นิราศชมตลาดสำเพ็ง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

การปรับปรุง เมื่อ 15:47, 24 กรกฎาคม 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(ต่าง) ←รุ่นก่อนหน้า | รุ่นปัจจุบัน (ต่าง) | รุ่นถัดไป→ (ต่าง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: นายบุศย์

แต่งเมื่อต้นสมัยรัชกาลที่ ๖

บทประพันธ์

๏ แสนวิตกอกโอ้พุทโธ่เอ๋ย
ชราร่างร้างรักที่จักเชยจะทำเฉยใจก็เตือนให้เชือนแช
ตัวไม่คิดจิตมันขืนฝืนไม่หายตนไม่หมายใจมันมาตรประหลาดแหล
คิดถึงตนจนจะตายกายชะแรใจไม่แก่กรรมกรรมทำกระไร
นึกสลัดตัดกิเลสถือเพศสงฆ์ตัวคิดปลงใจมันเฟือนเชือนไถล
ทางกุศลผลนำเพราะน้ำใจจะพาให้ดีชั่วในตัวเรา
ฉันแค้นจิตคิดหมองตรองไม่ตกดังกลิ้งครกฝ่าฝืนขึ้นบนเขา
สารพัดขัดขวางไม่บางเบาความโศกเศร้าเที่ยวเดินให้เพลินใจ ฯ
๏ ที่ถนนจักรเพชรเป็นเขตย่านออกจากบ้านมัวหมองไม่ผ่องใส
เห็นกระทรวงธรรมการตรงบ้านไปท่านตั้งไว้สืบสร้างในทางธรรม
สำหรับสงฆ์ทรงสิกขารักษาพรตให้ต้องบทมิให้มีถลีถลำ
ตามแบบอย่างวางกำหนดให้จดจำเหมือนแนะนำผิดชอบประกอบการ
น่าภิญโญโมทนาสาธุสะในทางพระหน่วงหนักเป็นหลักฐาน
อยากให้สอนใจฉันดัดสันดานมันดื้อด้านอยู่ข้างทางเกเร
จะให้ท่านสอนใจท่านไม่รับเหลือบังคับในใจมันไคว่เขว
จะสอนใจไม่เชื่อเหลือคะเนใจเป็นเอ้โอหังไม่ฟังใคร ฯ
๏ ถึงออฟฟิศห้างใหญ่ที่ไฟฟ้าดูสง่างามตามสมัย
บริษัทจัดตรวจสำรวจในเก็บเงินได้มาส่งลงบัญชี
สายรถรางวางระยะกะตลอดรางรถทอดริมทางข้างวิถี
มีนายหมวดตรวจดูพวกกุลีตามหน้าที่ไม่คลาดให้ขาดตอน
พี่นึกพรั่นหวั่นใจด้วยไฟฟ้ามันแกล้วกล้าแรงฤทธิ์ดังพิษศร
ถ้าสายขาดพาดตนที่ตนจรต้องม้วยมรณ์มิได้รอดตลอดวัน
ฉันเดินห่างรางรถไอใจขยาดกลัวพลั้งพลาดชีวาถึงอาสัญ
ดูผู้คนล้นหลามไปตามกันบ้างผายผันบ้างขี่รถจร
ทั้งรถเจ๊กรถม้าที่คลาคลาดมิได้ขาดซ้อนซับสลับสลอน
ดูกลาดกลุ้มหนุ่มสาวชาวนครครรไลจรควักไขว่กันไปมา
กำแพงเมืองเปลื้องพังสร้างเป็นตึกดูครื้นครึกน่าสนุกเป็นสุขา
ออกตั้งห้างวางรายขายสินค้าเป็นสง่าธานีศรีวิไล
ด้วยบารมีพระองค์ทรงพระเดชได้ปกเกศดับเข็ญให้เป็นใส
ไม่มีผู้ดูหมิ่นอรินทร์ภัยที่กรุงไกรจึงไม่ต้องจะป้องกัน ฯ
๏ ถึงทางแยกมรรคาพาหุรัดดูแออัดหญิงชายที่ผายผัน
ออกสลับซับซ้อนจรจรัลพัลวัลรถล่องต้องระวัง
แต่เดิมทีมีอยู่ประตูยอดทางตลอดสำเพ็งตึกเก๋งตั้ง
เกิดชำรุดทรุดรานทวารพังอนิจจังสังขารไม่ทานทน
อนาถจิตคิดดูประตูใหญ่ยังพังได้วายวางลงกลางหน
โอ้ตัวเราไม่จิรังกำลังตนจะวายชนม์วันไรมิได้รู้
แต่ทวารบ้านเมืองยังเปลื้องปลดลงพังหมดสิ้นไปมิได้รู้
สลดในจิตยิ่งคิดดูถึงโฉมตรูคู่ฉันที่บรรลัย
อยู่ด้วยกันมั่นหมายไม่วายรักถึงคราวจักวิบัติต้องตักษัย
ด้วยถึงที่มรณาไม่ว่าใครสะกดใจเดินตรงลงสำเพ็ง
มีร้านรายขายสินค้าสารพัดออกเยียดยัดครื้นครึกล้วนตึกเก๋ง
พวกแม่ค้าพูดมากฝีปากเร็งออกแซ่เซ้งร้องขานประสานกัน
ร้านจีนแสขายยาพ่อค้าใหญ่ยาจีนไทยสารพัดที่จัดสรร
จะซื้อยาแก้โศกวิโยคครันที่ผูกพันหมองไหม้มิได้วาย
เขาบอกว่ายาจีนแสนั่นแก้โรคจะแก้โศกเช่นนี้ไม่มีขาย
สุดผันแปรแก้โรคที่โศกกายเลยผันผายตรมตรองหมองอุรา
ดูแถวย่านร้านรายขายลูกไม้ทั้งจีนไทยเหลือล้นผลพฤกษา
มีส้มสุกลูกละมุดแลพุทราอีกน้อยหน่าลำใยมะไฟมะเฟือง
กระท้อนห่อเงาะสละสับปะรดลูกพลับสดลิ้นจี่สาลี่เหลือง
แม่ค้าสาวขาวขำตาชำเลืองทำยักเยื้องเล่ห์ลมดูคมคาย
พี่ลองถามทรามวัยฉันไม่ต่อกระท้อนห่อผ้าไว้เท่าไรขาย
นางแม่ค้าตาช้อยชม้อยอายทำชม้ายเมินหน้าไม่พาที
พี่หยอกเย้าเซ้าสรวลสำราญรื่นเดินชมชื่นตามทางหว่างวิถี
ถึงร้านขายพระดูไม่สู้ดีเป็นราคีหาลาภด้วยหยาบคาย
พุทธรูปสำหรับที่นับถือควรแล้วหรือลบล้างมาวางขาย
ทำเล่นเช่นตุ๊กตาดูน่าอายให้เสื่อมคลายศาสนาในสามัญ ฯ
๏ ถึงสะพานผันแปรแลดูแปลกเมื่อแต่แรกนามขนานสะพานหัน
กรมโยธาสามารถฉลาดครันคิดจัดสรรแนวถนนให้ผลมี
ทำเปลี่ยนแปลงแต่งสถานสะพานโค้งมีร้านโรงสองข้างทางวิถี
พวกแขกเช่าขายผ้าสินค้าดีเจ๊กก็มีที่ขายลูกไม้จีน
ลงสะพานลาญจิตคิดประหลาดตรอกตลาดสะพานหันฉันถวิล
เขาถือเล่ากล่าวไว้ที่ได้ยินเดิมเป็นถิ่นพระยาญาติตลาดนี้
ท่านสิ้นบุญสูญหายถวายหลวงเจ้ากระทรวงจึงมาเก็บภาษี
สินค้าขายหลายอย่างต่างๆมีเป็นถิ่นที่แม่ค้ามาประชุม
พี่เดินเฉยเลยไปไกลตลาดสุดประพาสความทุกข์ไม่สุขุม
อัตคัดขัดสนเหมือนจนมุมดังห่วงรุมผูกมัดเข้ารัดรึง
ดูร้านรายขายของทั้งสองแถวจะลืมแล้วกลับนึกรำลึกถึง
ต้องคลาคลาดขาดนุชสุดคะนึงเดินรำพึงถึงน้องหมองอารมณ์
สองข้างทางวางรายขายสินค้าล้วนภูษาดีดีก็มีถม
ผ้าญี่ปุ่นรุ่นใหม่ที่ไหมพรมสะก๊อตห่มแพรบางล้วนอย่างดี
เสื้อกางเกงผ้าดำย่ำมะหวาดมะไลก๊าดม่วงไหมมีหลายสี
แพรเช็ดหน้าผ้ายั่นกะลันตะนีที่อย่างดีใส่ตู้ดูอุดม
สาวแม่ค้าน่าชมไว้ผมโป่งข้างในโปร่งเต็มที่ดีแต่ผม
ทำท่วงทีกิริยานัยน์ตาคมเรียกให้ชมซื้อของที่ต้องใจ
ฉันแกล้งถามซื้อหาผ้าที่ห่มต้องอารมณ์ดีมากที่อยากได้
นางชม้ายพรายพริ้มยิ้มละไมไม่ว่าไรฉันเลยเดินเฉยมา ฯ
๏ ถึงหน้าร้านนายศรีที่สนิทประกอบกิจอย่างเอกอุเบกขา
ไม่โลภหลงกิเลสเจตนาถึงสัจจาขันตีที่มีคุณ
ย่อมโอบอ้อมอารีไมตรีจิตสรรพมิตรขาดเหลือช่วยเกื้อหนุน
มิได้ตัดขัดมาคงการุณช่วยเจือจุนอุปถัมภ์ให้สำราญ
ดูร้านรายขายของทั้งสองแถวล้วนเครื่องแล้วกะละมังทั้งหมวกสาน
โคมญี่ปุ่นคนโคขวดโหลพานตะเกียงลานนาฬิกามีตรางู
รูปพรรณเงินทองขอต่างต่างเขาจัดวางเอาไว้ที่ในตู้
ทั้งเพชรนิลจินดาล้วนน่าดูแหวนต่างหูสร้อยคอทั้งข้อมือ
ดูแพรวพราววางงามระยับเพชรประดับน้ำหิ่งห้อยงามน้อยหรือ
เสียดายน้องมิได้มาได้หารือได้เลือกซื้อสิ่งของที่ต้องใจ
โอ้คิดมาอาภัพอัปภาคต้องจรจากดวงจิตพิสมัย
เสียอารมณ์ตรมตรองหมองฤทัยค่อยคลาไคลไร้รักพะวักพะวง ฯ
๏ ถึงหัวเม็ดเม็ดอะไรก็ไม่รู้ยิ่งนึกดูก็ยิ่งคิดพิศวง
หรือน้องเมตตาที่ที่จำนงดูโฉมยงที่ไหนก็ไม่มี
ที่หัวเม็ดเข็ดแท้เมื่อแต่ก่อนนั้นมีบ่อนเจ๊กฮงเป็นกงสี
ฉันหลงเล่นเป็นบ้าทั้งตาปีจนป่นปี้วิบากได้ยากเย็น
ต้องตัดขาดชาตินี้แล้วดีฉันการพนันต่อไปไม่ขอเห็น
พาให้ตัวชั่วช้าน้ำตากระเด็นได้ลำเข็ญยากยับอัปรา
ถึงถนนจักรวรรดิที่ตัดใหม่ทางรถไอเดินสายข้างฝ่ายขวา
คนโดยสารควักไขว่กันไปมาฉันประหม่าอรั้งระวังกาย
แล้วเดินตรงลงสำเพ็งเร่งลีลาศชมตลาดแถวทางที่วางขาย
ทั้งเครื่องแก้วเครื่องขวัญพรรณรายดูเหลือหลายที่จะจำทำสารา
คนควักไขว่ไปมาเที่ยวหาของบ้างขึ้นล่องอึงอื้อเที่ยวซื้อหา
ที่ต่อตกยกให้ได้ราคาสาวแม่ค้านวลนางสำอางกาย
นึกรักอยากเกี้ยวเขาเราก็แก่ก็ได้แต่แลโลมนางโฉมฉาย
ยืนภิรมย์ชมชื่นกลืนน้ำลายน่าแค้นกายไม่ควรด่วนชรา ฯ
๏ ถึงหน้าวัดนามเรียกสามปลื้มแทบจะลืมกลับหวนรัญจวนหา
ถึงโฉมตรูคู่ปลื้มดื่มวิญญาทุกเวลาปลื้มทรวงด้วยดวงใจ
ปลื้มสิ่งอื่นหมื่นแสนไม่แม้นเหมือนอย่างแม่เพื่อนปลื้มจิตพิสมัย
จากที่ปลื้มลืมลาเหลืออาลัยหมองฤทัยจรจรัลเที่ยวผันแปร ฯ
๏ ถึงสะพานหินผินหน้าเที่ยวหาน้องแต่มองมองไม่เห็นนางไปห่างแห
อาลัยมิตรขนิษฐาสุดตาแลได้แต่ชมหญิงอื่นไม่ชื่นใจ
นามเรียกสะพานหินถวิลคิดขอน้ำจิตน้องรักเป็นหลักไหล
อย่าหูเบาเฝ้าแหนงระแวงไปถึงผู้ใดยุยงอย่าหลงลม
จงพกหินไว้กับอกอย่าพกนุ่นถ้าเฉียวฉุนวู่วามไม่งามสม
จะรวนเรเสน่หาสมาคมด้วยอารมณ์นารีไม่จีรัง
คิดถึงรักปักเข็มไว้เต็มแน่นยังคลอนแคลนคลาดเคลื่อนไม่เหมือนหวัง
พอเข็มครากรากทรุดก็หลุดพังลงเซซังต้องใส่เอาไม้จุน
ไม่เหมือนอย่างโฉมศรีขอพี่แล้วลงรากแก้วไม่ยะเยื้อนออกเคลื่อนหมุน
หญิงทุกวันฉันระอามักทารุณเที่ยวว้าวุ่นแต่ข้างทางเกเร ฯ
๏ มาถึงตรอกจางวางชุ่มยิ่งกลุ่มจิตกลับหวนคิดพิศมัยไถลเถล
ไม่ชื่นชุ่มนุ่มนวลชักปรวนเปรสุดคะเนใจนางต้องห่างกัน
เสียดายรักปักกรุยมาลุ่ยหลุดลงโทรมทรุดรวนเรออกเหหัน
ด้วยคอเก่าเราคิดที่ติดพันแต่เลิกกันนานมาชะตาแรง
เขาจัดเจนเล่นโน่นแล้วโยนนั่นไม่นึกพรั่นคั่นขาดขยาดแขยง
เทน้ำพริกพลิกถ้วยไปฉวยแกงเพราะอยากได้ไก่พะแนงเอาแกงเท
ด้วยสันดานพาลจะโลภละโมบมากจึงจืดจากจับใหม่ออกไคว่เขว
น้ำใจกว้างอย่างน้องท้องทะเลออกเลเพลึกราวกับอ่าวญวน
สำเภาเล็กเจ๊กจะข้ามขามพายุทั้งปลาดุคลื่นระดมด้วยลมหวน
ทอดสมอไม่ถึงดินด้วยสิ้นพวนอาโปป่วนพัดพาเภตราโคลง
คลื่นกระแทกแตกปัดฟัดตะโพกตะเภาซ้ำตำโสโครกโขยกโขยง
กงกระดานกระดูกงูคดคู้โกงเสากระโดงเดาะพับยุบยับเยิน
ต้องตั้งสิวสำเภาเอาเข้าอู่จนจุ้นจู้เจ็บปวดชวดเดินเหิน
กลับเปลี่ยนลำสำเภาเข้าไปเดินได้เพลิดเพลินเรือใหญ่สมใจเรา
ปลูกมันเทศเจตนาจะหาหัวมาทิ้งทั่วไปจนยอดตลอดเถา
ด้วยถือดีมีแรงไม่แบ่งเบาจะหวังเอาไปทั้งสิ้นอยากกินมัน
ฉันว่าเพ้อเจ้อไปเพราะใจหมางไม่พูดบ้างมันก็แค้นแสนกระสัน
สุดจะเชื่อเหลือล้นคนทุกวันมักผวนผันล่อลวงด้วยท่วงที ฯ
๏ ถึงปากตรอกอาจมอารมณ์เบื่อให้สุดเชื่อเหลือระอาเมินหน้าหนี
เหมือนรูปงามนามเหม็นเช่นสตรีโสเภณีรวยรื่นที่ชื่นชู
อย่างนามบอกตรอกเว็จขี้ที่โสโครกยามวิโยคออกชื่อยิ่งครือหู
เป็นนิสัยใจจิตฉันคิดดูเหมือนหนึ่งผู้ชั่วดีมีสำเนียง
ประพฤติกายให้งามทรามถนอมเขาก็ย่อมนับถือมีชื่อเสียง
ถ้าชื่อเหม็นเห็นใครไม่กล้าเคียงเขารู้เยี่ยงอย่างตนเป็นมลทิน
ไม่เหมือนน้องของพี่นั้นดีพร้อมชื่อก็หอมรูปก็เลิศงามเฉิดฉัน
ใจก็ดีกิริยาไม่ราคินเจ้างามสิ้นสรรพางค์สำอางนวล ฯ
๏ ถึงตรอกพระยาไกรใจถวิลถึงยุพินโฉมงามทรามสงวน
มาไกลนุชสุดใจให้รัญจวนมิได้ชวนมิ่งมิตรมาติดตาม
ที่นามบอกตรงแจ้งแถลงไขพระยาไกรในตำบลมีคนขาม
จึงเรียกตรอกพระยาไกรต้องในนามประกอบความตามชื่อที่ลือชา
เช่นคนดีมีชื่อลือไม่หายถึงตัวตายนามมีดีนักหนา
จะชั่วดีนิยมเพียงสมญาอาจจะพาอัปยศหรืองดงาม
เดินถนนสำเพ็งคนเก่งเหลือล้วนแต่เสือมีมากเป็นขวากหนาม
เดี๋ยวนี้มีอานุภาพคอยปราบปรามลงเสื่อทรามสิ้นไปพวกภัยพาล
ท้องสำเพ็งเล็งแลแต่สะอาดร้านตลาดรายเรียงเคียงขนาน
ที่ขายดีมีกำไรหัวใจบานที่ปิดร้านล้มละลายหมายบังคับ
หนังสือปิดติดทวารเป็นการห้ามมีแขกยามเฝ้าอยู่ดูกำกับ
แสนสงสารแต่เจ้าของลงต้องยับถูกยึดทรัพย์ล้มตึงสิ้นพึ่งพิง
เพราะยามคึกฮึกเหลิงละเลิงจิตมิได้คิดถึงตัวมัวผู้หญิง
ถึงคราวยากปากอ้าหน้าเป็นลิงลงเที่ยววิ่งเสือกสนทุรนทุราย ฯ
๏ ถึงปากตรอกสิบเบี้ยละเหี่ยจิตคะนึงคิดผิดพลาดที่มาดหมาย
ชื่อสิบเบี้ยตรอกว่าดูน่าอายเช่นเสียหายต่ำต้อยน้อยราคา
เพียงสิบเบี้ยเสียยศน่าอดสูไม่มีผู้นอบนบจะคบหา
ด้วยต่ำเตี้ยเสียยับอัปราสิ้นราคาผู้ใดไม่ใยดี ฯ
๏ ถึงถนนราชวงศ์คิดสงสัยที่จะไปในทางหว่างวิถี
เป็นทางแยกแตกทางหนทางมีไม่รู้จะย่างไปทางใคร
คิดถึงน้องหมองไหม้กลัวใจแตกเป็นสี่แยกแล้วก็กรรมทำไฉน
ขอจิตนุชสุดตรงที่จงใจอย่าแยกไปอย่างวิถีเป็นสี่ทาง
หญิงทุกวันฉันระอาด้วยมาแขกใจมันแตกเสียเช่นเที่ยวเล่นหาง
ออกเจนจัดบัดสีไม่มียางชนิดนางโคมเขียวเที่ยวกลางคืน
ไว้ผมโป่งโปร่งปลอดตลอดไส้แต่เข้าใกล้จึงเห็นว่าเหม็นหืน
ผิดนิสัยไม่จิรังที่ยั่งยืนใครหลงชื่นเชยชมต้องตรมตรอง
ฉันเดินตรงมาสำเพ็งเร่งลีลาศชมตลาดเรียงรายที่ขายของ
ทั้งเสื้อผ้าเหลือหลายออกก่ายกองเครื่องกระป๋องปลาส้มขนมปัง
หีบญี่ปุ่นกุญแจแลหีบเหล็กทั้งใหญ่เล็กต้นเถากระเป๋าหนัง
เครื่องกาแฟมีเลี่ยมเทียนละมังของฝรั่งเหลือจำมาทำกลอน ฯ
๏ ถึงตรอกวัดญวนนอกหรือตรอกเต๊าพี่กลับเศร้าทรวงคะนึงถึงสมร
เคยเป็นคู่สู่หาพงางอนเมื่อแต่ก่อนน้องบอกอยู่ตรอกนี้
แต่เริดร้างห่างเหเสน่หาก็เพราะว่าทำให้ได้บัดสี
เสียดายรักหักมาเป็นราคีไม่ถึงปีกลายกลับไม่ลับลิบ
ฤดูเปลี่ยนเวียนจักรต้องยักย้ายเที่ยวเร่ร่ายราดเรี่ยไปเสียฉิบ
ออกเคลื่อนคล้อยลอยรอนจันทรทิพย์ดูแลลิบคลาดคลาดไปขาดลอย
อันมนุษย์สุดจะล่วงสรวงสวรรค์ไม้ซีกสั้นตะมุดกุดเห็นสุดสอย
ทั้งสิ้นฤทธิ์พิษหมดเหมือนมดตะนอยเหล็กในน้อยต่อยแสบได้แปลบเดียว
แรกประสบพบพานสมานสมัครประมาณรักรองรางสักอ่างเขียว
ปะรักใหม่ได้ควบรวบสองเกลียวเข้าแน่นเหนียวกระหนาบรักทำชักแช
โอ้ปลูกรักจักชมไม่สมหมายช่างมากลายกลับร้างไม่ห่างเห
พวกสิงห์สัตว์กัดคอทำตอแยอีกไก่แจ้ตัวเมียมาเขี่ยโคน
ลอบขุดรักยักกระถางใส่อ่างใหญ่ได้ดินใหม่ปลูกเปลี่ยนไม่เกรียนโกร๋น
ทำท่าปนฝนชุ่มหลุมเป็นโคลนพยุโยนโยกย้ายขยายเอน
ต้องขาดลุกปลุกแปลกแตกแขนงถ้าผากแผงเกาะกิ่งจริงได้เห็น
รอยควายสีที่ต้นล้วนโคลนเลยพิกัดเกณฑ์แจ้งการประจานงาน
บอกบรรดาประชาชนทุกคนผู้ให้เขารู้ดูนางกลางสนาม
ว่าหงส์ทองหมองหน้าลงทาครามฉันแจ้งความถามเรื่องที่เคืองใจ ฯ
๏ ถึงตรอกอาเนี่ยเก็งยืนเพ่งพิศล้วนชนิดนางจีนถิ่นอาศัย
แต่งตัวยั่วยวนเป็นนวลใยให้จีนใหม่ชอบพอได้ล่อตา
คอยสำหรับรับเจ๊กทั้งเล็กใหญ่ไม่คบไทยผิดอย่างต่างภาษา
ช่างไว้ตัวกลัวไทยกระไรมาไม่นำพาเห็นผิดสนิทกัน
อยากจะลองเพลงจีนให้สิ้นท่าคิดไม่น่าจะชมเสียคมสัน
ด้วยนางจีนดีเหม็นขี้ฟันไม่เหมือนขวัญเนตรพี่ที่ยียวน
รูปก็งามนามก็เพราะปากก็หอมควรถนอมนุชน้องครองสงวน
โฉมเฉลาเสาวภางค์สำอางนวลไม่แปรปรวนเที่ยงธรรมใจมั่นคง
ในอารมณ์ชมอะไรก็ไม่ชื่นเป็นแต่ฝืนใจชมไม่สมประสงค์
ไม่เหมือนชมโฉมศรีที่จำนงพิศวงความสวาทไม่ขาดวัน
รักสิ่งไรใจชมพอสมพักตร์ไม่เหมือนรักวรนุชสุดกระสัน
รักไม่หายวายรักยิ่งหนักครันรักผูกพันฟั่นเฝือเหลือทวี
จะหักห้ามความรักที่หนักแน่นก็ยิ่งแสนที่จะรักออกหนักจี๋
มาจากน้องวันหนึ่งเหมือนครึ่งปีทรวงของพี่ร้อนใจดังไฟลาม ฯ
๏ มาถึงตรอกครามความถวิลเป็นราคินหมางเมินคิดเกินขาม
เช่นคนที่สีหน้าดังทาครามด้วยมีความขัดข้องยิ่งหมองใจ
เหมือนตัวพี่ที่วิตกอกจะหักด้วยร้างรักจากน้องไม่ผ่องใส
จนพักตร์เหี้ยมเตรียมตรมอารมณ์ในความอาลัยด้วยเจ้าเยาวมาลย์
สู้ทำเฉยเลยเดินให้เพลินจิตเที่ยวพินิจดูถิ่นในถิ่นฐาน
ท้องสำเพ็งเก๋งตั้งออกนั่งร้านข้ามสะพานเจ๊กฝ่อนั้นต่อไป
ถนนเล็กเจ๊กไทยออกไขว้เขวเดินปนเปหลีกกระทบหลบไม่ไหว
สุดสังเกตเหตุผลเจ๊กปนไทยใครเป็นใครมิได้แน่ด้วยแปรปรวน
สมัยใหม่ไขว้เขวทำเลเสียจีนตัดเปียเป็นไทยเหลือไต่สวน
มาเกิดมีวิปริตผิดกระบวนกลับผันผวนผิดชาติประหลาดใจ
โลกจะเปลี่ยนเวียนมาราศีจักรพุทธยักโยกกลายเป็นไสย
พาลจะเปรื่องปราชญ์จะกลับตกอักไปพี่ร้อนใจถึงน้องหมองกระมล
กลัวน้องรักจักกลายย้ายราศีเป็นราคีกลอกกลับให้สับสน
ขอใจน้องครองสัตย์ระมัดตนอย่าเวียนวนความรักให้ยักย้าย ฯ
๏ มาถึงตรอกโรงโคมโทมนัสคิดประวัติถึงโคมของโฉมฉาย
เคยจุดส่องผ่องศรีฉวีกายพรรณรายนวลน้องต้องราคี
มาลับโฉมโคมฉายเสียดายน้องเคยประคองแนบข้างสำอางศรี
ดังโคมดับลับหน้ายอดนารีทรวงของพี่ร้อนกระวนกระวาย ฯ
๏ ถึงตรอกแตงแจ้งความนามเขาบอกที่ชื่อตรอกเป็นไฉนเห็นไม่สม
มีแต่จีนสินค้าไม่น่าชมเพื่ออารมณ์นางจีนดูสิ้นดี
อยู่ในตรอกออกรายตัวขายของคอยเรียกร้องให้ชมขนมอี๋
หาซื้อแตงแห่งไรก็ไม่มีไฉนนี้จึงบอกว่าตรอกแตง
หรือเดิมทีมีแตงที่แห่งนี้จึงได้มีนามตรอกบอกแถลง
ไม่แน่จิตผิดอย่างไม่คลางแคลงสุดจะแจ้งความหลังเป็นอย่างไร
ลูกสาวจีนผินพบนางหลบพักตร์ช่างน่ารักน่าชิดสมัย
ดังแตงอ่อนน่าชมที่ร่มใบเป็นนวลใยโสภายิ่งนารี
ให้นึกรักหนักอารมณ์ไม่สมหมายคิดถึงกายชราน่าบัดสี
ที่ไหนเจ้าเยาว์ยุพินจะยินดีไม่สมที่จะอยู่เป็นคู่ครอง
ถึงนามบอกตรอกมูลฝอยชะน้อยหรือได้ยินชื่อคิดมาก็น่าสรวล
ช่างให้นามตามแต่จะแปรปรวนเล่นสำนวนพาทีไม่มีรอย
คนพูดมากปากจัดสะบัดสบถเหลือกำหนดพาทีมีแต่ฝอย
ใครหลงงมลมลิ้นแล้วกินลอยพูดพล่อยพล่อยพอสมอารมณ์ปอง
ไม่เหมือนนุชพูดจาสารพัดล้วนซื่อสัตย์พาทีไม่มีสอง
คนโสโครกโยกย้ายหลายทำนองเหมือนกับกองมูลฝอยที่ถ้อยคำ ฯ
๏ ถึงปากตรอกโรงกะทะหวนถวิลถึงยุพินคู่ชมที่คมขำ
กระทะทองผ่องศรีไม่มีดำน้อยเคยทำของดีให้พี่กิน
มาจากเจ้าคราวยากถึงอยากหวานมิได้พานพบรสอดถวิล
อนาถจิตนิจจาเป็นราคินสุดจะผินพักตราไปหาใคร
กำเนิดแรกแตกดับสำหรับโลกทุกข์กะโศกโรคกะสุขทุกสมัย
เป็นคู่ปรับกับกันเช่นนั้นไปต้องสอนใจตัวเองเร่งระวัง
อยากสบายกายทนต้องทนยากได้ลำบากจึงสบายเมื่อภายหลัง
ถ้าขี้คร้านนานจะล้มโทมนังจะต้องนั่งกัดเกลือด้วยเหลือทน
ให้คิดเห็นเช่นฉันทุกวันนี้ก็เดิมทีอัตคัดความขัดสน
สุดผันแปรแก่หง่อมต้องยอมตนจะดิ้นรนแทะเล็มก็เต็มตึง ฯ
๏ มาถึงตรอกข้าวสารละลานจิตจะหายคิดกลับนึกรำลึกถึง
แรมนิราศคลาดนุชสุดรำพึงยืนตลึงตรอกดูอยู่เป็นนาน
พิศวงสงสัยไฉนหรือจึงเรียกชื่อนามบอกตรอกข้าวสาร
หวนคนึงถึงข้าวเยาวมาลย์หุงใส่จานขาวปลั่งน้องชั่งปรุง
ละมุนละไมพอดีทั้งรสมีรู้กำหนดเหลือดีวิธีหุง
ชั่งประกอบชอบตามความผดุงจัดบำรุงปรนนิบัติภัสดา
จะหาไหนไม่เหมือนเจ้าเพื่อนยากถ้าผิดจากมิ่งมิตรไม่คิดหา
ถึงนงเยาว์สาวน้อยที่ลอยฟ้ามาล่อตาพี่ก็ไม่พอใจแล
ความคนึงถึงนุชสุดสวาทแรมนิราศนวลนางไห่ห่างแห
จิตผูกพันฟั่นเฟือนให้เชือนแชคิดถึงแต่น้องรักหนักอุรา
เหลียวเห็นตรอกสะพานญวนหวนถวิลถึงยุพินมิ่งมิตรขนิษฐา
เจ้าเชื้อญวนนวลนางสำอางตาจะพูดจาก็ขัดไม่ชัดไทย
สะพานญวนนามบอกที่ตรอกนี้ไม่เห็นมีญวนมาอาศัย
อยากพบญวนนวลนางเป็นอย่างไรหรือแกล้งให้ชื่อตรอกพูดหลอกกัน
เกือบจะลืมปลื้มใจกลับได้ชื่อมายกรื้อเรื้องใหม่ให้ใฝ่ฝัน
ในทรวงโสมนัสสู้กัดฟันค่อยผายผันก้มหน้าอุราตรม
จะแลดูสิ่งไรมิได้ชื่นคอยสุดฝืนความรักนั้นหมักหมม
สิ่งของขายละเลยไม่เชยชมในอารมณ์โหยหายุพาพิน ฯ
๏ ถึงหน้าร้านนายขายหนังสือย่อมมีชื่อมากมายท่านนายสิน
ไม่โลภหลงวงวนเป็นมลทินประเสริฐสิ้นสืบสร้างทางเมตตา
ผู้ใดจนคนยากออกปากพึ่งไม่มึนตึงตามมาดปรารถนา
อุปถัมภ์ค้ำจุนกรุณาใจศรัทธาศีลทานช่วยจานเจือ
ถึงทุกวันฉันนี้เป็นที่พึ่งแม้นเต็มตึงอนุญาตตามขาดเหลือ
ถ้าหาไม่ตายดิ้นต้องกินเกลือท่านเผื่อแผ่จึงได้ตั้งกำลังโคลง
ไม่แกล้งยอข้อคำที่ร่ำว่าเป็นสัจจาหนานายให้ตายโหง
จงประเสริฐเลิศล้ำดังน้ำโพงทรัพย์เข้าโรงพิมพ์นั้นพันทวี
เจริญวัยชันษาโรคาหายให้เฉิดฉายพูนเพิ่มเฉลิมศรี
อัคคีภัยโจรภัยอย่างได้มีเป็นสุขีโภคาสถาพร
ประกอบกันท่านผู้ชายนายผู้หญิงให้ยิ่งๆ ภิญโญสโมสร
นึกสิ่งไรให้ได้เหมือนให้พรมีเงินนอกนับถังมังคลา
ฉันผู้ใดใครรับสนับสนุนไม่ลืมคุณกตัญญูอยู่นักหนา
ที่ใครคดกดคอจนมรณาเป็นสัจจาความซื่อด้วยถือตรง ฯ
๏ ถึงวัดเกาะเกาะมีอยู่ที่ไหนประหลาดใจยืนคิดพิศวง
ไม่เห็นมีเกาะเกียนเฉวียนวงเห็นแต่ทรงอารามอร่ามตา
หรือใครเกาะน้องไว้ที่ในวัดจิตอุทัจหวาดเสียวเที่ยวเหลียวหา
พอรู้สึกนึกชัดชื่อวัดวาโมทนาน้อมหัตถ์มัสการ
มีร้านรายขายสินค้ามาแต่แรกแต่ล้วนแขกพ่อค้ามหาศาล
จะชมเล่นเห็นผิดคิดรำคาญเพราะก่อนกาลนิพนธ์เป็นมลทิน
ด้วยเรื่องชมตลาดนิราศเก่าในสำเนาเป็นตำหนิที่ติฉิน
แขกเขาร้องฟ้องหาเป็นราคินว่าดูหมิ่นประมาทชาติอินเดีย
นึกจะชมร้านแขกที่แปลกชาติกลัวพลั้งพลาดสักหน่อยจะพลอยเสีย
ออกเดินทางห่างตัวไม่ปัวเปียใจละเหี่ยร้อนรักหนักอุรัง
ร้อนสิ่งไรใจร้อนพอผ่อนพักแต่ร้อนรักมิได้ขาดสวาทหวัง
ถึงร้อนแดดร้อนไฟพอได้บังเอาน้ำหลั่งลูบไล้ก็ได้คลาย
อันร้อนจิตพิษรักนี้หนักล้ำถึงจะทำอย่างไรก็ไม่หาย
เอาน้ำรดบดยามาทากายก็ไม่วายร้อนรักยิ่งหนักครัน
ท่านผู้ใดใครคิดพิศวงก็จะลงแลเห็นเหมือนเช่นฉัน
ทุกข์เพราะรักหนักเพราะรสหมดด้วยกันคนทุกวันใครจะขาดสวาทลง
ให้ชแรแก่ชราตาน้ำข้าวก็มัวเมาพิสมัยย่อมไหลหลง
เว้นสำเร็จมรรคผลไม่วนวงจึงจะปลงตัดขาดสวาทอาย ฯ
๏ ถึงถนนตัดตรงชื่อทรงวาดนึกประหลาดใจอยู่ไม่รู้หาย
นามทรงวาดวาสนาชะตาคลายที่ไหนนายช่างวาดฉลาดดี
จะจ้างวาดรูปไว้เอาไปฝากด้วยจรจากแรมรามารศรี
หาช่างวาดที่ไหนก็ไม่มีเป็นวิถีที่แจ้งแสดงนาม
ชื่อทรงวาดตัดทางข้างวัดเกาะแลดูเหมาะผู้คนออกล้มหลาม
บ้างเลี้ยวลัดตัดมาเข้าอารามบ้างเดินตามมรรคเที่ยวคลาไคล
สี่แพนกแยกทางหว่างวิถีตามแต่ที่จะย่างไปทางไหน
แต่ฉันนั้นคงเดินตรงไปเหลืออาลัยน้องยาที่หารือ
ถึงตรอกศาลเจ้าทับทิมริมวิถีศาลนั้นมีเจ้าประทับเจ็บนับถือ
ว่าศักดิ์สิทธิ์เหลือล้ำด้วยคำลือจริงจริงหรือถ้าเช่นนั้นขยันดี
ขนบนบานท่านด้วยช่วยรักษาให้น้องยาผุดผ่องอย่างหมองศรี
อย่าหวนเหเสน่หาแต่สามีตั้งภักดีซื่อสัตย์ต่อภัสดา
ให้มั่นคงจงจิตพิสมัยถึงชายใดไปเกี่ยวอย่าเหลียวหา
ผู้หารือสื่อรักจะชักพาก็ขออย่าให้น้องเป็นสองใจ ฯ
๏ ข้ามสะพานวัดสำเพ็งยืนเพ่งพิศประหลาดจิตจีนมาอาศัย
แต่ก่อนเป็นมรรคาที่คลาไคลพวกจีนใหม่มาตั้งออกนั่งร้าน
ปลูกโรงรายขายของทั้งสองข้างที่ริมทางพวกจีนเป็นถิ่นฐาน
ค่อยหายเปลี่ยวเที่ยวถนนสิ้นคนพาลเมื่อก่อนกาลพาลาคอยหากิน
อันวัดนี้ที่พระยายี่สารสร้างจารึกร่างเอาไว้ในแผ่นหิน
บำเพ็ญผลล้นเหลือเป็นเชื้อจีนฉันได้ยินผู้เฒ่านั้นเล่ามา
เลยเดินแวะเข้ามาที่หน้าโบสถ์ก้มศิโรตม์น้อมหัตถ์มนัสสา
ไหว้พระพุทธสุดสวัสดิ์ตั้งสัจจาปรารถนาให้พ้นที่มลทิน
อันหญิงชั่วผัวสามที่เสียชาติชายอุบาทว์สามโบสถ์ชาติโหดหิน
อย่าขอพบขอเห็นเป็นราคินจนสุดสิ้นอวสานกาลนาน
ถ้ารักใครให้ได้คนนั้นด้วยบุญจงช่วยดังจิตพิษฐาน
แล้วก้มราบกราบลาสมาทานออกจากลานวัดลาเที่ยวคลาไคล
ลงสะพานที่ข้ามนามเขาบอกว่าปากตรอกเซี่ยงกงคิดสงสัย
เป็นชื่อจีนยากแท้แปลเป็นไทยไม่เข้าใจที่จะแจ้งแสดงการ
ถึงปากตรอกเขียวซือก๋งพะวงคิดแห่งสถิตเจ้ามีอยู่ที่ศาล
องค์อารักษ์ศักดิ์สิทธิ์พิสดารใครบนบานสมมาดไม่คลาดคลาย
ท่านศักดิ์สิทธิ์นักหนาจีนว่าเฮี้ยนเจ๊กฮกเกี้ยนนับถือการซื้อขาย
ย่อมบนบานศาลกล่าวกับเจ้านายมิได้วายไหว้เจ้าเหล่าอาเฮีย
ที่ปากตรอกบอกแน่เมื่อแต่ก่อนมีโรงบ่อนฉันเป็นตัวทำหัวเบี้ย
จักแหล่นเกือบไปจะได้เมียลุกเจ๊กเหนียชื่อแม่หนูเป็นชู้กัน
เตี่ยเขารู้ขู่ขับจะจับเลียะฉันเลยเฮียะละชมภิรมย์ขวัญ
ยุงนึกไปไม่หายเสียดายครันมาถึงนั่นแล้วยังมองดูน้องนาง
ไม่เห็นหายกลายกลับไปลับหน้าจะถามหาไม่ถนัดให้ขัดขวาง
สู้ทำเฉยเลยไปที่ในทางต้องเห็นห่างร้างนุชสุดเสียดาย ฯ
๏ ถึงปากตรอกวัดญวนกลับหวนคิดให้ร้อนจิตเคืองใจมิได้หาย
เฝ้าออกชื่อญวนอยู่ไม่รู้วายแกล้งภิปรายเยาะกันเป็นฉันใด
สะพานญวนแล้วมิหนำมาซ้ำบอกว่าชื่อตรอกวัดญวนควรหาไม่
เห็นน้องฉันเชื้อญวนเฝ้ากวนใจแกล้งร่ำไรยกรื้อแต่ชื่อญวน
เป็นแต่ตรอกหรือมาบอกว่าอันหนำมาชักนำให้จิตฉันคิดหวน
คะนึงถึงมิ่งขวัญให้รัญจวนโง่ไม่ควรรื้อเรื่องให้เคืองใจ
แรมนิราศคลาดนุชสุดสวาทมิได้ขาดความคิดพิสมัย
เฝ้าคร่ำครวญหวนหาด้วยอาลัยให้ร้อนในใจคอจรลี ฯ
๏ ถึงปากตรอกเจ้าสัวสอนแต่ก่อนเก่าเขาลือเล่าพงศ์เพศเศรษฐี
ประกอบทรัพย์นับถังด้วยมั่งมีแต่เดี๋ยวนี้สิ้นบุญสูญบันดาล
ในสำนักหลักแหล่งที่แต่งตั้งก็สิ้นหวังหมดสิ้นที่ถิ่นฐาน
โอ้คิดไปไม่ตั้งจิรังกาลแต่เป็นท่านเจ้าสัวยังชั่วไป
เหมือนตัวเราคราวก่อนถาวรสวัสดิ์ทรัพย์สมบัติมีอยู่แต่ผู้ใหญ่
ยอมมั่งคั่งตั้งตัวไม่กลัวใครทั้งข้าไทหญิงชายก็หลายครัว
ได้มีชื่อลือชาอันปรากฏประกอบยศเทียบเท่ากับเจ้าสัว
ครั้นเดี๋ยวนี้เต็มทีมีแต่ตัวให้หมองมัวขัดสนพันกันดาร
จะพึ่งญาติขาดเหลือสิ้นเกื้อหนุนได้ค้ำจุนเอาปัญญาเป็นอาหาร
กับสหายใต้เหนือช่วยเจือจานได้พึ่งท่านอุดหนุนกรุณา
ถึงปากตรอกตลาดน้อยละห้อยจิตกลับหวนคิดถึงชาติวาสนา
เช่นต่ำต้อยน้อยทรัพย์อับปัญญาสิ้นเมตตาผู้ใดไม่อินัง
ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้าเสน่หามิได้ขาดสวาทหวัง
จะพาทีดีเหลือคนเชื่อฟังเป็นกำลังก็เพราะทรัพย์ประดับกาย
ถึงน้อยศักดิ์น้อยทรัพย์ที่ยับย่อยไม่เท่าน้อยใจอยู่ไม่รู้หาย
ความน้อยจิตพิศวาทมาคลาดคลายมิได้วายน้อยใจกระไรเลย
น้อยอารมณ์คมคำที่คนข้อนให้เจ็บร้อนทรวงช้ำสู้ทำเฉย
แต่น้อยใจไกลนางหาห่างเชยต้องละเลยน้องน้อยเที่ยวลอยชาย
จะแลชมในย่านร้านตลาดก็สิ้นขาดของดีไม่มีขาย
ที่โรงร้านเบาบางตามทางรายด้วยเว้นวายใครไม่ได้ไปมา ฯ
๏ ถึงศาลเจ้าโรงเกือกเป็นชื่อตรอกถามเขาบอกให้ฟังคิดกังขา
ไหนองค์อารักษ์อันศักดามีสมญารองเท้าเป็นเจ้านาย
พอนึกได้เขาบอกว่าตรอกนี้เดิมโรงมีแถวเทือกเย็บเกือกขาย
จึงตั้งชื่อลืออยู่ไม่รู้วายถึงหยาบคายเป็นนามตามตำบล
องค์ไทยด้าวอารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ฉันอุทิศขอถวายฝ่ายกุศล
ช่วยคุ้มครองป้องกันพาลประจญอย่าให้คนลอบรักภักคินี
ตั้งอุทิศคิดพลางแล้วย่างเยื้องตาชำเลืองหานางข้างวิถี
เป็นห่วงเจ้าเยาวมาลย์โอ้ปานนี้จะคอยพี่เห็นมานั้นช้าไป
มิได้ซื้อสิ่งไรเอาไปฝากเมื่อยามยากขัดสนพ้นวิสัย
ต้องทำเฉยเลยจรด้วยร้อนใจเหลืออาลัยนึกจะกลับขยับขยั้ง ฯ
๏ ถึงถนนโยธาเวลาเที่ยงเสียงปืนเปรี้ยงร้อนทรวงเป็นห่วงหลัง
กลัวน้องรักจักประหม่าละล้าละลังที่เคยนั่งเคียงน้องไม่หมองมล
แต่เดิมที่นี่มีแต่ตรอกขยายออกทางใหญ่ไขถนน
ให้กว้างขวางวิถีที่มณฑลเจริญผลให้กรุงศรีรุ่งเรือง
นามถนนโยธาก็น่าสมที่อบรมบำรุงให้ฟุ้งเฟื่อง
ได้เป็นที่จรดพลเมืองไม่ขัดเคืองสุโขมโหฬาร
มรรคาคลาไคลใกล้จะหมดพ้นกำหนดสุดสิ้นในถิ่นฐาน
ก็เดินตรงลงมาชลธารจนถึงลานโบสถ์ฝรั่งที่สร้างไว้
สะอาดเลี่ยนเตียนรื่นที่พื้นหินไม่ราคินหมดจดดูสดใส
มีลวดลายพรายพริ้งทุกสิ่งไปแลวิไลแต่งตั้งเขาชั่งทำ
เครือกระหนกยกเกี่ยวดูเลี้ยวลดลายก้านขดรจนาเลขาขำ
มีผู้คอยเฝ้าอยู่ดูประจำดูน่าสำราญรื่นชื่นฤทัย
เมื่อถึงวันอาทิตย์ประสิทธิ์เตือนสติมีเทศน์ตามเพศไสย
แต่ฉันถือโอวาทเป็นชาติไทยไม่ปลงใจผิดเพศเจตนา
รำคาญจิตคิดหมองถึงน้องรักออกเมินพักตร์ผินผันเที่ยวหันหา
จวนจะใกล้สุริยนสนธยาก็กลับมาที่อยู่สู่สำราญ
นามนายบุศย์สุจริตคิดนิราศชมตลาดออกโชว์ด้วยโวหาร
ตามดำรินิสัยใจรำคาญจึงคิดอ่านข้อคำออกสำแดง
ไว้ให้ท่านทั้งหลายจะได้เห็นพออ่านเล่นทราบสิ้นที่กินแหนง
ดังนามบอกตรอกวิถีที่ชี้แจงให้จะแจ้งในจิตที่ปิดบัง
อย่าติฉินนินทาว่าฉันเพ้อพูดไหลเล่อเช่นว่ากับบ้าหลัง
ตามสำนวนครวญหาว่าให้ฟังกับยับยั้งจบกันเท่านั้นเอย ฯ
             

เชิงอรรถ

พ.ศ.๒๔๕๒–๒๔๘๓ - กระทรวงธรรมการ- ได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านเจ้าพระยารัตนธิเบศ ริมปากคลองโอ่งอ่าง

อ้างอิง

[1]

เครื่องมือส่วนตัว