โคบุตร
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 09:44, 25 มิถุนายน 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
ตอนที่ ๑ กำเนิดโคบุตร
| ๏ แต่ปางหลังครั้งว่างพระศาสนา | ||||
| เป็นปฐมสมมตินิทานมา | ด้วยปัญญายังประวิงทั้งหญิงชาย | |||
| ฉันชื่อภู่รู้เรื่องประจักษ์แจ้ง | จึงแสดงคำคิดประดิษฐ์ถวาย | |||
| ตามสติริเริ่มเรื่องนิยาย | ให้เพริศพรายพริ้งเพราะเสนาะกลอนฯ | |||
| ๏ จะร่ำปางนางสวรรค์เสวยสุข | อยู่ปรางค์มุขพิมานสโมสร | |||
| เผยพระแกลแลดูแผ่นดินดอน | เห็นไกรสรคลอดลูกในหิมวา | |||
| ผลกรรมนำจิตให้พิศวาส | นุชนาฏจะใคร่มีโอรสา | |||
| เห็นพระสุริโยทัยเธอไคลคลา | กัลยานึกไปดังใจปอง | |||
| แม้นสามีมิได้เหมือนพระอาทิตย์ | ไม่ขอคิดสมสู่เป็นคู่สอง | |||
| ผลกรรมจำจากวิมานทอง | นางก็ต้องจุติด้วยใจตน | |||
| เห็นสระศรีมีบัวระดาดาษ | สุดสวาทจิตประหวัดเข้าปฏิสนธิ์ | |||
| เกิดเป็นรูปนารีนิรมล | กลีบอุบลหุ้มไว้ในสาคร | |||
| อยู่ประมาณนานมาในบัวหลวง | สุดาดวงกำดัดชมสมสมร | |||
| จะกล่าวถึงสุริยาทิพากร | เสด็จจรเลี้ยวเหลี่ยมพระเมรุมา | |||
| อรุณโรจน์โชติช่วงดวงจรัส | ส่องจังหวัดภาคพื้นพระเวหา | |||
| พิศเพ่งเล็งแลในโลกา | เห็นนางฟ้าอยู่ในพุ่มปทุมมาลย์ | |||
| เพราะรักเราเจ้าต้องมาสิ้นชีพ | เกิดในกลีบบุษบงน่าสงสาร | |||
| จำจะช่วยให้อนงค์คงวิมาน | พระสุริยกาลโสมนัสสวัสดี | |||
| จึ่งแบ่งภาคจากรถระเห็จเหาะ | ลงเฉพาะสระใหญ่ในไพรศรี | |||
| พระหัตถ์หักปทุมาจากวารี | มานั่งที่ร่มไทรในไพรวัน | |||
| คลี่ปทุมอุ้มนางขึ้นวางตัก | แม่ยอดรักปิ่นสุรางค์นางสวรรค์ | |||
| กุศลเราเคยสมภิรมย์กัน | บุญจึ่งบันดาลใจให้เจาะจง | |||
| พี่พึ่งรู้ว่าเจ้าอยู่ในโกเมศ | จึ่งประเวศติดตามด้วยความประสงค์ | |||
| จะช่วยเจ้าเยาวลักษณ์วิไลทรง | ให้คืนคงเมืองฟ้าสุราลัยฯ | |||
| ๏ ปางยุพินปิ่นเทพอัปสร | ฟังสุนทรสุริยงคิดสงสัย | |||
| นางผลักพลางทางแลชำเลืองไป | งามวิไลพูนสวัสดิ์ชัชวาล | |||
| ถึงเทพบุตรสุดสิ้นในอากาศ | ไม่ผุดผาดผิวพรรณเทียมสัณฐาน | |||
| นางค้อนคมก้มพักตร์แล้วพจมาน | ไม่ควรการช่างไม่เกรงข่มเหงกัน | |||
| เทพบุตรภุชงค์หรือวงศ์ยักษ์ | มาหาญหักปทุมมาศขาดสะบั้น | |||
| เขาอาศัยได้สบายในบุษบัน | ทำเช่นนั้นช่างไม่คิดอนิจจังฯ | |||
| ๏ โอ้เจ้าพี่ศรีสวัสดิ์กำดัดสวาท | นุชนาฏแม่อย่าลืมเนื้อความหลัง | |||
| หรือชอบใจอยู่ที่ในอุบลบัง | สมบัติทั้งเมืองฟ้าไม่อาวรณ์ | |||
| พี่หรือคือสุริยงดำรงทวีป | ทุเรศรีบมาด้วยการสงสารสมร | |||
| จะชูช่วยนางฟ้าสถาวร | พะงางอนนุชน้องอย่าหมองนวล | |||
| มานั่งนี่เถิดพี่จะเล่าเรื่อง | แม่เนื้อเหลืองนพรัตน์กำดัดสงวน | |||
| พลางประโลมโฉมนางไม่ห่างนวล | หอมรัญจวนเกสรขจรจายฯ | |||
| ๏ สาวสวรรค์ครั้นสดับอภิวาท | สุดสวาทแสนรักพระสุริย์ฉาย | |||
| แต่มารยาทกษัตรีทำทีอาย | ค้อนชม้ายตอบสนองทำนองใน | |||
| ถึงดินฟ้าสาครภูเขาขุน | เมื่อสิ้นบุญถึงกรรมทำไฉน | |||
| แต่ชาติก่อนใครห่อนประจักษ์ใจ | ระลึกได้หรือจะรู้ในเรื่องราว | |||
| ซึ่งโปรดน้องจะให้ครองวิมานสวรรค์ | พระคุณนั้นล้ำฟ้าเวหาหาว | |||
| มิได้สนองครองคุณให้สิ้นคราว | ด้วยเปลี่ยวเปล่าเอ้องค์ในดงแดนฯ | |||
| ๏ แสนเสนาะเพราะล้ำหนอน้ำเสียง | ช่างกล่าวเกลี้ยงเชิงฉลาดนั้นเหลือแสน | |||
| พี่เมตตาจะช่วยพาไปเมืองแมน | ถึงมิแทนคุณได้เป็นไรมี | |||
| เหมือนมัจฉาสาครเป็นที่พึ่ง | บุญแล้วจึ่งได้พบประสบศรี | |||
| ต้องประสงค์อยู่ตรงไมตรีดี | ถึงแม้นมีสิ่งของไม่ต้องการ | |||
| นี่แน่เจ้าเยาวลักษณ์วิไลศรี | เสียแรงพี่จงรักสมัครสมาน | |||
| อย่าพูดนักชักเยิ่นให้เนิ่นนาน | จะเสียการไมตรีที่เรียมวอน | |||
| จงแย้มเยื้อนเบือนพักตร์รับรักบ้าง | ประโลมนางแนบกายสายสมร | |||
| แสนสำราญอยู่ในร่มนิโครธร | พระกางกรประดิพัทธ์วัจนา | |||
| อัศจรรย์บรรดาสาคเรศ | อรัญเวศหวั่นไหวไพรพฤกษา | |||
| เทพทั้งตั้งโห่เป็นโกลา | สนั่นป่าลั่นเสียงสำเนียงดัง | |||
| บรรดาฝูงเทพาวลาหก | ก็ตื่นตกใจวิ่งไม่เหลียวหลัง | |||
| อึกทึกกึกก้องฆ้องระฆัง | ด้วยกำลังพระอาทิตย์ฤทธิรงค์ | |||
| สมสนิทพิศวาสนางสวรรค์ | เกษมสันต์สบเชิงละเลิงหลง | |||
| แบ่งกำลังตั้งครรภ์ให้โฉมยง | แล้วเอื้อนโองการตรัสกับกัลยา | |||
| อีกเจ็ดวันขวัญเข้าเจ้าคลอดบุตร | เจ้าจะจุติไปสวรรค์ด้วยหรรษา | |||
| พี่อยู่ด้วยเจ้าไม่ได้ต้องไคลคลา | ถึงเวลาเลี้ยวเหลี่ยมพระเมรุทอง | |||
| จะเร่งรีบไปทวีปข้างโน้นแล้ว | แม่ดวงแก้วนพเก้าอย่าเศร้าหมอง | |||
| กลับชมพูจะมาอยู่ด้วยนวลละออง | แม่อย่าหมองอารมณ์อยู่ร่มไทร | |||
| ประโลมลูบจูบสั่งสายสวาท | จะนิราศแรมมิตรพิสมัย | |||
| ด้วยร้างรักหักจิตไปจำไกล | คืนเวไชยันต์ถาวรเหมือนก่อนมา | |||
| เลี้ยวพระเมรุเผ่นเยี่ยมอุดรทวีป | ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา | |||
| สาวสวรรค์สร้อยเศร้าเปล่าอุรา | พระสุริยาเลี้ยวเหลี่ยมพระเมรุธร | |||
| สันโดษเดียวเปลี่ยวร่างอยู่กลางเถื่อน | ไม่มีเพื่อนสาวสุรางค์นางอัปสร | |||
| ยินสำเนียงปักษาทิชากร | ดวงสมรวังเวงวิเวกใจฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระสุริยงผู้ทรงรถ | เที่ยวเลี้ยวรถส่องสัตว์จำรัสไข | |||
| ส่องตรีภพจบทวีปแล้วรีบไป | สว่างในภพโลกชมพูพลัน | |||
| ระลึกถึงโฉมงามทรามสวาท | ออกจากราชรถชัยลงไพรสัณฑ์ | |||
| ถนอมแนบแอบนางไม่ห่างกัน | เกษมสันต์พิศวาสไม่คลาดคลาย | |||
| แต่เช้ามาสายัณห์แล้วคืนกลับ | กำหนดนับเจ็ดวันเหมือนมั่นหมาย | |||
| ยุพาพินสิ้นกรรมประจำกาย | จะคลอดสายสุดที่รักโอรสนาง | |||
| พอรุ่งแสงสุริยาพระอาทิตย์ | มานั่งชิดโลมน้องอย่าหมองหมาง | |||
| สงสารนวลป่วนปั่นพระครรภ์คราง | นาภีนางเพียงจะพังประทังทน | |||
| บรรดาเทพธิดาลงมาพร้อม | เข้าแวดล้อมอรไทในไพรสณฑ์ | |||
| บ้างนวดครรภ์ผันแปรให้นิรมล | พระสุริยนเคียงน้องประคององค์ | |||
| ถึงยามปลอดนางคลอดโอรสราช | เสียงพิณพาทย์ก้องฟ้าป่าระหง | |||
| เป็นชายเหมือนพระอาทิตย์ไม่ผิดทรง | สำอางค์องค์นวลละอองดังทองทา | |||
| สาวสวรรค์รับขวัญโอรสรัก | พิศพักตร์ลูกน้อยละห้อยหา | |||
| นางกางกรช้อนอุ้มกุมารา | เจ้าเกิดมามิได้อยู่ด้วยแม่แล้ว | |||
| ไม่เห็นใครที่จะให้นมเสวย | เจ้าแม่เอ๋ยสุดอาลัยนะลูกแก้ว | |||
| เจ้าอยู่เถิดมารดาจะลาแล้ว | กอดลูกแก้วโศกาด้วยอาลัย | |||
| แล้วก้มกราบสุริยันรำพันสั่ง | พระระวังลูกยาในป่าใหญ่ | |||
| พอสิ้นสั่งสุดสวาทก็ขาดใจ | กลับคืนไปสู่สวรรค์ชั้นวิมานฯ | |||
| ๏ ปางพระสุริย์ใสวิไลลบ | ให้ปรารภด้วยบุตรสุดสงสาร | |||
| ไม่เห็นใครที่จะได้พยาบาล | พระสุริยกาลกอดบุตรเข้าโศกา | |||
| แล้วผันแปรแลไปเห็นไกรสร | แม่ลูกอ่อนสถิตอยู่ในคูหา | |||
| พระอุ้มโอรสราชแล้วยาตรา | ถึงพญาสิงหราชประกาศพลัน | |||
| ว่าดูราราชสีห์อันมีศักดิ์ | โอรสรักเราเกิดในไพรสัณฑ์ | |||
| กำพร้าแม่แต่คลอดออกจากครรภ์ | จะให้ท่านเลี้ยงไว้ดังใจจง | |||
| เป็นบิดามารดาของทารก | เราจะยกให้ตามความประสงค์ | |||
| เวลาจวนเราจะด่วนไปอัสดง | ต่อนานนานจึงจะลงมาเชยชมฯ | |||
| ๏ ราชสีห์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | บังคมคัลพระอาทิตย์อิศยม | |||
| ไว้ธุระสิงหราอย่าปรารมภ์ | จะส่งนมเลี้ยงดูให้อยู่เย็น | |||
| แม้นโตใหญ่ได้พึ่งซึ่งพระเดช | ช่วยปกเกศราชสีห์ไม่มีเข็ญ | |||
| อันลูกข้าทารกแม้นอยู่เย็น | จะได้เป็นข้าไทเหมือนใจปอง | |||
| พระสุริยงทรงฟังไกรสรสัตว์ | โสมนัสยินดีไม่มีสอง | |||
| ส่งลูกให้สิงหราน้ำตานอง | อวยพรสองราชสีห์อย่ามีภัย | |||
| พระกอดจูบลูกยาน้ำตาหยด | อุ้มโอรสเศร้าสร้อยละห้อยไห้ | |||
| พระสงสารราชบุตรสุดอาลัย | แล้วลาไกรสรไปเวไชยันต์ฯ | |||
| ๏ ราชสีห์มีจิตพิศวาส | ด้วยองค์ราชโอรสพระสุริย์ฉัน | |||
| รักเสมอลูกยาไม่อาธรรม์ | เกษมสันต์อยู่ในถ้ำอันอำไพ | |||
| กุมาราชันษาได้สิบทัศ | งามจำรัสเหมือนองค์พระสุริย์ใส | |||
| กำลังเจ็ดช้างสารอันชาญชัย | เพราะว่าได้กินนมนางสิงหราฯ | |||
| ๏ จะกล่าวถึงพระอาทิตย์บิตุเรศ | พูนเทวษคิดถึงโอรสา | |||
| เสด็จจากรถชัยแล้วไคลคลา | ถึงคูหาถ้ำแก้วอันแพรวพราย | |||
| เห็นโอรสลดองค์ลงโอบอุ้ม | ประจงจุมพิตพักตร์พระโฉมฉาย | |||
| พระโลมลูบรับขวัญบรรยาย | โอ้พ่อสายสุดที่รักของบิดร | |||
| พ่อมิได้อยู่เลี้ยงไว้เคียงพักตร์ | เอาลูกรักฝากไว้กับไกรสร | |||
| ชนนีนางฟ้าสถาวร | นั้นม้วยมรณ์แต่เจ้าคลอดออกจากครรภ์ | |||
| พระกุมารฟังสารให้สงสัย | จึงถามไถ่ราชสีห์ขมีขมัน | |||
| ไกรสรเล่าความหลังให้ฟังพลัน | แจ้งสำคัญพระอาทิตย์เป็นบิดา | |||
| ศิโรราบกราบบาทบิตุเรศ | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | |||
| พระสุริยันกันแสงด้วยลูกยา | ทั้งสามสัตว์สิงหราก็โศกี | |||
| ครั้นเคลื่อนคลายวายโศกกันแสงศัลย์ | พระสุริยันตรัสประภาษกับราชสีห์ | |||
| จะให้นามตามวงศ์สวัสดี | แทรกชนกชนนีเข้าในนาม | |||
| ชื่อโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ | จงประสิทธิ์แก่กุมารชาญสนาม | |||
| ทั้งตรีโลกโลกาสง่างาม | เจริญความเกียรติยศปรากฏครันฯ | |||
| ๏ พระอาทิตย์นิรมิตเครื่องประดับ | ให้เสร็จสรรพล้วนเทพรังสรรค์ | |||
| เป็นเครื่องทิพสาตราสารพัน | ให้ป้องกันอยู่ในกายกุมารา | |||
| รณรงค์คงทนด้วยกายสิทธิ์ | พระอาทิตย์จึ่งสั่งโอรสา | |||
| อันเครื่องทรงที่ในองค์พระลูกยา | ล้วนเทพสาตราอันเกรียงไกร | |||
| จะรบราญรณรงค์เข้ายงยุทธ์ | ไม่พักหาอาวุธอย่าสงสัย | |||
| เครื่องประดับรับรบอรินทร์ภัย | เหาะเหินได้รุ่งเรืองด้วยเครื่องทรง | |||
| จงคิดอ่านไปผ่านพิภพโลก | มาวิโยคอยู่ไยในไพรระหง | |||
| สิงหราชชาติเชื้อเขาชาวดง | เจ้าเป็นพงศ์จักรพรรดิสวัสดี | |||
| พ่อจะบอกมรคาไปหาคู่ | นางนั้นอยู่บูรพาพาราณสี | |||
| จงลาแม่ลาพ่อจรลี | ถ้าได้ดีแล้วจงกลับมารับกัน | |||
| แม้นเคืองเข็ญจงคิดถึงบิตุเรศ | ถ้าแจ้งเหตุจะมาช่วยอย่าโศกศัลย์ | |||
| พระกอดจูบลูกยาเฝ้าจาบัลย์ | พระรำพันร่ำไรแล้วให้พร | |||
| พ่อจะลาแก้วตาไปส่องโลก | อย่าแสนโศกจงสุขสโมสร | |||
| ครั้นเสร็จสั่งสิงหราสถาวร | พระทินกรเหาะไปเวไชยันต์ฯ | |||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาน้ำตาไหล | ด้วยอาลัยสุริย์ฉายนั้นผายผัน | |||
| ยิ่งแลลับพระบิดายิ่งจาบัลย์ | สะอื้นอั้นกำสรดระทดกายฯ | |||
| ๏ สิงหราว่ากล่าวเล้าโลมปลอบ | ตามระบอบโศกเศร้าบรรเทาหาย | |||
| พระโคบุตรสุดจิตคิดเสียดาย | ค่อยน้อมกายเกศก้มประนมกร | |||
| ลูกขอลาชนนีอย่ามีเหตุ | เที่ยวประเวศตามคำพระร่ำสอน | |||
| ว่าคู่สร้างนางอยู่ในสาคร | พเนจรไปในป่าพนาวัน | |||
| แม้นบุญช่วยได้สมอารมณ์คิด | ให้ต้องจิตดังคำพระสุริย์ฉัน | |||
| กุศลส่งคงพบประสบกัน | ครองเขตขัณฑ์ได้คู่อยู่สำราญ | |||
| ถึงลูกไปใช่จะลืมพระคุณแม่ | ถ้าเว้นแต่ชีวังสิ้นสังขาร | |||
| แม้นบุญส่งคงสบายไม่วายปราณ | จะเวียนมามัสการพระมารดาฯ | |||
| ๏ ราชสีห์สุดที่จะทานทัด | กลัวจะขัดเคืองลูกเสน่หา | |||
| จึงอวยพรสั่งสอนกุมารา | แล้วให้ยาล้ำเลิศประเสริฐครัน | |||
| ถ้าเคี้ยวพ่นคนตายแล้วคลายรอด | ไม่ม้วยมอดมรณาชีวาสัญ | |||
| พระรับยาอาลัยใจผูกพัน | กันแสงศัลย์กราบบาทสิงหราฯ | |||
| ๏ โอ้แม่เจ้าคราวนี้จะนานแล้ว | จงอยู่ครองห้องแก้วถ้ำคูหา | |||
| ไม่ปลดปลงลูกคงจะกลับมา | แล้วอำลาราชสีห์ผู้พี่ชาย | |||
| ตั้งอารมณ์ข่มใจอาลัยรัก | ค่อยหาญหักอาดูรให้สูญหาย | |||
| เสด็จจากห้องแก้วอันแพรวพราย | พระทัยหายกลับมาโศกาลัย | |||
| เป็นหลายครั้งตั้งร่ำรำพันรัก | แล้วหวนหักเสน่หาน้ำตาไหล | |||
| พระชุบเช็ดชลนาด้วยอาลัย | แล้วหักใจจำทิศพระบิดา | |||
| เหาะละลิ่วปลิวคว้างมากลางเมฆ | ลอยวิเวกมาในท้องพระเวหา | |||
| พระลอยลมแลชมอรัญวา | ประมาณมาหลายคืนชื่นอารมณ์ฯ | |||
ตอนที่ ๒ ราชปุโรหิตชิงบัลลังก์เมืองพาราณสี นางมณีสาครและพระอรุณไปพบยักษ์ ๔ ตน
| ๏ จะกล่าวถึงขัตติย์วงศ์พงศ์กษัตริย์ | พรหมทัตธิบดินทร์ปิ่นสนม | ||
| ครองพาราณสีบุรีรมย์ | มีเมืองขึ้นมาบังคมไม่ขาดปี | ||
| มีเอกองค์ทรงนามประทุมทัศ | เสวยราชสมบัติเกษมศรี | ||
| มีพระราชธิดาล้ำนารี | ชื่อมณีสาครฉะอ้อนองค์ | ||
| มีพระราชกุมารเสน่หา | อนุชาน้องถัดนวลหง | ||
| ชื่ออรุณกุมารชาญณรงค์ | ทั้งสององค์ลูกเจ้ายังเยาว์ครัน | ||
| พระพี่ยาชันษาได้สิบทัศ | กุมารถัดเจ็ดขวบเกษมสันต์ | ||
| บิตุรงค์ทรงรักดังชีวัน | สารพันมิได้ขัดเคืองระคาย | ||
| ครั้นอยู่มาตาพราหมณ์ประโรหิต | ครองโลภจิตนึกเจตนาหมาย | ||
| เฒ่าชรามีบุตรบุรุษชาย | เมียนั้นตายจากอกไปหลายปี | ||
| คิดการศึกนึกจะเป็นกษัตริย์ | ผ่านสมบัติบ้านเมืองให้เรืองศรี | ||
| ทั้งลูกจะครองนุชพระบุตรี | ได้แทนที่พรหมทัตกษัตรา | ||
| จึงมั่วสุมซุ่มคนไว้คับคั่ง | ได้พร้อมพรั่งหลายพันก็หรรษา | ||
| ธนูง้าวหลาวโล่แลปืนยา | เครื่องสาตราครบถ้วนแลทวนแทง | ||
| ถึงวันดีเตรียมทัพเวลาดึก | อึกทึกฮึกหาญชาญกำแหง | ||
| เอาปืนใหญ่ยิงประดังพังกำแพง | จุดคบแดงให้ประดังเข้าวังใน | ||
| จับกษัตริย์ตัดเศียรสิ้น ชีวิต | ทวารปิดมิให้คนลอบหนีได้ | ||
| จับพวกเหล่าสาวสรรค์ กำนัลใน | มาคุมไว้กลางชาลาหน้าพระลาน | ||
| แสน สังเวชนางในใจจะขาด | ร้องกรีดกราดแซ่เสียงสำเนียงขาน | ||
| ผ้านุ่งห่มลุ่ยหลุดกระเซอซาน | บ้างคลำคลานออกมาทุกหน้านาง ฯ | ||
| ๏ สงสารองค์อัคเรศเกศกษัตริย์ | สองพระหัตถ์ข้อนทรวงเข้าผางผาง | ||
| เขาไล่จับสับสนอยู่บนปรางค์ | นุชนางอุ้มสองกุมารา | ||
| แล้ววิ่งวงลงจากปราสาททิพ | ค่อยกระซิบสั่งสองโอรสา | ||
| อย่าร้องดังฟังแม่นะแก้วตา | แล้วก็พาลูกเลี้ยว เที่ยวเวียนวง | ||
| ชำเลืองดูที่ทวารบานก็ปิด | ดังชีวิตนางจะม้วยเป็นผุยผง | ||
| เห็นไม้พุ่มอุ้มลูกเข้าแอบ องค์ | กระซิบทรงเศร้ากำสรดระทดใจ | ||
| สายสมรสอนสั่งพระลูก แก้ว | พอรุ่งแล้วถ้าเขาจับแม่ไปได้ | ||
| ทั้ง พี่น้องสองราอย่าอาลัย | พากันไปเถิดนะลูกอย่าอยู่เลย | ||
| ตามกุศลผลบุญของลูกแก้ว | แม่นี้ไม่อยู่แล้วหนาลูกเอ๋ย | ||
| พากันไปอย่าอาลัยถึงแม่เลย | แล้วทรามเชยกอดลูกเข้าโศกี | ||
| สามพระองค์ทรงโศกกันแสงไห้ | จนอุทัยจวนรุ่งจำรัสศรี | ||
| นางชาววังวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี | พระชนนีกอดลูกเข้าร่ำไร | ||
| เอาทรายฝุ่นมุนมอมพระลูกรัก | ให้ผิวพักตร์มัวหมองไม่ผ่องใส | ||
| รุ่งแล้วสองแก้วตาจงคลาไคล | เขาจับได้ก็จะม้วยด้วยชนนี | ||
| แล้วผันแปรมิได้แลดูลูกรัก | นางตั้งพักตร์วิ่งวางขึ้นปรางค์ศรี | ||
| เข้าสวมสอดกอดศพพระสามี | นางเทวีกลั้นใจบรรลัยลาญ | ||
| น่าสงสารสองกุมารมาลับแม่ | สุดชะแง้แล้วโศกาน่าสงสาร | ||
| กลั้นสะอื้นขืนใจอาลัยลาน | สองกุมารเดินเรียงมาเคียงกัน | ||
| นางมณีสาครจูงกรน้อง | สงสารสองบุตรีไม่มีขวัญ | ||
| เห็นผู้คนปนปลอมไปพร้อมกัน | ใครไม่ทันแจ้งจิตว่าธิดา | ||
| พ้นทวารบ้านเมืองชำเลือง เหลียว | ยิ่งเปล่าเปลี่ยวเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
| เจ้า รีบรัดตัดเนินดำเนินมา | ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด | ||
| กันแสงพลางเหลียวพลางดูปรางค์รัตน์ | หน่อกษัตริย์สองราน้ำตาไหล | ||
| ทุกเทวาช่วยรักษาทั้งสองไป | ดลพระทัยให้เข้าป่าพนาวัน ฯ | ||
| ๏ ประโรหิตสมคิดขึ้นปรางค์มาศ | สิงหนาทตั้งปึ่งทำขึงขัน | ||
| ท้าวพระยาหาตัวมาพร้อมกัน | ใครแข็งขันสั่งซ้ำให้จำจอง | ||
| ที่ยินยอมพร้อมใจให้สมบัติ | เอาความสัตย์อย่าให้หมายเป็นฝ่ายสอง | ||
| แล้วแต่งตั้งที่ขุนนางตามทำนอง | ทั้งพวกพ้องพร้อมจิตก็คิดการ | ||
| ให้ค้นหาธิดากรุงกษัตริย์ | จบจังหวัดพระนิเวศน์เขตสถาน | ||
| มิได้พบพี่น้องสองกุมาร | ตาพราหมณ์พาลจับยามตามตำรา | ||
| ก็รู้ว่าไม่อยู่ในนิเวศน์ | สุดสังเกตที่จะเสาะแสวงหา | ||
| ก็นิ่งไว้ในใจไม่เจรจา | สั่งให้หาช่างสุวรรณมาทันใด | ||
| ทำโกศทองรองศพสองกษัตริย์ | ประจงจัดไว้ปรางค์ทองอันผ่องใส | ||
| เที่ยวเลือกชมนางสนมกำนัลใน | สำราญใจพ่อลูกทุกคืนวัน ฯ | ||
| ๏ แสนสงสารพระกุมารสองสมร | ลับนครเข้าป่าพนาสัณฑ์ | ||
| กันแสงส่งสุรเสียงมาเคียงกัน | ได้สามวันเดินไพรไปไกลวัง | ||
| อดเสวยเนยนมยิ่งตรมอก | แสนวิตกคิดคะนึงถึงความหลัง | ||
| สงสารสองทรงศักดิ์ในนครัง | บรรลัยแล้วหรือยังไม่รู้เลย | ||
| เมื่อครั้งบุญทูลกระหม่อมยังครองภพ | เธอเวียนรบตักเตือนให้สรงเสวย | ||
| ยามวิบากจากสบายไม่วายเลย | ที่การเคยผาสุกมาทุกข์ทน | ||
| เพราะสิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมจิต | เอาชีวิตออกไว้อยู่ไพรสณฑ์ | ||
| เอาเสือสางกวางเถื่อนเป็นเพื่อนตน | ทั้งผู้คนเงียบสงัดล้วนสัตว์พาล | ||
| พระพี่น้องสององค์ทรงกันแสง | จนสุดแรงที่จะไปในไพรสาณฑ์ | ||
| สิ้นกำลังล้มลงในดงดาน | สองกุมารนิ่งซบสลบลง ฯ | ||
| ๏ เทพไททุกวิมานบันดาลเงียบ | เย็นยะเยียบทุกหย่อมหญ้าป่าระหง | ||
| ทุกก้านกอช่อไม้ในไพรพง | สงสารองค์อรุณราชเพียงขาดใจ | ||
| ลมรำพายชายพัดมารึ่นรื่น | ทั้งสองฟื้นสมประดีขึ้นโหยไห้ | ||
| พระพี่ชวนอนุชาลีลาไป | โศกาลัยเลียบเดินเนินคีริน | ||
| บรรลุถึงสระหนึ่งน้ำสะอาด | เดียรดาษด้วยอุบลชลสินธุ์ | ||
| ทั้งฝักดอกจอกกระจับในวาริน | ระรื่นกลิ่นเกสรขจรจาย | ||
| ทั้งสององค์นั่งลงกำลังหอบ | พระกรกอบดื่มกินกระสินธุ์สาย | ||
| แล้วชวนน้องลงในสระชำระกาย | เที่ยวแหวกว่ายเลือกหักฝักอุบล | ||
| พี่แหวกจอกปอกเสวยกระจับสด | น้องว่ารสโอชาผลาผล | ||
| จะกล่าวถึงยักษ์ร้ายในสายชล | ทั้งสี่ตนฤทธิไกรดังไฟกาฬ | ||
| พระเวสสุวัณสาปสรรให้เฝ้าสระ | ด้วยโมหะฤทธิ์แรงกำแหงหาญ | ||
| ได้ยินเสียงพี่ น้องสองกุมาร | ลงลอยเล่นชลธารสะเทื้อนไป | ||
| แสนพิโรธโดดทะลึ่งเสียงอึงอัด | ไล่สกัดเรียกกันอยู่หวั่นไหว | ||
| แสนสงสารสุดสวาทเพียงขาดใจ | เห็นยักษ์ไล่ติดพันกระชั้นมา | ||
| สองพี่น้องร้องหวีดกราดกรีดเสียง | ชีวิตเพียงจะพินาศด้วยยักษา | ||
| เจ้าแหวกว่ายเวียนวงในคงคา | อสุรากั้นกางไว้กลางชล ฯ | ||
ตอนที่ ๓ โคบุตรมาช่วยชุบชีวิตท้าวพรหมทัตและพระมเหสี
| ๏ พอโคบุตรสุริยาเหาะมาถึง | ได้ยินอึงหวั่นไหวทั้งไพรสณฑ์ | ||
| พระลอยแลมาแต่โพยมบน | เห็นสายชลฟุ้งสายกระจายฟอง | ||
| สี่ยักษาไล่ทารกอยู่หมกมุ่น | นึกการุญสงสารเจ้าทั้งสอง | ||
| พระโถมลงตรงสระปทุมทอง | อุ้มเอาสองกุมารทะยานมา | ||
| ยักษ์พิโรธโกรธไล่กระชั้นชิด | พระทรงฤทธิ์หยุดยืนบนยอดผา | ||
| โบกพระหัตถ์ตรัสห้ามแล้วถามมา | อสุราโกรธกันด้วยอันใด | ||
| ยักษ์ทมิฬยินถามคำรามร้อง | มันจองหองลงชำระในสระใหญ่ | ||
| เก็บโกมินกินฝักแล้วหักใบ | เราขัดใจจึ่งจะล้างให้วางวาย ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องสองเจ้าเล่าความหลัง | เป็นสัจจังข้าพเจ้าเล่าถวาย | ||
| ทินกรร้อนรนกระวนกระวาย | มาเห็นสายชลธีก็ดีใจ | ||
| ทั้งพี่น้องสององค์ลงกินอาบ | ก็เย็นซาบสรรพางค์ไม่ตักษัย | ||
| คิดว่าน้ำสำหรับอยู่กับไพร | ไม่แจ้งใจว่าเจ้าของเขาป้องกัน | ||
| จงเอาบุญเจ้าประคุณเอ็นดูด้วย | เหมือนโปรดช่วยลูกกำพร้าจะอาสัญ | ||
| พระทรงฟังสังเวชพระทัยครัน | จึงว่ากับกุมภัณฑ์ไปทันความ | ||
| นี่แน่นายฝ่ายเด็กไม่รู้แจ้ง | ใช่จะแกล้งมาข่มเหงไม่เกรงขาม | ||
| ถึงจะฆ่าทารกไม่ลือนาม | จะถือความไปทำไมไม่ต้องการ ฯ | ||
| ๏ พวกรากษสโกรธร้องอยู่ก้องกึก | จองหองฮึกเหิมนักทำหักหาญ | ||
| มิส่งมามึงจะพากันวายปราณ | มิใช่การของเอ็งไม่เกรงกัน ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารมารร้ายหมายชีวิต | ไม่หวาดจิตปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
| จึ่งว่าเหวยอสุราใจอาธรรม์ | เราไม่พรั่นดอกที่ข้อจะต่อตี | ||
| พระถอดเทพสังวาลโองการสั่ง | สังวาลระวังพี่น้องทั้งสองศรี | ||
| ยักษ์พิโรธโลดไล่เป็นสิงคลี | กระโดดตีตึงตังประดังมา ฯ | ||
| ๏ พระลองแรงแผลงฤทธิ์เข้ารบรับ | พระหัตถ์จับข้างละสองสี่ยักษา | ||
| เผ่นผงาดฟาดผางกลางศิลา | อสุราดิ้นกระเดือกลงเสือกกาย | ||
| จึงโอมอ่านอาคมพรหมประสิทธิ์ | ก็เปลื้องปลิดเจ็บปวดนั้นสูญหาย | ||
| เข้ากลาดกลุ้มรุมรบอยู่รอบกาย | ดังเสียงสายสุนีลั่นสนั่นดัง | ||
| ด้วยเดชะเครื่องประดับสำหรับศึก | แล่นพิลึกโลดไล่ไม่ถอยหลัง | ||
| ได้กินนมราชสีห์มีกำลัง | ไม่พลาดพลั้งติดพันประจัญบาน | ||
| ต่างกำแหงแรงเริงในเชิงรบ | ไม่หลีกหลบโลดไล่ด้วยใจหาญ | ||
| ยักษ์จะจับพี่น้องสองกุมาร | เพราะสังวาลป้องกันไม่อันตราย ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาวราเดช | เอาธำมรงค์บิตุเรศอันเรืองฉาย | ||
| พระหัตถ์ขว้างเป็นแสงประกายพราย | ประหารกายยักษ์ขาดลงดาษดิน | ||
| ด้วยฤทธิ์เทพอาวุํธสุดจะแก้ | ไม่หายแผลม้วยมุดสุดถวิล | ||
| ราพณ์ร้ายตายกลาดลงดาษดิน | พระนรินทร์เหาะลงเนินคิรี | ||
| จึงเรียกสองกุมาราเข้ามาชิด | พลางพินิจพี่น้องทั้งสองศรี | ||
| งามเจริญกิริยากุมารี | ดังมณีเมขลาวิไลทรง | ||
| ชมกุมารน้องชายก็เฉิดโฉม | งามประโลมดังเทพครรไลหงส์ | ||
| ชะรอยเป็นจักรพรรดิขัตติย์วงศ์ | จึงเอื้อนโองการถามเนื้อความไป | ||
| นี่แน่น้องสองเจ้าจงเล่าเรื่อง | อยู่บ้านเมืองแห่งหนตำบลไหน | ||
| ยังเด็กนักหักหาญมาเดินไพร | บุญเจ้าไม่มรณาพี่มาทัน ฯ | ||
| ๏ สองกันแสงเล่าความไปตามเรื่อง | ฉันเสียเมืองยากไร้มาไพรสัณฑ์ | ||
| มาประสบพบมารชาญฉกรรจ์ | แล้วโศกศัลย์ร่ำไรอยู่ไปมา | ||
| พระโปรดช่วยจึงไม่ม้วยชีวาวาตม์ | ขอรองบาทยุคลจนสังขาร์ | ||
| ข้าชื่อมณีสาครแต่ก่อนมา | อนุชาชื่ออรุณร่วมท้องกัน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ใ้ห้สงสาร | ปลอบกุมารว่าอย่าทรงกันแสงศัลย์ | ||
| เจ้ายังเด็กพี่็ก็เล็กอยู่ด้วยกัน | ไม่หมายมั่นจะเอามาเป็นข้าไท | ||
| จะช่วยน้องให้ได้ครองคืนสถาน | จงสำราญเถิดนะน้องอย่าหมองไหม้ | ||
| พี่จะชุบกุมภัณฑ์ที่บรรลัย | จึ่งจะไม่เป็นกรรมประจำกาย | ||
| พระหยิบยามาเคี้ยวแล้วเที่ยวพ่น | กุมภัณฑ์พลได้กลิ่นก็กลับหาย | ||
| หมอบประนมก้มตัวด้วยกลัวตาย | ต่างถวายอภิวันท์รำพันความ | ||
| ขอบพระคุณการุญชุบชีวิต | ได้พูดผิดข้าน้อยนี้หยาบหยาม | ||
| ขอรองบาทมุลิกาพยายาม | ไปติดตามกว่าจะสูญสิ้นชีวา | ||
| แล้วยักษีสี่นายถวายแก้ว | อันเลิศแล้วเหาะได้ในเวหา | ||
| ทั้งสองดวงแต่ล้วนดีมีศักดา | ปรารถนานึกได้ดังใจจง ฯ | ||
| ๏ พระรับแก้วแล้วตรัสกับขุนยักษ์ | ท่านจงรักสุจริตจิตประสงค์ | ||
| เราสงสารพี่น้องทั้งสององค์ | เจ้าเชื้อพงศ์จักรพรรดิสวัสดี | ||
| เที่ยวทนทุกข์บุกป่าพนาเวศ | น่าสมเพชใจนักนะยักษี | ||
| จะแก้ไขให้สองราคืนธานี | อสุรีจงไปช่วยเราด้วยกัน ฯ | ||
| ๏ พนาสูรทูลความไปตามเรื่อง | มิให้เคืองบาทมูลทูลผ่อนผัน | ||
| ให้สององค์พระกุมารสำราญครัน | เหมือนทรงธรรม์อนุกูลกุมารา ฯ | ||
| ๏ ได้ฟังสารแสนสำราญอารมณ์รื่น | พระชมชื่นแสนสนิทเสน่หา | ||
| พระยื่นแก้วแล้วตรัสจำนรรจา | ถือจินดาเถิดน้องทั้งสองคน | ||
| เจ้ากุมแก้วแล้วเหาะไปตามพี่ | ถึงบุรีเรืองรัตน์ไม่ขัดสน | ||
| สองกุมารกรานกราบจอมสากล | แล้วกุมแก้วฤทธิรณไว้กับกร ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาก็พาเหาะ | ข้ามละเมาะเขาเขินเนินสิงขร | ||
| สามกษัตริย์อสุราพากันจร | หมายนครลอยฟ้ามาบุรี | ||
| ครั้นภาณุมาศผาดแผดแดดร้อนจัด | สามกษัตริย์ต้องแสงนรังสี | ||
| พระเคลื่อนคล้อยลอยลงในพงพี | จรลีร่มรื่นชื่นพระทัย | ||
| พระโคบุตรชวนน้องสองกษัตริย์ | ชมพนัสหิมวาพฤกษาไสว | ||
| ที่ผลิดอกออกผลระคนไป | วายุไกวกิ่งกวดเป็นวงกง | ||
| ชมพู่เทศเกดแก้วตะโกโกฐ | ชะลูดโลดตุมกามหาหงส์ | ||
| หันเหียนตะเคียนคางยางประยงค์ | วัลย์เปรียงปรงปรูปรางตะลิงปลิง | ||
| ฝูงอีลุ้มแอบพุ่มอุโลกลับ | กระสาจับไซ้ขนบนต้นสิง | ||
| กาลิงเลี้ยวไล่หานางกาลิง | อัญชันชิงคู่เคียงอยู่เรียงกัน | ||
| นกกระเหว่าเฝ้าแฝงฝรั่งร้อง | ฝูงยูงทองย่องเหยียบพะยุงขัน | ||
| สามกุมารเพลิดเพลินเจริญครัน | แล้วพากันชมนกไม้ไพรพนม | ||
| ตามประสาทารกรักสนิท | ไม่นึกคิดเคืองระคายเท่าปลายผม | ||
| สัพยอกหยอกเอินเพลินอารมณ์ | จนแดดร่มเบี่ยงบ่ายลงชายไพร | ||
| พระชวนน้องสององค์ขึ้นเหาะเหิน | งานเจริญรีบมาในป่าใหญ่ | ||
| ลอยละลิ่วปลิวเมฆมาไรไร | ประมาณได้ยามหนึ่งถึงธานี | ||
| สองกุมารทูลความไปตามเรื่อง | นี่แลเมืองข้าน้อยทั้งสองศรี | ||
| โน่นปรางค์ทองของพระชนนี | แต่เดี๋ยวนี้ใครจะอยู่ไม่รู้ความ | ||
| ได้ทรงฟังทั้งสองพระน้องนาฏ | ลงปราสาทเถิดนะน้องอย่าเกรงขาม | ||
| แม้นมิใช่บิดาพะงางาม | จงแจ้งความพี่จะทำให้หนำใจ ฯ | ||
| ๏ กุมาราพาองค์พระทรงเดช | เข้านิเวศน์ปรางค์ทองอันผ่องใส | ||
| สามกษัตริย์อสุราก็คลาไคล | เข้าห้องในปรางค์รัตน์ชัชวาล ฯ | ||
| ๏ นางชาววังนั่งยามอยู่แออัด | เห็นกษัตริย์สองราน่าสงสาร | ||
| ให้ระลึกถึงนายที่วายปราณ | วิ่งเข้ากอดกุมารแล้วโศกา | ||
| สิ้นบุญทูลกระหม่อมทั้งสองแล้ว | ดังดวงแก้วมืดมิดทุกทิศา | ||
| แม่เป็นไรไปแล้วจึ่งกลับมา | พราหมณ์ชราพ่อลูกมันครองวัง ฯ | ||
| ๏ ได้ฟังฝูงกัลยาน้ำตาไหล | แข็งพระทัยตรัสถามเนื้อความหลัง | ||
| สองพระองค์ปลดปลงชีวาวัง | พระศพยังอยู่หรือสูญไปแห่งใด ฯ | ||
| ๏ สาวสนมก้มกราบแล้วทูลสนอง | อันศพสองปิ่นกษัตริย์ที่ตัดษัย | ||
| เขาใส่พระโกศทองไว้ห้องใน | แล้วร้องไห้ห้ามปรามพระทรามชม | ||
| นางมณีสาครกับน้องน้อย | ก็เศร้าสร้อยโลมเล้าสาวสนม | ||
| แต่ก่อนปางสร้างกรรมจำนิยม | อย่าปรารมภ์เราจะคืนเอาพารา | ||
| แล้วนำองค์ทรงศักดิ์กับยักษ์ร้าย | ค่อยแฝงกายมาถึงแท่นอันเลขา | ||
| เห็นพราหมณ์เฒ่าขึ้นสถิตแท่นบิดา | กับลูกยาบนเตียงอยู่เคียงกัน ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องร้องเรียกให้ยักษ์จับ | สั่งกำชับอย่าเพ่อฆ่าให้อาสัญ | ||
| ยักษ์กระโจมโถมจับตาพราหมณ์พลัน | เชือกมัดมั่นสองแขนอยู่แอ่นกาย | ||
| ทั้งพ่อลูกถูกมัดอยู่นอนกลิ้ง | พวกผู้หญิงเห็นยักษ์ก็ใจหาย | ||
| บ้างหวีดหวาดผาดแลเห็นเจ้านาย | จึงค่อยคลายความกลัวทุกตัวคน ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องร้องห้ามพวกสาวใช้ | อย่าตกใจใช่ศึกมากลางหน | ||
| ต่างรู้ชัดค่อยสงัดสงบตน | พระสุริยนเยี่ยมยอดเมรุไกร | ||
| พระพี่น้องร้องเชิญพระโฉมศรี | มาสู่ที่โกศทองอันผ่องใส | ||
| ให้เปิดโกศเชิญศพออกทันใด | ภูวไนยพ่นด้วยโอสถพลัน | ||
| จอมกษัตริย์สององค์คงชีวิต | ค่อยเคลิ้มจิตคลับคล้ายเหมือนใฝ่ฝัน | ||
| เห็นลูกรักยักษ์ร้ายอยู่เคียงกัน | พระโศกศัลย์สวมกอดเอาลูกยา | ||
| พ่อบรรลัยใครช่วยจึงรอดเล่า | ไฉนเจ้ารู้จักกับยักษา | ||
| พระโฉมยงองค์นั้นนะกัลยา | เสด็จมาแต่หนตำบลใด ฯ | ||
| ๏ พระโอรสยศยงทรงสดับ | จึงกล่าวกลับความหลังแถลงไข | ||
| พระชนกชนนีก็ดีใจ | ราวกับได้ทิพสถานพิมานอินทร์ | ||
| เข้าอุ้มองค์บุตราพระอาทิตย์ | พลางจุมพิตเชยชมสมถวิล | ||
| สมบัติของบิดาในธานินทร์ | ทั้งม้ารถคชริินทร์อันเพริศพราย | ||
| จะมอบให้ทรามชมเสวยราชย์ | ชนชาติจะได้พึ่งพระโฉมฉาย | ||
| พระบิดรมารดาชรากาย | จะเบี่ยงบ่ายบรรพชาไม่ราคี | ||
| ฝากแต่น้องสององค์ไว้ด้วยเถิด | นึกว่าเกิดร่วมครรภ์พระโฉมศรี | ||
| พ่อขอถามนามชนกชนนี | ผ่านบุรีแห่งหนตำบลใด ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรทรงฟังรับสั่งถาม | ไม่บอกความออกแจ้งแถลงไข | ||
| หม่อมฉันชาวหิมวาพนาลัย | ทุเรศไร้สุริย์วงศ์อยู่ดงดอน | ||
| พระมารดาอาสัญแต่วันคลอด | ชีวิตรอดด้วยราชไกรสร | ||
| ลูกรักเคยอยู่ป่าพนาดร | มาเที่ยวจรเล่นตามความสบาย | ||
| มาพบน้องนวลนางที่กลางเถื่อน | เห็นเด็กเหมือนกันก็รักไม่รู้หาย | ||
| ฉันชุบช่วยภูวดลให้พ้นตาย | เสร็จแล้วจะถวายบังคมลา | ||
| ซึ่งโปรดปรานบ้านเมืองให้ลูกรัก | มิใช่ศักดิ์เชื้อวงศ์เผ่าพงศา | ||
| ลูกยกให้แก่พระน้องทั้งสองรา | จะกราบลาเที่ยวให้เพลินเจริญใจ | ||
| พระโศกาอาลัยใจจะขาด | ภูวนาถว่าวอนด้วยรักใคร่ | ||
| สารพัดพ่อมาตัดอาลัยไป | ทั้งเวียงชัยก็ไม่รักจะหักจร | ||
| ทำกระไรจะได้แทนคุณสนอง | ที่ช่วยสองสุดสวาทสโมสร | ||
| จงเอ็นดูบิดาที่ว่าวอน | อยู่นครด้วยน้องทั้งสององค์ ฯ | ||
| ๏ พระฟังห้ามตามมีไมตรีจิต | บุตรอาทิตย์ทูลความตามประสงค์ | ||
| ถึงลูกไปใช่จะลืมบาทบงสุ์ | เมื่อนานนานแล้วก็คงจะกลับมา ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตครั้นจะขัดก็สุดคิด | รัญจวนจิตเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
| แลดูองค์ทรงฤทธิ์กับธิดา | อุปมาเหมือนแก้วแกมกับทอง | ||
| แต่ทรงฤทธิ์จิตยังเด็กไม่รู้จัก | ด้วยเ็ด็กนักยังไม่ควรภิเษกสอง | ||
| จะโลมเล้าเอาใจในทำนอง | พระตรึกตรองตรัสไปด้วยไมตรี | ||
| ถึงจะไปอาลัยแก่พ่อมั่ง | จงรอรั้งอยู่เมืองให้เรืองศรี | ||
| พออุ่นใจไพร่ฟ้าประชาชี | ชาวบุรีหญิงชายกระจายจร | ||
| ว่าพ่อได้สายสวาทเป็นโอรส | เฉลิมยศภิญโญสโมสร | ||
| พ่อเอ็นดูบิดาให้อาวรณ์ | อย่าเพ่อจรให้พ่อช้ำระกำใจ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสงสารท้าวพรหมทัต | สุดจะขัดแล้วจึ่งทูลสนองไข | ||
| พระตรัสห้ามสามหนแล้วจนใจ | จะอยู่ไปมิให้เคืองเรื่องราคี | ||
| เมื่อนานนานลูกจะลาไปเล่นมั่ง | จิตลูกยังอาลัยถึงไพรศรี | ||
| จะเที่ยวดูเสียให้ทั่วทั้งธรณี | ชมบุรีจักรพรรดิกษัตรา | ||
| กรุงกษัตริย์ฟังสารสำราญรื่น | ประคองชื่นรับขวัญด้วยหรรษา | ||
| แล้วเชิญโอรสราชเร่งยาตรา | เสด็จมาพระโรงรัตน์ชัชวาล | ||
| ให้ยักษาพาพราหมณ์มาถามซัก | เอาเพื่อนพรรคพี่น้องจองหองหาญ | ||
| ทั้งพ่อลูกผูกมัดฝีมือมาร | ก็ให้การซัดเพื่อนออกเปื้อนคำ | ||
| เขาจดหมายไล่จับมาคับคั่ง | มีรับสั่งให้ลงโทษแต่คนขำ | ||
| บีบขมับขับเฆี่ยนเจียนระยำ | ให้ตรากตรำตรึงตราไว้ตรุใน | ||
| แล้วยกข้อพ่อลูกประโรหิต | กระทำผิดสาหัสถึงตัดษัย | ||
| ให้ตีฆ้องร้องป่าวตระเวนไป | อย่าฆ่าในธานีเป็นชีพราหมณ์ | ||
| ใส่นาวาไปมหาทะเลหลวง | เอาหินถ่วงเสียให้จมสมหยาบหยาม | ||
| พระตรัสสั่งสิ้นเสร็จสำเร็จความ | แล้วชวนสามโอรสเข้าสู่วัง | ||
| เสวกาพาพราหมณ์ทั้งพ่อลูก | ไปมัดผูกเฆี่ยนขับตามรับสั่ง | ||
| ตะโหงกคอข้อมือขื่อประดัง | ข้างหน้าหลังตีฆ้องมาสองคน | ||
| พวกดาบแดงแซงเดินกระหนาบข้าง | ขยับย่างจูงพราหมณ์มาตามถนน | ||
| ตีฆ้องแล้วให้ร้องประจานตน | ทั้งสองคนพ่อลูกเหมือนอย่างลิง | ||
| เสียงหม่องหม่องร้องว่าเจ้าข้าเอ๋ย | อย่าดูเยี่ยงข้าเลยทั้งชายหญิง | ||
| ข้าพ่อลูกทุจริตทำผิดจริง | กบฏชิงสมบัติกษัตรา | ||
| ทั้งชาวบ้านร้านตลาดก็กลาดเกลื่อน | ร้องเรียกเพื่อนวิ่งกรูมาดูหน้า | ||
| ทั้งธานีมิได้มีใครเวทนา | มันอยากชิงวาสนาสาแก่ใจ | ||
| ตระเวนรอบขอบเมืองทุกบ้านช่อง | ลงเรือล่องไปในกลางทะเลใหญ่ | ||
| เอาพ่อลูกผูกแผ่นศิลาลัย | โยนลงในสาชลก็วายปราณ | ||
| กลับมาทูลมูลเหตุเกศกษัตริย์ | พรหมทัตปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
| จิตระรื่นชื่นอารมณ์ชมกุมาร | จำเนียรกาลนานมาอยู่ธานี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | บังคมทูลพรหมทัตเจ้ากรุงศรี | ||
| ลูกอยู่กับบิดามากว่าปี | ระลึกถึงพงพีพ้นกำลัง | ||
| ลูกจะขอลาองค์พระทรงเดช | ไปเที่ยวชมหิมเวศเหมือนใจหวัง | ||
| พรหมทัตขัตติย์วงศ์ได้ทรงฟัง | ท้าวเธอหลั่งชลนาโศกาลัย | ||
| ครั้นจะตรัสหักหาญพูดทานทัด | กลัวจะขัดเคืองวิญญาณ์อัชฌาสัย | ||
| จึ่งตรัสว่าแก้วตาจะคลาไคล | สำราญใจกลับมายังธานี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรรับรสพจนารถ | กราบเบื้องบาทบงกชบทศรี | ||
| ลูกไปลับคงจะกลับมาบุรี | ไม่ถึงปีอย่าอาลัยพระทัยปอง | ||
| แล้วผินหน้ามาสั่งพระน้องรัก | อยู่ตำหนัีกเถิดเจ้าอย่าเศร้าหมอง | ||
| พี่ไปแล้วคงจะกลับมารับน้อง | นวลละอองจงสุโขอย่าโศกา | ||
| ทั้งพี่น้องร้องไห้วิ่งไปกอด | รำพันพลอดวิงวอนฉะอ้อนว่า | ||
| จะไปไหนฉันจะไปด้วยพี่ยา | อย่าพักว่าเลยไม่อยู่ในบูรี ฯ | ||
| ๏ พระรับขวัญจูบน้องประคองชิด | ตามจริตทารกทั้งสามศรี | ||
| อย่าไปเลยลำบากองค์ในพงพี | ล้วนเสือสีห์ผีสางกลางอารัญ | ||
| มันเห็นใครใจอ่่อนมันหลอนหลอก | ไม่ดีดอกเจ้าอย่าไปในไพรสัณฑ์ | ||
| ทำไมกับพี่มีมนต์ไม่กลัวมัน | จงครองกันอยู่เมืองอย่าเคืองระคาย ฯ | ||
| ๏ อย่าพักปดให้เหนื่อยปากไม่อยากเชื่อ | ถึงช้างเสือก็ไม่พรั่นเหมือนมั่นหมาย | ||
| มิพาไปแล้วไม่ออกไปนอกกาย | จะกอดคอไว้จนตายไม่ปล่อยเลย ฯ | ||
| ๏ ดูดู๋ว่าแล้วยังไม่ฟังว่า | ทั้งข้าวปลาก็จะได้ที่ไหนเสวย | ||
| ดวงมณีที่พี่ให้เอาไว้เชย | อย่าไปเลยโฉมตรูอยู่พารา | ||
| ทั้งพี่น้องร้องไห้ไม่ฟังห้าม | ขืนจะตามไปหิมเวศด้วยเชษฐา | ||
| พระโคบุตรสุดจนพ้นปัญญา | ทูลบิดาให้ห้ามเจ้าทรามวัย | ||
| บิตุรงค์ทรงพระสรวลสำรวลร่า | ตามแต่เจ้าจะว่าอัชฌาสัย | ||
| เมื่อพ่อแม่เขาไม่รักจะหักไป | แล้วภูวไนยเล้าโลมนางโฉมงาม | ||
| อนุชาพ่อจงพาไปฝึกสอน | นางมณีสาครจะช่วยห้าม | ||
| แล้วตรัสปลอบพระธิดาพะงางาม | แม่อย่าตามไปให้ยากลำบากกาย | ||
| แม้นขุกเข็ญเป็นหญิงนี้ยากนัก | พระลูกรักพ่อว่าอย่าผันผาย | ||
| พระอนุชาเขาเชื้อเนื้อว่าชาย | อันตรายโพยภัยเขาไม่มี ฯ | ||
| ๏ นางทรงฟังแค้นจิตบิตุเรศ | ชลเนตรไหลนองหม่นหมองศรี | ||
| เจ้าหยิกข่วนเชษฐาไม่ปรานี | แล้วเข้าที่ไสยาโศกาลัย ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาผวาวิ่ง | มาปลอบมิ่งสมรมิตรพิสมัย | ||
| พี่เมตตาจึ่งไม่พาเจ้าเดินไพร | แม่ยังไม่เห็นดีเข้าตีรัน | ||
| แต่น้องน้อยยังหน่วงเป็นห่วงนัก | พระทรงศักดิ์เธอจะให้ไปกับฉัน | ||
| แม่จงฟังพี่ยาอย่าจาบัลย์ | จะเก็บพรรณบุปผาอัมพาพวง | ||
| ที่หอมหวนงามหลากมาฝากแม่ | ห้อยพระแกลเล่นสะพรั่งในวังหลวง | ||
| พงศ์กษัตริย์ตรัสล้อแล้วล่อลวง | สุดาดวงค่อยชื่นกลืนน้ำตา ฯ | ||
| ๏ พระจูงกรยุพยงอนงค์นาฏ | ยุรยาตรจากแท่นอันเลขา | ||
| มาฝากองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา | แล้วชวนพระอนุชามาสรงชล | ||
| ในอ่างทองรองฝักปทุมมาศ | ดูสะอาดชลปรอยเป็นฝอยฝน | ||
| น้ำกุหลาบอาบองค์สรงสุคนธ์ | ทรงเครื่่องต้นดูงามอร่ามพราย ฯ | ||
| ๏ สององค์ออกหน้าโถงพระโรงรัตน์ | หน่อกษัตริย์ทรงแท่นอันเรืองฉาย | ||
| โองการสั่งอสุรีทั้งสี่นาย | จงผันผายไปสถานสำราญใจ | ||
| แต่จงช่วยกรุณังระวังนิเวศน์ | ทั่วขอบเขตนครังทั้งน้อยใหญ่ | ||
| พนาสูรทูลสนองให้ต้องใจ | ในกรุงไกรมิให้มีราคีพาน | ||
| สิบห้าวันจะผลัดกันมาสืบข่าว | ให้สองท้าวปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
| แล้วกราบลาพี่น้องสองกุมาร | เหาะทะยานหมายมาพนาลี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ | สำราญจิตจากพระโรงอันเรืองศรี | ||
| เจ้าอรุณสุริยวงศ์ทรงมณี | จรลีลอยลิ่วปลิวเมฆา | ||
| ออกจากรุงมุ่งหมายเข้าไพรระหง | ทั้งสององค์ชมไม้ไพรพฤกษา | ||
| พระเหาะเรียงเคียงชมยมนา | ลอยละลิ่วปลิวฟ้ารีบคลาไคล ฯ | ||
| ๏ พระสุริยงลงลับเหลี่ยมภูผา | พระจันทราส่องสว่างกระจ่างไข | ||
| ทั้งสองชมจันทรานภาลัย | มาตามในแถวทางกลางอารัญ | ||
| พระเหาะเรียงเคียงชมดาราราย | แสนสบายคลายทุกข์เกษมสันต์ | ||
| ศิลาลายพรายเลื่อมด้วยแสงจันทร์ | ชี้ชวนกันทัศนาศิลาลัย ฯ | ||
| ๏ พระสุริยาฟ้าสางสว่างภพ | กระจ่างจบในป่าพฤกษาไสว | ||
| ทั้งพี่น้องสองเหาะระเห็จไป | ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านครัน | ||
| เป็นสี่เหลี่ยมสูงวิเวกเทียมเมฆมืด | ดูโยงยืดยาวใหญ่ในไพรสัณฑ์ | ||
| เหมือนเมฆมืดเมฆาเมื่อสายัณห์ | พระชวนกันสององค์เดินตรงมา | ||
| ครั้นถึงที่เขาใหญ่ในไพรสณฑ์ | แลเห็นต้นนารีผลบนเนินผา | ||
| ล้วนคนธรรพ์นักสิทธ์วิทยา | เฝ้ารักษาแลล้อมอยู่พร้อมกัน | ||
| ทั้งสององค์่ทรงแลไม่เคยเห็น | มุ่งเขม้นแล้วทรงพระสรวลสันต์ | ||
| พระโคบุตรนึกอนาถประหลาดครัน | ต้นไม้นั้นแต่ล้วนนางสล้างไป | ||
| ที่ใต้ต้นคนธรรพ์สะพรั่งอยู่ | พระน้องดูให้เห็นเล่นใกล้ใกล้ | ||
| ว่าพลางทางชวนกันเหาะไป | สำราญใจชื่นจิตด้วยฤทธิรณ ฯ | ||
ตอนที่ ๔ โคบุตรรบวิชาธร ฆ่าทัศกัณฐมัจฉาตาย
| ๏ ฝ่ายคนธรรพ์กับพวกวิชาธร | เหาะเร่ร่อนคอยระวังนารีผล | ||
| เห็นพี่น้องสององค์ในอำพน | แต่ละตนเดือดดาลทะยานใจ | ||
| ด้วยหวงแหนแค้นเคืองเป็นที่สุด | เหม่มนุษย์สองรามาแต่ไหน | ||
| แกว่งพระขรรค์หันเหาะระเห็จไป | ทะลวงไล่บุกบั่นกระชั้นมา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรหยุดถอดเอาแหวนก้อย | ให้น้องน้อยใส่นิ้วพระหัตถา | ||
| เข้าโจมจับกับพวกวิทยา | เสียงศาสตรากริ่งกร่างกลางอัมพร | ||
| ชิงพระขรรค์ฟันฟาดเสียงฉาดฉับ | ศีรษะพับตกผางกลางสิงขร | ||
| ที่เหลือตายรายรอบเข้าราญรอน | วิชาธรล้อมกลุ้มเข้ารุมองค์ ฯ | ||
| ๏ พระรบรับจับมารแล้วโยนขว้าง | เสียงผึงผางถูกเพื่อนเป็นผุยผง | ||
| ด้วยกำลังยั่งยืนกลางณรงค์ | ดังครุฑยงเหยียบพญาวาสุกรี | ||
| วิชาธรอ่อนฤทธิ์ไม่อาจรบ | น้อยกำลังหลีกหลบเอาตัวหนี | ||
| ที่วอดวายตายกลาดธรณี | ที่หลบลี้หลีกลอดก็รอดตาย | ||
| พระพี่น้องสองราพากันเหาะ | ลงจำเพาะเขาใหญ่เหมือนใจหมาย | ||
| เห็นซากศพวิทยาบรรดาตาย | ทั้งกรกายขาดพลัดกระจัดกัน | ||
| หวนพระทัยใจจิตคิดสังเวช | แสนสมเพชวิทยาที่อาสัญ | ||
| อ้ายเหล่านี้ไม่พอที่ทำดุดัน | พระพูดกันพี่น้องทั้งสองรา | ||
| จะชุบชีวิตไว้พอหายหลาบ | อย่าเป็นบาปติดกายไปภายหน้า | ||
| ดำริพลางทางหยิบเอายามา | กุมาราเคี้ยวพ่นทุกคนไป ฯ | ||
| ๏ วิชาธรรอดตายขึ้นไหว้กราบ | ศิโรราบหมอบเรียงเคียงไสว | ||
| ยอมถวายกายเป็นเช่นข้าไท | จะอยู่ใกล้บาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | ||
| ข้าขอถามนามวงศ์พระทรงเดช | จากประเทศมาไยในไพรสัณฑ์ | ||
| ฤทธิรงค์นี่กระไรดังไฟกัลป์ | ใครไม่ทันเทีียมศักดิ์ทั้งจักรวาล ฯ | ||
| ๏ พระฟังพวกวิทยาสามิภักดิ์ | จึ่งประจักษ์เล่าแจ้งแถลงสาร | ||
| เราพี่น้องสองราปรีชาชาญ | นึกสำราญเที่ยวเล่นอรัญวา | ||
| นั่นโฉมงามนามชื่ออรุณน้อง | อันตัวของเรานี้เป็นเชษฐา | ||
| ชื่อโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงศักดา | นี่ท่านมาทำไมในไพรวัน | ||
| ผูกชฎาอาภรณ์ล้วนหนังเสือ | หรือชาติเชื้อชาวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| วิชาธรกรประนมบังคมคัล | กระหม่อมฉันพวกข้าวิชาธร | ||
| อันพฤกษาต้นนี้นารีผล | ออกเป็นคนได้ชมสมสมร | ||
| สำหรับชมชั่วประถมพุทธันดร | ไปกอดนอนชมเล่นเหมือนเช่นคน | ||
| จึงสามารถอาจหาญเพราะแสนหวง | กลัวจะช่วงชิงนางนารีผล | ||
| พระยกโทษโปรดไว้ไม่วายชนม์ | ทั้งร้อยคนจะเป็นข้าพยาบาล | ||
| เชิญพระไปชมป่าพนาเวศ | มีประเทศหนึ่งโตรโหฐาน | ||
| ทั้งธารน้ำถ้ำแก้วอลังการ | แสนสำราญรุกขชาติสะอาดครัน | ||
| เป็นปิ่นเทพนิกรกินรนาฎ | มาประพาสแสนสุขเกษมสันต์ | ||
| เป็นเวรเวียนเปลี่ยนกันมาในอารัญ | ทั้งสุบรรณครุฑาวาสุกรี | ||
| จะนำเสด็จสององค์พระทรงเดช | ไปทอดพระเนตรพนมคิรีศรี | ||
| สองพระองค์ทรงฟังก็เปรมปรีดิ์ | เออท่านดีแล้วจงพาเราคลาไคล | ||
| พระชวนองค์น้องชายสายสมร | วิชาธรพรั่งพร้อมล้อมไสว | ||
| ต่างสำแดงศักดาเหาะคลาไคล | นำตรงไปมรกตคิรีวัน ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องชมป่าพฤกษาสัตว์ | ตามจังหวัดราวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| บรรลุถึงเขาเขินเนินอรัญ | ก็พากันเหาะตรงลงคิรี ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเทพไทในไกรลาส | กินรนาฏนางฟ้าทุกราศี | ||
| ถึงเวลาก็พากันจรลี | ลงเล่นโบกขรณีในไพรวัน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศร | ก็ชวนพวกวิชาธรระเห็จหัน | ||
| ลงเล่นน้ำสำราญพระทัยครัน | เกษมสัีนต์รื่นเริงบันเทิงใจ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายฝูงนางเทพอัปสรบ้างขับขาน | เป็นกังวานก้องเสียงสำเนียงใส | ||
| พอเวลาสายัณห์ลงไรไร | เทพไทกลับหลังยังวิมาน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระโคบุตรกับนุชน้อง | สั่งพวกพ้องวิทยาศักดาหาญ | ||
| ท่านจงอยู่อย่าเป็นทุกข์สุขสำราญ | ไปถิ่นฐานที่สถิตแต่ก่อนมา | ||
| เราพี่น้องจะไปชมพนาเวศ | สีขเรศถ้ำเขาลำเนาผา | ||
| วิชาธรได้ฟังหลั่งน้ำตา | ต่างกอดบาทบาทาเข้าร่ำไร | ||
| ด้วยจงรักภักดีมีพระเดช | ชลเนตรแถวถั่งลงหลั่งไหล | ||
| แล้วทูลว่าจะเดินทางในกลางไพร | พระอย่าไปทางทิศบูรพา | ||
| ประกอบด้วยยักขินีผีเสื้อน้ำ | เลิศล้ำฤทธิแรงกำแหงกล้า | ||
| ทั้งร้ายกาจสามารถด้วยมารยา | จะเดินป่าระวังองค์ให้จงดี | ||
| ต่างอวยพรให้องค์พงศ์ฺนเรศ | จงเรืองเดชฤทธิไกรชาญชัยศรี | ||
| แล้วพากันเหาะเหขึ้นเมฆี | กลับไปที่ถาวรเหมือนก่อนมา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยงดำรงฤทธิ์ | สำราญจิตเกษมสันต์ยิ่งหรรษา | ||
| แล้วเชิญชวนโฉมยงองค์นุชา | จากเนินผาแล้วระเห็จเสด็จไป | ||
| ไปตามทางข้างทิศบูรพา | ที่บิดาบอกทิศหนทางให้ | ||
| ทั้งสององค์ลอยฟ้ามาไรไร | เกือบจะใกล้พระสมุทรแลสุดตา ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงอสุรีอันมีฤทธิ์ | นามประสิทธิ์หัศกัณฐมัจฉา | ||
| ตัวเป็นยักษ์พื้นล่างเป็นหางปลา | ทั้งกายาโตพียี่สิบกร | ||
| มีแว่นแคว้นแดนยาวสิบเก้าโยชน์ | ตัวเป็นโสดยศยิ่งในสิงขร | ||
| พระสยมภูวญาณประทานพร | ใครราญรอนราพณ์ร้ายไม่วายปราณ | ||
| ออกจากถ้ำสำราญชื่นบานจิต | คะนึงคิดจะไปหาภักษาหาร | ||
| ด้วยอดสัตว์มัจฉามาช้านาน | จากสถานเที่ยวมาในวารี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาพาพระน้อง | เที่ยวเลื่อนล่องลอยฟ้าในราศี | ||
| ถึงฟากฝั่งยมนาท่านที | เห็นยักษีว่ายวงในคงคา | ||
| ดูน่ากลัวตัวพักตร์เป็นยักษ์ใหญ่ | หางนั้นไซร้กลายเป็นเช่นมัจฉา | ||
| ไม่เคยเห็นดูอนาถประหลาดตา | ชวนน้องยาแลดูอสุรี | ||
| หางนั้นเป็นหางปลาหน้าเป็นยักษ์ | ดูโตนักเทียมเท่าคิรีศรี | ||
| ทั้งสองสรวลสุขเกษมต่างเปรมปรีดิ์ | ดูยักษีเวียนวงในคงคา ฯ | ||
| ๏ หัศกัณฐ์แหวกว่ายมาในน้ำ | เที่ยวผุดดำวารินกินมัจฉา | ||
| เห็นมนุษย์พี่น้องทั้งสองรา | มันโกรธาโกรธนักดังอัคคี | ||
| สิงหนาทผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ | ดังจะปิดบังแสงพระสุริย์ศรี | ||
| หมายเขม้นเข่นฆ่าเข้าราวี | อสุรีถาโถมกระโจมมา | ||
| ยี่สิบหัตถ์รัดรวบพระทรงฤทธิ์ | หมายให้คิดอยู่ในมือของยักษา | ||
| พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงศักดา | พระกรคว้ากอดน้องประคองไว้ | ||
| พระหัตถ์ขวาถอดธำมรงค์ขว้าง | หมายจะล้างขุนยักษ์ให้ตักษัย | ||
| ถูกมารร้ายกายกรเป็นท่อนไป | โลหิตไหลโซมลงในคงคา ฯ | ||
| ๏ อสุรินทร์มิได้สิ้นชีวาวาตม์ | ด้วยอำนาจเจ้าดาวดึงส์ไตรตรึงษา | ||
| พลางอ่านเวทแสนประสิทธิ์วิทยา | กลับเป็นมาเจ็ดตนเหลือทนทาน | ||
| เข้าโลดโผนโจนจับสัประยุทธ์ | ท้องสมุทรเป็นระลอกกระฉอกฉาน | ||
| พระโคบุตรหยุดถอดเอาสังวาล | ขว้างประหารมารร้ายก็วายชนม์ | ||
| สังวาลกลับเข้าองค์พระทรงศักดิ์ | ประเดี๋ยวยักษ์เป็นกลับขึ้นสับสน | ||
| มันตายหนึ่งกลับเกิดขึ้นเจ็ดตน | เป็นยี่สิบเก้าคนเข้าชิงชัย ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรนิ่งคิดผิดประหลาด | สะดุ้งหวาดจิตพรั่นคิดหวั่นไหว | ||
| อันเทพสาตรานี้เกรียงไกร | สังหารใครตายแล้วไม่กลับมา | ||
| ไฉนหนอไอ้นี่จึ่งมีฤทธิ์ | ยิ่งม้วยมิดกลับเป็นขึ้นหนักหนา | ||
| พระขว้างซ้ำไปต้องอสุรา | พวกยักษาเกิดมากกว่าหมื่นพัน | ||
| จนสิ้นเครื่องประดับองค์พระโฉมฉาย | พวกมารร้ายชีวาไม่อาสัญ | ||
| ยักษ์พิโรธโกรธใจดังไฟกัลป์ | ต่างประจัญโถมไล่กันไปมา | ||
| กำลังองค์ทรงเดชเจ็ดช้างสาร | พญามารสิทธิศักดิ์ฤทธิ์หนักหนา | ||
| ครั้นฆ่าตายมารร้ายกลับมากมา | อสุรากลาดกลุ้มเข้ารุมรัน | ||
| เสียงพิลึกครึกครื้นเป็นคลื่นซัด | วายุพัดหอบหวนอยู่ป่วนปั่น | ||
| ยักษาจะจับองค์พระทรงธรรม์ | ด้วยเครื่องทรงป้องกันพระกายา ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเทพไทอยู่ใกล้สมุทร | สงสารพระโคบุตรเป็นหนักหนา | ||
| สิ้นกำลังพลั้งพลาดจะอัปรา | ด้วยยักษาพวกนั้นมันมากมาย | ||
| องค์เทเวศร์แปลงเพศให้ผิดผัน | เป็นแมงวันบินมาบอกพระโฉมฉาย | ||
| ว่ายักษ์นี้มันเลิศประเสริฐชาย | มนุษย์ฆ่ามันไม่ตายอย่าสงกา | ||
| มันได้พรพระอิศวรผู้ทรงเดช | ถ้าแจ้งเหตุแล้วจงจำคำเราว่า | ||
| เร่งไปหาพญากระบี่มา | อยู่ที่เขาหิมวากลางพงไพร | ||
| เป็นเชื้อชาติสัตว์ป่าพนาเวศ | เขาเรืองเดชฆ่ายักษ์จึงตักษัย | ||
| ครั้นบอกแล้วเทวาก็คลาไคล | รีบคืนไปกลับหลังยังวิมาน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ผู้่ทรงเดช | ครั้นแจ้งเหตุเทวามาว่าขาน | ||
| จึ่งปลดเปลื้องเครื่องทรงสร้อยสังวาล | พิษฐานขว้างไปมิได้ช้า | ||
| เป็นฝูงเทพเทวาออกดาดาษ | ดูเกลื่อนกลาดทั่วไปในเวหา | ||
| ถือพระขรรค์ศักดิ์สิทธิ์เรืองฤทธา | กุมาราร้องสั่งไปทันที | ||
| ว่าดูก่อนฝูงเทพเทเวศร์ | จงอยู่รอต่อเดชกับยักษี | ||
| พระตรัสพลางชวนน้องจรลี | รีบเหาะหนีเข้าป่าพนาลัย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายองค์ท้าวหัศกัณฐมัจฉา | เห็นฝูงเทพเทวาอยู่ไสว | ||
| มนุษย์นั้นหลบลี้หลีกหนีไป | ก็กริ้วโกรธดังไฟประลัยกัลป์ | ||
| จึงร้องว่าเหวยเหวยเทวราช | ทำองอาจไม่กลัวจะอาสัญ | ||
| ไยมารับรบรุกทำบุกบัน | เข้าป้องกันสองมนุษย์ให้หนีไป | ||
| แต่ก่อนมิเคยอวดศักดิ์มาหักหาญ | กูจะผลาญชีพวิบัติให้ตัดษัย | ||
| สิ้นทั้งหมดเมืองฟ้าสุราลัย | ให้ฝูงปลาน้อยใหญ่กินเสียพลัน | ||
| ว่าพลางต่างแผลงสำแดงฤทธิ์ | เข้าต่อติดตามตีขมีขมัน | ||
| บ้างหักโหมโรมรุกไล่บุกบัน | ฝูงเทวัญกายสิทธิ์ฤทธิรอน | ||
| ยิ่งตายยิ่งเป็นขึ้นเกลื่อนกล่น | เข้าประจญต้านต่อไม่ย่อหย่อน | ||
| เสียงสนั่นลั่นฟ้าริมสาคร | กายสิทธิ์ต่อกรไม่พลาดพลั้ง ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์องค์เชษฐา | ทั้งสองรารีบไปเหมือนใจหวัง | ||
| เหาะข้ามพระสมุทรไม่หยุดยั้ง | ก็ถึงฝั่งฟากทะเลชโลทร | ||
| ครั้นมาถึงที่เขาเหมราช | สูงผงาดเงื้อมตลอดยอดสิงขร | ||
| เห็นพวกพลโยธาล้วนวานร | อยู่ริมฝั่งสาครนั้นมากมี | ||
| แต่พญาวานรเป็นเผือกผู้ | เข้านั่งอยู่ท่ามกลางกระบี่ศรี | ||
| ทั้งสององค์เหาะลงเนินคีรี | เฉพาะหน้าขุนกระบี่แล้วเดินมา | ||
| พวกลิงไพรแลไปเห็นมนุษย์ | อุตลุดต่างยืนขึ้นพร้อมหน้า | ||
| บ้างสำแดงแผลงฤทธิ์ไล่ติดมา | จะโจมเข้าเข่นฆ่าสองกุมาร | ||
| พระโคบุตรโบกพระหัตถ์แล้วตรัสห้าม | ปราศรัยถามด้วยสุนทรคำอ่อนหวาน | ||
| เรามิใช่ไพรีมารบราญ | จะสมานรักใคร่เป็นไมตรี | ||
| ตัวเจ้าเป็นชาวป่าพนาเวศ | อยู่ประเทศเขตเขาคิรีศรี | ||
| จะแจ้งความตามข้อคดีมี | ขุนกระบี่ตนใดนั้นเป็นนาย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ที่เผือกผู้ | สถิตอยู่กลางพหลพลทั้งหลาย | ||
| จึ่งร้องตอบข้อความตามภิปราย | เราเป็นนายวานรสัญจรไพร | ||
| ตัวท่านนี้เป็นมนุษย์หรือเทเวศร์ | มาแต่เขตแห่งหนตำบลไหน | ||
| ทั้งสององค์จะประสงค์สิ่งอันใด | จงบอกให้เราแจ้งแห่งคดี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรหยุดยั้งได้ฟังถาม | จึงตอบความกับพญากระบี่ศรี | ||
| เราเป็นจอมจักรพรรดิสวัสดี | จากบูรีพรหมทัตกษัตรา | ||
| มาเที่ยวชมพนมพนาสณฑ์ | ถึงวังวนผ่อนพักพบยักษา | ||
| อสุรีศักดิ์สิทธิ์มีฤทธา | หางเป็นปลาหน้าเป็นอสุรี | ||
| แต่เราฆ่ายักษ์ตายถึงเจ็ดหน | ครั้นตายตนหนึ่งเกิดเจ็ดยักษี | ||
| ฝูงเทพเทวานั้นปรานี | บอกว่ายักษีได้พรชัีย | ||
| พระอิศวรทูลกระหม่อมจอมมงกุฎ | แม้นมนุษย์เข่นฆ่าหาตายไม่ | ||
| เทพเจ้าชี้แจงให้แจ้งใจ | ว่าตัวท่านอยู่ในหิมวา | ||
| เป็นชาติเชื้อขุนกระบี่อันมีศักดิ์ | จึ่งจะล้างขุนยักษ์ให้สังขาร์ | ||
| เราตั้งใจเจาะจงรีบตรงมา | ได้เมตตาเราด้วยไปช่วยกัน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ได้ยินเหตุ | ผิดสังเกตก็ชวนกันสรวลสันต์ | ||
| จึ่งร้องตอบวาจามาด้วยพลัน | ท่านพูดนั้นไม่จริงยังกริ่งใจ | ||
| ซึ่งว่ามีฤทธามาฆ่ายักษ์ | เห็นหนักนักเชื่อฟังยังไม่ได้ | ||
| มนุษย์น้อยเหมือนฝอยเข้าใส่ไฟ | ไม่มีใครเห็นจริงอย่าเจรจา | ||
| ถ้ามีฤทธิ์เลิศล้ำดังคำเล่า | ฆ่าแต่เราลิงไพรให้สังขาร์ | ||
| จะเห็นดีมีฤทธิ์ดังวาจา | ท่านจะมาเสี้ยมเขาให้ชนกัน | ||
| ว่าพลางทางเรียกพลไพร่ | มาจากในแนวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| สะพรั่งพร้อมล้อมองค์พระทรงธรรม์ | ล้วนเข้มขันคึกคักทำศักดา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยันไม่หวั่นไหว | เห็นลิงไพรพร้อมพรักกันหนักหนา | ||
| จึ่งเปลื้องเครื่องรัดองค์อลงการ์ | แล้วร้องว่าดูก่อนวานรไพร | ||
| เอ็งเป็นแต่เพียงสัตว์เดียรัจฉาน | ทำโวหารไม่มีอัชฌาสัย | ||
| กูเป็นจอมจักรพงศ์อันทรงชัย | จะรบกับลิงไพรไม่ต้องการ | ||
| อยากเห็นฤทธิ์หรือไรจะให้รู้ | กำลังกูถึงเจ็ดเท่าช้างสาร | ||
| จะทำไว้แต่พอให้ประมาณ | ไอ้สาธารณ์อวดกำลังอหังการ์ | ||
| ว่าพลางทางทิ้งเทพอาวุธ | กลายเป็นภุชงค์ใหญ่ล้วนใจกล้า | ||
| สักหมื่นแสนแน่นทั่วบรรพตา | เข้าไล่มัดลิงป่าพัลวัน | ||
| เสียงครึกครื้นตื่นเต้นทั้งไพรชัฏ | พวกลิงกัดนาคกอดสอดกระสัน | ||
| นาครัดลิงวิ่งร้องก้องอารัญ | เข้าไล่พันมัดพหลพลวานร | ||
| จะฟาดฟัดกัดทึ้งเข้าดึงฉุด | นาคไม่หลุดมัดลิงกลิ้งสลอน | ||
| สิ้นกำลังล้มลงในดงดอน | พวกวานรร้องขอชีวาวัน | ||
| ประทานโทษโปรดเถิดพระทรงฤทธิ์ | ขอชีวิตไว้อย่าฆ่าให้อาสัญ | ||
| จะเป็นข้าอยู่ในองค์พระทรงธรรม์ | กว่าชีวันจะม้วยบรรลัยลาญ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรยิ้มเยื้อนเอื้อนพระโอษฐ์ | อันที่โทษเอ็งถึงซึ่งสังขาร | ||
| แต่ครั้งนี้มิให้ถึงซึ่งวายปราณ | แล้วกุมารเรียกรัดพระองค์มา | ||
| ครั้นนาคหายคลายทุกข์ลุกขึ้นกราบ | ศิโรราบกราบงามลงสามท่า | ||
| พญาลิงวิ่งเข้ามาวันทา | พระอิศรายกโทษได้โปรดปราน | ||
| แต่ปางหลังพลั้งผิดด้วยคิดโกรธ | สานุโทษข้าควรจะสังขาร | ||
| ขอรองบาทโฉมฉายจนวายปราณ | จงประทานโทษผิดที่ติดพัน | ||
| ขอทูลความตามจริงทุกสิ่งสิ้น | ซึ่งภูมินทร์จะให้ข้าพาผายผัน | ||
| ไปเข่นฆ่าหมู่มารชาญฉกรรจ์ | ข้าคิดพรั่นศักดาพญามาร | ||
| แต่คงจะอาสาฝ่าพระบาท | ตามพระราชประสงค์จำนงผลาญ | ||
| จนสุดฤทธิ์กว่าชีวิตจะวายปราณ | จะคิดอ่านฉันใดในณรงค์ | ||
| พระยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสสนอง | เราไม่ปองจะให้ท่านเป็นผุยผง | ||
| อันเครื่องทิพย์ที่ประดับสำหรับองค์ | ฤทธิรงค์แต่ล้วนเทพสาตรา | ||
| ด้วยยักษีมีพรประกาศิต | มนุษย์ล้างชีวิตไม่สังขาร์ | ||
| แม้นหาไม่ไหนจะรอดเป็นอสุรา | ไม่พักมากวนท่านให้วุ่นวาย | ||
| แม้นท่านไปเรามิได้ให้ลำบาก | ต้องเหนื่อยยากเหมือนเขารบกันทั้งหลาย | ||
| ไม่เหนื่อยเหน็ดเด็ดได้ด้วยสบาย | จะให้นายถือธำมรงค์ไป | ||
| เข้าต่อฤทธิ์รุกราชพิฆาตขว้าง | คงจะล้างอสุราให้ตักษัย | ||
| ถอดธำมรงค์ทรงยื่นให้ทันใด | อย่านอนใจการด่วนจวนเวลา | ||
| ขุนกระบี่ดีใจเป็นที่สุด | รับเอาเทพอาวุธทูนเกศา | ||
| แล้วสั่งไพร่ให้อยู่ในหิมวา | เชิญเสด็จสองราเหาะทะยาน | ||
| คว้างคว้างมาในกลางโพยมมาศ | ดังครุฑราชเรี่ยวแรงกำแหงหาญ | ||
| รุกขมูลเมืองแมนแดนวิมาน | สาธุการพร้อมพรั่งทั้งโลกา | ||
| พระพิรุณโปรยปรายพระพายพัด | ทุกจังหวัดเทวัญก็หรรษา | ||
| เยี่ยมพระแกลแลดูกุมารา | ด้วยจะฆ่ายักษ์ตายสบายใจ | ||
| พระโคบุตรสุริยากับพานเรศ | มาถึงเขตพระสมุทรอันสุดใส | ||
| รูปนิรมิตเทวาสุราลัย | เข้าลุยไล่รบรุมกับกุมภัณฑ์ | ||
| ไม่พลาดเพลี่ยงเสียงระลอกกระฉอกฝั่ง | เพียงจะพังโลกาสุธาลั่น | ||
| จึ่งเรียกสร้อยเข้าองค์พระทรงธรรม์ | ฝูงเทวัญรูปทิพย์ก็หายไป ฯ | ||
| ๏ หัศกัณฐมัจฉาพญายักษ์ | แลเห็นพักตร์ทรงฤทธิ์คิดสงสัย | ||
| เทวราชกลับกลายก็หายไป | ยังจำได้แต่พี่น้องสองกุมาร | ||
| กับวานรหนึ่งเรียงมาเคียงชิด | สำแดงฤทธิ์ร้องประกาศอยู่ฉาดฉาน | ||
| เมื่อตะกี้เหาะหนีไปลนลาน | ไปชวนอ้ายเดียรัจฉานที่ไหนมา | ||
| ทั้งสามคนครึ่งคำไม่พอเคี้ยว | ประเดี๋ยวเดียวชีวังจะสังขาร์ | ||
| ไม่พอมือครือฤทธิ์อสุรา | เท่าขี้ตาก็จะวิ่งมาชิืงชัย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาวานรสุนทรเย้ย | ว่าเหวยเหวยยักษาอ้ายหน้าไพร่ | ||
| มึงประมาทว่ากูชาติวานรไพร | ตัวเองไซร้เป็นอะไรไม่พิศดู | ||
| หางมึงเป็นหางปลาหน้าเป็นยักษ์ | ทรลักษณ์อัปยศไม่อดสู | ||
| สองพระองค์พงศ์กษัตริย์ฉัตรชมพู | จะต่อสู้เสื่อมเสียพระเดชา | ||
| กูเป็นข้ารองละอองบาท | จะพิฆาตอสุรศักดิ์อ้ายยักษา | ||
| จงกราบองค์ทรงฤทธิ์อิศรา | จะเมตตาชีวันไม่บรรลัย ฯ | ||
| ๏ พญามารฟังสารแสนพิโรธ | ยิ่งกริ้วโกรธกัดฟันอยู่หวั่นไหว | ||
| ประกาศก้องรองเหม่อ้ายลิงไพร | แต่ก่อนไม่โอหังเหมือนครั้งนี้ | ||
| มึงจะให้ใครนั่นไปนอบนบ | พลางตลบโลดไล่กระบี่ศรี | ||
| ทั้งหมื่นแสนแน่นมาในเมฆี | ขุนกระบี่โจนโจมโถมประจัญ | ||
| หางกระหวัดปากกัดสองมือกอด | เอาเท้าสอดฟาดฟัดสะบัดหัน | ||
| ดูกลมกลิ้งลิงกัดฟัดกุมภัณฑ์ | ยักษ์ประจัญลิงขบต้นคอวาง | ||
| พวกยักษ์ไล่ลิงจับสัประยุทธ์ | อุตลุดลิงถีบตกน้ำผาง | ||
| จมประดักยักษ์เจ็บลงร้องคราง | ลิงไล่ล้างมารร้ายวายชีวา | ||
| จนสิ้นรูปกายสิทธิ์ฤทธิเดช | จะอ่านเวทไม่ชะงัดด้วยสัตว์ป่า | ||
| ยังเหลืออยู่แต่ตัวอสุรา | ลิงระอาอ่อนสิ้นกำลังครัน | ||
| จึงขว้างเทพธำมรงค์ของทรงศักดิ์ | ถูกอกอักอสุราจะอาสัญ | ||
| ลงเซทรุดสุดแรงท้าวกุมภัณฑ์ | หัศกัณฐ์ตกลงในคงคา | ||
| ค่อยกระเดือกเสือกกายเข้าฝั่งสมุทร | จะสิ้นสุดสูญชีพสังขาร์ | ||
| เลือดชโลมโซมซาบอาบกายา | ภาวนาทิพมนต์ประสานกาย | ||
| ไม่คืนติดต่อได้เหมือนใจนึก | หวนระลึกหวั่นไหวหทัยหาย | ||
| ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | โอ้จะตายเสียวันนี้เป็นมั่นคง | ||
| ระลึกถึงพรชัยเจ้าไกรลาส | ซึ่งประสาทเคยประสิทธิ์ก็พิศวง | ||
| มาแพ้ฤทธิ์ลิงไพรในณรงค์ | เสียดายทรงฤทธิไกรดังไฟกัลป์ | ||
| โอ้เสียดายชลสายกระแสเชี่ยว | เคยมาเที่ยวปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
| ยามสบายเคยเล่นไม่เว้นวัน | ประพาสพรรณมัจฉากุมภาพาล | ||
| โอ้นับปีนับเดือนจะเลื่อนลับ | มิได้กลับมาชมกระแสสาร | ||
| โอ้เสียดายคูหาในบาดาล | เคยสำราญเช้าเย็นอยู่เป็นนิตย์ | ||
| ยิ่งระลึกนึกไปก็ใจหาย | ราพณ์ร้ายโหยหวนรัญจวนจิต | ||
| พอสิ้นคำอสุรินทร์สิ้นชีวิต | ก็ขาดจิดอยู่ยังฝั่งคงคา ฯ | ||
ตอนที่ ๕ ยักขินีพาโคบุตรเข้าเมืองเนรมิต
| ๏ พระอรุณขุนกระบี่พระโคบุตร | ทั้งสามหยุดอยู่บนห้องท้องเวหา | ||
| เห็นกุมภัณฑ์ตกลงปลงชีวา | ฝ่ายพญาพานรินทร์ก็ยินดี | ||
| จึงทูลเชิญสององค์ผู้ทรงเดช | กลับประเวศหิมวาพนาศรี | ||
| แล้วเหาะด้นดั้นออกนอกเมฆี | มาถึงที่เนินผาไม่ช้านาน | ||
| ลงหยุดยั้งนั่งชะง่อนสิงขรเขิน | งามเจริญเลิศลบจบสงสาร | ||
| ขุนวานรอ่อนเกศลงกราบกราน | บริวารน้อมกายถวายกร ฯ | ||
| ๏ พระตรัสทักสนทนาบรรดากระบี่ | เป็นไมตรีสุขเกษมสโมสร | ||
| จนอัสดงลงลับยุคุนธร | ขุนวานรเกณฑ์พลกระบี่ไพร | ||
| เที่ยวเก็บพรรณบุปผาผกามาศ | มารองลาดต่างแท่นอันผ่องใส | ||
| แล้วกะเกณฑ์ให้ตระเวนระวังภัย | ทั้งกองไฟล้อมวงเป็นเวรนอน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรชวนนุชพระน้องนาฏ | เข้าไสยาสน์อยู่บนเชิงเพิงสิงขร | ||
| บุปผชาติอันสะอาดอรชร | หอมขจรรสรื่นชื่นพระทัย | ||
| กอดประคองน้องแนบเข้าแอบอก | ฟังวิหคพลอดเสียงสำเนียงใส | ||
| ยิ่งวังเวงเพลงเพลินเจริญใจ | ก็หลับไปทั้งสองกษัตรา | ||
| เสนาะเสียงชะนีไพรแลไก่เถื่อน | ทั้งดาวเดือนเลื่อนลับในเวหา | ||
| รุ่งสว่างกระจ่างแจ้งในเมฆา | เสียงปักษาแซ่ซุ้มทุกพุ่มพง | ||
| พระฟื้นกายลิงถวายกระแสสินธุ์ | หน่อนรินทร์พี่น้องทั้งสองสรง | ||
| แสนสำราญบานใจอยู่ในดง | ที่หว่างวงหิมวาพนาวัน ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเทวาศักดาเดช | ตามประเทศแถวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| ในแว่นแคว้นแดนจังหวัดหัศกัณฐ์ | เห็นกุมภัณฑ์สิ้นชีวิตสว่างใจ | ||
| บ้างสำรวลสรวลสันต์ประสานเสียง | ส่งสำเนียงบอกกันอยู่หวั่นไหว | ||
| แต่นี้เราจะเป็นสุขไม่ทุกข์ใจ | ด้วยหน่อไทพระอาทิตย์ฤทธิรอน | ||
| เราจะไปจับระบำรำถวาย | พระโฉมฉายหยุดอยู่เนินสิงขร | ||
| ต่างจับพิณโทนทับสำหรับกร | ชวนอัปสรนางเทพกัลยา | ||
| เที่ยวกู่ก้องร้องประกาศกันกลาดเกลื่อน | แล้วลอยเลื่อนมาในพระเวหา | ||
| ทุกห้วยเหวเปลวปล่องช่องศิลา | มายังเขาเหมราพร้อมหน้ากัน | ||
| สำแดงกายต่างถวายพรสวัสดิ์ | มากำจัดพาลาให้อาสัญ | ||
| ช่วยดับเข็ญเป็นสุขทุกเทวัญ | แล้วชวนกันฟ้อนรำบำเรอเรียง | ||
| เสียงครึกครื้นรื่นเริงบนเชิงผา | ฝูงเทวากรีดกรายถวายเสียง | ||
| ดุริยางค์เย็นเสนาะเพราะสำเนียง | นางฟ้าเรียงขับขานประสานกร | ||
| พวกเทวาคว้าหัตถ์กระหวัดกอด | ประสานสอดฉวยฉุดยุดอัปสร | ||
| นางฟ้าบิดปิดปัดสลัดกร | ฝูงวานรดูนางสำอางองค์ | ||
| พระโคบุตรชวนน้องประคองชื่น | สำราญรื่นเชยชมสมประสงค์ | ||
| เห็นเทวาคว้าไขว่กันเวียนวง | พระสรวลทรงทอดพระเนตรทั้งสองรา | ||
| เทวารำทำกระบวนชวนอัปสร | ทำกรีดกรเปลี่ยนซ้ายแล้วย้ายขวา | ||
| ตีวงเวียนเวียนไล่กันไปมา | พวกลิงป่าดูงามตามกระบวน | ||
| เสียงหน้าทับรับพิณประสานเสียง | เสนาะล้ำสำเนียงร้องโหยหวน | ||
| จับระบำรำถวายหลายกระบวน | แล้วก็ชวนกันครรไลไปวิมาน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์องค์อรุณ | ทั้งพวกขุนวานรเกษมศานต์ | ||
| ครั้นเทวาคลาไคลไปวิมาน | กระบี่กรานก้มกราบกับบาทา | ||
| เชิญเสด็จสององค์สรงสนาน | ที่ในธารอมฤตบนเนินผา | ||
| ประกอบด้วยโกสุมปทุมา | ทั้งคงคาเย็นใสสะอาดครัน ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารแสนภิรมย์ด้วยสมจิต | ประคองชิดน้องชายแล้วผายผัน | ||
| กับพวกลิงแวดล้อมไปพร้อมกัน | จรจรัลเลียบเดินเนินคิรี | ||
| เดินพลางทางชมเนินสิงขร | ชะง้ำชะง่อนวุ้งเวิ้งคิรีศรี | ||
| เป็นหุบห้องช่องหินคูหามี | ดูเหมือนทีสัตว์สิงจะวิ่งโจน | ||
| ที่เนินผาเป็นศิลาเวิ้งชะวาก | ดูหลายหลากแลโปร่งดังโรงโขน | ||
| ที่หน้าผาภูเขาเรียบเทียบไม้โคน | ที่ใบโกร๋นแอบโกรกชะโงกชัน | ||
| เสด็จถึงห้องธารละหานน้ำ | วิไลล้ำกว้างใหญ่ในไพรสัณฑ์ | ||
| จอกกระจับตับเต่าขึ้นเคียงกัน | บุษบันโกสุมปทุมา | ||
| ดูเด่นดอกออกผการะดาดาษ | น้ำสะอาดใสเย็นเห็นมัจฉา | ||
| บ้างว่ายเรียงเคียงกันเป็นหลั่นมา | กุมาราเลียบดูอยู่ริมธาร | ||
| แล้วปลดเปลื้องเครื่องทรงสร้อยสะอิ้ง | พวกฝูงลิงต่างก็เล่นกระแสสาร | ||
| ทั้งสององค์ลงสรงแสนสำราญ | เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นดัง | ||
| บ้างไล่โลดโดดดำเที่ยวคลำหา | เล่นปิดตาอยู่โยงให้ผินหลัง | ||
| เที่ยวซุกซ่อนแอบตัวใบบัวบัง | บ้างแอบฝั่งบ้างก็ดำกำบังกาย | ||
| คงคาใสในกระแสแลถนัด | เหมือนครุฑอัดแอ่นอกผงกหงาย | ||
| ที่อยู่โยงไล่ขยำคลำตะกาย | เขม้นหมายจับพลัดสะบัดไป | ||
| พระสรงชลสุริยนลงบ่ายคล้อย | ชวนน้องน้อยร่วมจิตพิสมัย | ||
| ขึ้นจากน้ำลำธารสำราญใจ | พวกลิงไพรพร้อมเพรียงอยู่เรียงรัน | ||
| พระโฉมยงทรงเครื่องดังเทพบุตร | ดังหนึ่งอัคนิรุทรนรังสรรค์ | ||
| อยู่ที่เขาเหมราจวนสายัณห์ | พระทรงธรรม์โลมลาฝูงวานร | ||
| จงปกป้องครองกันให้ผาสุก | อย่ามีทุกข์จงภิญโญสโมสร | ||
| เราพี่น้องสองราจะลาจร | ชมนครจักรพรรดิกษัตรา ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ได้ยินสั่ง | น้ำตาหลั่งไหลนองลงโซมหน้า | ||
| ทั้งกระบี่รี้พลพวกโยธา | ต่างโศการ่ำไห้อาลัยวอน | ||
| ถึงเป็นตายไม่เสียดายแก่ชีวาตม์ | ขอรองบาทสององค์พระทรงศร | ||
| พระโลมเล้าเอาใจพวกวานร | ท่านอย่าจรไปให้ยากลำบากกาย | ||
| เมื่อนานไปคงจะได้มาพบพักตร์ | จงอยู่รักษากันอย่าผันผาย | ||
| อันตัวเราพี่น้องทั้งสองชาย | ไม่สบายก็เที่ยวไปตามที | ||
| ฝูงวานรอ่อนเกศลงกรานกราบ | ศิโรราบอวยชัยพระโฉมศรี | ||
| พระรับพรพานรินทร์ด้วยยินดี | แล้วชวนน้องจรลีขึ้นเมฆา | ||
| ลิ่วลิ่วปลิืวมาเหมือนวายุพัด | งามจรัสรุ่งเรืองพระเวหา | ||
| ลิงชะแง้แลตามจนลับตา | ต่างโศกาโศกเศร้าเปล่าฤทัย | ||
| สองพระองค์เหาะตรงเข้ากลีบเมฆ | เสนาะเสียงการเวกนั้นเย็นใส | ||
| ดังปีแก้วแว่ววับจับพระทัย | สำราญใจลอยชมพนมวัน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรอนุชาพากันเหาะ | ข้ามละเมาะเนินผาพนาสัณฑ์ | ||
| เห็นเงาะป่าหาปูมาปะกัน | ทำดุดันเตะต่อยกันตึงตัง | ||
| ที่ตัวกล้าไม่ถอยตบต่อยโขก | เสียงดังโปกเหวี่ยงปัดถูกหมัดปั๋ง | ||
| ล้มถลาซวนเซอยู่เก้กัง | โดยกำลังข้างโกงโขย่งไป | ||
| ชื่นอารมณ์ชมป่าพฤกษาชาติ | จัตุบาทเสือสิงห์วิ่งไสว | ||
| พระชวนน้องเดินพนมเที่ยวชมไพร | เก็บดอกไม้เล่นพลางตามหว่างเนิน ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงอสุรีขินียักษ์ | อยู่สำนักในลำเนาภูเขาเขิน | ||
| เห็นพี่น้องสององค์ทรงเจริญ | เที่ยวเล่นเพลินด้นดั้นอรัญวา | ||
| พึ่งแรกรุ่นรูปร่างสำอางเอี่ยม | งานเสงี่ยมน่ารักเป็นหนักหนา | ||
| เนตรโขนงโก่งวาดเพียงบาดตา | กิริยาขำคมก็สมทรง | ||
| ดูสองปรางเหมือนมะปรางเมื่อแรกปลิด | ให้ปลื้มจิตแลแลก็ยิ่งหลง | ||
| นึกนึกจะสะอึกเข้าอุ้มองค์ | กลัวจะทรงพระพิโรธกริ้วโกรธไป | ||
| จะกลับแกล้งแปลงเพศเสียจากยักษ์ | คงสมศักดิ์เหมือนคิดพิสมัย | ||
| แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญไป | งามวิไลล้ำนางสำอางตา | ||
| ทั้งสองเต้าเต่งตั้งดังบัวหลวง | พอเต็มทรวงกำดัดชมทั้งซ้ายขวา | ||
| ทำแกล้งเมินเดินทรงโศกามา | ที่ตรงหน้าพี่น้องสองกุมาร | ||
| พระโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ | สำคัญคิดว่ามนุษย์สุดสงสาร | ||
| พอใกล้องค์ทรงวิ่งมาลนลาน | พจมานไถ่ถามตามเมตตา | ||
| เป็นไรน้องร้องไห้ไม่เห็นเพื่อน | ในกลางเถื่อนวุ้งเวิ้งชะวากผา | ||
| ไม่กลัวสัตว์เสือสีห์จะบีฑา | อนิจจาเดินเดียวน่าเปลี่ยวใจ | ||
| ยักขินีฟังคำทำสะอื้น | แล้วหยุดยืนเช็ดชลนัยน์ไหล | ||
| พระบิดาพาน้องมาเล่นไพร | ละเลิงไล่มฤคีกับรี้พล | ||
| ฉันหลงชมมิ่งไม้ไพรพฤกษา | หมายจะกลับพาราก็ขัดสน | ||
| พระโปรดด้วยช่วยพาข้าจรดล | พอให้พ้นหิมวาถึงธานี | ||
| ทั้งแก้วแหวนแสนทรัีพย์ซึ่งสิ่งของ | จะกอบกองแทนคุณพระโฉมศรี | ||
| เป็นสัจจังวาจาน้องพาที | ช่วยชีวีน้องไว้อย่าให้ตาย | ||
| ทั้งสององค์หลงกลอีนางยักษ์ | ไม่ประจักษ์คิดว่าจริงก็ใจหาย | ||
| สงสารเจ้าเสาวภาคย์ลำบากกาย | จะพาสายสุดสวาทไปเวียงชัีย | ||
| ถึงแก้วแหวนแสนทรัพย์จะนับโกฏิ | ไม่ประโยชน์เลยนะน้องอย่าหมองไหม้ | ||
| เราจะช่วยนิรมลให้พ้นภัย | อยู่ถึงไหนแก้วตาจะพาจร | ||
| อสุรีดีใจเข้าเคียงข้าง | อยู่หว่างกลางสององค์พระทรงศร | ||
| บอกบุรีอยู่ตรงที่ทิศอุดร | บทจรเดินตามกันสามรา | ||
| ได้สมรักยักษ์ร้ายไม่วายยิ้ม | เดินกระหยิ่มมาด้วยความเสน่หา | ||
| เดินพลางดูพลางไม่วางตา | วิ่งผวาเข้าไปกอดพระโฉมยง | ||
| พระตกใจว่าอะไรนั่นแก้วพี่ | อสุรีแกล้งบอกหลอกให้หลง | ||
| เมื่อตะกี้ไหวไหวอยู่ในพง | พยัคฆ์ดงโตใหญ่กระไรเลย | ||
| ทั้งสององค์หลงเชื่ออียักษี | ว่ามิใช่พยัคฆีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
| อย่าหวาดหวั่นพรั่นในพระทัยเลย | แล้วชวนเชยชมนกในหิมวา | ||
| อียักษ์แปลงแกล้งถามถึงนามนก | ฝูงวิหคเรียงรายปลายพฤกษา | ||
| พระบอกนามตามชื่อสกุณา | สาลิกาจับกิ่งตะโกวัน | ||
| โน่นแน่เจ้าเขาไฟนั่นไก่ป่า | นกกระทาจับต้นกระทิงขัน | ||
| ฝูงกาลิงจับกิ่งแสลงพัน | ที่ต้นจันทน์นกตะขาบคาบมะปริง | ||
| จัตุบาทผาดผยองลำพองโผน | กิเลนโจนไล่นางนรสิงห์ | ||
| กระต่ายเต้นเล่นหลอกกับลูกลิง | หมู่มหิงส์แรดช้างเสือกวางทราย | ||
| เย็นพยับอับแสงสุริยง | ชะนีส่งเสียงไห้น่าใจหาย | ||
| กุมาราพายักษ์จำแลงกาย | กำหนดหมายมุ่งทิศอุดรมา | ||
| ยักขินีดีใจเห็นใกล้ค่ำ | นิมิตถ้ำด้วยพระเวทของยักษา | ||
| ให้เห็นเป็นเวียงวังอลังการ์ | เป็นพาราบ้านช่องนั้นนองเนือง | ||
| ดูผู้คนอลหม่านร้านตลาด | คนเกลื่อนกลาดเดินตามถนนเนื่อง | ||
| จึ่งชวนสองหน่อไทเข้าในเมือง | เดินย่างเยื้องขึ้นปราสาทสุวรรณพราย | ||
| มีทวารบานบังที่นั่งแก้ว | ดูเลิศแล้วล้วนวิสูตรสลับสาย | ||
| ลับแลบังฉากตั้งอยู่เรียงราย | ดูพรอยพรายอัจกลับระยับไฟ | ||
| ที่แท่นรัตน์ปัจถรณ์เขนยข้าง | เครื่องสำอางวางเรียงเคียงไสว | ||
| ด้วยฤทธิ์ยักษ์หากเห็นให้เป็นไป | พระหน่อไทสององค์ไม่สงกา | ||
| อสุรีเชิญองค์พระทรงฤทธิ์ | ขึ้นสถิตแท่นสุวรรณอันเลขา | ||
| ทำฉะอ้อนวอนสองกุมารา | เสน่หาพูนเพิ่มเติมอารมณ์ | ||
| แสนสงสารสุดสวาทอนาถเหนื่อย | ก็หลัีบเรื่อยไปแต่แรกยามปฐม | ||
| อสุรียิ่งทวีสวาทชม | เห็นสององค์ลงบรรทมสนิทใน | ||
| อันชาติยักษ์มักหอมเนื้อมนุษย์ | เป็นแสนสุดที่จะอยากน้ำลายไหล | ||
| นึกจะหักคอกินให้สิ้นใจ | แล้วอาลัยรักรูปทั้งสององค์ | ||
| ลุกขึ้นนั่งตั้งจิตพินิจโฉม | ยิ่งประโลมลานจิตพิศวง | ||
| ก็ลืมอยากราคร้อนด้วยรูปทรง | ทั้งสององค์ดูละม้ายคล้ายคลึงกัน | ||
| โอ้เสียดายด้วยกายกูเป็นยักษ์ | พระยอดรักแจ้งจิตจะบิดผัน | ||
| นึกหันหวนป่วนใจอาลัยครัน | สุดจะกลั้นแล้วเข้ากอดพระยอดฟ้า | ||
| จูบพระน้องต้องแก้มอร่อยรื่น | แล้วจูบพี่หอมชื่นในนาสา | ||
| แต่อึดอัดผลัดไพล่กันไปมา | ดังกุลาส่ายคว้างอยู่กลางลม | ||
| พระรูปหล่อพ่อคุณของน้องเอ๋ย | ไม่ตอบรักบ้างเลยเท่าเส้นผม | ||
| น้องกอดจูบลูบต้องประคองชม | พระบรรทมเสียทั้งคู่ไม่รู้เลย | ||
| พระโคบุตรสุริยาผวาตื่น | ไม่พลิกฟื้นทำนิ่งอิงเขนย | ||
| อียักษ์หลงเคลิ้มตัวยังมัวเชย | เฝ้ากอดเกยก่ายต้องประคองกร | ||
| พระโคบุตรคิดในพระทัยกริ่ง | ไฉนหญิงจึงมาร่วมสโมสร | ||
| เฝ้ากอดจูบลูบไล้ไม่หลับนอน | พระอาวรณ์หวาดถวิลในวิญญาณ์ | ||
| ได้กลิ่นปากรากษสก็เหม็นสาบ | พระทรงทราบแจ้งประจักษ์ว่ายักษา | ||
| มันจำแลงแกล้งลวงเราหลงมา | อันพารามิใช่ที่บุรีคน | ||
| จึ่งเสียงน้ำลำธารสะท้านลั่น | จักจั่นเรไรในไพรสณฑ์ | ||
| ดำริพลางทางนึกรู้สึกตน | อีแสนกลนอนนิ่งไม่ติงกาย | ||
| พระถอยถดปลดเปลื้องเอาเครื่องทรง | มาสวมองค์น้องไว้เหมือนใจหมาย | ||
| อนุชานั้นก็นึกรู้สึกกาย | เห็นสร้อยสายสวมองค์พระทรงธรรม | ||
| เชิงฉลาดชาติเชื้อประยูรศักดิ์ | รู้ประจักษ์แจ้งตามเนื้อความขำ | ||
| ทำผุดลุกเรียกพี่ว่าผีอำ | แล้วคลานคลำเข้าไปใกล้พระพี่ยา | ||
| พระโคบุตรพูดเบาเบาเล่าแถลง | พี่นึกแคลงในจิตคิดกังขา | ||
| อันนารีนี้เป็นอสุรา | พี่นิทรามันเฝ้าจูบจนตกใจ | ||
| บ้านเมืองนี้วิปริตพี่คิดเห็น | อันจะเป็นธานีนั้นมิใช่ | ||
| สนั่นเสียงเสือสางเหมือนกลางไพร | ประหลาดใจแล้วเจ้าเราหลงมา | ||
| อรุณน้อยค่อยสะกิดผิดแล้วพี่ | เราหลบหนีไปเถิดหรือพระเชษฐา | ||
| พระโลมเล้าเอาใจพระน้องยา | ว่าช้าช้าอีกสักหน่อยจึ่งค่อยไป | ||
| ขินีมารร่านร้อนกำเริบราค | ทำอ้าปากหาวตื่นขึ้นปราศรัย | ||
| ฟ้าผี่เถิดวันนี้ประหลาดใจ | หนาวกระไรเหมือนรดด้วยวารี | ||
| แล้วแอบองค์วิงวอนฉะอ้อนพลอด | โปรดช่วยกอดน้องสักหน่อยพระโฉมศรี | ||
| พระฟังคำซ้ำแค้นแสนทวี | นึกจะล้างชีวีให้มรณา | ||
| แล้วหยุดยั้งรั้งรอพระทัยนิ่ง | มันเป็นหญิงฆ่าตายก็ขายหน้า | ||
| พอสอนใจไว้จำเป็นตำรา | จะเข่นฆ่ายักษ์ร้ายคงวายวาง | ||
| แล้วยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสประภาษ | สายสวาทนิ่มน้องอย่าหมองหมาง | ||
| พี่เป็นชายจะเอากายไปกอดนาง | ไม่มีอย่างเขาจะเย้ยทั้งพารา | ||
| พี่จะต้องลาเจ้าจวนจะรุ่ง | พระหัตถ์จูงอรุณน้อยเสน่หา | ||
| อียักษ์ฟังคั่งแค้นแน่นอุรา | พิโรธว่าไปกับองค์พระทรงฤทธิ์ | ||
| เ์์สียแรงรักชักชวนมาเชยชื่น | ไม่ถึงคืนก็มาทำให้ช้ำจิต | ||
| จะขืนไปก็ไม่ไว้ซึ่งชีวิต | แล้วแผลงฤทธิ์กลับร่างอย่างขินี | ||
| ทั้งปรางค์มาศราชวังเป็นหิมเวศ | สำแดงเดชเหยียบยอดคิรีศรี | ||
| โลดถลาถาโถมเข้าโจมตี | ดังเสียงสายอสนีสนั่นครัน | ||
| พระโคบุตรหยุดยืนขยับรับ | กระโจนจับด้วยกำลังดังกังหัน | ||
| ฤทธิรอนกรจิกเกศกุมภัณฑ์ | พระบาทยันเหยียบยักขินีมาร | ||
| อสุรินทร์สิ้นแรงจะแผลงฤทธิ์ | ขอชีวิตร้องก้องทั้งไพรสาณฑ์ | ||
| พระทรงเดชสังเวชอีนางมาร | ยักษ์ก้มกรานกราบกับพระบาทา | ||
| ประทานโทษเถิดองค์พระทรงฤทธิ์ | ข้าหลงผิดเพราะความเสน่หา | ||
| อย่าฆ่าเสียให้ตายวายชีวา | ขอเป็นข้ากว่าจะม้วยด้วยสัจจัง | ||
| พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายโปรด | ถ้างดโทษแล้วอย่าทำเหมือนหนหลัง | ||
| กระทิงถึกมฤคาในป่ารัง | ชีวิตยังแล้วอย่าทำให้จำตาย | ||
| จงถือมั่นขันตีเป็นที่สุด | เมื่อม้วยมุดจะไปเกิดให้เฉิดฉาย | ||
| วันนี้มึงจะถึงชีวาวาย | ได้รอดตายแล้วอุตส่าห์รักษาตน | ||
| นางยักษ์รับอัพภิวาทถวายสัตย์ | จะบำหยัดบาปกรรมทำกุศล | ||
| ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้วายชนม์ | ประจวบจนชีวันนั้นบรรลัย | ||
| พระโฉมยงสงสารอีมารนัก | เป็นครู่พักรุ่งแจ้งปัจจุสมัย | ||
| ทั้งดวงเดือนเลื่อนลับพยับไพร | สำเนียงไก่ขันขานประสานกัน | ||
| สุริยันเยี่ยมยอดยุคุนธเรศ | สว่างท้องหิมเวศพนาสัณฑ์ | ||
| สองกษัตริย์ตรัสสั่งนางกุมภัณฑ์ | จรจรัลจากเชิงศิลามา | ||
| พระเชษฐานำหน้าอรุณน้อย | ละลิ่วลอยมาในห้องพระเวหา | ||
| ยักษ์ชะแง้แลตามจนลับตา | ก็โศกายกหัตถ์มัสการ | ||
| พระพี่น้องสองเสด็จระเห็จเหิน | งามเจริญเลิศลบจบสงสาร | ||
| ละลิ่วลมแลชมจักรวาล | เห็นถิ่นฐานแว่นแคว้นแดนบุรี | ||
| เป็นเกาะน้อยนคราคงคารอบ | เกิดประกองในทวีปชมพูศรี | ||
| เหมือนจอกน้อยลอยอยู่กลางวารี | พระหัตถ์ชี้ชวนน้องให้ชมชล | ||
| ยมนาสาครกระฉ่อนคลื่น | เสียงครึกครื้นโครมฉ่าเป็นห่าฝน | ||
| มัจฉาชาติกลาดเกลื่อนอยู่กลางชล | บ้างผุดพ่นฟองน้ำแล้วดำจร | ||
| มัติมิงค์กลิ้งกลอกระลอกซัด | หางกระหวัดว่ายเวียนเศียรสลอน | ||
| พระชมชลพ้นฝั่งชโลทร | ทินกรร้อนกายขึ้นพรายพรรณ | ||
| พระโคบุตรสุดสวาทกับน้องรัก | ครั้นเหนื่อยนักผ่อนลงตรงไพรสัณฑ์ | ||
| หยุดพักเพิงเชิงผาศิลาชัน | แล้วชมพรรณมิ่งไม้ที่ในดง | ||
| ดูไม้ตั้งดังดัดมาจัดปลูก | บ้างมีลูกสุกห่ามงามระหง | ||
| ระยะยอดสอดแซงแกล้งบรรจง | เหมือนไม้องค์ท้าวไทในพระโรง | ||
| ที่ไม้โกร๋นยอดโอนมีต่อแอบ | ใบแฉลบลับพุ่มปุ่มตะโขง | ||
| กาฝากแฝงกล้วยไม้ขึ้นในโพรง | ที่กิ่งโกงกอดเกี่ยวประกับกัน | ||
| พฤกษาโศกยูงยางที่กลางชัฏ | วายุพัดกิ่งแกว่งดังกังหัน | ||
| ที่ไม้พุ่มรุ่มรกเถาวัลย์พัน | เป็นฉัตรชั้นช่อดอกออกระคน | ||
| มะเดื่อดกนกจับจิกผลสุก | ต้นมะดูกเต็งรังมะสังสน | ||
| กันเกราไกรกร่างกรวยริมห้วยชล | ใบร่มต้นราบรื่นเหมือนพื้นทราย | ||
| โศกระบัดผลัดใบลอออ่อน | ใบแก่ก่อนหล่นหลามมาตามสาย | ||
| เห็นงูเหลือมเลื่อมแลดูหลายลาย | กระหวัดกายกอดโศกชะโงกงัน | ||
| กระบือเปลี่ยวเดินตรงลงกินน้ำ | ทั้งที่ดำเรี่ยวแรงแข็งขยัน | ||
| งูเหลือมโลภโอบกระหวัดเข้ารัดพัน | กระบือดันดันดึงกันตึงตัง | ||
| พฤกษาโศกโยกโยนอยู่ยวบยาบ | งูเหลือมคาบควายดึงอยู่ขึงขัง | ||
| ควายฉกรรจ์ดันโดดสุดกำลัง | งูเหลือมยังไม่วางขาดกลางตัว | ||
| หางกระหวัดรัดไม้ก็คลายหลุด | ศีรษะมุดมัดควายไม่คลายหัว | ||
| สองสัตว์สิ้นชีวังทั้งสองตัว | ดูน่ากลัวต่างต่างกลางพนม | ||
| สองกษัตริย์ทัศนาแสนสนุก | เป็นผาสุกที่ในเชิงคิรีสม | ||
| พระเอนอิงพิงแผ่นศิลาชม | ระเรื่อยลมรื่นรื่นชื่นพระทัย ฯ | ||
ตอนที่ ๖ โคบุตรได้นกขุนทองแล้วเข้าเมืองกาหลง
| ๏ ยังมีบุตรสาลิกาปักษาสัตว์ | ขนระบัดพึ่งขึ้นพอบินได้ | ||
| จิตคะนองลองปีกจะบินไป | เหยี่ยวตะไกรโฉบฉาบจะคาบกิน | ||
| สาลิกาก็ถลาแถลบหลบ | เหยี่ยวประจบจับพลัดสะบัดดิ้น | ||
| พอถึงองค์ทรงฤทธิ์บนคีริน | นกน้อยดิ้นสิ้นกำลังถลามา | ||
| สองปีกป้องร้องจ้อคุณพ่อช่วย | เหยี่ยวจะฉวยลูกรักเป็นภักษา | ||
| ก็โผนลงตรงพักตร์พระราชา | เหยี่ยวถลากลับหันไปทันใด | ||
| ทั้งพี่น้องเข้าประคองเอานกน้อย | เห็นริ้วรอยเล็บเหยี่ยวเฉี่ยวเลือดไหล | ||
| พระหัตถ์ลูบลูกนกอย่าตกใจ | เหยี่ยวมันไปลับแล้วนะแก้วตา | ||
| นี่ร้อยชั่งรวงรังเจ้าอยู่ไหน | เหยี่ยวจึ่งไล่ลูกรักเป็นหนักหนา | ||
| นกขุนทองป้องปีกขึ้นวันทา | ลูกอยู่ค่าคบไม้พระไทรพราย | ||
| ออกเที่ยวเล่นเห็นเหยี่ยวไม่ทันหลีก | มันกางปีกต้อนจับลูกใจหาย | ||
| ได้พึ่งบุญคุณพ่อจึ่งรอดตาย | ลูกถวายชีวาเป็นข้าไท | ||
| สองพระองค์ทรงฟังขุนทองพลอด | เข้าจูบกอดเชยชิดพิสมัย | ||
| น่าเอ็นดูรู้พูดเล่นเป็นพ้นใจ | เจ้ามาไปด้วยพ่อจะขอชม | ||
| อันเหยี่ยวกาสารพัดที่สัตว์ร้าย | ไม่ให้กรายลูกเลยเท่าเส้นผม | ||
| พระตรัสพลางทางชวนกันเชยชม | จนแดดร่มสุริยงเย็นสบาย | ||
| สองกษัตริย์ตรัสชวนสกุณชาติ | ภาณุมาศสายัณห์จะผันผาย | ||
| อีเหยี่ยวเฉี่ยวลูกน้อยเป็นรอยลาย | ยังเจ็บกายพ่อกอดอย่าบินบน | ||
| แล้วชวนน้องประคองนกเหาะระเห็จ | สองเสด็จมาในท้องห้องเวหน | ||
| พระแรมไพรไคลคลานภาดล | ประจวบจนเจ็ดราษราตรี | ||
| บรรลุถึงพาราเมืองกาหลง | พอสุริยงรุ่งรางสว่่างศรี | ||
| พระลอยลมชมราชธานี | ประกอบมีปรางค์มาศปราสาททอง | ||
| ทั้งตึกกว้านบ้านเรือนโรงหัตถี | ตลอดมีร้านรายขายข้าวของ | ||
| ทั้งม้ารถคชพลอนนต์นอง | นครของใครหนอสนุกครัน | ||
| จะลงไปไถ่ถามแต่ตามชื่อ | จะอึงอื้อตกใจทั้งไอศวรรย์ | ||
| สำนักนอกธานีเห็นดีครัน | ถามสำคัญนคราดูอาการ | ||
| นกขุนทองสององค์ก็พร้อมจิต | พลางพินิจหาที่รโหฐาน | ||
| พอเห็นสวนพฤกษาน่าสำราญ | นฤบาลรีบเหาะระเห็จไป | ||
| ครั้นถึงจึ่งลงพลางที่กลางสวน | พระชี้ชวนให้น้องชมพฤกษาไสว | ||
| ทั้งสระศรีมีบัวขึ้นบังใบ | ตำหนักใหญ่งามหยาดสะอาดตา | ||
| เห็นกระท่อมตายายอยู่ท้ายสวน | พระชี้ชวนคลาไคลเข้าไปหา | ||
| ครั้นถึงเรือนเอื้อนโอษฐ์จำนรรจา | จึ่งตรัสว่าปราศรัยเป็นไมตรี | ||
| ท่านตายายอย่าระคายระคางหมาง | นี่ใครสร้างพระตำหนักแลสวนศรี | ||
| ดูพฤกษาน่าชมอุดมดี | ไม่เห็นมีคนผู้มาเก็บกิน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายตายายใจหายเมื่อแลเห็น | มองเขม้นเพ่งพิศคิดถวิล | ||
| ทั้งสองทรงดังองค์อมรินทร์ | สองเฒ่าสิ้นสมประดีไม่มีใจ | ||
| แล้วยับยั้งตั้งสติตอบสนอง | พ่อทั้งสองเจ้าข้ามาแต่ไหน | ||
| เจ้าเป็นนายหรือชายสัญจรไพร | ขออภัยเถิดจงแจ้งแห่งความจริง | ||
| นี่สวนหลวงมีกระทรวงกษัตริย์สร้าง | ประทานนางองค์ธิดาพระยาหญิง | ||
| ให้ข้าเฒ่าเฝ้าไล่ฝูงค่างลิง | แล้วหมอบนิ่งก้มหน้าไม่พาที ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารสองเฒ่าเล่าแถลง | ประจักษ์แจ้งฤทัยพระโฉมศรี | ||
| ว่าจอมจักรพัตราธิดามี | ให้ยินดีเป็นคู่เชยเคยประคอง | ||
| จึ่งตรัสว่าตายายอย่าพรายแพร่ง | จงเล่าแจ้งความจริงสิ่งทั้งสอง | ||
| เจตนาหานางเป็นคู่ครอง | ทั้งพี่น้องจากเมืองมาเดินไพร | ||
| อันลูกสาวเจ้านายของยายนั้น | ดูผิวพรรณชันษาสักเพียงไหน | ||
| พระบุตรีกับบุรีนั้นชื่อไร | ช่วยบอกให้รู้ความแต่ตามตรง | ||
| แม้นเหมือนหมายยายตาอย่าเศร้าหมอง | ทั้งเงินทองกองให้งามตามประสงค์ | ||
| สองตายายแกก็ไหว้พระโฉมยง | พ่อคุณจงกรุณาอย่าพาที | ||
| ถึงเงินทองจะมากองให้ท่วมเกศ | ลูกเกรงเดชพระผู้ผ่านบุรีศรี | ||
| แม้นรู้ว่าข้าสื่อพระบุตรี | ทราบคดีตายายจะวายชนม์ | ||
| แต่ชื่อเสียงรู้เพียงจะบอกได้ | ที่จะให้สมจิตคิดขัดสน | ||
| ทูลกระหม่อมจอมเมืองมิ่งมงคล | ชื่อท้าวหลวิราชเจริญพร | ||
| ได้ดำรงนคราเมืองกาหลง | อันนามองค์บุตรีศรีสมร | ||
| ชื่ออำพันมาลาพะงางอน | อรชรน้อยแน่งดังแกล้งกลึง | ||
| ถึงรูปเขียนเจียนวาดสะอาดเอี่ยม | จะเทียบเทียมพระลูกเจ้าไม่เท่าถึง | ||
| เหมือนรูปพ่อเห็นพอจะคล้ายคลึง | อย่าอื้ออึงให้เขารู้เอ็นดูยาย ฯ | ||
| ๏ พระฟังข่าวกล่าวโฉมประโลมจิต | พระทัยคิดเหมือนจะเห็นนางโฉมฉาย | ||
| หยิบจินดามาจากพระน้องชาย | พระนึกให้ตายายเป็นเงินทอง | ||
| กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกทั้งสองเฒ่า | จงมาเอาไว้เถิดอย่าหม่นหมอง | ||
| ถึงเรื่องรักจะไม่ชักให้สมปอง | เราพี่น้องขอสำนักตำหนักจันทน์ | ||
| ช่วยปกปิดกิตติศัพท์ให้สูญหาย | พอสบายแล้วเราจะผายผัน | ||
| พระตรัสพลางย่างขึ้นตำหนักพลัน | ให้ป่วนปั่นถึงสายสวาทเพียงขาดใจ | ||
| สนธยาจะไปหาเจ้าถึงห้อง | ที่อยู่ของน้องรักตำหนักไหน | ||
| ถ้าเล้าโลมโฉมยงไม่ปลงใจ | ก็ผิดในธรรมดาปรีชาชาย | ||
| จะรุกรบบิตุรงค์ให้ส่งเจ้า | มาคลึงเคล้าก็จะได้ดังใจหมาย | ||
| แม่ขวัญเมืองจะได้เคืองเรื่องระคาย | จำเบี่ยงบ่ายถ่ายความตามทำนอง | ||
| จึ่งตรัสเรียกสาลิกาเข้ามาใกล้ | พ่อจะใช้ให้เจ้าถือสารสนอง | ||
| จะได้หรือมิได้เล่าเจ้าขุนทอง | ดูทำนองเล้าโลมนางโฉมยง ฯ | ||
ตอนที่ ๗ นกขุนทองถือหนังสือถวายนางอำพันมาลา ธิดาท้าววิหลราช
| ๏ ขุนทองรับอภิวันท์รำพันพลอด | ลูกจะสอดสืบความตามประสงค์ | ||
| ลูกอาสากว่าจะได้ดังใจจง | คุณพ่อคงไ้ด้ชมสมคะเน | ||
| จะพูดพลอดสอดคล้องให้ต้องจิต | ดูจริตนางในให้หลายเล่ห์ | ||
| ปะเลาะเลียบเลียมชวนให้รวนเร | สมคะเนแล้วจะทูลประโลมนาง ฯ | ||
| ๏ พระกอดจูบลูบสาลิกาแก้ว | ดีจริงแล้วคิดเหมือนใจไม่ขัดขวาง | ||
| ระงับภัยที่จะไปในกลางทาง | อย่านอนค้างกลางดงจงกลับมา | ||
| นกขุนทองป้องปีกเคารพรับ | ยืนขยับโผผันด้วยหรรษา | ||
| ขึ้นลอยลมไปในหว่างกลางนภา | เข้าพาราร่อนลงตรงวังใน | ||
| โสตสดับตรับเหตุสังเกตจิต | ว่ามิ่งมิตรอยู่ปรางค์มุขอันสุกใส | ||
| มีตนกร่างข้างแกลปราสาทชัย | สำราญใจลงจับขยับมอง | ||
| นัยน์ตาสอดลอดแลเห็นแกลแย้ม | ไอกระแอมส่งเสียงสำเนียงก้อง | ||
| หัวเราะร่าอยู่หน้าพระแกลทอง | นัยน์ตามองโฉมเฉลาดูเยาวมาลย์ ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันมาลาไสยาหลับ | ให้วาบวับแว่วเสียงสำเนียงหวาน | ||
| นางลงจากแท่นรัตน์ชัชวาล | แล้วเผยบานพระแกลเหลียวแลมา | ||
| พอเสียงอาดนกฉลาดเข้าแอบลับ | นัยน์ตาจับเพ่งพิศขนิษฐา | ||
| สะอาดเอี่ยมเทียมเทพธิดา | สาลิกาพิศวงด้วยองค์นาง | ||
| ทำเลียบเมินเดินมาตรงหน้ามุข | ยืนหัวซุกไซ้ขนบนกิ่งกร่าง | ||
| นางเนื้อเย็นเห็นสาลิกาพลาง | งามสำอางเลิศล้ำสกุณี | ||
| ปากเหลืองดังทองคำธรรมชาติ | ขนสะอาดผาดขำดูดำสี | ||
| คะนึงในน้ำพระทัยนางเทวี | เมื่อตะกี้ชะรอยเสียงสาลิกา | ||
| ดำริพลางนางเรียกขุนทองเอ๋ย | เป็นไรเลยเสียไม่พูดเล่าปักษา | ||
| หัวเราะหยอกหลอกแม่ให้แลมา | แล้วเมินหน้าเสียไม่พูดให้แม่ฟัง ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองหัวร่อแล้วขอโทษ | อย่าถือโกรธลูกไม่มีนัยน์ตาหลัง | ||
| เมื่อแรกมาเห็นหน้าพระแกลบัง | แต่พูดพลั้งออกไปนิดยังคิดกลัว | ||
| มิชอบใจจะว่าใครมาพูดแจ้ว | ถ้ากริ้วแล้วว่าขุนทองนี้ชาติืชั่ว | ||
| จะให้สาวชาววังมาจับตัว | ลูกก็กลัวที่จะไปไม่ใคร่ทัีน ฯ | ||
| ๏ ฟังเสนาะเพราะเสียงสำเนียงนก | นางลูบอกแล้วก็ทรงพระสรวลสันต์ | ||
| แม่เจ้าเอ๋ยรู้จริงทุกสิ่งอัน | แล้วรับขวัญเรียกสาลิกาทอง | ||
| มานี่เถิดเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ให้แม่เชยแต่พอชื่นอารมณ์หมอง | ||
| ข้าวกับไข่แม่จะใส่จานทองรอง | เจ้าขุนทองเข้ามาชิมให้อิ่มใจ ฯ | ||
| ๏ สกุณีตีปีกหัวร่อร่า | เจ้าแม่จ๋ามาลวงให้หลงใหล | ||
| ครั้นเข้าชิดแล้วจะปิดพระแกลไว้ | แม่คงจับลูกได้ไว้ใส่กรง ฯ | ||
| ๏ อนิจจาว่าเปล่าดอกเจ้าเอ๋ย | แม่ไม่เคยลวงใครให้ใหลหลง | ||
| จะจับเจ้าไว้ทำไมที่ในกรง | แม่ชมเชยแล้วจะส่งไปรวงรัง | ||
| จริงกระนั้นหรือฉันจะไปหา | สาลิกาทำขยับแล้วกลับหลัง | ||
| หัวเราะร่าว่าเจ้าแม่กรุณัง | ลูกฝรั่งหรืออะไรจะให้ทาน | ||
| จะให้จริงทิ้งมาเถิดเจ้าแม่ | แต่พอแก้แสบท้องเป็นของหวาน | ||
| พอค่ำไปเช้ากลับมารับประทาน | อ้างพยานกิ่งกร่างกับปรางค์ทอง | ||
| ดูดู๋เจ้าใจแข็งเสียแรงปลอบ | คิดเห็นชอบหรือไฉนให้ทิ้งของ | ||
| บุญแม่น้อยมิได้อุ้มเจ้าขุนทอง | นุชน้องเจ้างับพระแกลบัง | ||
| นกขุนทองป้องปีกเคารพรับ | น้อมคำนับขยับบินแล้วผินหลัง | ||
| อนิจจาผิดล้นพ้นกำลัง | นี่หรือยังจะรักไปให้ยืดยาว | ||
| ก็สาสมที่อารมณ์เราทำชั่ว | ท่านรักตัวแล้วยังดื้อทำอื้อฉาว | ||
| โอ้เคราะห์ร้ายเรื้อรังมาทั้งคราว | ฉันลาเจ้าแม่แล้วอย่าโกรธเลย | ||
| ทำยกปีกเหมือนจะถาไปอากาศ | สุดสวาทผลักบานบัญชรเผย | ||
| มาเถิดมาสาลิกาอย่าโกรธเลย | แม่เจ้าเอ๋ยใจน้อยนี่้สุดใจ | ||
| นกขุนทองว่าฉันลองใจเจ้าแม่ | คิดอยู่แต่จะไม่เผยบัญชรให้ | ||
| คอยรับลูกเถิดจะโผนโจนลงไป | ลูกอ่อนใจแสบท้องมาสองวัน | ||
| แล้วย่างเหยียบเลียบโจนจากกิ่งกร่าง | พอถึงนางเหมือนจะตกทำหกหัน | ||
| นางผวาคว้ารับขุนทองพลัน | แล้วรับขวัญจูบกอดเจ้าสาลิกา | ||
| เอาจานทองมารองข้าวกับไข่คลุก | กล้วยน้ำสุกปอกส่งให้ปักษา | ||
| ลูกฝรั่งมังคุดอันโอชา | สาลิกากินพลอดเฉาะฉอดไป | ||
| เจ้าแม่จ๋าถ้าลูกกินอิ่มแล้ว | จะปล่อยแก้วสาลิกาหรือหาไม่ | ||
| นางยิ้มหลอกหยอกนกให้ตกใจ | ถึงมือแล้วจะไปจากเห็นยากครัน | ||
| เออนี่แน่แม่จะถามเนื้อความหน่อย | เขาเลี้ยงปล่อยหรืออยู่ป่าพนาสัณฑ์ | ||
| มาท่องเที่ยวอดอยากลำบากครัน | อยู่ด้วยกันเถิดเป็นไรอย่าไปเลย | ||
| สาลิกาแสนกลเห็นคนว่าง | ได้ท่าทางก็ตอบสารเฉลย | ||
| ไม่ทุกข์ร้อนก็จะนอนให้แม่เชย | นี่ใครเลยจะแจ้งที่ใจจง | ||
| แม้นแม่รู้ความหลังจะสังเวช | ซึ่งทุเรศมรรคาในป่าระหง | ||
| ด้วยเจ้าพ่อพี่น้องทั้งสององค์ | เป็นเชื้อวงศ์จักรพรรดิสวัสดี | ||
| พึ่งแรกรุ่นรูปราวกับเจ้าแม่ | เขาลือแซ่เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| ว่าโฉมยงองค์หนึ่งในธรณี | เป็นบุตรีจักรพรรดิกษัตรา | ||
| ว่าทรงโฉมงามประโลมวิไลโลก | เธอแสนโศกมาเสาะแสวงหา | ||
| แต่พี่น้องสององค์กับสาลิกา | ถึงพาราเจ้าแม่ได้สามวัน | ||
| มาพบเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบลูกบินหนี | มันตามตีสาลิกาแทบอาสัญ | ||
| ครั้นพ้นเหยี่ยวเที่ยวหาไม่พบกัน | จึงโศกศัลย์ตกยากลำบากมา | ||
| ได้กินข้าวคลุกไข่ของเจ้าแม่ | สงสารแต่เจ้าพ่อของปักษา | ||
| พระพักตร์งามยามโศกจะโรยรา | ทำมารยายืนเหงาไม่จิกกิน ฯ | ||
| ๏ นางฟังคำนกสาลิกาเล่า | โอ้แม่เจ้าช่างจำได้เสร็จสิ้น | ||
| ให้ปั่นป่วนครวญคิดถึงภูมินทร์ | แต่ได้ยินกล่าวโฉมให้ชื่นครัน | ||
| นางเสแสร้งแกล้งซักเจ้าปักษา | สาลิกาปดดอกกระมังนั่น | ||
| ถ้าคุณพ่อเป็นเจ้าเหมือนเล่ากัน | จะด้นดั้นหาคู่ไม่ควรเลย | ||
| จริงจริงหรือชื่อไรเล่าเจ้าพ่อ | มิรูปหล่อหรือเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ||
| นกขุนทองต้องใจกระไรเลย | จะชมเชยชวนคบเฝ้ารบไป ฯ | ||
| ๏ ตามแต่เยาะเถิดเป็นเคราะห์ของลูกร้าย | พระโฉมฉายเธอไม่มาก็ว่าได้ | ||
| ถึงมิหล่อก็แต่พอประโลมใจ | บุรุษในธรณีไม่มีปาน | ||
| หญิงที่เห็นเว้นไว้แต่เจ้าแม่ | จะงามแก้กันได้ไม่หักหาญ | ||
| ไม่เชื่อแล้วถึงจะเล่าไม่เข้าการ | มาอยู่นานแล้วจะลาไปหากัน ฯ | ||
| ๏ นางฟังนกยกยอชะลอโฉม | ยิ่งประโลมลานจิตคิดกระสัน | ||
| ฟังปักษาว่าประหลาดพูดพาดพัน | หรือทรงธรรม์ใช้สาลิกามา | ||
| ดำริพลางนางแกล้งกระซิบสั่ง | แม้นกลับหลังพบคุณพ่อของปักษา | ||
| อย่าบอกเล่าว่าเข้ามาปรางค์ปรา | คุณพ่อเจ้าเธอจะว่าไม่เกรงใจ | ||
| เมื่อแรกคิดว่าเจ้ามาแต่ป่า | ไม่แจ้งว่าคุณพ่อเจ้ารักใคร่ | ||
| ได้จับผิดนิดหน่อยก็แล้วไป | รำคาญใจเขาจะว่าดูน่าชัง ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองรู้ทำนองว่านางแกล้ง | ทำเสแสร้งตอบไปเหมือนใจหวัง | ||
| แม่ให้ทานข้าวกับไข่มิใช่ชัง | ถึงมิสั่งลูกจะบอกทำไมมี | ||
| เป็นการด่วนจวนจะจรไปหาคู่ | เจ้าแม่อยู่จะมาบ้างในปรางค์ศรี | ||
| ฉันจะลาเจ้าแม่อยู่จงดี | แล้วทำทีจะบินออกนอกบัญชร ฯ | ||
| ๏ นางขยับจับสาลิกากอด | ระทวยทอดฤทัยสะท้อนถอน | ||
| กลัวปักษาจะมิทูลพระำภูธร | เธอจะจรไปเสียจากพารา | ||
| จะสั่งไปให้บอกก็อายจิต | แต่นึกคิดป่วนปั่นกระสันหา | ||
| เล้าโลมลูบจูบกอดสกุณา | สาลิกาเอ๋ยแม่เชยไม่สิ้นรัก | ||
| แม้นเจ้าพ่อพบสาลิกาเข้า | จะพาเจ้าจรไปจากไตรจักร | ||
| พ่อหนีมาให้แม่ชมพอสมรัก | อย่าเพ่อหักหวนไปเสียไกลตา | ||
| รำพันพลางทางหยิบสุคนธ์รื่น | อันหอมชื่นมาชโลมเจ้าปักษา | ||
| ให้รู้ถึงทรงธรรม์ด้วยปัญญา | สาลิกาแจ้งความก็ตามใจ ฯ | ||
| ๏ ขุนทองเคารพจบปีกขึ้นเหนือเกล้า | จะลาเจ้าแม่แล้วอย่าโหยไห้ | ||
| พอพบพ่อลูกจะมาอย่าอาลัย | สำราญใจโผผินบินทะยาน ฯ | ||
| ๏ นางเยี่ยมแกลแลดูจนลับเนตร | พูนเทวษพิศวงด้วยสงสาร | ||
| ไม่เล่นด้วยสาวสนมพนักงาน | อาลัยลานถึงคุณพ่อสา่ลิกา ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายขุนทองบินถลามาถึงสวน | พลางสำรวลพูดจ้อคุณพ่อจ๋า | ||
| จูบขุนทองลองรสสุคนธา | สาลิกาเจ้าก็เต้นขึ้นเพลาพลัน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุดสวาทด้วยนกพลอด | พระกรกอดสาลิกาแล้วรับขวัญ | ||
| หอมระรื่นชื่นใจกระแจะจันทน์ | เกษมสันต์แจ้งความว่าทรามเชย | ||
| จึงยิ้มเยื้อนเอื้อนถามไปตามเล่ห์ | สมคะเนแล้วหรือเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ||
| ใครทาแป้งแต่งตัวให้ทรามเชย | เจ้าข้าเอ๋ยหอมหวนรัญจวนใจ ฯ | ||
| ๏ ขุนทองฟังเจ้าพ่อหัวร่อร่า | ลูกอาสาพระองค์ก็คงได้ | ||
| แล้วเล่าเรื่องกล่าวโฉมประโลมใจ | งามวิไลล้ำนางสำอางตา | ||
| ถึงนางในไกรลาสว่างามล้ำ | ไม่งามขำเหมือนเจ้าแม่ของปักษา | ||
| จะเปรียบกรอ่อนดังงวงไอยรา | จะดูสองนัยนาดังนิลแนม | ||
| เปรียบขนงเหมือนหนึ่งวงธนูน้าว | ทั้งสองเต้าตั้งเต่งเปล่งแฉล้ม | ||
| ดังสัตตบุษย์ผุดปริ่มคงคาแวม | ทั้งสองแก้มเปรียบอย่างมะปรางทอง | ||
| เหมือนเจ้าพ่อพอสมเป็นคู่ชื่น | อันชายอื่นแล้วไม่มีเสมอสอง | ||
| ทั้งสมบัติพัสถานก็เนืองนอง | ดุจทองแกมแก้วประกอบกัน ฯ | ||
| ๏ พระฟังนกยกโฉมให้ปั่นป่วน | ทรงพระสรวลสาลิกาแล้วรับขวัญ | ||
| พระฟังพลอดเพลิดเพลินเจริญครัน | ถ้าแม่นมั่นเหมือนเล่าเจ้าขุนทอง | ||
| เอานกแอบแนบชมอารมณ์ชื่น | หอมระรื่นพระยิ่งให้อาลัยหมอง | ||
| เย็นพยับอับฟ้าน้ำตานอง | พระตรึกตรองถึงแก้วตายิ่งอาวรณ์ | ||
| ชวนอรุณขุนทองขึ้นแท่นรัตน์ | สองกษัตริย์บรรทมเหนือบรรจถรณ์ | ||
| พระโคบุตรสุริยาพะงางอน | อนาถนอนนิ่งนึกถึงเทวี | ||
| โอ้อำพันขวัญใจวิไลลักษณ์ | จะประจักษ์หรือว่าเรียมอยู่สวนศรี | ||
| นกมาเล่าเหมือนหนึ่งเจ้าจะปรานี | รุ่งพรุ่งนี้จะให้อ่านสารแสดง | ||
| ให้ขวัญเมืองรู้เรื่องว่าเรียมรัก | แจ้งประจักษ์ตื้นลึกไม่นึกแหนง | ||
| ยิ่งกลัดกลุ้มรุ่มร้อนดังเพลิงแรง | แต่พลิกแพลงปลาบปลื้มไม่ลืมคิด | ||
| จะใกล้หลับคลับคล้ายเหมือนสายสวาท | มาร่วมอาสน์อิงแอบแนบสนิท | ||
| พระหัตถ์สอดกอดน้องประคองคิด | แล้วจุมพิตเชยปรางทางสุนทร | ||
| นิจจาเจ้าเยาวลักษณ์วิไลโฉม | งามประโลมล้ำเทพอักษร | ||
| อรุณฟื้นตื่นปลุกพระภูธร | ละเมอนอนเล้าโลมประหลาดครัน | ||
| พระรู้สึกนึกเขินเมินหน้านิ่ง | ยิ่งคิดยิ่งสร้อยเศร้าถึงสาวสวรรค์ | ||
| ไม่หลับไหลด้วยพระทัยนั้นผูกพันธ์ | จนไก่ขันจวนรุ่งน้ำค้างโปรย | ||
| หอมจำปาดอกลำดวนในสวนหลวง | เรณูร่วงหอมหวนรัญจวนโหย | ||
| รื่นรื่นชื่นอารมณ์เมื่อลมโชย | พระพายโรยพัดเฉื่อยระเรื่อยมา | ||
| สุริยงทรงราชรถเร่ง | ขึ้นปลั่งเปล่งหมดเมฆในเวหา | ||
| พระตื่นขึ้นสรงพักตร์แลกายา | แล้วจารึกสาราเป็นความใน | ||
| ด้วยยอดตองรองเขียนประดิษฐ์คิด | ตามจริตแรกเริ่มจะรักใคร่ | ||
| สลักหลังสั่งซ้ำประจำไป | พระมอบให้สาลิกาแล้วพาที | ||
| พระสั่งนอกบอกว่าโศกานัก | แล้วลูกรักอยู่บรรทมกับโฉมศรี | ||
| อย่าปิดแกลนิทราเมื่อราตรี | พอเขาตีฆ้องยามจะตามไป | ||
| ขุนทองกราบคาบตองจำลองสาร | บินทะยานจากสวนพฤกษาไสว | ||
| ลงจับกร่างข้างแกลปราสาทชัย | หนังสือพิงกิ่งไม้ไว้ดิบดี | ||
| แล้วขุนทองร้องเรียกคุณแม่จ๋า | เจ้าแม่มามารับเจ้าปักษี | ||
| นางฟังแจ้วแว่วเสียงสกุณี | นางเทวีวิ่งผวามาหน้าแกล | ||
| ขุนทองเห็นยกปีกเคารพรับ | ขุนทองกลับมาแล้วจ๊ะพระเจ้าแม่ | ||
| สาลิกาถาทะยานจับบานแกล | ไหนเจ้าแม่จะให้ข้าวกับไข่กิน | ||
| นางกอดแก้วสาลิกาแล้วกล่าวถ้อย | ให้กล้วยหน่อยข้าวกับไข่เหมือนใจถวิล | ||
| เอาใส่จานทองคลุกน้ำผึ้งริน | ขุนทองกินทางพลอดฉะฉอดไป | ||
| ลูกประสบพบสองเจ้าพ่อแล้ว | เธอจูบแก้วสาลิกาเป็นไหนไหน | ||
| ว่าหอมกลิ่นบุปผาสุมาลัย | ถามว่าใครให้แป้งมาแต่งทา | ||
| ฉันไม่บอกออกความว่าเจ้าแม่ | ลูกปดแก้ว่าไปเกลือกกลีบบุปผา | ||
| ทั้งสององค์หลงเชื่อลูกเจรจา | เฝ้าจูบกอดสาลิกาไม่อิ่มใจ | ||
| ประเดี๋ยวพี่เอาไปจูบแล้วน้องจูบ | เฝ้าโลมลูบลูกรักจนเหงื่อไหล | ||
| ลูกหนีมาเสียให้สาแก่น้ำใจ | ไม่กลับไปแล้วจะอยู่เสียในวัง ฯ | ||
| ๏ นางฟังเล่าเศร้าจิตคิดถวิล | กลัวภูมินทร์จะไม่แจ้งเหมือนใจหวัง | ||
| ทำแกล้งโกรธสาลิกาด้วยวาจัง | ข้าเบื่อฟังแล้วเจ้าลิ้นทะเลวน | ||
| เขาทาแป้งแต่งตัวให้หอมกรุ่น | เอาบุญคุณนั้นไปล้างเสียกลางหน | ||
| ขี้ปดพ่อว่าไปเกลือกกลีบอุบล | ราวกับคนไม่เคยพบกระแจะจันทน์ | ||
| อันคุณพ่อเจ้าหรือกระสือแป้ง | ไม่เคยแต่งอยู่แต่ป่าพนาสัณฑ์ | ||
| นี่หรือรูปจะมิงามอร่ามครัน | เห็นไรฟันเสียสิ้นทุกสิ่งไป ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองพูดแก้ว่าแม่สั่ง | ไปลับหลังว่าอย่าแจ้งแถลงไข | ||
| หรือเจ้าแม่อยากให้บอกจะออกไป | ลูกดีใจอยากจะอยู่ในพารา ฯ | ||
| ๏ นางฟังคำทำโกรธเป็นทีหยอก | ไยมิบอกจะทำอะไรข้า | ||
| ขุนทองตอบไปให้ชอบด้วยปรีชา | พระบิดาเธอจะทำอะไรมี | ||
| ลูกคิดดูเธอยิ่งรู้ก็ยิ่งรัก | ไม่รู้จักก็ได้จูบแต่ปักษี | ||
| แล้วหัวร่อขอโทษนางเทวี | เมื่อวานนี้ลูกทูลพระบิดา | ||
| ว่าแม่เจ้าให้กินข้าวกับไข่คลุก | ทั้งส้มสูกให้ลูกรักนั้นหนักหนา | ||
| แป้งอำพันจันทน์จวงกระแจะทา | พระบิดาดีใจแล้วให้พร | ||
| ว่าแม่เจ้ามีคุณการุญด้วย | จึ่งให้กล้วยกินอิ่มสโมสร | ||
| เหมือนเจ้าแม่มีคุณกับบิดร | ไม่ม้วยมรณ์ก็ไม่ลืมปลื้มอาลัย | ||
| แต่แสนยากจากเมืองได้เคืองยิ่ง | ไม่มีสิ่งจะแทนพระคุณให้ | ||
| จะมาเฝ้าเจ้าแม่ในปรางค์ชัย | ก็เกรงใจสองกษัตริย์จะขัดเคือง ฯ | ||
| ๏ ชะปดแล้วปดเล่าเฝ้าแต่ปด | ช่างเลี้ยวลดยืนยาวเป็นราวเรื่อง | ||
| ยิ่งให้หลอกแล้วก็หลอกอยู่เนืองเนือง | ราวกับเรื่องรามเกียรติ์เจียวสาลิกา | ||
| แต่แรกบอกว่าออกไปหลอกพ่อ | ประดิษฐ์ต่อข้อกลอนมาย้อนว่า | ||
| พ่อร้อยลิ้นกินหวานน้ำตาลทา | กินข้าวปลาเสียเถิดเจ้าข้าเข้าใจ | ||
| อนิจจาไม่ว่าเปล่าหนาเจ้าแม่ | แม้นไม่แน่แล้วจงฟัดให้ตัดษัย | ||
| พยานลูกเอามาพิงไว้กิ่งไทร | ไม่เชื่อใจฉันจะอ้างต้นกร่างทอง | ||
| พูดพลางทางบินไปต้นไทรใหญ่ | จับกิ่งไทรไพรศรีไม่มีสอง | ||
| ก็สมใจไม่วิตกนกขุนทอง | มาคาบตองไปถวายนางเทวี | ||
| เจ้างามพริ้มยิ้มหยิบใบตองอ่อน | เห็นอักษรเรื่องราชสารศรี | ||
| เป็นความขำตามคำสกุณี | พระหัตถ์คลี่นิ่งอ่านสำราญใจ ฯ | ||
| ๏ ในสารว่าอิศเรศเกศมงกุฎ | พระโคบุตรเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
| นิราศร้างแรมวังตั้งพระทัย | มาอยู่ในสวนขวัญอันบรรจง | ||
| พี่มุ่งหมายมาถวายชีวาวาตม์ | พระจอมนาฏกัลยาเมืองกาหลง | ||
| ใบตองแทนแผ่นสุวรรณอันบรรจง | จิตจำนงต่างเครื่องบรรณาการ | ||
| ด้วยไกลวังครั้งนี้จนเหลือแสน | ขุนทองแทนอุปทูตที่ถือสาร | ||
| มาถึงองค์พระธิดายุพาพาล | ให้แจ้งการเรื่องรักประจักษ์ใจ | ||
| แม้นมิพบสบสมสวาทนุช | จนสิ้นสุดชนมชีพให้ตักษัย | ||
| เป็นกุศลดลจิตสาลิกาไป | เรียมจึงได้ชมกลิ่นสุคนธา | ||
| ค่ำวันนี้พี่จะมาสู่หาน้อง | ขอชมห้องพระตำหนักขนิษฐา | ||
| พอจบสารพจมานที่มีมา | พระธิดาปั่นป่วนรัญจวนครัน | ||
| แกล้งทรงฉีกยอดตองที่รองเรื่อง | ทำทีเคืองสกุณินแล้วผินผัน | ||
| เจ้าปักษีดีแล้วได้เห็นกัน | เที่ยวกล่าวขวัญให้รู้ทุกผู้คน | ||
| จะพาเจ้าขึ้นไปเฝ้าพระบิตุเรศ | ให้ทรงเดชรู้ความตามเหตุผล | ||
| ยังพวกพ้องเจ้าจะมีสักกี่คน | ทำเล่ห์กลลามเลียมไม่เจียมใจ ฯ | ||
| ๏ สกุณีรู้ทีไม่ทุกข์ร้อน | พูดอ้อนวอนไปให้ชอบอัชฌาสัย | ||
| นี่ยอดตองฟ้องลูกประการใด | ไม่ถามไถ่บ้างเลยแม่ให้แน่ความ ฯ | ||
| ๏ นางยิ้มพลางทางตอบเจ้าปักษิน | พ่อร้อยลิ้นสิ้นอาลัยไถลถาม | ||
| จะยอกย้อนซ่อนเงื่อนให้เลื่อนความ | เจ้าทำงามแล้วจะเป็นอะไรมี ฯ | ||
| ๏ โอ้ตายจริงแล้วเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ไม่รู้เลยเป็นอย่างไรไฉนนี่ | ||
| จะฟ้องร้องให้ลูกต้องถูกตี | มิปรานีแล้วกรรมของสาลิกา | ||
| พลางชะอ้อนวอนทูลว่าร้อยชั่ง | ขอโทษครั้งหนึ่งเถิดเจ้าแม่จ๋า | ||
| นางแกล้งเมินเดินไปที่ไสยา | สาลิกาเต้นตามนางทรามวัย | ||
| พลอดประโลมโฉมฉายให้คลายจิต | แสงอาทิตย์ล่วงดับลับไศล | ||
| โฉมอำพันปั่นป่วนรัญจวนใจ | ตั้งพระทัยคอยดูพระภูมินทร์ ฯ | ||
ตอนที่ ๘ โคบุตรได้นางอำพันมาลาเป็นชายา
| ๏ ปางพระหน่อขัตติย์วงศ์พงศ์อาทิตย์ | พระทัยคิดถึงสายสวาทไม่ขาดถวิล | ||
| สุริยงลงลับสิขรินทร์ | พระภูมินทร์ไม่เห็นสาลิกามา | ||
| ก็รู้แน่ในอารมณ์ว่าสมรัก | ตั้งพระพักตร์ดูจันทร์ชั้นเวหา | ||
| ครั้นประถมยามชัยได้เวลา | พระตรัสสั่งอนุชาร่วมชีวัน | ||
| พี่จะลอบไปประโลมโฉมสมร | พระน้องนอนเสียเถิดพ่ออย่าผายผัน | ||
| พอสางแสงสุริยาจะมาพลัน | เจ้าไปด้วยแจ่มจันทร์จะอายใจ ฯ | ||
| ๏ อรุณรับแล้วกำชับพระเชษฐา | อย่าอยู่ช้าสายแสงพระสุริย์ใส | ||
| เห็นนานนักน้องรักจะตามไป | ให้ถึงในปรางค์มาศปราสาททอง ฯ | ||
| ๏ ได้ฟังน้องผ่องแผ้วพระทัยชื่น | สำราญรื่นยินดีไม่มีสอง | ||
| ประดับองค์ทรงเครื่องอันเรืองรอง | ค่อยเยื้องย่องยุรยาตรนาดพระกร | ||
| เหาะทะยานผ่านมาในอากาศ | หมายปราสาทพระธิดาดวงสมร | ||
| ด้วยแสงจันทร์แจ่มกระจ่างกลางอัมพร | พระลอยร่อนดูพลางเหมือนกลางวัง | ||
| เห็นต้นกร่างข้างปรางค์เหมือนคำนก | ให้อิ่มอกเหมือนในฤทัยหวัง | ||
| ค่อยร่อนลงตรงหน้าบัญชรบัง | เห็นแกลยังแย้มไว้ไม่ใส่ดาล | ||
| ประทีปทองส่องสว่างในปรางค์รัตน์ | เงียบสงัดสุรเสียงไม่กล่าวสาร | ||
| พระค่อยผลักบัญชรรัตน์ชัชวาล | นฤบาลเยื้องย่องเข้าห้องปรางค์ | ||
| ชื่นอารมณ์ชมฉากเป็นชั้นชั้น | ฝูงกำนัลหลับสนิทไม่อางขนาง | ||
| บ้างขาวขำดำเกลี้ยงเป็นปานกลาง | เพลิงกระจ่างจับหน้าเป็นนวลคม | ||
| พระพิศดูเครื่องสำอางที่วางไว้ | เสี้ยมไม้ไผ่น้อยน้อยมาสอยผม | ||
| ลางนางหลับสนิทไม่ปิดนม | นัดถุ์ยาดมลืมหลับอยู่กับกาย | ||
| บ้างนอนวัดปัดโถเขม่าหก | หวีกระจกโถแป้งตะแคงหงาย | ||
| บ้างเล่นเพื่อนกอดน้องประคองกาย | พระชม้ายชม้อยชมทุกชั้นมา | ||
| ถึงห้องในใส่ล้วนลับแลฉาย | เขียนเป็นลายกำมะลอดูเลขา | ||
| เป็นรูปเรื่องเมืองฝรั่งชาวลังกา | ดูพาราแจ่มอร่ามงามระยับ | ||
| พระชมพลางทางรูดวิสูตรกั้น | เห็นอำพันกัลยานิทราหลับ | ||
| ให้ซึมซาบวาบใจพระทัยวับ | หยุดประทับบนแท่นที่บรรทม | ||
| ลงนั่งแอบแนบองค์นุชนาฏ | พิศวาสใจเพียงจะเอียงล่ม | ||
| พระอิงแอบแนบน้องประคองชม | เจ้างามคมขาวขำล้ำวิไล | ||
| โอษฐ์สะอาดตะละชาดบรรจงจิ้ม | เหมือนจะยิ้มแย้มรับทั้งหลับไหล | ||
| ศอระหงดังบุหรงสำหรับไพร | พระขนงโก่งสุดนัยนานาง | ||
| นิ้วพระหัตถ์ทัดเทียนลอออ่อน | ลำพระกรกลมละอองทั้งสองข้าง | ||
| เล็บแฉล้มแช่มช้อยดังจัดวาง | ทั้งสองปรางเปล่งนวลชวนให้เชย | ||
| ทั้งสองถันสันทัดดอกบัวหลวง | เป็นพุ่มพวงงามสุดแรกผุดเผย | ||
| พลางประคองต้องเต้ามณฑาเชย | เจ้าพี่เอ๋ยนอนนิ่งไม่ติงองค์ | ||
| โอบพระกรช้อนอุ้มแล้วจุมพิต | พระทรงฤทธิ์ปลุกชวนนวลหง | ||
| โฉมอำพันมาลาผวาองค์ | เห็นพระทรงฤทธิไกรวิไลงาม | ||
| เบือนสะบัดหัตถาผวาหวาด | ลงจากอาสน์เมียงเมินให้เขินขาม | ||
| พระกุมกรวอนว่าพะงางาม | ขอฝากความรักเจ้าอย่าเฝ้าเคือง | ||
| กุศลพี่ชี้ช่วยอำนวยชัก | ให้สมรักชิดเชื้อแม่เนื้อเหลือง | ||
| มาอยู่สวนโศกศัลย์ถึงขวัญเมือง | พี่ร่างเรื่องให้สาลิกามา | ||
| ขอเชิญโฉมวรนุชสุดสวาท | มาร่วมอาสน์บรรจถรณ์อันเลขา | ||
| อย่าหวาดหวั่นพรั่นใจนางไฉยา | พี่หมายมาฝากชีวันกับขวัญใจ ฯ | ||
| ๏ นางฟังสารหวานล้ำคำละม่อม | แจ้งว่าจอมจักรพรรดิพิสมัย | ||
| นางชม้ายชายดูพระภูวไนย | งามวิไลดังพระจันทร์อันเจริญ | ||
| พอเนตรน้องต้องเนตรพระภูวนาถ | สุดสวาทม่อยหมางระคางเขิน | ||
| เสียวกระสันหวั่นไหวพระทัยสะเทิ้น | ชม้อยเมินตอบพจมานพลัน | ||
| น่าสำรวลที่มาชวนขึ้นแท่นรัตน์ | พระมาจัดแจงไว้เมื่อไรนั่น | ||
| บรรจถรณ์เคยนอนอยู่ทุกวัน | มาบุกบั่นข่มเหงไม่เกรงใจ | ||
| ภูวนาถมาดหมายฝากชีวิต | เมื่อดับจิตเถิดจะบอกหนทางให้ | ||
| ที่นี่เคยหรือมาล่วงชะล่าใจ | ไม่กลับไปก็จะร้องไห้ก้องดัง ฯ | ||
| ๏ นิจจาน้องจะมาร้องเอาคนรัก | ได้พบพักตร์อย่าขับไม่กลับหลัง | ||
| พี่รักเจ้าจริงจริงอย่าชิงชัง | จะร้องดังก็ไม่ร้างนิราศจร | ||
| ถึงตัวตายจะให้ชายเขาลือชื่อ | ตลอดลือว่าได้โลมโฉมสมร | ||
| พลางประคองต้องเต้านั้นเต็มกร | นางคมค้อนปลิดหัตถ์กษัตรา | ||
| นี่อะไรไล่จูบประโลมต้อง | พี่รักน้องนั่นสิเจ้าจึงเข้าหา | ||
| ช่างไม่เก้อเลยมาเพ้อจำนรรจา | ตามจะว่าเถิดไม่วางเจ้าอย่างเดียว | ||
| หยิกด้วยเล็บหนาให้เจ็บตลอดจิต | แม้นไม่คิดแล้วจะหยิกให้เนื้อเขียว | ||
| จนเขาขับแล้วยังจับอยู่กลมเกลียว | อย่าโกรธเกรี้ยวไปเลยน้องจะหมองนวล | ||
| พระโอบอุ้มจุมพิตสนิทสนม | พระเชยชมโฉมนุชสุดสงวน | ||
| ปลอบประโลมโฉมน้องต้องกระบวน | ทั้งสองสรวลสุขเกษมประสานกร | ||
| ดังนาครัดดวงแก้วประคองกอด | พระหัตถ์สอดพุ่มพวงดวงสมร | ||
| ดังราหูจู่จับพระจันทร | ประชากรก็ประโคมระฆังดัง | ||
| บ้างกรายกรีดดีดเล็บฉะฉับเฉาะ | เอาขันเคาะฆ้องกระแตทั้งแตรสังข์ | ||
| เสียงปืนตึงผึงตามกันสามตัง | ราหูยังหยุดยืนแล้วคืนคาย | ||
| พิรุณโรยโปรยปรอยลงย้อยปริบ | มณฑาทิพปทุมมาลย์บานขยาย | ||
| ภุมรินหอมกลิ่นลงเกลือกกาย | ทั้งสองฝ่ายสบกระบวนให้ยวนยี | ||
| ต่างหลงเชิงพระละเลิงด้วยชมโฉม | หลงประโลมลืมรักเจ้าปักษี | ||
| นางลืมสองจักรพรรดิสวัสดี | พระลืมที่สวนขวัญอนุชา | ||
| ฆ้องสำคัญลั่นทุ่มเข้าสิบทัศ | ประคองหัตถ์กอดแก้วขนิษฐา | ||
| ค่อยกระซิบกระซาบสั่งหลั่งน้ำตา | พี่จะลาแล้วนะน้องอย่าหมองใจ | ||
| ตวันดับจึงจะกลับมาหาแก้ว | สว่างแล้วพี่จะอยู่กระไรได้ | ||
| โฉมอำพันปั่นป่วนรัญจวนใจ | พลางพิไรครวญคร่ำด้วยคำวอน | ||
| มิเสียทีที่พระว่าการรุญน้อง | จะจากห้องแรมร้างห่างสมร | ||
| ดังฝูงผึ้งคลึงกลิ่นแล้วบินจร | สมสุนทรที่พระเริ่มแต่เดิมที | ||
| หรือห่วงหลังหวังรักไปนัคเรศ | ประจักษ์เหตุแล้วไม่ต้องให้หมองศรี | ||
| น้องโฉดเขลาเบาจิตผิดสตรี | ก็ตามทีเถิดเคราะห์จำเพาะเป็น ฯ | ||
| ๏ นั่นมิใช่หรือมาใส่เอาเปล่าเปล่า | ใครบอกเล่าว่าห่วงมาล่วงเห็น | ||
| นี่จำใจจำลาน้ำตากระเด็น | ถ้าใครเห็นด้วยพี่บ้างแทบคลั่งตาย | ||
| มิใช่ชังจะมาร้างนิราศนุช | มาวิมุติ์นึกหมางระคางหมาย | ||
| อารมณ์รักอุตส่าห์หักความเสียดาย | กลัวจะอายที่จะอึงพี่จึ่งจร | ||
| ไม่เห็นทุกข์แล้วก็แท้ว่าแม่แกล้ง | ไม่เคลือบแคลงแล้วจะร้างห่างสมร | ||
| แม่ฟังคำพี่ว่าอย่าอาวรณ์ | แม้นไม่จรเขาเห็นกายจะอายคน ฯ | ||
| ๏ พระทรงโฉมโลมลูบแล้วจูบสั่ง | น้ำเนตรหลั่งไหลนองดังฟองฝน | ||
| ลงจากอาสน์กรเผยพระแกลบน | ฤทธิรณรีบรุดมาอุทยาน | ||
| พอถึงสวนจวนสางสว่างแสง | กระจ่างแจ้งพื้นภพจบสถาน | ||
| พระเข้าห้องกอดน้องแล้วพจมาน | พ่อตื่นนานแล้วหรือน้องอย่าหมองใจ | ||
| อรุณยิ้มพริ้มพรายภิปรายเปรียบ | ทูลประเทียบเปรียบเปรยเฉลยไข | ||
| ไม่หาวนอนเลยสักนิดน้องผิดใจ | ราวกับได้นางฟ้าลงมาเชย | ||
| พระเยื้อนบอกยิ้มย่องกับน้องแก้ว | ถึงตัวบ้างก็ไม่แคล้วแล้วน้องเอ๋ย | ||
| เป็นประถมธรรมดาอย่าว่าเลย | แล้วชมเชยตอบสนองกันสองเรา ฯ | ||
| ๏ สงสารนุชสุดสวาทในวังหลวง | สว่างดวงสุริยนบนเวหา | ||
| ไม่วายคิดจิตประหวัดถึงภัสดา | ประคองกอดสาลิกาไว้กับกาย | ||
| ขุนทองเอ๋ยเป็นไรเลยไม่พูดบ้าง | ให้แม่สร่างโศกเศร้าบรรเทาหาย | ||
| นกฉลาดช่างเฉลยภิเปรยปราย | ไม่สบายสุดจะบอกให้ใครฟัง | ||
| เมื่อคืนนี้อัศจรรย์เหมือนฝันเห็น | เผอิญเป็นให้พิกลกว่าหนหลัง | ||
| ราวกับลมเพชหึงพัดตึงตัง | พึ่งหายดังลงเมื่อดึกรู้สึกพลัน ฯ | ||
| ๏ นางแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ลูกรักแม่ | ช่างพูดแก้ขอบจิตนิมิตฝัน | ||
| เจ้านอนนี่มีเหตุขึ้นอัศจรรย์ | ถ้ากระนั้นค่ำลงนอนพงพี ฯ | ||
| ๏ อนิจจาขุนทองมาต้องขับ | ช่างอาภัพไปห่างจากปรางค์ศรี | ||
| แต่ป่างก่อนนั้นสาลิกาดี | ตั้งแต่นี้เห็นอาภัพจะลับแล้ว ฯ | ||
| ๏ นางฟังพลอดกอดสาลิกาน้อย | ช่างชดช้อยส่งเสียงสำเนียงแจ้ว | ||
| ถึงตัวตายก็ไม่วายสวาทแล้ว | นางกอดแก้วสาลิกาว่าน่ารัก | ||
| จงเฝ้าห้องนะขุนทองอย่าไปไหน | แม่จะไปเฝ้าองค์พระทรงศักดิ์ | ||
| สั่งพลางแต่งองค์นางนงลักษณ์ | พอสมศักดิ์สมองค์นางนงคราญ | ||
| ภูษาทรงวงสร้อยสะอิ้งรัด | นิ้วพระหัตถ์ธำมรงค์วิเชียรฉาน | ||
| ดำรัสเรียกฝูงกำนัลพนักงาน | เยาวมาลย์ย่างเยื้องชำเลืองมา | ||
| ถึงปราสาทสององค์พระทรงภพ | นางเคารพอัญชลีเหนือเกศา | ||
| ภูวนาถหวาดจิตเห็นธิดา | ทั้งกายาพระยุพินสิ้นละออง | ||
| แต่ก่อนงามยามดูดังเดือนฉาย | มาระคายระคางมีราคีหมอง | ||
| ดังโกสุมภุมรินบินประคอง | เป็นรอยต้องซ้ำมีราคีพาน | ||
| พระลูกรักดีร้ายมีชายชิด | จึงดูผิดผิวพรรณในสัณฐาน | ||
| จะถามนางเห็นจะพรางไม่ต้องการ | นฤบาลนิ่งพิศดูธิดา | ||
| เห็นแน่ใจแล้วมิได้โองการแจ้ง | ครั้นสายแสงสุริยนบนเวหา | ||
| พระทรงเครื่องเยื้องย่องจากห้องมา | ออกนั่งหน้าพระโรงรัตน์ชัชวาล | ||
| สะพรั่งพร้อมเสนาพฤฒามาตย์ | ภูวนาถตรัสเรียกมนตรีทหาร | ||
| เคียงบัลลังก์กระซิบสั่งให้จัดการ | ท่านผู้ชาญจงช่วยล้างในทางอาย | ||
| ผูกพยนต์กลในให้ลึกล้ำ | ข้างนอกทำให้เป็นแท่นวิเชียรฉาย | ||
| ยักษ์พยนต์ตนหนึ่งให้แฝงกาย | คอยจับชายชู้ชิดพระธิดา ฯ | ||
| ๏ ขุนทหารฟังสารที่ท้าวสั่ง | ถวายบังคมคัลมาเคหา | ||
| เอาเชือกวงดำรงเสกด้วยวิทยา | มัดหุ่นหญ้าวางไว้เหมือนใจจง | ||
| บริกรรมซ้ำเสกข้าวสารซัด | เชือกวิบัติเป็นบัลลังก์ที่นั่งหงส์ | ||
| ทั้งหุ้นหญ้าก็เป็นมารชาญณรงค์ | แล้วบรรจงให้เป็นกลองของสำคัญ | ||
| ภาวนาสั่งผ้าพยนต์ยักษ์ | บุรุษใดมาร่วมรักสาวสวรรค์ | ||
| เมื่อไสยาสน์จงพิฆาตกลองสำคัญ | จับกระสันมัดไว้ดังใจจง | ||
| ครั้นสำเร็จเสนาเอามาถวาย | จอมนารายณ์ชื่นชมสมประสงค์ | ||
| พจมานให้ประทานนางโฉมยง | ฝูงอนงค์นำหน้าเสนาจร | ||
| ครั้นถึงปรางค์นางทูลถวายอาสน์ | ภูวนาถเธอจำนงให้องค์สมร | ||
| โฉมอำพันมาลาพะงางอน | เห็นบรรจถรณ์งามดีก็ปรีดา | ||
| บรรจงจัดผลัดแท่นที่สถิต | ไม่แจ้งจิตนงลักษณ์ว่ายักษา | ||
| แต่คิดเร่งสุริยนให้สนธยา | ภัสดาจะได้ย่างเข้าปรางค์ทอง | ||
| อันท้าวหลวิราชอำมาตย์ทหาร | เกษมศานต์ยินดีไม่มีสอง | ||
| คอยเงี่ยโสตฟังเสียงสำเนียงกลอง | อยู่ในท้องพระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ | ||
| ๏ ป่างบพิตรอิศเรศเกศมงกุฎ | พระโคบุตรสุริย์วงศ์ยอดสงสาร | ||
| กับอรุณน้องยาปรีชาชาญ | แสนสำราญอยู่ในห้องตำหนักจันทน์ | ||
| ครั้นสุริยงลงลับเหลี่ยมสิงขร | พระภูธรครวญคิดจิตกระสัน | ||
| รำลึกถึงขนิษฐาวิลาวัณย์ | นางแจ่มจันทร์เห็นจะคอยละห้อยใจ | ||
| เข้านั่งแนบแอบน้องประคองถนอม | แล้วแกล้งกล่อมเพลงขับให้หลับไหล | ||
| พระทรงเครื่องเยื้องย่องจากห้องใน | ฤทธิไกรเหาะตรงมาลงปรางค์ | ||
| พระกรกรีดดีดแกลเสียงดังกัก | นางนงลักษณ์แจ้งจิตไม่คิดหมาง | ||
| นางเผยแกลรับองค์พระทรงปรางค์ | พระจูงนางเยื้องย่องเข้าห้องใน | ||
| ถนอมแนบแอบน้องประคองกอด | นาสาสอดสมสนิทพิสมัย | ||
| ต่างยวนยีปรีดิ์เปรมเกษมใจ | บรรทมในแท่นทองทั้งสองรา ฯ | ||
| ๏ นางนบนอบตอบสนองต้องทำเนียบ | ภิปรายเปรียบสรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
| ข้างฝ่ายแท่นแสนเล่ห์ของเสนา | ก็มารยาส่งเสียงประสานเพลง | ||
| มโหรีปี่แก้วจะแจ้วเจื้อย | ระรี่เรื่อยฟังเสนาะอยู่เหมาะเหมง | ||
| พระโคบุตรนุชนางให้วังเวง | สดับเพลงฟังเพลินเจริญครัน ฯ | ||
| ๏ ทั้งสององค์ทรงหลับไม่ลืมเนตร | ด้วยต้องเวทมนตราเหมือนอาสัญ | ||
| ยักษ์พยนต์รนตีเภรีพลัน | แท่นสุวรรณรวบรัดจะมัดองค์ | ||
| ก็กึกก้องห้องปรางค์ปราสาทรัตน์ | สองกษัตริย์หลับสนิทพิศวง | ||
| แต่เครื่องเทพสาตรารักษาองค์ | ธำมรงค์สุริย์กาญจน์สังวาลพราย | ||
| เป็นจักรพัดตัดเชือกกระชากขาด | วิปลาสลุ่ยแหลกละลายหาย | ||
| ที่รูปหุ่นก็เป็นจุณแหลกทำลาย | ต่างวุ่นวายหวั่นไหวในไพชยนต์ ฯ | ||
| ๏ นางสาวสาวชาววังกำลังหลับ | สะดุ้งวับหวีดวิ่งอยู่สับสน | ||
| ฝ่ายทหารชาญเวทวิเศษมนต์ | ยินพยนต์พิฆาตกลองเข้าสองที | ||
| แล้วกลับนิ่งกริ่งจิตผิดประหลาด | ขุนอำมาตย์วิ่งวางมาปรางค์ศรี | ||
| เห็นพยนต์ยับลงเป็นผงคลี | ขุนมนตรีโกรธใจดังไฟกัลป์ | ||
| ดูพระองค์ทรงฤทธิ์สนิทหลับ | กระโจมจับด้วยกำลังดังกังหัน | ||
| สังวาลวงเป็นภุชงค์กระหวัดพัน | เสนาดันดึงเชือกลงเสือกกาย | ||
| แทบขาดจิตด้วยฤทธิ์ภุชงค์รัด | ดิ้นสะบัดก็ไม่ไหวให้ใจหาย | ||
| จึงอ่านเวทแก้มนต์สะกดกาย | ทั้งสองสายสุดที่รักรู้สึกพลัน | ||
| ดูแท่นหายเห็นแต่สายสังวาลรัด | เป็นนาคมัดเสนาจะอาสัญ | ||
| พระหยิบเครื่องประดับมาฉับพลัน | เสนานั้นหมอบตัวด้วยกลัวตาย | ||
| แล้วทูลความตามโทษที่ทำผิด | ได้ประดิษฐ์ทำแท่นมาถวาย | ||
| แม้นมิโปรดโทษข้าก็ควรตาย | หน่อนารายณ์อิศราได้ปรานี ฯ | ||
ตอนที่ ๙ โคบุตรพานางอำพันมาลาหนีไปเมืองพาราณสี
| ๏ พระฟังสารเสนาสารภาพ | ก็ซับทราบฤทัยพระโฉมศรี | ||
| จึงแย้มเยื้อนเอื้อนตรัสกับเสนี | ท่านผู้ปรีชามนต์เป็นพ้นใจ | ||
| พระบิตุรงค์ทรงฤทธิ์นั้นคิดฆ่า | ฝ่ายเทวาป้องปัดไม่ตัดษัย | ||
| เราก็ผิดคิดด่วนทำกวนใจ | ด้วยมิได้เกรงการที่ท่านมา | ||
| ทั้งสองข้างต่างกลุ้มอย่าคุมแค้น | ช่วยทูลแทนด้วยเถิดเจ้าเหมือนเราว่า | ||
| เราก็ปิ่นจักรพรรดิกษัตรา | ชื่อโคบุตรสุริยาสวัสดี | ||
| ขอทูลลาพาน้องไปอุปภิเษก | เป็นองค์เอกอัคเรศเจริญศรี | ||
| ถ้าสมเด็จพระบิดาจะุปรานี | เชิญภูมีจงแจ้งไปแต่งงาน | ||
| เมืองพาราณสีบุรีรัตน์ | อยู่จังหวัดบูรพาทิศาสาร | ||
| สิบห้าวันจึงจะทันวิวาห์การ | แล้วอุ้มมิ่งเยาวมาลย์เสมอชนม์ | ||
| ออกบัญชรร่อนลอยไปทางสวรรค์ | กระจ่างจันทร์แจ่มฟ้าเวหาหน | ||
| สงสารนางร้างไปจากไพชยนต์ | แสนกังวลห่วงหลังวังเวงใจ | ||
| ถึงบิดรมารดาคณาญาติ | นุชนาฏแสนเทวษน้ำเนตรไหล | ||
| พระทรงโฉมโลมนางให้สร่างใจ | มาถึงในสวนขวัญมิทันนาน | ||
| พระเคลื่อนคล้อยลอยลงตรงตำหนัก | ปลุกอรุณน้องรักยอดสงสาร | ||
| อรุณตื่นสรงพักตร์แสนสำราญ | พระแจ้งการเกิดภัยขึ้นในวัง ฯ | ||
| ๏ อรุณฟังบังคมพระเชษฐา | แล้ววันทาอรไทเหมือนใจหวัง | ||
| นางรับหัตถ์วัฒนาด้วยวาจัง | อยู่พร้อมพรั่งสาลิกาสถาวร ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองป้องปีกขึ้นเหนือเกล้า | ลูกเห็นเจ้าแม่มาสโมสร | ||
| นางโอบอุ้มสกุณาให้อาวรณ์ | พ่อตื่นนอนแล้วหรือพลอดฉะฉอดไป ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุดแสนเกษมสันต์ | เห็นแสงจันทร์จวนจะลับเหลี่ยมไศล | ||
| ไก่กระชั้นขันเร่งอโณทัย | ภูวไนยรับขวัญนางกัลยา | ||
| เอาแหวนน้อยของพระองค์บรรจงถอด | มาสวมสอดใส่นิ้วขนิษฐา | ||
| แล้วตรัสหยอกบอกสั่งกับพังงา | แม่รักษาธำมรงค์ไว้จงดี | ||
| ได้เหาะตามเชษฐาทางอากาศ | นางน้อมหัตถ์อภิวาทพระโฉมศรี | ||
| พระตรัสชวนอรุณสกุณี | จรลีจากสวนด่วนจรัล | ||
| ถนอมนวลชวนเหาะขึ้นอากาศ | ดูโอภาสเพียงเทพรังสรรค์ | ||
| เจ้าอรุณขุนทองประคองกัน | นางแจ่มจันทร์เคียงมากับสามี | ||
| ดาวเดือนเลื่อนลับไศลจะใกล้รุ่ง | รีบหมายมุ่งตรงมาพาราณสี | ||
| แสนวิเวกมาในเมฆเมฆี | ลับบุรีเข้าป่าพนาวัน ฯ | ||
| ๏ จะกลับกล่าวถึงเสนาอันสามารถ | เห็นภูวนาถอุ้มนางมาทางสวรรค์ | ||
| ให้ครั่นคร้ามขามเข็ดขยาดครัน | ทั้งกำนัลฝูงนางที่ปรางค์ใน | ||
| บ้างยกกรข้อนอกสะอึกสะอื้น | ออกครึกครื้นไห้หาน้ำตาไหล | ||
| ทั้งเสนาอำมาตย์เพียงขาดใจ | ก็วิ่งไขว่รีบจรมาจากปรางค์ | ||
| พวกผู้หญิงวิ่งตามกันอึกทึก | สะอื้นสะอึกตีอกมาผางผาง | ||
| เหมือนเจ้าเซ็นเต้นหลามมาตามทาง | ตรงมาปรางค์จักรพรรดิกษัตรา ฯ | ||
| ๏ ท่านท้าวหลวิราชอนาถนิ่ง | สำเนียงวิ่งก้องวังให้กังขา | ||
| จากบัลลังก์เสด็จเลยมาเกยชาลา | เห็นเสนาสาวสนมออกกลมกัน | ||
| มนตรีวิ่งกลิ้งเกลือกมากอดบาท | ยังมิอาจออกนุสนธิ์ให้อ้นอั้น | ||
| พวกผู้หญิงวิ่งตามพัลวัน | พระทรงธรรม์ขันขึงตะลึงแล | ||
| แล้วจึ่งมีสิงหนาทประภาษถาม | ก็ทูลความขึ้นระเบ็งออกเซ็งแซ่ | ||
| คนหนึ่งตั้งคนหนึ่งต่อออกจอแจ | มันไม่แน่ตรงไหนจะใคร่ฟัง ฯ | ||
| ๏ ครั้นสร่างโศกเสนาอันสามารถ | อภิวาททูลตามเนื้อความหลัง | ||
| เมื่อแรกจับสัประยุทธ์สุดกำลัง | จนเธอสั่งสรรพเสร็จเสด็จไป ฯ | ||
| ๏ ได้ฟังสารให้ระคายเสียดายยศ | ดังแสงกรดกรีดศอให้ตัดษัย | ||
| พระฮึดฮัดตรัสกริ้วเสนาใน | เอ็งมิใช่ช้างงาปรีชาชน | ||
| ถึงใครดีมีฤทธิ์ให้ล้นฟ้า | อยู่สุธาแล้วไม่อาจขยาดย่น | ||
| เวลารุ่งพรุ่งนี้จะกรีพล | ตามประจญจับตัวไม่กลัวตาย ฯ | ||
| ๏ มนตรีฟังท้าวสั่งให้เตรียมทัพ | ดังตามจับมัจจุราชเหมือนมาดหมาย | ||
| แสนขยาดหวาดหวั่นให้พรั่นกาย | ทูลถวายชีวิตไม่คิดการ | ||
| เอาหม่อมฉันฟันเศียรเสียเอาฤกษ์ | แล้วจึ่งเลิกพลไกรไปสังหาร | ||
| พระทรงฤทธิ์เลี้ยงมาก็ช้านาน | เป็นทหารชิงชัียมาหลายครั้ง | ||
| ทั้งร้อยเอ็ดพระนครมาอ่อนเกศ | เพราะพระเวทฤทธิรณพระมนต์ขลัง | ||
| แต่ตรงพระโคบุตรสุดกำลัง | ด้วยชีวังจะมรณาแต่ราตรี | ||
| หากเธอรักธิดาของฝ่าพระบาท | ข้าอำมาตย์จึ่งได้มาถึงบทศรี | ||
| แล้วดูองค์ทรงภุชกับบุตรี | ควรเป็นที่คู่ควรสงวนงาม | ||
| ทั้งสมทรงวงศาศักดาเดช | มงกุฎเกศตรีภพจบสยาม | ||
| ซึ่งพระทัยของพระองค์จะสงคราม | ไม่ทำตามเกล้ากระหม่อมจะยอมตาย | ||
| พระฟังข่าวกล่าวโฉมประโลมจิต | แล้วหยุดคิดดับเดือดค่อยเหือดหาย | ||
| เสด็จขึ้นแท่นสุวรรณพรรณราย | แสนเสียดายธิดาพะงางาม | ||
| รุ่งอุทัยไขแสงทุกแหล่งหล้า | สั่งให้หาโหรเฒ่าเข้ามาถาม | ||
| โหรพินิจคิดคูณแล้วทูลความ | นางโฉมงามคงจะมาถึงธานี ฯ | ||
| ๏ พระฟังคำโหรทายค่อยคลายคิด | รัญจวนจิตจำจากนางโฉมศรี | ||
| แต่ตั้งคอยธิดาอยู่ธานี | เมื่อเข้าที่โศกาลงจาบัลย์ ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวกลับจับความสามกษัตริย์ | พ้นจังหวัดกรุงไกรเข้าไพรสัณฑ์ | ||
| พอรุ่งแสงรังสีรวีวรรณ | พระรับขวัญนุชน้องประคองเคียง | ||
| นางสาวน้อยคอยแลละลานเนตร | ในขอบเขตเขาไม้ชายเฉลียง | ||
| สกุณร้องก้องดงส่งสำเนียง | จนแดดเที่ยงแผดเผาในอัมพร | ||
| พระนำนวลชวนน้องขุนทองน้อย | ค่อยเลื่อนลอยลงหยุดยอดสิงขร | ||
| พระชวนแก้วแววตาพะงางอน | ชมนิกรปักษาในป่ารัง | ||
| ทั้งแนวน้ำลำธารละหานหิน | เป็นน้ำรินแผ่นผาคงคาขัง | ||
| ที่ไหลเชี่ยวเป็นเกลียวกระทบดัง | ศิลาพังกลิ้งลั่นสะท้านดิน | ||
| บ้างฟุ้งฟูปรูปรายเป็นเกลียวปัด | กระเด็นซัดทรายเม็ดเหมือนเพชรหิน | ||
| ที่รอยแตกแทรกซึมมารินริน | แล้วภูมินทร์ชี้ชมสกุณา | ||
| ฝูงอีลุ้มแฝงพุ่มอุโลกเลียบ | กระจาบเหยียบยอดพุทธรักษา | ||
| นกเขานิ่งจับกิ่งกรรณิการ์ | อีร้าร่ารำปีกอยู่กรีดกราย | ||
| บ้างเหล่าสัตว์เสือสิงห์กระทิงโดด | กิเลนโลดเลียงผาวิ่งผันผาย | ||
| นรสิงห์ลิงโลดละมั่งทราย | ทั้งแรดร้ายเรียงเดินเนินลำเนา | ||
| กระบือเปลี่ยวเที่ยวพบกับเสือโคร่ง | ควายก็โก่งหางรับขยับเขา | ||
| เสือขยิกควายขยดกระทดเท้า | เสือตรงเข้าควายขวิดด้วยจิตมุ | ||
| เสียงเขาขวับกับกักพยัคฆ์กัด | เสือสะบัดควายขวิดด้วยฤทธิ์ดุ | ||
| นางกษัตริย์ทัศนาก็ผาสุก | สว่างทุกข์โศกเศร้าบรรเทาหาย | ||
| นางอุ้มนกอิงแอบไว้แนบกาย | แล้วโฉมฉายตรัสถามเจ้าทรามเชย | ||
| โน่นนกแก้วแจ้วพลอดบนยอดไม้ | ว่ากระไรนั่นสาลิกาเอ๋ย | ||
| นั่นหรือเจ้าฉันจะบอกไม่หลอกเลย | เขาชมเชยเจ้าแม่ว่าแท้งาม | ||
| ว่าดูดู๋ขุนทองคะนองนัก | เห็นว่ารักแล้วว่าเล่นไม่เกรงขาม | ||
| อนิจจาว่าจริงมากริ่งความ | กระนั้นตามแต่จะทำให้หนำใจ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงพระสรวล | สำราญชวนสาลิกาแล้วปราศรัย | ||
| นกปรอดพลอดเกรียวอยู่กิ่งไทร | ว่ากระไรบอกพ่อจะขอฟัง | ||
| สาลิกาว่าลูกไม่บอกได้ | จะเคืองใจหม่อมแม่เหมือนแต่หลัง | ||
| เจ้าบอกพ่อเถิดจะขอโทษประทัง | ขุนทองฟังสัพยอกบอกรำพัน | ||
| เขาชมว่าทั้งสองพี่น้องแท้ | ทั้งเจ้าพ่อเจ้าแม่ดูคมสัน | ||
| เขาว่าเห็นเหมือนจะเป็นอะไรกัน | กลัวแต่ท่านจะว่าแกล้งแคลงขุนทอง | ||
| สองพระองค์ทรงพระสรวลสำรวลร่า | ขนิษฐาค้อนคมอารมณ์หมอง | ||
| ใครจะรู้เท่าเล่าเจ้าขุนทอง | ทำคะนองเชื่อพ่อพูดล้อคน | ||
| ต่างสำรวลชวนชื่นระรื่นจิต | แสงอาทิตย์บ่ายคล้อยพระเวหน | ||
| แดดพยับอับพื้นโพยมบน | พระชวนมิ่งนิรมลให้แต่งองค์ | ||
| ล้วนแต่แก้วแกมสีมณีสอด | ออกจากยอดเขาใหญ่ไพรระหง | ||
| ลอยละลิ่วปลิวตามกันสามองค์ | อรุณทรงอุ้มสาลิกามา ฯ | ||
| ๏ สุริย์แสงใกล้ดับพยับคล้อย | ชะนีห้อยโหนไม้ร้องไห้หา | ||
| วิเวกวาบซาบเสียวเส้นโลมา | พระพายพาพัดส่งตรงบุรี | ||
| กำหนดสิบห้าคืนที่แรมค้าง | บรรลุทางถึงเมืองพาราณสี | ||
| พระชวนแก้วกัลยาลงธานี | จรลีเยื้องย่างเข้าปรางค์ปรา ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตขัตติยาวราเดช | ทอดพระเนตรเห็นสองโอรสา | ||
| กับโฉมยงนงลักษณ์วิไลตา | เสด็จมาต้อนรับด้วยฉับพลัน | ||
| จูงสองบุตรสุดสวาทขึ้นอาสน์รัตน์ | กรุงกษัตริย์กอดจูบแล้วรับขวัญ | ||
| พ่อแีรมร้างนครามาช้าครัน | นางแจ่มจันทร์เจ้าได้มาพาราใด ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงสดับ | จึงกล่าวกลับความหลังมาทูลไข | ||
| ครั้งจากเมืองเรื่องแรกนิราศไกล | จนไปได้กัลยามาธานี ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตแจ้งอรรถว่าอัคเรศ | พูนเทวษตรึกตรองแล้วหมองศรี | ||
| พระเนตรคลอชลนาไม่พาที | โอ้ครั้งนี้วาสนาธิดาเรา | ||
| ได้จินดามาถือถึงมือแล้ว | เสียดายแก้วกลับคืนเป็นของเขา | ||
| แล้วหักจิตคิดความตามสำเนา | เมื่อลูกเราบุญน้อยจะโทษใคร | ||
| จึงเอื้อนอรรถตรัสสั่งกับสาวศรี | บอกมณีสาครผู้พิสมัย | ||
| ว่าเชษฐาเจ้ามาถึงเวียงชัย | ให้ทรามวัยจรจรัลมาวันทา ฯ | ||
| ๏ สาวสนมต่างก้มบังคมสนอง | มาสู่ห้องบรรทมขนิษฐา | ||
| กราบทูลความตามมีโองการมา | พระเชษฐาอนุชาถึงธานี ฯ | ||
| ๏ ปางมณีสาครบวรนาฏ | สุดสวาทแรกรุ่นเจริญศรี | ||
| คิดระคายอายองค์พระภูมี | นางเทวีจำใจต้องไคลคลา | ||
| ประดับองค์ทรงสร้อยงามจรัส | เนาวรัตน์เรียบนิ้วพระหัตถา | ||
| แล้วเยื้องย่างดังนางกินรา | นัยนาลอบเหลือบชำเลืองชาย | ||
| แลเห็นองค์ทรงฤทธิ์กับน้องรัก | กับนงลักษณ์เคียงข้างพระโฉมฉาย | ||
| นางนั่งแอบบิดรแล้วอ่อนกาย | กรถวายอัญชุลีพระพี่ยา | ||
| ๏ พรหมทัตตรัสเตือนพระลูกรัก | นั่นนงลักษณ์อัคเรศของเชษฐา | ||
| บังคมคัลกันเสียเถิดนะแก้วตา | ตามประสาพี่น้องกันสองนาง ฯ | ||
| ๏ ยุพาพาลฟังสารบิดาสั่ง | ให้แค้นคั่งเคืองในพระทัยหมาง | ||
| แกล้งสำรวญสรวลร่าต่อหน้านาง | แล้วเยื้องย่างเข้าในที่ไสยา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ผู้ทรงเดช | ชำเลืองเนตรเพ่งพิศขนิษฐา | ||
| พึ่งแรกรุ่นรูปงามอร่ามตา | กิริยางามงอนชะอ้อนองค์ | ||
| แค้นจิตที่ยังพิศไม่เต็มพักตร์ | กำเริบรักจิตรำพึงตะลึงหลง | ||
| แต่แรกรู้ว่างามอร่ามทรง | ไม่เดินดงไปให้ยากลำบากใจ | ||
| คิดแค้นตาน่าจะตำให้แตกหัก | ไม่รู้จักคนงามก็เป็นได้ | ||
| ให้กลัดกลุ้มรุมรึงตะบึงไป | ด้วยพระทัยร้อนร่านในการรัก ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันมาลาน้ำตาตก | ให้เจ็บอกใหญ่หลวงเพียงทรวงหัก | ||
| แรกก็หมายว่าพระไร้นารีรัก | จึ่งหาญหักตามติดไม่คิดอาย | ||
| นึกนึกแล้วสะอึกสะอื้นไห้ | ชลนัยน์นองเนตรนางโฉมฉาย | ||
| พรหมทัตขัตติยาปรีชาชาย | เห็นนางฟายชลนาโศกาลัย | ||
| ก็รู้แจ้งแกล้งกล่าวประโลมเล้า | พ่อจะเล่าโฉมยงอย่าสงสัย | ||
| อันลูกข้ากับสามีของสายใจ | ใช่จะได้สู่สมภิรมยา | ||
| อันความหลังเจ้ายังไม่แจ้งจิต | รักสนิทเหมือนหนึ่งญาติวงศา | ||
| จะเสกเจ้าเสาวภาคย์แก่ภัสดา | เป็นมหาจักรพรรดิสวัสดี | ||
| อันพี่น้องสององค์โอรสข้า | ก็ให้แก่ภัสดาของโฉมศรี | ||
| จะเลี้ยงไว้ใช้สอยก็ตามที | แต่เทวีจะภิเษกเป็นเอกองค์ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรฟังสุดสารกษัตริย์ | ชุลีหัตถ์ตอบความตามประสงค์ | ||
| ลูกเปล่าใจไร้ญาติประยูรวงศ์ | หมายพระองค์ทศมิตรเหมือนบิดา | ||
| นางมณีสาครนางนงลักษณ์ | ลูกก็รักเหมือนนัยนาขวา | ||
| ซึ่งโปรดปรานจะให้ผ่านซึ่งพารา | ลูกจะให้อนุชาอยู่แทนกาย | ||
| จะเชิญเสด็จบิดาของข้าบาท | มาสร้างราชเวียงชัยเหมือนใจหมาย | ||
| จะแต่งการสยมพรขจรจาย | ตามสบายมิให้ไพร่ได้รำคาญ | ||
| อรุณน้องจะได้ครองพารานี้ | แม่มณีวรนุชสุดสงสาร | ||
| มิให้เคืองเบื้องบาทพระภูบาล | จะรับการให้ตลอดจนวอดวาย | ||
| ถึงคนอื่นหมื่นแสนจะแค่นให้ | ไม่เหมือนใจลูกรักสมัครหมาย | ||
| สุจริตจนชีวิตลูกจากกาย | มิให้คลายรักน้องทั้งสองรา ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตฟังสารสำราญสุด | รู้ว่าบุตรจะได้เป็นฝ่ายขวา | ||
| ครั้นรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยา | สั่งคณาสาวสรรค์กำนัลใน | ||
| ประจงจัดปัจถรณ์ให้ลูกรัก | กับนงลักษณ์เยาวยอดพิสมัย | ||
| เครื่องเสวยคาวหวานสำราญใจ | บรรทมในปรางค์รัตน์ชัชวาล | ||
| สนั่นก้องกองชนะปี่ไฉน | วิเวกในปรางค์มาศราชฐาน | ||
| ประโคมยามตามศักดิ์จักรพาล | สุริกาลเยี่ยมยอดยุคุนธร ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ | สำราญจิตตื่นจากปัจถรณ์ | ||
| ชวนอำพันมาลาพะงางอน | ชุลีกรกษัตราเจ้าธานี | ||
| ขอพระองค์จงจัดบัลลังก์อาสน์ | อันโอภาสไว้ในพระโรงศรี | ||
| พร้อมพระญาติวงศาในธานี | มายังที่ท้องพระโรงจงเสร็จพลัีน | ||
| จะเชิญองค์บิดาของข้าบาท | ให้ลินลาศมาพระโรงนรังสรรค์ | ||
| จะได้พบกับองค์พระทรงธรรม์ | ปรึกษากันที่จะแต่งวิวาห์การ ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตขัตติย์วงศ์ทรงสดับ | ประคองรับคำพลางต่างบรรหาร | ||
| แต่งบัลลังก์ทั้งพลับพลาตรงหน้าลาน | งามตระหง่านด้วยสุวรรณอันบรรจง | ||
| ครั้นสำเร็จเสร็จชวนมเหสี | พระบุตรีเยื้องย่องเข้าห้องสรง | ||
| เครื่องประดับวับวามอร่ามองค์ | พระญาติวงศ์พร้อมพรั่งทั้งข้างใน | ||
| เสด็จมายังที่หน้าพระโรงรัตน์ | เป็นขนัดนั่งเรียงเคียงไสว | ||
| พร้อมสาวสรรค์กัลยาเสนาใน | คอยท้าวไทสุริยาวราฤทธิ์ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | ประสานหัตถ์นบนิ้วด้วยสุจริต | ||
| รำลึกถึงบิตุรงค์องค์อาทิตย์ | พระทรงฤทธิ์มา่ช่วยลูกด้วยพลัน | ||
| จะแต่งการบ้านเมืองให้เลื่องชื่อ | ตลอดลือแหล่งหล้าสุธาสวรรค์ | ||
| ด้วยสองนางขนิษฐาวิลาวัณย์ | พระทรงธรรม์จงมาช่วยลูกด้วยรา ฯ | ||
ตอนที่ ๑๐ อภิเษกโคบุตรกับนางมณีสาครและนางอำพันมาลา
| ๏ จะกล่าวถึงบิตุรงค์องค์อาทิตย์ | สำราญจิตอยู่ในราชรถา | ||
| ทิพกรรณรู้แจ้งในกิจจา | ว่าลูกยาคิดคะนึงถึงพระองค์ | ||
| ได้นางแล้วจะสร้างนครด้วย | จำจะช่วยให้ได้สมประสงค์ | ||
| จึ่งแบ่งภาคจากราชรถทรง | พระสุริยงลอยฟ้ามาธานี | ||
| ครั้นถึงเมืองเยื้องย่างขึ้นนั่งอาสน์ | โอรสราชก้มกราบพระสุริย์ศรี | ||
| พรหมทัตขัตติยาเจ้าธานี | กับบุตรีเมียแก้วบังคมคัล | ||
| พฤฒามาตย์ราษฎรอ่อนศิโรตม์ | ต่างมาโนชชมพระสุริย์ฉัน | ||
| แต่สงสัยไม่รู้ว่าสุริยัน | ต่างชวนกันสรรเสริญเจริญทรง | ||
| พระโคบุตรเข้าชิดพระบิตุเรศ | แล้วก้มเกศทูลความตามประสงค์ | ||
| ซึ่งลูกรักหากคิดถึงบิตุรงค์ | โดยจำนงจะให้สร้างพระพารา | ||
| อุภิเษกเอกองค์อนงค์นาฏ | เสวยราชย์สองฝ่ายเป็นซ้ายขวา | ||
| ข้างมณีนี่ได้แต่แรกมา | พระบิดาให้แต่เล็กยังเด็กนัก | ||
| ได้ชื่นชมสมสองเหมือนน้องพี่ | ก็ควรที่จะภิเษกเป็นเอกอัคร | ||
| นางอำพันนั้นไซร้ได้ร่วมรัก | ก็เป็นสักว่าที่หลังจะตั้งตาม ฯ | ||
| ๏ พระสุริยงทรงฟังโอรสราช | จึงประภาษกล่าวกลอนสุนทรถาม | ||
| ท่านท้าวพรหมทัตผู้จัดความ | พยายามพันผูกกับลูกเรา | ||
| ก็พร้อมจิตคิดยังเหมือนดังญาติ | ท่านให้ราชธิดาโฉมเฉลา | ||
| จะแต่งการไว้พานธุระเรา | จะใช้ชาวชนบทปรากฏครัน | ||
| จะสร้างเมืองเครื่องอุภิเษกเสร็จ | ให้สำเร็จตามจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| กับเมืองของท้าวไทอยู่ไกลกัน | สิบห้าวันเดินทางเหมือนอย่างเป็น | ||
| แต่จะย่นหนทางเข้าวางไว้ | เมื่อแต่งงานนั้นใกล้พอแลเห็น | ||
| ท้าวจะได้มาไปไม่ยากเย็น | เมื่อเสร็จสรรพกลับเป็นสิบห้าวัน | ||
| อันสององค์นงนุชสุดสวาท | อนุญาตยอดมิ่งทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| ท่านจัดแจงแต่งตบให้ครบครัน | ด้วยอำพันเทวีไม่มีใคร | ||
| เรากับพระลูกยาจะลาก่อน | จะไปสร้างพระนครให้สุกใส | ||
| พรุ่งนี้เช้าเชิญพาธิดาไป | เราจะได้เสกสองให้ครองกัน ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตฟังสารแล้วก้มกราบ | สิโรราบรับสั่งพระสุริย์ฉัน | ||
| ถึงนวลนางโฉมยงองค์อำพัน | จะแต่งให้เหมือนกันกับธิดา ฯ | ||
| ๏ พระสุริย์ฉานฟังสารกรุงกษัตริย์ | โสมนัสชวนองค์โอรสา | ||
| จะช้านานการด่วนจวนเวลา | เราไปสร้างพาราเถิดลูกรัก | ||
| พระโคบุตรสั่งน้องทั้งสองศรี | แล้วอัญชุลีลาองค์พระทรงศักดิ์ | ||
| เสร็จสั่งสุริย์ฉายก็บ่ายพักตร์ | กับลูกรักเหาะทะยานผ่านโพยม | ||
| พระโคบุตรเหาะชิดกับบิตุเรศ | ชาวนิเวศน์ชี้ชวนกันชมโฉม | ||
| เจริญงามยามคล้อยลอยโพยม | และประโลมลิ่วลิบจนลับตา | ||
| พระสุริยงกับองค์โอรสราช | ก็ผันผาดมาในห้องพระเวหา | ||
| แล้วผันแปรแลดูในหิมวา | ที่จะสร้างพารานิเวศน์วัง | ||
| เห็นรุกขาป่าหนึ่งรโหฐาน | งามตระการเห็นจะได้ดังใจหวัง | ||
| มีคิรีล้อมรอบเป็นขอบบัง | จะแต่งตั้งพระบูรีเห็นดีครัน | ||
| พระสุริยาจึงพาราชโอรส | ลงหยุดยอดบรรพตเกษมสันต์ | ||
| อธิษฐานอ่านเวทพระสุริยัน | หิมวันต์เรียบราบเหมือนปราบแล้ว | ||
| เกิดสถานบ้านเมืองอันโอภาส | สามปราสาทวาวแวมทองแกมแก้ว | ||
| มีทางเดินจรดลถนนแนว | เป็นแถวแถวตึกรามดูงามครัน | ||
| ทั้งกว้างใหญ่ได้สามสิบห้าโยชน์ | ภูเขาโขดล้อมรอบเป็นขอบขัณฑ์ | ||
| กำแพงล้อมล้วนเพชรอยู่เจ็ดชั้น | แล้วทรงธรรม์นิรมิตโรงพิทธี | ||
| ราชวัติฉัตรฉายตั้งรายรอบ | งามประกอบแก้วประดับสลับสี | ||
| จัตุรมุขช่อฟ้าสง่าดี | ทั้งบายศรีกองแก้วอันแพรวพราย | ||
| ทั้งกองทองรองเรืองแลเครื่องแก้ว | ดูเลิศแล้วล้วนสีมณีฉาย | ||
| เป็นไพร่พลชนชาติทาสหญิงชาย | ดูมากมายพร้อมพรั่งทั้งวังเวียง | ||
| ในห้องปรางค์มีนางสนมนาฏ | ทั้งพิณพาทย์ดุริยางค์ถวายเสียง | ||
| มีโรงรถคชสารอยู่รายเรียง | ได้พร้อมเพรียงพอเวลาจะราตรี ฯ | ||
| ๏ พระสุริยาพาลูกขึ้นปรางค์มาศ | เดียรดาษด้วยสุรางค์นางสาวศรี | ||
| เจ้าอยู่เถิดพ่อจะลาเป็นราตรี | วันพรุ่งนี้พ่อจะลงมาแต่งการ | ||
| จึงตั้งนามนคราให้ปรากฏ | ชื่อปราการบรรพตรโหฐาน | ||
| แล้วโลมลูบจูบกอดพระกุมาร | พระสุริย์ฉานรีบเหาะระเห็จมา | ||
| ขึ้นทรงรถลดเลี้ยวพระเมรุมาศ | ก็โอภาสส่องจำรัสในเวหา | ||
| พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงศักดา | ก็ไสยาอยู่ในปรางค์ทิพมณี ฯ | ||
| ๏ ขอหยุดยั้งครั้งนี้จะกลับกล่าว | ถึงองค์ท้าวเจ้าเมืองพาราณสี | ||
| ครั้นสองราคลาไคลไกลบูรี | พระจึ่งมีพจนารถแก่เสนา | ||
| ให้เทียมรถเรียงเรียบประเทียบรับ | ที่สำหรับสองนางเสน่หา | ||
| ทั้งม่านทองป้องปิดกำบังตา | ให้โยธาล้อมรถบทจร | ||
| รถสำหรับวงศาคณาญาติ | เทียมด้วยพาชีชาติชาญสมร | ||
| รถสาวสรรค์กัลยาสถาวร | ผูกกุญชรช้างพังกระโจมทอง | ||
| สั่งให้จัดคัดนางที่แรกรุ่น | เนื้อละมุนงามดีไม่มีสอง | ||
| เลือกเอาแต่เหล่าล้วนนวลละออง | ให้ทั้งสองแจ่มจันทร์อำพันนาง | ||
| สำหรับไปใช้สอยให้ร้อยชั่ง | ได้พร้อมพรั่งสารพัดไม่ขวาง | ||
| ประทานให้นวลละอองทั้งสองนาง | ทั้งสองข้างเหมือนกันไม่ฉันทา ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายมนตรีดีใจไปจัดทัพ | ให้เสร็จสรรพพร้อมหมดทั้งรถา | ||
| มาเรียงเรียบเทียบไว้ดาษดา | สุริยาสิ้นแสงก็เสร็จพลัน | ||
| ข้างนอกในเตรียมไว้อยู่คับคั่ง | ก็พร้อมพรั่งดีใจทั้งไอศวรรย์ | ||
| จะกล่าวถึงเบื้องบาทพระสุริยัน | เที่ยวส่องชั้นสามทวีปแล้วรีบมา | ||
| สว่างแสงแหล่งโลกชมพูภพ | ก็ปรารภจากราชรถา | ||
| มาแต่งองค์ทรงเครื่องให้ลูกยา | เสด็จพามาโรงราชพิธี | ||
| ตะโกนก้องร้องด้วยเสียงสิงหนาท | กู่ประกาศเทวาทุกราศี | ||
| เทพอัปสรพยาธรแลมุนี | ทุกถิ่นที่จงมาช่วยเราด้วยกัน ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเทวาสุราฤทธิ์ | ฤาษีสิทธิ์โกสีย์อัปสรสวรรค์ | ||
| ยินสำเนียงเสียงองค์พระสุริยัน | ต่างชวนกันทอดทัศนามา | ||
| แลเห็นพระสุริยันอันทรงยศ | จะแต่งงานโอรสร้องเรียกหา | ||
| จะไปช่วยอวยชัยกุมารา | ฝูงเทวาเสด็จจากวิมานจร | ||
| ฝูงอัปสรมือถือปทุมชาติ | มาโรงราชพิธีสโมสร | ||
| ท้าวโกสีย์ชวนสุดาพากันจร | นางอัปสรแวดล้อมมาพร้อมกัน | ||
| ฤาษีสิทธิ์วิทยาพวกดาบส | ต่างรู้หมดเหมือนหมายแล้วผายผัน | ||
| ลอยละลิ่วปลิวฟ้าลงมาพลัน | ประชุมกันยังโรงพิธีการ | ||
| พวกมุนีชีป่ารักษากิจ | นั่งสถิตตามพวกฤาษีสาร | ||
| ฝูงเทวาอารักษ์ท้าวมัฆวาน | นั่งขนานเป็นขนัดจัดบรรจง | ||
| สุจริตรานั่งหน้าอัปสรสวรรค์ | เป็นพวกกันคนละข้างนวลหง | ||
| บายศรีทองกองแก้วอยู่กลางวง | พระสุริยงชื่นในพระทัยครัน | ||
| จึงย่อย่นมรรคาเข้ามาใกล้ | ชิดเวียงชัยพรหมทัตเกษมสันต์ | ||
| ให้ดีดสีตีกลองประโคมพลัน | เสียงครื้นครั่นคอยรับกองทัพชัย ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวกลับจับเรื่องพาราณสี | ครั้นราตรีรุ่งแจ้งปัจจุสมัย | ||
| เห็นบ้านเมืองเรืองโรจน์ลิงโลดใจ | ปราสาทชัยแสงแก้วดูแพรวพราว | ||
| บ้างชะแง้แลแหงนจนหน้าหงาย | ทั้งหญิงชายบอกกันสนั่นฉาว | ||
| ประชาชนเวียงชัยทั้งไทยลาว | ตื่นเกรียวกราวมาดูทุกผู้คน ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตกับพระมเหสี | เห็นธานีเหมือนนัดไม่ขัดสน | ||
| ก็จัดแจงแต่งสองนฤมล | ทรงกุณฑลกาญจน์แก้วกรรเจียกจอน | ||
| สะอิ้งสร้อยพลอยพรายสายระหง | สองอนงค์ดังหนึ่งเทพอัปสร | ||
| แสนสาวพระสนมประนมกร | นรินทรชื่นชมภิรมยา | ||
| พลางแต่งองค์ทรงเครื่องอันโอภาส | กับนางนาฏมเหสีโอรสา | ||
| พระนำสองทรามเชยมาเกยชาลา | เชิญสุดาสององค์ชึ้นทรงรถ ฯ | ||
| ๏ สารถีตีเตือนอัสวราช | คณาญาติแวดล้อมมาพร้อมหมด | ||
| ถึงนครปราการที่บรรพต | เสด็จลงจากรถบทจร | ||
| พวกนางฟ้ามารับอยู่คับคั่ง | ก็พร้อมพรั่งเข้าประคองสองสมร | ||
| เข้านั่งโรงพิธีชุลีกร | หมู่อัปสรนางสวรรค์เป็นชั้นเรียง | ||
| พวกสนมพรหมทัตมเหสี | นั่งอยู่ที่เบื้องซ้ายชายเฉลียง | ||
| พระโคบุตรอยู่กลางสองนางเคียง | เทวาเรียงรายรอบเป็นขอบคัน ฯ | ||
| ๏ พระอาทิตย์พรหมทัตหัสเนตร | อยู่ท่ามกลางเทเวศร์อัปสรสวรรค์ | ||
| ครั้นได้ฤกษ์ให้เบิกบายศรีพลัน | พระสุริยันอุ้มองค์พระลูกยา | ||
| ขึ้นนั่งเหนือกองแก้วอลงกรณ์ | นางมณีสาครอยู่เบื้องขวา | ||
| ให้นั่งเหนือกองทองทั้งสองรา | นางอำพันมาลาเป็นฝ่ายซ้าย | ||
| ท้าวอินทราภาณุมาศญาติวงศ์ | ทุกทุกองค์ต่างอวยพระพรถวาย | ||
| ทั้งสามองค์จงเจริญพระวรกาย | อันตรายโรคาอย่าราวี | ||
| แล้วจุดเทียนเวีียนแว่นถวายเสียง | ก้องสำเนียงดุริยางค์แลดีดสี | ||
| ฆ้องหึ่งหึ่งเสียงโห่เป็นโกลี | มโหรีครื้นเครงบรรเลงครัน | ||
| ครั้นถ้วนเสร็จเจ็ดรอบพรประสิทธิ์ | พระอาทิตย์ดับเทียนที่เวียนขวัญ | ||
| หยิบสุคนธ์ปนปรุงกระแจะจันทน์ | พระสุริยันเจิมพักตร์ให้ลูกยา ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายว่าพวกมุนีฤาษีสิทธิ์ | สวดประดิษฐ์ทิพมนต์บ่นคาถา | ||
| ขัดสมาธิ์สาดน้ำเป็นโกลา | ฝูงเทวาสาวสวรรค์เป็นผงคลี | ||
| เจ้าบ่าวเสียดเบียดสีระรี้ริก | นางฟ้าหยิกเอาที่ขาผินหน้าหนี | ||
| พวกมนุษย์เห็นสนุกเข้าคลุกคลี | พระฤาษีซัดน้ำกระหน่ำไป | ||
| นางอัปสรกรกั้นเทวัญเบียด | ออกยัดเยียดเบียดกันย่นทนไม่ได้ | ||
| กระทั่งอาสน์บาตรน้ำจนคว่ำไป | ฤาษีไพรต้องยั้งกำลังซัด | ||
| เทวราชเพื่อนบ่าวเบียดสาวรุก | ฤาษีลุกขึ้นป้องตาลปัตร | ||
| จนสุดสิ้นวารีไม่มีซัด | ค่อยสงัดเงียบเสียงในเวียงชัย | ||
| พวกเทวินอินทราพระดาบส | ต่างประณตลาองค์พระสุริย์ใส | ||
| แต่บรรดามาช่วยต่างอวยชัย | แล้วกลับไปยังสถานสำราญกาย ฯ | ||
| ๏ พระสุริยันยินดีเป็นที่สุด | ครั้นเทวบุตรชวนกันจะผันผาย | ||
| พระยิ้มเยื้อนเอื้อนโอษฐ์โปรดภิปราย | ให้โฉมฉายสองนางขึ้นปรางค์ปรา | ||
| นางอำพันนั้นอยู่ปราสาทซ้าย | นางมณีโฉมฉายอยู่ฝ่ายขวา | ||
| ปราสาทกลางปรางค์มาศพระลูกยา | อยู่เถิดพ่อจะลาครรไลไป | ||
| แล้วฝากองค์โอรสกับพรหมทัต | จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์อันแจ่มใส | ||
| อยู่ชมเมืองลูกชายให้คลายใจ | เราจะไปฟากฟ้าจวนสายัณห์ | ||
| พระสุริยงทรงตรัสกับโอรส | แล้วทรงยศรีบเหาะระเห็จหัน | ||
| ขึ้นทรงรถหมดเมฆวิเวกครัน | พอสิ้นวันถึงเวลาเข้าราตรี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | ลาบรมพรหมทัตขึ้นปรางค์ศรี | ||
| สองกษัตริย์ไปปรางค์พระบุตรี | เสด็จตรงมาที่พระลูกยา | ||
| ครั้นมาถึงแท่นทองอันผ่องใส | พระภูวไนยเห็นองค์โอรสา | ||
| พระชนนีเข้าชิดกับธิดา | พรรณนาสอนสั่งนางบังอร ฯ | ||
| ๏ เจ้าโฉมงามทรามรักของแม่เอ๋ย | อย่าลืมเลยจงจำคำแ่ม่สอน | ||
| ภัสดาอุปมาเหมือนบิดร | จงโอนอ่อนฝากองค์พระทรงฤทธิ์ | ||
| สรงเสวยคอยระวังอย่าพลั้งพลาด | เมื่อไสยาสน์ผ่อนพร้อมถนอมจิต | ||
| ถ้าท้าวโศกแม่อย่าสรวลจงควรคิด | ระวังผิดอย่าให้ผ่านวรกาย | ||
| ผัวเคียดแม่อย่าเคียดทำโกรธตอบ | เอาความชอบมาดับให้สูญหาย | ||
| ถึงท้าวรักก็อย่าเหลิงละเลิงกาย | ครั้นระคายแล้วมักมีราคีคาว | ||
| ความลับแม่อย่าแจ้งแถลงไข | จงกล้ำกลืนกลบไว้อย่าให้ฉาว | ||
| แม้นปากชั่วตัวจะดีก็มีคาว | พระทัยท้าวเธอจะแหนงระแวงความ | ||
| อันหญิงชั่วผัวร้างนิราศรัก | อัปลักษณ์ถ้าคนจะหยาบหยาม | ||
| มารดาพร่ำร่ำสอนจงทำตาม | แล้วโฉมงามแต่งกายให้สายใจ ฯ | ||
| ๏ แล้วลินลาพานางมาปรางค์มาศ | ขึ้นปราสาทโอรสพระสุริย์ใส | ||
| แล้วจูงนางย่างย่องเข้าห้องใน | พระหน่อไทเห็นองค์พระชนนี | ||
| พระลดองค์ลงจากบัลลังก์แก้ว | บังคมแล้วทูลเชิญพระโฉมศรี | ||
| นางรับหัตถ์ตรัสฝากพระบุตรี | พ่อปิ่นปัถพีสถาวร | ||
| ขอฝากองค์อรไทไว้แก่เจ้า | แม้นหนักเบาผิดพลั้งช่วยสั่งสอน | ||
| เหมือนเอ็นดูมารดาช่วยว่าวอน | จะจากจรลับไปอยู่ไกลกัน | ||
| แม้นดวงจิตผิดพลั้งแต่ครั้งหนึ่ง | พ่อคิดถึงมารดรจงผ่อนผัน | ||
| ถึงสองสามแล้วก็ตามจะตีรัน | สารพันตามแต่พ่อจะเมตตา ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารมารดรแล้ววอนไหว้ | อย่าห่วงใยถึงนางขนิษฐา | ||
| ถึงผิดพลั้งสั่งสอนเหมือนน้องยา | ไม่โทษาโทษทัณฑ์จนวันตาย | ||
| พระชนนีปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ประโลมขวัญลาลูกแล้วผันผาย | ||
| นางขยับกลับจะตามด้วยความอาย | พระฉวยชายภูษายุพาพาล | ||
| ปิดทวารบานบังเข้านั่งใกล้ | แล้วปราศรัยชวนนุชสุดสงสาร | ||
| เจ้างามเลิศเฉิดโฉมประโลมลาน | จะเปรียบปานพุ่มพวงดังดวงจันทร์ | ||
| เหมือนดวงเดือนแจ่มจรัสรัศมี | เจริญสุขโสภีดังนางสวรรค์ | ||
| แม้นสวาทแล้วไม่คลาดเคลื่อนคลายวัน | ไม่แรมขวัญเนตรนุชนสุดชีวา ฯ | ||
| ๏ นางเบือนปิดปิดปัดพระหัตถ์ป้อง | มิให้กรทั้งสองต้องมังสา | ||
| แล้วเสแสร้งแกล้งกล่าวสุนทรา | จริงหรือดังพจนาไม่แรมจร | ||
| ไม่ร้างจากพรากน้องไปครองคู่ | ไปครองเมืองเรืองอยู่สโมสร | ||
| เหมือนความสัตย์ตรัสกล่าวสุนทรกลอน | สุนทรแกล้งจะมาวอนให้วางใจ | ||
| น้องหวังจิตคิดถึงครั้งโปรดเกศ | มาช่วยกู้นคเรศให้เย็นใส | ||
| น้องเป็นข้าไม่ควรคู่จะชูใจ | จงชื่นจิตอยู่แต่ในอำพันนาง ฯ | ||
| ๏ โอ้ดวงนุชสุดสายสวาทจิต | สวาทเจ้าหรือจะคิดอางขนาง | ||
| สวาทน้องอย่าหมองเลยน้องนาง | สวาทโน้นหรือจะร้างสวาทนุช | ||
| สวาทไหนหรือจะเปรียบสวาทมิ่ง | สวาทแม่นี่แน่ยิ่งเป็นที่สุด | ||
| พี่หวังเสกเป็นเอกอนงค์นุช | อนงค์ไหนมิได้สุดสวาทเรียม | ||
| สวาทรักภคินีเป็นที่ยิ่ง | เป็นยอดรักหนักจริงอย่าอายเหนียม | ||
| หรืออายพักตร์ว่าศักดิ์พี่ไม่เทียม | มานั่งแท่นเถิดเรียมจะกล่อมน้อง | ||
| พระกล่อมนางพลางลอดเข้ากอดเคล้า | พระสอดหัตถ์สัมผัสเต้าประสมสอง | ||
| ประทับทรวงชมดวงมณฑาทอง | มณฑาทิพที่พี่ปองสวาทนาง | ||
| ถนอมมิตรจุมพิตสวาทชื่น | สวาทสมภิรมย์รื่นเกษมศานต์ | ||
| เกษมสุขอัศจรรย์ก็บันดาล | เสียงสะท้านอสนีคะนองครวญ | ||
| น้ำค้างหยัดหยดย้อยประปรอยปริบ | อาบละอองต้องทิพปทุมสงวน | ||
| หอมระรื่นชื่นชูเรณูนวล | ก็ชื่นชวนสัมผัสระบัดบาน | ||
| ภุมเรศร่อนเคล้าเสาวรส | เกสรสดสุดถนอมก็หอมหวาน | ||
| เกษมสุขสองกษัตริย์สัมผัสพาน | ฤดีดาลแดดิ้นในวิญญาณ์ | ||
| ต่างละโมบโลภลืมละลานจิต | รักสนิทหลงเล่ห์เสน่หา | ||
| อยู่เหนือแท่นบรรทมภิรมยา | ทั้งสองรารื่นรสด้วยชมกัน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรเบิกบานสำราญรื่น | ฤทัยชื่นเชยสองประคองขวัญ | ||
| ด้วยสองนางขนิษฐาวิลาวัณย์ | ทั้งสาวสรรค์กัลยาในธานี | ||
| ครั้นสายแสงสุริยาในอากาศ | ตรัสประภาษชวนสองมเหสี | ||
| จะนำน้องสองชนกชนนี | ชมบุรีเวียงวังอลังการ์ | ||
| แล้วเยื้องย่างจากปรางค์ปราสาทสูง | พร้อมด้วยฝูงนักสนมขนานหน้า | ||
| เชิญบรมพรหมทัตกับมารดา | พระวงศาพร้อมเพรียงอยู่เรียงราย | ||
| เที่ยวชมปรางค์เปรียบอย่างปราสาททิพ | ลอยละลิบแลล้วนวิีเชียรฉาย | ||
| ยอดระยับวับวามอร่ามพราย | ล้วนเรียงรายรูปเทพประนมใน | ||
| ครุฑขยับจับพระยาภุชงค์รัด | กอดกระหวัดฉวยกระชากจับนาคได้ | ||
| กระหนกกระหนาบกาบแก้วอยู่แววไว | แลวิไลล้ำงามอร่ามเรือง | ||
| ชมกำแพงแสงเพชรทั้งเจ็ดด้าน | ดูทวารแก้วเก้าที่ขาวเหลือง | ||
| เที่ยวชมเพลินเดินพลางมากลางเมือง | ดูรุ่งเรืองดังสมบัติท้าวหัสนัยน์ | ||
| หน้าพระลานลาดแล้วล้วนแก้วเลื่อม | แลกระเพื่อมเหมือนดังวารีใส | ||
| บรรดาฝูงสาวสรรค์กำนัลใน | ต่างดีใจหมายจะเล่นให้เย็นกาย | ||
| บ้างก็โผนโจนตามกันหวบหาบ | เสียงฮวบฮาบล้มคว่ำคะมำหงาย | ||
| บ้างขาฟกอกช้ำซ้ำตะกาย | ลุกขยายนิ่วหน้าระอาใจ | ||
| จะชมรอบขอบเมืองเห็นนานนัก | ขอยกยักตัดความแต่ตามได้ | ||
| ครั้นจบรอบขอบเขตนิเวศน์ใน | กลับมาไพชยนต์รัตน์ชัชวาล | ||
| พรั่งพร้อมพระวงศาบรรดากษัตริย์ | พรหมทัตลาบุตรพระสุริย์ฉาน | ||
| แล้วสั่งสอนพังงายุพาพาล | อยู่สำราญเถิดพ่อจะขอลา | ||
| ต่างอวยชัยให้พรสั่งสอนเสร็จ | พระเสด็จมาด้วยพระวงศา | ||
| ขึ้นทรงรถเลิกทศโยธา | มาพาราครู่หนึ่งก็ถึงพลัน | ||
| ครั้นเหลียวกลับลับเหมือนไม่แลเห็น | ก็โล่งเป็นที่ป่าพนาสัณฑ์ | ||
| กำหนดทางมรคาสิบห้าวัน | เหมือนสุริยันสาปเมืองในเรื่องมี ฯ | ||
ตอนที่ ๑๑ นางอำพันมาลาให้เถรกระอำทำเสน่ห์
| ๏ พระโคบุตรสุริยงยอดสงสาร | ครองปราการบรรพตบุรีศรี | ||
| พระนามเลื่องเมืองขึ้นหมื่นบุรี | ดุดสดีน้อมกายถวายกร | ||
| บ้างก็แต่งธิดามาประณต | ก็ปรากฏตรีภพสยบสยอน | ||
| พระครอบครองนคราสถาวร | ด้วยบังอรอัคเรศทั้งสองนาง | ||
| โฉมมณีสาครบวรลักษณ์ | พระทรงศักดิ์รักใคร่ไม่อางขนาง | ||
| อำพันนั้นก็รักเป็นปานกลาง | ทั้งสองนางก็เป็นที่ราคีกัน | ||
| นางอำพันทรงครรภ์อยู่อ่อนอ่อน | พระภูธรละเมินอยู่เหินหัน | ||
| เฝ้าเคล้าคลึงฝ่ายขวาไม่ราวัน | โฉมอำพันคิดแค้นแสนระกำ | ||
| ด้วยไกลวงศ์พงศาคณาญาติ | โอ้อนาถหนอใครจะอุปถัมภ์ | ||
| ไม่มีชื่นกลืนเข้าไม่เต็มคำ | นางปั่นป่วนครวญคร่ำระกำนาน | ||
| ธรรมดานารีสามีร้าง | เพราะจืดจางความรักสมัครสมาน | ||
| จะหาผู้รู้เวทวิเศษฌาน | มาแก้การพิสมัยมิให้วาง | ||
| จึ่งเรียกนางสาวใช้ที่ไว้จิต | มานั่งชิดปราศรัยมิให้หมาง | ||
| นี่แน่เจ้าเรารักกันนะนาง | ข้าอ้างว้างสุริย์วงศ์มาองค์เดียว | ||
| เป็นวาสนาคราวชะตานี้ตกอับ | แสนอาภัพภูวไนยเธอไม่เหลียว | ||
| ช่างต่ำต้อยน้อยหน้าไปตาเดียว | จริงจริงเจียวนี่แน่เจ้าจึ่งเล่ากัน | ||
| เหมือนตัวข้าหน้าที่จะเป็นใหญ่ | เธอกลับให้น้อยหน้าเพียงอาสัญ | ||
| แม้นไม่คิดถึงองค์ว่าทรงครรภ์ | ไม่ขออยู่สู้กลั้นน้ำใจตาย | ||
| ใครช่วยชูกู้หน้าเหมือนข้าคิด | ถึงดวงจิตก็จะให้เหมือนใจหมาย | ||
| ทั้งเงินทองของมีมิเสียดาย | พอแก้อายให้เหมือนว่าไม่อาลัย ฯ | ||
| ๏ นางทาสีฟังสารให้หวานฉ่ำ | สงสารคำกัลยาน้ำตาไหล | ||
| จึ่งนบนอบตอบสนองให้ต้องใจ | กลัวอะไรที่ตรงนั้นแม่ขวัญตา | ||
| จะช่วยแม่แก้ไขให้เหมือนจิต | ให้ทรงฤทธิ์หลงรักแม่หนักหนา | ||
| ข้ารู้จักคนดีมีวิชา | แต่ครั้งข้าไม่มาเป็นชาววัง | ||
| เถรกระอำความรู้แกหลายเล่ห์ | ทำเสน่ห์เล่ห์ลมอาคมขลัง | ||
| พระโคบุตรสุริย์วงศ์ดำรงวัง | คงจะคลั่งเห็นไม่คลาดสวาทชม | ||
| จะจัดของไปถวายภิปรายกล่าว | ที่แม่เจ้าคิดไว้ให้ได้สม | ||
| มิให้อายอัปราอย่าปรารมภ์ | จงจัดที่ไว้บรรทมให้สำราญ | ||
| ยุพาพินยินคำสาวใช้รับ | สั่งกำชับอย่าให้แซ่กระแสสาร | ||
| แล้วนางถอดธำมรงค์ของนงคราญ | ยื่นประทานสาวใช้เป็นไมตรี | ||
| ถ้าสมหมายแล้วไม่วายสวาทเจ้า | จนสองเรามอดม้วยไปเมืองผี | ||
| ทั้งสองสนทนาในราตรี | จนรังสีรุ่งสร่างสว่างวัน | ||
| นางสาวใช้คลาไคลออกจากห้อง | มาจัดของเป็ดไข่แล้วใส่ขัน | ||
| นุ่งสุหรัดซัดเพลาะดูเหมาะครัน | กระแจะจันทน์น้ำอบตลบทา | ||
| กระเดียดขันผันผายขยายย่าง | ออกระหว่างข้างทวารด้วยหรรษา | ||
| ถึงกุฎีเถรเฒ่าเจ้าตำรา | ก็สอดตาหมอบเมียงเพียงบันได | ||
| เถรกระอำถามว่าสีกาแม่ | เจ้ามาแต่แห่งหนตำบลไหน | ||
| เชิญสีกามานั่งที่ข้างใน | นางสาวใช้วางขันแล้ววันทา | ||
| จึ่งจัดของออกวางพลางถวาย | ทั้งเป็ดไก่หมูมัจฉมังสา | ||
| ตาเถรถามตามธรรมดามา | เออสีกาชอบใจใครจะปาน | ||
| จะตรวจน้ำรำลึกไปถึงญาติ | หรือหมายมาตรเป็นไฉนจงไขสาร | ||
| นางชาววังวันทาพระอาจารย์ | เหมือนลูกหลานแล้วจะเล่ากับเจ้าคุณ | ||
| องค์อำพันมาลาให้มาถวาย | ไม่สบายในพระทัยให้ว้าวุ่น | ||
| ด้วยโกรธขึ้งหึงกันตามมีบุญ | เฝ้าเคืองขุ่นขัดข้องกันสองนาง | ||
| พระสามีที่จะรักข้างฝ่ายขวา | ไม่นำพาท้าวน้องให้หมองหมาง | ||
| มากราบเท้าเจ้าประคุณการุญนาง | ประสิทธิ์แท้แล้วจะสร้างกุฎีทอง | ||
| ทั้งรอดเสาจะเอาจันทน์เข้าสรรใส่ | ให้กว้างใหญ่โตยาวสักเก้าห้อง | ||
| มุงกระเบื้องเครื่องใช้ผ้าไตรครอง | ได้ข้าวของสารพัดไม่ขัดเคือง | ||
| เถรกระอำรู้แน่แต่แรกนั่ง | อันชาววังแล้วไม่แกล้งมีแดงเหลือง | ||
| เป็นไรมีทีู่ธุระของนางเมือง | ถึงแค้นเคืองแก้ไขมิให้ชัง | ||
| จะเป็นที่อุปถัมภ์เหมือนคำว่า | กลัวคำหน้าจะไม่เหมือนกับคำหลัง | ||
| ข้ารักคบอยู่ดอกเจ้านางชาววัง | แม้นสัจจังแล้วจะทำให้ล้ำลึก | ||
| อันกุฎีวิหารในการพระ | มิใช่จะอยู่เป็นสงฆ์คงจะสึก | ||
| แต่น้ำอบยาดมให้สมนึก | กับเมื่อสึกแล้วอย่าเมินสะเทิ้นกัน | ||
| จะสงเคราะห์เพราะเห็นกับหน้าน้อง | ซึ่งเงินทองก็ไม่รักดอกใจฉัน | ||
| แต่มิตรจิตมิตรใจอาลัยกัน | ธุระนั้นรับได้มิให้นาน ฯ | ||
| ๏ นางสาวใช้ว่าไฮ้ฉันกลัวบาป | ชราภาพแล้วยังหลงในสงสาร | ||
| จงผูกพันหันหน้าหานิพพาน | อย่าคิดการโลโภในโลกีย์ ฯ | ||
| ๏ อนิจจังอนิจจาสีกาน้อง | พี่คิดครองโลกนิยมชมพูสี | ||
| พระนิพพานค่อยไปเป็นไรมี | แม้นถึงที่ใครจะหาญมาทานทัด | ||
| แม้นได้เจ้าเนื้อเย็นเป็นประธาน | ถึงจะไปนิพพานก็คงขัด | ||
| แม้นได้เจ้าเนื้อเย็นเป็นบรรทัด | เห็นเร็วรัดตรงที่พระนิพพาน ฯ | ||
| ๏ โอ้อะไรเหลวไหลไปเจียวนี่ | เนื้อความมีเขามาหาไม่ว่าขาน | ||
| แม้นโปรดเกศให้เหมือนเจตนาการ | อย่าเนิ่นนานแก้ไขให้ไฉยา | ||
| ให้พระองค์หลงรักนางร้อยชั่ง | ให้ชิงชังโฉมฉายข้างฝ่ายขวา | ||
| จะเป็นโยมปรนนิบัติอยู่อัตรา | จะปรารถนาสารพัดไม่ขัดกัน ฯ | ||
| ๏ ตาเถรว่าช้าหน่อยหนึ่งเถิดเจ้า | แล้วลุกเข้ากุฎีขมีขมัน | ||
| น้ำมันพรายลงละลายน้ำมันจันทน์ | แล้วลงยันต์มหาวราฤทธิ์ | ||
| เสกคาถาอาคมตามสังเกต | เดชะเวทเทพรำจวนปั่นป่วนจิต | ||
| ครั้นเสกเสร็จเจ็ดครั้งกำลังฤทธิ์ | มานั่งชิดยื่นให้สาวใช้พลัน | ||
| จงเอายันต์นี้ไปใส่ไว้ใต้อาสน์ | อย่าประมาทเขาจะจับเอาคับขัน | ||
| สนธยาแล้วให้ทาน้ำมันจันทน์ | ทาแต่วันละครึ่งเล็บแล้วเก็บไว้ | ||
| พอยามสองก็จะย่องเข้าถึงอาสน์ | แสนสวาทโฉมยงแล้วหลงใหล | ||
| ให้แค้นเคียดเกลียดชังเมียหลวงไป | อโณทัยพลบค่ำให้ทำการ | ||
| นางสาวใช้ได้ยันต์น้ำมันหอม | พลางนอบน้อมกราบไหว้ปราศรัยสาร | ||
| เย็นแล้วจำจะลาพระอาจารย์ | ไปแจ้งการทรามวัยที่ในวัง | ||
| ออกจากวัดลัดเดินมาโดยด่วน | เข้าฉนวนวังในเหมือนใจหวัง | ||
| ถึงปรางค์มาศหมอบเมียงเคียงบัลลังก์ | ประณตนั่งทูลความนางทรามวัย | ||
| แล้วถวายกระแจะจันทน์ยันต์เสน่ห์ | อุปเท่ห์บอกแจ้งแถลงไข | ||
| นางฟังสารสาวศรีก็ดีใจ | ดังหนึ่งได้ขึ้นสวรรค์ชั้นวิมาน | ||
| เอายันต์พับไส่ไว้ในใต้อาสน์ | สุดสวาทตั้งจิตแล้วพิษฐาน | ||
| เดชะคุณวิทยาของอาจารย์ | ให้เชี่ยวชาญได้สมอารมณ์คิด | ||
| แล้วพูดจาปราศรัยกับสาวศรี | สำราญรื่นชื่นฤดีที่สนิท | ||
| ทินกรอ่อนแสงลงมือมิด | ขึ้นสถิตคอยถ้าพระสามี ฯ | ||
| ๏ จึ่งเรียกฝูงสาวสรรค์กำนัลนาฏ | เดียรดาษมายังปราสาทศรี | ||
| นางให้ดูดอกจำปาแล้วพาที | เมื่อคืนนี้ยามสองสงัดคน | ||
| พระทรงธรรม์บรรทมบนแท่นรัตน์ | ให้ฮึดฮัดดิ้นโดยอยู่โหยหน | ||
| ให้คลั่งไคล้ใหลหลงเที่ยววงวน | พิไรบ่นพึมพำึถึงอำพัน | ||
| พระไปจากไสยาเวลาดึก | ครั้นตรองตรึกเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| ไม่เคยเห็นพึ่งจะเห็นจำปายันต์ | ฝูงกำนัลรู้บ้างหรืออย่างไร ฯ | ||
| ๏ สนมนางต่างคนฉงนคิด | แต่จนจิตที่จะทูลสนองไข | ||
| พิเคราะห์ความกระแสเห็นแน่ใจ | ด้วยทรามวัยสองนางระคางคอย | ||
| แล้วนึกกลัวว่าตัวเป็นข้าบาท | ไม่บังอาจที่จะพร้องสนองถ้อย | ||
| ผู้ดีว่าขี้ข้าไม่ควรพลอย | แต่พูดคล้อยมิให้เคืองในเรื่องความ | ||
| อันเลขายันต์นี้วิปริต | ผู้ประสิทธิ์ห้าวหาญชาญสนาม | ||
| พระยุพินอย่าได้หมิ่นประมาทความ | พยายามหยุดยั้งระวังภัย ฯ | ||
| ๏ นางฟังคำสาวใช้พระทัยหวาด | เห็นพันพาดเคลือบแฝงแถลงไข | ||
| ยิ่งตรอมจิตคิดถึงพระภูวไนย | จำจะไปเฝ้าดูให้รู้การ | ||
| จึ่งเรียกฝูงสาวสรรค์กำนัลนาฏ | เดียรดาษพรั่งพร้อมล้อมขนาน | ||
| มาถึงปรางค์นางอำพันมิทันนาน | ยุพาพาลเยื้องย่องเข้าห้องใน | ||
| เห็นอำพันมาลากับสามี | สถิตที่แท่นทองอันผ่องใส | ||
| นางประนมบังคมพระภูวไนย | เห็นท้าวไทภัสดาไม่พาที ฯ | ||
| ๏ ปางพระองค์ทรงภุชมงกุฎเกศ | ชำเลืองเนตรเห็นองค์นางโฉมศรี | ||
| ให้เคืองขัดหัทยาเป็นราคี | พระภูมีเมินพักตร์ไม่่ทักทาย | ||
| อำพันน้อยชม้อยชม้ายเนตร | เห็นวิเศษอาคมก็สมหมาย | ||
| จะแกล้งทำกำจัดให้พลัดพราย | นางชม้ายเมินหน้าไม่พาที ฯ | ||
| ๏ แสนสงสารนางมณีศรีสวัสดิ์ | จอมกษัตริย์ภัสดาหันหน้าหนี | ||
| ทั้งอำพันมาลาไม่พาที | ไม่นอบนบเทวีเหมือนก่อนมา | ||
| ให้แค้นคั่งดังแสงอัคคีสุม | ยิ่งกลัดกลุ้มเจ็บจิตขนิษฐา | ||
| สุดจะขืนกลืนกลั้นชลนา | นางโศการ่ำไห้อาลัยลาน | ||
| โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องเอ๋ย | ไม่ควรเลยที่จะร้างห่างสมาน | ||
| หรือน้องนี้มีโทษไม่โปรดปราน | ให้เมียกลับอัประมาณไม่เมตตา ฯ | ||
| ๏ พระฟังครวญหวนตั้งสติได้ | ชลนัยน์พรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | ||
| มาโลมเล้าเอาใจนางไฉยา | อย่าโศกาเลยนะน้องจะหมองนวล | ||
| แล้วเคลิ้มองค์หลงลืมสมรมิตร | ด้วยอาคมข่มจิตดังลมหวน | ||
| เห็นพักตร์นางอำพันให้รัญจวน | ทรงพระสรวลร่าเริงบันเทิงชม ฯ | ||
| ๏ นางอำพันกระสันเกษมชื่น | สำราญรื่นปรีดิ์เปรมเกษมสม | ||
| จึ่งเสแสร้งแกล้งซ้ำด้วยคำคม | พระบรมนรินทร์ปิ่นสุรางค์ | ||
| มาร่วมเรียงเคียงน้องประคองคู่ | เธอไม่รู้จะว่าแกล้งอางขนาง | ||
| เชิญเสด็จภูวไนยกลับไปปรางค์ | ให้พี่นางคลายโศกโศกาลัย ฯ | ||
| ๏ นางมณีได้ฟังให้คั่งแค้น | ยิ่งสุดแสนเคืองขัดให้ตัดษัย | ||
| จึงตอบวาจาพลันด้วยทันใด | ชะอะไรแม่อำพันขยันจริง | ||
| ข้ามันจ้านร่านรักเขารู้จบ | เหมือนดังกบสี่ตีนปีนตลิ่ง | ||
| พระทรงศักดิ์เธอไม่รักอยู่แอบอิง | จึ่งวางวิ่งมาตามพระทรามเชย | ||
| สมคะเนแล้วกระไรไม่ไว้หน้า | สารพัดที่จะว่าเจ้าข้าเอ๋ย | ||
| ไม่คิดถึงความหลังนั้นบ้างเลย | เจ้าไม่เคยแล้วอย่าเจิ้นให้เกินการ ฯ | ||
| ๏ อำพันฟังออกตั้งคารมรับ | เที่ยวบังคับรุกราชอยู่ฉาดฉาน | ||
| ลูกว่าไรกับแม่มาแหพาน | ข้ามันจ้านร่านรักกระนั้นเอง | ||
| สมคะเนเหมือนว่าก็ผาสุก | ไม่สมคะเนแล้วก็ลุกขึ้นเต้นเหยง | ||
| รู้ว่าท่านเจ้าผัวต้องกลัวเกรง | อย่าครืนเครงไปเลยแม่ฉันแพ้แล้ว ฯ | ||
| ๏ ดูแสนงอนย้อนรอยทำลอยหน้า | คารมกล้าท้าเสียงสำเนียงแจ้ว | ||
| เขารู้เช่นเห็นลิ้นอยู่สิ้นแล้ว | แม่ดวงแก้วนพเก้าถึงคราวรวย | ||
| ข้าเจ้าชั่วผัวร้างไว้ห่างเหิน | จึ่งเสาะเดินหาคู่มาชูช่วย | ||
| จึ่งลอยหน้าขึ้นมาท้าคารมรวย | เห็นงงงวยสมนึกฮึกวาจา ฯ | ||
| ๏ นางอำพันหวั่นไหวอกใจเต้น | ด้วยตัวเป็นเหมือนหนึ่งคำเขาร่ำว่า | ||
| เหมือนกับวัวหลังขาดชาติอีกา | ได้เกินหน้าแล้วกล้าไปลองดู | ||
| ต่างคนต่างก็ว่าต่อหน้าผัว | เอาความชั่วมาประจานสะท้านหู | ||
| ตัวใครเล่าสิว่าเที่ยวหาครู | ทำไม่รู้จึงไม่จับเอาฉับพลัน | ||
| ยิ่งนิ่งแล้วก็ยิ่งกำเริบหนัก | อย่าแต่งพักตร์ใส่สร้อยมาเสกสรร | ||
| เหลือจะอดแล้วไม่ลดไม่ละกัน | พระทรงธรรม์ฟังเอาอย่าเข้าใคร ฯ | ||
| ๏ นางมณีฟังสารให้ดาลเดือด | ประหนึ่งเลือดอสุชลจะหล่นไหล | ||
| อย่าพักทำสาระแนแก้ตัวไป | ดอกจำปานี่ของใครนางอำพัน | ||
| ทั้งสามีก็เห็นดีไปด้วยได้ | กำลังแค้นขัดใจว่าถลัน | ||
| ไปหาหมอปลุกเสกทำเลขยันต์ | ให้ทรงธรรม์หลงกลนางคนดี | ||
| เป็นผู้หญิงวิ่งตามพระทรงฤทธิ์ | เขาแจ้งจิตเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| คุณบิดรมารดาเขาปรานี | ถึงไม่ีมีก็มิให้อนาทร | ||
| ยังขึ้นหน้าท้าทายหมายชนะ | ไม่ลดละลิ้นลมดังคมศร | ||
| คงจะทำเสียให้ยับลงกับกร | เมื่อภูธรจะไม่เลี้ยงก็บรรลัย | ||
| ให้เคืองขุ่นหุนหันตันโทโส | กำลังโมโหผุดลุกขึ้นรุกไล่ | ||
| อำพันน้อยถอยแอบพระภูวไนย | ก็หวั่นไหวกึกก้องทั้งห้องปรางค์ | ||
| ต่างคารมคมคำกระหน่ำหนัก | โมโหหักมาแข็งทั้่งสองข้าง | ||
| พระโคบุตรผุดลุกขึ้นยืนกลาง | พิโรธนางกัลยาแล้วว่าพลัน | ||
| ยิ่งใจดีผีเข้าเจียวเจ้าเอ๋ย | กระไรเลยมวยปล้ำทำขยัน | ||
| จำปานี้วิปลาสทั้งเลขยันต์ | ได้สำคัญมาแต่ไหนนางมณี | ||
| แม้นใครเพลี่ยงก็ไม่เลี้ยงไว้เคียงแล้ว | พระขรรค์แก้วจะประหารให้เป็นผี | ||
| จะดูคนเจ้าเล่ห์เสน่ห์ดี | ในวันนี้เห็นกันเป็นมั่นคง ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันพรั่นกายเห็นวายวุ่น | คิดถึงคุณเถรกระอำนำประสงค์ | ||
| นางไม่นิ่งชิงทูลพระโฉมยง | น้องจากวงศ์จำจนมาทนอาย | ||
| ทุกวันนี้เพราะรักสู้ทนเจ็บ | ยังซ้ำเหน็บความใส่ไม่รู้หาย | ||
| นั่นใครเล่าทำเสน่ห์เพทุบาย | นางฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ | ||
| ๏ นางมณีได้ฟังคั่งแค้นจิต | ที่ชอบผิดมิได้รออารมณ์ได้ | ||
| ใครเขาเป็นขี้ข้าหรือว่าไร | จึ่งจะได้ล่วงรู้กับครูมึง | ||
| พระทรงศักดิ์รักกูเขารู้แซ่ | เพราะห่างแหมึงไว้จึ่งได้หึง | ||
| พระคลุ้มคลั่งตั้งหน้ามาหามึง | ต่อรุ่งจึ่งเห็นว่าจำปายันต์ | ||
| ทั้งธานีมีใครมาร่วมผัว | ช่างแก้ตัวลิ้นลมดูคมสัน | ||
| ตัวมึงนั่นแลทำอีอำพัน | อย่าเสกสรรท้าทายให้ตายใจ | ||
| นางอำพันว่ามันทุกคำปาก | มันมากมากมันจะข้นจนเป็นไข | ||
| เมื่อเห็นจริงแล้วนิ่งมันทำไม | มันเป็นไรจึ่งไม่จับเอาตัวมา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุดแค้นกระทืบบาท | ร้องตวาดนางมณีนี้หนักหนา | ||
| เสียแรงถนอมเป็นจอมกัลยา | แต่ต่อหน้าสิยังทำกระนี้เจียว | ||
| เป็นผู้ใหญ่อารมณ์ไม่สมศักดิ์ | ทำหาญหักอุกอาจมากราดเกรี้ยว | ||
| เขาเป็นข้าหรือจะว่าแต่ข้างเดียว | ช่างลดเลี้ยวลงคำเอาอำพัน | ||
| ดอกจำปาว่าทำให้หลงรัก | ครั้นสอบซักก็ไม่จริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| แล้วหยาบช้าไม่ว่าแต่เพียงกัน | สารพันว่าผัุวนี้ลำเอียง | ||
| ถูกเสน่ห์เล่ห์ลมมางมหลง | ห้ามแล้วก็ไม่ลงสงบเสียง | ||
| ดูน้ำใจจะไม่ให้ลงจากเตียง | บุญข้าน้อยแล้วจึ่งเลี้ยงไม่เที่ยงธรรม์ | ||
| พระจับไม้เรียวรี่ไล่ตีหวด | นางเจ็บปวดก็ทรงกันแสงศัลย์ | ||
| เสียงกรีดก้องร้องเถียงพระทรงธรรม์ | ไปฆ่าฟันเสียเถิดองค์พระทรงภุช ฯ | ||
| ๏ ดูดู๋ดื้อถือตัวว่าทำชอบ | ยังโต้ตอบเสียงดังไม่ยั้งหยุด | ||
| พระร่ำรันรอบองค์นางนงนุช | อุตลุดหวั่นไหวทั้งไพชยนต์ | ||
| นางสาวสรรค์กัลยาที่มาด้วย | ครั้นจะช่วยเกรงกษัตริย์ให้ขัดสน | ||
| บ้างวิ่งวางมาถึงปรางค์นฤมล | แจ้งยุบลบอกความกับสาลิกา | ||
| ว่าพระจอมจักรพงศ์ทรงพิโรธ | พระลงโทษแม่มณีเป็นหนักหนา | ||
| สกุณินยินเรื่องก็รีบมา | บินถลาเข้าห้องปราสาทพลัน | ||
| ลงแทรกกลางพลางร้องเจ้าพ่อโปรด | ประทานโทษเจ้าแม่อย่าหุนหัน | ||
| พระเห็นนกยกไม้ยั้งไม่ทัน | ไม้เรียวนั้นถูกปีกเจ้าสาลิกา ฯ | ||
| ๏ สาลิการาปีกแล้วแกล้งร้อง | ปีกขุนทองหักแล้วเจ้าพ่อจ๋า | ||
| พระตกใจลืมโมโหที่โกรธา | ผวาอุ้มสาลิกาไว้ทันที | ||
| กอดประทับรับขวัญขุนทองเอ๋ย | ไม่ควรเลยจะเจ็บเจียวทีเดียวนี่ | ||
| ไม่ทันยั้งกำลังเข้าคลุกคลี | ต้องถูกตีเปล่าเปล่าไม่เข้าทาง | ||
| ถูกที่ไหนเล่าลูกหรือถูกปีก | เนื้อหนังฉีกไปถนัดหรือขัดขวาง | ||
| สาลิกาฟังคำยิ่งทำคราง | ถูกสีข้างริมท้องของลูกยา | ||
| ถึงตีลูกถูกเจ็บสักร้อยแผล | ทั้งพ่อแม่คงจักคิดรักษา | ||
| ลูกสุดแสนสงสารพระมารดา | ทั้งกายาย่อยยับระยำไป | ||
| ถึงผู้คนกล่นเกลื่อนทั้งปรางค์มาศ | ใครจะอาจทูลขอคุณพ่อได้ | ||
| จงเห็นกับเจ้าตาเมื่อลาไป | ความอาลัยฝากฝั่งไว้พรั่งพร้อม | ||
| ทั้งเจ้าพ่อพระองค์น้อยจะสร้อยเศร้า | ขอโทษเจ้าแม่คุณทูลกระหม่อม | ||
| ถึงชอบผิดคิดงดจงอดออม | แล้วนอบน้อมปราศรัยนางไฉยา | ||
| เชิญเสด็จเจ้าแม่นางไปปรางค์รัตน์ | อย่าเคืองขัดลูกขอโทษโปรดปักษา | ||
| นางฟังคำนกขุนทองนองน้ำตา | สาลิกาเจ้าไม่แจ้งแห่งดวงใจ | ||
| อย่าว่าแต่ตีรันจะฟันฟาด | ให้เศียรขาดก็ไม่ว่าอย่าสงสัย | ||
| นางชุบเช็ดชลนาแล้วคลาไคล | เสด็จไปปรางค์ทองของเทวี | ||
| ถึงบัลลัีงก์พร้อมเหล่านางสาวสรรค์ | เข้านวดฟั้นเล้าโลมนางโฉมศรี | ||
| บ้างฝนยาทาทั่วทั้งอินทรีย์ | นางโศกีคั่งแค้นแน่นพระทัย ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุดรักเจ้าปักษา | เฝ้าถามว่าพ่อยังเจ็บอยู่ตรงไหน | ||
| จะทายาเสียให้หายสบายใจ | พระลูบไล้ไปทั่วทั้งอินทรีย์ | ||
| สาลิกาว่าเมื่อยังกริ้วนัก | กระดูกหักแทบจะพับลงกับที่ | ||
| เมื่อเหือดหายวายกริ้วไม่โบยตี | กระดูกดีเสียแล้วอย่าดูเลย ฯ | ||
| ๏ พระโฉมยงทรงพระสรวลสำรวลร่า | ช่างมารยาเหลือทำนองขุนทองเอ๋ย | ||
| ให้ตกเนื้อตกใจกระไรเลย | แล้วชมเชยจูบกอดเจ้าสาลิกา | ||
| ทั้งโฉมยงนงนุชอำพันนั้น | เกษมสันต์สุดรักเจ้าปักษา | ||
| แสนสบายสายแสงพระสุริยา | ขุนทองลากลับหลังมายังปรางค์ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรกับนางอำพันนาฏ | สมสวาทเชยชิดไม่คิดหมาง | ||
| ด้วยอาคมให้นิยมเสน่ห์นาง | ไม่จืดจางคลาดคลาสักนาที | ||
| ถึงเวลาออกหน้าพระโรงรัตน์ | ซังตายตรัสราชการบุรีศรี | ||
| ให้ป่วนปั่นพันผูกถึงเทวี | เข้าสู่ที่แล้วค่อยคลายสบายองค์ | ||
| ลืมสนมหลงชมแต่นางนาฏ | ลืมประพาสลืมเสวยเลยลืมสรง | ||
| พระพักตร์คร่ำดำซูบผิดรูปทรง | เพราะทะนงหมายหมิ่นประมาทการ ฯ | ||
| ๏ นางอำพันหรรษากับทาสี | กับข้าวมีมิให้เศร้าทั้งคาวหวาน | ||
| ถวายเถรเพลเช้าทุกวันวาร | เถรทำการเติมซ้ำกระหน่ำไป | ||
| ที่คนลอดสอดแนมไม่รู้เท่า | แต่เป็นเงาในกระจกไม่จับได้ | ||
| ซุบซิบกันเล่าเรื่องออกเนื่องไป | จนแจ้งถึงอรไทนางมณี | ||
| ว่าอำพันนั้นคบกับเถรเฒ่า | กระแสเล่านั้นว่าใช้ทาสี | ||
| จะจับกุมไม่ถนัดเป็นสตรี | นางเทวีคิดหมายไม่วายวัน | ||
| จำจะอ้อนวอนวานเจ้าปักษา | ให้สาลิกาลอบไปไอศวรรย์ | ||
| บอกอรุณน้องยาให้มาพลัน | จะจับมันให้ประจักษ์กับตาคน ฯ | ||
| ๏ เมื่อวันนั้นนกสาลิกาน้อย | ออกบินลอยเที่ยวเล่นในเวหน | ||
| รำลึกถึงนางมณีนฤมล | ด้วยทุกข์ทนสร้อยเศร้าเปล่าอุรา | ||
| จะไปเฝ้าโฉมฉายให้คลายร้อน | แล้วลอยร่อนลงปรางค์ขนิษฐา | ||
| จับพระแกลแลเห็นนางไฉยา | เจ้าแม่จ๋าบรรทมเล่นหรือหลับแล้ว | ||
| นางดีใจปราศรัยกับปักษี | เข้ามานี่เจ้าสาลิกาแก้ว | ||
| แต่วันนั้นจนวันนี้ไม่มีแวว | นางกอดแก้วสาลิกาไว้กับทรวง | ||
| ชลนัยน์ไหลโซมประโลมปลอบ | แม่คิดขอบคุณเจ้าเท่าเขาหลวง | ||
| พ่อมาเยือนเหมือนได้จินดาดวง | เดี๋ยวนี้ทรวงแม่ช้ำระกำตรม | ||
| พระภูมีตีแม่ถึงสาหัส | สารพัดไม่มีผิดเท่าเส้นผม | ||
| แม่อายชาวธานีบุรีรมย์ | จะต้องก้มหน้าม้วยบรรลัยไป | ||
| แต่คอยท่าหาเจ้าทุกเช้าค่ำ | เป็นความขำลูกรักช่วยแก้ไข | ||
| จะเขียนสารวานสาลิกาไป | ช่วยส่งให้พ่ออรุณถึงพารา | ||
| จงช่วยแม่อย่าให้แซ่ถึงสองหู | ทั้งเจ้าพ่ออย่าให้รู้นะปักษา | ||
| หนทางไปหลายคืนจะกลับมา | ปดบิดาว่าไปชมพนมไพร | ||
| ขุนทองฟังพลางตอบนางโฉมศรี | เป็นไรมีจะช่วยแม่คิดแก้ไข | ||
| ที่แถวทางกลางป่าพนาลัย | สัจจังใจลูกก็นึกอยู่นานมา | ||
| คิดจะลาองค์นรินทร์ผู้ปิ่นเกล้า | ไปเยี่ยมเจ้าพ่ออรุณของปักษา | ||
| เดี๋ยวนี้พระทรงศักดิ์ไม่พักลา | ไม่เห็นมาปรางค์มาศปราสาททอง | ||
| นางฟังสารนกสาลิกาแก้ว | ให้ผ่องแผ้วยินดีไม่มีสอง | ||
| จงเห็นกับพ่ออรุณเถิดขุนทอง | นางจำลองสารลงแล้วทรงพลัน | ||
| ครั้นเสร็จสรรพพับผูกกับคอนก | ฝนจะตกไม่ต้องในไพรสัณฑ์ | ||
| พ่อระวังเหยี่ยวกาในป่าวัน | ให้จอมขวัญไปดีอย่ามีภัย ฯ | ||
ตอนที่ ๑๒ พระอรุณมาเมืองปราการบรรพต จับเสน่ห์เถรกระอำ
| ๏ นกขุนทองป้องปีกคำรบรับ | บินขยับจับช่องพระแกลใหญ่ | ||
| พอลับเนตรสาวสรรค์กำนัลใน | ก็บินไปโดยลำพังกำลังแรง | ||
| ออกลอยลมชมดงอยู่ร่มรื่น | ในภาคพื้นแดดอับพยับแสง | ||
| หมายเมืองพาราณสีไม่มีแคลง | กำลังแรงร่อนไปในไพรวัน ฯ | ||
| ๏ พระสุริยงลงลับเหลี่ยมสิงขร | พระจันทรเทวบุตรก็ผุดผัน | ||
| ขึ้นลอยรถหมดเมฆวิเวกครัน | สว่างวันหิมวาพนาลัย | ||
| สงัดเสียงสิงสัตว์กำดัดดึก | ขุนทองนึกเอกาลงอาศัย | ||
| นอนสุมทุมพุ่มพงพนมไพร | ครั้นรุ่งจรรีบไปในเมฆา | ||
| ครั้นแดดร้อนผ่อนพักหาอาหาร | อิ่มสำราญบินรีบถีบถลา | ||
| ประมาณทางค้างคืนสองทิวา | ถึงพาราณสีบุรีพลัน | ||
| ลงจับแกลแลเห็นอรุณน้อย | กระโดดลอยลงที่ตักเกษมสันต์ | ||
| สำรวลป้องปีกประนมบังคมคัล | นกว่าฉันรำลึกถึงเป็นพ้นใจ ฯ | ||
| ๏ เจ้าอรุณฟังพลอดแล้วกอดจูบ | ประโลมลูบสาลิกาแล้วปราศรัย | ||
| เห็นสารสวมคอนกพระตกใจ | หนังสืออะไรเจ้าสาลิกาทอง ฯ | ||
| ๏ สาลิกาว่าสารของเจ้าแม่ | ในกระแสเศร้าใจอาลัยหมอง | ||
| สั่งให้ลูกรีบมาหาพระน้อง | แต่ความอื่นขุนทองไม่แจ้งการ ฯ | ||
| ๏ ป่างอรุณสุริย์วงศ์ทรงสดับ | พระหัตถ์จับคลี่กระดาษราชสาร | ||
| เป็นความขำล้ำรสในพจมาน | ให้นิ่งอ่านนะพระน้องของสำคัญ | ||
| ในสารศรีว่าพี่นางไม่สร่างโศก | แสนวิโยคเพียงชีวาจะอาสัญ | ||
| ด้วยพระองค์หลงรักนางอำพัน | เธอมาดมั่นโมโหพาโลตี | ||
| นางอำพันฝ่ายน้อยพลอยสำทับ | พี่อายกับหญิงชายชาวกรุงศรี | ||
| เพราะเถรเฒ่าเจ้าเล่ห์เสน่ห์ดี | มันทำให้ภูมีนั้นคลั่งไป | ||
| พี่สืบดูรู้แจ้งไม่แคลงจิต | ไม่มีใครจะคิดช่วยแก้ไข | ||
| อนุชาเร่งร้อนอย่านอนใจ | ก็สิ้นในสารศรีที่มีมา ฯ | ||
| ๏ พระอรุณรู้แจ้งแกล้งทำเฉย | ตรัสภิเปรยกับด้วยเจ้าปักษา | ||
| สั่งขุนทองให้อยู่ห้องที่ไสยา | จะไปเฝ้าพระบิดาในราตรี | ||
| ครั้นถึงจึ่งบังคมอยู่เคียงอาสน์ | ถวายราชสารทองของโฉมศรี | ||
| พระพี่กับเชษฐาเป็นราคี | ให้ลูกรีบจรลีไปพารา ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตฟังอรรถโอรสราช | พระหวั่นหวาดวาบจิตคิดกังขา | ||
| แล้วคลี่สารอ่านแจ้งในกิจจา | พระตรึกตราพลางตรัสกับโอรส | ||
| เจ้าพ่อเอ๋ยใครเลยในแหล่งหล้า | ใครจะว่าตัวชั่วไม่มีหมด | ||
| พระโคบุตรสุริย์วงศ์ผู้ทรงยศ | ก็ปรากฏเลิศลบในภพไตร | ||
| นางมณีพี่เจ้าก็อภิเษก | ให้เป็นเอกอัคเรศเธอรักใคร่ | ||
| ถ้าแม้นดีจะไม่คิดก็ผิดไป | เป็นจนใจที่จะแจ้งแห่งความจริง | ||
| ในเรื่องราวแต่บูราณว่าการหึง | หน่อยตามตรึงตรอมใจฤทัยหญิง | ||
| จะยุ่งหยาบจาบจ้วงด้วยช่วงชิง | จะดีจริงหรือจะมีราคีมา | ||
| จริงดังคำเขาว่าทำเสน่ห์แท้ | ก็เห็นแน่จะชังนางเหมือนอย่างว่า | ||
| เจ้าเป็นน้องร่วมท้องทั้งสองรา | พระผ่านฟ้าเธอจะหมางระคางแคลง | ||
| เจ้าจะไปพ่อนี้ให้ระแวงผิด | ครั้นว่าคิดลึกนักจะมักแหนง | ||
| กำลังวุ่นถ้าหุนระแวงแคลง | จะเกิดแหนงหน่ายรักกันหนักไป ฯ | ||
| ๏ อรุณฟังบังคมพระบิตุเรศ | ซึ่งโปรดเกศตรัสความตามวิสัย | ||
| แต่ลูกนี้จิตนึกคิดตรึกไป | ถ้าเหมือนในสารศรีของพี่ยา | ||
| ถูกเสน่ห์เล่ห์ลมให้หลงรัก | จะเสียศักดิ์เสื่อมเดชพระเชษฐา | ||
| ไปเห็นแน่จะได้แก้พระจักรา | ให้มนตราคลายองค์พระทรงฤทธิ์ | ||
| ทั้งพี่นางอยู่ระหว่างในเวรโทษ | แม้นทราบโสตเที่ยงแท้แน่ว่าผิด | ||
| ทูลให้ล้างเสียให้ตายวายชีวิต | จะปกปิดคลุมงำไว้ทำไม | ||
| ถึงพี่นางจะระคางพระทรงฤทธิ์ | ก็รักสนิทเหมือนพี่น้องร่วมท้องไส้ | ||
| เกิดยุ่งยิ่งกันอย่างนี้ถ้ามิไป | ดูเหมือนใจไม่รักพระจักรา ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตฟังอรรถพระโอรส | เห็นหมดจดสมความตามปรึกษา | ||
| คิดชอบชั้นเชิงดีอันปรีชา | ตามปัญญาดวงจิตจงคิดความ | ||
| อรุณรับกราบลามาสู่อาสน์ | ไม่ไสยาสน์ตรึกความจนยามสาม | ||
| ซึ่งบิตุรงค์ว่าพระองค์จะแคลงความ | จะผ่อนตามมิให้มีราคีพาน | ||
| จะชวนสี่อสุรารักษาสระ | ไปเฝ้าพระภูวนาถถึงราชฐาน | ||
| แม้นเธอหมางจะได้อ้างเป็นพยาน | ดำริการเสร็จสรรพก็กลับพลัน | ||
| ครั้นรุ่งแสงแจ้งจบพิภพพื้น | พระพลิกฟื้นปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
| ชำระองค์สรงสนานสำราญครัน | กระแจะจันทน์รื่นรสสุคนธา | ||
| พระทรงเครื่องเรืองงามอร่ามฉาย | ดูแพรวพรายจำรัสพระเวหา | ||
| พระกุมแก้วแล้วชวนสาลิกา | ไปทูลลาบิตุเรศพระชนนี ฯ | ||
| ๏ สองพระองค์ทรงสอนอวยพรสวัสดิ์ | จงกำจัดโพยภัยในวิีถี | ||
| พระรับพรอภิวันท์อัญชลี | แล้วจรลีอุ้มสาลิกามา | ||
| เหาะทะยานผ่านรีบดั้นกลีบเมฆ | ดูวิเวกมาในห้องพระเวหา | ||
| ลอยละลิ่วปลิวไปในเมฆา | พระพายพาพัดส่งให้ตรงไป | ||
| รอนรอนอ่อนแสงนรังสี | มาถึงที่ยักษาอยู่อาศัย | ||
| พระเหาะตรงลงริมคงคาลัย | พระหน่อไทร้องเรียกอสุรี | ||
| สุรเสียงก้องกังวานสะท้านลั่น | สี่กุมภัณฑ์อยู่ไหมในสระศรี | ||
| ฝ่ายว่าสี่อสุราในวารี | เสียงใครนี่เรียกเราในสาคร | ||
| สี่กุมภัณฑ์หันคว้าตะบองเพชร | ต่างระเห็จผุดขึ้นดูอยู่สลอน | ||
| เห็นพระอนุชาสถาพร | สโมสรยินดีทั้งสี่คน | ||
| ขึ้นบนฝั่งนั่งใกล้ปราศรัยถาม | พ่อโฉมงามมาไยในไพรสณฑ์ | ||
| ทูลกระหม่อมจอมภพจบสากล | เสด็จด้นแดนใดจึงไม่มา ฯ | ||
| ๏ อรุณฟังแจ้งเรื่องแต่เบื้องก่อน | เมื่อพระจรไปจากท้าวยักษา | ||
| ไปได้นางกลับมาสร้างพระพารา | ภิเษกสองกัลยาเป็นคู่ครอง | ||
| อันนามเมืองของพระองค์ผู้ทรงยศ | ชื่อปราการบรรพตไม่มีสอง | ||
| บัดนี้ข่าวว่าท้าวไม่ปรองดอง | ใช้ขุนทองนั้นใ้ห้ถือหนังสือมา | ||
| เป็นความลับขับขันกระชั้นชิด | เราตั้งจิตจะไปเฝ้าพระเชษฐา | ||
| รำลึกถึงสี่นายเราหมายมา | หวังจะชวนอสุราไปด้วยกัน ฯ | ||
| ๏ ทั้งสี่มารทูลตอบว่าขอบจิต | ข้าก็คิดมุ่งหมายจะผายผัน | ||
| มานึกน้อยใจตัวเหมือนชั่วครัน | พระทรงธรรม์กลับมาก็ช้านาน | ||
| ไม่รู้เลยจริงจริงเป็นความสัตย์ | ด้วยสงัดอยู่ในกระแสสาร | ||
| จะไปเฝ้าเจ้าฟ้าเมืองปราการ | แล้วขุนมารเก็บของในคงคา | ||
| เที่ยวเลือกหักฝักบัวเท่ากงเกวียน | กระจับสดเท่าเศียรมหิงสา | ||
| ทั้งสี่ตนเก็บคนละแบกมา | อรุณพาชวนเหาะขึ้นเมฆี | ||
| หมายปราการบรรพตกำหนดเนตร | ข้ามประเทศป่าไม้คิรีศรี | ||
| อสุราอรุณสกุณี | จรลีลอยฟ้ามาไรไร | ||
| ครั้นอัสดงลงลับพระเวหน | นภาดลมัวหมองไม่ผ่องใส | ||
| ลมก็พัดริ้วริ้วตามทิวไม้ | ก็แกว่งไกวกระโชกลั่นอยู่ครั่นครื้น | ||
| วิเวกแว่วแจ้วเสียงชะนีน้อย | โหยละห้อยร่ายไม้ไห้สะอื้น | ||
| เสือคะนองมองเนื้อขยับยืน | นภาพื้นสว่างแสงพระจันทร | ||
| อรุณน้อยลอยแลดูเดือนหงาย | ดารารายรอบแขแลสลอน | ||
| ดูวาวแววสีสว่างกลางดงดอน | จับสิงขรแสงขาวดูวาววง | ||
| จะใกล้รุ่งฟุ้งกลิ่นบุปผาเผย | หอมระเหยอบไปในไพรระหง | ||
| กระเหว่าร้องก้องเสียงในพุ่มพง | ทั้งไก่ดงขันดังก้องกังวาน | ||
| พระสุริย์ศรีส่องสว่างกระจ่างหมด | ถึงปราการบรรพตเกษมศานต์ | ||
| อรุณเหาะนำหน้าพญามาร | ลงพระลานหน้าท้องพระโรงชัย | ||
| สาลิกาลาพ่อเจ้าเข้าวังหลวง | ทุกกระทรวงเสนามาไสว | ||
| แลเห็นสี่กุมภัณฑ์หวั่นฤทัย | แต่อุ่นใจด้วยพระอนุชา | ||
| บ้างดูฝักบุษบงเท่ากงเกวียน | กระจับโตเท่าเศียรมหิงสา | ||
| ทั้งเวียงวังสังเสริญพระเดชา | จนเวลาแสงสายขึ้นพรายพรรณ | ||
| พระโคบุตรสุริย์วงศ์ก็ทรงเครื่อง | อร่ามเรืองพร้อมเหล่าพวกสาวสรรค์ | ||
| ยุรยาตรจากปราสาทนางอำพัน | จรจรัลออกพระโรงพรรณราย | ||
| พร้อมตำแหน่งเสนาพฤฒามาตย์ | เดียรดาษดุสดีพระโฉมฉาย | ||
| อสุรากับอรุณก็น้อมกาย | ต่างถวายอภิวันท์เป็นหลั่นมา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | โองการตรัสเรียกอรุณเสน่หา | ||
| ที่พระน้องมิได้ต้องพระมนตรา | พระเรียกหานั่งแท่นอันเดียวกัน | ||
| ราพณ์รายต่างถวายกระจับสด | ทั้งฝักสัตบงกชอันเฉิดฉัน | ||
| พระเบือนพักตร์ปราศรัยสี่กุมภัณฑ์ | เราจากกันจะประมาณก็นานมา | ||
| อันเวียงชัยไกลกันถึงกลางเถื่อน | มาเยี่ยมเยือนขอบใจแลัวยักษา | ||
| ทั้งสี่นายยังสบายในกายา | หรือโรคาแผ้วพานประการใด ฯ | ||
| ๏ อสุรินทร์ยินดีแล้วก้มกราบ | ศิโรราบกราบทูลสนองไข | ||
| ในแดนดงพงพีไม่มีภัย | สำราญใจอยู่ในที่นทีธาร | ||
| รำลึกถึงบาทบงสุ์ผู้ทรงเดช | ไม่แจ้งเหตุว่าเสด็จมาราชฐาน | ||
| พระอนุชาไปบอกจึ่งแจ้งการ | แสนสำราญรีบมาชมบังคมคัล ฯ | ||
| ๏ พระตรัสตอบขอบใจในขุนยักษ์ | แล้วผันพักตร์สั่งเหล่านางสาวสรรค์ | ||
| ให้แต่งเครื่องพร้อมเพรียงเลี้ยงกุมภัณฑ์ | แล้วทรงธรรม์ชวนเชิญพระอนุชา | ||
| เข้าสู่วังพรั่งพร้อมสนมนาฏ | ขึ้นปราสาทนางอำพันด้วยหรรษา | ||
| นางโฉมยงเห็นองค์อรุณมา | ตกประหม่าแข็งขึงตะลึงไป | ||
| ด้วยตัวร้ายหมายว่าอรุณรู้ | จะจับกุมท่านครูเป็นไฉน | ||
| ซังตายทักถามว่ามาเมื่อไร | พระหน่อไทอภิวันท์จำนรรจา | ||
| น้องนึกถึงซึ่งองค์พระพี่เจ้า | จึ่งมาเฝ้าทรงเดชพระเชษฐา | ||
| พระโคบุตรชื่นชมภิรมยา | เข้าแนบองค์อนุชาแล้วเล่าความ | ||
| นางมณีพี่ถนอมให้เป็นใหญ่ | ไม่รู้ไว้ตัวเลยทำหยาบหยาม | ||
| วันหนึ่งพี่มาหาพะงางาม | มาติดตามหวงหึงให้อึุงอาย | ||
| จนพี่ว่าแล้วยังไม่ฟังห้าม | จะขืนตามเข้าไปตีนางโฉมฉาย | ||
| แล้วว่าพี่นี้ดูใช่ผู้ชาย | มางมงายลุ่มหลงงวยงงไป | ||
| ถูกเสน่ห์เล่ห์ลมลำเลิกแซ่ | ครั้นสอบซักจะเอาแน่ก็ไม่ได้ | ||
| มิทำบ้างก็จะตั้งแต่กวนใจ | พี่จับได้ไม้เรียวรี่ไล่ตีรัน | ||
| เขาโกรธามิได้มาให้เห็นพักตร์ | พระน้องรักเจ้าไม่รู้จะโศกศัลย์ | ||
| ด้วยขอบเขตกรุงไกรอยู่ไกลกัน | จึงไม่ทันจะไปทูลพระบิดา ฯ | ||
| ๏ อรุณฟังบังคมบรมนาถ | ถึงชีวาตม์ก็ถวายพระเชษฐา | ||
| อย่าว่าแต่เพียงตีพระพี่ยา | แม้นผิดแล้วถึงจะฆ่าควรบรรลัย | ||
| น้องจะลาไปหาพระพี่นาง | จะระคางเคืองเข็ญเป็นไฉน | ||
| ทูลพลางทางลุกขึ้นคลาไคล | เสด็จไปปรางค์ทองของพี่ยา | ||
| ตรงขึ้นอัฒจันทร์สุวรรณมาศ | กำนัลนาฏแวดล้อมอยู่พร้อมหน้า | ||
| นางโฉมยงทรงเห็นอนุชา | ก็โศกากอดน้องประคองกาย | ||
| สะอึกสะอื้นฝืนคิดถึงความหลัง | ให้แค้นคั่งข้อนทรวงนางโฉมฉาย | ||
| พระชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพรา่ย | บรรยายเล่าความกับอนุชา | ||
| พี่รอใจไว้ถ้าพระน้องแก้ว | เป็นบุญแล้วที่เจ้ารีบมาเห็นหน้า | ||
| พี่ต้องโพยโบยรันเช่นริ้วปลา | ทั้งกายาย่อยยับระยำไป | ||
| อันความเจ็บนั้นก็เบาบรรเทาหาย | แต่ความอายปิ้มว่าเลือดตาไหล | ||
| เรื่องสาราที่ให้สาลิกาไป | พี่จนใจเหมือนอย่างกระจกเงา | ||
| นางอำพันนั้นใช้อีทาสา | รีบไปหาหมอเณรเป็นเถรเฒ่า | ||
| ทำพระองค์หลงรักจนมัวเมา | จะให้เจ้าไปจับอ้ายคนดี ฯ | ||
| ๏ พระอนุชาสุริย์วงศ์ทรงสดับ | เคารพรับทูลสนองนางโฉมศรี | ||
| แม้นจริงเหมือนวาจาดังพาที | เป็นไรมีที่จะจับไม่ยากใจ ฯ | ||
| ๏ นางมณีฟังน้องสนองสาร | พี่แจ้งการมั่นคงไม่สงสัย | ||
| มันแต่งของส่งกันทุกวันไป | จะต้องให้คนดูรู้สำัีคัญ | ||
| แล้วนางสั่งคนนสนิทชิดใช้สอย | ลอบไปคอยดูคนกระเดียดขัน | ||
| ถ้าจับได้เราจะให้รางวัลครัน | นางกำนัลชื่นชมบังคมลา | ||
| ถึงเฉลียงเมียงชม้อยคอยชะแง้ | สองตาแลคอยข้างนางทาสา | ||
| จะกล่าวฝ่ายนางอำพันกัลยา | พระอนุชาลุกไปจากปรางค์ | ||
| ด้วยตัวนั้นเหมือนวัวสันหลังขาด | ให้ขยาดกลัวกานึกอางขนาง | ||
| พยักเรียกสาวใช้ร่วมใจนาง | เข้าในปรางค์บอกความตามกิจจา | ||
| วันนี้น้องฝ่ายขวาเจ้ามาเฝ้า | พระผ่านเกล้าเธอยังรักอยู่หนักหนา | ||
| ไปบอกเถรทำให้ต้องพระน้องยา | ไปพูดจากันเถิดเจ้าเล่าให้ฟัง ฯ | ||
| ๏ นางทาสีอัญชลีทูลเฉลย | อย่ากลัวเลยครูเฒ่าท่านทำขลัง | ||
| แล้วเข้าห้องจัดของละล้าละลัง | กระจกตั้งขี้ผึ้งติดตะบิดตะบอย | ||
| จนขนเม่นเน้นหนังเข้าดังนับ | เลือดซิบซับก็ไม่ว่าอุตส่าห์สอย | ||
| จนปีกแปล้แลเปิดดูเลิศลอย | นุ่งหิ่งห้อยชมต่วนสีนวลเพลาะ | ||
| ยุรยาตรนาดกรดูอ้อนแอ้น | ส่ายซัดแขนกระเดียดขันขยันเหมาะ | ||
| นางกำนัลแลพบประสบเคราะห์ | วิ่งหัวเราะมาทูลนางแจ่มจันทร์ | ||
| บัดนี้อีสาวใช้มันไปวัด | มันเดินดัดจริตกระเดียดขัน | ||
| เจ้าอรุณทรงพระสรวลชวนกำนัล | อภิวันท์พี่นางจากปรางค์ทอง | ||
| แลเห็นกายฝ่ายนางสาวใช้ชี้ | อีห่มสีนวลนั้นถือขันของ | ||
| เจ้าอรุณจำได้ดังใจปอง | ตรงไปท้องพระโรงเรียกขุนมารมา | ||
| เดินพลางทางเล่าเนื้อความลับ | ช่วยกันจับคนกระทำพระเชษฐา | ||
| ท่านจงแปลงเป็นแมงวันให้เร็วรา | สะกดตามอีทาสาคนนั้นไป | ||
| ฟังมันพูดกิตติศัพท์กับเถรเฒ่า | อันตัวเราจะไปก็ไม่ได้ | ||
| พนาสูรฟังสารสำราญใจ | ฤทธิไกรกลับแปลงเป็นแมงวัน | ||
| บินวู่จู่ไปจับที่ปลายผม | อีทาสาเดินงมกระเดียดขัน | ||
| เจ้าอรุณโฉมงามสามกุมภัณฑ์ | ก็พากันตามแลไปแต่ไกล | ||
| นางทาสีถึงกุฎีบันไดเถร | พอจวนเพลลงนั่งพับเพียบไหว้ | ||
| เถรพยักทักถามเนื้อความไป | วันนี้ไซร้ห่มสีนวลมากวนกัน | ||
| ตัวรูปนี้เหมือนมดอดน้ำอ้อย | ต่อดึกหน่อยนอนเพ้อละเมอฝัน | ||
| แต่นอนตรึกเพลงยาวมาเก้าวัน | ยังไม่ทันจะจบเล่าพอเจ้ามา | ||
| นางสาวใช้ทำงอนอ่อนชม้าย | แก่จะตายแล้วไม่หย่อนยังข้อนว่า | ||
| ไม่คิดถึงอนิจจังสังขารา | ยังจะว่าเรื่องราวเพลงยาวเพราะ ฯ | ||
| ๏ เถรกระอำตอบว่าสีกาแม่ | ถึงตัวแก่ใจยังกำลังเหมาะ | ||
| นึกนึกว่าจะสึกออกซัดเพลาะ | กลัวจะเดาะตามติดเสียอีกนาง | ||
| นางสาวใช้ยิ้มละไมอยู่ในหน้า | เถรชราเอาใจมิให้หมาง | ||
| พี่เมตตาว่าหยอกเล่นดอกนาง | นี่ขัดขวางอยู่ในวังหรืออย่างไร ฯ | ||
| ๏ นางทาสีอัญชลีแล้วเล่าเรื่อง | แม่ขวัญเมืองให้มาแจ้งแถลงไข | ||
| พระอนุชามาเฝ้าองค์ท้าวไท | พระทรงศักดิ์รักใคร่ยังไม่คลาย | ||
| เขาร่วมห้องน้องพี่เป็นที่รัก | จะทูลองค์ทรงศักดิ์ให้เสื่อมหาย | ||
| จงโปรดด้วยช่วยเพิ่มเติมน้องชาย | พอให้คลายเบาใจพระทัยนาง ฯ | ||
| ๏ เถรหัวเราะว่าออเจ้าเท่านั้นหรือ | มิได้ครือเคืองข้องทำหมองหมาง | ||
| เวลาค่ำจึ่งจะทำไม่อำพราง | จะให้ล้างเสียให้ได้เป็นไรมี | ||
| ตัวเจ้ากับกัลยาเป็นผาสุก | นายสนุกบ่าวคะนองทั้งสองศรี | ||
| ให้เถรแก่แดดิ้นอยู่กุฎี | อเวจีไม่ต้องผลักเพราะรักกัน ฯ | ||
| ๏ แมงวันยักษ์ฟังประจักษ์ก็แจ้งเรื่อง | ให้แค้นเคืองเฉียวฉุนคิดหุนหัน | ||
| ปากกระเดาะเหาะโลดกระโดดพลัน | เรียกกุมภัณฑ์พ่ออรุณจงหนุนมา | ||
| ฤทธิแรงแปลงรูปเป็นยักษ์ร้าย | ข้างมือซ้ายจับจิกอีทาสา | ||
| ขวากระหวัดรัดเถรด้วยฤทธา | อสุราอรุณหนุนถึงพลัน | ||
| เสียงสนั่นครั่นครื้นพื้นฤทธิ์ยักษ์ | กุฎีหักโครมครืนเถรยืนหัน | ||
| เสียงอ่างโอ่งโฉ่งฉ่างโผงผางลั่น | เถรขยันภาวนามหามนต์ | ||
| เป็นนาคินทร์ปลิ้นปลูดกระลูดเลื้อย | ดูยาวเฟื้อยขู่ฟ้อดังเสียงฝน | ||
| สองตาแดงดังแสงพระสุริยน | กายพิกลโตดำเท่าลำตาล | ||
| ราพณ์ร้ายรูปกลายเป็นครุฑราช | เผ่นผงาดฤทธิ์แรงกำแหงหาญ | ||
| เข้าจิกจับสัประยุทธ์ฉุดทะยาน | ครุฑประหารนาคม้วยด้วยฤทธา | ||
| เถรก็หายกลายรูปเป็นหนูหริ่ง | กระโดดวิ่งเข้าโพรงไม้ในพฤกษา | ||
| ครุฑก็หายกลายเห็นเป็นวิลา | เข้าไล่คว้าจับหนูอยู่ในโพรง | ||
| ขบขยาบจับพลาดฟาดสะบัด | ตาเถรพลัดไปเป็นลิงวิ่งโขยง | ||
| แหกตาหลอกกลอกคางทำหางโก่ง | แล่นโขย่งโลดกายขึ้นปลายยาง | ||
| ยักษ์เป็นงูเลื้อยไล่ตลอดยอด | กระหวัดกอดลิงคะมำลงต้ำผาง | ||
| เสียงศอกอุบทุบอึกร้องโอยคราง | ลิงก็หายกลายร่างเป็นเถรชรา | ||
| ยักษ์กระหวัดรัดแขนเป็นครุฑอัด | เอาเชือกรัดโยงติดกับทาสา | ||
| แต่หัวผีที่กุฎีดาษดา | กับตำราคุณไสยน้ำมันพราย | ||
| อรุณน้อยสั่งให้ร้อยเอาหัวผี | ผูกคอเถรกับทาสีมาถวาย | ||
| ทั้งตำราผ้าห่อผูกคอตะพาย | ให้นำไปขุดรูปปั้นที่ฝังมา | ||
| เถรกระอำเดินตามนางทาสี | สาวใช้แบกคัมภีร์เดินไปหน้า | ||
| เอาเชือกผูกคอล่ามตามกันมา | จนถึงหน้าพระโรงรัตน์ชัชวาล | ||
| พวกข้าเฝ้าเหล่าเสนามาพร้อมพรั่ง | บ้างก็ชังบ้างก็คิดจิตสงสาร | ||
| องค์อรุณอสุราพญามาร | ข้าราชการแวดล้อมอยู่พร้อมมูล ฯ | ||
| ๏ ป่างพระองค์ทรงโลกเฉลิมภพ | ขจรจบปัถพินบดินทร์สูร | ||
| สถิตเหนือแท่นสุวรรณอันจำรูญ | ก็ไพบูลย์ด้วยสุรางค์นางเรียงราย | ||
| เสด็จทรงสรงสนานสำราญจิต | ทรงภูษิตเครื่องต้นวิมลฉาย | ||
| ร่มแสงสุริยาเวลาบ่าย | พระผันผายเสด็จยังพระโรงทอง | ||
| ประโคมวังดังวิเวกปี่ไฉน | กำนัลในเชิญเครื่องเนื่องสนอง | ||
| พระประทับยับยั้งบัลลังก์ทอง | ดูทำนองผุดผาดสะอาดงาม | ||
| อสุราอรุณเข้าเคียงอาสน์ | อภิวาทจอมภพเคารพสาม | ||
| พร้อมด้วยหมู่เสนาพฤฒาพราหมณ์ | สง่างามหมอบเรียงเคียงกันไป | ||
| เจ้าอรุณทูลเหตุพระเชษฐา | เถรชราทำเสน่ห์น้องจับได้ | ||
| พามาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงชัย | ทั้งขุดได้รูปปั้นสำคัญมา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ก็สงสัย | มันอยู่ไหนเล่าพระน้องเสน่หา | ||
| เจ้าอรุณสั่งยักษ์ให้พามา | อีทาสาเมียงหมอบหอบคัมภีร์ | ||
| ทั้งรูปรอยเถรถือมาตามหลัง | ดูรุงรังพันพัวล้วนหัวผี | ||
| พระเห็นเถรกับทาสนางเทวี | ไม่สมประดีอ้นอั้นตันพระทัย | ||
| พระตรัสถามตำแหน่งด้วยแคลงจิต | มึงคบคิดกันทำจริงหรือไฉน | ||
| เถรชราฟังถามให้คร้ามใจ | ก็ทูลไปทุกสิ่งตามจริงมา | ||
| ขอพระองค์ทรงยศทศทิศ | ข้าทำผิดโทษควรถึงซึ่งสังขาร์ | ||
| ด้วยโฉมยงองค์อำพันกัลยา | ใช้ทาสานารีคนนี้ไป | ||
| ว่าพระองค์รักนางฝ่ายข้างขวา | ไปบนข้าทำพระองค์ให้หลงใหล | ||
| ด้วยอยากได้ลาภพาลสันดานใจ | มิโปรดไว้ชีวาฆ่าก็ตาย ฯ | ||
ตอนที่ ๑๓ โคบุตรปรึกษาโทษนางอำพันมาลา
| ๏ พระทรงฟังคั่งแค้นแสนกระสัน | ก็อ้นอั้นตันใจพระทัยหาย | ||
| อัปประมาณสามนต์พลนิกาย | คิดเสียดายเดชาสง่าเมือง | ||
| ทั่วประเทศเขตนครขจรฤทธิ์ | ปัจจามิตรต่างระบือออกลือเลื่อง | ||
| ทั่วจังหวัดปัถพีบุรีเรือง | ลือกระเดื่องทั่วหล้าฟ้าแลดิน | ||
| เราหลงตีนางมณีถึงสาหัส | สารพัดที่เราผิดคิดถวิล | ||
| หลงด้วยหญิงแพศยาเป็นราคิน | เพราะดูหมิ่นของสำคัญไม่ทันคิด | ||
| แสนสลดเหมือนทศกัณฐ์ยักษ์ | เมื่อลิงลักล่อลวงเอาดวงจิต | ||
| เสียยศศักดิ์เสียศรีด้วยมีฤทธิ์ | พระยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นแน่นอุรา | ||
| พระหยุดยั้งสั่งฝูงนางสาวสรรค์ | ไปเอาตัวนางอำพันมาข้างหน้า | ||
| สาวสนมวิ่งกลมเป็นเกลียวมา | ทูลอำพันกัลยาประหม่าใจ | ||
| ว่าพระองค์ทรงเรียกแม่เนื้อเกลี้ยง | ทรงกริ้วเสียงดังลั่นสนั่นไหว | ||
| เขาจับทาสากับตาเฒ่าเข้ามาไว้ | ภูวไนยโกรธาอย่าช้าที ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันขวัญหายพระทัยสั่น | เห็นแม่นมั่นคงจะปลงลงเป็นผี | ||
| พระพักตร์เผือดเลือดซีดไม่สมประดี | จรลีมากับสาวเหล่ากำนัล | ||
| หมอบประนมบังคมพระทรงฤทธิ์ | ดังชีวิตกัลยาจะอาสัญ | ||
| เห็นพระองค์ทรงกริ้วดังไฟกัลป์ | พระทรงธรรม์ตรัสถามนางทรามวัย | ||
| นี่แน่เจ้าเยาวลักษณ์ศักดิ์กษัตริย์ | จงแจ้งอรรถไปให้สิ้นที่สงสัย | ||
| เจ้าใช้นางทาสาไปหาใคร | แต่จริงใจนะนางอย่าพรางกัน ฯ | ||
| ๏ ยุพาพาลฟังถามให้คร้ามจิต | เห็นสุดคิดที่จะแก้พูดแปรผัน | ||
| ด้วยพวกเพื่อนเหมือนพยานออกยืนยัน | พระองค์สั่นก้มกราบกับบาทา | ||
| โอ้พระร่มโพธิ์ทองของน้องแก้ว | เมียผิดแล้วประทานโทษโปรดเกศา | ||
| ด้วยเปลี่ยวใจไกลญาติอนาถมา | พระผ่านฟ้าห่างเหินสะเทิ้นไป | ||
| ซึ่งทำผิดคิดกับอีทาสา | ให้เถรทำผ่านฟ้าจนหลงใหล | ||
| ได้เมามัวชั่วแล้วพระภูวไนย | จงโปรดไว้ชีวังแต่ครั้งเดียว ฯ | ||
| ๏ พระทรงฟังดังอัคนีรุทร | มาจี้จุดปุยนุ่นให้ฉุนเฉียว | ||
| เจ้ามารยากาลีอย่างนี้เจียว | ยังลดเลี้ยวลิ้นลมคารมดี | ||
| เมื่อแรกรักคิดว่าศักดิ์กษัตริย์สูง | มาเป็นฝูงสัตว์ร้ายระบายสี | ||
| คิดว่าหงส์หลงพลัดเป็นกากี | มาย้อมสีลวงชายด้วยลายกร | ||
| พระกริ้วตรัสตัดพ้อนางโฉมศรี | เสียแรงที่ได้ร่วมสโมสร | ||
| สิ้นรักแล้วอย่าพักมาวิงวอน | แต่เลือดตกในนครก็อัประมง | ||
| จะทำลายเสียให้วายชีวาวาตม์ | ทั้งวงศ์ญาติที่อยู่เมืองกาหลง | ||
| มิให้เหลือเชื้อชาติญาติวงศ์ | แล้วเอื้อนโองการสั่งสี่กุมภัณฑ์ | ||
| ท่านรีบไปพาราเมืองกาหลง | ไปถึงตรงเข้าในไอศวรรย์ | ||
| สุริย์วงศ์พงศาอีอำพัน | แก่ฉกรรจ์พูดไม่ชัดมัดเอามา | ||
| ใส่แพตะรางขังไว้กลางสมุทร | เอาไฟจุดคลอกเสียทั้งวงศา | ||
| ทั้งอำมาตย์ทาสีเถรชรา | กุมภัณฑ์พากันไปจับมาฉับพลัน ฯ | ||
| ๏ อสุรินทร์ยินกริ้วให้พรั่นจิต | ระวังผิดช่วยรอนทูลผ่อนผัน | ||
| แข็งอารมณ์บังคมพระทรงธรรม์ | ท้าวกุมภัณฑ์พูดเปรียบประเทียบทูล | ||
| ซึ่งพระองค์จะประสงค์วงศ์กษัตริย์ | ใช่จะขัดพระบัญชานราสูร | ||
| อันรบรุกนคราไม่อาดูร | ขอกราบทูลพระภูบาลนิทานมี | ||
| ยังมีพราหมณ์พรหมจรรย์อันวิเศษ | เที่ยวประเวศตามป่าพนาศรี | ||
| ข้าหยุดร่มพฤกษาพอนาคี | ขบนิ้วชี้หนีไปใต้สุธา | ||
| พราหมณ์กำจัดตัดนิ้วกระเด็นเด็ด | ก็หายเสร็จสิ้นพิษไม่สังขาร์ | ||
| นี่ทำชั่วก็ตัวนางกัลยา | พระวงศาใหญ่น้อยจะพลอยตาย | ||
| อันนิ้วพราหมณ์นั้นเหมือนภุชงค์กัด | ครั้นกำจัดตัดนิ้วพิษปลิดปลิวหาย | ||
| พระฟังยักษ์ชักทำเนียบเปรียบภิปราย | จึ่งเผยผายเทวราชประภาสพลัน | ||
| พราหมณ์กำจัดตัดนิ้วก็เจ็บเนื้อ | อันชาติเชื้อนาคาไม่อาสัญ | ||
| อันภุชงค์เหมือนวงศ์อีอำพัน | ไม่อาสัญจะเป็นเสี้ยนในธานี ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายกุมภัณฑ์คนนั้นก็จนจิต | สุดจะคิดที่จะทูลพระโฉมศรี | ||
| กุมภัณฑ์หนึ่งจึ่งกราบลงสามที | อัญชลีทูลประเทียบเปรียบนิทาน | ||
| แต่ปางหลังยังมีกรุงกษัตริย์ | ผ่านสมบัติสาวัตถีบุรีสถาน | ||
| ประชวรพระยอดในกายแทบวายปราณ | พิษฝีซ่านทั่วตนสกนธ์กาย | ||
| แพทย์ประสิทธิ์คิดประกอบโอสถแก้ | ที่เจ็บแผลมิอาจจะขาดหาย | ||
| ยังรุมรึงตรึงฤทัยไม่สบาย | พอพบชายหมอฝีอันปรีชา | ||
| เอาคมมีดกรีดเจาะเฉพาะหวะ | ถอนศีรษะฝีออกนอกมังสา | ||
| ก็เหือดหายคลายโรคกษัตรา | ขอผ่านฟ้าจงรั้งยั้งพระทัย ฯ | ||
| ๏ พระฟังเล่าขุนมารนิทานแถลง | ไม่จะแจ้งแคลงจิตคิดสงสัย | ||
| หมอเดิมนั้นเหมือนท่านไม่ชาญชัย | ตัวเราไซร้เหมือนหมอรู้เลิศผู้ชาย ฯ | ||
| ๏ ต่างนิ่งจนขัดสนทั้งสองยักษ์ | กุมภัณฑ์หนึ่งจึ่งชักนิทานถวาย | ||
| ขอพระทูลกระหม่อมจอมนารายณ์ | ยังนิยายโบราณนิทานมี | ||
| ในเรื่องราวว่าดาบสอยู่ไพรสณฑ์ | เที่ยวสอยผลไม้ในไพรศรี | ||
| พบกระท้อนอ่อนแก่บรรดามี | พระฤาษีฟาดหล่นระคนกัน | ||
| วานรป่ามาเห็นก็หัวเราะ | กล่าวเย้ยเยาะว่าโลภละโมบฉัน | ||
| สอยกระท้อนอ่อนกินจนสิ้นพันธุ์ | ทีหลังฉันอะไรนะพระอาจารย์ ฯ | ||
| ๏ ฤาษีสิทธิ์ได้คิดเสียดายนัก | มิได้ภักษ์เสียผลผลาหาร | ||
| ขอพระองค์ทรงดำริเรื่องโบราณ | ขอประทานโทษญาตินางกัลยา | ||
| อันสุกแล้วจึ่งสอยอย่าพลอยอ่อน | พวกวานรทรลักษณ์จักครหา | ||
| พระฟังอรรถตรัสเอื้อนโองการมา | อ้ายลิงป่ามันหวงกระท้อนไพร | ||
| จึ่งจาบจ้วงล่วงว่าพระฤาษี | นิทานนี้เป็นทำเนียบพอเปรียบได้ | ||
| ทีทูลความสามคนก็จนใจ | ภูวไนยไม่ฟังสุนทรทูล | ||
| พรั่นอารมณ์ก้มเศียรลงหมอบราบ | กุมภัณฑ์หนึ่งจึ่งกราบบดินทร์สูร | ||
| ขอพระองค์ทรงพระอนุกูล | จะกราบทูลตามนิทานบูราณมา | ||
| ว่ายังมีวาสุกรีหนึ่งกำแหง | ไม่เกรงแรงครุฑราชปักษา | ||
| ให้พวกนาคปากอมก้อนศิลา | ขึ้นลอยเล่นยมนาชโลทร | ||
| สุบรรณโลภโฉบฉวยข้างเศียรนาค | เล็บกระชากปากขยิกจิกเอาหงอน | ||
| จะพาบินหินถ่วงลงสาคร | ก็ม้วยมรณ์ชีวาด้วยนาคิน | ||
| ครั้นนานมาชีเปลือยมันกล่าวแจ้ง | ภุชงค์แรงเพราะโอษฐ์นั้นอมหิน | ||
| ครุฑประจักษ์หัทยาในนาคิน | ครั้นจะกินบินฉวยหางภุชงค์ | ||
| สำรอกหินสิ้นแรงเจ้ากรุงนาค | ครุฑกระชากฉวยได้โดยประสงค์ | ||
| บรรดาฝูงนาคราชพระญาติวงศ์ | เห็นภุชงค์ฤทธิ์หย่อนเหมือนก่อนมา | ||
| แม้นมิโปรดโทษนางที่ผิดพลั้ง | จะเหมือนดังครุฑราชปักษา | ||
| สุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์นางกัลยา | คงเอามาตามประสงค์ทรงระแวง ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารในนิทานประเทียบเรื่อง | ให้ขัดเคืองจึ่งตอบสุนทรแถลง | ||
| มิเสียทีสี่นายช่างจัดแจง | จะขอแรงเมื่อมิรับก็แล้วไป | ||
| พระตรัสสั่งเสนาให้เตรียมทัพ | ไปโจมจับชาวกาหลงให้จงได้ | ||
| เจ้าอรุณเห็นจะวุ่นให้หวาดใจ | บังคมไหว้สวมกอดพระบาทา | ||
| ไม่ต้องการจะไปผลาญวงศ์กษัตริย์ | จงประหยัดยกโทษโปรดโทษา | ||
| คนทั้งหลายชายหญิงในโลกา | ธรรมดาบิตุรงค์องค์มารดร | ||
| เป็นบุตรแล้วนั้นใครจะให้ชั่ว | แต่ฝ่ายตัวเหลือกำลังจะสั่งสอน | ||
| พี่อำพันมาลาพะงางอน | จากนครมาพึ่งพักพระจักรี | ||
| ธรรมดานารีที่ร่วมผัว | ก็มีทั่วดินฟ้าทุกราศี | ||
| ซึ่งโฉมยงหลงเป็นไปเช่นนี้ | อีทาสีทุจริตนั้นคิดการ | ||
| พระทรงศักดิ์เหมือนหนึ่งหลักจอมพิภพ | ขจรจบสรรเสริญเจริญสถาน | ||
| พระทรงยศทศทิศจะคิดการ | ไปล้างผลาญญาติอำพันกัลยา | ||
| ใครจะหาญทานฤทธิ์คิดรบรับ | ก็สำหรับชีวังจะสังขาร์ | ||
| เหมือนสุเมรุเอนพับทับสุธา | จะบ่ายหน้าพึ่งใครนั้นไม่มี | ||
| นางผิดพลั้งครั้งเดียวไม่ควรฆ่า | ด้วยวงศานั้นอยู่ห่างต่างกรุงศรี | ||
| เหมือนได้โปรดน้องรักที่ภักดี | ขอประทานชีวีนางกัลยา ฯ | ||
| ๏ พระฟังอรุณทูลเรื่องบรรยาย | ค่อยเสื่อมหายคลายกริ้วพระวงศา | ||
| จึ่งเอื้อนอรรถตรัสตอบอนุชา | คำเจ้าว่านี้ก็ควรประเพณี | ||
| แต่อำพันนั้นไว้มันไม่ได้ | มันทำให้อายชาวบุรีศรี | ||
| จนหลงโกรธลงโทษนางมณี | เจ้ากับพี่แทบจะขาดสิ้นญาติกัน | ||
| พระตรัสพลางทางสั่งกับอำมาตย์ | จงพิฆาตเข่นฆ่าให้อาสัญ | ||
| แล้วเสียบไว้ให้คนเห็นเป็นสำคัญ | ทั้งอำพันเถรเฒ่าอีชาวใน | ||
| พระสั่งเสร็จเสด็จย่างขึ้นปรางค์มาศ | เพชฌฆาตเกณฑ์กันอยู่หวั่นไหว | ||
| โฉมอำพันขวัญหนีไม่มีใจ | นางกราบไหว้วิงวอนพระอนุชา | ||
| พี่ชั่วแล้วแก้วพี่อย่าผูกผิด | ด้วยชั่วจิตมัวเมาเขลาหนักหนา | ||
| พ่อช่วยด้วยอย่าให้ม้วยมรณา | เหมือนเมตตาทารกอยู่ในครรภ์ | ||
| ประจวบจวนถ้วนทศมาสคลอด | พี่ม้วยมอดก็จะพากันอาสัญ | ||
| พ่อขอไว้อย่าให้เขาฆ่าฟัน | นางรำพันโศกาลัยอยู่ไปมา ฯ | ||
| ๏ เจ้าอรุณทรงฟังให้สังเวช | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | ||
| น้องตั้งจิตคิดไว้แต่ไรมา | เหมือนพี่ยาร่วมท้องทั้งสองนาง | ||
| มาหลงเชื่อคนชั่วจนมัวหมอง | อย่างนั้นน้องก็ไม่คิดระคางหมาง | ||
| ด้วยสัจจาตั้งใจอยู่ฝ่ายกลาง | พระพี่นางเบาใจจึ่งได้อาย | ||
| แทบจะวุ่นขุ่นเคืองถึงเมืองโน้น | ฉันปลอบโยนให้ทุเลาบรรเทาหาย | ||
| จะขอดูตามบุญอย่าวุ่นวาย | แล้วห้ามนายเพชฌฆาตไปทันที | ||
| จงหยุดยั้งรั้งรอพอสร่างโกรธ | จะขอโทษตามบุญของโฉมศรี | ||
| แล้วนบนอบปลอบพลางนางเทวี | จรลีมายังที่พระพี่นาง | ||
| ทูลเนื้อความตามจับตาเถรเฒ่า | นำขุดเอารูปรอยได้ต่างต่าง | ||
| รับเป็นสัตย์ซัดถึงอำพันนาง | สั่งให้ล้างเสียด้วยกันทั้งสามรา | ||
| ฉันสงสารแม่อำพันด้วยครรภ์แก่ | จะผันแปรทูลขอต่อเชษฐา | ||
| นางทรงฟังคั่งแค้นแน่นอุรา | ด้วยโกรธารึงรุมกลุ้มพระทัย | ||
| เขาทำพี่นี่หากไม่ม้วยมิด | ยังจะคิดผันแปรเข้าแก้ไข | ||
| รู้กระนั้นไปจับจำเขาทำไม | ถึงบรรลัยก็ตัวข้าชีวาวาย ฯ | ||
| ๏ อรุณฟังตอบองค์อนงค์นาฏ | พยาบาทนี่กระไรมิใคร่หาย | ||
| จะมาโกรธกริ้วแค้นกับคนตาย | ถึงเจ็บอายก็แจ้งอยู่เต็มใจ | ||
| แต่เพียงนั้นเขาก็เห็นว่าเป็นผิด | เอาชีวิตไปทำอะไรได้ | ||
| หรือรักให้เป็นกรรมติดตามไป | ดูพระทัยนั้นไม่คิดอนิจจัง | ||
| ใครเกิดมาถ้าจิตนั้นติดปราชญ์ | ย่อมหมายมาดขันตีเป็นที่ตั้ง | ||
| เหมือนเขาสุเมรุมาศไม่พลาดพลั้ง | ใครชิงชังเหมือนหนึ่งว่าพายุพาน | ||
| ถึงแสนลมที่จะหมายทำลายโลก | ไม่คลอนโยกหนักแน่นเป็นแก่นสาร | ||
| ใครเกิดจิตอิจฉาเป็นสามานย์ | สันดานพาลผู้ใดทำกรรมอนันต์ | ||
| แม้นนางอยู่ฟูเฟื่องจะเลื่องชื่อ | ตลอดลือแหล่งหล้าสุธาสวรรค์ | ||
| แม้นมิเชื่อถ้อยคำที่รำพัน | จะเจ็บแค้นแทนกันทำไมมี ฯ | ||
| ๏ นางฟังน้องตรองตรึกค่อยนึกได้ | เข้ากอดจูบลูบไล้พระโฉมศรี | ||
| พี่พูดตามโกรธาอย่าราคี | พ่อเห็นดีแล้วไม่ห้ามตามอารมณ์ | ||
| จึ่งพูดจาโดยดีกันพี่น้อง | ทั้งพวกพ้องข้าสาวเหล่าสนม | ||
| จะกล่าวถึงขุนทองเที่ยวล่องลม | ไปเที่ยวชมพฤกษาสารสำราญใจ | ||
| ตะวันชายบ่ายพักตร์เข้านคเรศ | ปีนข้ามเขตเขาเขินเนินไศล | ||
| เห็นลำดวนหวนหอมตลบไพร | คิดถึงสองทรามวัยให้เสียดาย | ||
| ทั้งหม่อมพ่อพระองค์น้องอยู่ปรางค์มาศ | หอมประหลาดดอกไม้ได้ถวาย | ||
| ลงจิกพวงดวงดอกลำดวนราย | แล้วผันผายบินพามาวังใน | ||
| เข้าสู่ปรางค์นางมณีเห็นพี่น้อง | นกขุนทองปีกประนมบังคมไหว้ | ||
| แบ่งลำดวนส่วนถวายนางทรามวัย | คาบมาให้พ่ออรุณแล้วทูลพลัน | ||
| ลูกเที่ยวเล่นเห็นลำดวนก็หวนนึก | คิดรำลึกถึงหม่อมพ่อแล้วผายผัน | ||
| เก็บดอกไม้พอได้มาแบ่งปัน | เหลืออยู่นั้นจะถวายหม่อมแม่น้อย | ||
| ดอกลำดวนดกกระไรในไพรสณฑ์ | ไม่มีคนผู้ใดจะไปสอย | ||
| อรุณรับขุนทองประคองค่อย | ช่างชดช้อยน่าจะกลืนชูชื่นใจ | ||
| แม่อำพันของขุนทองนั้นต้องโทษ | เจ้าพ่อโกรธสั่งให้ฆ่าไม่ปราศรัย | ||
| เดี๋ยวนี้พ่อให้เขารอเอานางไว้ | ขุนทองไปทูลขอพ่อสักพัก | ||
| มาที่นี่พ่อดีใจจงไปก่อน | ช่วยอ้อนวอนขอองค์พระทรงศักดิ์ | ||
| ถ้ามิได้จงกลับมาอย่าช้านัก | ให้ประจักษ์จะได้ทูลทันเวลา ฯ | ||
| ๏ ขุนทองฟังตกตะลึงคะนึงนิ่ง | ว่าจริงจริงหรือปดหม่อมพ่อจ๋า | ||
| อรุณลูบจูบเล่าเจ้าสาลิกา | พ่อจะว่าปดเจ้าเอาอะไร | ||
| เจ้าไปดูเถิดยังอยู่พระโรงนอก | แต่อย่าออกไปนานนั้นไม่ได้ | ||
| จงด่วนไปทูลพระองค์ทรงชัย | ถึงมิได้กลับมาอย่าช้าที | ||
| สาลิกาทูลลาอรุณน้อย | ถลาลอยมาพระโรงอันเรืองศรี | ||
| เห็นอำพันกันแสงไม่สมประดี | สกุณีโผลงริมองค์นาง ฯ | ||
| ๏ นางแลเห็นสาลิกาน้ำตาตก | ประคองนกกอดแอบไว้แนบข้าง | ||
| นางสะอื้นบอกสาลิกาพลาง | สั่งให้ล้างแม่เสียแล้วพ่อแก้วตา | ||
| พ่ออรุณนั้นสั่งให้ยั้งไว้ | ถ้าหาไม่ไหนจะเห็นเจ้าปักษา | ||
| เออไฉนใครบอกจึ่งออกมา | เป็นเวราของแม่ต้องแน่ใจ | ||
| เจ้าช่วยแม่แก้ไขไปทูลขอ | บอกหม่อมพ่อยกโทษช่วยโปรดให้ | ||
| เหมือนช่วยชีวิตน้องขุนทองไว้ | ไม่เห็นใครที่จะช่วยแม่ด้วยรา ฯ | ||
| ๏ ขุนทองฟังนางว่าน้ำตาไหล | ก็ร้องไห้ตามเพศของปักษา | ||
| แต่เช้าตรู่ลูกสู่อรัญวา | ไม่รู้ว่าภัยพาลประการใด | ||
| เก็บดอกไม้มาถวายสองสามดอก | อรุณบอกว่าเจ้าแม่จะตักษัย | ||
| ได้ยินข่าวลูกอนาถเพียงขาดใจ | กรรมอะไรมาเป็นถึงเช่นนี้ | ||
| แม้นหม่อมแม่ม้วยมอดไม่รอดแล้ว | ก็เหมือนสาลิกาแก้วนี้เป็นผี | ||
| เคยร่วมร้อนจรพรากจากบุรี | พระชนนีนี้ไซร้บรรลัยลาญ | ||
| จะไปเฝ้าเจ้าพ่อทูลขอโทษ | เผื่อจะโปรดลูกรักไม่หักหาญ | ||
| แล้วปักษาลาองค์นางนงคราญ | บินทะยานมาปราสาทพระภูธร | ||
| พอถึงห้องทำร้องอยู่กรีดกราด | เผ่นผงาดโลดขึ้นปัจถรณ์ | ||
| พระโคบุตรสุริยาสถาวร | ประคองกรรับสาลิกาพลัน ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองร้องไห้พิไรว่า | เจ้าพ่อจ๋าทำไมฆ่าหม่อมแม่ฉัน | ||
| แม่ทำชั่วตัวผิดสิ้นชีึวัน | น้องในครรภ์ของขุนทองจะมรณา | ||
| จะพลอยตายเปล่าเปล่าไม่เข้าข้อ | ฉันทูลขอโทษเถิดหนอคุณพ่อจ๋า | ||
| จะได้เล่นเลี้ยงน้องเป็นสองรา | สาลิกาอยู่เดียวก็เปลี่ยวกาย ฯ | ||
| ๏ พระลูบเศียรขุนทองสนองสาร | ไม่ต้องการจะเอาไว้เป็นเชื้อสาย | ||
| มันชั่วแล้วก็ล้างให้วางวาย | จะเสียดายมันทำไมอีกาลี | ||
| ถึงลูกเกิดอยู่ในกลางหว่างเสน่ห์ | มันเจ้าเล่ห์เหมือนมารดาน่าบัดสี | ||
| คอยเลี้ยงลูกที่ในท้องแม่มณี | อีกาลีสาลิกาอย่าอาลัย ฯ | ||
| ๏ ขุนทองฟังเห็นยังกำลังโกรธ | ไม่ยกโทษกัลยาน้ำตาไหล | ||
| เอาความหลังครั้งก่อนวอนพิไร | ลูกคิดไปก็สงสารนางเทวี | ||
| อุตส่าห์ตั้งพยายามมาตามติด | สิ้นชีวิตพ่อแม่ไม่เห็นผี | ||
| เห็นแต่องค์ผ่านฟ้าก็ฆ่าตี | ก็ไม่มีเห็นใครที่ไหนแล้ว | ||
| ทั้งเจ้าแม่อำพันก็ครรภ์แก่ | สงสารแต่น้องสาลิกาแก้ว | ||
| แม้นเจ้าแม่ม้วยมอดไม่รอดแล้ว | น้องของแก้วสาลิกามาพลอยตาย ฯ | ||
| ๏ พระฟังนกยกเรื่องแต่เบื้องหลัง | ที่แค้นคั่งแทบจะดับระงับหาย | ||
| แล้วปั่นป่วนหวนคิดถึงเรื่องร้าย | กลับระคายเคืองแค้นแน่นพระทัย | ||
| จึ่งเอื้อนอรรถตรัสห้ามเจ้าปักษี | อย่าเซ้าซี้ไปเลยเลี้ยงมันไม่ได้ | ||
| ควรตายก็ให้ตายเสียดายไย | ภูวไนยแกล้งบรรทมไม่พาที | ||
| สาลิกาอุตส่าห์ประโลมพลอด | เอาเศียรสอดเข้าในอกพระโฉมศรี | ||
| เห็นกับนางเมียรักพระจักรี | ถึงครั้งนี้ก็เพราะรักพระภูธร | ||
| มิใช่นางนอกจิตคิดกบฏ | จงเงือดงดหยุดยั้งสักครั้งก่อน | ||
| พระทำกริ้วมิให้สาลิกาวอน | ข้าจะนอนแล้วอย่ามาวุ่นวาย | ||
| จะบอกเจ้าให้ีรู้อย่าจู้จี้ | โมโหแล้วก็จะตีเอาง่ายง่าย | ||
| แล้วทำเชือนเบือนพักตร์ไม่ทักทาย | นกขยายวอนทูลพระภูบาล | ||
| แม้นไม่เลี้ยงถึงจะล้างให้วางวาย | แต่พอคลอดน้องชายน่าสงสาร | ||
| จึงค่อยฆ่าโฉมฉายให้วายปราณ | ขอประทานโทษน้องขุนทองไว้ ฯ | ||
| ๏ พระทรงนิ่งอิงเขนยไม่เอ่ยถ้อย | ขุนทองน้อยทูลพลางทางร้องไห้ | ||
| เอาเศียรซบจบบาทจะขาดใจ | สุดอาลัยแล้วถวายบังคมลา | ||
| บินมาถึงหน้าปรางค์นางมณี | ลงจับที่เพลาอรุณพ่อคุณจ๋า | ||
| ว่าทรงฤทธิ์ติดจะกริ้วเต็มประดา | ลูกวอนว่าก็ไม่หยุดเห็นสุดคิด | ||
| พระโฉมยงนั้นทรงบรรทมนิ่ง | เห็นอยู่จริงลูกรักให้หนักจิต | ||
| หม่อมพ่อลองไปรอขอชีวิต | เห็นทรงฤทธิ์จะโปรดซึ่งโทษทัณฑ์ ฯ | ||
| ๏ อรุณฟังนกขุนทองสนองสาร | พ่อดูการเห็นยังกริ้วอยู่กวดขัน | ||
| ตามกุศลผลกรรมทำมานั้น | ช่วยแก้กั้นกว่าจะสิ้นกำลังไป | ||
| อัญชุลีพี่นางแล้วย่างย่อง | ชวนขุนทองร่วมจิตพิสมัย | ||
| มาถึงปรางค์เชษฐาประหม่าใจ | ตรงเข้าไปห้องทองทั้งสองรา ฯ | ||
| ๏ ครั้นถึงอาสน์อภิวาทถวายหัตถ์ | พงศ์กษัตริย์เห็นน้องรักกับปักษา | ||
| พระตรัสถามความโมโหด้วยโกรธา | เขาเข่นฆ่าแล้วหรือหนาอีกาลี | ||
| อรุณกราบสารภาพด้วยผิดพลั้ง | ฉันให้ยั้งไว้พระโรงอันเรืองศรี | ||
| ด้วยคิดเห็นครหาเป็นราคี | เพราะเทวีทรงครรภ์กุมารา | ||
| เป็นน้ำเนื้อเชื้อวงศ์ของทรงฤทธิ์ | ไม่มีผิดกุมารังพลอยสังขาร์ | ||
| ราษฎรก็จะค่อนจำนรรจา | ว่าเข่นฆ่าโอรสอยู่ในครรภ์ | ||
| กับข้อหนึ่งเทวีไม่มีญาติ | พอพลั้งพลาดชีวาก็อาสัญ | ||
| ไม่มีใครขอร้องช่วยป้องกัน | นินทาฉันก็มีกับพี่นาง | ||
| ด้วยโกรธขึ้งหึงกันจึ่งเกิดเข็ญ | ใครจะเห็นในจิตว่าคิดหมาง | ||
| ทั้งตัวน้องร่วมท้องกับพี่นาง | ไม่แคล้วทางครหาทั้งธานี | ||
| จงว่าน้องแถลงแกล้งขอโทษ | แม้นมิโปรดเข่นฆ่านางโฉมศรี | ||
| มันจะว่าฉันมาขอพอเป็นที | คงกระนี้แน่นักประจักษ์ใจ | ||
| จงเมตตาทารกโอรสน้อย | ได้ติดต้อยตามเชื้อเป็นเนื้อไข | ||
| แม้นมิจำทำอีกไม่อายใจ | ประหารให้มอดม้วยลงด้วยกัน ฯ | ||
ตอนที่ ๑๔ ขับนางอำพันมาลาออกจากเมือง
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | ได้ฟังอรรถเห็นจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
| ด้วยลูกน้อยกลอยใจอยู่ในครรภ์ | จะหุนหันเข่นฆ่าคงราคี | ||
| ประโลมลูบจูบน้องเสน่หา | พ่อปรีชาว่าชอบนะโฉมศรี | ||
| แต่ใจหญิงแพศยาเป็นกาลี | ไม่ควรที่จะเลี้ยงไว้เวียงชัย | ||
| จะลือชาว่าพี่นี้โฉดเขลา | ช่างมัวเมารักเมียไม่เสียได้ | ||
| ขอชีวาอย่าวิตกจะยกไว้ | แต่ขับไล่เสียให้พ้นพระพารา ฯ | ||
| ๏ ขุนทองฟังเห็นประทังประทานโทษ | เต้นกระโดดขึ้นบนพระเพลาขวา | ||
| พลอยฉะอ้อนวอนทูลพระบิดา | ลูกสมเพชเวทนาไม่รู้วาย | ||
| ถึงไม่เลี้ยงเคียงพักตร์เหมือนหนหลัง | ให้อยู่วังตามประสานางโฉมฉาย | ||
| จะขับไปเดินดงก็คงตาย | ประทานโทษโฉมฉายไว้เวียงชัย ฯ | ||
| ๏ พระฟังคำทำเคืองมิให้ขอ | เฝ้าสอพลอไปทุกสิ่งไม่นิ่งได้ | ||
| ใครว่าไรว่าบ้างเป็นอย่างไร | ยักออกไปเสียเจ้าไม่เข้าการ ฯ | ||
| ๏ อรุณฟังเห็นยังไม่หยุดได้ | ดูพระทัยสิ้นรักสมัครสมาน | ||
| จะทูลนักจักเคืองเรื่องรำคาญ | เจ้ากราบกรานทูลลาออกมาพลัน ฯ | ||
| ๏ สาลิกามาตามอรุณน้อย | ให้เศร้าสร้อยสงสารแล้วโศกศัลย์ | ||
| ครั้นถึงห้องท้องพระโรงเรืองสุวรรณ | โฉมอำพันแลมาโศกาลัย | ||
| เข้าสวมสอดกอดน้องประคองนก | น้ำตาตกไต่ถามตามสงสัย | ||
| พ่อขอโทษโปรดบ้างหรืออย่างไร | พี่รอใจคอยฟังทั้งสองรา ฯ | ||
| ๏ สาลิกากับอรุณกันแสงไห้ | ฉันขอได้แต่ชีวังไม่สังขาร์ | ||
| ให้ขับไปไกลนอกพระพารา | สุดปัญญาที่จะทูลให้เคลื่อนคลาย | ||
| ถ้าไปได้จะไปส่งถึงนคเรศ | ก็เกรงเหตุตรงผิดน้องคิดหมาย | ||
| ใครจะเห็นความจริงทั้งหญิงชาย | ได้รอดตายแล้วก้มหน้าไปตามบุญ ฯ | ||
| ๏ เยาวมาลย์ฟังสารสลดจิต | ดังหนึ่งพิษนาคีให้เฉียวฉุน | ||
| ชีวิตพี่นี้เห็นจะเป็นจุณ | กอดอรุณร่ำไห้อยู่ไปมา | ||
| อันตัวพี่นี้ก็คงจะตักษัย | พี่ขอบใจน้องรักเป็นหนักหนา | ||
| พระคุณเจ้าสุจริตดังบิดา | พี่ชั่วช้าดูดื้อไม่ซื่อตรง | ||
| ผลกรรมจำจากบุรีศรี | เอาซากผีไปไว้ไพรระหง | ||
| พ่อช่วยพาไปลาแม่โฉมยง | เมื่อปลดปลงอย่าให้กรรมประจำกาย ฯ | ||
| ๏ อรุณรับอภิวันท์แล้วผันพักตร์ | แจ้งประจักษ์เพชฌฆาตสิ้นทั้งหลาย | ||
| เราขอโทษพี่นางไม่วางวาย | ยังคงตายอยู่เถรอีชาวใน | ||
| เขาถึงกรรมตามบทพจนารถ | เพชฌฆาตก้มกราบอยู่ไสว | ||
| เจ้าอรุณขุนทองนางทรามวัย | พากันไปห้องสุวรรณพรรณราย ฯ | ||
| ๏ เพชฌฆาตพาเถรกับทาสี | ไปถึงที่แล้วล้างเสียโดยหมาย | ||
| ไม้รวกเสียบกายทะลวงเลือดทลาย | ประจานกายขึ้นขาหยั่งริมทางคน ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันครรไลให้เทวษ | ชลเนตรหยดย้อยดังฝอยฝน | ||
| มาถึงปรางค์นางมณีนฤมล | เจ้าขึ้นบนอัฒจันทร์เห็นกัลยา | ||
| สงสารนางวางวิ่งเข้ากอดบาท | นุชนาฏร้องไห้โฮขอโทษา | ||
| ที่ได้ทำผิดพลั้งแต่หลังมา | แม่อย่าผูกเวรให้ติดตัว | ||
| ลูกตายจากปลดเปลื้องไปเมืองผี | เพราะกรรมมีดลจิตให้คิดชั่ว | ||
| ให้แม่เจ้าเศร้าหมองละอองมัว | แม่ทูนหัวอย่าให้เป็นมีเวรไป | ||
| ชาตินี้ลูกอาภัพอัปลักษณ์ | จะรู้จักคุณแม่ก็หาไม่ | ||
| เมื่อลูกพลัดมาถึงพระเวียงชัย | พระหน่อไทบิดาก็ปรานี | ||
| ฉันหลงเชื่อคนชั่วด้วยมัวจิต | มิได้คิดถึงคุณแม่โฉมศรี | ||
| ไม่ควรคบเถรชราทำยายี | แม่ต้องโพยโบยตีระกำกาย | ||
| สารพัดที่ชั่วในตัวลูก | แม่อย่าผูกเวราไปสืบสาย | ||
| อนุญาตลูกยาจะลาตาย | นางฟูมฟายชลนาโศกาลัย ฯ | ||
| ๏ โฉมยงทรงฟังสุนทรหวาน | คิดสงสารกัลยาน้ำตาไหล | ||
| ที่แค้นเคืองเปลื้องปลดสลดใจ | พลอยร่ำไรเล้าโลมนางโฉมยง | ||
| อุตส่าห์กลั้นกันแสงเสียเถิดน้อง | พี่ไม่ปองผูกกรรมนวลหง | ||
| นิจจาเอ๋ยเคยอยู่สบายองค์ | ฝูงอนงค์แซ่ซ้องประคองนาง | ||
| เวราใดจำให้ไกลนิเวศน์ | โอ้สมเพชนวลน้องจะหมองหมาง | ||
| จะได้ใครไปเป็นเพื่อนในเถื่อนทาง | สงสารนางโฉมยงเจ้าทรงครรภ์ | ||
| แม้นรอดถึงพาราบิดาน้อง | จะประคองแก้ไขไม่อาสัญ | ||
| นี่พารากรุงไกรก็ไกลกัน | เจ้าโศกศัลย์สงสารนางเทวี | ||
| โอ้นิจจาครั้งนี้เจ้าพี่เอ๋ย | กระไรเลยเบาใจไม่พอที่ | ||
| แม้นช่วยได้พี่มิให้เจ้าจรลี | เป็นสุดที่ใจจนพ้นกำลัง | ||
| อันความผิดมิได้คิดที่ตรงเจ้า | เพราะกรรมเราย่อมสร้างแต่ปางหลัง | ||
| สงสารน้องจะลำบากไปจากวัง | จะเซซังเปลี่ยวองค์ในพงพี | ||
| แม้นบุญปลอดคลอดบุตรในไพรเขียว | จะแลเหลียวเห็นใครในไพรศรี | ||
| ใครจะช่วยมาก่อกองอัคคี | ไม่เห็นมีใครแล้วนะแก้วตา ฯ | ||
| ๏ นางอำพันอั้นอัดสะอื้นร่ำ | อาลัยคำพี่ไม่ผูกซึ่งโทษา | ||
| กันแสงพลางนางกราบกับบาทา | อนิจจาเจ้าประคุณของลูกรัก | ||
| ลูกทำชั่วมัวหมองให้ข้องขุ่น | ลืมบุญคุณของพระองค์ผู้ทรงศักดิ์ | ||
| ถึงฟ้าดินก็ไม่เท่ายังเบานัก | แต่ลูกรักทำชั่วด้วยมัวเมา | ||
| แม้นอยู่ได้ลูกจะตายอยู่ใต้บาท | ใจหมายมาดดังแม่บังเกิดเกล้า | ||
| แล้วกลิ้งเกลือกเสือกองค์นางนงเยาว์ | โฉมเฉลานิ่งซบสลบลง ฯ | ||
| ๏ นางมณีสาลิกาเจ้าอรุณ | ก็วายวุ่นเอาสุคนธ์มาโสรจสรง | ||
| หอมระรื่นฟื้นกายนางโฉมยง | กันแสงทรงโอบอุ้มเจ้าสาลิกา | ||
| จะจำไกลไปจากขุนทองแล้ว | พระลูกแก้วอยู่เถิดอย่าโหยหา | ||
| นกขุนทองร้องไห้ฟายน้ำตา | จนสุริยาเยื้องรถลงรอนรอน | ||
| นางมณีมีจิตคิดสงสาร | โดยอ่อนหวานให้สติสายสมร | ||
| เออแม่น้องลองไปเฝ้าพระภูธร | ทูลอ้อนวอนเพื่อจะโปรดแม่เทวี ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันวันทาลงตรงพระบาท | ยุรยาตรจากปรางค์ปราสาทศรี | ||
| ขึ้นปราสาทรัตนาพระสามี | นางเทวีก้มกราบกับบาทา | ||
| ทูลกระหม่อมจอมโลกของเมียแก้ว | เมียผิดแล้วจงประทานซึ่งโทษา | ||
| มิให้ขายแก่ฝ่ายพระบาทา | ขอเป็นข้าแม่มณีที่ในวังใน | ||
| อันหนทางกลางป่าก็ไม่แจ้ง | จะรู้แห่งจรดลไปหนไหน | ||
| พระลูกน้อยในครรภ์จะบรรลัย | จงโปรดให้เป็นข้าอยู่ธานี ฯ | ||
| ๏ พระฟังนางพลางคิดถึงความหลัง | ให้แค้นคั่งขัดเคืองมเหสี | ||
| ออกไปเสียเถิดเจ้าอย่าเซ้าซี้ | หญิงกาลีกูจะเลี้ยงมึงไว้ไย | ||
| จะเดินป่าว่าไม่รู้จักแห่งหน | เสาะหาคนทำเล่ห์เสน่ห์ได้ | ||
| จะเหาะหรือเดินทางก็ช่างใคร | พระกริ้วเหล่าสาวใช้เป็นโกลี | ||
| เป็นไรเล่าอีเหล่านี้มึงนิ่งได้ | ขับลงไปเสียให้พ้นคนบัดสี | ||
| แล้วขึ้นแท่นไสยาไม่พาที | นางเทวีให้สลดระทดใจ | ||
| ฝูงกำนัลชวนกันเข้าวอนว่า | เป็นเวรของแม่จะทำไฉน | ||
| จงกลืนกลั้นกันแสงแข็งพระทัย | ประคององค์ทรามวัยลงจากปรางค์ | ||
| ข้าหลวงทุกกระทรวงนางเฒ่าแก่ | ร้องไห้แซ่เสียงก้องต่างหมองหมาง | ||
| ฟายน้ำตาตามส่งอนงค์นาง | ลงจากปรางค์มาถึงทวารวัง ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันมาลาน้ำตาไหล | เห็นชาวในพระสนมมาคับคั่ง | ||
| ค่อยหยุดยืนขืนองค์ทรงประทัง | เหลียวมาสั่งสาวสรรค์กำนัลใน | ||
| จงปกป้องครองกันเป็นผาสุก | อย่ามีทุกข์เศร้าสร้อยละห้อยไห้ | ||
| เรามีกรรมจำลาเจ้าคลาไคล | หักพระทัยออกจากทวารา | ||
| เทวษร่ำกำสรดกันแสงโศก | แสนวิโยคเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
| ละห้อยหันผันพักตร์ดูปรางค์ปรา | โอ้ปรางค์เปรียบปรางค์ฟ้าจะราคี | ||
| จะร้างไปไกลถิ่นที่เคยเล่น | ไม่แลเห็นเช้าเย็นจะหมองศรี | ||
| จะหมองเศร้าเปล่าใจไกลบุรี | ไกลบูรินธานีกลับพลัดพราย | ||
| กลับพลัดพรากจากเขนยเคยสถิต | เคยบรรทมอยู่เป็นนิตย์จะเสื่อมหาย | ||
| จะแสนโหยโดยดิ้นสันโดษดาย | สันโดษเดียวเปลี่ยวกายระกำใจ | ||
| ระกำจิตคิดขึ้นมาก็สาจิต | ก็สาใจที่ไม่คิดจะทำไฉน | ||
| ฉะนั้นท่านจึ่งทำให้หนำใจ | จะอยู่ไปเป็นกายก็อายคน | ||
| ครองชีพอยู่รู้ถึงไหนก็อายทั่ว | เพราะว่าตัวต้องกำจัดมาเดินหน | ||
| จะครองชีพอยู่ไปก็อายคน | นฤมลโศกซบสลบไป ฯ | ||
