทราบแจ้งประจักษ์การ | ||
| นางคือดวงเนตรของทรงฤทธิ์ | แสนสนิทเฝ้าเสนอเสมอสมาน | ||
| จะเอาดวงดาราทิพาพาน | พระภูบาลก็จะหาให้ดังใจ | ||
| จะต้องการนัยน์เนตรแม่กับป้า | พระบิดายังควักเอามาให้ | ||
| ถึงตัวลูกเล่าไซร้ใช้ให้ไป | ยังกรุงไกรทานตะวันอันปราการ | ||
| เอามะม่วงรู้หาวมะนาวโห่ | อันภิญโญเลิศล้นถกลหวาน | ||
| ในสารศรีมีไปในใบลาน | ให้หมู่มารสังหารให้ม้วยมรณ์ | ||
| นี่หากพบพระสิทธาเธอแก้ไข | จึงรอดชีวิตได้ไม่สังหรณ์ | ||
| ขอพระองค์อย่าได้ทรงซึ่งอาวรณ์ | ดวงสมรงามสรรพคงกลับมา ฯ | ||
| ◉ พระทรงยศฟังพจนาบุตร | เพียงจะทรุดเซซังลงสังขาร์ | ||
| ให้อัดอั้นตันใจในอุรา | พระราชาทอดถอนร้อนฤทัย | ||
| พลางปลอบว่าอนิจจาพระลูกแก้ว | พ่อรับผิดเจ้าแล้วจำทำไฉน | ||
| ทั้งนี้เพราะเวรกรรมได้ทำไว้ | เจ้าอย่าได้ถือโทษโกรธบิดา | ||
| พ่อผิดแล้วแก้วตาไม่มีผิด | อย่าควรคิดเคียดแค้นสหัสสา | ||
| พ่อจะรับสิบสองกัลยา | กลับมาครองไพร่ฟ้าสนมใน | ||
| แม้ไม่สมอารมณ์ของบิดา | จะครอบครองพาราไยไฉน | ||
| พ่อจะมอบสวรรยาราชัย | บิดาไซร้ก็จะลาเข้าไพรวัน | ||
| รักษาศีลสุจริตกิจกรม | ตามพงศ์พรหมฤๅษีกระเษมสันต์ | ||
| ตรัสพลางโศกาจาบัลย์ | เพียงอาสัญสิ้นชนม์สกลกาย | ||
| พระรถเห็นบิดากันแสงโศก | แสนวิโยคด้วยไม่สมอารมณ์หมาย | ||
| ทั้งเจ็บช้ำทูลเทียบเปรียบภิปราย | พระโฉมฉายคิดสงสารบิตุรงค์ | ||
| พระองค์อย่าได้ทรงกันแสงศัลย์ | อีมารนั้นก็สิ้นชีพเป็นผุยผง | ||
| ลูกแผลงกำพตพิษฤทธิรงค์ | สังหารมารปลดปลงบรรลัยไป | ||
| พระองค์จะเสด็จยาตรา | ไปรับสิบสองกัลยาคงจะได้ | ||
| ขอพระองค์อย่าได้ทรงโศกาลัย | ลูกมิให้ขัดเคืองเบื้องบทมาลย์ | ||
| พระฟังพจน์โอรสทูลสนอง | ที่มัวหมองฤทัยค่อยใสศานต์ | ||
| เข้าโลมลูบจูบกอดพระกุมาร | ใครจะปานเปรียบได้ก็ไม่มี | ||
| จะได้ครองไพร่ฟ้าประชาเกศ | เป็นปิ่นปักนคเรศเฉลิมศรี | ||
| ทุกประเทศเขตขันฑบุรี | อัญชุลีประณตบทมาลย์ | ||
| ตรัสพลางทางมีบัญชาสั่ง | ให้เตรียมรถพระที่นั่งอันไพศาล | ||
| กระบวนแห่แตรสังข์กังสดาล | ทั้งวอทองชัชวาลให้พร้อมไว้ | ||
| อีกทั้งเถ้าแก่แลโขลนจ่า | จะไปรับกัลยาอย่าช้าได้ | ||
| สั่งเสร็จเสด็จคลาไคล | เข้าในปรางค์มาศอันรูจี ฯ | ||
| ◉ ...............................[2] | ฝ่ายเจ้าพนักงานทั้งสี่ | ||
| รีบรัดจัดแจงเป็นโกลี | ตามมีพระราชบัญชาการ | ||
| ขุนรถเตรียมรถพระที่นั่ง | พร้อมพรั่งสับสนอลหม่าน | ||
| อีกทั้งวอสุวรรณอันตระการ | เครื่องอานพานพระศรีมีครบ | ||
| อีกทั้งเครื่องสูงแลแตรสังข์ | พร้อมพรั่งจัดเสร็จสำเร็จหมด | ||
| มาคอยท่าพระองค์ผู้ทรงยศ | ตามกำหนดพระราชโองการ ฯ | ||
| ◉ รถสิทธิ์สุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | แจ้งรหัสพร้อมพวกโยธาหาญ | ||
| เสร็จชวนโอรสมิทันนาน | มาเข้าที่สรงสนานสำราญกาย | ||
| ทรงสุคนธ์ปนปรุงหอมกระหลบ | อวลอบหอมฟุ้งจรุงฉาย | ||
| ภูษาทรงธงข้าวบิณฑ์พรรณราย | งามพรายแพร้วระยับจับตา | ||
| พระโอรสสอดใส่ฉลององค์ | ทองกรบิตุรงค์ทรงซ้ายขวา | ||
| พระโอรสทรงสังวาลรัตนา | พระบิดาทรงเทพธำมรงค์ | ||
| พระโอรสทรงมหาชฎาแก้ว | อันเพริศแพร้วแวววามงามระหง | ||
| บิตุรงค์ทรงมหามงกุฎทรง | พระโอรสยศยงทรงกำพต | ||
| พระบิตุรงค์ทรงขัดพระขรรค์แก้ว | อันเพริศแพร้วปราบได้ดังไฟกรด | ||
| พระโอรสทรงพาชีมีพยศ | บิตุรงค์ทรงรถบทจร | ||
| สั่งให้เคลื่อนพหลพลไกร | ทวนธงแห่ไสวแลสลอน | ||
| กลองประโคมเซ็งแซ่แตรงอน | รีบรถบทจรจากพารา | ||
| ครั้นถึงหน้าอุโมงค์ก็หยุดอยู่ | จึ่งสั่งหมู่อำมาตย์ทั้งซ้ายขวา | ||
| ให้ประทับหน้าอุโมงค์รัตนา | เสด็จจากรถาที่นั่งทรง | ||
| พระโอรสนำเสด็จลีลาศ | ยุรยาตรในอุโมงค์โดยประสงค์ | ||
| สิบสองนางเห็นโอรสยศยง | พาพระบิตุรงค์เสด็จมา | ||
| ให้เคืองแค้นแสนโกรธพิโรธนัก | ต่างผันพักตร์เมียงเมิลไม่ดูหน้า | ||
| ให้คิดถึงความหลังคลั่งอุรา | ชลนาไหลหลั่งลงพรั่งพราย ฯ | ||
| ◉ รถสิทธิ์เห็นสิบสองกัลยา | โกรธาดาลเดือดไม่เหือดหาย | ||
| จึ่งกล่าวเกลี้ยงเลี่ยงเลียบเปรียบปราย | อนิจจาโฉมฉายไม่เมตตา | ||
| พี่นี้หวังตั้งหน้ามารับผิด | หลงชอบชิดอีมารแพศยา | ||
| เป็นเวรของเราแล้วนะแก้วตา | จึ่งต้องมามีกรรมดั่งนี้ | ||
| เพราะอีปีศาจทรลักษณ์ | มันลวงให้ควานควักเนตรน้องพี่ | ||
| นี่บุตรสุดสวาทของเราดี | ไปได้เนตรมารศรีนั้นคืนมา | ||
| ประจุดวงนัยนาให้น้องแก้ว | จึ่งเห็นแววสว่างใสได้ยังว่า | ||
| บุญของน้องแล้วกัลยา | จึ่งกลับมาคืนดีได้ดังใจ | ||
| พี่ผิดแล้วแก้วตาไม่มีผิด | อย่าควรคิดโกรธขึ้งไปถึงไหน | ||
| พี่ขอโทษโฉมงามทรามวัย | ขอเชิญไปครองสวรรยา ฯ | ||
| ◉ นางสิบสองฟังคดีวาทีตรัส | ให้แค้นขัดทรงศักดิ์เป็นหนักหนา | ||
| พลางประเทียบเปรียบประชดพจนา | พระจะมารับผิดด้วยอันใด | ||
| อันตัวน้องทั้งสิบสองนี้โฉดชั่ว | หูตามืดมัวแล้วขับไล่ | ||
| กิตติศัพท์เลื่องลือระบือไป | โหดไร้ทุรพลคนสามานย์ | ||
| เป็นอุบาทว์ชาติกลีเช่นนี้ไซร้ | จะรับไปร่วมห้องเกษมสานติ์ | ||
| ใช่กำเนิดเกิดในประทุมมาน | เหมือนนงคราญที่ได้ในบุษบง | ||
| นั่นแลจึ่งสมบูรณ์ประยูรสูง | เหมือนฝูงเหมราราชหงส์ | ||
| สมศักดิ์สมกระกูลเสมอองค์ | อันข้าน้อยมิใช่วงศ์เหมรา | ||
| กิตติศัพท์อึงอื้อลือกระหลบ | ทั่วพิภพจะไยไพครหา | ||
| ว่าหญิงโฉดโหดชั่วอัปรา | เขาขับจากเมืองมาให้แรมไกล | ||
| น้ำลายคายถ่มลงถึงดิน | จะกลับคืนกลืนกินกระไรได้ | ||
| เหมือนไม้หลักปักเลนโอนเอนไป | ประชาชนจะไยไพทั้งพารา ฯ | ||
| ◉ พระฟังนุชสุดสวาทฉลาดเปรียบ | ดั่งศรเสียบปฤษฎางค์ทั้งซ้ายขวา | ||
| ให้อัดอั้นตันใจในอุรา | ด้วยกัลยาว่านั้นจริงทุกสิ่งอัน | ||
| สุดปัญญาที่จะว่าประโลมปลอบ | นางมิชอบจริงจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| จึ่งเสด็จเยื้องย่างจรจรัล | มาอ้อนวอนจอมขวัญพระโอรส | ||
| พ่อจงช่วยอ้อนวอนพระมารดา | ตรัสพลางร่ำโศกาโศกกำสรด | ||
| ด้วยนางโกรธโกรธาว่าประชด | อัปยศไพร่ฟ้าประชาชน ฯ | ||
| ◉ ปางพระหน่อสุริย์วงศ์พงศ์กระษัตริย์ | บิดาตรัสอ้อนวอนเป็นหลายหน | ||
| ให้คิดห่วงหน่วงหนักพะวักพะวน | จะไปตามภูวดลเกรงมารดร | ||
| จะมิไปเกรงใจบิตุราช | พระหน่อนารถให้คิดสะท้อนถอน | ||
| ต้องจำใจไปหาพระมารดร | ยอกรกราบกับตักแล้วโศกา | ||
| โอ้ว่าพระชนนีเจ้า | พระคุณเคยปกเกล้าเกศา | ||
| พระบิตุรงค์ทรงโศกโศกา | ให้ลูกมาอ้อนวอนพระชนนี | ||
| ให้กลับหลังคืนยังวังสถาน | ได้โปรดปรานเห็นกับข้าบทศรี | ||
| พระให้สัจสัญญาวอนวาที | ลูกนี้คิดสงสารบิตุรงค์ | ||
| สุทามารเชี่ยวชาญการพระเวท | จึ่งทำให้บิตุเรศนั้นลุ่มหลง | ||
| ใช่จะแกล้งพระแม่โดยจำนง | จึ่งไม่ทรงปรึกษาหารือใคร | ||
| ด้วยมารเชี่ยวชาญการพระเวท | บันดาลให้ภูวเรศนั้นหลงใหล | ||
| ครั้นอีมารอาสัญบรรลัยไป | พระกลับได้สมประดีจึ่งอ้อนวอน ฯ | ||
| ◉ สิบสองนางฟังวาจาลูกยาแถลง | ประจักษ์แจ้งแล้วคิดสะท้อนถอน | ||
| ปรึกษากันทั้งสิบสองนางบังอร | เราจะจรหรือจะอยู่จงว่ามา | ||
| เมศราพี่ใหญ่จึ่งบอกไป | มิคลาไคลก็สงสารหลานหนักหนา | ||
| ป้านี้เห็นกับเจ้าดอกนัดดา | แล้วจึ่งมีวาจาไปทันใด | ||
| จงไปทูลพระองค์ผู้ทรงยศ | ว่าทั้งหมดมิได้ขัดอัชฌาศัย | ||
| พระรถรับกลับมาด้วยดีใจ | ทูลไปตามคำพระมารดา | ||
| ทั้งสิบสองก็รับจะลินลาศ | ตามเสด็จภูวนาถไม่กังขา | ||
| ขอพระองค์อย่าได้ทรงโศกโศกา | จงทราบเบื้องบาทาบทมาลย์ | ||
| รถสิทธิ์ฟังเอารสรถเสน | นฤเบนทร์ปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
| จึงมีพระราชบัญชาการ | สั่งเจ้าพนักงานด้วยทันใด | ||
| ให้เอาวอช่อฟ้ามารับนาง | ดุริยางค์เกณฑ์แห่แลไสว | ||
| โขลนจ่าหลวงแม่เจ้าก็เข้าไป | สาวใช้กำนัลพวกขันที | ||
| พวกเถ้าแก่ชาวแม่แลโขลนจ่า | แลเห็นนางกัลยาโฉมศรี | ||
| ก็พากันรำพันแล้วโศกี | ทั้งสิบสองนารีก็โศกา | ||
| นางกำนัลว่าแม่ขวัญวิมลโฉม | งามประโลมเลิศล้ำเลขา | ||
| มาทุกข์กรอมผอมซูบผิดกายา | แสนระกำช้ำอุราอยู่นองเนือง | ||
| พวกโขลนจ่าว่าแม่วิมลพักตร์ | มาโศกนักทุกข์กรอมจนผอมเหลือง | ||
| เถ้าแก่ว่าแม่มิ่งวิมลเมือง | ไม่ปลดเปลื้องเศร้าศรีนิราวัน | ||
| นางโขลนจ่าด่าว่าเพราะอีมาร | มาตามผลาญให้แม่พลัดไอศวรรย์ | ||
| มันช่างแปลงปลอมมาน่าอัศจรรย์ | ดีฉันเห็นหูตามันผิดคน | ||
| จะพูดจาเกรงอัชฌาพระทรงศักดิ์ | คิดกระหนักปรึกษากันอยู่สับสน | ||
| จะพูดมากออกจากปากเข้าหูคน | ทราบยุบลก็จะโกรธลงโทษทัณฑ์ | ||
| แต่ปรึกษาหารือกันเป็นนิตย์ | แสนคิดแสนแค้นแสนกระสัน | ||
| จนพระหน่อสุริย์วงศ์ทรงธรรม์ | กลับมาจากทานตะวันบุรีรมย์ | ||
| เอาอัมพามาถวายจึ่งได้แจ้ง | ว่ามารแปลงฆ่าเสียก็สาสม | ||
| เชิญเสด็จลินลาอย่าปรารมภ์ | ข้านิยมขอพึ่งบารมี | ||
| ทั้งสิบสองสุดาวิมลโฉม | ทรามประโลมฟังเหล่านางสาวศรี | ||
| ปรึกษากันพร้อมใจก็จรลี | ฝูงกำนัลนารีก็ตามมา | ||
| ฝ่ายองค์รถสิทธิ์อิศเรศ | กับพระรถเรืองเดชก็หรรษา | ||
| จึ่งสั่งให้พนักงานยกวอมา | รับองค์กัลยาสิบสองนาง ฯ | ||
| ◉ รถสิทธิ์ทรงราชรถา | พร้อมสะพรั่งเสนาแลสล้าง | ||
| สิบสององค์ทรงวอมาหว่างกลาง | ท้าวนางเดินข้างหลังระวังมา | ||
| พระโอรสทรงม้ามาข้างหลัง | พร้อมพรั่งพระบรมวงศา | ||
| เดินทางสถลมารคยาตรา | ก็เข้าในทวาราพระบุรี | ||
| ครั้นถึงจึ่งประทับกับเกยลา | ลงจากวอช่อฟ้าหลังคาศรี | ||
| แห่ห้อมล้อมองค์พระเทพี | จรลีเข้าสู่ปราสาทชัย ฯ | ||
| ◉ ปางองค์พระมิ่งมงกุฎเกศ | ถึงนิเวศขึ้นพระโรงวินิจฉัย | ||
| แล้วจึ่งมีสีหนาทประภาษไป | สั่งเสนาในด้วยทันที | ||
| จะตั้งการสมโภชสิบสองนาง | จงจัดแจงตามอย่างให้ครบที่ | ||
| ให้สรรพเสร็จเจ็ดทิวาราตรี | ตามมีแบบอย่างบุราณมา | ||
| ...........................................[1] | ฝ่ายเจ้าพนักงานถ้วนหน้า | ||
| เร่งรัดจัดกันเป็นโกลา | โดยดั่งบัญชาพระทรงธรรม์ | ||
| ก็บาดหมายเกณฑ์จ่ายทุกตำแหน่ง | เร่งรัดจัดแจงกันสรรพสรร | ||
| ราชครูพฤฒามาพร้อมกัน | เสียงฆ้องกลองก้องสนั่นทั้งบุรี | ||
| ครั้นสรรพเสร็จเชิญเสด็จสิบสองนาง | คืนเข้าสู่ปรางค์ปราสาทศรี | ||
| พร้อมเหล่าสาวสรรพวกขันที | ตำแหน่งที่เคยอยู่แต่ก่อนมา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์องค์พระรถ | เสร็จหมดการสมโภชพระแม่ป้า | ||
| พอพลบค่ำย่ำแสงพระสุริยา | ก็ลีลาเข้าสู่ปราสาทชัย | ||
| เอนองค์ลงกับที่ศรีไสยา | พระราชาเศร้าหมองไม่ผ่องใส | ||
| โอ้เมรีศรีสวัสดิ์ดวงฤทัย | เจ้าจะเป็นฉันใดไม่แจ้งการ | ||
| อาชาพาพี่หนีเจ้ามา | แทบจะสิ้นชีวาสังขาร | ||
| แต่พี่มาก็หลายทิวาวาร | จะแดดาลโหยหนอยู่คนเดียว | ||
| พระคร่ำครวญหวนไห้ไม่วายเทวศ | ภูวเรศถอนใจฤทัยเสียว | ||
| ชลนัยน์ไหลหลั่งลงเป็นเกลียว | ให้เปล่าเปลี่ยวแสนรำพึงถึงเมรี | ||
| จะนิ่งบรรทมไปก็ไม่หลับ | แต่พลิกกลับสับสนอยู่บนที่ | ||
| ให้ร้อนรนทั่วสกลอินทรีย์ | จนแสงทองส่องศรีสว่างฟ้า | ||
| พระแต่งองค์ทรงเครื่องเรืองฉาย | จับพระขรรค์เยื้องกรายออกข้างหน้า | ||
| ขึ้นเฝ้าองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา | ทั้งแม่ป้านั่งเรียงอยู่เคียงกัน | ||
| ครั้นถึงจึงประณตบทบงสุ์ | ทูลองค์พระปิ่นเกล้ารังสรรค์ | ||
| ลูกขอลาสององค์พระทรงธรรม์ | ไปรับขวัญกัลยาเจ้าเมรี | ||
| นางได้มีคุณแก่ลูกรัก | สามิภักดิ์ไม่ระคางขนางหนี | ||
| จะต้องการสิ่งใดในบุรี | นางเมรีมิได้ขัดซึ่งอัชฌา | ||
| ลูกหนีมานางไสยาหลับสนิท | ยกพหลรีบติดตามมาหา | ||
| ทันลูกหยุดยั้งฝั่งคงคา | ลูกให้กลับคืนพาราก็ไม่ไป | ||
| ลูกจะกลับไปรับนางโฉมศรี | คืนธานีทานตะวันกรุงใหญ่ | ||
| พอเสร็จสรรพก็จะกลับคืนเวียงชัย | ลูกไปไม่ช้าจะมาพลัน | ||
| นางลำเภากับพระเจ้ากรุงไกรจักร | ฟังลูกรักจะลาไปในไพรสัณฑ์ | ||
| คิดสงสารเมรีก็ครามครัน | จะห้ามลูกยานั้นก็เสียใจ | ||
| คิดห่วงหน้าห่วงหลังแล้วรั้งรา | แข็งใจกล่าววาจาปราศรัย | ||
| ลูกจะไปพ่อไม่ขัดดอกดวงใจ | เพราะห่วงใยอยู่ข้างหลังยังมากมี | ||
| ตัวบิดาก็ชรามากอยู่แล้ว | พระลูกแก้วจะครองบูรีศรี | ||
| อันโภไคยศวรรยาธานี | บิดานี้จะมอบให้โอรส | ||
| พ่อไปแล้วอย่าได้ไปอยู่ช้า | แล้วอวยพรลูกยาให้ปรากฏ | ||
| จะปราบได้ทั่วไปในโสฬส | ทุกชนบทขามเกรงซึ่งเดชา ฯ | ||
| ◉ พระรถยอกรรับพรท้าว | ให้สร้อยเศร้าแสนโทมนัสสา | ||
| คิดห่วงใยด้วยจะไกลพระมารดา | กราบก้มพักตราแล้วจาบัลย์ | ||
| ขืนอารมณ์ข่มฤทัยแล้วไคลคลา | ลีลายุรยาตรผาดผัน | ||
| เสด็จเข้าที่สรงทรงสุวรรณ | น้ำกลั่นหอมกลบกระหลบไป | ||
| สนับเพลาราชสีห์เผ่นทะยาน | ภูษาทรงงามตระการเข้มขาบไหม | ||
| ฉลององค์โหมดม่วงช่วงวิไล | สวมใส่ตาบทิพย์สังวาลวรรณ | ||
| ทองกรพาหุรัดตรัสเตร็จ | เข็มขัดเพชรสายทองรัดกระสัน | ||
| มงกุฎแก้วค่าเมืองเรืองสุวรรณ | ทรงธรรม์สวมเทพธำมรงค์ | ||
| ขัดพระขรรค์อันเรืองประสิทธิ์เวท | ทรงกำพตพรหเมศงามระหง | ||
| แล้วลีลาศยาตรามาเกยทรง | อาชาตรงมาประทับรับภูธร | ||
| พระขึ้นทรงกัณฐัศอัศวราช | อาชาผาดเผ่นเหาะขึ้นลอยร่อน | ||
| ทักษิณสามรอบขอบนคร | ราษฎรร้องอำนวยอวยชัย | ||
| อาชาพาเหาะเวหาหน | สุริยนแจ่มกระจ่างหว่างไศล | ||
| ดั้นหมอกออกเมฆมาไรไร | ดูชาญชัยเดชาศักดาครัน ฯ | ||
| ◉ พระโฉมยงทรงยศพระรถราช | ภูวนาถปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
| ชมผกาป่าไม้ในไพรวัน | สารพันพฤกษาล้วนน่าชม | ||
| มีคีรินทร์ศิลาภูผาใหญ่ | ล้วนเงื้อมง้ำน้ำไหลเป็นไคลขม | ||
| ด้วยเทือกแร่แช่ปนระคนตม | ก็เกลียวกลมกายสิทธิ์เป็นฤทธิ์ยา | ||
| แลเป็นเหล่าเงาหินเห็นนิลแก้ว | ดูพรายแพร้วแจ่มแจ้งที่แสงผา | ||
| มีเพชรบุษย์สุดสุกทั้งมุกดา | อีกโมรานิลรัตน์ชัชวาล | ||
| ดูร่มรื่นพื้นภาคย์ชะวากผา | มีฉายารุกขชาติสะอาดสะอ้าน | ||
| ดูร่มเลี่ยนเตียนกว้างเหมือนกลางลาน | น่าสำราญรื่นร่มที่ลมโชย | ||
| พินิจพลางทางชวนอาชาชาติ | ลงพักแดดแผดผาดอนาถโหย | ||
| เสด็จเดินเนินร่มที่ลมโรย | เที่ยวชมโดยพรรณไม้ที่ใกล้ทาง | ||
| พิกุลจันทน์ลั่นทมสุกรมสุก | แสนสนุกรื่นรายมีหลายอย่าง | ||
| ตะเคียนคูนแคเคี่ยมโมงแก้วโกงกาง | มะสังซางซองแมวเต็งแต้วทอง | ||
| กระดังงากาหลงประยงค์แย้ม | ยี่สุ่นแซมนมแมวเป็นแถวถ่อง | ||
| ลำดวนโมกมณฑาผกากรอง | หล่นละอองเรณูลงพรูพราย | ||
| ภุมรินบินเฝ้าเคล้าสนิท | ด้วยจงจิตเจตนาวิญญาหมาย | ||
| สู้บินโบยโดยสวาสดิ์ไม่คลาดคลาย | ถึงตัวตายก็ไม่ว่าอุตส่าห์บิน | ||
| พระชมพลางทางคะนึงถึงโฉมศรี | ป่านฉะนี้จะทุเรศเทวศถวิล | ||
| อันตัวพี่นี้ก็เหมือนภุมริน | ปางยุพินพุ่มพะงาเหมือนมาลัย | ||
| กุศลส่งตรงให้ประสบสม | ประคองชมชื่นแช่มด้วยแจ่มใส | ||
| เพราะมีทุกข์ที่สำคัญจึงพลันไกล | ทิ้งเจ้าไว้เอองค์ในพงพี | ||
| อันหญิงชายใฝ่ฝันผูกพันรัก | เสน่ห์หนักมิได้คลาดสวาสดิ์หนี | ||
| เหมือนอารมณ์ภุมรากับมาลี | มิได้มีจิตเกลียดรังเกียจไกล | ||
| คะนึงพลางทางชวนอาชาชาติ | ภูวนาถขึ้นหลังกระเษมใส | ||
| สินธพพาเหาะลิ่วปลิวไป | พอเกือบใกล้ที่พักสำนักนาง ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายว่ามิ่งเมรีศรีสวัสดิ์ | ให้อั้นอัดทรวงโศกวิโยคหมาง | ||
| อนาถนิ่งมิได้ติงพระองค์นาง | ไม่มีเหล่าสาวสุรางค์อยู่เพื่อนองค์ | ||
| แต่ครวญคร่ำร่ำรักพระภูมี | ดั่งชีวีจะวินาศลงผุยผง | ||
| แต่โศกศัลย์กันแสงสลบลง | ตั้งพักตร์คอยดูองค์พระภูธร | ||
| เฝ้าสยบซบยันให้อั้นอัด | โทมนัสเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
| พอเหลือบไปเห็นองค์พระภรรดา | ในอุราวุ่นหวาดเพียงขาดใจ | ||
| จึ่งยอกรอ่อนเกล้าศิโรเพท | ชลเนตรแถวถั่งลงหลั่งไหล | ||
| ช่างกระไรไฉนหนอน้ำพระทัย | มาทิ้งน้องเสียได้ไม่เหลียวเลย | ||
| เสียแรงน้องมาตามถึงกลางไพร | พระมาทิ้งเสียได้นะอกเอ๋ย | ||
| อันเรื่องราวที่พระกล่าวภิปรายเปรย | กระไรเลยน้ำพระทัยของภูธร ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายองค์ทรงยศนฤบาล | ลงจากอาชาชาญสมร | ||
| เข้าตระโบมโลมลูบนางบังอร | แล้วจึ่งกล่าวสุนทรไปทันใด | ||
| พระมารดาทารกรรมแสนลำบาก | อดอยากหากินก็ไม่ได้ | ||
| หูตามืดมนเป็นพ้นไป | ถ้าที่ไหนพี่จะไปอย่าสงกา | ||
| ได้ห่อยาดวงตาไปจากนี่ | ไปใส่ให้ชนนีกับแม่ป้า | ||
| พอเสร็จสรรพพี่กลับเร่งรีบมา | กัลยาอย่าได้แหนงแคลงฤทัย | ||
| ถ้าไม่มีกังวลธุระร้อน | จะจรจากเพื่อนยากไยไฉน | ||
| จะร้างห่างสวาสดิ์ให้ขาดไป | สิ่งใดย่อมแจ้งทุกประการ ฯ | ||
| ◉ นางสดับคำพร้องสนองพจน์ | ดังศรกรดเสียบแดสังหารผลาญ | ||
| ให้เศียรขาดจากองค์สุดามาลย์ | สะท้านเศียรซาบสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
| จึ่งทูลตอบต้องสนองสาร | อย่าเอาหวานมาประโลมเลยโฉมศรี | ||
| น้องก็ทราบแล้วว่าพระปรานี[2] | ถ้าแม้นหมีโปรดปรานจะปานไร | ||
| นี่โปรดแท้แลเห็นยังเช่นนี้ | ถ้าไม่มีกรุณาคงฆ่าได้ | ||
| โอ้น้อยจิตคิดถึงคำทำเยื่อใย | จะพูดไปเล่าก็หมองไม่ต้องการ | ||
| เมื่อครั้งก่อนเสด็จจรมาถึงเมือง | ใช่จะมาด้วยเรื่องสมัครสมาน | ||
| เพราะประสงค์ตรงของที่ต้องการ | ในเรื่องสารทราบสิ้นไม่กินใจ | ||
| น้องเสียรู้แล้วจะสู้ก้มหน้าม้วย | เพราะงงงวยลุ่มหลงไม่สงสัย | ||
| ถึงกรรมแล้วก็จำบรรลัยไป | เกิดชาติใหม่อย่าให้เป็นดั่งเช่นนี้ | ||
| อันน้องนี้มิได้อยู่ให้ชูชิด | จะจำปลิดบ่ายหน้าไปเมืองผี | ||
| เมียขอบคำที่พระร่ำมาพาที | ก็ทราบว่าปรานีแสนคะนึง | ||
| อันความสัจของน้องจะหาไหน | สู้เอาใจไว้ท่าจนมาถึง | ||
| แสนสวาสดิ์ภูวนาถยังรุมรึง | เมียรำพึงดูพักตร์พระภรรดา | ||
| น้องขอลาพระองค์ไปตามกรรม | ที่บุญทำนำให้เอาใจท่า | ||
| ชาตินี้น้องตามพระองค์มา | ได้ความเวทนาจาบัลย์ | ||
| ไปชาติหน้าขอองค์พระทรงพุทธ | ต้องตามนุชสุดโศกกันแสงศัลย์ | ||
| อกุศลหนหลังมาตามทัน | พรรเอิญให้จอมขวัญคิดบรรลัย | ||
| แล้วคิดถึงสุนนทามารดาเลี้ยง | กล่อมเกลี้ยงลูกยาจะหาไหน | ||
| มิได้เกิดในอุทรฉะนี้ไซร้ | ความรักใคร่ในลูกยิ่งมารดา | ||
| ทั้งสมบัติพัสถาก็มอบให้ | ตามใจลูกรักเป็นหนักหนา | ||
| จะอยู่ไปก็อายแก่เทวา | ฝูงประชาจะชวนกันไยไพ | ||
| ไหนจะทุกข์ถึงมารดาที่มรณา | ให้เปล่าเสียวในอุราไม่ทนได้ | ||
| ทั้งหิวโหยโรยแรงสลดใจ | อรทัยซวนซบสลบลง ฯ | ||
| ◉ พระรถเห็นเป็นเหตุเทวศวุ่น | ยิ่งครวญครุ่นร่ำพิไรอาลัยหลง | ||
| ค่อยอุ้มแอบแนบน้องตระกององค์ | พระแสนทรงโศกาด้วยอาวรณ์ | ||
| ว่าโอ้กรรมทำไว้แต่ไหนหนอ | ช่างเติมต่อแต่งตั้งให้สังหรณ์ | ||
| พี่มาแล้วแก้วตาพะงางอน | ยังรุ่มร้อนโศกศัลย์ไม่บรรเทา | ||
| เห็นจะไม่คืนคงดำรงสวาสดิ์ | คงวินาศในพนมลำเนาเขา | ||
| พระครวญพลางโศกซ้ำไม่ชำเรา | ดั่งใครเอาตรีผลาญให้ลาญชนม์ ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายว่ามิ่งเมรีศรีสวัสดิ์ | พระพายพัดเฉื่อยชื่นเรณูหล่น | ||
| หอมตระหลบอบอายคลายกระมล | ก็ค่อยฟื้นตื่นตนทุรนใจ | ||
| เห็นทรงเดชเชษฐาเข้ามาต้อง | เคียงประคองโศกหมองไม่ผ่องใส | ||
| ยิ่งนึกเห็นว่าพระเป็นแกล้งจำใจ | ที่รักใคร่นั้นก็สิ้นไม่ยินดี | ||
| ให้นึกเห็นเป็นดีแต่ที่ผิด | ยิ่งแค้นคิดขุ่นข้องหม่นหมองศรี | ||
| แล้วกราบบาทบาทาพระสามี | ว่าน้องนี้ขอลาบรรลัยไป | ||
| ซึ่งพระทรงกรุณากลับมาโปรด | ก็ปราโมทย์ยินดีจะมีไหน | ||
| แต่น้องนี้มีกรรมได้ทำไว้ | ขออย่าได้เคลื่อนสวาสดิ์ทุกชาติเลย | ||
| ความรักภักดีน้องมีมาก | พระควรจากไปได้นะอกเอ๋ย | ||
| ก็ทราบว่าปรานีที่คุ้นเคย | จึงไม่เลยล่วงลับเสร็จกลับมา | ||
| เป็นบุญของน้องล้นได้ยลพักตร์ | เฝ้าหน่วงหนักเพียงชีวังจะกังขา | ||
| ก็ประจักษ์อยู่ว่ารักนั้นตรึงตรา | เพราะอาชาจึงได้แชให้แปรไป | ||
| ด้วยมั่นจิตว่าพระคิดเสน่ห์น้อง | จึ่งค่อยครองชีวาไว้ท่าได้ | ||
| ซึ่งความรักหนักหน่วงเพราะห่วงใย | ก็แจ้งใจอยู่ว่าพระปรานี | ||
| จึ่งเสด็จเสร็จกลับมาดับโศก | ความวิโยคน้องมากขอฝากผี | ||
| ไม่เสวยโภชนาหลายราตรี | ทั้งหิวโหยสุดที่กำลังทน | ||
| รำพันพลางทางพิศพระพักตร์ผัว | ยิ่งหมองมัวทรวงวับให้สับสน | ||
| ก็สิ้นเสียงสุดกำลังประทังตน | ทั้งร้อนรนรุ่มแดฤดีดาล | ||
| ก็สิ้นเสียงสิ้นสั่งกำลังถอย | ให้เหงาหงอยสิ้นสมประสาทสาร | ||
| ก็สิ้นชีพขาดใจบรรลัยลาญ | เหนือสถานเชิงผาศิลาแลง ฯ | ||
| ◉ ปางพระรถฤทธิรงค์ทรงพินิจ | เห็นนางนาฏขาดจิตก็กันแสง | ||
| ประคองศพนางพลางทางแสดง | ว่าพี่แจ้งแล้วว่านางจะวางวาย | ||
| เหตุทั้งนี้ก็เพราะมีธุระร้อน | พี่จึงจรจากไปเสียไกลหมาย | ||
| ไม่เห็นเลยว่าจะเลยบรรลัยกลาย | แสนเสียดายความรักที่ภักดี | ||
| จะหาไหนได้เหมือนเสมอนุช | เห็นสิ้นสุดดินฟ้าในราศี | ||
| สิ่งใดก็มิได้ราคีมี | ถนอมพี่สารพัดไม่ขัดใจ | ||
| เมื่อชมสวนน้องชวนไปท่องเที่ยว | พี่น้าวเหนี่ยวผลพวงมะม่วงได้ | ||
| อันของนี้เล่าเป็นที่สังเกตไว้ | สำหรับเมืองเวียงชัยอันไพบูลย์ | ||
| ถ้าโห่หาวฉาวดังฟังหวั่นไหว | จะเกิดเหตุยุ่งใหญ่ในไอศูรย์ | ||
| แต่เพียงนี้น่าจะมีอาดูรพูน | เจ้าก็ไม่ขาดสูญเสน่ห์ใน | ||
| เพราะความรักภักดีเป็นที่สุด | ถึงม้วยมุดก็ขาดสวาสดิ์ได้ | ||
| สารพัดมิได้ขัดให้เคืองใจ | อนงค์ในปฐพีไม่มีเทียม | ||
| ช่างซื่อตรงจงรักษ์พี่หนักหนา | เอาใจท่าอยู่จนพี่มายลเยี่ยม | ||
| แสนลำบากยากไร้จนใจเจียม | ก็กรมเตรียมอยู่ในป่าเอกากาย | ||
| ครั้นพี่มาแล้วเจ้าลาครรไลลับ | โอ้อาภัพคิดไปแล้วใจหาย | ||
| แต่นี้ไปก็จะไม่มีสบาย | แสนเสียดายดวงจิตเจ้าปลิดไป | ||
| นิจาเอ๋ยเคยสมานสำราญรัก | มาสูญศักดิ์สูญเสน่ห์ไปเนาไหน | ||
| จงแจ้งความพี่จะตามบรรลัยไป | ก็จะได้อยู่สุขสนุกนิ์สบาย | ||
| นี่เจ้าไม่สั่งความเลยงามชื่น | ไหนจะคืนมาได้น่าใจหาย | ||
| นิจาเอ๋ยเคยรองตระกองกาย | แต่นี้ไปก็จะคลายประคองชม | ||
| เสียดายโฉมงามประโลมฤทัยสวาสดิ์ | ดั่งนางในเทวราชลออสม | ||
| เสียดายปรางดุจปรางนางเมืองพรหม | เสียดายนมถันนางสำอางตา | ||
| ปานประทุมพุ่มพวงผกามาศ | ยุรยาตรเลื่อนลอยคล้อยเวหา | ||
| เสียดายโอษฐ์อิ่มเอื้อนจำนรรจา | เสียดายพาหาสองลำยองครัน | ||
| ดุจงวงไอยราสง่าเสงี่ยม | ระทวยเทียมกรนางในปรางค์สวรรค์ | ||
| เสียดายทรงสมทรงสง่าครัน | เสียดายกรรณกลีบบุษบาบาน | ||
| เสียดายเนตรเปรียบเนตรมฤคมาศ | ดูเอี่ยมอาจชวนให้เกษมศานต์ | ||
| เมื่อแย้มยิ้มพริ้มรับฤดีดาล | แต่นี้นานก็จะวายชายเนตรนวล | ||
| เสียดายเสียงเพียงอมฤตรส | เคยแช่มชดน่าชมภิรมย์สงวน | ||
| เสียดายผิวผุดผ่องละอองชวน | ภิรมย์นวลแนบในฤทัยปอง | ||
| นิจจาเอ๋ยเคยทำกรรมแต่หลัง | สวาสดิ์หวังหวั่นหวาดให้ขาดสอง | ||
| อันความรักจักประมาณสมานครอง | เหมือนดั่งทองแท่งเดียวที่เกลียวกลม | ||
| เกิดวิบัติตัดสวาสดิ์ให้ขาดลิ่ม | โอ้เนื้อนิ่มแนบจิตสนิทสนม | ||
| มานิราศแรมไปเสียไกลชม | แสนระทมเวทนาด้วยอาวรณ์ | ||
| นิจาเอ๋ยเคยสำราญสมานสมัคร | มาขาดรักขาดสวาสดิ์ให้ขาดถอน | ||
| เพราะเวรกรรมจำพรากให้จากจร | พระภูธรถอนใจอาลัยลาน | ||
| ยิ่งแสนโศกเศร้าหมองไม่ผ่องศรี | ดั่งต้องสายอัสนีประหารผลาญ | ||
| เข้าส้วมสอดกอดองค์นางนงคราญ | พระภูบาลซวนซบสลบไป | ||
| พระพายชายพัดมาอ่อนอ่อน | พระภูธรค่อยฟื้นคืนมาได้ | ||
| จึ่งช้อนเกศนงลักษณ์ใส่ตักไว้ | พระครวญคร่ำร่ำไรจาบัลย์ | ||
| โอ้ว่าอนิจจาน้องแก้ว | ทิ้งพี่เสียแล้วไปสู่สวรรค์ | ||
| พี่รีบมาพอเห็นหน้าแม่แจ่มจันทร์ | ไม่ทันกล่าววาจามาบรรลัย | ||
| เจ้ามาทิ้งพี่ไว้ผู้เดียวนี้ | น่าที่ชีวิตจะตักษัย | ||
| ชะรอยเวรากรรมได้ทำไว้ | มาพรรเอิญเป็นไปดั่งนี้ | ||
| มาพบน้องยินดีเป็นที่สุด | โอ้นิ่มนุชกลับม้วยไปเมืองผี | ||
| เจ้าสุดแค้นแสนโกรธพันทวี | จนสุดสิ้นชีวีบรรลัยไป | ||
| เสียแรงพี่รีบกลับมาติดตาม | หมายจะรับโฉมงามไปกรุงใหญ่ | ||
| จะแต่งน้องให้ครองเวียงชัย | มอบไอศูรย์แสนสวรรยา | ||
| ทั่วประเทศเขตแดนแผ่นภพ | จะตระหลบไยไพครหา | ||
| เพราะตามพี่นี้จึงเสียซึ่งชีวา | อนิจจาเพราะกรรมมานำตน | ||
| โอ้ไม่แจ้งว่าจะเป็นถึงเช่นนี้ | เจ้าทิ้งพี่ว้าเหว่ระเหหน | ||
| ตั้งแต่แสนโศกเศร้ากระมล | เพราะกรรมดลผูกพันให้บรรลัย | ||
| พระยิ่งแสนโศกเศร้าเฝ้าเทวศ | ชลเนตรแถวถั่งลงหลั่งไหล | ||
| สะอื้นอั้นตันจิตคิดเสียใจ | พระหน่อไทซวนซบสลบเลย | ||
| อาชาในใจหายด้วยหมายมั่น | ว่าทรงธรรม์ม้วยจริงเห็นนิ่งเฉย | ||
| จึงเดินเหย่าเข้ามาเอาหน้าเงย | ไว้ชิดเชยชงฆาโศกาวรณ์ | ||
| โอ้ว่าพระปิ่นนรินทร์ราช | มาสิ้นชาติม้วยกลิ้งบนสิงขร | ||
| ช่างรักษ์เมียเสียชีพเพราะรีบร้อน | อาชาวอนโศกศัลย์รำพันครวญ | ||
| โอ้โอ๋อกเราจะเศร้าจิต | ยิ่งแสนคิดร่ำไรอาลัยหวน | ||
| ให้แสนเศร้าโศกศัลย์เฝ้ารัญจวน | แล้วเสือกซวนเซซบสลบไป | ||
| พอพระพายพัดพาผกากลิ่น | ระรื่นรินโรยมาพฤกษาไหว | ||
| พระงามสรรพกับม้าอาชาไนย | ก็กลับได้คืนคงดำรงกาย | ||
| พระยิ่งแสนโศกศัลย์รำพันร่ำ | เฝ้าครวญคร่ำคิดไปพระทัยหาย | ||
| โอ้หวิวหวิวหวาดเสียวผู้เดียวดาย | ยิ่งฟูมฟายโศกาแล้วจาบัลย์ | ||
| โอ้ว่าเมรีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่ควรเลยกัลยามาอาสัญ | ||
| อยู่เหนือพื้นภูผาในอารัญ | สารพันสิ่งไรก็ไม่มี | ||
| แม้นอยู่ในมิ่งเมืองจะเรืองเลิศ | ได้ชูเชิดพักตร์เพิ่มเฉลิมศรี | ||
| จะพร้อมเหล่าสาวสรรแลขันที | มาโศกีนั่งล้อมอยู่พร้อมราย | ||
| ทุกเสนาสามนต์จะกล่นกลาด | ทั้งพระญาติพงศ์พันธุ์จะผันผาย | ||
| มานั่งล้อมพร้อมเพรียงอยู่เรียงราย | จะฟูมฟายโศกาด้วยอาลัย | ||
| แสนสงสารเมรีเจ้าพี่เอ๋ย | ไม่ควรเลยน้องรักมาตักษัย | ||
| สารพัดขัดสนระคนไป | ทำไฉนน้องยายุพาพิน | ||
| นี่เจ้าบรรลัยลงในพงใหญ่ | มีแต่ไม้สิงขรกับก้อนหิน | ||
| ทั้งสัตว์เสือเนื้อนกวิหคบิน | กับคีรินทร์เรียงรายอยู่ก่ายกอง | ||
| จะเอาศิลาโชติเป็นโกศแก้ว | อันเพริศแพรวพรายศรีไม่มีหมอง | ||
| เอาคีรีบริเวณเป็นเมรุทอง | อันเรืองรองรจนาสง่างาม | ||
| เอายูงยางต่างแตรแลพัดโบก | เอาสนโศกสักไทรไม้มะขาม | ||
| เป็นธงทิวปลิวระยับดูวับวาม | ล้วนรายตามแนวไพรไศลเรียง | ||
| เอาเรไรหริ่งหริ่งที่กิ่งสน | เป็นปี่แตรแจจลสนั่นเสียง | ||
| ประโคมขับศัพท์ส่งสำเนียงเคียง | ดังสำเนียงนางในบุรีรมย์[3] | ||
สำนวนที่ ๒
| ◉ ..................................................... | เป็นอัตราเก็บถวายนางโฉมศรี[1] | ||
| สาวใช้ไปมาทั้งตาปี | อยู่ที่นี้เขาจะเห็นไม่เป็นการ | ||
| จึงซ่อนอยู่ในห้องอย่าท่องเที่ยว | ฉวยเกรียวกราววุ่นวายทั้งยายหลาน | ||
| แต่อาชาปล่อยไปให้สำราญ | ต่อนานนานจึงค่อยมาฟังอาการ | ||
| พระฟังคำตายายเป็นนายสวน | ไม่ลามลวนตรึกตราเหมือนว่าขาน | ||
| ครั้นรุ่งเช้าเก็บบุปผาสุมามาลย์ | อยู่สำราญเคหาด้วยตายาย ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายโฉมยงองค์ทัศมาลี | สถิตที่แท่นรัตน์วิเชียรฉาย | ||
| ปัจจุสมัยใกล้รุ่งดาราราย | นางโฉมฉายทรงสุบินจินตนา | ||
| ในฝันว่าวาสุกรีอันมีฤทธิ์ | มาสถิตแท่นทองอันเลขา | ||
| เกี้ยวกระหวัดรัดรึงไว้ตรึงตรา | ประหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย | ||
| หมายว่าจริงนิ่งอนาถประหลาดจิต | แต่ล้วนพิษนาคินทร์ดิ้นไม่ไหว | ||
| ครั้นแสงทองส่องฟ้านภาลัย | อรไทฝืนองค์ขึ้นสรงชล | ||
| สำอางองค์ทรงเครื่องเรืองจำรัส | นางกษัตริย์ชื่นชมสมประสงค์ | ||
| ชำเลืองดูหมู่สุรางค์นางอนงค์ | แล้วนิ่งทรงถึงนิมิตคิดรำคาญ | ||
| จะร้ายดีมีแจ้งในตำรับ | เป็นฉบับโหรทายทำนายฝัน | ||
| ก็ทราบสิ้นในสุบินอักษรพลัน | นางหวาดหวั่นนิ่งไว้ในอุรา ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงท่านยายเป็นนายสวน | เวลาจวนลับเมรุภูผา | ||
| พอสิ้นแสงสุริยนสนธยา | ทั้งยายตาเข้ากระท่อมอยู่พร้อมกัน | ||
| แล้วบอกว่าพรุ่งนี้มาลีมาก | ทั้งบุนนาคสุกรมนมสวรรค์ | ||
| แก้วกุหลาบมณฑาสารพัน | มะลิวัลย์พุดลาจำปาปี | ||
| จะต้องเก็บเอาไปให้หลายอย่าง | ถวายนางโฉมฉายให้หลายสี | ||
| ด้วยว่าองค์นงนุชพระบุตรี | โปรดมาลีมาแต่ไรพอใจทรง | ||
| ถึงมากน้อยเท่าไรก็ไม่ว่า | ให้ได้มาเหมือนสั่งดังประสงค์ | ||
| พระฟังยายบอกความแต่ตามตรง | ว่าโฉมยงโปรดบุปผาสุมาลี | ||
| พระทราบสิ้นในระบิลยายแจ้งอรรถ | มาข้องขัดเรรวนอยู่สวนศรี | ||
| ต้องรอรั้งฟังดูร้ายฤๅดี | เหมือนเมรีสั่งความให้ตามมา | ||
| หวนคะนึงถึงมิ่งมเหสี | ธิบดีเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
| พอย่ำยามฆ้องชัยได้เวลา | ยายกับตาม่อยหลับระงับไป | ||
| ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างศรี | สกุณีร้องก้องส่งเสียงใส | ||
| คณานกโผผินบ้างบินไป | ภูวไนยพลิกฟื้นตื่นประทม | ||
| ยายกับตาพากันออกไปสวน | เก็บลำดวนจำปามหาหงส์ | ||
| พระตามไปช่วยเก็บดอกประยงค์ | เอามาส่งใส่กระทายให้ยายตา | ||
| ทั้งสาวหยุดนมแมวดอกแก้วเกด | กระถินเทศพวงพะยอมหอมหนักหนา | ||
| ทั้งซ่อนชู้ประดู่ดงโยทะกา | ดอกมณฑาอังกาบกุหลาบจีน | ||
| แล้วพากันกลับหลังยังเคหา | เกลือกมาลาหลายอย่างให้ต่างสี | ||
| พระบอกว่าฉันจะร้อยดอกจำปี | เป็นม้ามีคนนั่งหลังอาชา | ||
| พระทรงร้อยสร้อยฟ้ามหาหงส์ | เมื่อเดินดงมาทุเรศแสวงหา | ||
| แล้วร้อยรูปพระองค์ทรงอาชา | ยายกับตานั่งมองร้องว่างาม | ||
| พระกำชับว่ายายอย่าพรายแพร่ง | ถ้ารู้แจ้งพระธิดาจะว่าขาน | ||
| แล้วหยิบพวงบุปผาสุมามาลย์ | โปรดประทานใส่กระทายให้ยายพลัน | ||
| ยายมาลีดีใจได้ยิ้มหัว | ชำระตัวย่างกรายแล่วผายผัน | ||
| แบกดอกไม้เดินเหย่าเข้าในวัง | ไม่รอรั้ง.................................[2] | ||
| ถึงปราสาทพระบุตรีศรีสวัสดิ์ | พร้อมขนัดข้าหลวงดูไสว | ||
| ทั้งแสนสาวท้าวนางพวกข้างใน | ต่างปราศรัยทักทายยายมาลี | ||
| นางเบือนพักตร์เห็นยายปราศรัยสาร | พจมานรับสั่งถึงสวนศรี | ||
| ยายมาลัยยอกรรับพระเสาวนีย์ | ยายมาลีเข้าถวายเจ้าสายใจ | ||
| นางพินิจพิศดูพวงบุปผา | เห็นร้อยเป็นอาชาก็สงสัย | ||
| รูปบุรุษผุดผ่องงามประไพ | ลงนั่งในหลังม้าอาชาชาญ | ||
| ดำริพลางนางถามตามสงสัย | ฤๅมาลัยเสี่ยงสัจอธิษฐาน | ||
| ยายร้อยฤๅใครใช้จึงให้การ | ฉันไม่พาลความผิดอย่าคิดกลัว | ||
| ยายคำนับรับว่าหม่อมฉันร้อย | ตาช่วยสอยให้บ้างค่อยยังชั่ว | ||
| แต่ลำพังยังไม่ไว้ใจตัว | ตาก็มัวหลังก็เจ็บเป็นเหน็บชา | ||
| นางหลงกลคำยายหมายว่าแน่ | พินิจแลดูดวงพวงบุปผา | ||
| วันพรุ่งนี้แต่เช้ายายเข้ามา | ร้อยมาลาให้ฉันวันละพวง | ||
| ยายมาด้วยช่วยร้อยเป็นผู้ใหญ่ | แล้วจะได้ฝึกหัดเป็นข้าหลวง | ||
| ได้เป็นครูหมู่สุรางค์นางทั้งปวง | แม้นล่อลวงปดโป้ฉันโกรธา | ||
| ยายมาลีได้ฟังรับสั่งตรัส | ประสานหัตถ์กรประนมก้มเกศา | ||
| กราบพระนุชบุตรีชุลีลา | ก็รีบมาถึงสวนรัญจวนใจ | ||
| เปิดประตูเข้าห้องให้ข้องขัด | เอาผ้าปัดผงนอนถอนใจใหญ่ | ||
| ให้หมกมุ่นขุ่นเคืองเรื่องมาลัย | แกนอนเสียมิได้กินข้าวปลา | ||
| ฝ่ายตาเฒ่าเข้าไปมองแล้วร้องเรียก | พระรถฟังสำเหนียกเดินมาหา | ||
| เห็นยายนอนบ่นออดทอดกายา | พระนั่งลงตรงหน้าแล้วพาที | ||
| ตาก็มานั่งด้วยช่วยกันถาม | ยายมาลีบอกความเป็นถ้วนถี่ | ||
| พรุ่งนี้นัดเข้าไปในบุรี | ร้อยมาลีหน้าที่นั่งรับสั่งมา[3] | ||
| ร้อยไม่เป็นบ่เห็นบ่รู้อกกูแตก | รู้แต่แรกก็มิได้เอาไปถวาย | ||
| ร้อยไม่ได้ก็ไม่อยู่จะสู้ตาย | หลังจะลายเมื่อแก่เป็นแน่นอน | ||
| พระรถฟังกับตาว่าอย่าทุกข์ | ยายจงลุกกินข้าวอย่าเศร้าหมอง | ||
| ไว้ธุระของหลานจะหว่านล้อม | คดโอบอ้อมปดเขาพวกชาววัง | ||
| แม้นข้าหลวงสาวใช้มาเรียกหา | ให้ตาว่าไม่สบายอย่าผายผัน | ||
| เขามาเห็นบอกว่าเป็นมาหลายวัน | เป็นไข้สั่นเหลือทนกระวนกระวาย | ||
| ยายกับตาได้ฟังนั่งหัวเราะ | ปัญญาพอดับร้อนให้ผ่อนหาย | ||
| พรุ่งนี้เขาคงออกมาเรียกหายาย | จะดีร้ายฟังดูให้รู้กัน | ||
| ปางพระนุชบุตรีในนิเวศ | ผิดสังเกตคอยยายไม่ผายผัน | ||
| ร้องเรียกเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | เห็นตะวันรุ่งสายยายไม่มา | ||
| พวกข้าหลวงออกไปดูให้รู้แน่ | ฤๅว่าแกเจ็บไข้ออกไปหา | ||
| วันนี้นัดไว้เป็นไรจึงไม่มา | นั่งคอยท่าจนสายก็หายไป | ||
| นางสาวใช้ได้ฟังรับสั่งตรัส | ชุลีหัตถ์ทูลลาอัชฌาศัย | ||
| เป็นการด่วนรีบร้อนไม่นอนใจ | ตรงออกไปอุทยานไม่ช้าที | ||
| เห็นตาเฒ่าตักน้ำเที่ยวรดสวน | ก็รีบด่วนย่างเหย่าเข้าสวนศรี | ||
| แล้วปราศรัยถามหายายมาลี | แกอยู่ดีตาบอกให้ออกมา | ||
| ตาได้ยินผินหน้าหันมาถาม | ให้มาตามไปไหนอะไรขา | ||
| ยายเจ็บอยู่ไม่สบายหลายเวลา | ข้าจึงมารดน้ำแต่ลำพัง | ||
| ทั้งข้าวปลาอาหารกินไม่ได้ | ด้วยเป็นไข้วิงเวียนให้เหียนหัน | ||
| จงช่วยทูลมูลลิกาเหมือนว่านั้น | ถ้ากลางวันแล้วละเมอพูดเพ้อพก | ||
| นางสาวใช้ฟังแจ้งแถลงไข | นึกในใจตานี้แกขี้ปด | ||
| ถึงป่วยไข้อย่างไรต้องให้พบ | นี่มาหลบซ่อนอยู่ว่ากระไร | ||
| คิดขัดใจก้มมองแล้วร้องเรียก | เงียบสำเหนียกยายมาลีอยู่ที่ไหน | ||
| ขัดรับสั่งถือตัวไม่กลัวใคร | เป็นผู้ใหญ่ตอแหลทำแชเชือน | ||
| ฝ่ายตาอูได้ฟังที่ร่ำว่า | ช่างหยาบช้านี่กระไรใครจะเหมือน | ||
| ถ้าดีแล้วไม่พักมาตักเตือน | อยากเล่นเพื่อนเหมือนอย่างเขาพวกชาววัง | ||
| ว่าตอแหลหลบลี้เที่ยวหนีหน้า | ข้าเป็นข้าของเจ้าเมื่อไรนั่น | ||
| ข้าเป็นข้าพระพระบุตรีที่ในวัง | ถึงกริ้วบ้างปรามปราบไม่หยาบคาย | ||
| พวกข้าหลวงชี้หน้าว่าอุเหม่ | ตาเกเรหลังจะยับลงกับหวาย | ||
| มาขึ้นเสียงเถียงแทนยายแสนร้าย | หลังจะลายยับป่นถึงต้นคอ | ||
| ป่านฉะนี้มิตายหรือยายเฒ่า | เหลือแต่หนังกับเขาเอาเถิดหนอ | ||
| ยายมาลีได้ฟังค่อยรั้งรอ | ทำลับล่อคลุมโปงก้งโค้งคลาน | ||
| พวกข้าหลวงแลไปว่าไอ้โม่ง | ทำโยงโยงทีจะเผ่นทะเล่นหาง | ||
| ลงหมอบราบคาบแก้วแล้วก็วาง | ตบมือผางผางนางสิงโตโผลงมา | ||
| ฝ่ายยายเฒ่าเจ้าเล่ห์ทำเสแสร้ง | ออกยืนแกล้งสั่นเทาหนาวหนักหนา | ||
| เอามือป้องหน้ามองร้องหาตา | มาฝนยาให้บ้างเป็นอย่างไร | ||
| ฝ่ายตาผัวได้ยินคำเมียว่า | แบกตะกร้าใบตำลึงทึ้งมาให้ | ||
| แล้วทำยาทาหน้าผากตามยากไร้ | ไข้จังไรจับสั่นทุกวันคืน | ||
| เห็นข้าหลวงหน้าเก้อทำเรอแก้ | ตะลึงแลหันหน้าค่อยฝ่าฝืน | ||
| นั่นใครหนอมาสะพรั่งทั้งนั่งยืน | ทำแช่มชื่นทักทายไปไหนมา | ||
| นางสาวใช้ได้ฟังกำลังโกรธ | รับสั่งโปรดให้มาตามยายโม่งป่า | ||
| แค้นตาเฒ่าเจ้าผัวหัวกะลา | มาพูดจาขัดรับสั่งไม่บังควร | ||
| ยายเมียว่าอย่าถือแกเลยแม่ | เป็นคนแก่หลงไปมักไหลเลื่อน | ||
| แล้วเรียกหามานั่งที่บนเรือน | พูดกลบเกลื่อนแก้ไขเป็นใจความ | ||
| พระรถซ่อนอยู่ในห้องเห็นข้องขัด | ประจงจัดดอกไม้หลายสถาน | ||
| ร้อยเป็นสวนบุปผาสุมามาลย์ | ร้อยสถานเคหาของตายาย | ||
| แล้วสำเร็จเสร็จสมอารมณ์ประสงค์ | แอบมาส่งยื่นให้เหมือนใจหมาย | ||
| ยายสมนึกตรึกไว้ได้อุบาย | ส่งดอกไม้บอกแถลงแจ้งกิจจา | ||
| ครั้นไปถึงช่วยทูลให้ยายด้วย | เพราะเจ็บป่วยฟูมฟักต้องรักษา | ||
| ซึ่งทูลนัดผัดไว้มิได้มา | ทรงเมตตายกโทษได้โปรดปราน | ||
| พวกข้าหลวงได้ฟังสั่งกำชับ | พากันกลับคืนไปในสถาน | ||
| ครั้นมาถึงปรางค์รัตน์ชัชวาล | ยกเอาพานบุปผาสุมาลี | ||
| ถวายนางโฉมยงเจ้าทรงซัก | ใคร่ประจักษ์ฤๅว่ายายแกหน่ายหนี | ||
| ให้เรานั่งคอยค้างอยู่อย่างนี้ | นี่มาลีของใครเขาให้มา | ||
| นางสาวใช้ได้ฟังรับสั่งตรัส | ประสานหัตถ์อภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
| ทูลแถลงแจ้งอรรถตามสัจจา | ยายมาลาเป็นไข้มาหลายวัน | ||
| แกสั่งให้ทูลฉลองละอองบาท | แม้นกริ้วกราดเข่นฆ่าก็อาสัญ | ||
| ประทานโทษโปรดด้วยช่วยชีวัน | เป็นแม่นมั่นหายทันไม่อันตราย | ||
| จะมาเฝ้าพระธิดาเหมือนว่าขาน | พวงมาลัยใส่พานฝากถวาย | ||
| สิ้นข้อความตามเรื่องเคืองระคาย | นางโฉมฉายทัศนาพวงมาลี | ||
| แก้ออกเห็นเป็นเรื่องเคหาสถาน | อุบลบานมีในสระวารีศรี | ||
| แล้วเห็นรูปราชาทรงพาชี | เป็นสวนศรีหันมาเป็นตายาย | ||
| พินิจดูทั่วดวงพวงบุปผา | กัลยาคิดไปฤๅทัยหาย | ||
| ชะรอยว่ายายเฒ่าเจ้าอุบาย | คิดมุ่งหมายแยบยลเป็นกลใน | ||
| ตำริพลางนางตรัสประภาษถาม | ปีนี้ดอกไม้งามฤๅไฉน | ||
| นางข้าหลวงทูลฉลองให้ต้องฤๅทัย | หม่อมฉันได้เห็นบุปผาจำปาปี | ||
| ทั้งนางแย้มสายหยุดพุทธชาด | ระดะดาษดอกลำดวนในสวนศรี | ||
| ทั้งยี่สุ่นบุนนาคก็มากมี | มิรู้ที่จะเก็บมาน่าเสียดาย | ||
| นางโฉมยงทรงฟังรับสั่งว่า | แม้นนิทราดึกดื่นจะตื่นสาย | ||
| พรุ่งนี้จะทูลลาไปหายาย | แล้วผันผายเข้าที่ด้วยปรีดา ฯ | ||
| ◉ ครั้นอรุณรุ่งแจ้งแสงจำรัส | นางกระษัตริย์แต่งองค์ทรงภูษา | ||
| ขึ้นเฝ้าองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา | นางพญาสมถวิลด้วยยินดี | ||
| ฝ่ายท้าวยศสุนทรบวรนาถ | ตรัสประภาษถามองค์นางโฉมศรี | ||
| แม่ไปไหนไม่มาหลายราตรี | มาวันนี้จะประสงค์ที่ตรงไร | ||
| พระบุตรีทูลแถลงให้แจ้งอรรถ | ด้วยกระษัตริย์สองพระองค์ยังสงสัย | ||
| เขาบอกว่ายายเฒ่าเฝ้ามาลัย | แกป่วยไปหลายวันไม่บรรเทา | ||
| ฝ่ายสร้อยสุมาลีศรีสมร | เป็นมารดรปลอบประโลมนางโฉมเฉลา | ||
| จะไปสวนจึงมาเวลาเช้า | เลือกสาวสาวไปเป็นเป็นเพื่อนอย่าเชือนแช | ||
| พระบิตุรงค์ว่าระวังสั่งกำชับ | พวกเฒ่าแก่ไปกำกับอย่าห่างเห[4] | ||
| อีสาวสาวเจ้าคารมมันสมคะเน | ไถลเถลแส่หาเล่นตาชาย | ||
| อย่าไปไกลเล่นอยู่แต่ในสวน | เวลาจวนบ่ายเบี่ยงจะเที่ยงสาย | ||
| พระบุตรีกราบหมอบทางยอบกาย | นางถวายทูลลากลับมาปรางค์ | ||
| แล้วสั่งเหล่าสาวศรีพระพี่เลี้ยง | บ้างส่งเสียงจ๊ะจ๋าบ้างขาขาน | ||
| ทั้งโขลนจ่าข้าหลวงเป็นอลหม่าน | ไปสั่งการขอเฝ้าแลเจ้ากรม | ||
| ให้เตรียมวอช่อฟ้าหลังคาสี | คอยอยู่ที่แถวทิมริมสนน | ||
| แล้วรีบกลับทูลแถลงแจ้งยุบล | เข้าเตรียมพลพร้อมเสร็จสำเร็จการ | ||
| นางทรงฟังวาทีเข้าที่สรง | ชำระองค์ขัดสีฉวีสาง | ||
| กุณฑลเพชรปักมวยสวยสำอาง | ดูเหมือนอย่างกินรินเมื่อลินลา | ||
| แล้วเรียกวอช่อฟ้าหลังคาสี | เสียงอึงมี่หวั่นไหวทั้งซ้ายขวา | ||
| พวกข้าหลวงสาวสรรกัลยา | บ้างวิ่งมาตามหลังออกพรั่งพรู | ||
| ตำรวจในไล่คนทั้งสองข้าง | มาตามทางโดยด่วนถึงสวนศรี[5] | ||
| หยุดประทับกับเกยเคยทุกที | แล้วนางสีวิกาจึงว่าพลัน | ||
| พวกผู้ชายรายระวังอยู่ข้างนอก | ใครเข้าออกกำชับให้กวดขัน | ||
| ถ้าไม่ทำเหมือนสั่งไว้อย่างนั้น | เป็นแม่นมั่นจะฉลองให้ต้องตี | ||
| แล้วเชิญองค์พระบุตรีให้ลีลาศ | กำนัลนาถพี่เลี้ยงทั้งสองศรี | ||
| ทรงพระกลดถมยาราชาวดี | ส่วนสาวศรีแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง | ||
| ยายมาลีแลไปที่ในสวน | เห็นแต่ล้วนเหล่าอนงค์บ้างส่งเสียง | ||
| พี่เลี้ยงเดินเรียงรอบ้างคลอเคียง | ยายแกเลี่ยงทำเป็นนอนเหมือนก่อนมา | ||
| แล้วบอกกับตาอู่อยู่ไม่ได้ | เห็นดีร้ายพระธิดาจะมาหา | ||
| จงไปซ่อนเสียให้ลับอยู่กับตา | อันตัวข้าเจ็บอยู่ไม่สู้กระไร | ||
| ฝ่ายพระรถกับตาพากันหนี | ไปซ่อนที่พุ่มประยงค์ไม่สงสัย | ||
| พระพยักกวักเรียกมโนมัย | อาชาไปซ่อนซุ่มในพุ่มรก | ||
| สีวิกาพาเดินตำเนินนาด | แลประพาสสวนขวัญด้วยกันหมด | ||
| ถึงเรือนยายนั่งพร้อมน้อมประณต | ทรงกั้นกลดเยื้องย่างมาข้างกระได | ||
| สุมณฑายืนมองแล้วร้องเรียก | เงียบสำเหนียกอยู่ฤๅว่าไปไหน | ||
| ยายมาลีแอบมองย่องออกไป | ทำเป็นไข้งกงันตัวสั่นรัว | ||
| ด้วยคิดกลัวนางจะโกรธทำโทษกรณ์[6] | ................................................... | ||
| .......................................................... | .................................................... | ||
| จึงกราบทูลโฉมยงนางนงลักษณ์ | เชิญหยุดพักเสียสักครู่พอแดดอ่อน | ||
| ประเดี๋ยวนี้ร้อนนักเราจักจร | ค่อยเหือดร้อนจึงเสด็จทรงเมตตา ฯ | ||
| ◉ ยุพยงทรงฟังยายทูลสาร | เยาวมาลย์สรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
| แล้วขึ้นเรือนยายเฒ่าเฝ้ามาลา | ฉันคิดว่ามากมายวุ่นวายจริง | ||
| นางสีวิกาว่ายายไม่ตายดอก | สุมณฑานางบอกว่าผีสิง | ||
| ต่างหัวเราะเยาะยายไม่หมายจริง | สมรมิ่งทรงพระสรวลแล้วชวนยาย | ||
| นางยุรยาตรนาดนวลเข้าสวนขวัญ | นางกำนัลพี่เลี้ยงตามผันผาย | ||
| เห็นอะไรเสือกสนกระวนกระวาย | เก็บดอกไม้อื้อฉาวเสียงกราวเกรียว | ||
| นางโฉมยงหลงเพลินเจริญจิต | แต่ยายคิดมุ่งมองพาท่องเที่ยว | ||
| สีวิกาว่ายายขยันเจียว | แกพาเลี้ยวไปทางซุ้มพุ่มประยงค์ | ||
| ลางนางบ้างก็เก็บเอาดอกแก้ว | ได้แล้วทรามวัยใส่มวยผม | ||
| ลางนางบ้างก็เก็บดอกประยงค์ | เอายื่นส่งให้เพื่อนเหมือนผู้ชาย | ||
| ลางนางบ้างเก็บได้กาหลง | ใส่กระทงว่าฉันจะถวาย | ||
| ที่ลางนางแอบดูพวกผู้ชาย | ทำยักย้ายใส่จริตข้างบิดพลิ้ว | ||
| นางโฉมยงทรงสอยดอกสร้อยฟ้า | แล้วส่งมาให้ข้าหลวงทำพวงหิ้ว | ||
| ทั้งหนามเหนี่ยวเกี่ยวก้อยเป็นรอยริ้ว | อตส่าห์หิ้วเก็บห่อเอาพอการ | ||
| ฝ่ายตาเฒ่าเข้าซุ้มพุ่มพฤกษา | เห็นเขามาผู้คนออกล้นหลาม | ||
| เห็นยายเมียเดินนำออกสำราญ | แกสั่งหลานกระซิบบอกอย่าออกไป | ||
| แล้วแหวกช่องมองดูพวกผู้หญิง | ทำทอดทิ้งกิริยาอัชฌาศัย | ||
| สองนางเมียงเคียงข้างไม่ห่างไกล | ก็มาใกล้ข้างซุ่มพุ่มประยงค์ | ||
| แกแอบมองงันงกตกประหม่า | พระธิดาเดินกลางเหมือนนางหงส์ | ||
| พระกระซิบเบาเบาให้เทาลง | เอามือทรงกดบ่าห้ามตาไว้ | ||
| แล้วพระแอบมองบ้างตารั้งลาก | แกทำปากยุบยิบกระซิบให้ | ||
| ไม่เจียมตัวกลัวเขาพวกชาวใน | จะทำให้เขาขายเอายายตา | ||
| พระทรงฟังนั่งมิไม่ปริปาก | ด้วยว่าอยากเห็นอนงค์คิดสงสัย | ||
| เห็นตาเมินพระก็เมียงเลี่ยงออกไป | หมายมิให้โฉมยงเจ้าสงกา | ||
| พระพินิจพิศวงนางนงนุช | เห็นสิ้นสุดที่จะเปรียบประเทียบหา | ||
| ด้วยรุ่นสาวขาวผ่องติดต้องตา | ลัคนางามสิ้นทั้งอินทรีย์ | ||
| ทำไฉนพี่จะได้เจ้าดวงสมร | ช่างอรชรล้ำเลิศประเสริฐศรี | ||
| ดังพระจันทร์ทรงกลดหมดราคี | เหมือนเมรีโฉมงามให้ตามมา | ||
| งามละม้ายคล้ายกันกับขวัญเนตร | พี่ทุเรศมาด้วยความเสน่หา | ||
| กระแอมไอให้เสียงไม่พูดจา | พระธิดาหวั่นหวาดประหลาดใจ | ||
| พอเนตรน้องต้องเนตรหน่อกระษัตริย์ | สองกระหวัดไปด้วยคิดพิสมัย | ||
| นางชม้ายชายดูพระภูวนัย | มิใช่ไพร่นวลละอองดังทองทา | ||
| ชะรอยเป็นสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | เสียสมบัติหรือมาเที่ยวแสวงหา | ||
| ตำริพลางย่างเยื้องชำเลืองมา | แฝงพฤกษายืนแลอยู่แต่ไกล | ||
| พระผันแปรแลพบนางสบพักตร์ | กำเริบรักด้วยคิดพิสมัย | ||
| พระแย้มยิ้มพริ้มพรายนางอายใจ | เสด็จไปที่สำนักตำหนักจันทน์ | ||
| พระโฉมงามแลตามจนลับเนตร | แสนเทวศรัญจวนหวนกระสัน | ||
| เห็นทรามเชยเลยไปเสียไกลกัน | ต่างกระสันมิตรจิตมิตรใจ ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายโฉมทัศมาลีศรีสมร | อุระร้อนไปข้างคิดพิสมัย | ||
| นางสั่งเหล่าสาวสรรกำนัลใน | เราจะไปเสียแต่วันไม่ทันเย็น | ||
| แล้วสั่งยายให้เก็บดอกไม้ด้วย | ยายไปช่วยร้อยมาลัยจะใส่เล่น | ||
| สีวิกาว่าฉันร้อยไม่เป็น | สุมณฑาว่าฉันเห็นยายร้อยงาม | ||
| ต่างสำรวลสรวลสันต์ด้วยหรรษา | พระธิดาเยื้องย่างมากลางสนาม | ||
| ขึ้นทรงวอสุวรรณมิทันนาน | เยาวมาลย์กลับหลังเข้าวังใน | ||
| ฝ่ายท่านยายนายสวนเห็นจวนค่ำ | บ่นงุมงำเรียกหาตาไปไหน | ||
| ฝ่ายพระรถกับม้าอาชาไนย | ก็กลับไปเคหาพร้อมตายาย ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายเจ้าทัศมาลีศรีสมร | ทิพากรส่องสว่างกระจ่างฉาย | ||
| ออกจากที่หวนคะนึงคิดถึงยาย | ไม่ทันสายยายเฒ่าก็เข้ามา | ||
| เห็นโฉมยงลงคำนับอภิวาทน์ | พระนางนาฎสรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
| แล้วให้ยกดอกไม้ที่ได้มา | รับสั่งว่ายายร้อยฉันคอยดู | ||
| ยายมาลีได้ฟังแกนั่งนึก | หัวอกเต้นตึกตึกจนใจอยู่ | ||
| แต่กำเนิดมาหัวอกกู | จะได้รู้ร้อยอะไรก็ไม่เป็น | ||
| สีวิกามาช่วยนั่งปลิดก้าน | สุมณฑาว่ายายวานช่วยสนเข็ม | ||
| แล้วส่งด้ายให้ยายหมายว่าเป็น | อยากจะเห็นจะได้จำเป็นสำเนา | ||
| แล้วหยิบดอกไม้มองร้องว่าหนอน | เอามาซ้อนดูลองร้องว่าเน่า | ||
| จะร้อยเป็นแข้งขาแกว่าเดา | ตั้งแต่เช้าจนเย็นไม่เป็นพวง | ||
| นางโฉมตรูรู้อุบายว่ายายแกล้ง | จำจะแสร้งซักไซ้ต้องไต่สวน | ||
| จะได้สมกับยายเฒ่าเจ้ากระบวน | ฟังสำนวนท่าทางจะอย่างไร | ||
| เห็นดอกไม้ยับย่อยล้วนรอยเข็ม | จะเอาเป็นเรื่องอะไรมันไม่ได้ | ||
| เสียดอกไม้ใบตองกว่าสองไพ | ทำไถลตำหมากอ้าปากเรอ | ||
| นางโฉมตรูรู้ว่าร้อยไม่ได้ | ทำยักย้ายเจ้าสำนวนกวนโทโส | ||
| ออกเกลื่อนกลาดกวาดกองไอ้กะโต | อย่าปดโป้ขอถามแต่ตามจริง | ||
| ที่ร้อยเป็นพาชีมีเคหา | ใครให้มาแล้วยายอย่าได้นิ่ง | ||
| ถ้าปิดงำอำไว้มิให้จริง | เหมือนไข้วิ่งหาหมอคอยรอยา | ||
| ยายมาลีตกใจแล้วไหว้กราบ | สารภาพพรั่นตัวกลัวนักหนา | ||
| จะทูลความตามเรื่องแต่แรกมา | พระแม่อย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง | ||
| คือหนุ่มน้อยจรมาขออาศัย | มีแก่ใจเวทนาตาให้อยู่ | ||
| ไม่เกียจคร้านมีจิตคิดเอ็นดู | มิได้รู้แห่งหนตำบลใด | ||
| พระเทพีฟังคดีแล้วทำว่า | ยายอย่าเคลือบแฝงแหนงไฉน | ||
| แม้นทราบถึงบิตุรงค์พระทรงชัย | คบมาไว้ความผิดจะติดตัว | ||
| แม้นไปถึงจึงถามให้ได้ข่าว | ถ้าทำฉาวจะฆ่าเสียทั้งเมียผัว | ||
| ยายมาลีเห็นไม่โปรดคาดโทษตัว | ทำยิ้มหัวทูลลากลับมาเรือน | ||
| แล้วบอกความตามสั่งมาทั้งหมด | ให้พระรถแจ้งคดีฟังถี่ถ้วน | ||
| นางซักไซ้ไถ่ถามตามกระบวน | ว่าไม่ควรคบหาเอามาไว้ | ||
| แม้นทราบความตามเรื่องจะเคืองขัด | อยู่จังหวัดธานีบุรีไหน | ||
| เป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์หรือชาวไพร | ธุระไรจึงมาถึงธานี | ||
| พระทรงฟังคำยายให้ไถ่ถาม | ไม่ทราบความไฉยามารศรี | ||
| มาพึ่งบุญยายตาก็ปรานี | ได้เป็นที่อุปถัมภ์ช่วยค้ำชู | ||
| ตัวคนเดียวเที่ยวมาอนาถา | เหมือนกำพร้าสิ้นแกนแสนอดสู | ||
| นางโฉมยงสงสัยจะใคร่รู้ | ยายเอ็นดูช่วยถือหนังสือไป | ||
| แล้วร่างเรื่องศุภสาสน์เป็นการลับ | พอเสร็จสรรพจารึกผนึกสาร | ||
| อีกทั้งธำมรงค์รัตน์ชัชวาล | ถวายสาสน์จะได้เห็นเป็นสำคัญ | ||
| ยายมาลีดีใจได้หนังสือ | ไม่อึงอื้อย่างกรายรีบผายผัน | ||
| ถึงตำหนักพระธิดาวิลาวัลย์ | พอนางผันผินพักตร์มาทักยาย | ||
| แกดีใจซ่อนสาสน์คลานเข้าใกล้ | ที่คิดไว้เห็นจะสมอารมณ์หมาย | ||
| กรประนมก้มหมอบพลางยอบกาย | แล้วถวายสาสน์ศรีด้วยปรีดา | ||
| นางโฉมยงทรงรับกับพระหัตถ์ | ศรีสวัสดิ์หวั่นจิตขนิษฐา | ||
| แล้วเลยเข้าปรางค์ในมิได้ช้า | พระธิดาคลี่สาสน์ออกอ่านความ | ||
| ในสาสน์ทรงองค์พระรถบทเรศ | จากประเทศมิถิลามหาสถาน | ||
| มาอาศัยในสวนอุทยาน | ขอประทานโทษาท่านตายาย | ||
| หมายพระนุชบุตรีศรีสมร | ดังจันทรเปล่งศรีฉวีฉาย | ||
| พระธำมรงค์กับมาลัยร้อยให้ยาย | มาถวายขวัญเนตรเหมือนเจตนา | ||
| อย่าหลงโกรธโทษยายเลยสายสมร | พี่อาวรณ์ถึงมิตรขนิษฐา | ||
| แม้นขัดเคืองเรื่องมาลัยไฉนนา | ตอบสารามาสักน้อยจะร้อยเอย ฯ | ||
| ◉ นางโฉมยงทรงฟังอักษรสาสน์ | เยาวมาลย์แอบอิงพิงเขนย | ||
| น่าบัดสีนี่กระไรยังไม่เคย | จะนิ่งเฉยเสียก็เห็นไม่เป็นการ | ||
| แล้วหยิบพระธำมรงค์มาทรงหัตถ์ | แจ่มจำรัสต้องตำราเหมือนว่าขาน | ||
| ดูแดงก่ำน้ำพรายสายสังวาล | สีสัณฐานราวกับปอกไม่หมอกมัว | ||
| ใครได้ไว้จำเริญเพลินสมบัติ | สารพัดคุ้มภัยไปได้ทั่ว | ||
| ถ้าแตกร้าวอย่าเอาไว้ใส่กับตัว | จะพาชั่วชอกช้ำต้องรำคาญ | ||
| ชะรอยเป็นสุริวงศ์พงศ์กษัตริย์ | จากสมบัติมานิเวศเขตสถาน | ||
| แม้นมิตอบมธุรสพจมาน | ก็สงสารคิดถึงแหวนแสนเสียดาย | ||
| แล้วหยิบสุวรรณบุปผาชาติ | มุกดาดาษหาราคาค่ามิได้ | ||
| สำหรับปักมวยช้องของต้องใจ | เรืองอุไรเพชรประดับดูวับวาม | ||
| ดอกไม้ทองของฉันกับหนังสือ | จารึกชื่อปิดตราเหมือนว่าขาน | ||
| โปรดประทานให้ยายมิได้นาน | ถวายสาสน์จะได้เห็นเป็นสำคัญ | ||
| ยายมาลีกราบคำนับแล้วรับสาสน์ | มิได้นานกลับไปเหมือนใจหวัง | ||
| มาถึงสวนรีบรุดไม่หยุดยั้ง | เล่าให้ฟังตั้งแต่ต้นไปจนปลาย | ||
| พระรับสาส์นของยุพินเห็นสิ้นเสร็จ | ดอกไม้เพชรหยิบไว้เหมือนใจหมาย | ||
| แล้วคลี่สาสน์อ่านตามความอุบาย | ขอถวายอภิวาทน์บาทยุคล | ||
| หม่อมฉันทัศมาลีศรีสมร | เจริญพรศรีสวัสดิ์พิพัฒน์ผล | ||
| ครั้นทราบสาสน์ว่าพระภูวดล | ต้องขวายขวนหม่อมฉันถวายดอกไม้ทอง | ||
| ซึ่งประทานธำมรงค์มาวงหนึ่ง | ก็หมายพึงสาสน์เสนอบำเรอสนอง | ||
| ด้วยคลางแคลงแหนงในฤๅทัยปอง | ผิดทำนองบทเบื้องเรื่องบูราณ | ||
| เชิญพระองค์จงกลับไปนคเรศ | ยังประเทศมิถิลามหาสถาน | ||
| ให้ทูตามาประณตบทมาลย์ | ขอประทานทรงฤทธิ์พระบิดา | ||
| นี้และเห็นเป็นที่สถาผล | ประชาชนไม่มีใครครหา | ||
| แม้นสมหวังดังนึกที่ตรึกตรา | ขอเป็นข้าเกือกทองรองธุลี | ||
| จะมาเล่นเพลงยาวกล่าวเพลงสั้น | กระหม่อมฉันไม่ถนัดน่าบัดสี | ||
| จะขัดเคืองเรื่องมาลัยก็ไม่มี | ยายมาลียกโทษไม่โกรธเอย | ||
| พระสดับสุนทรอักษรสาสน์ | พจมานเหลือดีจะมีไหน | ||
| แล้วจึงเขียนสาสน์ตอบด้วยขอบใจ | หวังจะให้โฉมตรูเจ้ารู้องค์ | ||
| แล้วพับจีบรีบสลักตัวอักษร | ให้บังอรทรามสงวนนวลระหง | ||
| ยายมาลีรีบไปเหมือนใจจง | ถวายองค์พระธิดายุพาพาล | ||
| นางรับสาสน์อ่านสนองว่าน้องแก้ว | พี่มาแล้วยังจะให้ไปสถาน | ||
| แสนวิตกอกกรมมานมนาน | ไม่สงสารพี่บ้างฤๅอย่างไร | ||
| แล้วจะให้ทูตถือหนังสือสาสน์ | มาว่าขานขอมิตรพิสมัย | ||
| พี่อยู่ถึงด้าวแดนก็แสนไกล | เหลืออาลัยแล้วจึงมากับพาชี | ||
| ค่ำวันนี้พี่จะมาแล้วอย่าหลบ | ขอให้พบกันกับน้องอย่าหมองศรี | ||
| พอจบสาสน์อ่านสิ้นพลางยินดี | มิรู้ที่จะว่าขานประการใด | ||
| ยายมาลีดีใจกลับไปสวน | พระรถชวนพูดจาอัชฌาศัย | ||
| พอพลบค่ำย่ำฆ้องเข้าห้องใน | พลางปราศรัยสนทนาด้วยตายาย | ||
| แล้วตรัสเรียกอาชาเข้ามาแจ้ง | เล่าแถลงเหมือนสาสน์มาขานไข | ||
| วันนี้นัดไว้กับนางที่ข้างใน | อาชาไปด้วยกันเหมือนสัญญา | ||
| พอได้ยินไก่ขันกระชั้นแจ้ว | กาเหว่าแว่วส่งเสียงสำเนียงจ้า | ||
| พระแต่งองค์ทรงนั่งหลังอาชา | หอมบุปผากลิ่นเกลี้ยงเมื่อเที่ยงคืน | ||
| พระผันแปรแลหาปรางค์ปราสาท | รุกขชาติน่าชมร่มระรื่น | ||
| พระจันทรแจ่มกระจ่างนภางค์พื้น | พระแช่มชื่นเหาะตรงลงบัญชร | ||
| แล้วตรัสสั่งอาชาพลาหก | ต้นแก้วดกเป็นพุ่มจงซุ่มซ่อน | ||
| ระวังตัวกลัวภัยอย่าได้นอน | พระจันทรล่วงลับจะกลับมา | ||
| หัสดรได้ฟังสั่งกำชับ | จึงกล่าวกลับตอบความตามภาษา | ||
| เชิญเสด็จให้สบายคลายวิญญา | ข้าอาชานี้เห็นไม่เป็นไร | ||
| พระรู้เท่าอาชานั้นว่าเปรียบ | ค่อยเดินเลียบแกลทองอันผ่องใส | ||
| เงียบสงัดสาวสรรกำนัลใน | แต่ทรามวัยนั่งคอยร้อยมาลี | ||
| พระแฝงเงาตำหนักผลักบานเผย | นางทรามเชยหวาดหวั่นมิ่งขวัญหนี | ||
| เหลียวผวาคว้าพวงสุมาลี | พระสู่ที่แท่นทองเคียงน้องยา | ||
| นางถอยถดลดองค์ลงจากอาสน์ | พระภูวนาถกุมกรกนิษฐา | ||
| จะถอยหนีพี่ไยนะกัลยา | นางประหม่าเมียงเมินสะเทิ้นอาย | ||
| พระทรงโฉมโลมเล้าว่าเจ้าพี่ | ไม่พอที่หวาดหวั่นมิ่งขวัญหาย | ||
| ไฉนแหนงแคลงจิตคิดระคาย | เชิญโฉมฉายสู่ที่ด้วยพี่ยา | ||
| นางชม้ายอายองค์พระทรงศร | ประนมกรอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
| พอแลสบพบเนตรกษัตรา | เสน่หาปั่นป่วนให้ยวนยี | ||
| แล้วทูลถามตามประสงค์จำนงนึก | พระมาดึกนัดไว้แล้วไม่หนี | ||
| จะใคร่ทราบในพระทัยร้ายฤๅดี | ยายมาลีเป็นทูตมาพูดแทน | ||
| พระสดับวาทินยุพินถาม | จึงยกความก่อนเก่าเล่าแถลง | ||
| ไม่ปิดบังมิ่งมิตรอย่าคิดแคลง | ใช่จะแกล้งล่อลวงเอาท่วงที | ||
| ว่าพลางทางประโลมโฉมเฉลา | อะไรเล่าเฝ้าปัดแต่มือพี่ | ||
| พระจุมพิตชิดชวนให้ยวนยี | มารศรีป้องปัดสลัดกร | ||
| พลางสวมสอดกอดน้องประคองเคล้า | ค่อยต้องเต้าพุ่มพวงดวงสมร | ||
| ทางอิงแอบแนบชิดสนิทนอน | สโมสรเสน่หายุพาพาน | ||
| สองภิรมย์สมสนิทพิศวาส | ภูวนาถแนบชิดขนิษฐา | ||
| ต่างปราศรัยไถ่ถามกันสองรา | ครั้นค่ำมาเช้าไปได้หลายวัน ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายสองรานารีเป็นพี่เลี้ยง | ตะวันเที่ยงย่างกรายต่างผายผัน | ||
| เข้าเฝ้าองค์พระธิดาวิลาวัลย์ | เห็นผิวพรรณมัวหมองดังต้องชาย | ||
| ทั้งจริตผิดกว่าแต่ก่อนเก่า | พระฉวีศรีเศร้าไม่เฉิดฉาย | ||
| คิดพลางทางทูลเป็นแยบคาย | หมอบชม้ายนางเห็นตรัสเป็นที | ||
| วันนี้พี่สีวิกามาแต่เช้า | ฉันหนาวหนาวไม่สบายอยู่ในที่ | ||
| ให้แน่นเหน็บเจ็บทั่วทั้งนาภี | มาวันนี้เป็นน้อยดูค่อยคลาย | ||
| สุมณฑาว่ายาหมอข้างที่ | หอมอย่างดีโอสถบดถวาย | ||
| สีวิกาหยิบถ้วยมาละลาย | แล้วถวายทรามเชยเสวยยา | ||
| แล้วทูลเชิญโฉมยงให้สรงเสวย | เหมือนอย่างเคยฟูมฟักคอยรักษา | ||
| แล้วทรามเชยเลยไปที่ไสยา | กษัตราสวมสอดกอดพระน้อง | ||
| แล้วถามว่าใครมาเมื่อตะกี้ | นางว่าพี้เลี้ยงหม่อนฉันมาทั้งสอง | ||
| ครั้นจะไม่คิดอ่านออกหว่านล้อม | ไข้สมยอมบอกป่วยเป็นด้วยเคราะห์ | ||
| พระจุมพิตชิดชมภิรมย์สวาท | แสนฉลาดดังว่าจะพาเหาะ | ||
| ต่างเซ้าซี้ยียวนชวนฉอเลาะ | แสนเสนาะสองสมภิรมยา ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายสองรานารีพระพี่เลี้ยง | เห็นสายเที่ยงฟังสำเหนียกคอยเรียกหา | ||
| แล้วสั่งเหล่าสาวสรรกัลยา | พระธิดาไม่สบายมาหลายวัน | ||
| เวลานี้อย่าคะนองจะต้องกริ้ว | ใครบิดพลิ้วคบเพื่อนเตือนสันหลัง | ||
| แม้นดึงดื้อถือดีว่ามิฟัง | ใครพลาดพลั้งก็จะทูลให้วุ่นวาย | ||
| แล้วสองนางเยื้องย่างเข้าข้างที่ | จัดพระศรีโอสถบดถวาย | ||
| เครื่องสุคนธ์ปนทองละอองพราย | แล้วก้มกายแหวกวิสูตรไม่พูดจา | ||
| เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท | ร่วมไสยาสน์แนบชิดขนิษฐา | ||
| นวลละอองผ่องพักตร์ลักขณา | สีวิกาแข็งขึงตะลึงกาย | ||
| แล้วถอยออกนอกวิสูตรพูดไม่ออก | กระซิบบอกเบาเบาเล่าขยาย | ||
| พระบุตรีคบชู้อยู่กับชาย | เราก็หมายว่าเจ็บเป็นเหน็บชา | ||
| สุมณฑาได้ยินสิ้นสติ | ลงนั่งมิคิดคำนึงแล้วจึงว่า | ||
| จะคิดฉันใดดีสีวิกา | ก็หมายว่าทรามสงวนไม่ควรเป็น | ||
| ทั้งสองนางอัดอั้นให้ตันอก | ยิ่งวิตกในจิตไม่คิดเห็น | ||
| ก็สุดแต่ผลกรรมต้องจำเป็น | ไม่รู้เห็นด้วยสักน้อยต้องพลอยตาย | ||
| ฝ่ายองค์พระธิดาไสยาตื่น | นางแช่มชื่นด้วยสมอารมณ์หมาย | ||
| ลงจากแท่นที่สุวรรณพรรณราย | จึงผันผายสระสรงทรงสุคนธ์ | ||
| แล้วยุรยาตรนาดกรอ่อนแฉล้ม | ตรัสยิ้มแย้มด้วยสุรางค์นางสนม | ||
| สองพี่เลี้ยงเคียงข้างต่างปรารมภ์ | แล้วนิ่งก้มหน้านึกค่อยตรึกตรอง | ||
| พระธิดาเห็นผิดคิดประหลาด | ก็ยุรยาตรเลยไปเสียในห้อง | ||
| สองนารีพี่เลี้ยงเคียงประคอง | เห็นได้ช่องลับตาจึงพาที | ||
| โอ้พระนุชบุตรเจ้าพี่เอ๋ย | ไฉนเลยนวลละอองมาหมองศรี | ||
| เป็นไรแก้วแววตาไม่พาที | จะบอกพี่แต่สักหน่อยไม่น้อยใจ | ||
| ทูลพลางโหยไห้พิไรร่ำ | จะทำกรรมให้พี่หรือไฉน | ||
| แม้นทราบถึงบิตุรงค์พระทรงชัย | ไหนจะไว้ชีวาคงฆ่าตี | ||
| สู้สนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรักษา | จนใหญ่กล้าหมายจะฝากแต่ซากผี | ||
| มิขออยู่สู้ตายวายชีวี | เป็นกรรมแล้วแก้วพี่จะขอลา | ||
| นางโฉมยงทรงฟังก็สังเวช | สุชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | ||
| ฉันผิดจริงแล้วพี่สีวิกา | สุมณฑายอดสร้อยจึงน้อยใจ | ||
| จะคิดฉันใดดีเล่าพี่เอ๋ย | ก็ได้เลยแล้วกรรมจะทำไฉน | ||
| ทั้งชอบผิดย่อมรู้อยู่แก่ใจ | น้องจะใคร่ผูกศอให้มรณา | ||
| ทั้งสองนางตกใจแล้วไหว้กราบ | จะเป็นบาปกรรมไปเมื่อภายหน้า | ||
| ปลอบประโลมโฉมศรีวิยะดา | ต่างโศกาจ้ำจี้พิรี้พิไร | ||
| ครั้นวายโศกนางกลับไปสู่ห้อง | ถึงแท่นทองบังคมประนมไหว้ | ||
| แล้วทูลความตามจริงทุกสิ่งไป | พระเนาในแท่นทองกับน้องยา | ||
| สีวิกามาเห็นจึงเป็นเหตุ | น่าสมเพชทรงศักดิ์เป็นหนักหนา | ||
| แม้นทราบถึงทรงฤทธิ์พระบิดา | ก็จะมากริ้วโกรธทำโทษภัย | ||
| นฤบาลฟังสารแจ้งประจักษ์ | ด้วยนงลักษณ์บอกตรงไม่สงสัย | ||
| เจ้าไปบอกสองนางมาข้างใน | พี่จะใคร่ถามลวงดูท่วงที | ||
| นางดีใจไปพาเข้ามาเฝ้า | ต่างน้อมเกล้ากราบประณตบทศรี | ||
| พระเห็นหน้าสีวิกาคิดปรานี | แล้วจึงมีเทวราชประภาษพลัน | ||
| ให้ตามมาหารืออย่าถือผิด | มิได้คิดรังเกียจข้างเดียดฉันท์ | ||
| จะรักน้องสองเจ้าให้เท่ากัน | ขอเจ้าขวัญนัยนาจงปรานี | ||
| อันโทษพี่มีผิดจะคิดไฉน | จะปรับไหมแล้วแต่น้องทั้งสองศรี | ||
| ถ้าแม้นไม่เมตตาจะฆ่าตี | พระแท่นที่นี้และเหมือนเป็นเรือนตาย | ||
| สองพี่เลี้ยงนบนอบตอบสนอง | รู้ทำนองนึกไว้เหมือนใจหมาย | ||
| จึงเสแสร้งแกล้งทูลบรรยาย | คนทั้งหลายรู้สิ้นจะนินทา | ||
| พระผิดด้วยสิ่งไรจะให้ปรับ | ไม่เสียทรัพย์ก็ได้สมปรารถนา | ||
| ด้วยตั้งจิตคิดไว้แต่ไรมา | ก็หมายว่างามพักตร์จะรักยศ | ||
| จะชอบผิดปิดไว้มิได้ว่า | พระเมตตาเสียทั้งนั้นด้วยกันหมด | ||
| ทูลพลางทางชม้อยช้อยชด | มิรู้หมดคำขำน่ารำคาญ | ||
| พระธิดารู้ทีสองพี่เลี้ยง | ทูลบ่ายเบี่ยงพจนาจึงว่าขาน | ||
| แม้นทราบถึงทรงศักดิ์จักรพาล | จะคิดอ่านแก้ไขฉันใดดี | ||
| ถึงตัวน้องจะตายก็ไม่ว่า | จะก้มหน้าสู้ม้วยไปเมืองผี | ||
| ขอพระองค์ทรงศักดิ์ช่วยภักดี | สองพี่นี้ชุบเลี้ยงให้เที่ยงธรรม์ | ||
| พระฟังนางช่างคิดสนิทสนม | อย่าปรารมภ์จะถนอมเป็นจอมขวัญ | ||
| ทั้งร่วมคิดร่วมรู้คู่ชีวัน | ให้ป่วนปั่นไปตามด้วยความรัก | ||
| สีวิกาแน่งน้อยนวลศรี | พระบุตรีให้เป็นคนปรนนิบัติ | ||
| สุมณฑาหมอบกรานอยู่งานพัด | ต่างเปลี่ยนผลัดทุ่มยามตามเวลา ฯ | ||
| ◉ จะกล่าวถึงเสนาพวกอำมาตย์ | เที่ยวประพาสตรวจไปในสถาน | ||
| มาเห็นม้านิลดำสวยสำอาง | ดูต้องอย่างผิดกับม้าอาชาไนย | ||
| ต่างพากันด้อมมองร้องให้จับ | ม้าขยับผกผันหันเข้าใส่ | ||
| คำรนร้องเผ่นโผนโจนออกไป | พระรถได้ยินสำเนียงเสียงอาชา | ||
| พระแฝงหน้าแกลทองมองเขม้น | ไม่ทันเห็นคนพิทักษ์อยู่รักษา | ||
| พอแลพบสบหน้าพวกเสนา | ดังหนึ่งว่าต้องศรสะท้อนทรวง | ||
| พระถอยหลังลงนั่งบัลลังก์รัตน์ | พงศ์กระษัตริย์ทุกข์ใจเป็นใหญ่หลวง | ||
| ฝ่ายเสนาข้าเฝ้าเจ้ากระทรวง | ครรไลล่วงกลับมาแล้วพาที | ||
| เมื่อตะกี้เห็นคนบนปราสาท | ผิดประหลาดกันกับเหล่าพวกสาวศรี | ||
| หนึ่งพระราชบุตรชายก็ไม่มี | ดูท่วงทีผิดกับเขาพวกชาวใน | ||
| อำมาตย์ใหญ่ได้ฟังนั่งฉงน | จะว่าคนในบูรีฤๅที่ไหน | ||
| จงฟังหูไว้หูคอยดูไป | ด้วยเป็นในปราสาทพระราชวัง | ||
| กองตระเวนนายตรวจอยู่หมวดไหน | หน้าที่ใครมัวเที่ยวไม่เหลียวหลัง | ||
| จึงมิได้ตรวจไตรระไวระวัง | ผิดก็หลังมันเองไม่เกรงกลัว | ||
| ค่ำวันนี้จะไปดูให้รู้แน่ | เห็นเที่ยงแท้จะได้ทูลพระอยู่หัว | ||
| แต่ลำพังยังไม่ไว้ใจตัว | ได้เห็นทั่วจะได้ลือสีมือเรา | ||
| แล้วสั่งให้คนยกกระยาหาร | สุราบานใส่สำรับกินกับข้าว | ||
| เป็ดพะแนงแกงเทโพโตไม่เบา | หยิบขวดเหล้ารินสุราออกมากิน[1] | ||
| ฤทธิ์สุราพาจิตฟุ้งซ่าน | มิทันนานเสวกาก็มาถึง | ||
| ต่างปรึกษาหารือไม่อื้ออึง | คงทราบถึงเจ้าอยู่หัวกลัวมันไย | ||
| แล้วพากันเข้าไปในนิเวศน์ | คอยฟังเหตุการณ์จะมีอยู่ที่ไหน | ||
| แลเห็นพวกนั่งยามไม่ตามไฟ | ทำไมไม่เที่ยวตรวจทุกหมวดกอง | ||
| แล้วเดินมาข้างปรางค์นางกระษัตริย์ | เงียบสงัดยืนฟังอยู่ทั้งสอง | ||
| ได้ยินเสียงกรากกรุกลุกขึ้นมอง | ดูตามช่องแกลสลักไม่ทักทาย | ||
| เห็นพระองค์ทรงโฉมประโลมสวาท | กับนุชนาถเคียงกันเหมือนมั่นหมาย | ||
| ได้เห็นแท้แน่จริงทั้งหญิงชาย | ก็ผันผายกลับหลังเข้าวังใน | ||
| ฝ่ายท้าวยศสุนทรบวรนาถ | ก็ยุรยาตรสู่พระโรงวินิจฉัย | ||
| พร้อมอำมาตย์มาตยาเสนาใน | น้อมถวายดุษฎีชุลีกร | ||
| อำมาตย์ใหญ่คลานก้มบังคมบาท | อภิวาทน์บาทมูลทูลฉลอง | ||
| เอาหนังสือขึ้นถวายเหมือนใจปอง | พอได้ช่องถอยหลังฟังโองการ ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระองค์ทรงฟังก็รู้แจ้ง | ดังศรแผลงปักทรวงประหารผลาญ | ||
| เสียดายองค์พระธิดายุพาพาล | จะใคร่ผลาญเสียให้ม้วยไปด้วยกัน | ||
| แสนวิตกอกช้ำเป็นน้ำหนอง | พระตรึกตรองเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| จึงตรัสเรียกเสนาเข้ามาพลัน | ข้อสำคัญเอ็งเห็นเป็นอย่างไร | ||
| เสนากราบบาทมูลทูลฉลอง | ขอเดชะฝ่าละอองอย่าสงสัย | ||
| เกล้ากระหม่อมเห็นแท้แน่ในใจ | อำมาตย์ได้แอบดูอยู่ด้วยกัน | ||
| พระนิ่งฟังอำมาตย์คนอาจหาญ | รู้ชำนาญมนต์เวทวิเศษขลัง | ||
| ทั้งแกล้วกล้าล่องหนคงกระพัน | ปรึกษากันกับท้าวเจ้านคร | ||
| แม้นได้ทีตีจับอย่ายับยั้ง | มัดไพล่หลังเอามาข้างหน้าก่อน | ||
| อำมาตย์กราบสามทีชุลีกร | นรินทรเคืองแค้นแสนทวี | ||
| แล้วเลยเข้าข้างในมิได้ตรัส | โทมนัสเลยไปเสียในที่ | ||
| ฝ่ายเสนาอำมาตย์ราชกวี | ออกจากที่ต่างมาปรึกษากัน | ||
| ครั้นพลบค่ำย่ำมัวทั่ววิถี | ขุนเสนีกับอำมาตย์ก็ผายผัน | ||
| ร้องเรียกหาบ่าวไพร่ไปด้วยกัน | พอไก่ขันสามยามตามเวลา | ||
| แล้วพากันขึ้นปรางค์นางกระษัตริย์ | อำมาตย์จัดเทียนข้าวตอกดอกบุปผา | ||
| ทั้งภูตพรายกายสิทธิ์วิทยา | ร้องเรียกมาปลุกเสกทำเลขยันต์ | ||
| แล้วเข้านั่งภาวนามหาสะกด | ก็หลับหมดดังตายไม่ใฝ่ฝัน | ||
| สมคะเนเสนาเข้ามาพลัน | จับไว้มั่นรวบรัดมัดพระกร | ||
| แล้วคลี่คลายร่ายมนต์ให้รู้สึก | ได้สำนึกพากันผันผยอง | ||
| ทั้งเสนาอำมาตย์ก็พรั่งพร้อม | สงสารจอมจักรพรรดิกษัตรา | ||
| ไม่รู้ตัวมัวหลับเขาจับมัด | นางกระษัตริย์แทบชีวังจะสังขา | ||
| ทั้งพี่เลี้ยงสาวสรรกัลยา | ไม่รู้ว่าแซ่สำเนียงเสียงอะไร | ||
| อำมาตย์พามาหน้าพระลานหลวง | คนทั้งปวงโจษกันเสียงหวั่นไหว | ||
| บ้างก็ว่าเห็นทีจะมีภัย | แต่ยังไม่รู้ชัดเขามัดมา | ||
| สงสารหน่อบพิตรอดิศร | ให้เร่าร้อนถึงมิตรขนิษฐา | ||
| แสนอดสูหมู่อำมาตย์มาตยา | ต่างวิ่งมาอื้ออึงคะนึงไป | ||
| ฝ่ายเสนามาเฝ้าละอองบาท | อภิวาทน์ทูลแจ้งแถลงไข | ||
| พระทรงฟังคั่งแค้นแน่นฤๅทัย | เสด็จไปเกยชาลาหน้าพระลาน | ||
| แลเห็นหน่อสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | ตบพระหัตถ์สรวลสันต์แล้วบรรหาร | ||
| ว่าฮ้าเฮ้ยเป็นไฉนจงให้การ | จึงอาจหาญเข้าปราสาทพระราชวัง | ||
| นี้ถิ่นฐานบ้านเมืองมึงอยู่ไหน | ก็บอกไปตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| จึงกล้าหาญชาญชัยใจฉกรรจ์ | กูจะฟันเสียให้ยับลงกับกร | ||
| เป็นไรจึงนิ่งเฉยไม่เงยหน้า | เขามัดมาเหมือนกับลิงในสิงขร | ||
| ไม่อดสูหมูหมาไอ้วานร | มาซุ่มซ่อนลอบลักใครชักพา ฯ | ||
| ◉ พระหน่อไทได้ฟังก็ทูลสาสน์ | อาชาชาญเหาะเร่ทางเวหา | ||
| กิตติศัพท์เล่าลือระบือชา | ว่าธิดาของท้าวเจ้านคร | ||
| พระรูปโฉมงามประโลมสำอางพักตร์ | จึงลอบลักมาประสบพบสมร | ||
| ขอพระองค์ทรงฤทธิ์เหมือนบิดร | จงผันผ่อนเมตตาทรงปรานี | ||
| พระทรงฟังดังสายสุนีฟาด | ยิ่งกริ้วกราดว่าได้ไม่บัดสี | ||
| ให้สุดแสนแค้นใจใช่พอดี | ประเดี๋ยวนี้กูฟังกำลังเพราะ | ||
| มันเห็นในจิตคิดไฉน | ทำไมไม่เรียกอาชาให้พาเหาะ | ||
| มานั่งง่วงงึมเหงาให้เขาเยาะ | น่าหัวเราะเจ้าชู้ประตูกลาง ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายโฉมสร้อยสุมาลีศรีสวัสดิ์ | แจ้งรหัสขุ่นหมองด้วยสองศรี | ||
| เสด็จด่วนตามหาพระสามี | รีบจรลีออกมาหน้าพระลาน | ||
| แลเห็นหน่อสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | นางทูลทัดมีจิตคิดสงสาร | ||
| พลางพินิจพิศดูพระกุมาร | มัดประจานรัดรึงไว้ตรึงตรา | ||
| ชะรอยเป็นหน่อเนื้อในเชื้อแถว | ดังดวงแก้วส่องสว่างกระจ่างหล้า | ||
| ราวกับเพชรเรือนทองทั้งสองรา | วาสนาลูกรักจึงหากเป็น | ||
| พินิจพลางนางทูลพระทรงศร | จงงดก่อนบาปกรรมอย่าทำเข็ญ | ||
| จงแก้มัดคลี่คลายให้วายเว้น | ต่อจะเป็นสุริวงศ์พระองค์ไร | ||
| พระฟังนางทางว่าชะมาขอ | ช่างยกยออยากได้ไว้เป็นเขย | ||
| เมื่อมันทำเคืองเข็ญไม่เห็นเลย | เขาจะเย้ยเยาะเล่นเป็นตำรา | ||
| ทั้งพวกเราเหล่านี้ฟังเถิดเหวย | พึ่งมาเคยพบเห็นเหมือนเป็นบ้า | ||
| ท่านแม่ยายคิดสมเพชเวทนา | ไอ้ลูกเขยมันจะฆ่าพ่อตาตาย | ||
| ตรัสแล้วสั่งนายเพชฌฆาต | มันสามารถเป็นทีจะหนีหาย | ||
| ตระเวนถ้วนสามวันดังบรรยาย | ฆ่าให้ตายก็ไม่พ้นคนนินทา | ||
| ตรัสพลางทางไปเสียในที่ | ขุนเสนีเฝ้าแหนอยู่แน่นหนา | ||
| บ้างแก้มัดรัดรึงที่ตรึงตรา | แล้วพามามอบไว้ให้ผู้คุม | ||
| นางพญามาปรางค์พระลูกแก้ว | พอถึงแล้วเห็นยังกำลังวุ่น | ||
| ทั้งสาวศรีพี่เลี้ยงออกชุลมุน | นั่งเป็นกลุ่มปรึกษาฝูงนารี | ||
| ฝ่ายพระนุชบุตรีศรีสวาท | เข้ากอดบาทบงกชบทศรี | ||
| ทรงกันแสงโศกศัลย์พันทวี | ซบสัญญีภาวะนิ่งไม่ติงองค์ | ||
| พระมารดาอาลัยใจจะขาด | เสียงหวีดหวาดสาวสุรางค์นางสนม | ||
| แซ่สำเนียงเสียงร้องก้องระงม | พระทรามชมกอดบุตรสายสุดใจ | ||
| โอ้แม่ทัศมาลีของแม่เอ๋ย | กรรมเจ้าเคยก่อสร้างไว้ปางไหน | ||
| สองพระกรช้อนเกศนางทรามวัย | กันแสงไห้ร่ำรักภคินี | ||
| โอ้ลูกเอ๋ยเป็นไรจึงไม่ตรัส | เจ้ามาตัดเยื่อใยอาลัยหนี | ||
| ให้แม่แสนโศกซ้ำระกำทวี | เจ้าจึงหนีเด็ดเดี่ยวไปเดียวดาย | ||
| ฤๅขวัญเมืองเคืองจิตที่ผิดพลั้ง | แม่ก็ยังรักอยู่ไม่รู้หาย | ||
| ธรรมดาว่าจริงหญิงกับชาย | ก็ย่อมหมายสู่สมภิรมย์เชย | ||
| อกใครที่จะเป็นเหมือนเช่นข้า | ยิ่งซ้ำแสนเวทนานิจจาเอ๋ย | ||
| จงกลับมาหาแม่เถิดทรามเชย | ไม่โกรธเลยจะทำขวัญให้กัลยา | ||
| นางโศกาอาดูรพูนเทวศ | น่าสมเพชลูกรักเป็นหนักหนา | ||
| ทั้งพี่เลี้ยงสาวสรรกัลยา | ต่างก็มานวดฟั้นคั้นประคอง | ||
| บ้างโบกลมพรมสุคนธ์ให้รวยรื่น | ค่อยแช่มชื่นวรกายสายสมร | ||
| ด้วยพรั่นตัวกลัวผิดพระบิดร | ชุลีกรกราบพระชนนี | ||
| เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของลูกแก้ว | ได้ผิดแล้วสารพัดจะบัดสี | ||
| แม้นทรงฤทธิ์บิดาจะฆ่าตี | พระชนนีโปรดช่วยลูกด้วยรา | ||
| นางสวมสอดกอดแอบไว้แนบอก | น้ำตาตกพร่างพรายทั้งซ้ายขวา | ||
| ทั้งความรักความแค้นแน่นอุรา | นางพญารับขวัญด้วยทันใด | ||
| โอ้ลูกเอ๋ยแม่นี้หมายว่าตายแล้ว | ความเสียดายลูกแก้วเป็นไหนไหน | ||
| จงบอกความตามจริงทุกสิ่งไป | แม่จะได้ทูลขอไม่มรณา | ||
| นางคำนับรับรสพจนารถ | ให้หวั่นหวาดในจิตขนิษฐา | ||
| จึงทูลความตามเรื่องแต่แรกมา | ก็หมายว่าจะไม่เป็นถึงเช่นนี้ | ||
| นางฟังบุตรสุดใจให้สงสาร | พจมานปราศรัยนางโฉมศรี | ||
| แม่จะไปเฝ้าองค์พระจักรี | ฟังร้ายดีว่าขานประการใด | ||
| แล้วลินลามาปรางค์นางกระษัตริย์ | โทมนัสมัวหมองไม่ผ่องใส | ||
| สีวิกาพี่เลี้ยงนางทรามวัย | เข้ามาใกล้แอบชิดพระธิดา | ||
| สุมณฑาว่าเราจะคิดไฉน | เขาเอาไปคุมขังไว้ข้างหน้า | ||
| ถ้าแม้นถ้วนสามวันดังพรรณนา | เขาจะฆ่าภูวไนยเสียให้ตาย | ||
| พระธิดาได้ฟังยิ่งสังเวช | น่าสมเพชคิดไปให้ใจหาย | ||
| ทรงกันแสงโศกศัลย์บรรยาย | ทั้งเจ็บอายจองจำทำประจาน | ||
| ยังมิหนำซ้ำสั่งให้ฆ่าเสีย | น้ำตาเรี่ยราวกับไฟไหม้สังหาร | ||
| สีวิกาไปแถลงให้แจ้งการ | จะว่าขานคิดอ่านประการใด | ||
| พี่เลี้ยงนั่งอยู่ไม่เป็นสุข | ด้วยความทุกข์เหลือแหล่เกินแก้ไข | ||
| ทั้งเงินตราผ้าผ่อนท่อนสไบ | ลอบออกไปบนเขาให้เบาบาง | ||
| มาถึงองค์ภูวไนยไหว้ประณต | ยิ่งรันทดจิตใจให้สงสาร | ||
| ไม่เคยยากตรากตรำทำประจาน | จึงทูลสาสน์ด้วยสมเพชเวทนา | ||
| พระหน่อไทได้ฟังยังฉงน | จะมาบนทำไมให้เขาว่า | ||
| แม้นถึงที่ผลกรรมได้ทำมา | จะก้มหน้าสู้ตายวายชีวี | ||
| วิตกแต่โฉมฉายสายสวาท | จะอนาถตายเป็นไม่เห็นผี | ||
| หนึ่งองค์พระบิดาให้ฆ่าตี | แล้วแต่ที่เคราะห์กรรมต้องจำเป็น | ||
| จงช่วยตามอาชามาให้พบ | นางคำรพออกมาพอม้าเห็น | ||
| จึงบอกความตามวิบากด้วยยากเย็น | ฉันพึ่งเห็นภูวไนยใช้ให้มา | ||
| อาชาฟังสงสัยจึงไถ่ถาม | ให้มาตามไปไหนนี่นายขา | ||
| สีวิกาว่ามาไปเถิดพี่ม้า | แล้วพามาถึงหน่อธิบดี | ||
| พระเห็นม้าอาดูรพูนเทวศ | สุชลเนตรไหลนองด้วยหมองศรี | ||
| แล้วบอกความตามเรื่องคดีมี | พี่พาชีจงไปหาพระอาจารย์ ฯ | ||
| ◉ อาชาฟังคั่งแค้นแสนพิโรธ | กำลังโกรธอยากจะเหาะไปสังหาร | ||
| น้อยฤๅช่างจองจำทำประจาน | คิดสงสารพระหน่อธิบดี | ||
| แล้วนิ่งนึกว่าเราก็เจ้าเคราะห์ | จะใคร่เหาะเหยียบปราสาทให้ป่นปี้ | ||
| ได้ดูหน้าไอ้ท้าวเจ้าบุรี | จะพาหนีเหาะบนหัวกลัวมันไย | ||
| แล้วสั่งความตามจิตคิดสงสาร | ไปไม่นานดอกน้องอย่าร้องไห้ | ||
| ก็รีบออกนอกวังได้ดังใจ | จึงเหาะไปตามภาษาของพาชี | ||
| สีวิกานารีพระพี่เลี้ยง | รีบหลีกเลี่ยงเลยไปข้างในที่ | ||
| นายผู้คุมเรียกหาแล้วพาที | เชิญมานี่หม่อมนายไปไหนมา | ||
| พี่เลี้ยงฟังนั่งใกล้ทำไขสือ | ไม่รู้ฤๅวุ่นวายข้างฝ่ายหน้า | ||
| นางโฉมยงทรงใช้ให้ออกมา | นึกเหมือนว่ากันเองอย่าเกรงใจ | ||
| จงเอ็นดูอย่าให้อยู่ในคุมขัง | จงปล่อยบ้างตามอัธยาศัย | ||
| เงินสิบชั่งห้าตำลึงให้ถึงใจ | ยกออกให้แพรผ้าจงพาที | ||
| อย่าจองจำทำเธอให้สาหัส | จะเคืองขัดพระธิดามารศรี | ||
| จงอัชฌาอาศัยเป็นไมตรี | เพราะเท่านี้ดอกนายจึงหมายมา | ||
| ผู้คุมฟังว่าไม่เป็นไรแม่ | จะดูแลฟูมฟักให้หนักหนา | ||
| ด้วยถ้อยทีมีจิตคิดเมตตา | รีบกลับมาทูลพระภูวไนย | ||
| พระฟังนางค่อยเบาบรรเทาจิต | เจ้าจงคิดผันแปรช่วยแก้ไข | ||
| ตัวคนเดียวเช้าเย็นไม่เห็นใคร | นางกราบไหว้ทูลลากลับมาวัง | ||
| แล้วทูลองค์นงลักษณ์เจ้าซักถาม | ก็ทูลความแต่ต้นเหมือนหนหลัง | ||
| นางทราบความพ่างเพียงพระทรวงพัง | เจียนจะคลั่งเลยไปที่ไสยา | ||
| ฝ่ายอาชามาถึงพระอาศรม | คิดปรารมภ์ย่องเหย่ารีบเข้าหา | ||
| เที่ยวเมียงช่องบรรณศาลา | พระสิทธาหลับอยู่ไม่รู้องค์ | ||
| อาชามองร้องเรียกพระนักสิทธิ์ | ประตูปิดฤๅว่าไปในไพรสณฑ์ | ||
| คิดฮึดฮัดขัดใจเที่ยวไล่ค้น | พระชีต้นเจ้าขาพระอาจารย์ | ||
| พระมุนีชาญชัยในไตรลักษณ์ | จึงถามทักว่าใครปราศรัยสาร | ||
| อาชาฟังตอบไปมิได้นาน | พระรถหลานหน่อไทใช้ให้มา | ||
| พระดาวบสจดจ้องมองเขม้น | จะมาเล่นผลไม้ฤๅไรหวา | ||
| แล้วก้าวออกนอกบรรณศาลา | อ่อไอ้ม้าฤๅมาเรียกออกเพรียกไป | ||
| หัสดรเข้าใกล้จึงไขสาร | พระอาจารย์แปลกฤๅจำไม่ได้ | ||
| แล้วบอกว่าองค์พระรถยศไกร | เดี๋ยวนี้ไปติดคุกสนุกสบาย | ||
| พระมุนีดีใจปราศรัยสาร | ม้าของหลานนึกได้ดังใจหมาย | ||
| ลูกหัวปีดีจริงหญิงฤๅชาย | เมื่อปีกลายมันไปได้เมรี | ||
| .................................................... | .................................................... | ||
| ....................................................[1] | มาปีนี้ได้ลูกช่างปลูกเพาะ | ||
| ไม่เสียทีหว่านพืชจะเอาผล | สามปีสองคนดูเหมาะเจาะ | ||
| จับไม้เท้าเดินพลางทางหัวเราะ | จะไปเสาะผลผลาเอามาไว้ | ||
| อาชาเห็นทีหลงแล้วจึงว่า | หลานให้มาตามนิมนต์ไปจนได้ | ||
| พระรถต้องตรากตรำเขาจำไว้ | ไม่เข้าใจฤๅเจ้าคุณพระมุนนี | ||
| พระนักสิทธิ์ได้ฟังว่าช่างเขา | ไม่ใช่การของเราเป็นฤๅษี | ||
| เขาผัวกันเมียกันจะทุบตี | ประเดี๋ยวก็ดีกันเองครื้นเครงไย | ||
| หัสดรถอนใจไม่ได้เรื่อง | สุดจะเคืองเหลืออัธยาศัย | ||
| คิดแล้วก็ลำพองร้องขึ้นไป | เขาจับได้ต้องขังอยู่วังใน | ||
| พระดาวบสวี่แว่วเข้าแก้วหู | จึงได้รู้ข้อความตามสงสัย | ||
| มโนมัยเล่าแถลงก็แจ้งใจ | นิมนต์ไปเถิดเจ้าขาพระอาจารย์ | ||
| พระมุนีดีใจไปสิหวา | เวทนาหนึ่งเล่าเขาเป็นหลาน | ||
| แล้วเข้าไปในห้องมิทันนาน | สาแหรกคานเก็บไว้ในกุฎี | ||
| เอาแต่พัดกับไม้เท้าของดาวบส | รักษาพรตตามจริตกิจฤๅษี | ||
| ก็ออกนอกศาลาไม่ช้าที | พระมุนีเรียกอาชาแล้วว่าพลัน | ||
| เอ็งรู้แห่งเดินทางกลางเวหา | ฤๅจะพาเดินไปในไพรสัณฑ์ | ||
| อาชาว่ามาไปเถิดนักธรรม์ | เราพากันเหาะไปเป็นไรมี | ||
| แล้วก้มลงทำท่าจะพาเหาะ | เดินดีดเดาะเข้าหาตาฤๅษี | ||
| นิมนต์นั่งหลังข้าม้าพาชี | พระฤๅษีหัวร่ออยู่งองัน | ||
| เป็นชีบานาสงฆ์ขี่ไม่ได้ | เอ็งเหาะไปข้าจะจับหางไว้มั่น | ||
| แล้วเผ่นโผนโจนจากที่หน้าบัน | ก็พากันเหาะเร่ขึ้นเมฆี | ||
| ลอยละลิ่วปลิวไปในเวหา | พระสิทธาปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
| เห็นเสือสิงห์ลิงค่างบ่างชะนี | คชสีห์แรดช้างในกลางดง | ||
| ทั้งเนื้อนกโผผินบ้างบินร่อน | บ้างก็จรจับไม้บ้างไซ้ขน | ||
| มยุราพาฝูงขึ้นบินบน | พระชีต้นเหาะมาพอสายัณห์ | ||
| ถึงเขาสูงฝูงหงส์อยู่ไสว | เหาะลงไปสำนักในไพรสัณฑ์ | ||
| ครั้นรุ่งแสงสุริย์ฉายขึ้นพรายพรรณ | ก็พากันเหาะมาถึงธานี | ||
| จึงหยุดดูผู้คนอยู่ข้างนอก | เดินเข้าออกเขาจะว่าตาฤๅษี | ||
| ขึ้นอาศัยในศาลาข้างธานี | ตัวข้านี้จะไปบอกให้รู้ | ||
| แล้วรีบมาถึงเจ้าเล่าแถลง | พระรถแจ้งสั่งให้พักอยู่สักครู่ | ||
| จึงบอกความตามว่าที่ม้ารู้ | จะได้ดูท่าทางจะอย่างไร | ||
| จงไปบอกพระเจ้าตาให้พาเหาะ | ลงจำเพาะหน้าพระลานทวารไข | ||
| อาชาฟังพาทีก็ดีใจ | จึงออกไปราธนาพระอาจารย์ | ||
| แล้วอาชาพาข้ามกำแพงเหาะ | ลงจำเพาะเกยชาลาตรงหน้าฉาน | ||
| ฝ่ายพระองค์ทรงศักดิ์จักรพาล | ดูอาการสิทธากับพาชี | ||
| แล้วยุรยาตรออกพระโรงวิเชียรฉาย | เสนานายน้อมประณตบทศรี | ||
| พระเอื้อนอรรถว่าเจ้าคุณพระมุนี | นิมนต์ข้างนี้เถิดเจ้าขาพระอาจารย์ | ||
| พระมุนีปรีดาฟังอนุญาต | ขึ้นนั่งอาสน์ร่วมบัลลังก์ใคร่ฟังสาร | ||
| พระน้อมเศียรจบพระหัตถ์ขึ้นมัสการ | แล้วโองการปราศรัยเป็นไมตรี | ||
| ผู้เป็นเจ้ามาไยในนิเวศ | ฤๅภัยเพทอย่างไรในไพรศรี | ||
| ฤๅผลไม้วายฤดูไม่สู้มี | หนึ่งพาชีที่มาม้าของใคร | ||
| พระดาบสฟังกระษัตริย์เธอตรัสถาม | ก็ตอบตามพจนาอัชฌาศัย | ||
| ซึ่งบพิตรถามมาว่าม้าใคร | รูปนี้ไม่ปิดความบอกตามจริง | ||
| ม้าของหลานอาตมาพามาเฝ้า | พระผ่านเกล้าโภไคเป็นใหญ่ยิ่ง | ||
| อาชาไปบอกความรูปตามจริง | ทำยุ่งยิ่งขึ้นอย่างไรที่ในวัง | ||
| คือเจ้ารถสุริวงศ์พงศ์กระษัตริย์ | มาข้องขัดเคืองเข็ญเป็นมหันต์ | ||
| อาชาแจ้งกิจจาสารพัน | อันโทษทัณฑ์แล้วแต่พระภูวไนย | ||
| ฝ่ายท่านท้าวเจ้าเมืองอันเรืองยศ | ฟังดาวบสแคลงจิตคิดสงสัย | ||
| ตำริพลางทางตอบว่าขอบใจ | มาแต่ไหนหักหาญทำราญรอน | ||
| ฤๅว่าเป็นหน่อเนื้อในเชื้อสาย | มาทำร้ายจึงสั่งขังไว้ก่อน | ||
| ถ้าแม้นถ้วนสามวันจะฟันฟอน | ด้วยโทษกรณ์เหลือล้นคณนา | ||
| พระมุนีเล่าแจ้งแถลงไข | คือหน่อไทรถสิทธิ์มารอิจฉา | ||
| มันแกล้งใช้ให้พระรถไปเก็บยา | นางนนทาแม่เลี้ยงไม่เที่ยงธรรม์ | ||
| จึงไปได้เมรีไม่มีบุตร | ก็สิ้นสุดมรณาชีวาสัญ | ||
| จึงสั่งความตามมาในป่าวัน | ว่าจอมขวัญชื่อเจ้าทัศมาลี | ||
| นางเป็นบุตรของท้าวเจ้านิเวศ | ได้แจ้งเหตุแล้วอย่าว่าตาฤาษี | ||
| มิใช่คนอื่นไกลเมื่อไรมี | เพราะเท่านี้รูปจึ่งมาด้วยการุญ | ||
| พระทรงฟังดังได้พบพระเชษฐา | อนิจจาหลานชายทำวายวุ่น | ||
| นี่กุศลจงเจาะเพราะเจ้าคุณ | มาเคืองขุ่นแทบจะฆ่าบรรดาตาย | ||
| เหวยเสนาไปถอดพระหลานขวัญ | อันโทษทัณฑ์สิ่งไรมิได้หมาย | ||
| เสนาพร้อมน้อมคำนับด้วยกลับกลาย | รีบผันผายถอดพระหน่อธิบดี | ||
| มาเฝ้าองค์ทรงศักดิ์กับนักสิทธิ์ | ท้าวเพ่งพิศลงจากพระแท่นที่ | ||
| กุมพระกรให้มานั่งข้างมุนี | ทรงโศกีกอดหลานสงสารนัก | ||
| อนิจจาอาไม่รู้จึงขู่เข็ญ | ว่าเจ้าเป็นสุริวงศ์อันสูงศักดิ์ | ||
| ช่างเหมือนพระเชษฐาหนักหนานัก | ได้รู้จักเพราะเจ้าคุณพระมุนนี | ||
| พระหน่อไทลงคำนับอภิวาทน์ | แล้วกราบบาทอัยกาตาฤๅษี | ||
| พระสัจจพันธ์เถรายิ่งปรานี | เอามือขยี้เช็ดน้ำตาโศกาลัย | ||
| ครั้นค่อยคลายหายความโทมนัส | จอมกระษัตริย์สั่งเหล่านางสาวสรร[2] | ||
| ให้ตามอัครชายาออกมาพลัน | นางกำนัลทูลลาไม่ปรานี | ||
| มาถึงปรางค์นางกระษัตริย์แล้วทูลไข | นางทรามวัยเคืองแค้นแสนบัดสี | ||
| ด้วยโกรธองค์ภัสดาไม่พาที | แล้วเทวีจำใจจึงไคลคลา | ||
| เห็นพระองค์ทรงศักดิ์กับนักสิทธิ์ | กุมารชิดหมอบนั่งอยู่ข้างขวา | ||
| นางจบพระหัตถ์มัสการพระสิทธา | พระมหาโคดมก็ยินดี | ||
| พระหน่อไทกราบคำนับอภิวาทน์ | อยู่ริมบาทอัยกาตาฤๅษี | ||
| พระนักธรรม์เล่าแถลงแจ้งคดี | มเหสีกราบก้มประนมกร | ||
| ฝ่ายพระองค์ทรงเล่าให้ประจักษ์ | บอกนงลักษณ์เรื่องราวแต่เก่าก่อน | ||
| นี่พระรตยนณะสิทธ์เป็นบิดร[3] | กับบังอรตะเกียงทองน้องสุดท้าย | ||
| นางมีบุตรชื่อเมรีศรีสวาท | งามสะอาดเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
| นางนนทามาขอไปเลี้ยงไว้ | กับมาได้กับพระรถว่าคดโกง | ||
| เพราะนนทามาทำให้จำจาก | กรรมวิบากพลัดไปจึงตายโหง | ||
| พระเชษฐามัวเมาเฝ้าตะโกรง | ขุดอุโมงค์ขังพี่น้องสิบสองนาง ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายนางสร้อยสุมาลีศรีสมร | ฟังสุนทรภูวไนยเธอไขสาร | ||
| เมื่อแต่แรกจองจำทำประจาน | เดี๋ยวนี้หลานภูวไนยไปไหนมา | ||
| ได้ทูลทัดขัดไว้จึงได้โกรธ | กลับเป็นโทษแคะไค้พิไรว่า | ||
| จำทำไมไยมิทำไม่ลำพา | กลับมาว่าสำทับให้ยับเยิน[1] | ||
| พระฟังนางทางว่าอย่ามาไข | นี่เพราะใครเล่าเจ้าว่าวจึงเหลิง | ||
| ขี้เกียจเถียงเพลี่ยงพล้ำพูดซ้ำเติม | ทำชั้นเชิงป่วยการหลานของเรา | ||
| พระมุนีปราศรัยจึงไกล่เกลี่ย | มิได้เสียน้ำเนื้อในเชื้อไข | ||
| จะปลูกฝังลูกหลานสถานใด | ดูให้ได้ฤกษ์พาเวลาดี ฯ | ||
| ◉ กรุงกระษัตริย์ขัตติยาจึงปราศรัย | หวังจะให้เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| อันเยี่ยงอย่างกษัตราครองธานี | ได้เป็นที่สรรเสริญเจริญยศ | ||
| อันศรชัยไพร่ผู้ดีที่สังเกต | กระเดื่องเดชลือชาได้ปรากฏ | ||
| ยกศรชัยคู่เมืองอันเรืองยศ | ให้ปรากฏฤทธาด้วยบารมี | ||
| พระมุนีปรีดาว่าสาธุ | ขอให้ลุโดยจิตกิจฤๅษี | ||
| ต่างยินยอมพร้อมใจด้วยไมตรี | จัดแท่นที่ไว้สำหรับได้หลับนอน | ||
| ทั้งสององค์จึงสั่งพระหลานรัก | จงหยุดพักกับมุนีอยู่นี่ก่อน | ||
| อาจะไปจัดแจงแต่งนคร | ให้ถาวรเป็นสุขสนุกสบาย | ||
| สองกระษัตริย์เบิกบานสำราญจิต | ได้ดังคิดชื่นชมก็สมหมาย | ||
| กลับสู่แท่นที่สุวรรณพรรณราย | ครั้นเช้าสายออกพระโรงมิทันนาน | ||
| พร้อมเสนาข้าเฝ้าเหล่าอำมาตย์ | อยู่ดื่นดาษกรุงกระษัตริย์ตรัสบรรหาร | ||
| ให้จัดแจงปลูกโรงพิธีการ | โดยประมาณกว้างยาวสิบเก้าวา | ||
| ทั้งการเล่นเต้นรำเตรียมสำหรับ | ที่ประทับปลูกไว้บ้างที่ข้างหน้า | ||
| กับที่ไว้ศรสิทธิ์เรืองฤทธา | เครื่องบูชาเตรียมสำหรับไว้รับรอง | ||
| พระสั่งเสร็จแล้วเสด็จเข้าในที่ | ขุนเสนีบาดหมายจำหน่ายของ | ||
| ทั้งโรงเล่นเต้นรำทำสำรอง | โรงเทพทองโขนหนังตั้งศรัทธา | ||
| พุ่มดอกไม้ไฟพะเนียงละครโขน | ทั้งกลองโยนหุ่นหนังคอยตั้งท่า | ||
| พวกไม้สูงซอมีลัดเล่นทัดทา | กระอั้วมาแทงควายมีหลายพรรณ | ||
| แล้วสำเร็จเสร็จสรรพกลับเข้าเฝ้า | กราบทูลเจ้ากรุงไกรไอศวรรย์ | ||
| พระทรงฟังเสนาบัญชาพลัน | สั่งกำนัลนักสนมกรมใน | ||
| ให้จัดแจงแต่งเครื่องจะทำขวัญ | กะเกณฑ์กันตามประสาอัชฌาศัย | ||
| พวกวิเสทเกณฑ์ยืมของสำรองไว้ | แล้วท้าวไทปรึกษาโหราจารย์ | ||
| ฝ่ายโหรเฒ่าเข้าใจไสยเวท | ได้ทราบเหตุกรุงกระษัตริย์ท้าวตรัสถาม | ||
| พิเคราะห์ดูดวงชะตาพะงางาม | จะเกิดความข้างต้นร้ายข้างปลายดี | ||
| จะฟุ้งเฟื่องเรืองเดชได้ปรากฏ | เกียรติยศเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| อันเคราะห์โศกโรคภัยมิได้มี | จะเป็นที่สรรเสริญเจริญยศ | ||
| พระฟังโหรคูณหารการภิเษก | จึงบอกเอกชายากับดาบส | ||
| ทั้งเครื่องทรงมงกุฎให้พระรถ | พระดาบสจัดแจงแต่งกุมาร | ||
| นางโฉมยงแต่งองค์พระลูกแก้ว | ให้ผ่องแผ้วขัดสีฉวีสาง | ||
| ทั้งพี่เลี้ยงสาวสรรกำนัลนาง | เข้าเคียงข้างปรนนิบัติคอยพัดวี | ||
| พระบิตุรงค์แต่งองค์ให้หลานขวัญ | สังวาลวัลย์ตาบประดับสลับสี | ||
| จินดาดวงพวงเพชรเม็ดมณี | พระฤๅษีนั่งมองร้องว่างาม | ||
| แล้วหยิบผ้าเจียรบาดคาดเข็มขัด | เพชรรัตน์น้ำพราวขาวกระจ่าง | ||
| ทับทิมแนมแซมสลับดูวับวาม | ประจำยามอินทรธนูห้อยพู่เพชร | ||
| แล้วนิมนต์พระมุนีให้ลีลาศ | กำนัลนาฏนางห้ามตามเสด็จ | ||
| ถือหีบหมากนากทองกินกล่องเพชร | พอสรรพเสร็จจะไปดูภูวไนย | ||
| พระมุนีขี่วอให้คนหาม | พวกที่ตามเกณฑ์แห่แลไสว | ||
| พระเจ้าอากับพระรถยศไกร | ขึ้นนั่งในรถทรงอลงการ | ||
| มเหสีขี่วอกับลูกรัก | มาพร้อมพรักกึกก้องในท้องสนาม | ||
| พวกเกณฑ์แห่แลสล้างมาตามทาง | เหล่าขุนนางอัดแอกันแซ่เซ็ง | ||
| ทั้งผู้ดีเข็ญใจก็ไปด้วย | เอาใจช่วยท่านเอ๋ยไม่เคยเห็น | ||
| เมื่อแรกมากรรมวิบากต้องยากเย็น | นี่บุญแล้วจะได้เห็นเป็นขวัญตา | ||
| ต่างดีใจได้ดูเมื่อยกศร | ราษฎรเหิมฮึกนึกหรรษา | ||
| ฝ่ายพระองค์พงศ์กระษัตริย์ขัตติยา | เสด็จมาเกยประทับก็ยับยั้ง | ||
| พวกท้าวนางต่างก็ไปอยู่ในที่ | แหวกมู่ลี่เมียงมองตามช่องกั้น | ||
| พระบุตรีพี่เลี้ยงนางกำนัล | ขึ้นอยู่ชั้นเบื้องบนกับชนนี | ||
| กรุงกระษัตริย์กับหน่อวรนาถ | ขึ้นสู่อาสน์บนพลับพลาหลังคาสี | ||
| พระดาบสว่าพระหน่อธิบดี | อันศรนี้ศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกร | ||
| แม้นใครมีบุญญาภินิหาร | จึงบันดาลฤทธิรอนยกศรได้ | ||
| ฝ่ายท่านท้าวเจ้าเมืองอันเรืองชัย | แต่พอได้นาฬิกาตีห้าโมง | ||
| ให้หลานรักนักสิทธิ์ขึ้นสู่ที่ | จุดอัคคีจวงจันทน์ควันโขมง | ||
| เสียงฆ้องกลองก้องเสียงเพียงจะโซม | บ้างถาโถมต่างชิงกันวิ่งกรู | ||
| พระหน่อนาถอาจองขึ้นทรงศร | ราษฎรเถียงกันสนั่นหู | ||
| ทั้งสาวแก่แม่หม้ายที่ไปดู | ตำรวจขู่ห้ามไปไพร่ผู้ดี | ||
| พวกท้าวนางข้างในเอาใจช่วย | ที่รูปสวยแอบดูอยู่ในที่ | ||
| พระธิดาอาลัยใช่พอดี | ขอให้มีชัยสิทธิ์ฤทธิไกร | ||
| ฝ่ายพระหน่อสุริวงศ์ผู้ทรงเดช | ชำเลืองเนตรเห็นมิตรพิสมัย | ||
| พระแย้มยิ้มพริ้มพรายสบายใจ | แล้วนั่งใกล้ศรสิทธิ์เรืองฤทธา | ||
| ยกพระหัตถ์อธิษฐานกับเทเวศ | ทุกขอบเขตเขาใหญ่ไพรพฤกษา | ||
| หนึ่งพระคุณบิตุเรศพระมารดา | คุณสิทธาฝึกสอนแต่ก่อนไร | ||
| ถ้าแม้นจะสำเร็จไปภายหน้า | ขอให้ข้าสมประสงค์ยกจงได้ | ||
| อันหนึ่งทัศมาลีนางทรามวัย | ชาติก่อนได้คู่สร้างกับนางมา | ||
| พอขาดคำรำพันอธิษฐาน | เดชฌานบารมีอันแก่กล้า | ||
| ก็ยกขึ้นด้วยพลันมิทันช้า | พระมารดาร้องไปยกได้แล้ว | ||
| พระเจ้าอาว่าให้ลอยอีกหน่อยพ่อ | จงแข็งข้อไว้ให้มั่นพระหลานแก้ว | ||
| พระมุนีแลไปเห็นไวแวว | ยกสูงแล้วสามศอกบอกคุณโยม | ||
| พวกคนดูไหว้บุญพ่อคุณเอ๋ย | สมเป็นเขยกษัตราสง่าโฉม | ||
| ท่ายกศรดั่งจะคล้อยลอยโพยม | งามประโลมเลิศลบภพไกร | ||
| กระนี้เจ้าพารามิน่ารัก | ประยูรศักดิ์น้ำเนื้อเป็นเชื้อไข | ||
| เมื่อแรกดั่งชีวันจะบรรลัย | เดี๋ยวนี้ได้ลือตลอดเป็นยอดรัก | ||
| เป็นกุศลหนหลังท่านทั้งสอง | คงได้ครองเสมาอาณาจักร | ||
| พวกท้าวนางข้างในต่างคึกคัก | พระทรงศักดิ์เปรมปรีดิ์ดีพระทัย | ||
| พอวางศรกรจูงพระหลานขวัญ | ก็จรจรัลสู่โรงพิธีใหญ่ | ||
| ให้นั่งเหนือกองแก้วอันแววไว | เคียงกันไปกองสุวรรณอันบรรจง | ||
| ให้ธิดามานั่งอยู่ทั้งสอง | เสียงฆ้องกลองก้องกึกโกลาหล | ||
| ทั้งโหราพราหมณ์เฒ่าเข้ามณฑล | เจริญผลศรีสวัสดิ์กษัตรา | ||
| พระมุนีอวยชัยไสยเวท | ชัยเดชศักดิ์สิทธิฤทธิ์มหา | ||
| ชัยพุทธสรณังมังคลา | เป็นมหาสุขสวัสดิ์กำจัดภัย | ||
| พระบิตุราชมาตุรงค์พระวงศา | ต่างก็มาอวยพรประสิทธิ์ให้ | ||
| จงเจริญศรีสวัสดิ์เดโชชัย | ได้เป็นใหญ่ยอดกระษัตริย์ขัตติยา | ||
| แล้วจุดเทียนเวียนวงต่างส่งรับ | ตามลำดับเรียงรายทั้งซ้ายขวา | ||
| แล้วโบกควันให้ต้องทั้งสองรา | เจิมพักตราเป่าปัดสวัสดี | ||
| ทั้งสององค์จงสุขสถาผล | ประชาชนสรรเสริญอยู่อึงมี่ | ||
| โขนละครมอญรำพวกชาตรี | โมงครุ่มตีอีลัดเต้นทัดทา ฯ | ||
| ◉ แมงกอนใหญ่ไล่เลี้ยวสิงโตเผ่น[2] | มุ่งเขม้นหนีขยับกลับตั้งท้า | ||
| แมงกอนไล่พัลวันสิงห์หันมา | โถมถลาชิงช่วงดวงมณี | ||
| ถ้วนสำเร็จเจ็ดวันการสมโภช | ต่างปราโมทย์ปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
| พระดาบสจึงว่าไม่ช้าที | ด้วยรูปนี้แต่มาสิบห้าวัน | ||
| ทิ้งกุฎีวิหารการกุศล | เป็นกังวลด้วยสงสารพระหลานขวัญ | ||
| ต้องเป็นห่วงบ่วงใยไปทั้งนั้น | อยู่ใกล้กันฤๅจะได้เวียนไปมา | ||
| ขอฝากหน่อสุริย์วงศ์ผู้ทรงฤทธิ์ | ถึงชอบผิดจงงดอดโทษา | ||
| ด้วยเชื้อวงศ์พงศ์พันธุ์ต่อกันมา | จงเมตตาช่วยบำรุงให้รุ่งเรือง | ||
| จะดำรงราชัยไปภายหน้า | จงรักษาเกียรติยศให้ฟุ้งเฟื่อง | ||
| หนึ่งไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งปวง | จงหนักหน่วงเมตตาด้วยปรานี | ||
| ดังร่มโพธิ์ไปมาได้อาศัย | เขาจะได้สรรเสริญทั้งกรุงศรี | ||
| บัญญัติยั้งตั้งมั่นที่ขันตี | จะเป็นที่บางเบาบรรเทาทุกข์ | ||
| เอาใจใส่ในพระพุทธศาสนา | ให้ศรัทธายิ่งกว่านี้บริสุทธิ์ | ||
| หนึ่งพระสงฆ์พระธรรมแลพระพุทธ | อันผ่องผุดเลิศลบพระภพไตร | ||
| หนึ่งศีลห้าปาณาอย่าฆ่าสัตว์ | จึงบัญญัติแต่เท่านี้เป็นนิสัย | ||
| ความทุกขังอนิจจาไม่ว่าใคร | อนัตตานี้ให้รำพึงคิด | ||
| ไม่เที่ยงแท้แก่เฒ่าทั้งเราท่าน | อย่าหมายมั่นโลภหลงเร่งปลงจิต | ||
| หนึ่งพระไตรสรณาจงเป็นนิตย์ | รักษาจิตหมายประโยชน์พระโพธิญาณ | ||
| กรุงกระษัตริย์จบพระหัตถ์ขึ้นสาธุ | อยากใคร่ลุพระธรรมกรรมฐาน | ||
| แต่แรกหวังพระธิดายุพาพาล | คือบ่วงมารรัดรึงอยู่ตรึงตรา | ||
| ประเดี๋ยวนี้ค่อยคลายสบายจิต | อยากจะคิดบวชเสียบ้างเหมือนอย่างว่า | ||
| เป็นอยู่นิดกีดอยู่หน่อยโยมสีกา | เวทนาไม่มีเพื่อนมักเชือนแช | ||
| นางพญาว่าดิฉันไม่อยากทุกข์ | จะสนุกก็เมื่อครั้งเป็นสาวแส้ | ||
| ประเดี๋ยวนี้แก่หอบหมอบกระแต | จะบวชแน่แล้วนิมนต์ไปจนตาย | ||
| ฉันเห็นบวชแต่เจ้าจอมหม่อมสาวสาว | บวชแต่เช้าแล้วยังวนอยู่จนสาย | ||
| ถือศีลสิบหยิบวางไว้ข้างกาย | คิดเบื่อหน่ายละประเทศนิเวศวัง | ||
| สามกระษัตริย์ทรงพระสรวลสำรวลเย้ย | ท้าวเมินเฉยดูเหล่านางสาวสรร | ||
| แล้วบัญชาว่ากับพระนักธรรม | เป็นไรฉันบวชไม่ได้หรือไรนา | ||
| แม้นบวชจริงต้องวิ่งไปวุ่นวัด | ขี้เกียจขัดคอใครพิไรว่า | ||
| พระมุนีสรวลสันต์จำนรรจา | หัวเราะร่าเลิกกันเท่านั้นเอง | ||
| สี่กระษัตริย์โสมนัสด้วยผ่องใส | มีใจมัธยัสถ์ค่อยครัดเคร่ง | ||
| ว่าตั้งแต่นี้ไปดีฉันเอง | ต้องคิดเกรงภัยข้างหน้าอนาคต | ||
| พระมุนีมีจิตคิดสงสาร | จงสำราญด้วยกันทั้งนั้นหมด | ||
| จงปกป้องครองเมืองให้เรืองยศ | ทั้งพระรถอยู่ดีอย่ามีภัย | ||
| ลาแล้วเหาะไปในเวหา | กษัตรากราบก้มประนมไหว้ | ||
| ดั้นหมอกออกเมฆวิเวกใจ | ท้าวมิได้ยั้งหยุดถึงกุฎี ฯ | ||
| ◉ พระบิตุเรศมารดามาปราสาท | พระหน่อนาถปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
| ทั้งโฉมยงนงนุชพระบุตรี | ดุษฎีกราบกรานพระมารดา | ||
| นางกระษัตริย์โสมนัสแล้วปราศรัย | แม่ขอบใจทรงยศโอรสา | ||
| จงปกป้องครองกันอย่าฉันทา | จงเมตตาน้องหญิงอย่าทิ้งกัน | ||
| แต่แม่ทัศมาลีไม่ขี้หึง | ถึงโกรธขึ้งอย่างไรไม่ผายผัน | ||
| ทั้งแสนสาวเหล่าสุรางค์นางกำนัล | อย่าป้องกันหวงห้ามตามสบาย | ||
| พระเจ้าอาว่าขี้คร้านรำคาญหู | ใครไม่รู้กลบเกลื่อนซ่อนเงื่อนสาย | ||
| ไม่รู้กลเสือเฒ่าเจ้าอุบาย | ใครมักง่ายแล้วก็พานัยน์ตาเฟือน | ||
| นางพญาขัดเคืองชำเลืองค้อน | การแคะค่อนไม่มีใครผู้ใดเหมือน | ||
| เขาสั่งสอนลูกรักช่วยตักเตือน | ไม่เลื่อนเปื้อนเหมือนอย่างท้าวเจ้าพิภพ | ||
| พระบัญชาว่าอาสู้ไม่ไหว | ว่ายังไงก็ยังนั้นด้วยกันหมด | ||
| นกก็นกไม้ก็ไม้แต่ปลายคด | ลงน้อมขดอยู่ในหวดอวดความรู้ | ||
| นางพญาว่าไม่เบื่ออย่าเชื่อฉัน | เฝ้าขัดกันฉันขี้คร้านรำคาญหู | ||
| ส่วนพระหลานราวกับพระสพัญญู[3] | ไม่เจ้าชู้เหมือนอย่างเล่าพระเจ้าอา | ||
| กรุงกระษัตริย์ทรงพระสรวลสำรวลตรัส | ขี้เกียจขัดกันทำไมกับยายบ้า | ||
| ช่างขี้หึงนี่ไม่หยอกออกระอา | เขาว่าบ้าแล้วก็โกรธเที่ยวโทษกัน | ||
| หน่อกระษัตริย์สุริย์วงศ์ทรงพระสรวล | ต่างสำรวลปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ | ||
| พาลูกเขยเลยมาตำหนักพลัน | พระสุริยันเลื่อนลับยุคุนธร | ||
| ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์อันทรงศักดิ์ | บำรุงรักโฉมฉายสายสมร | ||
| ถนอมแนบแอบนางพลางสุนทร | สโมสรเสน่หายุพาพาล | ||
| ถึงเวลาขึ้นเฝ้าเจ้านิเวศ | รักษาเขตกรุงไกรในสถาน | ||
| ราษฎรเสนาพฤฒาพราหมณ์ | ก็มีความชื่นทั่วทุกตัวคน ฯ | ||
| ◉ ส่วนลูกสาวนายตะรางข้างนิเวศ | ได้ทราบเหตุการณ์วิวาห์สถาผล | ||
| ชื่อเข็มทองพี่ยานฤมล | ยังอีกคนไหมทองน้องคนกลาง | ||
| ที่สามชื่อเจ้าสายทอง | พี่น้องร่วมครรภ์กันทั้งสาม | ||
| ทั้งบิดรมารดาพะงางาม | ไม่ห้ามปรามตามใจแต่ไรมา | ||
| ค่าธรรมเนียมไม่น้อยตั้งรอยชั่ง | มีมั่งคั่งกว่าขุนนางพวกข้างหน้า | ||
| เมื่อพระรถเป็นโทษโจทตะนา[4] | เพื่อนอุตส่าห์รับรองช่วยป้องกัน | ||
| แต่เข็มทองลูกยาไปมาสู่ | ได้ร่วมชู้เชยชมภิรมย์ขวัญ | ||
| ได้เป็นเมียเสียตัวจึงพัวพัน | มาวันนั้นคิดถึงคะนึงนัก | ||
| ตั้งแต่แล้วการวิวาห์สถาผล | เราคนจนฤๅจะทำไม่รู้จัก | ||
| เมื่อยามทุกข์รักใคร่อาลัยนัก | ฤๅทรงศักดิ์สิ้นอาลัยไม่ไยดี | ||
| ไม่คิดถึงเมื่อมาเวลาทุกข์ | ได้เป็นสุขฤๅจะอางขนางหนี | ||
| นางนิ่งนึกในอุราไม่พาที | รุ่งพรุ่งนี้แล้วจะไปที่ในวัง | ||
| ครั้นอรุณรุ่งรางสว่างแจ้ง | นางจัดแจงนุ่งห่มด้วยสมหวัง | ||
| เรียกไหมทองน้องสาวเล่าให้ฟัง | ไปในวังเที่ยวเล่นก็เป็นไร | ||
| แล้วผัดหน้าทาจันทน์กระแจะแป้ง | ผ้าก้านแย่งหยิบให้น้องห่มกรองไหม | ||
| แหวนประดับเรืองรองทองอุไร | ตุ้มหูใส่เฟืองมะยมทางห่มเพลาะ | ||
| สร้อยตะพายแต่ละสายตะโพกลาก | กินหีบหมากถมยาเห็นว่าเหมาะ | ||
| แพรสีนวลซับในสไบเพลาะ | เดินเหย่าเหยาะเข้ามาลาบิดาตัว | ||
| ท่านหมื่นยงคงผู้คุมคาดถุงไถ้ | หมายจะไปเกาะอีดีมันหนีผัว | ||
| ท่านทองดีมารดาเข้ามาครัว | ทั้งยำคั่วคาวหวานใส่จานรอง | ||
| เห็นลูกสาวนั่งลงยกมือไหว้ | จะไปไหนตามกันมาทั้งสอง | ||
| ส่วนสายทองน้องเล็กเด็กคะนอง | พี่เข็มทองไปไหนไปด้วยคน | ||
| ฝ่ายมารดาว่าไปไม่ได้ดอก | ผีมันหลอกอยู่ที่ทางข้างถนน | ||
| สายทองถามว่ามันมีอยู่กี่คน | ผีเป็นคนฤๅแม่เห็นแก่ตา | ||
| หมื่นยงพ่อหัวร่อฟังลูกสาว | เออช่างเอามาแต่ไหนพิไรว่า | ||
| พอกลางวันเจ้าตุ๊กตามา | ซื้อสักห้าหกชั่งไว้นั่งมอง | ||
| นางดีใจกอดคอคุณพ่อจ๋า | ซื้อแล้วพาอุ้มเล่นตามบ้านช่อง | ||
| ฝ่ายธิดานารีสองพี่น้อง | ลาทั้งสองแม่พ่อมาหอกลาง | ||
| เรียกบ่าวไพร่หลายคนมาตามหลัง | ไปในวังเรียกกันสนั่นหู | ||
| ลงจากเรือนรีบออกนอกประตู | เดินเป็นหมู่ดูระเบียบด้วยเรียบร้อย | ||
| ไม่แง่งอนอ่อนสำอางเหมือนอย่างหุ่น | ผู้มีบุญเห็นก็รักไม่พักถอย | ||
| ตุ้มหูเพชรเม็ดมะยมระย้าย้อย | เดินชม้อยท่าทางเหมือนนางใน | ||
| เข้าในวังบ่าวไพร่ก็ไปมาก | ถือหีบหมากถมยาอัชฌาศัย | ||
| เห็นพี่เลี้ยงเมียงมองอยู่ห้องใน | สีวิกาจำได้ร้องเรียกทัก | ||
| ต่างดีใจไหว้บุญกันทั้งสอง | เข้าในห้องสนทนาวิสาสะ | ||
| ตั้งแต่แล้วเลิกการนานหนาจ๊ะ | พึ่งมาปะวันนี้ฉันดีใจ | ||
| สีวิกาว่าฉันอยากจะไปหา | ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรได้ | ||
| จะไปมาหากันทุกวันไป | ไม่มีใครเปลี่ยนตัวฉันกลัวนัก | ||
| สุมณฑานั้นเขาหมั่นเฝ้าแหน | ปันเขตแดนกันไม่เบาเขาก็หนัก | ||
| ทุกวันนี้วิตกในอกนัก | ฉันแทบจักออกให้ขาดราชการ | ||
| ฝ่ายเข็มทองยิ้มละมัยพูดไขสือ | เขาก็ถือว่าท้าวรักสมัครสมาน | ||
| วันยกศรฉันก็มาเป็นช้านาน | แต่ขี้คร้านค้อนควักจะทักทาย | ||
| สีวิกาว่าเรานี้เจ้าเคราะห์ | เขามั่นเหมาะไปเสียหมดเที่ยวจดหมาย | ||
| เห็นโปรดใครเสือกสนกระวนกระวาย | ใครดีร้ายทูลเสนออำเภอใจ | ||
| เมื่อวานนี้ฮอลันดาเข้ามาเฝ้า | ก็ขนเอาแพรผ้าเข้ามาให้ | ||
| ทั้งเพชรนิลจินดาล้วนจาระไน | เอาแจกให้แต่เจ้าจอมหม่อมชั้นเล็ก | ||
| พวกเรานั่งแหงนเถ่อเก้อเสียเปล่า | ปัญญาเขาผ่อนปรนคนสนิท | ||
| ทั้งเข้านอกออกในให้ใช้ชิด | อี่เจ้ากรรมมันจะปิดประตูค้า | ||
| ส่วนเข็มทองฟังแถลงก็แจ้งอรรถ | จะทิ้งสัดถือถังเหมือนยังว่า | ||
| ก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจแต่ไรมา | ฉันไม่ว่าคอยดูพระภูวไนย | ||
| สีวิกาเข็มทองชวนน้องรัก | ไปตำหนักพระธิดาอัชฌาศัย | ||
| แล้วพากันเยื้องย่างเข้าข้างใน | เห็นทรามวัยพระธิดายุพาพาล | ||
| ทั้งสามนางกราบก้มประนมไหว้ | นางปราศรัยเบือนพักตร์มาทักถาม | ||
| สีวิกาทูลแถลงให้แจ้งความ | คนนี้นามเข็มทองพี่น้องกัน | ||
| บุตรหมื่นยงคงผู้คุมอยู่ข้างนอก | เคยเข้าออกไปมาหาหม่อมฉัน | ||
| นางโฉมยงทรงฟังก็ทราบพลัน | หมื่นยงนั้นมีลูกอยู่กี่คน | ||
| ช่างเหมือนกันดังจะเถือเอาเนื้อหนัง | อยู่ด้วยกันเถิดจะให้เขาฝึกฝน | ||
| สั่งไปด้วยพี่น้องทั้งสองคน | ว่าฉันบ่นถึงไม่วายนายผู้คุม | ||
| ทั้งสองนางกราบก้มประนมหัตถ์ | หน่อกระษัตริย์นึกเฉลียวให้เฉียวฉุน | ||
| เห็นเข็มทองเข้ามานึกการุณ | เขามีคุณยามยากได้ฝากรัก | ||
| แล้วดูทีสีวิกาเห็นท่าโกรธ | จึงเอื้อนโอษฐ์ปราศรัยให้ประจักษ์ | ||
| เมื่อคราวทุกข์ก็ได้มาสามิภักดิ์ | พระทรงศักดิ์ถามไถ่เป็นไมตรี | ||
| แล้วบอกกับโฉมยงนางนงลักษณ์ | เมื่อทรงศักดิ์กริ้วโกรธทำโทษพี่ | ||
| ได้เข็มทองน้องยาเจ้าปรานี | ค่อยเป็นที่บางเบาบรรเทาทุกข์ | ||
| หนึ่งหมื่นยงบิดาอัชฌาศัย | แกไม่ใคร่ตรวจตราค่อยผาสุก | ||
| จะนั่งนอนผ่อนปรนไม่รนรุก | เรามีสุขคิดประกอบให้ชอบกล | ||
| พระธิดาฟังแจ้งแถลงไข | ก็ทราบในข้อความตามนุสนธิ์ | ||
| นี่ชะรอยว่าพระภูวดล | สองสามคนแล้วกระมังจึงยังนี้ | ||
| ครั้นฟังดูรู้แน่พูดแก้ไข | ฉันอยากได้พี่น้องทั้งสองศรี | ||
| ถ้าแม้นทำราชการนานจะดี | ด้วยเป็นที่อุปถัมภ์ช่วยค้ำชู | ||
| อยู่ในวังเถิดอย่าไปได้ใช้สอย | ดูเรียบร้อยกิริยาทั้งคู่ | ||
| ถ้านานไปหมื่นยงแกคงรู้ | ถึงจะอยู่ก็เห็นไม่เป็นไร ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระหน่อสุริย์วงศ์ผู้ทรงฤทธิ์ | สำราญจิตยิ้มย่องด้วยผ่องใส | ||
| พระเสด็จเยื้องย่างเข้าข้างใน | เรียกทรามวัยเข้าที่ด้วยปรีดา | ||
| ทางประโลมโฉมยงก็ปลงจิต | ทางจุมพิตปรางซ้ายทั้งย้ายขวา | ||
| พลางสวมสอดกอดชิดวนิดา | เสน่หาสองสมภิรมย์รส | ||
| ส่วนเข็มทองได้ประทานสังวาลเพชร | พูนบำเหน็จเงินผ้าให้ปรากฏ | ||
| นางเปรมปรีดิ์ดีใจด้วยได้ยศ | พลางประณตกราบลาออกมาพลัน | ||
| เฝ้าพระนุชบุตรีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์ชื่นชมด้วยสมหวัง | ||
| บอกไหมทองน้องสาวเล่าให้ฟัง | อยากได้มั่งฤๅไม่เจ้าไหมทอง | ||
| จึ่งสั่งสีวิกาผ้าในหีบ | กับแพรจีบเยาวมาลย์ประทานของ | ||
| แม้นสมหวังดังนึกที่กรึกกรอง | ของพี่น้องเอาไว้ที่ในวัง | ||
| แต่จะให้สีวิกาไปว่าขอ | ต่อแม่พ่อมิให้อายเมื่อภายหลัง | ||
| ท่านหมื่นยงแกคงจะเชื่อฟัง | ว่ารับสั่งภูวไนยใช้ให้มา | ||
| สองนารีดีใจต่างไหว้กราบ | ไม่หยามหยาบอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
| สิโรราบบาทมูลแล้วทูลลา | พากันมาห้องประทับที่หลับนอน | ||
| หากินอยู่สู่กันด้วยฉันญาติ | ได้โอวาทนางกระษัตริย์ที่ตรัสสอน | ||
| พอบ่ายแล้วหมายว่าจะลาจร | พอบังอรสุมณฑาออกมาพลัน | ||
| เห็นพี่น้องสองนางระคางเขิน | ชม้ายเมินแอบฝาทำมานั่ง[1] | ||
| ได้ยินเสียงเข็มทองย่องมาฟัง | กระทบกระทั่งสาวใช้เดินไปมา | ||
| สีวิกาขัดเคืองชำเลืองค้อน | มันช่างค่อนแคะไค้พิไรว่า | ||
| เที่ยวอิจฉาตาเป็นมันด้วยฉันทา | เขาไม่ว่าฮึกฮักยิ่งหนักไป | ||
| คิดพลางทางเรียกเจ้าเข็มทอง | เข้ามานี่แน่น้องจะบอกให้ | ||
| จะนอนค้างฤๅว่าจะคลาไคล | จะได้ไปเสียแต่วันไม่ทันเย็น | ||
| เขาบอกว่าผีพรายมันตายโหง | นั่งคลุมโปงไปมาถ้ามันเห็น | ||
| แม้นใครไม่เซ่นวักขี้มักเป็น | เที่ยวซ่อนเร้นหลอกเขาเอาสินบน | ||
| ว่าพลางทางถ่มน้ำลายให้ | สาแก่ใจที่มันขวางอยู่กลางถนน | ||
| เที่ยวสอดแนมยืนแอบฟังแยบยล | เราคนจนเข็มทองไม่ต้องการ ฯ | ||
| ◉ เมื่อนั้น | สุมณฑาฟังแจ้งแถลงสาร | ||
| อุแม่เอ๋ยสีวิกาอย่ามาพาล | เขาขี้คร้านเถียงดอกบอกให้รู้ | ||
| ถ้าดีจริงเปลี่ยนหน้าออกมาใหม่ | ฉันขอบใจแล้วกลัวตัวเป็นหนู | ||
| จะได้ไหว้มัสการอาจารย์ครู | บนหัวหมูไข่ขวัญให้ทันที ฯ | ||
| ◉ เมื่อนั้น | สีวิกาขัดใจดังไฟจี่ | ||
| ได้ฟังคั่งแค้นแสนทวี | แล้วจึงมีวาจาว่าไป | ||
| จะให้ใครเปลี่ยนหน้าออกมาสู้ | ก็พอรู้ทันดอกจะบอกให้ | ||
| เห็นเขาดีขนพองคะนองใจ | ฉันเปลี่ยนกันมาใหม่แล้วทีนี้ | ||
| หรือจะให้ไหว้บุญคุณพี่เลี้ยง | ถ้าทุ่มเถียงเอาให้ยับลงกับที่ | ||
| แม้นไม่เกรงอาญาฝ่าธุลี | ใครจะดีกว่าใครก็ไม่กลัว ฯ | ||
| ◉ เมื่อนั้น | สุมณฑาได้ฟังให้คันหัว | ||
| ทั้งลิ้นลมคมสันออกสั่นรัว | เขารู้ทั่วว่าเจ้าจอมหม่อมพี่เลี้ยง | ||
| ทั้งปกปิดไม่น้อยออกลอยฟ้า | มาขึ้นเสียงเถียงจ้าอยู่แปร้นแปร้น | ||
| เขาก็รู้อยู่จบพิภพแดน | ออกเถียงแทนพี่น้องช่วยป้องกัน ฯ | ||
| ◉ เมื่อนั้น | เข็มทองแสนกลคนขยัน | ||
| ได้ยินสุมณฑาร้องว่าพลัน | หมายมั่นข่มใครจะให้กลัว | ||
| นี่แหละเปลี่ยนหน้าใหม่ฉันไหว้หม่อม | ต้องสมยอมรับเอาเป็นเจ้าผัว | ||
| ถึงเป็นจริงสีวิกาก็อย่ากลัว | เขารู้ทั่วแล้วก็สิ้นการนินทา | ||
| ว่าพลางเคืองค้อนด้วยงอนใจ | ปากไบ่ไบ่ยิบยิบกระซิบด่า | ||
| ทั้งหน้าเป็นเต้นแร้งเต้นกา | จะได้ว่าอวดเขาเจ้าคารม ฯ | ||
| ◉ บัดนั้น | สุมณฑาฟังตรับเห็นทับถม | ||
| น้อยฤๅลูกสาวเจ้าหมื่นยง | แล่นตรงออกมาข้าน่ากลัว | ||
| แง่งอนไม่น้อยออกลอยหน้า | ชาติข้าลูกนายได้เป็นผัว | ||
| ทั้งหยาบช้าสาธารณ์ประจานตัว | จะดีชั่วราวกับใครเขาไม่รู้ | ||
| นี่หม่อมห้ามศาลไหนอย่างไรหนอ | หรือว่าศาลเจ้าพ่อต้นประดู่ | ||
| ที่สิงอยู่แถวทิมริมประตู | เคยไปมาหาสู่เขาบนบาน ฯ | ||
| ◉ เมื่อนั้น | เข็มทองชี้หน้าแล้วว่าขาน | ||
| น้อยฤๅนางผู้ดีสันดาน | นี่แหละศาลเคยถวายดอกไม้เพ็ด | ||
| ท่านหมื่นยงไปทำไมกับใครหรือ | จึงเอาชื่อมาว่าเล่นเบ็ดเตล็ด | ||
| หรือท่วงทีแกมีกัลเม็ด | รับเสด็จเข้านอกออกใน ฯ | ||
| ◉ ฟังเอยฟังว่า | สุมณฑาเหลือกลั้นให้หมั่นไส้ | ||
| เอาหรือเป็นไรก็เป็นไป | ที่จะให้มึงว่านั้นอย่าคิด | ||
| กล้าดีออกมาอีเข็มทอง | จองหองเหลือตัวไม่กลัวผิด | ||
| พลางเรียกหาบ่าวไพร่ที่ใช้ชิด | ชอบผิดตบเล่นจะเป็นไร | ||
| สีวิกาเข็มทองก็มา | โถมถลาตรงเข้ากระทบไหล่ | ||
| ได้ทีตบผางไม่ห่างไกล | สุมณฑาเลี้ยวไล่เข้าติดพัน | ||
| ตบผางวางเข้าขาตะไกร | ไหมทองทรามวัยเข้ากางกั้น | ||
| บ่าวต่อบ่าวนายต่อนายพัลวัน | เชี่ยนขันเรี่ยรายกระจายไป | ||
| เนื้อตัวยับย่อยล้วนรอยเล็บ | ต่างคนต่างเจ็บจนเลือดไหล | ||
| พวกเถ้าแก่ท้าวนางที่ข้างใน | ทั้งทรามวัยพระธิดายุพาพาล | ||
| ได้ยินเสียงอึกทึกนึกสงสัย | พระหน่อไทจึงดำรัสตรัสถาม | ||
| ก็มิได้เหตุผลต้นความ | ให้ข้าหลวงไปถามได้เค้ามูล | ||
| สุมณฑาเข็มทองสีวิกา | ได้ความมากราบปิ่นบดินทร์สูรย์ | ||
| พระโฉมยงทรงฟังสาวใช้ทูล | เห็นจะวุ่นแล้วแม่ทัศมาลี | ||
| ตรัสพลางทางชวนนวลระหง | เสด็จตรงออกจากพระแท่นที่ | ||
| เห็นพี่เลี้ยงสองรากับนารี | พระภูมีห้ามปรามเป็นความนัย | ||
| พี่ขอเสียเถิดน้องทั้งสองข้าง | อย่าระคางขุ่นหมองทั้งสองศรี | ||
| จงรักกันตามประสาเป็นนารี | ก็นึกเหมือนพี่น้องกันอย่าฉันทา | ||
| จงเลิกกันเท่านั้นเถิดขวัญข้าว | ขอเชิญเจ้ายาจิตขนิษฐา | ||
| จงสมัครรักใคร่กันไปมา | เจ้าแก้วตายอดสร้อยอย่าน้อยใจ ฯ | ||
| ◉ เมื่อนั้น | สามนางกราบก้มบังคมไหว้ | ||
| ต่างคนต่างมาโศกาลัย | พระภูวไนยเป็นกลางค่อยบางเบา | ||
| แล้วพากันทูลลากลับมาห้อง | เข็มทองบ่นออดนั่งกอดเข่า | ||
| น่าบัดสีนี่กระไรมันไม่เบา | อายเขาย่อยยับอีอัปรีย์ | ||
| สีวิกาว่าไม่เป็นไรน้อง | ไหมทองมาไปด้วยกับพี่ | ||
| แต่เข็มทองอย่าไปดูไม่ดี | ด้วยภูมีเธอขอกับอรไท | ||
| ว่าพลางจัดแจงแต่งตัว | หวีหัวผัดหน้านุ่งผ้าใหม่ | ||
| ออกจากห้องเรียกหาข้าไท | บ่าวไพร่ตามหลังมาพรั่งพรู | ||
| มาถึงบ้านหมื่นยงตรงขึ้นเรือน | ไม่แชเชือนเข้าหาเคยมาสู่ | ||
| สีวิกานั่งไหว้ใคร่จะรู้ | สายทองอยู่กับพ่อที่หอกลาง | ||
| เห็นพี่สาวออกมาก็ปราศรัย | วิ่งไปนั่งตักแล้วทักถาม | ||
| พี่เข็มทองอยู่ไหนจะไปตาม | ไหมทองว่าอย่ามาถามพูดเซ้าซี้ | ||
| สีวิกาว่าจะพาเอาไปด้วย | จะได้ช่วยเฝ้าแหนอยู่กับพี่ | ||
| สายทองตกใจใช่พอดี | ก็เดินหนีจากพี่ไม่พูดจา | ||
| หมื่นยงทองมีก็หัวร่อ | ลูกพ่อเป็นไรจึงไม่กล้า | ||
| สีวิกาได้ทีก็ปรีดา | ว่าคุณป้ารักใคร่ได้เอ็นดู | ||
| นางโฉมยงจงใจให้มาหา | ขอธิดาพี่น้องไว้ทั้งคู่ | ||
| หนึ่งเข็มทองคนนี้มีความรู้ | ไปมาหาสู่ชอบพระทัย | ||
| ท้าวทองมีว่าไม่เป็นไรแม่ | ก็สุดแท้แต่สมัครเขารักใคร่ | ||
| ถ้าแม้นว่าชีวันฉันบรรลัย | หมายจะได้พึ่งพาบารมี | ||
| แต่ไหมทองนี้ไม่ได้เอาไว้บ้าน | ข้างการงานแล้วมิใคร่จะได้หนี | ||
| แต่เข็มทองนั้นเขาปัญญาดี | คนจู้จี้ฝากน้องพวกพ้องกัน | ||
| ท่านหมื่นยงดีใจดังได้แก้ว | ยิ้มแล้วปรีดิ์เปรมกระเษมสันต์ | ||
| ด้วยเต็มใจหมายว่าเวลานั้น | ยังไม่ทันเพ็ดทูลเกิดวุ่นวาย | ||
| ก็สมใจดังนึกที่ฝึกฝน | คงเทียมคนเหมือนเขาที่เราหมาย | ||
| คิดพลางเดินยิ้มพริ้มพราย | เจ้านายมีบุญได้คุ้นเคย | ||
| แล้วจัดแจงแป้งน้ำมันกระจกหวี | เอาฝากพี่เข้าไปเถิดลูกเอ๋ย | ||
| ไหมทองว่าคุณแม่อย่ากลัวเลย | พี่เข็มทองเขาเคยอยู่ในวัง | ||
| สายทองน้องเล็กจึงบอกว่า | ตุ๊กตาของฉันเอาไปบ้าง | ||
| พี่เข็มทองเข้าไปอยู่ในวัง | ฉันเข้าไปอยู่บ้างจะเป็นไร | ||
| สามนางต่างหัวเราะฉอเลาะเหลือ | ช่างแผ่เผื่อแสนรู้ดังผู้ใหญ่ | ||
| ให้เติบโตเสียสักหน่อยจึงค่อยไป | ถวายไว้เป็นข้าฝ่าธุลี | ||
| สายทองว่าเป็นข้าฉันไม่ไป | ถ้าเติบใหญ่เป็นเจ้าจอมเหมือนหม่อมพี่ | ||
| สีวิการักใคร่ใช่พอดี | กอดจูบเซ้าซี้อยู่ไปมา | ||
| ครั้นสุริยาสายัณห์พยับแสง | ก็จัดแจงไหว้บุญลาคุณย่า | ||
| ทั้งหมื่นยงกราบไหว้แล้วไคลคลา | ก็รีบมาเข้าวังด้วยดังใจ | ||
| เข็มทองเห็นดีใจปราศรัยถาม | สีวิกาบอกความแถลงไข | ||
| ก็แจ้งว่าอยู่ดีไม่มีภัย | ผูกสมัครรักใคร่ทั้งสองนาง | ||
| ถึงเวลามาเฝ้านางโฉมศรี | ด้วยเป็นที่ปรนนิบัติไม่ขัดขวาง | ||
| จะเข้านอกออกในค่อยไว้วาง | ไม่เหินห่างกิริยาเป็นนารี | ||
| จะไปมาลาไหว้รับใช้สอย | สมเป็นน้อยพระธิดามารศรี | ||
| ทั้งอัชฌาศัยเป็นไมตรี | ตั้งภักดีซื่อตรงเหมือนวงศ์วาน ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายท้าวยศสุนทรบวรลักษณ์ | กับเอกอัครไฉยามารศรี | ||
| ครองศฤงคารชันษากว่าร้อยปี | มิได้มีเภทภัยสิ่งไรพาน | ||
| ความศรัทธากล้าหาญการกุศล | เป็นกังวลตั้งจิตพิษฐาน | ||
| ปลูกศาลาโตใหญ่ไว้ให้ทาน | ทั้งคาวหวานเอมโอชโภชนา | ||
| ทั้งผู้ดีเข็ญใจไหว้สาธุ | ขอให้ลุในพระศาสนา | ||
| ถึงวันพระมีจิตเจตนา | ทรงศรัทธาแจกจ่ายทั้งให้ทาน | ||
| ถือศีลห้าปาณาไม่ฆ่าสัตว์ | ด้วยเคร่งครัดทรงธรรมกรรมฐาน | ||
| ทรงเมตตาภาวนาสมาทาน | มอบศฤงคารให้พระรถยศไกร ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระโฉมสร้อยสุมาลีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์มีจิตคิดเลื่อมใส | ||
| นางสละสาวสรรกำนัลใน | ก็มอบให้พระธิดายุพาพาล | ||
| รักษาศีลเป็นนิจมิได้ขาด | ไม่อังคาสตั้งจิตอธิษฐาน | ||
| ไหว้พระพุทธพระธรรมทุกวันวาร | หมายนิพพานภายหน้าอนาคต | ||
| ขอคุณพระชินศรีเป็นที่ตั้ง | ให้สมดั่งปรารถนาจงปรากฏ | ||
| หนึ่งชาติพาลแล้วไซร้อย่าให้พบ[2] | จงหลีกหลบเสียให้ไกลคนใจพาล | ||
| ขอเดชะความสัจจะสุจริต | ให้สมคิดเหมือนสัจจะอธิษฐาน | ||
| ทุกเช้าเย็นเป็นนิตย์นางมัสการ | ไม่ว่าขานสาวสรรกำนัลใน | ||
| ฝ่ายพระหน่อสุริวงศ์อันทรงเดช | ครองนิเวศอยู่ด้วยมิตรขนิษฐา | ||
| เสวยรมย์สมบัติเป็นขัตติยา | แทนพระอาปกครองพระน้องนาง | ||
| คิดคะนึงถึงชนนีที่ปกเกศ | จะทุเรศคอยหาน่าสงสาร | ||
| ทั้งองค์พระราชบิดามาช้านาน | ไม่แจ้งการทูลกระหม่อมจะกรอมใจ | ||
| คิดจะใคร่ไปเยี่ยมพระแม่เจ้า | จะโศกเศร้าทุกข์ทนด้วยหม่นไหม้ | ||
| นิจจาเอ๋ยเป็นกรรมทำกระไร | จึงจะได้มัสการพระมารดา | ||
| พระโศกาอาดูรพูนเทวศ | ชลเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา | ||
| เจ้าประคุณทูลกระหม่อมของลูกอา | ลูกจากมาสามปีเข้านี่แล้ว | ||
| ร่ำพลางกรสอดกอดเขนย | นิจจาเอ๋ยพระทูลกระหม่อมแก้ว | ||
| จะทรงพระชราหนักหนาแล้ว | ลูกมิได้วี่แววไปเยี่ยมเลย ฯ | ||
| ◉ ฝ่ายพระโฉมทัศมาลีศรีสวัสดิ์ | นางกระษัตริย์นั่งแนบแอบเขนย | ||
| นึกสงสัยไถ่ถามดูตามเคย | ไฉนเลยทรงธรรม์ไม่บรรทม | ||
| ฤๅมีทุกข์ยุคเข็ญเป็นไฉน | จงโปรดให้ทราบความตามประสงค์ | ||
| พระฟังนางพลางประโลมนางโฉมยง | คิดถึงองค์บิตุเรศพระมารดา | ||
| คิดจะใคร่ลาน้องกับสองกระษัตริย์ | ไปจังหวัดนคเรศของเชษฐา | ||
| เจ้าจะคิดฉันใดนะน้องอา | พี่ไม่ว่าหวงห้ามตามพระทัย ฯ | ||
| ◉ นางโฉมยงทรงฟังก็แจ้งจิต | เป็นสุดคิดนี้จะทำอย่างไรได้ | ||
| นางตรึกพลางทางทูลพระภูวไนย | น้องนี้ไม่ห้ามปรามเป็นความจริง | ||
| หนึ่งองค์พระปิตุลาชราภาพ | น้องก็ทราบอยู่แก่ใจเป็นใหญ่ยิ่ง | ||
| ไม่คลางแคลงแหนงนัยเห็นใจจริง | พระจะทิ้งน้องไว้ไปแต่องค์ | ||
| พระเสด็จไปไหนขอไปด้วย | เป็นเพื่อนม้วยกันในไพรระหง | ||
| จะได้กราบบิตุราชมาตุรงค์ | น้องนี้จงจิตไว้แต่ไรมา ฯ | ||
| ◉ พระฟังนางทางตอบว่าชอบแล้ว | พระน้องแก้วทราบเหตุด้วยเชษฐา | ||
| สักสองสามราตรีพี่จะมา | ไม่นานช้าดอกน้องอย่าหมองนวล | ||
| ใช่พี่มิรักจะทิ้งขว้าง | ให้เหินห่างนวลน้องประคองสงวน | ||
| ว่าพลางเชยโฉมประโลมนวล | นางหยิกข่วนผลักไสไม่ไยดี | ||
| ร่วมภิรมย์สมสนิทพิสมัย | จนอุทัยส่องสว่างกระจ่างศรี | ||
| ทั้งสององค์สรงพักตร์แล้วจรลี | ขึ้นสู่ที่ทรงฤทธิ์พระบิดา | ||
| ทั้งสององค์ตรงเข้าไปกราบไหว้ | ท้าวปราศรัยสรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
| นางกระษัตริย์ตรัสพลันมิทันช้า | แล้วหันมาทักพระหน่อธิบดี | ||
| พระหน่อไทคำนับอภิวาทน์ | ขอลาบาทบงกชบทศรี | ||
| ลูกคิดถึงบิตุเรศพระชนนี | ป่านฉะนี้สองพระองค์จะทรงคอย | ||
| ด้วยจากมาช้านานถึงปานนี้ | พระชนนีปิ่นเกล้าจะเศร้าสร้อย | ||
| ทูลพลางทางน้ำพระเนตรย้อย | หวนละห้อยกลับคิดถึงบิดา ฯ | ||
| ◉ พระเจ้าอาอาลัยจิตใจหาย | ก็ฟูมฟายชลเนตรถึงเชษฐา | ||
| สะอื้นพลางทางตรัสทั้งน้ำตา | อาไม่ว่าดอกหลานสงสารนัก | ||
| แต่ตัวอาช้านานถึงปานนี้ | กว่าสิบปีแล้วมาพึ่งประจักษ์ | ||
| เพราะกุศลอุปถัมภ์ช่วยนำชัก | พระหลานรักจึงได้มาถึงธานี | ||
| แม้นไปถึงจึงทูลพระเชษฐา | ทูลว่าอากราบประณตบทศรี | ||
| ถ้าพระองค์ค่อยทรงสวัสดี | ว่าอานี้คิดถึงคะนึงนัก | ||
| อยากจะใคร่ไปเยี่ยมขนิษฐา | แต่มรคาเหลือไกลไม่ประจักษ์ | ||
| ด้วยโฉมเจ้าตะเกียงทองเป็นน้องรัก | แล้วทรงศักดิ์โศกาเฝ้าจาบัลย์ | ||
| แต่จากกันช้านานถึงปานนี้ | จะอยู่ดีฤๅว่าจะอาสัญ | ||
| แสนระกำลำบากมาจากกัน | ด้วยนางนั้นสุดท้องเป็นน้องเล็ก | ||
| อยากจะใครไปเชิญพระเชษฐา | เที่ยวตามหาโฉมงามไม่ขามเข็ด | ||
| ให้ได้ข่าวยอดมิ่งจริงแลเท็จ | เที่ยวเตร่เตร็จกว่าจะพบประสบกัน | ||
| พระหน่อไทฟังแจ้งแถลงสาร | พลอยแดดาลร้อนโรคยิ่งโศกศัลย์ | ||
| คิดสงสารพระเจ้าอาเฝ้าจาบัลย์ | กระหม่อมฉันทราบความจะตามไป | ||
| ถึงไม่รู้มรคาสาคเรศ | อยู่ประเทศธานีบูรีไหน | ||
| คงค้นคว้าหาจบทั่วภพไกร | กว่าจะได้พานพบประสบกัน | ||
| นางพญาว่าจริงแล้วลูกแก้ว | ไม่ตายแล้วคงพบเป็นแม่นมั่น | ||
| น่าสงสารขนิษฐาวิลาวัลย์ | แต่จากกันช้านานถึงป่านนี้ | ||
| พระหน่อไทขอรับอภิวาทน์ | กราบลาบาทบงกชบทศรี | ||
| ลูกขอฝากนงนุชพระบุตรี | ด้วยลูกนี้หมายสิบห้าวัน | ||
| พระมารดาอาลัยจิตใจหาย | แสนเสียดายลูกยาเพียงอาสัญ | ||
| ต้องจำเป็นจำจากวิบากครัน | นางโศกศัลย์สั่งพระหน่อธิบดี | ||
| ถ้าสององค์อยู่ดีไม่มีทุกข์ | จำเริญสุขปรีดิ์เปรมกระเษมศรี | ||
| จงกลับมาหาแม่อย่าช้าที | พระน้องนี้อยู่เดียวจะเปลี่ยวใจ | ||
| พระหน่อไทฟังสารโองการสั่ง | ถวายบังคมลาต่างปราศรัย | ||
| เข้าสู่แท่นสุวรรณด้วยทันใด | ตรัสปราศรัยนงลักษณ์ภคินี | ||
| พี่จากไปไม่ช้าดอกหนาน้อง | อย่าหม่นหมองว่าพี่อางขนางหนี | ||
| จงยินยอมพร้อมใจด้วยไมตรี | เหมือนช่วยพี่อวยชัยให้ไปเมือง ฯ | ||
| ◉ นางโฉมยงได้ฟังก็สังเวช | สุชลเนตรไหลหยดไม่ปลดเปลื้อง | ||
| สะอื้นอ้อนถอนใจไม่ประเทือง | ด้วยสุดเคืองสุดขัดต้องตัดใจ | ||
| ตำริพลางนางกระษัตริย์ตรัสประภาษ | น้องหมายมาดน้ำเนื้อเป็นเชื้อไข | ||
| เป็นกระษัตริย์ตรัสแล้วก็แล้วไป | ถ้าไปแล้วที่ไหนจะกลับมา | ||
| แล้วคิดแค้นแทนพระพี่เมรีด้วย | มาเจ็บป่วยอยู่ฝั่งจนสังขาร์ | ||
| พยายามตามเสด็จไม่เมตตา | จนชีวาวอดวายทำลายชนม์ | ||
| นี่จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกันแน่ | ถ้าวิ่งแร่ก็จะขว้างเสียกลางหน | ||
| ก็สาใจที่ไม่เจียมเสงี่ยมตน | เป็นกังวลตามเขาเพราะเมามัว | ||
| พระฟังว่าช่างว่านี้สาหัส | มาพ้อตัดนี่กระไรมิใช่ผัว | ||
| ฤๅหลบลี้หนีไปจะได้กลัว | ก็รู้ทั่วว่าพี่ลาไปธานี | ||
| ถ้าไปได้แล้วมิให้มาค่อนว่า | อยากจะพาไปให้ถึงบุรีศรี | ||
| เป็นห่วงหลังกังวลพระชนนี | เพราะเท่านี้ดอกน้องอย่าหมองหัทยา | ||
| หนึ่งองค์พระบิดาชราภาพ | น้องก็ทราบอยู่แก่ใจนั้นไม่ว่า | ||
| จะทิ้งองค์ทรงศักดิ์พระจักรา | พระมารดาจะละห้อยน้อยพระทัย | ||
| ใช่พี่มิรักจะแกล้งหนี | จะตัดใยไมตรีก็หาไม่ | ||
| อย่าโศกศัลย์รันทดสลดใจ | พี่มิให้ขวัญเนตรเวทนา | ||
| มิได้เป็นเช่นน้องเมรีนาฏ | จากนิราศร้างมิตรขนิษฐา | ||
| หมดกุศลของนางที่สร้างมา | เกิดชาติหน้าคงพบประสบกัน | ||
| นางฟังองค์ทรงเดชพระเชษฐา | ตอบบัญชาทูลกระหม่อมพระจอมขวัญ | ||
| ด้วยชาตินี้กรรมวิบากต้องจากกัน | อย่ารำพันเลยไม่พอใจฟัง | ||
| เกิดชาตินี้ชาติหน้าขออย่าพบ | จงหลีกหลบเสียให้ไกลไปสวรรค์ | ||
| จนชั้นเหล่าสาวสุรางค์นางกำนัล | อย่าพัวพันรุงรังเหมือนอย่างนี้ | ||
| ได้เกินแล้วก็ต้องเลยนิ่งเฉยอยู่ | ที่เขารู้ก็ว่าน่าบัดสี | ||
| เขาทิ้งขว้างร้างหย่าเสียกว่าปี | ที่เขาดีผัวเมียไม่เสียกัน | ||
| ◉ พระฟังนางทรงปลอบให้ชอบชื่น | วิโยคแข็งขืนความที่โศกศัลย์ | ||
| แม้นไม่จริงเหมือนคำพี่รำพัน | ขอเทวราชฉ้อชั้นสวรรยา | ||
| จงเล็งเห็นความสัตย์สุจริต | มิได้คิดโยกเยกอุเบกขา | ||
| เทพเจ้าเมืองสวรรค์ในชั้นฟ้า | ขอจงมาเล็งเห็นเป็นพยาน | ||
| นางโฉมยงทรงฟังก็สาธุ | ขอให้ลุถึงนิเวศเขตสถาน | ||
| อันเคราะห์โศกสิ่งไรอย่าได้พาน | เยาวมาลย์โมทนาคิดปรานี | ||
| ที่ความแค้นดับเดือดจึงเหือดหาย | พลางน้อมกายพลางประณตบทศรี | ||
| ทั้งสาวสรรกัลยาฝูงนารี | อีกทั้งสีวิกาก็มาพลัน | ||
| สุมณฑาเข็มทองต่างร้องไห้ | น้ำตาไหลร้อนโรคให้โศกศัลย์ | ||
| ด้วยจำเป็นจำใจจะไกลกัน | สู้บากบั่นมาเป็นข้าฝ่าธุลี | ||
| โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณทูลกระหม่อม | พระโอบอ้อมแต่ชั้นเหล่าพวกสาวศรี | ||
| จะนับเดือนเลือนลับไปนับปี | อนิจจาครั้งนี้มาจำไกล | ||
| แสนวิตกอกเอ๋ยน่าสงสาร | ทั้งเยาวมาลย์ยิ่งทรงกันแสงไห้ | ||
| แสนสงสารองค์พระรถยศไกร | ทางปราศรัยสาวสรรกัลยา | ||
| ทั้งนารีเข็มทองสองพี่เลี้ยง | อย่าทุ่มเถียงฟูมฟักช่วยรักษา | ||
| จงชุบเลี้ยงเที่ยงธรรม์อย่าฉันทา | นึกเหมือนว่าพี่น้องร่วมท้องกัน | ||
| แล้วจัดแจงแต่งองค์ทรงภูษา | กษัตราหวนวิโยคด้วยโศกศัลย์ | ||
| นางโฉมยงถวายพระแสงพลัน | ยิ่งอัดอั้นยืนสะท้อนถอนฤๅทัย | ||
| จะลาเอ่ยเผยโอษฐ์มิใคร่ออก | ครั้นจะบอกปากลาน้ำตาไหล | ||
| สะอื้นร่ำสำลักกระอักกระไอ | จำใจจำลาสุดาดวง | ||
| ทรวงสะท้อนกรแบรับพระแสง | พระเนตรแดงชลนัยน์ยิ่งไหลร่วง | ||
| ขอลาเหล่าสาวสุรางค์นางทั้งปวง | เสด็จล่วงเลยมาทรงพาชี | ||
| เหาะละลิ่วปลิวมาในกลีบเมฆ | แสนวิเวกครวญหามารศรี | ||
| พลางชมพรรณพฤกษาบรรดามี | ธิบดีค่อยคลายสบายองค์ | ||
| เห็นมยุเรศโกญจาถลาร้อง | เหมือนเสียงน้องทรามสงวนนวลระหง | ||
| หวนคะนึงถึงสุรางค์นางอนงค์ | ด้วยเคยส่งศุภเสียงสำเนียงครวญ | ||
| โอ้โนรีสัตวารู้พาคู่ | เหมือนพี่อยู่แนบน้องประคองสงวน | ||
| โอ้ขวัญอ่อนแม่จะค่อนอุระครวญ | พี่เคยสรวลโสมนัสให้เปรมปรา | ||
| ถึงยามร้อนเจ้าเคยผ่อนอยู่งานพัด | เคยกำหนัดที่ในเสน่หา | ||
| โอ้ยามหนาวเคยแนบแอบอุรา | อนิจจาดูเหมือนกรรมให้จำเป็น | ||
| แม้นมาได้พี่จะพาเจ้ามาเที่ยว | พระน้องเอ๋ยพี่เหลียวไม่แลเห็น | ||
| เห็นสาวหยุดต้องวิบากได้ยากเย็น | โอ้สวาทพี่ก็เวนสวาทเอย | ||
| เห็นนมแมวแก้วเกศกระถินเทศ | เหมือนขวัญเนตรร้อยเรียงไว้เคียงเขนย | ||
| เห็นต้นโศกโศกใจกระไรเลย | พระนุชเอ๋ยอกพี่ดังไฟฟอน[3] ฯ | ||
เชิงอรรถ
อ้างอิง
เว็บไซต์ กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร
