พระรถนิราศ
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 12:02, 19 สิงหาคม 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: เจ้าพระยาพระคลัง(หน)
บทประพันธ์
๏ ศิโรดมประณมนิ้วขี้นเหนือเศียร | ||||
ต่างประทีปธูปทองประทุมเทียน | จำนงเนียนนบบาทพระศาสดา | |||
อันเป็นปิ่นรัตนโมลี | พระบารมีนับสิ่งสังขยา | |||
จึงสำเร็จสรรเพชญ์ประมวลมา | เทศนาโปรดสัตว์อนันต์ครัน | |||
ให้ถึงห้องมหาศิวาโมกข์ | ระงับโศกสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ | |||
เทพบุตรครุฑาและคนธรรพ์ | สารพันสรรเสริญจำเริญคุณ | |||
หนึ่งข้าขอนบพระอภิธรรม | อันลึกล้ำคัมภีรภาพพรรณนาสุนทร์ | |||
ธรรมซึ่งสังวัธยาย์การุณ | พระคุณนั้นล้ำล้นอเนกา | |||
หนึ่งข้าขอนบพระบวรสงฆ์ | อันได้ทรงอนุญาตพระศาสนา | |||
ได้แนะนำสำเนาอดีตกาล์ | มาแจงจัดวัจนาโดยบาลี | |||
ยามใดได้สดับซึ่งบรรหาร | ก็ซึมซ่านซาบทรวงเกษมศรี | |||
ดังอมฤตทิพรสวารี | ให้ปีติอิ่มเอิบเสบยบาน | |||
หนึ่งไหว้วรคุณอดุลย์เดช | พระปิตุเรศชนนีเป็นสองสถาน | |||
พระคุณแม่แต่อุ้มอุทรธาร | จะนับนานปานชีพยงยืน | |||
เฝ้าผดุงบำรุงบำเรอเสถียร | ทั้งอาเจียนอุจจาระก็ฝ่าฝืน | |||
พระคุณจริงยิ่งลบดังกลบกลืน | ทั้งแผ่นพื้นภพโลกชโลธร | |||
หนึ่งขอนบคุณพระครูเฒ่า | ได้แนะนำสำเนาซึ่งคำสอน | |||
ช่วยชูเชิดให้เลิศในบทกลอน | จงขจรประจักษ์แจ้งในธาตรี | |||
จะขอกล่าวตามราวระบอบบท | มธุรสวาทินพระชินศรี | |||
โปรดสัตว์เทศนาในบาลี | พระคัมภีร์ชาดกประมวลมา | |||
ถ้าผิดเพี้ยนเปลี่ยนข้อคดีใด | ขออภัยอย่าได้มีซึ่งโทษา | |||
ข้าพเจ้ายังเยาในปัญญา | พึ่งศึกษาสอนรู้ในครูเรียน | |||
ขอเดชะพระพุทธมาปกเกล้า | พระธรรมเจ้าปกจอมกระหม่อมเศียร | |||
ทั้งพระสงฆ์ผู้ทรงศีลาเจียร | มาเสถียรทำนุบำรุงชู | |||
ให้ภิญโญยวดยิ่งปัญญายล | ในนิพนธ์พริ้งเพราะเสนาะหู | |||
ให้โปร่งเปรื่องเฟื่องฟ่องคะนองฟู | เป็นที่เชิดชูประชาชน ฯ | |||
๏ จะเริ่มเรื่องพระรถนิราศสวาท | บำราศร้างห่างห้องระเหระหน | |||
เสด็จเดียวเปลี่ยวเทวษเสวยชนม์ | ประจวบจนด้าวแดนพนาดร ฯ | |||
๏ ฝ่ายนาฏเมรีศรีสวัสดิ์ | บรรทมเหนือแท่นรัตน์ปัจถรน์ | |||
ดาวเดือนเลื่อนลับยุคนธร | จะใกล้แสงทินกรอโณทัย | |||
ฟื้นกายชายเนตรลืมฉงน | มิได้ยลพระยอดพิสมัย | |||
แสนโศกปริเทวนาใน | อรไททุ่มทอดสกนธ์กาย | |||
ให้เดือดดาลอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรคลอคลองคะนองสาย | |||
พลางปลุกนางรำจำเรียงราย | สาวสนมทั้งหลายก็ฟื้นตน | |||
มิได้ทราบเรื่องต้นโดยคดี | เสาวนีย์จึ่งแจ้งแห่งนุสนธ์ | |||
ว่าบัดนี้พระยอดนฤมล | สถิตบนแท่นแก้วแล้วหายไป | |||
เห็นเป็นวิปริตผิดประหลาด | ภูวนาถเสด็จดลไปหนไหน | |||
หรือว่าผ่านฟ้าเสด็จไป | สถิตในโรงราชพาชี | |||
ประหลาดใจเมื่อใกล้เข้ายามสอง | อาชารนร้องในโรงมี่ | |||
เอ๊ะผิดแล้วพระแก้วกับพาชี | หรือว่าหนีคืนหลังไปยังเมือง | |||
เร็วเถิดสาวใช้ไปค้นหา | แต่กิจจาอย่าให้ใครฟุ้งเฟื่อง | |||
เกลือกว่าอยู่รู้ความจะขุ่นเคือง | จงยักเยื้องแยบคายชม้ายดู | |||
แม้นท้าวไปชมสนมใน | อย่าทำให้ท้าวไทเธออดสู | |||
แต่เอาเหตุมาแจ้งแสดงกู | ค้นดูบัดนี้อย่าวุ่นวาย ฯ | |||
๏ ฝ่ายนางสนมในได้สดับ | คำรพรับพจมานคลานขยาย | |||
ออกมาจัดสรรกันมากมาย | บ้างแยกย้ายรายทั่วทั้งเรือนจันทน์ | |||
บ้างก็จุดประทีปเทียนส่อง | ทุกชั้นช่องห้องปรางค์นางสาวสรร | |||
ทั้งที่สรงที่เสวยเคยจรัล | สาวสรรสอดส่องทุกห้องนาง | |||
จนสิ้นเขตพระนิเวศน์เรือนหลวง | ฝูงนางทั้งปวงยิ่งหมองหมาง | |||
ต่างคิดคะนึงนึกทุกนวลนาง | ชรอยร้างนคเรศบุรีไกล | |||
ฤาเสด็จโรงราชกุญชร | ภูธรประพาสเล่นเป็นไฉน | |||
ฝูงนางก็ชวนกันลงไป | ด้วยสงสัยไม่แจ้งในกิจจา | |||
ก็เที่ยวทั่วโรงรถคชเรศ | แล้วประเวศวงเวียนจังหวัดหา | |||
เห็นสูญสิ้นพระนรินทร์ทั้งอาชา | กัลยาทั้งหลายก็ตกใจ | |||
แล้วชวนกันวิ่งวางมาปรางค์รัตน์ | ประณมหัตถ์ทูลแจ้งแถลงไข | |||
ข้าเที่ยวหาทุกห้องตำหนักใน | ก็มิได้พบองค์พระทรงฤทธิ์ | |||
ทั้งโรงอัศดรกุญชรชาติ | เคยประพาสแต่ก่อนจรสถิต | |||
อนึ่งซึ่งอาชาที่ชอบชิด | ก็เห็นผิดหายไปไม่พบพาน | |||
แม่นแท้ท้าวแกล้งมาลวงโลม | ภิรมย์โฉมแล้วร้างห่างสมาน | |||
แล้วทอดทิ้งมิ่งแม่ให้อัประมาณ | แต่จะดาลอกโอยไม่ราวัน | |||
ทูลพลางทางทอดสกนธ์กาย | ทั้งหลายพ่างเพียงจะอาสัญ | |||
โหยไห้พิไรรำพันครัน | ก็โศกศัลย์ไปสิ้นทั้งวังใน ฯ | |||
๏ นางท้าวเสาวนีย์พจนาถ | ให้หวั่นหวาดวาบหวามพระทัยไหว | |||
อุระร้อนเริมรุมดังสุมไฟ | ความอาลัยในองค์พระพัสดา | |||
สองกรช้อนทรวงกันแสงร่ำ | ว่าโอ้กรรมอันใดแก่ตัวข้า | |||
แต่เพียงพรากจากองค์พระมารดา | นานมาได้พึ่งพนะสามี | |||
หมายใจว่าจะได้เป็นปิ่นเกศ | ภูวเรศก็มาหน่ายแหนงหนี | |||
จะขัดเคืองสิ่งใดก็ไม่มี | นี่เนื้อว่าเวรีได้ทำมา | |||
มิทันไรก็มาไร้นิราศผัว | เหมือนหญิงชั่วชายร้างเสน่หา | |||
โอ้โอ๋อกเอ๋ยอาตมา | จะกินแต่น้ำตาไม่รู้วาย | |||
ร่ำพลางทางดูซึ่งโอสถ | ทั้งกำพดดวงเนตรก็สูญหาย | |||
ประจักษ์ยลว่าเป็นกลอุบาย | ยิ่งฟูมฟายชลนาจาบัลย์ | |||
โอ้ไฉนพระยอดเสน่ห์น้อง | มาปกครองกรุงไกรไอศวรรย์ | |||
เมียค่อยผาสุกทุกคืนวัน | ประชากรกุมภัณฑ์ก็เปรมปราย | |||
ทั้งฝูงนักสนมอเนกแน่น | ความแสนสุขล้ำเหลือหลาย | |||
ทุกหมื่นเมืองเลื่องชื่อลือขจาย | ยอมถวายอภิวาทน์วันทามา | |||
ควรหรือพระมิ่งมงกุฎเกศ | มาทุเรศแรมร้างเสน่หา | |||
หมายใจว่าพระนี้เมตตา | ไม่สงกาพาซื่อจนเสียการ | |||
อนิจจาพระจอมกระหม่อมโลก | มาซัดเสียให้โศกไม่สงสาร | |||
แทบจะสูญสุดสิ้นชนมาน | ฤดีดาลเดือดดิ้นดังอัคคี | |||
ทั้งนี้เป็นต้นด้วยอัศดร | มันเสี้ยมสอนเสนอให้เธอหนี | |||
พาท้าวเหาะเหินจากธานี | ไม่ทันรุ่งราตรีทิวากาล | |||
อกเอ๋ยอยู่ไยให้เป็นคน | ประชาชนครหาจะว่าขาน | |||
สำหรับแต่จะอัประมาณนาน | เหมือนหญิงร่านพาลผัวไปจากเมือง | |||
แม้นระบือลือข่าวถึงด้าวใด | กิตติศัพท์ถึงไหนก็ฟุ้งเฟื่อง | |||
ว่าหญิงชั่วผัวร้างไว้แรมเมือง | เครื่องจะเคืองคำคนเขานินทา | |||
ร่ำพลางทางทอดพระองค์ลง | กันแสงทรงเพียงจะสิ้นสังขาร์ | |||
แล้วทอดถอนกรทุ่มอุระพา | โอ้โอ๋พระยอดฟ้าไม่เห็นใจ | |||
อยู่หลัดหลัดซัดเสียให้เมียโหย | มาร่วงโรยเรี่ยวแรงกันแสงไห้ | |||
พระสุรเสียงพิลาปวังเวงใจ | สลบไปในราชเรือนจันทน์ ฯ | |||
๏ ฝ่ายนางสนมสนิทข้าง | เห็นนวลนางโศกเศร้ากันแสงศัลย์ | |||
สลบลงนิ่งแน่อยู่แตยัน | สองหัตถ์รุมรันซึ่งอุรา | |||
โอ้แม่ขวัญเมืองผู้เรืองโฉม | งามประโลมเลิศล้ำดังเลขา | |||
เป็นใหญ่ยอดยิ่งกัลยา | ควรหรือมาสิ้นชีพชีวาลัย | |||
ละข้าสาวสนมสมบัติแล้ว | ทั้งปรางค์แก้วเรือนทองอันผ่องใส | |||
เสด็จเข้าสู่สวรรคาลัย | ก็ชวนกันร่ำไห้ทั้งเรือนจันทน์ | |||
ดุจหนึ่งลมเพชรหึงหวน | ให้เซซวนซอนซบสยบสยัน | |||
มี่อึงคะนึงไปอาลัยครัน | ก็โศกศัลย์ร่ำรักพระธิดา | |||
แต่ล้วนนวลนางนักสนม | อกกรมพ่างเพียงจะเป็นบ้า | |||
จึ่งวิ่งเข้าอุ้มองค์พระธิดา | เห็นกายาอุ่นอ่อนอยู่ทั้งองค์ | |||
ก็แจ้งว่ายังไม่บรรลัยลาญ | จึงเอาสุคนธาธารมาโสรจสรง | |||
หอมชื่นค่อยฟื้นพระองค์คง | เห็นอนงค์นั่งแน่นอยู่ทั้งปรางค์ | |||
ความแค้นยิ่งแสนอเนกนับ | จะคืนกลับขัดข้องยิ่งหมองหมาง | |||
โหยไห้พิไรร่ำครวญคราง | ปิ้มนางจะวายชีวาวัน ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าข้าสนมคนสนิท | เข้านั่งชิดแนบโฉมประโลมขวัญ | |||
ว่าโอ้เจ้าเยาวลักษณ์วิไลวรรณ | จะโศกศัลย์อยู่ฉะนี้มิเป็นการ | |||
จงดับศาเสียบ้างให้บางเบา | ควรเราจะจัดพลทวยหาญ | |||
เร่งรีบติดตามพระภูบาล | ไหนจะพ้นมือมารอย่าสงกา ฯ | |||
๏ นางฟังสาวสนมทูลสนอง | ค่อยคลายคล่องอัดอั้นในนาสา | |||
จึงมีมธุรสพจนา | สั่งหมู่เสนาให้เตรียมพล | |||
เร่งฆาตกลองไชยเภรี | อันเป็นที่ชุมนุมแห่งพหล | |||
ฝ่ายมารฟังสารทยานบน | เพิดพลพวกมารทยานกาย | |||
เภรีร้องก้องโกญจนานาท | ดั่งฟ้าฟาดเสียงก้องคะนองสาย | |||
พลมารผันผยองลำพองกาย | ก็ผันผายเผ่นขึ้นโพยมมาน | |||
ลางตนรณฤทธิกำแหง | ตาแดงดั่งดวงพระสุริฉาน | |||
เขี้ยวงอกออกยาวยื่นทยาน | สูงตระหง่านเงื้อมง้ำเมฆิน | |||
บ้างก็ทำสีหนาทผาดโผน | จะจู่โจนจับดวงพระสุริย์สิน | |||
ดาวเดือนเลื่อนดับลงลับดิน | ธรณินกัมปนาทสำเนียงพล | |||
เสียงรถเสียงทศโยธา | โกลากึกก้องโพยมหน | |||
อัดแน่นล้วนแสนกุมภัณฑ์พล | เคยผจญข้าศึกในสงคราม | |||
พลทวนล้วนมหิทธิสำหาว | พลง้าวดาบดั้งดาษสนาม | |||
พลปืนยืนยงในสงคราม | พลหอกกลอกตามกระบวนฤทธิ | |||
ต่างแข่งสำแดงซึ่งเดชา | โกฏิแสนแน่นมาเป็นอกนิษฐ์ | |||
เคยประจญประจันปัจจามิตร | ทศทิศย่อย่นไม่ทนทาน | |||
ล้วนหมู่ยักษีมีพยศ | มาหมดพร้อมสิ้นทุกถิ่นฐาน | |||
หมอบเฝ้าสุดาหน้าพระลาน | คอยฟังสารราชกิจการณรงค์ ฯ | |||
๏ ฝ่ายนาฏเมรีศรีสมร | แต่อาวรณ์สังเวชพิศวง | |||
ทอดคอนหฤทัยระทวยองค์ | ไม่เป็นสรงเป็นเสวยโภชนา | |||
เสด็จด่วนมายังที่นั่งเกย | จึ่งผายเผยสุนทรแก่ยักษา | |||
เราจะยกพยุหบาตรยาตรา | จึงปรึกษาโหราธิบดี | |||
โหรเฒ่าก้มเกล้าประณตสนอง | หมอบมองคอยพจนสารศรี | |||
นางท้าวจึงแจ้งแสดงคดี | ว่าบัดนี้พระรถนิราไกล | |||
เราจะยกพวกพหลพลตาม | จะเกิดความเคืองเข็ญเป็นไฉน | |||
จะพบท้าวด้าวแดนตำบลใด | ท่านจงไขกิจจาพฤฒาจารย์ ฯ | |||
๏ โหรเฒ่าเสาวนีย์คดีแสดง | ประจักษ์แจ้งคัมภีร์สี่สถาน | |||
จึ่งประมูลทูลเจ้าเยาวมาลย์ | แต่เริ่มการมากรุงข้ากริ่งใจ | |||
ได้ทูลทัดขัดขวางแต่เดิมที | พระเทพีมิเชื่อจะทำไฉน | |||
บัดนี้ที่จะตามพระองค์ไป | เห็นสุดไกลไพรกว้างกลางพนม | |||
อสุราฤทธาสักเพียงไหน | แต่เพียงได้พานพบประสบสม | |||
เห็นท้าวจะไม่คืนบุรีรมย์ | จะเกรียมกรมยากแค้นแสนทวี | |||
ฝ่ายแม่ก็จะแดอาดูรดิ้น | เห็นจะสิ้นพฃชีพม้วยเป็นผี | |||
ไหนเลยจะได้คืนบุรีมี | อันเคราะห์นี้ร้ายนักพระเทพิน ฯ | |||
๏ นางฟังโหรเฒ่าสำเนากิจ | ดั่งกรดกริชกรีดศอให้ขาดสิน | |||
หวั่นไหวไปทั่งทั้งกายิน | ชลนัย์ไหลรินดั่งธารา | |||
อกเอ๋ยไหนเลยแต่นี้เล่า | จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าทรวงนิราศา | |||
ฝูงชนเขาจะชวนกันนินทา | จะโศกาก่นร่ำระกำกาย | |||
จะอยู่ไยในเมืองให้เคืองคน | ไปสิ้นชนม์เสียเถิดให้สูญหาย | |||
ตรัสพลางให้เคลื่อนพลนิกาย | แล้วสั่งนายสิทธิกรรม์ทันใด | |||
ท่านผู้เชี่ยวชาญชำนาญเดช | อิทธิเวทมนต์แปรแก้ไข | |||
เร่งติดตามพระรถยศไกร | ถ้าทันไทเชิญท้าวเข้าพารา | |||
อันซึ่งอัศดรตัวยง | ท่านจงกินเล่นเป็นภักษา | |||
แต่โลหิตอย่างให้ติดพสุธา | อสุราเร่งรีบไปเร็วไว | |||
สิทธิกรรม์รับสั่งสั่งพหล | อลวนวิ่งวุ่นอยู่หวั่นไหว | |||
เอิกเกริกเลิกทัพจรัลไคล | เข้าใจไพรพฤกษาพนาวัน ฯ | |||
๏ ฝ่ายมิ่งเยาวมาลย์เมรีศรี | แต่โศกีวิโยคโศกศัลย์ | |||
เสด็จขึ้นเลียงผาวิลาวัลย์ | สาวสรรตามเสด็จเยาวมาลย์ | |||
เยาวมิ่งยิ่งไห้โหยถวิล | เทวษโอ้ภูมินทร์ไม่สงสาร | |||
ไม่สั่งเสียเมียบ้างพระภูบาล | ให้อกน้องละลานละเลิงใจ | |||
ละลานจิตพิศดูนิวาสสถาน | สถิตเถิดสำราญให้ผ่องใส | |||
ให้ผ่องศรีน้องนี้จะจำไกล | โอ้ที่ไหนจะได้กลับมายลเวียง | |||
ยลวังพระที่นั่งเคยสนุก | เคยสนานการสุขจะเศร้าเสียง | |||
จะเศร้าสิ้นทั้งสุราค์บำเรอเรียง | แต่นี้เวียงจะเงียบสงัดทรวง | |||
สงัดสิ้นอสุรินอสุเรศ | อสุรีนิเวศน์ในวังหลวง | |||
วังหลังแต่จะตั้งน้ำตาตวง | นับวันแต่จะร่วงไปแรมโรย | |||
แรมร้างห่างที่เคยบรรทม | เคยบันเทิงภิรมย์จะร่ำโหย | |||
จะร่ำหาสุดาอยู่เดียวโดย | โอ้อกโอยอาตมานิราไกล | |||
นิราศร้างปรางค์แก้วสุวรรณเมศ | สุวรรมาศวิเศษอันสุกใส | |||
อันสุกสีด้วยแสงมณีใน | จะมืดไหม้หมองจิตเป็นนิรันดร์ | |||
จะราร้างปรางค์นากอันหลากสี | อันหลากแสงแดงดีดูเฉิดฉัน | |||
เป็นช่อช่วงดังดวงรวิวรรณ | สารพันจะนิราศทั้งเรือนทอง | |||
ทั้งเรือนทิพสถานพิมานเมศ | พิมานเมืองอมเรศไม่เทียมสอง | |||
ไม่เทียมศรีแสงแก้วสุวรรณกรอง | โอ้แต่นี้จะหมองอยู่โรยรา | |||
โรยรินสิ้นแล้วนะอกเอ๋ย | อกโอ้มิเคยนิราศา | |||
นิราศแสนสมบัติทั้งพัสดา | นี่เนื้อสิ้นวาสนาเสียจริงจัง | |||
อกข้าเมรีนี้เป็นไฉน | หรือเวรใดได้สร้างแต่ปางหลัง | |||
พรากสัตว์ให้เขาพลัดจากรวงรัง | เวรหลังนั้นตามมาจำจอง | |||
อกเอ๋ยแต่นี้จะลับแล้ว | ดั่งดวงแก้วมืดมัวอยู่หม่นหมอง | |||
เมืองมารจะระงมกรมกรอง | จะนั่งนองน้ำตาไม่ราวัน | |||
โอ้แสดเสียดายไมตรีเอ๋ย | ยามเคยปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | |||
แสนสนิทพิศวาสไม่ขาดวัน | เป็นมหันตมโหโอฬาฬาร | |||
เมื่อพระปิ่นเมียแก้วมาปกเกศ | ครอบครองอสุเรศราชฐาน | |||
เมียน้อยค่อยได้สบายบาน | พลมารแสนสุขสนุกใจ | |||
พระเดชานุภาพก็แผ่เผื่อ | ทั้งใต้เหนือนบนิ้วประฌมไสว | |||
มหรสพตรลบทั้งกรุงไกร | ดังมีใน ฉ ชั้นสวรรยา | |||
ทั่วประเทศเขตมารไม่เดือดร้อน | ราษฎรได้สุขทุกถ้วนหน้า | |||
ก็ลือเลื่องดังเมืองอมรา | ในพื้นมหาชมพูไม่เปรียบปาน | |||
ยามท้าวสุขเกษมเปรมปรีดิ์ | มเหสีนอบน้อมมโนสมาน | |||
เคยถนอมกล่อมแก้วสุดามาร | เคยประสานสุรเรียงสำเนียงนวล | |||
เคยหยอกเย้ายียวนชวนเสน่ห์ | กำหนัดเล่ห์อาลัยประโลมสงวน | |||
เคยเยื้อนยิ้มริมช่องบัญชรชวน | เคยสรวลโสมนัสเปรมปรีดิ์ | |||
ยามสมเคยสุขในไสยาสน์ | เคยแสนพิศวาสสง่างศรี | |||
เคยสองร่วมรสฤดีดี | เคยมีมาโนชเปรมปรา | |||
ยามเสวยเคยเสวยบรมสุข | ยามสนุกเคยสนิทเสน่หา | |||
ยามสรงเคยสรงสุคนธา | โอ้ป่านฉะนี้หนาจะเนานาน | |||
นิเวศน์วังดังฤาจะพลัดพราก | ให้จำจากนิวานิวาสสถาน | |||
โอ้กรรมจำให้ไปเนานาน | สงสารแสนสุดที่รำพัน | |||
ร่ำพลางทางสั่งฝูงนิกร | เราจะจรจากมิ่งมไหศวรรย์ | |||
ท่านอยู่เถิดเป็นสุขทุกนิรันตร์ | อันน้องนี้นับวันไม่คืนมา ฯ | |||
๏ ฝ่ายฝูงชนชาติหญิงชาย | ก็ฟูมฟายชลเนตรเทวษหา | |||
มิอาจอั้นกลั้นซึ่งชลนา | ด้วยอาลัยดวงสุดาเสด็จจร | |||
สาวสนมกำนัลเจ้าขรัวนาย | ทั้งเตี้ยค่อมหม่อมยายตามสลอน | |||
ต่างต่างทนเทวษให้อาวรณ์ | ก็บทจรจากราชธานี ฯ | |||
๏ เสด็จถึงสวนขวัญอันอุดม | ที่เคยบรมสุขเกษมศรี | |||
รุกขชาติดาษดกอุดมดี | มลุลีลำดวนประดู่ดง | |||
สาวหยุดย้อยยื่นประยงค์แย้ม | แก้วแกมกระดังงากาหลง | |||
มะลิวัลย์เวียนอ้อมพะยอมดง | มหาหงส์ชงโคโยทกา | |||
ไทรย้อยสร้อยสนมะสังโศก | โอ้เหมือนยามวิโยคเสน่หา | |||
สาวหยุดเหมือนพระหยุดจำนรรจา | อัมพาเหมือนพระพาดำเนินจร | |||
ชมชวนเหมือนพระชวนให้ชมเถื่อน | นางแย้มเหมือนพระเยื้อนสโมสร | |||
นางกวักเหมือนพระกวักให้เมียจร | ขอนดอกเหมือนพระเด็ดให้เมียดม | |||
ลำดวนเหมือนพระด่วนสวาทว้าง | เต่าร้างเหมือนพระร้างนิราสม | |||
ส้มลมเหมือนหลงด้วยเล่ห์ลม | สุกรมกรรมจิตเพราะตายใจ | |||
ระกำเหมือนแสนระกำกลุ้ม | กระทุ่มเหมือนหนึ่งทุ่มแต่ทรวงไห้ | |||
สะบ้าเหมือนจะบ้าในจิตใจ | กาหลงหลงไห้อยู่เบยเบย | |||
คันทรงเหมือนพระส่งสุรเสียง | รังเรียงเหมือนร่วมเรียงเขนย | |||
ไม้รักเหมือนพระรักไว้แรมเลย | อบเชยชวดเชยภิรมย์กัน | |||
สวาดเหมือนสวาทมาตามแสวง | ชุมแสงเหมือนเมียกันแสงศัลย์ | |||
ยมโดยมาโดยแดนอรัญ | มะลิวัลย์ปิ้มจะวายชีวาวาง | |||
สะท้อนเหมือนสะท้อนอกสะทึก | แต่นึกนึกแล้วนิ่งคะนึงหมาง | |||
ตะแบกเหมือนแบกทุกข์มาเดินทาง | ไม้ยางเหมือนย่างบาทระยำ | |||
มะไฟเหมือนไฟมาเผาสุม | มะรุมเหมือนหนึ่งรุมอุระร่ำ | |||
ตะบากเหมือนแสนวิบากกรรม | มะกล่ำกล้ำกลืนแต่ความทุกข์ | |||
ส้มโอโอ้ยามมาวิโยค | เห็นโศกโศกเศร้าไม่มีสุข | |||
ลั่นทมมาระทมแต่ความทุกข์ | เดินบุกป่าระหงดงดอน | |||
ชมผลอันตระกลตระการกิ่ง | นางยิ่งระทดฤทัยถอน | |||
ไม่วางวายคลายเทวษให้อาวรณ์ | ก็จนจราสวนขวัญจรัลคลา ฯ | |||
๏ รีบรัดดัดดั้นอรัญประเทศ | แสนเทวษร้อนรนระหนหา | |||
ระหกระเหินเดินตามมรรคา | เมื่อยล้าสลดระทดใจ | |||
นางสนมกรมในไม่เคยยาก | แสนลำบากเวทนาน้ำตาไหล | |||
ล้มแล้วลุกคลานทะยานไป | จิตใจหิวโหยอยู่โรยแรง | |||
ข้ามห้วยเหวผาชลาสินธุ์ | สุดสิ้นกำลังเข้านั่งแฝง | |||
ครั้นหายหอบบอบบานสำราญแรง | กะแย่งขึ้นบนเนินบรรพตา | |||
สุริยนเสด็จเยี่ยมอุทัยทอง | ก็สาดส่องไขแสงสว่างหล้า | |||
ฝูงนางดำเนินในวนา | แผ่นผาผ่าวร้อนดังเปลวไฟ | |||
แต่จดย่องจ้องบาทไม่อาจย่าง | ในแถวทางโขดเขินเนอนไศล | |||
บาทาพองรองช้ำโลหิตใน | หนามไหน่เกี่ยวยับระยำเยิน | |||
ที่เดินเสียดเลียดลอดลดาวัลย์ | ก็เกี่ยวพันเกศาสยายเสยิน | |||
บ้างเปิดนมก้มหน้าพากันเดิน | ไม่ขวยเขินด้วยความลำบากกาย | |||
สงสารเจ้าเยาวลักษณ์อคเรศ | สุริเยศส่องแสงจำรัศฉาย | |||
พักตร์ผ่องเพียงดาวประกายพราย | ศรีสลายเศร้าสร้อยสลดลง | |||
ทั้งอาหารการสรงไม่เป็นเสวย | แต่บ่นเบยเลยลืมละลานหลง | |||
สติก็ไม่ตั้งดำรงตรง | ให้คะนึงถึงองค์พระภูธร ฯ | |||
๏ บัดนั้นสิทธิกรรม์ผู้ห้าวหาญ | เผ่นทะยานรียร้นพลสลอน | |||
เกลื่อนกลาดดาษไปในอัมพร | ดินดอนสะเทือนสะท้านดง | |||
สำแดงสิงหนาทตวาดเสียง | เปรี้ยงเปรี้ยงก้องป่าพนาระหง | |||
ไม้ไหล้ลุ่มล้มระทมลง | เป็นผงคลีเกลื่อนกลุ้มปัถพิน | |||
บ้างโถมเข้าทำลายกระจายเนิน | ระยำเยินย่อยยับไปหมดสิ้น | |||
เสือสีห์สิงหราชคชริน | จับกัดฟัดกินเป็นโกลา | |||
ลางมารมืดทมื่นใหญ่ทโมน | เผ่นโผนเข้าถีบเอาภูผา | |||
เครงครื้นพื้นภพโกลา | สาครเป็นละลอกกระฉอกชล | |||
จระเข้เหรามัจฉาชาติ | ว่ายกลาดกลิ้งเกลือกอยู่เสือกสน | |||
โลดแล่นหลนหลีกอลวน | ไม่ทานทนฤทธีกำลังมาร | |||
สุริยนก็มิอาจจะผาดแสง | ไม่แจ่มแจ้งส่องโลกทั่วสถาน | |||
ชอุ่มอับมืดมนอนธการ | ประมาณเหมือนโลกล่มทำลายพัง | |||
เปรื่องเปรื่องเรืองฤทธิรุ่งโรจน์ | พลมารนับโกฏิสังขยัง | |||
เผ่นโผนโจนไปด้วยกำลัง | ไม่รอรั้งรีบเร่งตะเบ็งจร | |||
คล้ายคล้ายใกล้ทันก็ถีบโถม | จะจู่โจมจับองค์พระทรงศร | |||
กลาดกลุ้มรมรัดอัศดร | หวังจะรอนราญชีพพาชี ฯ | |||
๏ ปางนั้นธิบดินทร์ปิ่นธเรศ | อันเรืองเดชเลิศล้ำพระสุริย์ศรี | |||
เสด็จไปในห้องเมฆี | เห็นยักษีรุกร้นพลทะยาน | |||
พระจึ่งทอดทิ้งยาวราวุธ | พุ่งผุดเป็นเพลิงเถกิงผลาญ | |||
ลามไล่ไหม้หมู่อสูรมาร | สุธาธารปานปิ้มจะเป็นจุล | |||
โชติช่วงดั่งดวงพระสุริย์ฉาย | กระจายต้องลำเนาภูเขาขุน | |||
ภัสมธุลีแหลกไหม้ไปเป็นจุล | ฝ่ายขุนมารวิ่งอยู่อลวน | |||
สิทธิกรรม์แก้ได้ด้วยไวเวท | ยักย้ายกลายเพทเป็นลมฝน | |||
เสียงสนั่นลั่นฟ้าจุลาจล | สุริยนมืดมัวทั่วแดนดาว | |||
อสนีอุโฆษก็กึกก้อง | วายุว่องวู่วาบกระหนาบหนาว | |||
พระพิรุณร่วงโรยลงโกรยกราว | ให้เหน็บหนาวเย็นยะเยือกไปทั้งกาย | |||
เจ็บแสบสุดทนก็ล้นเหลือ | ดังหนึ่งเนื้อจะแยกแตกสลาย | |||
หมู่มาปานปิ้มจะทำลาย | ก็โวยวายวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี | |||
ขุนยักษ์ศักดาวราเดช | จึงอ่านเวทล้ำเลิศประเสริฐศรี | |||
ลมฝนหายไปไม่เกิดมี | อสุรีตามไปไม่คลาดคลาย | |||
ทันท้าวเธอก็ทอดโอสถยา | อันศักดานึกได้ดังใจหมาย | |||
พูนเกิดคีรีขึ้นเรียงราย | กระแสสายสิทธุทะเลลม | |||
สองข้างสิงขรทั้งเจ็ดชั้น | คงคาคั่นพระสมุทรสุดประถม | |||
จะประมาณสาครห่อนนิยม | อุดมด้วยมัจฉากุมภาพาล | |||
ถึงว่าใครฤทธิรงค์อันทรงเดช | บอาจข้ามสาคเรศอันพิศาล | |||
คชสีห์มหิงสาคชาชาญ | พ้นที่จะประมาณอเนกนอง | |||
อสุราเห็นมหาชลาสินธุ์ | ในกายินรันทดสยดสยอง | |||
เศียรเกล้าเร่ารนขนพอง | ก็เร่ร้องอยู่ริมฝั่งชลาลัย | |||
สุดเห็นสุดรู้ก็สุดฤทธิ์ | ด้วยล้นเหลือความคิดจะแก้ไข | |||
จะติดตามข้ามชลไปกลใด | ชลาลัยลึกกว้างหนทางจร | |||
ก็จนจิตจำเกาะอยู่กับฝั่ง | ปิ้มประหนึ่งชีวังจะสังหรณ์ | |||
บ้างล้มกลิ้งนิ่งแน่ระเนนนอน | สะท้อนถอนอารมณ์ระบมกาย | |||
ที่คะนึงถึงบุตรภรรยา | เวทนาคิดไปก็ใจหาย | |||
ไม่รู้เลยว่าจะยากลำบากกาย | แต่หมายจิตว่าจะมาไพร | |||
บ้างเจ็บจุกครางอยู่กลางป่า | ความแสนเวทนาน้ำตาไหล | |||
คิดถึงบ้านเรือนเพื่อนเข็ญใจ | สักเมื่อไรจะได้คืนไปธานี | |||
ที่สู่ขอหอห้างอยู่ค้างการ | ให้เดือดร้อนรำคาญจะใคร่หนี | |||
ที่พึ่งสมชมกันไม่ทันปี | ดังจะตีตนตายเสียดายรัก | |||
บ้างจากชู้คู่เชยเคยสนิท | ให้ร้อนจิตเจ็บใจเพียงอกหัก | |||
รักกันยังมิทันจะวายรัก | แต่อั้นอักอ่วนใจไปทุกคน | |||
บ้างหิวโหยอาหารไม่พานไส้ | จิตใจรวนเรระเหระหน | |||
ไม่มีสุขถ้วนหน้าประชาชน | แต่เสือกสนรนร้อนดังอัคคี ฯ | |||
๏ ฝ่ายนาฏวรนุชโฉมสมร | เสด็จจรมาในพนาศรี | |||
พอถึงฟากฝั่งชลธี | ประทับที่แล้วทอดทัศนา | |||
เห็นพระองค์ทรงภุชเธอหยุดยืน | เหนือพื้นสิงขรชง่อนผา | |||
ทรงนั่งเหนือหลังอัสวรา | อนิจจาละเมียเสียจริงจริง | |||
จึงโอนอ่อนอุตมางคศิโรตม์ | ด้วยมาโนชล้ำเลิศประเสริฐหญิง | |||
จึงกล่าวพจน์สุนทรวอนวิง | โอ้พระมิ่งเมียแก้วไม่กรุณา | |||
โทษน้องนี้เป็นไฉนไม่มีผิด | หรือบพิตรควรร้างเสน่หา | |||
ไม่มีข้อเคืองขัดพระอัชฌา | อนิจจานี้หรือว่าปรานี | |||
เมียขอเชิญพระกลับมาดับเข็ญ | แต่พอเย็นเกล้าข้ามเหสี | |||
จึงค่อยคืนคมนาไปธานี | เหมือนช่วยชีว์น้องไว้ให้เนานาน ฯ | |||
๏ ปางหน่ออธิบดินทร์ได้สดับ | สุนทรศัพท์แว่วเสียงสำเนียงหวาน | |||
โอ้โอ๋เอ็นดูสุดามาร | สงสารสุดให้อาลัยวอน | |||
มิเสียทีเป็นที่ประโลมขวัญ | ผิวพรรณเพียงเทพอัปสร | |||
พิศพักตร์วรลักษณ์ลอออร | ดังจันทรแจ่มแผ้วผ่องโพยม | |||
จะหาไหนได้เหมือนมิ่งสมร | อรชรเฉิดฉาดประหลาดโฉม | |||
ดุจลอยเลื่อนฟ้าถาโพยม | ประโลมโลกล้ำลักขณานวล | |||
แม้นมิตอบสารสนองถ้อย | พระน้องน้อยจะเศร้ากำสรดสรวญ | |||
ที่ไหนนางจะว่างวายครวญ | โอ้นวลปิ้มชีพบรรลัยลาญ | |||
อย่าเลยจะประโลมโฉมสวาท | ให้คืนราชนคเรศเขตสถาน | |||
คงเป็นจอมมิ่งในศฤงคาร | ตริแล้วพจมานสารแสดง ฯ | |||
๏ ดูก่อนดวงสมรทิพมาศ | แสนสวาทนิ่มน้องไม่หน่ายแหนง | |||
เป็นความจริงมิ่งมิตรอย่าคิดแคลง | ใช่จะแต่งลิ้นล่อประโลมลวง | |||
โอ้อาลัยมิใคร่จะจากศรี | อุระพี่หนักเท่าภูเขาหลวง | |||
แต่ตรอมจิตคิดหมายเสียดายดวง | พี่หนักทรวงนั้นน้อยไปเมื่อไร | |||
ก็ไม่หวังว่าจะร้างนิราศสวาท | ให้บำราศห่างห้องพิสมัย | |||
จงดับร้อนผ่อนทุกข์บรรเทาใจ | พี่มิให้นิ่มน้องเจ้าเนานาน ฯ | |||
๏ โอ้พระมิร้างกลใดนะพ่อ | มาแต่งล่อลิ้นลมคารมหวาน | |||
ให้ไพเราในรสพจมาน | กระแสสารสอดคล้องทำนองใน | |||
น้องซื่อมาเสียเพราะความสวาท | มโนมาดมั่นคงไม่สงสัย | |||
รหัสเหตุเพทผลกลใด | ก็แจ้งให้ทราบสิ้นในเชิงความ | |||
วันเสวยชัยบานสำราญแผ้ว | ครั้นเมาแล้วพระก็ล่อลวงถาม | |||
ซึ่งข้อขำล้ำชื่อลือนาม | น้องก็ตามใจแจ้งทุกสิ่งอัน | |||
นี่เนื้อท้าวได้เสร็จโดยประสงค์ | ไม่หลอหลงเหลือเลยสักสิ่งสรรพ์ | |||
เสียรู้เพราะรักพระทรงธรรม์ | สารพันน้องนึกว่าปรานี | |||
แม้นท้าวมิโปรดประเวศสถาน | จงประหารชีพน้องให้เป็นผี | |||
อันอนงค์นี้ไม่คงคืนบุรี | จะสู้เอาพงพีเป็นเรือนตาย ฯ | |||
๏ พระสดับสารนุชสุดกระสัน | ให้หวาดหวั่นพรั่นในพระทัยหาย | |||
โอ้นวลควรหรือจะมาวาย | พระจึงกล่าวภิปรายประโลมนาง | |||
อนิจจาแก้วพี่ศรีสวัสดิ์ | เป็นความสัตย์นิ่มน้องอย่าหมองหมาง | |||
ก็ย่อมแจ้งอยู่แก่ใจเป็นไรนะนาง | เรียมหรือจะร้างภิรมย์เชย | |||
โอ้เวรวิบัติให้พลัดพราก | จำจากนิ่มน้องประคองเขนย | |||
นี่เนื้อกรรมจำให้พี่ไกลเชย | นุชเอ๋ยอกพี่ดังไฟฟอน | |||
ถึงมาดแม้นเรียมไปไม่อยู่ช้า | จะกลับมาสู่สมภิรมย์สมร | |||
ใช่เชิงที่จะล่อประโลมอร | ดวงสมรแม่อย่าเศร้ากำสรดทรง | |||
ทั้งนี้ที่แท้อาชาชาติ | พาเรียมให้นิราศระเหิดระหง | |||
มันดื้อดึงขึงขัดไม่คืนคง | โอ้อนงค์นุชเจ้าจงเห็นใจ ฯ | |||
๏ นางท้าวเสาวนาพจนี | จึงโต้ตอบสารศรีสนองไข | |||
นี่หากว่าพระจวนจนพระทัย | จึงเสไสแสร้งว่าอาชาชาญ | |||
ทั้งชั้นเชิญชำนาญชาญฉลาด | พจนาถสำนวนแต่ล้วนหวาน | |||
ช่างกล่าวกลสอดแก้ให้สมการ | ถ้ามิทันพิจารณ์ก็ตายใจ | |||
กระนี้หรือว่ารักสมัครสมร | จนม้วยมรณ์ดับเบญจขันธ์ขัย | |||
ขอขอบคุณผ่านฟ้าสัจจาใจ | ที่ว่าไว้สมสิ้นทุกสิ่งอัน | |||
มิเสียทีที่แสนสวาทพ่อ | จึงเกิดก่อความเข็ญเป็นมหันต์ | |||
อกเอ๋ยแต่นี้สักกี่วัน | สารพันจะนิราศสวาทเชย ฯ | |||
๏ โอ้ไฉนนิ่มเนื้อไม่เชื่อจิต | ใช่พี่คิดแต่งลมลวงเฉลย | |||
เมื่อแสนเทวษขวัญเนตรไม่เห็นเลย | นุชเอยสุดที่จะรำพัน | |||
ให้เห็นจริงสิ่งซึ่งสวาทนุช | ถ้าพี่สุดสิ้นชนมาสัญ | |||
เจ้าแก้วเนตรนั่นแหละเหตุจะเห็นกัน | ประจักษ์มั่นว่าพี่ไม่อาลัยลวง | |||
แต่ครวญคร่ำบำบวงแก่เทเวศ | ทุกประเทศลำเนาภูเขาหลวง | |||
ขอฝากนุชสุดสวาทเสมอทรวง | อย่าให้ดวงสมรพี่มีอันตราย | |||
เป็นความจริงสิ่งนี้เจ้าเพื่อนเข็ญ | จงเล็งเห็นความสวาทที่มาดหมาย | |||
อย่าเคียดแค้นให้พี่แสนระกำกาย | ขอเจ้าสายสุดที่รักจงเห็นใจ | |||
อย่าถือโทษโกรธพี่ว่าแกล้งหนี | เมื่อกรรมแล้วแก้วพี่จะทำไฉน | |||
อันตัวของเรียมจรไม่นอนใจ | พอท้าวได้เสร็จประสงค์จะคงคืน | |||
เราสองก็จะแสนบรมสุข | จะก่นทุกข์ไปไยให้สะอื้น | |||
จงกลั้นกลับอารมณ์ให้กลมกลืน | เหมือนชื่นช่วยอวยชัยให้ไปเมือง | |||
เสียดายพักตร์ผ่องเพียงพระจันทรี | จะเศร้าศรีวิลาสฉวีเหลือง | |||
จงกลับคืนเข้ากรุงบำรุงเมือง | จะขุ่นเคืองไปไยให้เสียนวล ฯ | |||
๏ ฉะน้อยน้ำถ้อยมธุรสา | เมื่อคิดเห็นเป็นหน้าสำรวลสรวล | |||
พระหนีไปสิจะให้อนงค์นวล | ไปคร่ำครวญครองกรุงแต่ผู้เดียว | |||
เออที่ไหนน้ำเนตรจะวายเสวย | อนิจจาใครเลยจะแลเหลียว | |||
อันสตรีเป็นหม้ายอยู่ผู้เดียว | เขาจะเกรียวกันเย้ยไม่ยากยำ | |||
ฝูงชนก็จะชวนกันสรวลร่า | จะสอดสร้อยมารสานุสนธ์ส่ำ | |||
จะลือเล่ากล่าวเล่นเป็นโกลำ | โอ้อกแต่จะช้ำระกำกาย | |||
จงตรึกตรองดูเถิดพระทูนหัว | เหมือนหญิงชั่วโฉดชาติเฉาฉงาย | |||
สามีจึงหนีไปเด็ดดาย | จะเอาอายไปทิ้งเสียแห่งใด | |||
โอ้ศรีเสาวภาคย์จำเริญศักดิ์ | ไม่เห็นรักบ้างเลยจะทำไฉน | |||
สุดาเดียวดั่งดวงหฤทัย | หรือจะทอดทิ้งไว้ให้เกรียมกรม | |||
ถึงม้วยดินสิ้นแดนแผ่นสมุทร | ทั้งกาลัดนิรุทธสุดประถม | |||
จนตลอดถึงยอดภวัคพรหม | อันอารมณ์เรียมไซร้ไม่หน่ายนาง | |||
ตราบได้บุรีรัตน์ปฏิโมกข์ | นั่นแหละเห็นจะวิโยคไปห่างข้าง | |||
สุดถวิลสิ้นความสวาทนาง | อันปางนี้หรือไม่ร้างให้แรงรา ฯ | |||
๏ นางท้าวเสาวนีย์คดีแสดง | มโนแหนงหมางในมธุรสา | |||
จึงสนองพร้องพจมานมา | กระนี้หรือผ่านฟ้าว่ารักเมีย | |||
ถึงตัวตายก็ไม่วายสวาทหวัง | อันสัจจังว่าไว้ก็ไม่เสีย | |||
ก็เห็นแล้วว่าพระแก้วสวาทเมีย | จะไกล่เกลี่ยไปไยให้ป่วยการ | |||
จนกรู่กรีรี้พลมาสนส่ำ | มิเพราะคำภูวนาถสวาทหวาน | |||
จึงตามรักพระองค์มาดงดาน | ข่าวสารทราบสิ้นทั้งดินแดน | |||
ตลอดทั่วพื้นภพจนสกล | ในทวีปมณฑลอเนกแน่น | |||
ก็ลือเลื่องถึงเมืองอมรแมน | ว่าพระแสนสุดสวาทกับเมรี | |||
สวาทจริงพระจึงทิ้งไว้อางขนาง | นิราศร้างนคเรศบุรีศรี | |||
ให้น้องแสนโศกช้ำระกำทวี | มิเสียทีที่ว่ารักประจักษ์จง | |||
ถึงม้วยดินสิ้นฟ้าสุธาสวรรค์ | จะรำพันไยเล่าให้เมียหลง | |||
ถ้ารักจริงหรือจะทิ้งให้เอองค์ | นี่พระจงใจแกล้งไปจากนวล | |||
อันน้องหญิงห่อนกลิ้งวิกลกล่าว | ที่แท้ท้าวทำเล่ห์เสน่ห์หวน | |||
แล้วบิดผันหันเหให้แปรปรวน | เป็นหญิงนี้มาด่วนด้วยลมชาย | |||
โอ้โอ๋แต่นี้ไม่วายถวิล | จะก่นกินน้ำเนตรไม่รู้หาย | |||
ดังเดือนดับอับแสงดาราพราย | เหมือนหนึ่งสายชลธีที่สาธารณ์ | |||
ก็สาสมที่อารมณ์ไม่รอรั้ง | นิยมหวังกำหนดแต่รสหวาน | |||
หมายใจว่าจะได้จิรังกาล | ที่นี้หวานนักแล้วก็พลันรา | |||
อกเอ๋ยไหนเลยแต่นี้เล่า | จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าทรวงนิราศา | |||
เพราะพระสามีมิเมตตา | ไม่กรุณาน้องแล้วก็ตามจน | |||
จะได้พึ่งท้าวพ่อผู้เป็นผัว | สิทูนหัวมาขว้างเสียกลางหน | |||
สำหรับแต่จะอัประมาณคน | ไหนเลยจะพ้นเขานินทา ฯ | |||
๏ สาวสวรรค์ขวัญใจไยฉงน | อย่าทังวลที่ในข้อครหา | |||
หินชาติจึ่งอาจเจรจา | เป็นธรรมดาสามัญประมาณความ | |||
เมื่อแนบเนื้อไม่เชื่อจะทำไฉน | หฤทัยเรียมพรั่นประหวั่นหวาม | |||
อุระร้อนจรจากพงางาม | ดังเพลิงพลามลามไหม้หทยางค์ | |||
สุดโศกมาวิโยคเมื่อยามเข็ญ | ไม่เล็งเห็นที่วิตกในอกบ้าง | |||
นี่เนื้อกรรมในชาติก่อนปาง | มาจำร้างให้นิราศสวาทวาย | |||
โอ้เจ้าศรีเสาวภาคย์จำเริญสม | อันอารมณ์เรียมมุ่งผดุงหมาย | |||
จะหวังรักไปกว่าชีวาวาย | ไฉนสายสุดสวาทไม่เห็นรัก | |||
ถ้าแม้นพี่แหวะหวะอุระได้ | จะผ่าแผ่แล่ให้เห็นประจักษ์ | |||
ว่านี่แน่ะนางงามคือความรัก | กระนี้หรือจะประจักษ์แก่ใจนวล | |||
เมื่อพี่ร่ำรำพันสักเท่าใด | ก็สงสัยสำคัญว่าผันผวน | |||
มาโศกช้ำร่ำไห้พิไรครวญ | แต่ล้วนว่าเรียมไซร้ไม่ปรานี | |||
โลมเจ้าเฝ้าปลอบมิชอบชื่น | ก็คงขืนว่าแกล้งจะแหนงหนี | |||
นุชเอยสุดอกจะพาที | เป็นเวรีเราสองมาตามทัน | |||
ชรอยเราพรากสัตว์กำจัดเสีย | ให้มิตรเมียเขาวิโยคโศกศัลย์ | |||
เวรหลังล่วงลุปัจจุบัน | จึงพลันร้างสองเราให้แรมโรย | |||
พี่นี้คิดคะนึงถึงสมร | เป็นอาวรณ์เวทนาไม่ราโหย | |||
มีแต่เดือดดิ้นอาดูรโดย | ก่นแต่โกยกองทุกข์ระทมทน | |||
แสนรักสุดเล่ห์เสน่ห์น้อง | เป็นกรรมของเราสร้างแต่ปางหน | |||
จึงจงเจาะจำเพาะมาตามผจญ | มาดลเด็ดดวงใจให้จำจร | |||
เจ็บใจจำไกลสมรมิ่ง | มโนนิ่งทิ้งทอดฤทัยถอน | |||
แล้วเอื้อนโอษฐ์โอวาทชะอ้อนวอน | สายสมรมิ่งแม่อย่าปรารมภ์ | |||
พระวรพักตร์เพียงจันทร์จำรัสไข | หรือจะทอดทิ้งไว้ไม่เห็นสม | |||
เป็นเวรเราสองทำจำนิยม | ให้ระทมอกไหม้อาลัยลาญ | |||
ถ้าเรียมมีฤทธิรงค์รณเวท | จะแปรเพศเปลี่ยนภาคเป็นสองสถาน | |||
ภาคหนึ่งไปกับม้าอาชาชาญ | คืนสถานนคเรศบุรีริน | |||
ภาคหนึ่งจะอยู่สมภิรมย์สมัย | สมรดวงแดนใดไม่ถวิล | |||
จะเฝ้าชื่นเชยโฉมยุพาพิน | ทุกรัตตินทิวาไม่รารัก | |||
นี่เรียมไซร้สุดใจจะสังเกต | อิทธิเวทสิ่งใดไม่ประจักษ์ | |||
พี่ก็แสนตรึกตรึงคะนึงนัก | แต่ปล้ำปลักอารมณ์ไม่สมประดี | |||
นุชเอยพี่นี้พร่ำกำสรดโศก | ยามวิโยคยิ่งระยำในทรวงพี่ | |||
เป็นกรรมเราสองสมรแต่ก่อนมี | จะจากแล้วแก้วพี่พี่ขอลา ฯ | |||
๏ ปางนั้นอคเรศเมรีรัตน์ | หน่อเนื้อนางกษัตริย์นาถา | |||
สดับสุนทรอรรถพระพัสดา | ดั่งสายฟ้าผ่าฟาดให้ขาดใจ | |||
หวั่นหวั่นพรั่นในพระทัยหาย | สกนธ์กายกัมปนาทหวาดไหว | |||
ยิ่งแสนโศกปริเวทนาใน | อรไททูลท้าวสวามี | |||
โอ้พระภุชพงศ์ผู้ทรงเดช | ไม่สังเวชแก่ข้ามเหสี | |||
น้องอุตส่าห์ตามมาถึงพงพี | หรือจะหนีจากเมียให้เสียใจ | |||
นิจจาเอ๋ยเมื่อยามเชยประคองชื่น | แต่พื้นว่าอนงค์อย่าสงสัย | |||
จะสู้ม้วยชีวันด้วยขวัญใจ | น้องไซร้ชื่นเชื่อก็เหลือแรง | |||
หมายมาดว่าพระบาทบรเมศ | จะปกเกศเมืองยักษ์เป็นศักดิ์แสง | |||
ที่จริงจิตมิได้คิดระแวงแคลง | ไม่เห็นเลยว่าพระแกล้งอุบายกาย | |||
สารพัดแยบยลกลเม็ด | ก็สิ้นเสร็จเล่าแจ้งแสดงถวาย | |||
ประจักษ์สิ้นในระบิลบรรยาย | พอสมหมายท้าวมุ่งแต่เมืองมา | |||
วันเมื่อชมสวนพระชวนน้อง | ไปเที่ยวท่องชมพรรณพฤกษา | |||
แล้วเสแสร้งแกล้งถามนามผลา | ที่ผ่านฟ้าต้องประสงค์จำนงปอง | |||
หักได้มะม่วงหาวมะนาวโห่ | อันภิญโญยิ่งล้ำสำคัญของ | |||
น้องคิดว่าพระเคยคะนองลอง | มิรู้ต้องประสงค์จำนงนาน | |||
ถึงกระนั้นคำหนึ่งเท่ากึ่งก้อย | ข้าน้อยมิให้เคืองในเบื้องสมาน | |||
หมายใจว่าจะเป็นจอมกระหม่อมมาร | ถึงเกินการก็ไม่กริ่งประวิงใจ | |||
เมื่อแรกเริ่มจะมาร่วงภิรมย์รัก | เขาทัดทักแล้วทะนงไม่สงสัย | |||
หลงละเลิงเพราะเชิงภูวไนย | หวังใจว่าจะฝากแต่ชีวัน | |||
อันสวาทมาดหมายพระทรงภุช | จนสิ้นสุดสังขาร์ชีวาสัญ | |||
ควรหรือพระองค์ไม่คงดัน | จะทิ้งขวัญตาตายไว้แต่ตัว | |||
ขอเชิญพระทรงเดชประเวศทวีป | เหมือนช่วยชีพไว้เถิดพ่อทูนหัว | |||
สืบสนองครองราชย์เป็นบาทบัว | โปรดหัวให้รอดชีวาวัง | |||
พระคุณเอ๋ยอยู่เดียวก็เปลี่ยวเปล่า | ผู้ใดเลยใครเล่าจะแลหลัง | |||
เมื่อบพิตรไม่คิดกรุณัง | มาเชื่อฟังคำม้าไปท่าเดียว ฯ | |||
๏ พระสดับสารนุชสุดเสนาะ | ให้จับเจาะจิตแล่นแสนกระเสียว | |||
โอ้โอ๋สงสารสุดาเดียว | ฉุนเฉียวพระทัยอาลัยลาญ | |||
เพียงเอยแม้นได้ครรไลหงส์ | จะกลับคงคืนหลังยังสถาน | |||
ถึงว่าแก้วกัณฐัศว์จะทัดทาน | ก็จะผลาญชีพให้บรรลัยลง | |||
นี่สุดฤทธิ์สุดคิดจะทำไฉน | ไม่เหาะเหินเดินได้ดังประสงค์ | |||
แล้วถอยหลังหยั่งพระปัญญาลง | ค่อยดำรงพระทัยให้บรรเทา | |||
จึ่งผายเผยพจนาถคำสนอง | พระน้องเอ๋ยอย่าหมองกระมลเศร้า | |||
จงกลับหลังเข้ายังบุรีเรา | เป็นจอมเจ้าศรีสวัสดิ์อันไพบูลย์ | |||
ใช่เรียมนี้มิรักจักแกล้งร้าง | อย่าหมายหมางว่าพี่จะหนีสูญ | |||
จะคงกลับคืนมาอย่าอาดูร | จงเพิ่มพูนยศยิ่งให้ยงยืน | |||
อันอารมณ์เรียมไซร้จะไปหา | แต่อาชาตัวนี้มันขัดขืน | |||
กระชากชักสักเท่าใดมันไม่คืน | มันก็ขืนดื้อดึงตะบึงไป | |||
ความแสนเจ็บใจไม่รู้ที่ | เมื่อเช่นนี้แก้วพี่จะทำไฉน | |||
เป็นเวรกรรมได้ทำมาชื่อใด | จึงชัดให้เห็นแจ้งประจักษ์ตา | |||
อยู่หลัดหลัดดังมาตัดเอาดวงเนตร | ให้ทุเรศร้างรสเสน่หา | |||
แสนวิตกโอ้อกอาตมา | ประหนึ่งว่าทุ่มทิ้งให้กายตาย | |||
จนจิตจำพี่ต้องวิโยค | อย่าเศร้าโศกนักเลยนะโฉมฉาย | |||
เป็นความจริงพี่ไม่ทิ้งไว้เดียวดาย | ใช่จะหน่ายแหนงหนีเจ้าเมื่อไร ฯ | |||
๏ บัดนั้นนางค่อมคนสนิท | อันเชื้อชิดชอบเชิงอัชฌาศัย | |||
เป็นข้าบาทวรนาฏนางไท | ขัดใจเดือดด่าไอ้พาชี | |||
ว่าเหวยนี่แน่ไอ้ม้าร้าย | ช่างพานายลนลานทะยานหนี | |||
เมื่อสองท้าวสุขเกษมเปรมปรีดิ์ | ไยมึงพาหนีมาลนลาน | |||
ผ่าไอ้อาชาขี้ลาหก | กระยาจกถ่อยชาติเดียรฉาน | |||
มาเสแสร้างแกล้งทำให้รำคาญ | พาเราท่านพลอยยากลำบากกาย | |||
ไพร่บ้านพลเมืองก็เคืองเข็ญ | มิพอเป็นก็มาเป็นระส่ำระสาย | |||
แต่ก่อนกูอยู่สุขสนุกสบาย | เพราะเจ้านายของมึงมึงพามา | |||
ให้แม่เจ้ากูจากนิเวศน์สวรรย์ | โศกศัลย์มาเดินบนเนินผา | |||
ได้ความยากลำบากพระกายา | ไอ้อาชาชาตินี้ไม่มีโรง ฯ | |||
๏ พาชีตอบความตามกระแส | ว่านี่แน่ะอีค่อมหลังคดโขง | |||
มึงช่างว่าพาชีไม่มีโรง | อีหลังโกงแก้หน้ามาด่ากู | |||
ทั้งเจ้าทั้งข้าพากันวิ่ง | เป็นหญิงบัดสีไม่อดสู | |||
ช่างชวนกันมานั่งอยู่พรั่งพรู | แต่ล้วนหมู่ยักษีมีพยศ | |||
มึงหมายใจกูไซร้เป็นภักษา | ไยมิข้ามตามมาอีหน้าสด | |||
ช่างเสกสรรกล่าวถ้อยทำช้อยชด | อีหลังคดค่อมคุ้มเป็นปุ่มเปา | |||
อันตัวมึงดั่งหนึ่งฝุ่นฝอยเฝือ | เหมือนหยากเยื่อรองบาทพระเป็นเจ้า | |||
ท้าวไม่หลงเล่ห์กาเมเมา | ทำลาดเลาเห็นจะเล่นข้างอาชา | |||
อันสัญชาติเช่นเชื้ออีนางยักษ์ | เสียศักดิ์เสื่อมชาติไม่ปรารถนา | |||
อีค่อมหลังคดอย่าเจรจา | มึงเป็นแต่ทาสาสำหรับวัง ฯ | |||
๏ ยุพาพางฟังสารอัศวเรศ | ชลเนตรหลามไหลลงหลั่งหลั่ง | |||
อุระนางพ่างเพียงจะพองพัง | ให้แค้นคั่งด้วยคำมโนมัย | |||
ผินพักตร์ดูค่อมแล้วไถ่ถาม | ทีนี้งามหน้าแล้วหรือไฉน | |||
มึงจาบจ้วงล่วงด่าเขาว่าไร | อีใจนอกเจ้าไม่เจียมตัว | |||
เอาแต่คารมออกจัดจ้าน | จะประจานใครเล่าอีชาติชั่ว | |||
หยาบข้าไม่ว่ากันแต่ตัว | ให้เกลือกกลั้วปะปนมาถึงเรา | |||
เดี๋ยวนี้นิ่งไยไม่ตอบต่อ | เพิดพ้อให้สมอารมณ์เล่า | |||
มานิ่งนั่งผินหลังอยู่ซบเซา | อีหูเบาปากกล้าหน้าเป็น ฯ | |||
๏ ฝ่ายค่อมคนสนิททูลสนอง | ข้าตรึกตรองวินิจไม่คิดเห็น | |||
ว่าไอ้ม้าเจรจาที่ไหนเป็น | จะด่าเล่นช่วงองค์พระนงเยาว์ | |||
มิรู้ก็กลับมาเป็นโทษ | พระแม่กลับมาโกรธข้าอีกเล่า | |||
อกเอ๋ยอาภัพแก่ตัวเรา | เจ็บแค้นแทนเจ้ามากลับอาย ฯ | |||
๏ ฝ่ายสนมกรมในได้ฟังสาร | ซึ่งอาชาว่าขานเป็นมากหลาย | |||
ให้มีความอดสูไม่รู้วาย | จึงกราบทูลโฉมฉายเจ้าเมรี | |||
เชิญแม่คืนหลังไปยังสถาน | จะทรมานอยู่ไยในไพรศรี | |||
ให้เจ็บช้ำคำม้ามันพาที | จะนั่งเฝ้าเซ้าซี้ไปทำไม | |||
ถึงมาดแม้นท้าวไม่อาลัยแล้ว | ดวงแก้วหรือจะหมองไม่ผ่องใส | |||
เหมือนมณีมีผู้เจียระไน | เพชรรัตน์หรือจะไร้ซึ่งเรือนทอง | |||
ทั่วท้าวทุกแดนแผ่นทวีป | ถ้ารู้แล้วก็จะรีบมาสมสอง | |||
แสนสนิทพิสมัยดังใจปอง | ขอเชิญแม่คืนครองนครา ฯ | |||
๏ นางฟังสาวสนมทูลสนอง | ยิ่งมัวหมองหมางในมธุรสา | |||
เห็นเป็นเสกแสร้างสุนทรา | ยิ่งโศกาสะอื้นอกตรม | |||
จึ่งตอบพจมานสารเฉลย | อย่าวานว่าไปเลยไม่เห็นสม | |||
จะให้เรากลับเข้าบุรีรมย์ | จะนิยมยินดีด้วยอันใด | |||
เป็นหญิงสิ่งซึ่งจะอัปภาคย์ | เพราะไร้จากสวาทมิตรพิสมัย | |||
เมื่อสามีหน่ายหนีไม่อาลัย | จะกลับไปเป็นหม้ายอยู่เอกา | |||
อันสัญชาติชายอื่นสักหมื่นแสน | ในพื้นแผ่นพิภพไม่ปรารถนา | |||
จะสู้ม้วยด้วยองค์พระภัสดา | เมื่อท้าวไม่เมตตาก็จนใจ | |||
อันสตรีสามีถึงสองแล้ว | เหมือนดวงแก้วมัวหมองไม่ผ่องใส | |||
ถึงเรือนรองทองเรื่อเนื้ออุไร | เมื่อฝ้าไฝแปดเปื้อนระคนปน | |||
ก็ขึ้นชื่อว่ามณีศรีสลาย | ถึงงามพรายก็เห็นไม่เป็นผล | |||
อันอกน้องหมองเหมือนมณีวน | นับวันแต่จะหม่นเป็นมลทิน | |||
สู้ตายมิได้หมายจะกลับหลัง | จะขอตายกับฝั่งชลสินธุ์ | |||
ดูราอสุราอสุริน | จงกลับพวกพลผินเข้าพารา | |||
บรรดาสาวสนมสิ้นทั้งปวง | อย่าหนักหน่วงห่วงเลยแก่ตัวข้า | |||
ถึงเป็นตายก็ตามแต่เวรา | เมื่อท้าวไม่คืนมาก็จนใจ | |||
มาดแม้นท้าวไม่ปรานีเนตร | อันจะคืนนคเรศอย่าสงสัย | |||
จะครองสัตย์สู้เสียชีวาลัย | ท่านจงไปเป็นสุขสำราญ ฯ | |||
๏ สาวศรีฟังสารสุดาเจ้า | ให้ร้อนเร่าในอกดังเพลิงผลาญ | |||
ต่างต่างโทมนัสแดดาล | สงสารสุดาจะอยู่เดียว | |||
นิจจาเอ๋ยไม่เคยได้ความเข็ญ | จะไร้เร้นทาสาในป่าเขียว | |||
แสนวิเวกพิศวงอยู่องค์เดียว | เจ้าจะเปลี่ยวเปล่าสกนธ์อยู่รนรัว | |||
ต่างก็เข้าเชิญโฉมประโลมปลอบ | ตรัสฉะนี้มิชอบแม่ทูนหัว | |||
จะทุ่มทิ้งชนม์ตายเสียก่อนตัว | พระผู้ผัวก็มิตามเจ้างามพราย | |||
โอ้ว่าแม่จอมกระหม่อมโลก | จงดับโศกเสียเถิดนะโฉมฉาย | |||
กลับเข้าครองเมืองให้เรืองพราย | ข้าทั้งหลายจะได้พึ่งพระบารมี | |||
แต่เวียนเฝ้าเซ้าซี้พิไรปลอบ | ก็มิชอบพระทัยเท่าเกศี | |||
จะขอเป็นเพื่อนพระองค์ในพงพี | ก็มิได้ปรานีโปรดปราน | |||
ต่างต่างตีอกเข้าผางผึง | เสียงอึงคะนึงไปทั้งไพรสาณฑ์ | |||
ครวญคร่ำร่ำรักเยาวมาลย์ | กราบกรานอภิวาทน์บาทมูล ฯ | |||
๏ ฝ่างฝูงอสุราประชากร | ฟังสารดวงสมรจะสิ้นสูญ | |||
แสนโศกโทมนัสแดดูร | ให้เพิ่มพูนพิลาปรำพันครัน | |||
ว่าโอ้โอ๋แต่นี้บุรีเรา | จะสูญเศร้าสิ้นสุดเกษมสันต์ | |||
จะเหงาเงียบเชียบไปดังไพรวัน | สารพันจะวิบัติพลัดพราย | |||
แสนสนุกสุขล้ำแต่ปางหลัง | อนิจจังครั้งนี้จะเสื่อมหาย | |||
จะโหยหนก่นกินน้ำตาตาย | พลางถวายประณตบทจร | |||
ตั้งพักตร์จำเพราะยังนคเรศ | เข้าในอรัญเวศสิงขร | |||
สัตว์เสือเนื้อเบื้อเป็นเบื่อบอน | ก็ม้วยมรณ์วินาศดาษดง | |||
ดินดอนสะท้อนสะท้านไหว | ไม้ไหล้แหลกลุ่ยเป็นผุยผง | |||
เดินดัดลัดป่าพนาดง | บ้างก็อยู่เฝ้าองค์พระเทพี ฯ | |||
๏ ปางเมื่อพระสุริโยทัยไคลเคลื่อน | จะเลี้ยวเลื่อนลับเหลี่ยมคีรีศรี | |||
ฝ่ายฝูงลิงค่างบ่างชะนี | เสือสีห์มฤคาคชาธร | |||
ทั้งฝูงภุมราคณานก | หมู่วิหคเซ็งแซ่แลสลอน | |||
เข้าสุมทุมพุ่มรังประนังนอน | สโมสรชื่นบานสำราญใจ | |||
ลางตัวพลัดคู่อยู่เดียวโดด | ตะลึงโลดลานจิตพิสมัย | |||
วังเวงวิเวกในหัวใจ | เมื่อจวนใกล้สิ้นแสงอัศดง | |||
ฝ่ายนาฏอระเฉิดโฉมเฉลา | พระนุชเนาอรัญวาป่าระหง | |||
อนาโถโอ้อนาถอยู่เอองค์ | บมีฝูงอนงค์คณานาง | |||
จะแลซ้ายเห็นแต่ไม้รุกขาเขา | จะแลขวาก็ยิ่งเปล่ายิ่งเปลี่ยวข้าง | |||
สองกรแม่ก็ค่อนอุระพาง | พระพักตร์หมางหมองเศร้าสลดใจ | |||
ทรงโศกโทมนัสกลัดกลั้น | ให้อัดอั้นอัสสุชลก็หล่นไหล | |||
วังวังสังเวชพนมไพร | นางโหยไห้ริมฝั่งชโลธร | |||
แล้วน้อมเศียรอภิวาทน์บาทบงสุ์ | ทูลองค์บพิตรอดิสร | |||
พระคุณเอ๋ยชีวาตม์เมียขาดรอน | หรือภูธรนิ่งได้ไม่ปรานี | |||
โทษน้องนี้เป็นไฉนพระทัยแหนง | หรือเคลือบแคลงแห่งข้ามเหสี | |||
อันโทษน้องนี้ไซร้มิได้มี | ควรหรือพระมาหนีไปเด็ดดาย | |||
นิจจาเอ๋ยเมื่อยามอารามเคล้า | ล้วนว่าเจ้าอย่าหมายระคางหมาย | |||
อันเรียมรักหรือจะให้เจ้าได้อาย | จะสู้ม้วยด้วยสายสวาทเดียว | |||
โอ้ไฉนวันนี้นะอกเอ๋ย | พระแกล้งเฉยเสียได้ไม่แลเหลียว | |||
ละให้เมียโหยหนอยู่คนเดียว | เมียเปล่าเปลี่ยวเทวษไม่วายครวญ ฯ | |||
๏ พระสดับพจนาสารเรื่อย | จะแจ้วเจื้อยจับจิตรัญจวนหวน | |||
เคลิบเคลิ้มเพิ่มสวาทกระสันนวล | ให้เฉียวฉวนฉุนชื่นจะคืนชม | |||
กำเริบร่านการกามราครัก | พระฉุดชักอาชาจะมาสม | |||
พาชีชัดเชิงดังเพลิงรม | พระเจียนจมจ่อม้วยด้วยความรัก ฯ | |||
๏ ฝ่ายม้าอัศวราชฉลาดเทียบ | ภิปรายเปรียบความไปให้ประจักษ์ | |||
ด้วยทางธรรมวินัยไตรลักษณ์ | หวังจะหักแห่งราคอันรุมรัง | |||
ซึ่งบพิตรคิดเห็นแต่โดยชอบ | ผิดระอบบนิพนธ์แต่หนหลัง | |||
ว่าสัจจาขันตีกตัญญัง | เป็นปรมังยอดยิ่งปัญญายาน | |||
หนึ่งคุณท่านล้ำฟ้ากว่าหมื่นแสน | ควรจะทำทดแทนพระคุณท่าน | |||
พระแม่ป้าปิ้มกายจะวายปราณ | จงประหารราคินให้สิ้นเชิง | |||
อันเชื้อชาติชายชาญชำนาญศิลป์ | ไม่หลงลิ้นเล่ห์ลมถล่มเถลิง | |||
ย่อมกำจัดตัดราคให้ขาดเปิง | จึงจะนับว่าชายเชิงชำนาญชาญ | |||
ทั่วเทพนิกรจะอ่อนเศียร | ประณมเนียนเอิกเกริกทุกสถาน | |||
สรรเสริญเจริญยศบทมาลย์ | สาธุการอำนวยอวยพร | |||
หนึ่งลุโลภแสวงหาแต่กาเมศ | หลงกิเลสล่วงล้ำซึ่งคำสอน | |||
รักเมียละเสียซึ่งมารดร | ใครห่อนจะเห็นว่าเป็นชาย | |||
เขาจะตอบหัตถสรวลสำรวลอื้อ | ตลอดลือทั่วโลกทั้งหลาย | |||
เป็นสองข้อความขันบรรยาย | พระโฉมฉายตามจะชอบในพระทัย ฯ | |||
๏ พระฟังม้าอุปมาปไมยอรรถ | กระจ่างชัดมั่นคงไม่สงสัย | |||
ค่อยเสื่อมสร่างบางทุกข์บรรเทาใจ | พระก็กล้ำกลืนไว้ในอุรา | |||
แล้วจึงมีพจมานสนองนุช | พระน้องเอ๋ยอย่าวิมุติกังขา | |||
สักสองสามราตรีทิวารา | จะกลับมาสมน้องประคองนวล | |||
เจ้าเนื้อเหลือกเรืองศรีสุวรรณมาศ | ทรามสวาทพี่มิให้เจ้าโหยหวน | |||
นี่จนจิตจำจากใจจำจวน | อย่าหมองนวลเลยนะเจ้าไม่เนานาน ฯ | |||
๏ ยุพยงทรงฟังสุนทรพจน์ | ดังศรกรดคนแสร้งมาแผลงผลาญ | |||
พิษเพลิงลามไหม้บรรลัยลาญ | ให้เสียวซ่านไปสิ้นทั้งอินทรีย์ | |||
ยิ่งโศกศัลย์กันแสงสะอื้นอ้อน | สองกรประณตบทศรี | |||
โอ้ไฉนผ่านฟ้าไม่ปรานี | ให้เมียนี้เปล่าเปลี่ยวอยู่เดียวดาย | |||
ทั้งฝูงสัตว์เสือสิงห์ก็วิ่งพล่าน | กระหม่อมฉานกลัวภัยนี้ใจหาย | |||
ถึงโกฏิแสนแม้นอื่นไม่ชื่นกาย | เหมือนพระสายสุดสวาทของเมียเดียว | |||
พระคุณเอ๋ยเคยโอบอ้อมถนอมศรี | โอ้บัดนี้มาละเสียให้เมียเสียว | |||
เมียไห้โหยหนอยู่คนเดียว | พระเด็ดเดี่ยวดูได้ไม่นำพา | |||
หรือท้าวชิงชังโฉมไม่โลมเลี้ยง | ไม่คู่เคียงเรียงร่วมเสน่หา | |||
น้องขอเป็นข้าบาทบริจา | สนองคุณไปจนกว่าชีวาวาย | |||
โปรดเมียเท่านี้เป็นที่สุด | ล้ำสมุทราดินฟ้าก็เหลือหลาย | |||
กว่าเมียจะปลอดรอดตาย | ขอถวายชีวาตม์บาทบงสุ์ ฯ | |||
๏ นฤบาลฟังสารยุพาพิน | ดังวารินทิพรสมาโสรจสรง | |||
ให้ซับซายอาบต้องละอององค์ | พระยิ่งแสนพิศวงสวาทนุช | |||
คิดคิดหรือหนึ่งจะใคร่ไป | แต่เกรงใจพาชีเป็นที่สุด | |||
ให้ร้อนอกดังอคนิรุทธ | ปิ้มประดุจจะม้วยลงด้วยรัก | |||
พระจึงตอบคำสนองกนิษฐา | อนิจจาเรียมหรือจะถือศักดิ์ | |||
ภคินีเป็นที่บำเรอรัก | ไม่ชิงชังยังรักไม่ร้างรส | |||
ชะรอยว่าอกุศลมาดลแทรก | จึงแย้งแยกชิงฉวยไปม้วยหมด | |||
รักพี่รักนางจึ่งร้างรส | เห็นปรากฏกองกรรมมาจำเพาะ | |||
ทั้งไมตรีที่มาเหมือนขาดสิน | พาสุดสิ้นสำเร็จจึงเด็ดเดาะ | |||
อย่าโศกเศร้าเลยนะเจ้าเป็นคราวเคราะห์ | ประจักษ์เจาะจริงแล้วพี่ขอลา ฯ | |||
๏ เยาวมาลย์ฟังสารยิ่งดาลเทวษ | ชลเนตรแนวนองคลองนาสา | |||
ร่ำพลางทางทูลพระภัสดา | อนิจจานี้หรือว่าปรานี | |||
แสนมหาแต่พระสุริยาเจ้า | เมื่อคล้อยเคล้าเขาแก้วคีรีศรี | |||
ยังอาลับในโลกธาตรี | มิใคร่จะรี่เร็วรัดอัสดง | |||
ถึงพระจันทร์อันบูรณ์จำรูญศรี | ยังรู้มีน้ำจิตพิศวง | |||
ด้วยราตรีใกล้สีพระสุริยง | มิใคร่จะลงลับเหลี่ยมพระเมรุทอง | |||
ถึงเทวบุตรจุติไปปฏิสนธิ์ | ยังทังวลด้วยสุรางคทั้งผอง | |||
ทั้งทิพสถานพิมานทอง | แต่เมียงมองมิใคร่จะไคลคลา | |||
อย่าว่าแต่พระสุริยันจันทร | แต่ไกรสรยังรู้สั่งซึ่งคูหา | |||
มยุเรศรู้สั่งนางมยุรา | มัจฉายังรู้สั่งซึ่งชลธร | |||
สุวรรณหงส์ยังรู้นั่งเหมราช | มฤคมาศยังรู้สั่งซึ่งไพรศรี | |||
โนเรศยังรู้สั่งนางโนรี | หรือภูมีไม่กลับมาสั่งเมีย | |||
ถึงมาดแม้นสุดสิ้นซึ่งความรัก | แต่เบือนพักตร์กลับหลังมาสั่งเสีย | |||
จึงท้าวค่อยจรไคลไปจากเมีย | อย่าให้น้องนี้เสียซึ่งน้ำใจ | |||
เสียแรงน้องบุกป่าฝ่าหนาม | จะมีความกรุณาก็หาไม่ | |||
ถึงตัดหยวกตัดปลียังมีใย | พระมาตัดสายใจให้จากเจียร | |||
สารพัดพระก็ตัดสลัดแล้ว | เมียขอเชิญพระแก้วมาตัดเศียร | |||
ให้สุดสิ้นชีวามาจากเจียร | อย่าให้เวียนว่ายวนอยู่เนานาน ฯ | |||
๏ พระสดับสารนุชสนองคำ | พิไรร่ำกำสรดน่าสงสาร | |||
พระจึ่งตอบสารายุพาพาล | เยาวมาลย์อย่าละห้อยน้อยใจ | |||
ใช่พี่มิรักจักแกล้งหนี | จะตัดไยไม่ตรีก็หาไม่ | |||
เมื่ออัศดรไม่จรก็จนใจ | จะข้ามไปหานุชพี่สุดคิด | |||
พระน้องเอ๋ยสิ้นวาสนาแล้ว | อย่าเศร้าแซ่วโศกศัลย์จงกลั้นจิต | |||
เป็นกรรมพี่เวรีประจวบมิตร | คอยสถิตเถิดนะแม่อย่าแดดาล | |||
แต่เวียนตอบเวียนปลอบเฝ้าเวียนสั่ง | เป็นหลายครั้งมิใคร่จะไกลสถาน | |||
ฝ่างมิ่งมโนมัยอันชัยชาญ | เห็นท้าวดาลแดดิ้นในวิญญาณ์ | |||
เกรงกลัวเกลือกท้าวจะกลับหลัง | ไปยังวรนุชเสน่หา | |||
จึงจำพรากให้จากสมรมา | อาชาฤทธิ์ว่องก็วางปรึง | |||
พาหุเผ่นเหาะพระก็โหย | มาโดยประคิ่นถวิลถึง | |||
ม้ารีบพระก็เร่งอารมณ์รึง | ด้วยสองพึงสองพรากไปจากกัน | |||
ต่างใจต่อใจยังมีจิต | สองปลิดสองเปล่าสองกระสัน | |||
สองปิ้มปานจะม้วยชีวาวัน | พระโศกศัลย์มาตามอรัญวา ฯ | |||
๏ สงสารสังเวชพระวรนุช | แทบจะสุดสิ้นชนมาศา | |||
ให้วาบหวามว้าเหว่อยู่เอกา | ตั้งตาแต่ดูพระภูมี | |||
แลแลลิ่วลิ่วจนลิบลิบ | ดังใครหยิบดวงใจไปจากที่ | |||
เอนองค์ลงเหนือปถพี | วิสัญญีภาพนิ่งอยู่ริมชล ฯ | |||
๏ ฝ่ายว่าพระรถนฤเบศ | เสด็จไปในประเทศเวหน | |||
แสนคะนึงถึงนาฏนฤมล | ภูวดลโศกศัลย์รันทดใจ | |||
สองกรค่อนทรวงพิลาปหา | อกเอ๋ยอาตมานี่เป็นไฉน | |||
ยามรักหรือมาร้างให้ห่างไกล | เออเวรใดนี่หนอมาก่อกวน | |||
จึงเกิดเข็ญเช่นนี้นะอกเอ๋ย | ไม่เห็นเลยว่าจะร้างห่างสงวน | |||
แสนละห้อยน้อยจิตที่รัญจวน | แต่โครมครวญครุ่นคิดคะนึงตรอม | |||
เสียดายดวงพวงแก้วผกาสวรรค์ | ยังมิทันที่จะวายหายหอม | |||
รสรื่นเคยชื่นอารมณ์ออม | เคยถนอมกล่อมแก้วสุดามาร | |||
เคยสมบรมสุขเกษมศรี | เคยปีติปราโมทย์เกษมศานต์ | |||
เคยมีมธุรสพจมาน | เคยประสานสุรเสียงสำเนียงนวล | |||
ยามเคียงพี่เคยประคองอิง | ยามนิ่งเคยนำให้พี่สรวล | |||
ยามหยอกเคยแย้มแกมกระบวน | ยามชื่นเคยชวนให้เปรมปรา | |||
ยามเสวยเคยร่วมกระยาหาร | ยามสรงชลธารเคยร่วมท่า | |||
ยามนอนเคยร่วมที่ไสยา | ย่อมสนิทเสน่หาทุกราตรี | |||
เสียดายเอ๋ยเคยร่วมภิรมย์รัก | เสียดายพักตร์เพียงจันทร์จำรัสศรี | |||
เสียดายเกศเพียงเกสร์สุมาลี | เสียดายศรีวิลาศสะอาดตา | |||
เสียดายขนงดั่งวงธนูศิลป์ | เสียดายเนตรดั่งนิลวัตถา | |||
เสียดายปรางเปล่งปลื้มในอุรา | เสียดายวงนาสาดั่งงางอน | |||
เสียดายโอษฐ์อิ่มเอี่ยมดังชาดแต้ม | เสียดายแย้มให้พี่ยั่วยวนสมร | |||
เสียดายศอสมทรงดังหงส์จร | เสียดายกรดั่งงวงเอราวัณ | |||
เสียดายเอวอรชรบวรนาฏ | เสียดายดวงปทุมมาศเมืองสวรรค์ | |||
เสียดายผิวผ่องเพียงสุวรรณพรรณ | เสียดายฝูงกำนัลคณานาง | |||
โอ้ป่านฉะนี้มีแต่อาดูรดิ้น | ยุพาพินแม่จะค่อนแต่อกผาง | |||
จะคร่ำครวญโครมครุ่งอยู่เครงคราง | ที่ในกลางอรัญเวศพนมเนา | |||
พระคุณเอ๋ยท่านท้าวอมรแมน | ในด้าวแดนดงดอนชะง่อนเขา | |||
ในท้องถ้ำท่าน้ำทุกลำเนา | เทพเจ้าจงช่วยปรานีนา | |||
ดลใจให้เจ้ามิ่งสมร | คืนหลังยังนครเป็นสุขา | |||
ข้าน้อยจึงจะค่อยกลับคืนมา | เสน่หามิให้วายทิวาเลย | |||
โอ้เจ้าดวงพวงแก้วผกาทิพย์ | มาแลลิบลับแล้วนะอกเอ๋ย | |||
ถ้าแม้นอยู่จะได้ชูประคองเชย | นี่กรรมเอยเป็นวิบากมาจากไกล | |||
นิจจาเอ๋ยโอ้ป่านฉะนี้เล่า | จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าทรวงละห้อยไห้ | |||
ขวัญอ่อนเจ้าจะวอนฉะอ้อนใคร | เมื่อเวไลล่วงลับบรรพตา | |||
โอ้เจ้าศรีเสาวภาคย์จำเริญขวัญ | จะหวาดหวั่นวิเวกนิราศา | |||
หญิงชายทั้งหลายบรรดามา | เขาจะคืนนคราเรือนตน | |||
โอ้สงสารด้วยสายสวาทแม่ | จะมีแต่กลิ้งเกลือกอยู่เสือกสน | |||
องค์เอี่ยมเจ้าจะเทียมอยู่ริมชล | จะร่ำบ่นก่นไห้ไปคนเดียว | |||
อกเอ๋ยไฉนเลยจะได้คืน | พระสะอื้นรัญจวนหวนเฉลียว | |||
เจ็บจิตจำจากสุดาเดียว | ดังไฟเจียวอกพี่ให้พองพัง | |||
พระทัยท้าวเศร้าสร้อยกระสันทรวง | ให้หนักหน่วงห่วงหน้าพะวงหลัง | |||
จำเป็นจำพรากนครัง | จิตหลังรั้งไว้มิใคร่จร | |||
พระโศกศัลย์มาในอรัญเวศ | ทุเรศร้างห่างรักแรมสมร | |||
พิศผลบุปผาพนาดร | เกสรหอมฟุ้งจรุงใจ | |||
พระจันทรจรสว่างกลางพนม | น้ำค้างพร่างพรมพฤกษาไสว | |||
บ้างแยกแย้มแจ่มช่อระบัดใบ | บ้างจวนใกล้เบิกกลีบสุมามาลย์ | |||
ลางดอกเด่นดวงเป็นพวงพู่ | เรณูบุปผชาติหอมหวาน | |||
ส่งกลิ่นรื่นรวยเมื่อลมพาน | นฤบาลค่อยคลายพระทัยครวญ | |||
ฉุนเฉียวบัดเดี๋ยวให้วิบัติ | วายุพัดพานต้องพระทองหวน | |||
หอมซาบนาสามารำจวน | พระหวนกลิ่นแก้วขจายจร | |||
ให้ลืมหลงละเมอแลเพ้อเห็น | เคลิ้มเคล้นคลับคลายว่าสายสมร | |||
แว่วแว่วเหมือนเสียงแก้วมาวิงวอน | พระก็ชักอัสดรมารั้งรา | |||
ฟังไปใช่เสียงสมรมิตร | พระทรงฤทธิ์กู่ก้องตะโกนหา | |||
โอ้เจ้าสายสวาทของเรียมอา | พี่เรียกหาไปอยู่หนตำบลใด | |||
จนพระสุรเสียงก็แหบแห้ง | ชลแสงแดงเดือดเป็นเลือดไหล | |||
ยะเยือกย่อเย็นเยียบกระย่ำใจ | ทุกกอกิ่งมิ่งไม้ในลำเนา | |||
ฝูงสัตว์ในพนัสไพรระหง | ก็งวยงงเงียบงอฉงนเหงา | |||
หมู่นกในพฤกษทางเทา | ก็จับเจ่าพลอดจ้อประจำรัง | |||
พยัคฆ์มุ่งมองกวางที่ทางพบ | ก็กัดขบคาบคอนขึ้นใส่หลัง | |||
ครั้นยินเสียงพ่างเพียงหัวอกพัง | ก็ยืนยั้งงงงวยไม่อยากกิน | |||
แต่บรรดาสัตว์ร้ายที่หมายกัน | ก็ละเมินเหินหันไปหมดสิ้น | |||
ให้งวยงงสงสารพระภูมินทร์ | ก็เหงาเงียบเปรียบสิ้นทั้งไพรวัน | |||
ยามเมื่อพระรถนิราศสวาท | บำราศร้างห่างโฉมเมรีสวรรค์ | |||
พระไม่วายโศกาที่จาบัลย์ | ให้อัดอั้นพระทัยอาลัยอร | |||
จนรุ่งรางสว่างแสงอโณโรจน์ | เป็นช่วงโชติฉัพพรรณรังสร | |||
เสด็จเยี่ยมยอดเขายุคนธร | พระก็ชักอัสดรลงมาเดิน | |||
เสด็จดลบนยอดบรรพตา | หยุดนั่งยังหน้าศิลาเผิน | |||
พลางชมห้วยเหวเขาลำเนาเนิน | ก็เพลิดเพลินพระทัยอาลัยลาญ | |||
แต่ล้วนศิลาตลอดเลี่ยน | ราบเตียนดังทิพสนามสนาน | |||
สนุกล้ำถ้ำท่าชลาธาร | ห้วยละหานเปลวปล่องช่องชลา | |||
ซึมซ่าหยดย้อยเป็นฝอยฝน | ลบล้นแล่นตลอดยอดผา | |||
บ้างเป็นธารทางท่อธารา | ไหลมาแต่ยอดคีรีริน | |||
ครืนครืนโครมฉ่ากระฉอกลั่น | เสียงสนั่นโด่งดังกระทั่งหิน | |||
หินหักลั่นเลื่อนสะเทือนดิน | วารินแตกฉ่าศิลาวาม | |||
เป็นซอกซึ้งวึ้งเวิ้งชะวากเว้า | ชะงอกเง้าแง่ง้ำดูหวำหวาม | |||
บ้างกรวยโกรกโงกงอกชะง้ำงาม | เป็นพลอยพลามวามวาบอร่ามพราย | |||
ที่โดดเด่นเห็นดวงเป็นพวงพู่ | พิศดูดั่งช่อวิเชียรฉาย | |||
โชติช่วงดั่งดวงดาราราย | ศิลาลายเลิศล้วนละลานตา | |||
ลางสีแม้นม่วงเหมือนหมอกคล้ำ | ประหลาดล้ำเหลี่ยมเล่ห์ดังเลขา | |||
ที่เลื่อมลายคล้ายเหมือนกับมุกดา | ที่สีฟ้าฟ้าสีมณีดำ | |||
ที่ดวงแดงดั่งแสงทับทิมสด | ที่เขียวเหมือนมรกตก็เขียวขำ | |||
ที่เหลืองดุจดังบุศราคัม | ที่สีดำดั่งสีมณีนิล | |||
ผลึกแก้วแวววามอร่ามฉาย | อร่ามพรายรับแสงพระสุริยสิน | |||
สว่างโรจน์โชตนาเป็นอาจิณ | ธิบดินทร์ยลรอบคีรีมี | |||
พระชมแก้วแล้วชายชม้ายเนตร | เห็นฝูงกินเรศนารีศรี | |||
ศุภลักษณ์วรภคินีมี | เหมือนเมรีเมียรักเจ้าตามมา | |||
ให้เคลิ้มคล้ายหมายว่ายุพาพักตร์ | พระหัตถกวักตรัสเรียกนางปักษา | |||
แล้วเสด็จลุกเดินดำเนินมา | นางกินราย่างเยื้องชำเลืองไป | |||
อนิจจาเจ้าหรือมาถือโทษ | จะขึ้งโกรธเรียมร่ำไปถึงไหน | |||
แล้วยื่นหัตถ์รับขวัญไปทันใด | กินราตกใจก็บินจร | |||
พระแจ้งใจว่าใช่สมรมิ่ง | ก็ทอดทิ้งหฤทัยสะท้อนถอน | |||
ให้เจ็บจิตคิดแค้นนางกินนร | พระภูธรขวยเขินสะเทิ้นใจ | |||
เสด็จขึ้นยอดเขาตลอดลิ่ว | หวิวหวิววาบวับพระทัยไหว | |||
พฤกษาพิศาลตระการใบ | สว่างไสวไพรระหงดงดอน | |||
เชิงเขาพุ่มพื้นเป็นที่สนุก | สรรพรุกข์ดารดาษอยู่สลอน | |||
มะเดื่อดกตกกลาดในดงดอน | ขัดมอนม่วงโมกและโมงไม้ | |||
ขวิดขวาดหาดเหียงโสนหาง | ปริงปรางปรงปรูดูไสว | |||
พลับพลวงพลองพลึงมะพลับไพร | สนไทรโสกสักมะสังซาง | |||
ระกำกอกแก้วเกดตะโกโกศ | ลานโลดล้วนแล้วดูสล้าง | |||
เสนเสนียดสนุ่นและนมนาง | ไกรกร่างมะกล่ำกรดไกรกรู | |||
เถาวัลย์ลิงลิงโลดเถาวัลย์เล่น | หูกวางกวางเห็นก็ตรับหู | |||
ตาเสือเสือมุ่งด้วยตาดู | หงอนไก่ไก่ชูหงอนชัน | |||
สนหางสิงห์สิงห์เห็นสะบัดหาง | อ้อยช้างช้างชักหักสะบั้น | |||
มันนกนกจิกสมุลมัน | สารพันพวกสัตว์ในพงพี | |||
ทั้งหมู่คชสีห์และไกรสร | กุญชรเชื้อชาติหัตถี | |||
เสือสิงห์ลิงค่างบ่างชะนี | เม่นหมีมหิงสาสิงคาล์วัน | |||
สุกรดงดุดดินกินมะเดื่อ | พบเสือเสือมุ่งสุกรมั่น | |||
เสือขบตบได้ทลายมัน | สุกรกัดฟัดฟันกันต่อตัว | |||
หมูแถมกเสือโถมตะโกรมเล็บ | หมูเจ็บเสือตะกายจนไส้รั่ว | |||
ด้วยสามารถโมหิทธิ์ไม่คิดกลัว | สองตัวตายทับอันดับกัน | |||
คชสีห์ฤทธิเรี่ยวแรงเถลิง | ร่าเริงร้องก้องพนาสัณห์ | |||
คชหนึ่งโตเติบกำเริบมัน | สองเหี้ยมโมหันธ์ประจัญบาน | |||
สี่เท้ายันย่อกับธรณี | เอางวงตีงาฟาดกันฉาดฉาน | |||
สอดสร้อยเสือกซ้ำให้เซซาน | กำลังหาญฮึกเหี้ยมกระเหิ่มใจ | |||
ถีบแทงถูกงวงเห็นกลวงโท่ | ทะลุโหว่มันเหลวปนเลือดไหล | |||
เจ็บปวดยวดยิ่งก็วิ่งไป | ไอ้สารใหญ่ไล่ซ้ำกระหน่ำแทง | |||
แปร๋นเปรี้ยงเสียงดังสนั่นดิน | โคถึกมฤคินเข้าฝังแฝง | |||
กระต่ายตุ่นวุ่นวิ่งเป็นสิงแคลง | แต่ล้วนแฝงซ่อนตัวด้วยกลัวตาย | |||
ทั้งหมู่หมูหมีเม่นละมั่งระมาด | สรรพสัตว์จตุบาทก็มากหลาย | |||
แรดช้างกวางสิงห์กระทิงทราย | วุ่นวายเอิกเกริกทั้งพงพี | |||
พระชมเล่นเป็นสุชสำราญแผ้ว | เสร็จแล้วจึงชมหมู่ปักษี | |||
ปักษาการเวกสุวาที | สกุณีเพรียกพร้องในไพรวัน | |||
นกเปล้าจับเปล้าอยู่แปลกคู่ | เขาคูเคียงคู่ประสานขัน | |||
กะลำพูจับพุ่มอัมพาพัน | เบญจวรรณไต่วัลย์ในดงดาน | |||
สาลิกาจับกิ่งเพกาพลอด | แก้วกอดกิ่งแก้วแล้วขันขาน | |||
กะลิงจับเถาวัลย์ลิงลาน | กระวานจับต้นกระวานวัน | |||
ตระเวนไพรเพรียกพร้องในไพรสณฑ์ | กระทารนจับต้นคนทาขัน | |||
รังเรียงจับเรียงทำรังกัน | เหมือนฝูงนางกำนัลเมื่อเรียงนอน | |||
แอ่นเคล้าเคล้าคู่อยู่สู่สม | เหมือนพี่บรรทมร่วมบรรจถรณ์ | |||
นางนอนนอนแอบพี่แนบนอน | เหมือนปักษรทั้งสองประคองเคียง | |||
แล้วชมหมู่มยุเรศในสิงขร | บ้างรำฟ้อนเป็นวงแล้วส่งเสียง | |||
เหมือนฝูงนางชับรำบำเรอเรียง | ที่ในเวียงวังแก้วแต่ก่อนกาล | |||
พลางชุมหมู่วิหคและฝูงหงส์ | อันลอยฟ้ามาลงสรงสนาน | |||
เหมือนหนึ่งส่วสุรางค์บริวาร | ลงลอยเล่นชลธารสำราญใจ | |||
ล้วนหมู่ปักษาพนาวาส | เดียรดาษในดงไม่นับได้ | |||
เรียงเรียงเคียงคู่ประจำไพร | ดูมิได้พลัดพรากไปจากกัน | |||
แต่ฝูงนกยังมิพลัดกำจัดคู่ | ไฉนกูมาวิโยคโศกศัลย์ | |||
พลางคะนึงนิ่งนึกถึงแจ่มจันทร์ | ถ้าแม้นเจ้าจอมขวัญพี่มารา | |||
จะได้ชวนให้ชมพฤกษาสัตว์ | อันเยียดยัดกันอยู่ในภูผา | |||
นี่มาเดียวเปลี่ยวอกอาทวา | แต่โศกาก่นร่ำระกำใจ | |||
แล้วชมไม้ในลำเนาภูเขาสูง | สกุณยูงจับยอดยางไสว | |||
กระสาจับต้นกระสังเซซังไป | เค้าโมงจับโมงไม้อยู่โมงมอง | |||
สาลิกาเกี้ยวกอดกิ่งกาหลง | อีลุ้มลงอุโลกขนคอหยอง | |||
คับแคจับแคอยู่ก่ายกอง | การ้องเรียกกิ่งเพกาการ | |||
นกแก้วจับแก้วแล้วโผเกด | ประเวศจิกเกสรขจรสมาน | |||
คับคาคาบคาละเลิงลาน | ดอกบัวหาญหักบัวแล้วมัวกิน | |||
สดับเสียงการเวกให้หวาดเสียว | ฉุนเฉียวพระทัยตะลึงถวิล | |||
เสมือนเสียงเยาวยอดยุพาพิน | เมื่อวาทินตรัสเรียกนางกำนัล | |||
เห็นแขกเต้าเคล้าคู่อยู่คลึงสมร | ให้อาวรณ์ถึงโฉมสาวสวรรค์ | |||
เหมือนพี่แนบนวลสวาทไม่ขาดวัน | นี่กรรมทันมาพรากให้จากไกล | |||
พระเหลียวเห็นเหมราพานางหงส์ | ร่อนลงสู่ท่าชลาไหล | |||
ชมรสรื่นรนกลางสินธุ์ใน | สำราญใจรื่นเริงบันเทิงกัน | |||
เสมือนเรียมพาสร้อยสุดาเจ้า | สองเราเคยสรงกระเษมสันต์ | |||
พระน้องเอ๋ยแต่นี้สักกี่วัน | แต่จะรันอกดิ้นอาดูรแด | |||
โอ้แต่นี้จะกินแต่น้ำเนตร | จะทุเรศแรมร้างห่างแห | |||
พี่สงสารด้วยสายสวาทแล | ขวัญเมืองแม่ก็จะมีแต่ร่ำไร | |||
ครั้นสายันห์เย็นเยี่ยมในไพรศรี | สกุณีพากันมาไสว | |||
สาสารแต่องค์พระทรงชัย | ระลึกไปถึงองค์นางบังอร | |||
สายัณห์ยามนี้พระน้องเอ๋ย | พี่เคยชวนสู่แท่นบรรจถรณ์ | |||
สองเราเคยแนบทรวงนอน | ไกลกรพี่แล้วนะสายใจ | |||
พระเห็นนกจากคู่ระเห็จระเหิน | สำเนียงเกริ่นหาคู่พิสมัย | |||
เหมือนเรียมเดียวเปลี่ยวองค์อาลัย | มาร่ำไรเรียกร้องกลางพนม | |||
พระโศกเศร้ามาในพนาหลวง | เจ็บทรวงเพราะนิราศสวาทสม | |||
ถวิลโหยโอยอกระบมกรม | แสนระทมทุกข์แทบบรรลัยเอย ฯ | |||
เชิงอรรถ
อ้างอิง
ว่ายเวิ้งวรรณคดี โดย ล้อม เพ็งแก้ว, สถาพรบุ๊คส์ พ.ศ. ๒๕๔๙
[ขอขอบคุณคุณ gignoi สมาชิก kaewkao.com ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน]
[ขอขอบคุณคุณ Maneenuch Ruckitana ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน]