|
กลอน
|
| | นิราศร้างห่างรักสมัครสมาน
|
ต้องจำใจไคลคลาลานงคราญ | | ทรวงสะท้านอกระทวยด้วยอาลัย
|
มิจำจิตก็มิคิดจำจากน้อง | | นี่จำต้องโดยกรรมกระทำให้
|
บังเกิดโรคสำคัญอันมีภัย | | แม้นมิไปวายปราณไม่นานวัน
|
นี่แน่ะเจ้าน้องอย่าข้องแค้นเคืองพี่ | | เจ้าจงจำคำนี้ให้แม่นมั่น
|
พี่รักน้องพี่ต้องรักชีวัน | | ไว้ชมขวัญดวงชีวาให้ช้าปี
|
โอ้จนใจด้วยไม่มีทุนทรัพย์ | | ที่จะรับน้องยามากับพี่
|
ต้องจำใจไปเดียวเปลี่ยวชีวี | | หลายราตรีจึงจะสบพบพักตรา
|
จงอยู่ดีพี่ขอลาอย่าร้องไห้ | | สงวนใจสงวนรักไว้พักหน้า
|
เมื่อกลับมาดปราศจากซึ่งโรคา | | ทุกทิวาสุขภิรมย์เชื้อชมเชย
|
|
|
วันที่สามมกราตอนศกร้อย | | มีเศษย้อยยี่สิบห้าอ้าอกเอ๋ย
|
เป็นแม่นมั่นวันพี่พรากจากทรามเชย | | ต้องละเลยพรากร้างไปห่างกัน
|
โอลูกเอ๋ยลูกน้อยแก้วกลอยจิต | | เจ้ายังนิดตั้งไข่ยังไม่มั่น
|
ต้องจำร้างห่างไกลไปจากกัน | | จะนับวันแต่รำพึงคะนึงครวญ
|
ลงเรือไฟหน้าบ้านสะท้านจิต | | เปิดหลอดวิดเรือล่องท้องน้ำสวน
|
กับเรือใหญ่เรือเล็กเรือเจ๊กญวน | | เป็นกระบวนเที่ยวค้าขายตามสายชล
|
เหลียวดูบ้านแลลิบพริบตาหาย | | น้ำตาพรายพรูพรั่งดุจดั่งฝน
|
โอ้บ้านเกิดเมืองนอนจำห่อนยล | | ต้องทุกข์ทนโทมนัสอัดอุรา
|
ที่เคยสนุกเคยสบายจะคลายคลาด | | น่าอนาถนึกไปกรรมไรหนา
|
มิหนำซ้ำจำใจไปเอกา | | จะดูหน้าเพื่อนแต่หนึ่งไม่พึงยล
|
ประมาณยี่สิบนาทีตรงรี่จอด | | เคียงข้างทอดข้างเรือเมล์เดลีด้น
|
รีบย่างเท้าก้าวขึ้นไปข้างบน | | เพื่อนมาส่งหลายคนยืนเรียงราย
|
พอพูดจาปราศรัยได้สักครู่ | | ก็พอถึงเวลาห้าโมงบ่าย
|
พวกคนเรือชุลมุนเดินวุ่นวาย | | แล้วถอนสายสมออึงเสียงตึงตัง
|
เพื่อนมาส่งลงจากเรือกันหมด | | แสนรันทดอดฤทัยไปห่างหลัง
|
เหลียวข้างโน้นและข้างหน้าละล้าละลัง | | ตะโกนสั่งลากันสนั่นอึง
|
พอเรือคล้อยจากท่าเลยหน้าห้าง | | ให้เวิ้งว้างดวงจิตหวลคิดถึง
|
โอ้พุ่มพวงดวงสมรจะร้อนรึง | | จะคร่ำครวญหวนคะนึงถึงพี่ยา
|
ใครจะปลอบโฉมงามทรามสวาท | | ยามพี่คลาดไร้มิตรขนิษฐา
|
ใครจะกอดโฉมงามทรามสุดา | | ยามนิทราน้องจะเศร้าเปล่าเปลี่ยวทรวง
|
ยิ่งคิดไปทุกข์กระไรใจจะขาด | | ทุกข์ไม่คลาดคลายได้ทุกข์ใหญ่หลวง
|
ยามสุริยาคล้อยดับลี้ลับดวง | | ทุกข์ยังหน่วงไม่ลี้ลับตามอัศดง
|
|
|
พอนาวามาถึงหน้าเมืองสมุทร | | ก็รอหยุดเจ้าภาษีรีบมาส่ง
|
หนังสือเปิดร่องน้ำตามจำนง | | ให้มั่นคงแบบอย่างทางราชการ
|
เวลาทุ่มถึงสันดอนเร่าร้อนจิต | | ด้วยเรือติดไปไม่ได้เขาไขขาน
|
จะต้องนอนคอยน้ำน่ารำคาญ | | ถ้านอนบ้านน่าจะดีกว่านี้แยะ
|
จะกลับบ้านจนใจไปไม่รอด | | ด้วยเรือจอดห่างฝั่งต้องนั่งแฉะ
|
ถ้าไปได้ก็จะได้ไปโลมและ | | ได้มอบแมะความรักอีกสักคราว
|
คนโดยสารทุ่มครึ่งพึ่งกินข้าว | | แต่ตัวเราร้างมิตรดวงจิตหนาว
|
ไม่อยากเปรี้ยวอยากเค็มเล็มหวานคาว | | อุระร้าวกินครวญถึงนวลน้อง
|
โอ้ยามกินมิได้กินเป็นผาสุก | | เวลาทุกข์ใครจะขืนกลืนได้คล่อง
|
มิตรอยู่ด้วยกินได้ดังใจปอง | | มิตรไม่อยู่ได้แต่รองท้องประทัง
|
เวลานอน ๆ ไม่หลับกระสับกระส่าย | | ให้หมองหม้ายหม่นจิตคิดห่วงหลัง
|
ต้องนอนเดียวเปลี่ยวอุราละล้าละลัง | | แทบจะคลั่งคุ้มตายวายชีวี
|
คิดถึงลูกน้อย ๆ ละห้อยจิต | | รู้จักคิดคงจะคิดคะนึงหา
|
รู้จักพลอดคงจะออดถึงบิดา | | คิดขึ้นมาชลนัยน์ไหลหลั่งนอง
|
เวลาดึกม่อยหลับแล้วกลับฝัน | | เห็นดวงจันทร์เพ็ญไขไม่มัวหมอง
|
อีกหน้านุชสุดสงวนนวลละออง | | โอ้หน้าน้องเหมือนดวงจันทร์เมื่อวันเพ็ญ
|
พอฝันเสร็จเหมือนใครเด็ดเอาดวงจิต | | หน้าน้องติดนัยนาพี่คว้าเห็น
|
แต่หมอนข้างอนิจจาน้ำตากระเด็น | | ไม่แลเห็นพี่จึงคิดลิขิตไว้
|
|
|
โอ้จากไปใจหายไม่วายหมอง | | น้ำตานองเหลือจะกลั้นไว้หวั่นไหว
|
โอ้อกร้อนนอนเดียวเปลี่ยวฤทัย | | จากเจ้าไปนานเช่นนี้พี่ไม่เคย
|
เจ้าพุ่มพวงดวงผกามณฑาย้อย | | กลิ่นเจ้าลอยล่องมานิจจาเอ๋ย
|
ช่างหอมเหลือหอมเหมือนเนื้อแม่ทรามเชย | | มณฑาเอ๋ยหวาดบังอรเจ้าหล่อนมา
|
โอ้ใจหายมิรู้วายไม่รู้เว้น | | จะนอนหลับนอนเล่นฝันเห็นหน้า
|
หน้านวลน้องเทียมทันแสงจันทรา | | เมื่อเวลาเพ็ญส่องผุดผ่องเอย
|
ครั้นแต่งแล้วนอนหลับกลับเฝ้าฝัน | | แว่วสำคัญเสียงร้องทำนองเฉลย
|
เพราะสำเนียงน้ำคำร่ำภิเปรย | | เพราะจับใจกระไรเลยไม่เคยยิน
|
คำที่ร้องคือคำพี่ร่ำคิด | | กลับนิมิตเพ้อครวญหวนถวิล
|
ลาวคำหอมกล่อมสุดายุพาพิน | | พี่ตื่นขึ้นจดไว้สิ้นดังจินดา
|
|
|
ครั้นรุ่งรางส่างแสงภาณุมาศ | | เรือเคลื่อนคลาดจากสันดอนจรเริงร่า
|
ออกน้ำเขียวเหลียวอ้างว้างนัยน์ตา | | เสียงซุซ่าน้ำสองฝ่ายกระจายปลิว
|
พระพายรื่นชื่นเชยรำเพยพัด | | เงียบสงัดงามสง่าฟ้าลิบลิ่ว
|
แลเห็นฝั่งอยู่แต่ไกลไม้เป็นทิว | | บัดเดี๋ยวเกี่ยวคอดด้อยถอยลับตา
|
คนึงครวญหวนระลึกนึกแก้วพี่ | | เมื่อคืนนี้นิ่มนวลคงครวญหา
|
ถึงจากเจ้าได้มาพึ่งหนึ่งเวลา | | ก็เหมือนมาได้สักปีนี่อย่างไร
|
ข้างหน้าอีกนานนักจักต้องพราก | | กรรมวิบากห้างชิดพิสมัย
|
เหลือจะตัดห่วงห้ามความอาลัย | | โอ้จนใจด้วยว่าบุญไม่จุนเจือ
|
วันที่หนึ่งคลื่นไม่มีเรียบดีตลอด | | วันที่สองสามแทบวอดคลื่นจัดเหลือ
|
โอ้คลื่นลมเจ้ากรรมซ้ำจุนเจือ | | ทุกข์ล้นเหลือแล้วมิหนำน่ารำคาญ
|
|
|
ได้สี่วันดั้นด้นมาดลท่า | | ยังพาราสิงค์โปร์รโหฐาน
|
ขึ้นบนบกเที่ยวได้หน่อยค่อยสำราญ | | จะต้องการสิ่งไรซื้อได้ครบ
|
แอนเดอร์ซันกงศุลใหญ่ของไทยนั้น | | เขาก็มาหาฉันตามขนบ
|
จัดเรือรถให้เราโดยเคารพ | | ธุระจบรีบมาท่าเรือเมล์
|
เห็นเรือจอดทอดเทียบอยู่กับท่า | | สังเกตกว้างแปดวาหาสร้างเส
|
อีกทางยาวสามเส้นเห็นคะเน | | ไปทะเลแล่นเห็นเช่นหงส์บิน
|
ชื่อเรือนั้นปรินส์ไอเทลฟรีเดอริช | | ช่างประดิษฐ์ก่อสร้างทุกอย่างยิ่ง
|
มีห้องนอนห้องนั่งทั้งห้องกิน | | ดังพรหมอินทร์นฤมิตพี่ติดใจ
|
มีดาษฟ้าสามชั้นอันตระหง่าน | | ดังวิมานลออยน้ำช่างทำได้
|
ถึงจะเหมือนเรือนสวรรค์ถึงชั้นใด | | ก็ยังไม่เหมือนเรือนมีเพื่อนนอน
|
พอเที่ยงตรงถอนสมอไม่รอรัด | | เบนหัวปัดจักรพัดน้ำกระฉ่อน
|
บัดเดี๋ยวใจก็ครรไลกลางสาคร | | ทรวงสะท้อนถึงนุชสุดที่รัก
|
จะต้องไปในทะเลระเหระหน | | เหลือจะทนความทุกข์ยิ่งฉุกหนัก
|
แม้นโฉมงามทรามสุดายุพาพักตร | | มาด้วยพี่ ๆ จะชักชวนชมปลา
|
เห็นปลาบิน ๆ รี่หนีเรือใหญ่ | | เหมือนเรียมไร้ร้างมิตรขนิษฐา
|
แต่ปลาบิน ๆ หนีโดยปรีดา | | หนีน้องยาพี่ต้องทำโดยจำใจ
|
อีกกระโห้โลมาปลาหัวบาตร | | มัจฉาชาติหลายพรรณสุดกลั่นไข
|
บ้างเคล้าคู่เป็นหมู่อยู่แต่ไกล | | นึกอายใจกับมัจฉาเรามาเดียว
|
พี่ชมปลามาชมแสงสุริย์ฉาย | | เธอเบี่ยงบ่ายรับสมุทรสุดน้ำเขียว
|
นึกถึงน้องเหมือนใครบิดจิตเป็นเกลียว | | ให้ปลาบเสียวดังจะแยกแตกกระจาย
|
|
|
ครบวันหนึ่งมาถึงยังเกาะหมาก | | อีกหนึ่งปากเรียกปีนังดังใจหมาย
|
ขึ้นเที่ยวบกดูห้างสร้างเรียงราย | | มีของขายนานาสารพัด
|
ร้านฝรั่งแขกทั้งเจ๊กญี่ปุ่น | | ผู้คนเดินชุลมุนอยู่แออัด
|
พี่ขับรถลดเลี้ยวไปเที่ยววัด | | พวกจีนจัดสร้างไว้ได้บูชา
|
ล้วนเป็นพวกเศรษฐีมั่งมีทรัพย์ | | ออกเงินคนหนึ่งนับหลายดอลล่า
|
หวังกุศลผลบุญหนุนศรัทธา | | ในชาติหน้าเรื่องจรูญพูนทวี
|
เข้าประตูถึงชลาตรงหน้าวัด | | เงียบสงัดนี่กระไรไฉนนี่
|
วัดจีนไม่เห็นสงฆ์สักองค์มี | | ดูท่วงทีท่าทางก็กว้างโต
|
ครั้นเดินไปอีกประเดี๋ยวเหลียวข้างซ้าย | | เห็นคนอ้วนอุ้ยอ้ายเดินโอดโอ่
|
ใส่กางเกงสีขาวทั้งยาวโต | | อีกเสื้อขาวพุงโรโย้ท้องมา
|
พี่จึงบอกแกไปไม่ลดเลี้ยว | | อยากจะเที่ยวชมวัดได้ไหมขา
|
แล้วถามไถ่ท่านคือใครน่ะขรัวตา | | แกบอกว่าเป็นสมภารอยู่นานแล้ว
|
กางเกงเสื้อขาวครองมองใช่ที่ | | ความศรัทราของพี่ไม่ผ่องแผ้ว
|
จะเหมือนสงฆ์ก็ที่ตรงศรีษะแวว | | จะเชื้อแถวพระเพราะโกนจนโล้นเตียน
|
แกยินดีชี้ให้พวกเรานั่ง | | เอาน้ำชามาตั้งแบบฮกเกี้ยน
|
เมล็ดแตงโมถั่วลิสงประจงเพียร | | ดูแนบเนียนจัดให้สมใจจริง
|
แล้วชักชวนพวกเราขึ้นเขาด้น | | แล้วดั้นด้นตรงโร่ไปโฮเต็ล
|
ทางไกลไปชั่วโมงหนึ่งจึงถึงที่ | | ของเลี้ยงมีรองท้องไม่ต้องเข็ญ
|
พักกินอยู่จนเห็นเวลาว่าเย็น | | ขับรถแล่นต่อไปเข้าในเวียง
|
|
|
โกลัมโบหญิงชายมีหลายหมื่น | | ดูครึกครื้นผู้คนสับสนเสียง
|
ต่างชาติพูดคนละอย่างต่างสำเนียง | | ฟังพูดเสียงไม่เห็นเพราะเหมาะหูเลย
|
หญิงอินเดียดูพักตรแต่สักนิด | | ไม่มีผิดดินหม้อพ่อคุณเอ๋ย
|
จะสาวสวยปานใดไม่น่าเชย | | ถึงเงินเปรยโปรยให้ก็ไม่ชม
|
หญิงลังกาหน้าตาค่อยยังชั่ว | | ไม่ดำมัวมอซอเหมือนหม้อต้ม
|
ถึงผิวเนื้อร่างกายค่อยคายคม | | ก็ขอชมแต่เนื้อเหลืองที่เมืองไทย
|
ครั้นสุริยันผันผายบ่ายลงแล้ว | | ดำเนินแนวทางมามิช้าได้
|
พอถึงท่ารีบมาลงเรือไฟ | | บัดเดี๋ยวใจเรือออกนอกลังกา
|
|
เห็นเวลาสายัณห์ตะวันคล้อย | | แล้วเลยลอยลับไปไร้เวหา
|
เหมือนพี่ร้างไร้นุชสุดอุรา | | เสียดายรักพักตราแสนอาลัย
|
เห็นเวลาจันทร์เคลื่อนดาวเกลื่อนฟ้า | | แสงจันทราเพ็ญส่องสุดผ่องใส
|
เห็นเดือนส่องหมองจิตยิ่งคิดไป | | เหมือนหน้านุชสุดสายใจวิไลพรรณ
|
คิดสิ่งใดก็ไม่ชวนให้หวนคิด | | เหมือนคิดมิตรยอดสวาทนาฎนวลขวัญ
|
คิดถึงหน้าคิดถึงเนตรทุกเกศกรรณ | | คิดทุกวันทุกเวลาโศกอาลัย
|
คิดถึงพักตรยามเจ้ายักเจ้าเยื้องย้อน | | คิดถึงเนตรยามเจ้างอนแล้วค้อนให้
|
คิดถึงสอยามพี่คลอสอดวงใจ | | คิดถึงเกศยามเจ้าใส่น้ำมันดี
|
คิดถึงโอษฐ์จิ้มลิ้มยามยิ้มย่อง | | คิดนาสายามเจ้าต้องจูบแก้วพี่
|
คิดถึงปรางยามพี่จูบลูบยวนยี | | คิดถึงถันยามพี่เคล้าคลึงชม
|
คิดถึงหลังยามงอนนั่งหันหลังให้ | | คิดถึงไหล่ยามพี่ซบประกบสม
|
คิดถึงเอวยามพี่กอดลอดรัดกลม | | คิดถึงกรเจ้ากรีดห่มสไบบาง
|
คิดถึงหัตถ์ยามกระหวัดรัดมือพี่ | | คิดถึงเพลงงามดีเมื่อเยื้องย่าง
|
คิดถึงบาทยามแม่ยาตราสำอาง | | คิดถึงนางไม่รู้เว้นเป็นอาจิณ
|
|
|
แสนระกำสุดร่ำแก้ผันได้ | | แสนอาลัยสุดอาดูรไม่สูญสิ้น
|
แสนรักนุชสุดรัหน้ายุพาพิน | | แสนเทวศสุดถวิลแทบสิ้นใจ
|
สุดร่ำคิดแสนรำคาญยังนานนัก | | สุดเห็นหน้าแสนหาพักตรไม่เปรียบได้
|
สุดจิตแม่นแสนใจหมางมาห่างไกล | | สุดใจครากแสนอยากใคร่ได้เห็นนวล
|
สุดจะหักแสนจักให้ลืมน้อง | | สุดจะลองแสนจ้องเล่าเฝ้ากลับหวน
|
สุดจะคิดแสนจิตคุไฟลุลวน | | สุดร้อนนักแสนรักล้วนป่วนฤทัย
|
ถ้าไปได้ก็จะใคร่ไปหามิตร | | ถ้าปลิดได้ก็จะปลิดชีวิตให้
|
ถึงจากนานก็ไม่ลืมแม่ปลื้มใจ | | ถึงจากไกลก็ไม่ใช่ใจจรดกัน
|
|
|
ตกย่านนี้หลายวันเรือนั้นได้ | | ถูกคลื่นใหญ่ซัดฟาดไม่หวาดหวั่น
|
ด้วยเรือใหญ่ไม่ต้องกลัวหัวฟาดฟัน | | ตัดสบั้นคลื่นแยกแตกกระจาย
|
ที่ขัดข้างผางเปล่าที่ใต้ท้อง | | แตกเป็นฟองพุ่งกระเด็นเป็นฝอยหาย
|
เรือเช่นนี้ไม่ต้องกลัวมัวเมามาย | | แล่นในสายสมุทรใหญ่ไม่โคลงแคลง
|
|
|
ล่วงได้หกราตรีเรือรี่แล่น | | มาถึงแดนเมืองเอเด็นเป็นตำแหน่ง
|
ทุกเดือนปีฝนไม่มีเป็นที่แล้ง | | ต้นไม้แห่งหนึ่งไม่พบประสบตา
|
เรือเมล์จอดทอดไกลไปเที่ยวยาก | | ต้องลำบากแจวตะบึงครึ่งชั่วโมงกว่า
|
ได้แต่ดูอยู่แต่ไกลสุดสายตา | | พอเห็นท่าท่วงทีมีตึกราม
|
พอเรือจอดพวกพ่อค้าขึ้นมาแยะ | | เที่ยวโลมและชวนชี้ไม่มีขาม
|
ให้คนซื้อของว่าดีมีงาม ๆ | | แต่พอถามราคาออกน่าเคือง
|
ควรห้าบาทบอกว่าขาดตัวถึงสิบ | | ใครซื้อฉิบหายเปล่าไม่เข้าเรื่อง
|
ไม่ควรซื้อเหลวไหลให้สิ้นเปลือง | | แต่สักเฟื้องไม่ได้ออกบอกจริงใจ
|
เรือแวะจอดถ่ายสินค้าห้าโมงเศษ | | ไม่มีเหตุขัดข้องล่องเรือได้
|
กับปิตันมันเคาผู้เชาวน์ไว | | ให้รีบใช้จักรด้นในชลธี
|
เนามาในทะเลแดงเข้าแจ้งเหตุ | | ให้สังเกตว่าน้ำดำมิดหมี
|
ที่เรียกแดงมิใช่แสงในวารี | | เป็นเพราะสีฟ้าแดงแจ้งใจจง
|
เวลาเย็นพระอาทิตย์ลงมิดน้ำ | | ดูแดงก่ำท้องฟ้าน่าพิศวง
|
มีสีรุ้งทับแซงไม่แดงตรง | | แม้นอนงค์เจ้ามาด้วยจะช่วยชี้
|
พิศสีแดงใจระแวงแดงโอษฐ์นุช | | แดงสวยสุดจิ้มลิ้มทับทิมสี
|
พิศสีเหลืองรุ่งเรืองเหลืองเรื่อดี | | งามเหมือนสีเนื้อเจ้าเศร้าอกเรียม
|
พิศชมพูแลดูอยู่ที่แก้ม | | จรดลขึ้นบันไดวิไลยิ่ง
|
ข้างขวาซ้ายรายต้นไม้ใจประวิง | | คิดถึงมิ่งแม้แม่มาน่าจะดี
|
พี่จะชวนชูอารมณ์ชมต้นไม้ | | ออกดอกใบหลายอย่างต่าง ๆ สี
|
พวงพยอมหอมหวานบานบุรี | | มลิวันมลุลีจิดจันทร์ปรง
|
กุ่มเกษแก้วกรรณิการ์การะเกด | | จำปาเทศซ่อนชู้พู่ระหง
|
ดอกสายหยุดพุดระกำลำดวนดง | | จำปีจำปากาหลงกุหลาบแดง
|
ยี่สุ่นย้อยบานเย็นแย้มยี่โถเยื้อง | | มะไฟมะเฟืองมะงั่วมะก่อมะฝ่อแฝง
|
มะปรางมะปริงหิ่งหายดงมะยงมะแว้ง | | มะยมแซงขานางกร่างกรวยไกร
|
เล็บมือนางข้องนางอีกนางแย้ม | | นมพิจิตรสลิดแกมแซมไสว
|
สารภียี่เข่งเต็งลำไย | | สลัดไดโศกสักรักโรครง
|
บานไม่โรยดาวเรืองเฟื่องหนอนไก่ | | ดอกกล้วยไม้มหาวรรณมหาหง
|
อีกส้มซ่าส้มโอโลทะนง | | ดอกพยงโยทะกามณฑาทอง
|
บ้างผลิดอกออกช่อมณฑาเกิด | | พี่ชมเพลิดเพลินไม่วายหายหม่นหมอง
|
เห็นภุมรินเคล้าคู่อยู่ประคอง | | คิดถึงน้องไม่ได้เจ้ามาเคล้าคลึง
|
แล้วหักจิตจรดลเดินด้นต่อ | | ไม่รั้งรอบัดเดี๋ยวใจก็ไปถึง
|
ยังซึ่งโบสถ์งามวิโรจน์แลตะลึง | | ทำลึกซึ้งกว้างขวางตรงกลางมี
|
พระพุทธองค์ใหญ่วิไลล้ำ | | ปิดทองคำผุดผ่องไม่หมองศรี
|
พี่ยกมือกราบงามลงสามที | | ขอจงไปครั้งนี้อย่ามีภัย
|
อีกหนึ่งขอโรคันให้พลันหาย | | ทุกสิ่งสรรพ์ภยันตรายอย่ามาใกล้
|
อนึ่งข้าจะประสงค์ตรงสิ่งใด | | ขอจงให้สมดังจิตที่คิดปอง
|
หนึ่งบิดามารดาของข้าเจ้า | | ญาติลูกเต้าภรรยาข้าทั้งผอง
|
ข้าเจ้าขอพระองค์จงปกครอง | | อย่าให้ต้องมีทุกข์สุขทั่วกัน
|
ครั้นเสร็จอธิษฐานสำราญจิต | | พระสะกิดบอกให้พี่ผ่ายผัน
|
พี่ตามพระขึ้นบันไดรีบไปพลัน | | ก็ถึงชั้นสูงสุดหยุดนั่งพัก
|
แลดูไปข้างล่างดูว้างเวิ้ง | | เขาเป็นเชิงลดลั่นน่าขันหนัก
|
ดงมะพร้าวสุดลูกตาดูน่ารัก | | พระแกชักชวนดูอยู่ก็นาน
|
ขอลากลับแกบังคับให้กินก่อน | | ร้องเรียกวอนลูกศิษย์ยกคาวหวาน
|
ศิษย์ก็ไววิ่งไปไม่ทันนาน | | ยกเอาจานหมี่มาท่าดีครัน
|
พี่ลองเชิญขรัวตามาเจี๊ยะบ้าง | | แกบอกอ้างผิดเวลาขรัวตาฉัน
|
ขรัวตาต้องคอยเวลายามสายัณห์ | | พระที่นี่เคร่งครันฉันข้าวเย็น
|
เรากินแล้วจึงลาแกคลาคลาด | | ไม่ทันช้าภาณุมาศไม่แลเห็น
|
หนาวน้ำค้างพร่างพรมเมื่อลมเย็น | | ดวงดาวเด่นในเวลาล่วงสายัณห์
|
|
|
รีบรัดตัดทางมาไม่ช้าได้ | | ถึงวัดไทยเมืองปีนังดูช่างขัน
|
ที่มีวัดเพราะได้ไทยมากครัน | | ล้วนเมียจีนช่วยกันหลายครัว
|
โบสถ์วัดไทยนั้นเล็กมือเจ๊กก่อ | | มีหลวงพ่อชาวสงขลาดูน่าหัว
|
เป็นสมภารพูดต้ำพรื้อไม่ถือตัว | | พี่คุยกับท่านขรัวอยู่เป็นนาน
|
ถึงกาละลาพระสมภารกลับ | | พี่จึงนับเงินถวายได้อธิษฐาน
|
ขอกุศลดลใจให้เบิกบาน | | ไปสำราญหายโรคทุกข์โศกคลาย
|
แล้วขึ้นรถบทจรไม่ผ่อนพัก | | ถึงสำนักเรือเมล์ยังเทถ่าย
|
ของสินค้าบรรทุกมานั้นมากมาย | | จนสุดท้ายขนโล่งเช้าโมงเลย
|
เรือจึงออกจากท่าหน้าเกาะหมาก | | ต้องจำพรากจากบกอีกอกเอ๋ย
|
คลื่นจะซัดลมจะตีไม่มีเสบย | | ได้ชมเชยก็แต่ฟ้าชลาลัย
|
|
|
นอนกลางคืนพี่ฝันเหมือนวันก่อน | | ว่าร่ำวอนลามิตรพิสมัย
|
ไปแต่เดียวเปลี่ยวจิตคิดอาลัย | | ฝันนั้นไซร้กล่าวเป็นกลอนวอนวาที
|
ข้างต้นนั้นว่า " ขวัญเอยขวัญตา | | พี่จำใจจำลามารศรี "
|
" แม้นจำใจไคลคลาอย่างพาที | | อย่าลืมน้องข้างนี้เมื่อพี่ไป "
|
" มิจำจิตก็มิคิดจะพรากรัก | | ยุพาพักตรอย่าลืมมิตรนะพิสมัย "
|
" แม้นรักจรองดังคำร่ำพิไร | | แล้วจะไม่ลืมคำพี่รำพัน "
|
ตกใจตื่นลืมตาคว้าหาเจ้า | | เป็นไรเล่าไม่พบประสบขวัญ
|
ก็จำได้แน่ว่าปลอบโต้ตอบกัน | | กลายเป็นฝันไปอีกเล่าเศร้าใจตรอม
|
พอตื่นขึ้นเฝ้ารันทดกำสรดไห้ | | ความอาลัยน้องนี้เหลือเนื้อแม่หอม
|
โอ้ยอดรักยอดชีวิตจิตพี่ตรอม | | จนซูบผอมเผือดแล้วแก้วตาเรียม
|
ทำไฉนจึงจะได้ไปพบนุช | | แม่งามสุดสวาทงามทรามเสงี่ยม
|
พี่เห็นหญิงหมื่นแสนไม่แม้นเทียม | | เจ้างามเยี่ยมยิ่งสาวชาวอัมพร
|
|
ล่วงห้าวันพลันถึงลังกาเกาะ | | ช่างงามเหมาะนี่กระไรเรือไฟสลอน
|
พี่ขึ้นบกวกวนยลนคร | | นามกรโกลัมโบใหญ่โตครัน
|
มีของขายหลายอย่างห้างใหญ่ ๆ | | จะต้องการซื้อได้ทุกสิ่งสรรพ์
|
ขับรถออกจากนครจรจรัล | | ...
|
... | | ยามเจ้าแย้มโอษฐ์พริ้มยิ้มอายเหนียม
|
พิศสีนวล ๆ อะไรไม่เท่าเทียม | | งามเสงี่ยมนวลนุชสุดสายใจ
|
พิศสีโศกเรียมวิโยคถึงโศกน้อง | | โศกด้วยต้องจากมิตรพิสมัย
|
พิศสีม่วงง่วงเหงาเศร้าฤทัย | | เหมือนผ้าม่วงน้องใช่นุ่งไปงาน
|
สีสวาดใจจะขาดสวาทเจ้า | | อุราเร่าร้อนกระไรสุดไขขาน
|
พิศสีฟ้าคือว่าเยาวมาลย์ | | เจ้างามปานนางฟ้าลงมาดิน
|
ชมแสงฟ้ามิทันช้าฟ้าก็มืด | | อากาศชืดเย็นฉ่ำมืดคล้ำสิ้น
|
หมองอารมณ์ก้มหน้าน้ำตาริน | | แต่จากถิ่นมาก็ได้หลายเวลา
|
โอ้จากไปไกลน้องหมองหม่นไหม้ | | แสนอาลัยร้างมิตรขนิษฐา
|
ทรวงปราบเสียวเปลี่ยวเปล่าเศร้าอุรา | | เสียดายคราคราวสวาทไม่คลาดคลาย
|
โอ้กรรมตามยามเข็ญเป็นไปได้ | | สุดสายใจจำร้างเจ้าห่างหาย
|
แม้นเมื่อไรได้มาแอบแนบกับกาย | | จะจูบซ้ายขวาซ้ำให้หนำใจ
|
|
|
ทะเลแดงคลื่นเรียบเปรียบแม่น้ำ | | ทั้งเช้าค่ำเรือเดินดำเนินได้
|
มากกว่าที่เขากะระยะไว้ | | ได้กำไรหนึ่งวันดั้นด้นมา
|
ค่ำวันหนึ่งจวนจะถึงเมืองสุเอซ | | กัปปิตันสั่งเสร็จให้เตรียมท่า
|
จะมีการรำเต้นเล่นเฮฮา | | ตามประสาขัดสนจนที่ทาง
|
เข้าจัดธงบริวารขึ้นพานพาด | | บ้างก็ดาษแคมเรือแลสล้าง
|
บ้างแทนม่านหุ้มเสาเข้ากั้นกาง | | ไฟฟ้าสีจุดสว่งช่างกลั่นเกลา
|
ล่วงเวลาทุ่มยามตามกำหนด | | พวกโดยสารพร้อมหมดต่งกินข้าว
|
ดื่มเมรัยน้าองุ่นฉุนไม่เมา | | บ้างดื่มเหล้าชามเปญซาบเย็นทรวง
|
มีดนตรีเครื่องสายบรรยายเสียง | | ฟังเพราะเพียงชื่นใจไม่เหงาง่วง
|
หวนระลึกนึกหน้าสุดาดวง | | โดยความห่วงไม่รู้ลืมเจ้าปลื้มใจ
|
ซอไวโอลินดิ้นดีดช่างกรีดสี | | ฟังเสียง อี ๆ เอื้อยเฉื่อยเสียงใส
|
ซอเซโลเสียงกลางครางพิไร | | ซอคันใหญ่เป็นทุ้มเสียงฮุมฮำ
|
อีกเสียงแตแต้แตแต๋แตรคอเน๊ต | | ตร๊ดนะเร็ดตุ้ยตุยเสียงขลุยขำ
|
เสียง อี่ ๆ คือว่าปี่มีประจำ | | รวมกันทำแต่ละเพลงวังเวงใจ
|
เพลงฝรั่งแม้นฟังไปก็เพราะ | | จะจงเจาะเปรียบปี่พาทย์ไทยไม่ได้
|
ด้วยทำนองสำเนียงเลี่ยงกันไป | | ฟังข้างไหนดูเสนาะเพราะเท่ากัน
|
เวลายามตามบรรดาพวกฝาหรั่ง | | ต่างคนพรั่งพร้อมเดินเชิญสาวสวรรค์
|
เป็น คู่ ๆ เต้นรำประจำกัน | | ต่างหุนหันเหหวนไม่ซวนเซ
|
มือขวากอดสอดเอวมือซ้ายรับ | | ประคองจับมือแม่สาวก้าวหันเห
|
บางคนรูปร่างย่อมผอมเกเร | | ต้องชักเร่นางอ้วนชวนหัวเราะ
|
หญิงบางคนเล่นตาทำหน้ายิ้ม | | ชายกระหยิ่มเข้าใจได้ทีเหมาะ
|
ทำท่วงทีท่าทางอย่างจะเคาะ | | ว่าจงเจาะรักใคร่ที่ใจนาง
|
หญิงบางคนพันเขียวเต้นเลี้ยวลิ่ว | | ชายหน้านิ่วไม่ถูกตาทำหน้าขวาง
|
ไม่ปราศรัยอิดเอื้อนเบือนลูกคาง | | เห็นท่าทางดูจะเหม็นเป็นขี้ฟัน
|
อีกคนหนึ่งอ้วนต่ออ้วนขวนดูนัก | | เต้นอึกอักดูท่าดูน่าขัน
|
ท้องต่อท้องพุ่งซ้นเข้าชนกัน | | ยังดื้อดันเต้นได้ชนไปเทอะ
|
อีกคู่หนึ่งนั้นย้ายชายสูงปรี๊ด | | ฝ่ายหญิงนิดเตี้ยสั้นขี้ฟันเปรอะ
|
ผู้ชายฟันหลอหักแสนจะเคอะ | | มองดูเจอะคู่ดี ๆ มีอีกแยะ
|
คู่หนึ่งหญิงร่างใหญ่ได้ชายเล็ก | | กะโผลกกะเผลกข้างชายล้มหงายแผละ
|
หญิงสะดุดล้มซ้ำลงต้ำแงะ | | ผู้ชายแบะหน้าบูดไม่พูดจา
|
ที่หนุ่มสาวคราวเดียวเต้นเลี้ยวลด | | ท่าระทดอ่อนระทวยสวยสมหน้า
|
ทำชะม้อยแลชะม้ายชายหางตา | | ยังรุ่นราวสาวสง่าน่าเชยชม
|
ดูเอวบางร่างน้อยแช่ช้อยชด | | ดูงามหมดตั้งแต่เท้าจนเผ้าผม
|
ดูพักตรารวยระรื่นชื่นอารมณ์ | | ดูงามสมสรรพางค์สำอางตา
|
งามจริตกิริยางามมารยาท | | งามสะอาดเปล่งปลั่งดังเลขา
|
ผิวพรรณผ่องผุดขาวราวกับงา | | อนิจจาเคลิ้มจิตคิดฟั่นเฟือน
|
เรามีคู่งามสง่ากว่านี้เยอะ | | ไปหลงเลอะชมฝรั่งพลั้งโอษฐ์เอื้อน
|
ที่จริงใจมิได้ลืมแม่ปลื้มเรือน | | โอ้แม่เพื่อนคู่ชีวิตอย่าคิดเคือง
|
หญิงฝรั่งดูไกลพอไปได้ | | ถ้าพิศใกล้แล้วก็เห็นไม่เป็นเรื่อง
|
ถึงขาวก็ผิวหยาบปลาบตาเปลือง | | แม่เนื้อเหลืองผิวละเอียดเรียดละไม
|
ดูเขาเล่นเต้นรำนึกขำจิต | | ใครเป็นผู้แรกคิดแรกขานไข
|
ไม่รู้จักกันก็ได้ไม่เป็นไร | | กอดกันได้กลางสนามยามเฮฮา
|
มิหนำซ้ำเลือกจ้ำทุกคนได้ | | สุดแต่ชอบผู้ใดก็ไปหา
|
แล้วเชื้อเชิญเขาให้ดีด้วยปรีดา | | ถึงภรรยาเขาก็ได้ดังใจจง
|
ถ้าเป็นไทยคงไม่คว้ากันยุ่ง | | ได้เกิดทุ่งเถียงท้าด่าขมง
|
ถึงจะเต้นกันโดยดีทีก็คง | | จะเกิดสงสัยว่าแกล้งจะแย่งชิง
|
เป็นใจพี่ ๆ ก็หวงแม่ดวงจิต | | ไม่อยากให้ใครชิดแม่ยอดหญิง
|
เพราะคนไทยเล่นอย่างนี้คงมีจริง | | ลอบแอบอิงกันง่าย ๆ ไม่อายใคร
|
สุดเอยสุดสงวนชวนชื่นจิต | | เจ้างามพิศพักต์เด่นดังเพ็ญไข
|
จะถนอมเนื้อเย็นให้เห็นใจ | | ว่ารักใคร่น้องแน่ไม่แปรปรวน
|
สงวนอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเท่า | | สงวนเจ้านิ่มนุชสุดสงวน
|
เจ้าเนื้อหอมรวยระรื่นชื่นชิดชวน | | สุดสงวนเจ้าแล้วแก้วกลอยใจ
|
ณ วันที่ยี่สิบสองย่ารุ่งเศษ | | ถึงสุเอซพาราไม่ช้าได้
|
รีบขนของหลายหลากจากเรือไฟ | | แล้วขึ้นไปยังท่าลาเรือเมล์
|
| | |
|