โคบุตร
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 09:23, 25 มิถุนายน 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
ตอนที่ ๑ กำเนิดโคบุตร
| ๏ แต่ปางหลังครั้งว่างพระศาสนา | ||||
| เป็นปฐมสมมตินิทานมา | ด้วยปัญญายังประวิงทั้งหญิงชาย | |||
| ฉันชื่อภู่รู้เรื่องประจักษ์แจ้ง | จึงแสดงคำคิดประดิษฐ์ถวาย | |||
| ตามสติริเริ่มเรื่องนิยาย | ให้เพริศพรายพริ้งเพราะเสนาะกลอนฯ | |||
| ๏ จะร่ำปางนางสวรรค์เสวยสุข | อยู่ปรางค์มุขพิมานสโมสร | |||
| เผยพระแกลแลดูแผ่นดินดอน | เห็นไกรสรคลอดลูกในหิมวา | |||
| ผลกรรมนำจิตให้พิศวาส | นุชนาฏจะใคร่มีโอรสา | |||
| เห็นพระสุริโยทัยเธอไคลคลา | กัลยานึกไปดังใจปอง | |||
| แม้นสามีมิได้เหมือนพระอาทิตย์ | ไม่ขอคิดสมสู่เป็นคู่สอง | |||
| ผลกรรมจำจากวิมานทอง | นางก็ต้องจุติด้วยใจตน | |||
| เห็นสระศรีมีบัวระดาดาษ | สุดสวาทจิตประหวัดเข้าปฏิสนธิ์ | |||
| เกิดเป็นรูปนารีนิรมล | กลีบอุบลหุ้มไว้ในสาคร | |||
| อยู่ประมาณนานมาในบัวหลวง | สุดาดวงกำดัดชมสมสมร | |||
| จะกล่าวถึงสุริยาทิพากร | เสด็จจรเลี้ยวเหลี่ยมพระเมรุมา | |||
| อรุณโรจน์โชติช่วงดวงจรัส | ส่องจังหวัดภาคพื้นพระเวหา | |||
| พิศเพ่งเล็งแลในโลกา | เห็นนางฟ้าอยู่ในพุ่มปทุมมาลย์ | |||
| เพราะรักเราเจ้าต้องมาสิ้นชีพ | เกิดในกลีบบุษบงน่าสงสาร | |||
| จำจะช่วยให้อนงค์คงวิมาน | พระสุริยกาลโสมนัสสวัสดี | |||
| จึ่งแบ่งภาคจากรถระเห็จเหาะ | ลงเฉพาะสระใหญ่ในไพรศรี | |||
| พระหัตถ์หักปทุมาจากวารี | มานั่งที่ร่มไทรในไพรวัน | |||
| คลี่ปทุมอุ้มนางขึ้นวางตัก | แม่ยอดรักปิ่นสุรางค์นางสวรรค์ | |||
| กุศลเราเคยสมภิรมย์กัน | บุญจึ่งบันดาลใจให้เจาะจง | |||
| พี่พึ่งรู้ว่าเจ้าอยู่ในโกเมศ | จึ่งประเวศติดตามด้วยความประสงค์ | |||
| จะช่วยเจ้าเยาวลักษณ์วิไลทรง | ให้คืนคงเมืองฟ้าสุราลัยฯ | |||
| ๏ ปางยุพินปิ่นเทพอัปสร | ฟังสุนทรสุริยงคิดสงสัย | |||
| นางผลักพลางทางแลชำเลืองไป | งามวิไลพูนสวัสดิ์ชัชวาล | |||
| ถึงเทพบุตรสุดสิ้นในอากาศ | ไม่ผุดผาดผิวพรรณเทียมสัณฐาน | |||
| นางค้อนคมก้มพักตร์แล้วพจมาน | ไม่ควรการช่างไม่เกรงข่มเหงกัน | |||
| เทพบุตรภุชงค์หรือวงศ์ยักษ์ | มาหาญหักปทุมมาศขาดสะบั้น | |||
| เขาอาศัยได้สบายในบุษบัน | ทำเช่นนั้นช่างไม่คิดอนิจจังฯ | |||
| ๏ โอ้เจ้าพี่ศรีสวัสดิ์กำดัดสวาท | นุชนาฏแม่อย่าลืมเนื้อความหลัง | |||
| หรือชอบใจอยู่ที่ในอุบลบัง | สมบัติทั้งเมืองฟ้าไม่อาวรณ์ | |||
| พี่หรือคือสุริยงดำรงทวีป | ทุเรศรีบมาด้วยการสงสารสมร | |||
| จะชูช่วยนางฟ้าสถาวร | พะงางอนนุชน้องอย่าหมองนวล | |||
| มานั่งนี่เถิดพี่จะเล่าเรื่อง | แม่เนื้อเหลืองนพรัตน์กำดัดสงวน | |||
| พลางประโลมโฉมนางไม่ห่างนวล | หอมรัญจวนเกสรขจรจายฯ | |||
| ๏ สาวสวรรค์ครั้นสดับอภิวาท | สุดสวาทแสนรักพระสุริย์ฉาย | |||
| แต่มารยาทกษัตรีทำทีอาย | ค้อนชม้ายตอบสนองทำนองใน | |||
| ถึงดินฟ้าสาครภูเขาขุน | เมื่อสิ้นบุญถึงกรรมทำไฉน | |||
| แต่ชาติก่อนใครห่อนประจักษ์ใจ | ระลึกได้หรือจะรู้ในเรื่องราว | |||
| ซึ่งโปรดน้องจะให้ครองวิมานสวรรค์ | พระคุณนั้นล้ำฟ้าเวหาหาว | |||
| มิได้สนองครองคุณให้สิ้นคราว | ด้วยเปลี่ยวเปล่าเอ้องค์ในดงแดนฯ | |||
| ๏ แสนเสนาะเพราะล้ำหนอน้ำเสียง | ช่างกล่าวเกลี้ยงเชิงฉลาดนั้นเหลือแสน | |||
| พี่เมตตาจะช่วยพาไปเมืองแมน | ถึงมิแทนคุณได้เป็นไรมี | |||
| เหมือนมัจฉาสาครเป็นที่พึ่ง | บุญแล้วจึ่งได้พบประสบศรี | |||
| ต้องประสงค์อยู่ตรงไมตรีดี | ถึงแม้นมีสิ่งของไม่ต้องการ | |||
| นี่แน่เจ้าเยาวลักษณ์วิไลศรี | เสียแรงพี่จงรักสมัครสมาน | |||
| อย่าพูดนักชักเยิ่นให้เนิ่นนาน | จะเสียการไมตรีที่เรียมวอน | |||
| จงแย้มเยื้อนเบือนพักตร์รับรักบ้าง | ประโลมนางแนบกายสายสมร | |||
| แสนสำราญอยู่ในร่มนิโครธร | พระกางกรประดิพัทธ์วัจนา | |||
| อัศจรรย์บรรดาสาคเรศ | อรัญเวศหวั่นไหวไพรพฤกษา | |||
| เทพทั้งตั้งโห่เป็นโกลา | สนั่นป่าลั่นเสียงสำเนียงดัง | |||
| บรรดาฝูงเทพาวลาหก | ก็ตื่นตกใจวิ่งไม่เหลียวหลัง | |||
| อึกทึกกึกก้องฆ้องระฆัง | ด้วยกำลังพระอาทิตย์ฤทธิรงค์ | |||
| สมสนิทพิศวาสนางสวรรค์ | เกษมสันต์สบเชิงละเลิงหลง | |||
| แบ่งกำลังตั้งครรภ์ให้โฉมยง | แล้วเอื้อนโองการตรัสกับกัลยา | |||
| อีกเจ็ดวันขวัญเข้าเจ้าคลอดบุตร | เจ้าจะจุติไปสวรรค์ด้วยหรรษา | |||
| พี่อยู่ด้วยเจ้าไม่ได้ต้องไคลคลา | ถึงเวลาเลี้ยวเหลี่ยมพระเมรุทอง | |||
| จะเร่งรีบไปทวีปข้างโน้นแล้ว | แม่ดวงแก้วนพเก้าอย่าเศร้าหมอง | |||
| กลับชมพูจะมาอยู่ด้วยนวลละออง | แม่อย่าหมองอารมณ์อยู่ร่มไทร | |||
| ประโลมลูบจูบสั่งสายสวาท | จะนิราศแรมมิตรพิสมัย | |||
| ด้วยร้างรักหักจิตไปจำไกล | คืนเวไชยันต์ถาวรเหมือนก่อนมา | |||
| เลี้ยวพระเมรุเผ่นเยี่ยมอุดรทวีป | ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา | |||
| สาวสวรรค์สร้อยเศร้าเปล่าอุรา | พระสุริยาเลี้ยวเหลี่ยมพระเมรุธร | |||
| สันโดษเดียวเปลี่ยวร่างอยู่กลางเถื่อน | ไม่มีเพื่อนสาวสุรางค์นางอัปสร | |||
| ยินสำเนียงปักษาทิชากร | ดวงสมรวังเวงวิเวกใจฯ | |||
| ๏ ฝ่ายพระสุริยงผู้ทรงรถ | เที่ยวเลี้ยวรถส่องสัตว์จำรัสไข | |||
| ส่องตรีภพจบทวีปแล้วรีบไป | สว่างในภพโลกชมพูพลัน | |||
| ระลึกถึงโฉมงามทรามสวาท | ออกจากราชรถชัยลงไพรสัณฑ์ | |||
| ถนอมแนบแอบนางไม่ห่างกัน | เกษมสันต์พิศวาสไม่คลาดคลาย | |||
| แต่เช้ามาสายัณห์แล้วคืนกลับ | กำหนดนับเจ็ดวันเหมือนมั่นหมาย | |||
| ยุพาพินสิ้นกรรมประจำกาย | จะคลอดสายสุดที่รักโอรสนาง | |||
| พอรุ่งแสงสุริยาพระอาทิตย์ | มานั่งชิดโลมน้องอย่าหมองหมาง | |||
| สงสารนวลป่วนปั่นพระครรภ์คราง | นาภีนางเพียงจะพังประทังทน | |||
| บรรดาเทพธิดาลงมาพร้อม | เข้าแวดล้อมอรไทในไพรสณฑ์ | |||
| บ้างนวดครรภ์ผันแปรให้นิรมล | พระสุริยนเคียงน้องประคององค์ | |||
| ถึงยามปลอดนางคลอดโอรสราช | เสียงพิณพาทย์ก้องฟ้าป่าระหง | |||
| เป็นชายเหมือนพระอาทิตย์ไม่ผิดทรง | สำอางค์องค์นวลละอองดังทองทา | |||
| สาวสวรรค์รับขวัญโอรสรัก | พิศพักตร์ลูกน้อยละห้อยหา | |||
| นางกางกรช้อนอุ้มกุมารา | เจ้าเกิดมามิได้อยู่ด้วยแม่แล้ว | |||
| ไม่เห็นใครที่จะให้นมเสวย | เจ้าแม่เอ๋ยสุดอาลัยนะลูกแก้ว | |||
| เจ้าอยู่เถิดมารดาจะลาแล้ว | กอดลูกแก้วโศกาด้วยอาลัย | |||
| แล้วก้มกราบสุริยันรำพันสั่ง | พระระวังลูกยาในป่าใหญ่ | |||
| พอสิ้นสั่งสุดสวาทก็ขาดใจ | กลับคืนไปสู่สวรรค์ชั้นวิมานฯ | |||
| ๏ ปางพระสุริย์ใสวิไลลบ | ให้ปรารภด้วยบุตรสุดสงสาร | |||
| ไม่เห็นใครที่จะได้พยาบาล | พระสุริยกาลกอดบุตรเข้าโศกา | |||
| แล้วผันแปรแลไปเห็นไกรสร | แม่ลูกอ่อนสถิตอยู่ในคูหา | |||
| พระอุ้มโอรสราชแล้วยาตรา | ถึงพญาสิงหราชประกาศพลัน | |||
| ว่าดูราราชสีห์อันมีศักดิ์ | โอรสรักเราเกิดในไพรสัณฑ์ | |||
| กำพร้าแม่แต่คลอดออกจากครรภ์ | จะให้ท่านเลี้ยงไว้ดังใจจง | |||
| เป็นบิดามารดาของทารก | เราจะยกให้ตามความประสงค์ | |||
| เวลาจวนเราจะด่วนไปอัสดง | ต่อนานนานจึงจะลงมาเชยชมฯ | |||
| ๏ ราชสีห์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | บังคมคัลพระอาทิตย์อิศยม | |||
| ไว้ธุระสิงหราอย่าปรารมภ์ | จะส่งนมเลี้ยงดูให้อยู่เย็น | |||
| แม้นโตใหญ่ได้พึ่งซึ่งพระเดช | ช่วยปกเกศราชสีห์ไม่มีเข็ญ | |||
| อันลูกข้าทารกแม้นอยู่เย็น | จะได้เป็นข้าไทเหมือนใจปอง | |||
| พระสุริยงทรงฟังไกรสรสัตว์ | โสมนัสยินดีไม่มีสอง | |||
| ส่งลูกให้สิงหราน้ำตานอง | อวยพรสองราชสีห์อย่ามีภัย | |||
| พระกอดจูบลูกยาน้ำตาหยด | อุ้มโอรสเศร้าสร้อยละห้อยไห้ | |||
| พระสงสารราชบุตรสุดอาลัย | แล้วลาไกรสรไปเวไชยันต์ฯ | |||
| ๏ ราชสีห์มีจิตพิศวาส | ด้วยองค์ราชโอรสพระสุริย์ฉัน | |||
| รักเสมอลูกยาไม่อาธรรม์ | เกษมสันต์อยู่ในถ้ำอันอำไพ | |||
| กุมาราชันษาได้สิบทัศ | งามจำรัสเหมือนองค์พระสุริย์ใส | |||
| กำลังเจ็ดช้างสารอันชาญชัย | เพราะว่าได้กินนมนางสิงหราฯ | |||
| ๏ จะกล่าวถึงพระอาทิตย์บิตุเรศ | พูนเทวษคิดถึงโอรสา | |||
| เสด็จจากรถชัยแล้วไคลคลา | ถึงคูหาถ้ำแก้วอันแพรวพราย | |||
| เห็นโอรสลดองค์ลงโอบอุ้ม | ประจงจุมพิตพักตร์พระโฉมฉาย | |||
| พระโลมลูบรับขวัญบรรยาย | โอ้พ่อสายสุดที่รักของบิดร | |||
| พ่อมิได้อยู่เลี้ยงไว้เคียงพักตร์ | เอาลูกรักฝากไว้กับไกรสร | |||
| ชนนีนางฟ้าสถาวร | นั้นม้วยมรณ์แต่เจ้าคลอดออกจากครรภ์ | |||
| พระกุมารฟังสารให้สงสัย | จึงถามไถ่ราชสีห์ขมีขมัน | |||
| ไกรสรเล่าความหลังให้ฟังพลัน | แจ้งสำคัญพระอาทิตย์เป็นบิดา | |||
| ศิโรราบกราบบาทบิตุเรศ | ชลเนตรพรั่งพรายทั้งซ้ายขวา | |||
| พระสุริยันกันแสงด้วยลูกยา | ทั้งสามสัตว์สิงหราก็โศกี | |||
| ครั้นเคลื่อนคลายวายโศกกันแสงศัลย์ | พระสุริยันตรัสประภาษกับราชสีห์ | |||
| จะให้นามตามวงศ์สวัสดี | แทรกชนกชนนีเข้าในนาม | |||
| ชื่อโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ | จงประสิทธิ์แก่กุมารชาญสนาม | |||
| ทั้งตรีโลกโลกาสง่างาม | เจริญความเกียรติยศปรากฏครันฯ | |||
| ๏ พระอาทิตย์นิรมิตเครื่องประดับ | ให้เสร็จสรรพล้วนเทพรังสรรค์ | |||
| เป็นเครื่องทิพสาตราสารพัน | ให้ป้องกันอยู่ในกายกุมารา | |||
| รณรงค์คงทนด้วยกายสิทธิ์ | พระอาทิตย์จึ่งสั่งโอรสา | |||
| อันเครื่องทรงที่ในองค์พระลูกยา | ล้วนเทพสาตราอันเกรียงไกร | |||
| จะรบราญรณรงค์เข้ายงยุทธ์ | ไม่พักหาอาวุธอย่าสงสัย | |||
| เครื่องประดับรับรบอรินทร์ภัย | เหาะเหินได้รุ่งเรืองด้วยเครื่องทรง | |||
| จงคิดอ่านไปผ่านพิภพโลก | มาวิโยคอยู่ไยในไพรระหง | |||
| สิงหราชชาติเชื้อเขาชาวดง | เจ้าเป็นพงศ์จักรพรรดิสวัสดี | |||
| พ่อจะบอกมรคาไปหาคู่ | นางนั้นอยู่บูรพาพาราณสี | |||
| จงลาแม่ลาพ่อจรลี | ถ้าได้ดีแล้วจงกลับมารับกัน | |||
| แม้นเคืองเข็ญจงคิดถึงบิตุเรศ | ถ้าแจ้งเหตุจะมาช่วยอย่าโศกศัลย์ | |||
| พระกอดจูบลูกยาเฝ้าจาบัลย์ | พระรำพันร่ำไรแล้วให้พร | |||
| พ่อจะลาแก้วตาไปส่องโลก | อย่าแสนโศกจงสุขสโมสร | |||
| ครั้นเสร็จสั่งสิงหราสถาวร | พระทินกรเหาะไปเวไชยันต์ฯ | |||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาน้ำตาไหล | ด้วยอาลัยสุริย์ฉายนั้นผายผัน | |||
| ยิ่งแลลับพระบิดายิ่งจาบัลย์ | สะอื้นอั้นกำสรดระทดกายฯ | |||
| ๏ สิงหราว่ากล่าวเล้าโลมปลอบ | ตามระบอบโศกเศร้าบรรเทาหาย | |||
| พระโคบุตรสุดจิตคิดเสียดาย | ค่อยน้อมกายเกศก้มประนมกร | |||
| ลูกขอลาชนนีอย่ามีเหตุ | เที่ยวประเวศตามคำพระร่ำสอน | |||
| ว่าคู่สร้างนางอยู่ในสาคร | พเนจรไปในป่าพนาวัน | |||
| แม้นบุญช่วยได้สมอารมณ์คิด | ให้ต้องจิตดังคำพระสุริย์ฉัน | |||
| กุศลส่งคงพบประสบกัน | ครองเขตขัณฑ์ได้คู่อยู่สำราญ | |||
| ถึงลูกไปใช่จะลืมพระคุณแม่ | ถ้าเว้นแต่ชีวังสิ้นสังขาร | |||
| แม้นบุญส่งคงสบายไม่วายปราณ | จะเวียนมามัสการพระมารดาฯ | |||
| ๏ ราชสีห์สุดที่จะทานทัด | กลัวจะขัดเคืองลูกเสน่หา | |||
| จึงอวยพรสั่งสอนกุมารา | แล้วให้ยาล้ำเลิศประเสริฐครัน | |||
| ถ้าเคี้ยวพ่นคนตายแล้วคลายรอด | ไม่ม้วยมอดมรณาชีวาสัญ | |||
| พระรับยาอาลัยใจผูกพัน | กันแสงศัลย์กราบบาทสิงหราฯ | |||
| ๏ โอ้แม่เจ้าคราวนี้จะนานแล้ว | จงอยู่ครองห้องแก้วถ้ำคูหา | |||
| ไม่ปลดปลงลูกคงจะกลับมา | แล้วอำลาราชสีห์ผู้พี่ชาย | |||
| ตั้งอารมณ์ข่มใจอาลัยรัก | ค่อยหาญหักอาดูรให้สูญหาย | |||
| เสด็จจากห้องแก้วอันแพรวพราย | พระทัยหายกลับมาโศกาลัย | |||
| เป็นหลายครั้งตั้งร่ำรำพันรัก | แล้วหวนหักเสน่หาน้ำตาไหล | |||
| พระชุบเช็ดชลนาด้วยอาลัย | แล้วหักใจจำทิศพระบิดา | |||
| เหาะละลิ่วปลิวคว้างมากลางเมฆ | ลอยวิเวกมาในท้องพระเวหา | |||
| พระลอยลมแลชมอรัญวา | ประมาณมาหลายคืนชื่นอารมณ์ฯ | |||
ตอนที่ ๒ ราชปุโรหิตชิงบัลลังก์เมืองพาราณสี นางมณีสาครและพระอรุณไปพบยักษ์ ๔ ตน
| ๏ จะกล่าวถึงขัตติย์วงศ์พงศ์กษัตริย์ | พรหมทัตธิบดินทร์ปิ่นสนม | ||
| ครองพาราณสีบุรีรมย์ | มีเมืองขึ้นมาบังคมไม่ขาดปี | ||
| มีเอกองค์ทรงนามประทุมทัศ | เสวยราชสมบัติเกษมศรี | ||
| มีพระราชธิดาล้ำนารี | ชื่อมณีสาครฉะอ้อนองค์ | ||
| มีพระราชกุมารเสน่หา | อนุชาน้องถัดนวลหง | ||
| ชื่ออรุณกุมารชาญณรงค์ | ทั้งสององค์ลูกเจ้ายังเยาว์ครัน | ||
| พระพี่ยาชันษาได้สิบทัศ | กุมารถัดเจ็ดขวบเกษมสันต์ | ||
| บิตุรงค์ทรงรักดังชีวัน | สารพันมิได้ขัดเคืองระคาย | ||
| ครั้นอยู่มาตาพราหมณ์ประโรหิต | ครองโลภจิตนึกเจตนาหมาย | ||
| เฒ่าชรามีบุตรบุรุษชาย | เมียนั้นตายจากอกไปหลายปี | ||
| คิดการศึกนึกจะเป็นกษัตริย์ | ผ่านสมบัติบ้านเมืองให้เรืองศรี | ||
| ทั้งลูกจะครองนุชพระบุตรี | ได้แทนที่พรหมทัตกษัตรา | ||
| จึงมั่วสุมซุ่มคนไว้คับคั่ง | ได้พร้อมพรั่งหลายพันก็หรรษา | ||
| ธนูง้าวหลาวโล่แลปืนยา | เครื่องสาตราครบถ้วนแลทวนแทง | ||
| ถึงวันดีเตรียมทัพเวลาดึก | อึกทึกฮึกหาญชาญกำแหง | ||
| เอาปืนใหญ่ยิงประดังพังกำแพง | จุดคบแดงให้ประดังเข้าวังใน | ||
| จับกษัตริย์ตัดเศียรสิ้น ชีวิต | ทวารปิดมิให้คนลอบหนีได้ | ||
| จับพวกเหล่าสาวสรรค์ กำนัลใน | มาคุมไว้กลางชาลาหน้าพระลาน | ||
| แสน สังเวชนางในใจจะขาด | ร้องกรีดกราดแซ่เสียงสำเนียงขาน | ||
| ผ้านุ่งห่มลุ่ยหลุดกระเซอซาน | บ้างคลำคลานออกมาทุกหน้านาง ฯ | ||
| ๏ สงสารองค์อัคเรศเกศกษัตริย์ | สองพระหัตถ์ข้อนทรวงเข้าผางผาง | ||
| เขาไล่จับสับสนอยู่บนปรางค์ | นุชนางอุ้มสองกุมารา | ||
| แล้ววิ่งวงลงจากปราสาททิพ | ค่อยกระซิบสั่งสองโอรสา | ||
| อย่าร้องดังฟังแม่นะแก้วตา | แล้วก็พาลูกเลี้ยว เที่ยวเวียนวง | ||
| ชำเลืองดูที่ทวารบานก็ปิด | ดังชีวิตนางจะม้วยเป็นผุยผง | ||
| เห็นไม้พุ่มอุ้มลูกเข้าแอบ องค์ | กระซิบทรงเศร้ากำสรดระทดใจ | ||
| สายสมรสอนสั่งพระลูก แก้ว | พอรุ่งแล้วถ้าเขาจับแม่ไปได้ | ||
| ทั้ง พี่น้องสองราอย่าอาลัย | พากันไปเถิดนะลูกอย่าอยู่เลย | ||
| ตามกุศลผลบุญของลูกแก้ว | แม่นี้ไม่อยู่แล้วหนาลูกเอ๋ย | ||
| พากันไปอย่าอาลัยถึงแม่เลย | แล้วทรามเชยกอดลูกเข้าโศกี | ||
| สามพระองค์ทรงโศกกันแสงไห้ | จนอุทัยจวนรุ่งจำรัสศรี | ||
| นางชาววังวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี | พระชนนีกอดลูกเข้าร่ำไร | ||
| เอาทรายฝุ่นมุนมอมพระลูกรัก | ให้ผิวพักตร์มัวหมองไม่ผ่องใส | ||
| รุ่งแล้วสองแก้วตาจงคลาไคล | เขาจับได้ก็จะม้วยด้วยชนนี | ||
| แล้วผันแปรมิได้แลดูลูกรัก | นางตั้งพักตร์วิ่งวางขึ้นปรางค์ศรี | ||
| เข้าสวมสอดกอดศพพระสามี | นางเทวีกลั้นใจบรรลัยลาญ | ||
| น่าสงสารสองกุมารมาลับแม่ | สุดชะแง้แล้วโศกาน่าสงสาร | ||
| กลั้นสะอื้นขืนใจอาลัยลาน | สองกุมารเดินเรียงมาเคียงกัน | ||
| นางมณีสาครจูงกรน้อง | สงสารสองบุตรีไม่มีขวัญ | ||
| เห็นผู้คนปนปลอมไปพร้อมกัน | ใครไม่ทันแจ้งจิตว่าธิดา | ||
| พ้นทวารบ้านเมืองชำเลือง เหลียว | ยิ่งเปล่าเปลี่ยวเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
| เจ้า รีบรัดตัดเนินดำเนินมา | ไม่รู้ว่าจะไปหนตำบลใด | ||
| กันแสงพลางเหลียวพลางดูปรางค์รัตน์ | หน่อกษัตริย์สองราน้ำตาไหล | ||
| ทุกเทวาช่วยรักษาทั้งสองไป | ดลพระทัยให้เข้าป่าพนาวัน ฯ | ||
| ๏ ประโรหิตสมคิดขึ้นปรางค์มาศ | สิงหนาทตั้งปึ่งทำขึงขัน | ||
| ท้าวพระยาหาตัวมาพร้อมกัน | ใครแข็งขันสั่งซ้ำให้จำจอง | ||
| ที่ยินยอมพร้อมใจให้สมบัติ | เอาความสัตย์อย่าให้หมายเป็นฝ่ายสอง | ||
| แล้วแต่งตั้งที่ขุนนางตามทำนอง | ทั้งพวกพ้องพร้อมจิตก็คิดการ | ||
| ให้ค้นหาธิดากรุงกษัตริย์ | จบจังหวัดพระนิเวศน์เขตสถาน | ||
| มิได้พบพี่น้องสองกุมาร | ตาพราหมณ์พาลจับยามตามตำรา | ||
| ก็รู้ว่าไม่อยู่ในนิเวศน์ | สุดสังเกตที่จะเสาะแสวงหา | ||
| ก็นิ่งไว้ในใจไม่เจรจา | สั่งให้หาช่างสุวรรณมาทันใด | ||
| ทำโกศทองรองศพสองกษัตริย์ | ประจงจัดไว้ปรางค์ทองอันผ่องใส | ||
| เที่ยวเลือกชมนางสนมกำนัลใน | สำราญใจพ่อลูกทุกคืนวัน ฯ | ||
| ๏ แสนสงสารพระกุมารสองสมร | ลับนครเข้าป่าพนาสัณฑ์ | ||
| กันแสงส่งสุรเสียงมาเคียงกัน | ได้สามวันเดินไพรไปไกลวัง | ||
| อดเสวยเนยนมยิ่งตรมอก | แสนวิตกคิดคะนึงถึงความหลัง | ||
| สงสารสองทรงศักดิ์ในนครัง | บรรลัยแล้วหรือยังไม่รู้เลย | ||
| เมื่อครั้งบุญทูลกระหม่อมยังครองภพ | เธอเวียนรบตักเตือนให้สรงเสวย | ||
| ยามวิบากจากสบายไม่วายเลย | ที่การเคยผาสุกมาทุกข์ทน | ||
| เพราะสิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมจิต | เอาชีวิตออกไว้อยู่ไพรสณฑ์ | ||
| เอาเสือสางกวางเถื่อนเป็นเพื่อนตน | ทั้งผู้คนเงียบสงัดล้วนสัตว์พาล | ||
| พระพี่น้องสององค์ทรงกันแสง | จนสุดแรงที่จะไปในไพรสาณฑ์ | ||
| สิ้นกำลังล้มลงในดงดาน | สองกุมารนิ่งซบสลบลง ฯ | ||
| ๏ เทพไททุกวิมานบันดาลเงียบ | เย็นยะเยียบทุกหย่อมหญ้าป่าระหง | ||
| ทุกก้านกอช่อไม้ในไพรพง | สงสารองค์อรุณราชเพียงขาดใจ | ||
| ลมรำพายชายพัดมารึ่นรื่น | ทั้งสองฟื้นสมประดีขึ้นโหยไห้ | ||
| พระพี่ชวนอนุชาลีลาไป | โศกาลัยเลียบเดินเนินคีริน | ||
| บรรลุถึงสระหนึ่งน้ำสะอาด | เดียรดาษด้วยอุบลชลสินธุ์ | ||
| ทั้งฝักดอกจอกกระจับในวาริน | ระรื่นกลิ่นเกสรขจรจาย | ||
| ทั้งสององค์นั่งลงกำลังหอบ | พระกรกอบดื่มกินกระสินธุ์สาย | ||
| แล้วชวนน้องลงในสระชำระกาย | เที่ยวแหวกว่ายเลือกหักฝักอุบล | ||
| พี่แหวกจอกปอกเสวยกระจับสด | น้องว่ารสโอชาผลาผล | ||
| จะกล่าวถึงยักษ์ร้ายในสายชล | ทั้งสี่ตนฤทธิไกรดังไฟกาฬ | ||
| พระเวสสุวัณสาปสรรให้เฝ้าสระ | ด้วยโมหะฤทธิ์แรงกำแหงหาญ | ||
| ได้ยินเสียงพี่ น้องสองกุมาร | ลงลอยเล่นชลธารสะเทื้อนไป | ||
| แสนพิโรธโดดทะลึ่งเสียงอึงอัด | ไล่สกัดเรียกกันอยู่หวั่นไหว | ||
| แสนสงสารสุดสวาทเพียงขาดใจ | เห็นยักษ์ไล่ติดพันกระชั้นมา | ||
| สองพี่น้องร้องหวีดกราดกรีดเสียง | ชีวิตเพียงจะพินาศด้วยยักษา | ||
| เจ้าแหวกว่ายเวียนวงในคงคา | อสุรากั้นกางไว้กลางชล ฯ | ||
ตอนที่ ๓ โคบุตรมาช่วยชุบชีวิตท้าวพรหมทัตและพระมเหสี
| ๏ พอโคบุตรสุริยาเหาะมาถึง | ได้ยินอึงหวั่นไหวทั้งไพรสณฑ์ | ||
| พระลอยแลมาแต่โพยมบน | เห็นสายชลฟุ้งสายกระจายฟอง | ||
| สี่ยักษาไล่ทารกอยู่หมกมุ่น | นึกการุญสงสารเจ้าทั้งสอง | ||
| พระโถมลงตรงสระปทุมทอง | อุ้มเอาสองกุมารทะยานมา | ||
| ยักษ์พิโรธโกรธไล่กระชั้นชิด | พระทรงฤทธิ์หยุดยืนบนยอดผา | ||
| โบกพระหัตถ์ตรัสห้ามแล้วถามมา | อสุราโกรธกันด้วยอันใด | ||
| ยักษ์ทมิฬยินถามคำรามร้อง | มันจองหองลงชำระในสระใหญ่ | ||
| เก็บโกมินกินฝักแล้วหักใบ | เราขัดใจจึ่งจะล้างให้วางวาย ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องสองเจ้าเล่าความหลัง | เป็นสัจจังข้าพเจ้าเล่าถวาย | ||
| ทินกรร้อนรนกระวนกระวาย | มาเห็นสายชลธีก็ดีใจ | ||
| ทั้งพี่น้องสององค์ลงกินอาบ | ก็เย็นซาบสรรพางค์ไม่ตักษัย | ||
| คิดว่าน้ำสำหรับอยู่กับไพร | ไม่แจ้งใจว่าเจ้าของเขาป้องกัน | ||
| จงเอาบุญเจ้าประคุณเอ็นดูด้วย | เหมือนโปรดช่วยลูกกำพร้าจะอาสัญ | ||
| พระทรงฟังสังเวชพระทัยครัน | จึงว่ากับกุมภัณฑ์ไปทันความ | ||
| นี่แน่นายฝ่ายเด็กไม่รู้แจ้ง | ใช่จะแกล้งมาข่มเหงไม่เกรงขาม | ||
| ถึงจะฆ่าทารกไม่ลือนาม | จะถือความไปทำไมไม่ต้องการ ฯ | ||
| ๏ พวกรากษสโกรธร้องอยู่ก้องกึก | จองหองฮึกเหิมนักทำหักหาญ | ||
| มิส่งมามึงจะพากันวายปราณ | มิใช่การของเอ็งไม่เกรงกัน ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารมารร้ายหมายชีวิต | ไม่หวาดจิตปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
| จึ่งว่าเหวยอสุราใจอาธรรม์ | เราไม่พรั่นดอกที่ข้อจะต่อตี | ||
| พระถอดเทพสังวาลโองการสั่ง | สังวาลระวังพี่น้องทั้งสองศรี | ||
| ยักษ์พิโรธโลดไล่เป็นสิงคลี | กระโดดตีตึงตังประดังมา ฯ | ||
| ๏ พระลองแรงแผลงฤทธิ์เข้ารบรับ | พระหัตถ์จับข้างละสองสี่ยักษา | ||
| เผ่นผงาดฟาดผางกลางศิลา | อสุราดิ้นกระเดือกลงเสือกกาย | ||
| จึงโอมอ่านอาคมพรหมประสิทธิ์ | ก็เปลื้องปลิดเจ็บปวดนั้นสูญหาย | ||
| เข้ากลาดกลุ้มรุมรบอยู่รอบกาย | ดังเสียงสายสุนีลั่นสนั่นดัง | ||
| ด้วยเดชะเครื่องประดับสำหรับศึก | แล่นพิลึกโลดไล่ไม่ถอยหลัง | ||
| ได้กินนมราชสีห์มีกำลัง | ไม่พลาดพลั้งติดพันประจัญบาน | ||
| ต่างกำแหงแรงเริงในเชิงรบ | ไม่หลีกหลบโลดไล่ด้วยใจหาญ | ||
| ยักษ์จะจับพี่น้องสองกุมาร | เพราะสังวาลป้องกันไม่อันตราย ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาวราเดช | เอาธำมรงค์บิตุเรศอันเรืองฉาย | ||
| พระหัตถ์ขว้างเป็นแสงประกายพราย | ประหารกายยักษ์ขาดลงดาษดิน | ||
| ด้วยฤทธิ์เทพอาวุํธสุดจะแก้ | ไม่หายแผลม้วยมุดสุดถวิล | ||
| ราพณ์ร้ายตายกลาดลงดาษดิน | พระนรินทร์เหาะลงเนินคิรี | ||
| จึงเรียกสองกุมาราเข้ามาชิด | พลางพินิจพี่น้องทั้งสองศรี | ||
| งามเจริญกิริยากุมารี | ดังมณีเมขลาวิไลทรง | ||
| ชมกุมารน้องชายก็เฉิดโฉม | งามประโลมดังเทพครรไลหงส์ | ||
| ชะรอยเป็นจักรพรรดิขัตติย์วงศ์ | จึงเอื้อนโองการถามเนื้อความไป | ||
| นี่แน่น้องสองเจ้าจงเล่าเรื่อง | อยู่บ้านเมืองแห่งหนตำบลไหน | ||
| ยังเด็กนักหักหาญมาเดินไพร | บุญเจ้าไม่มรณาพี่มาทัน ฯ | ||
| ๏ สองกันแสงเล่าความไปตามเรื่อง | ฉันเสียเมืองยากไร้มาไพรสัณฑ์ | ||
| มาประสบพบมารชาญฉกรรจ์ | แล้วโศกศัลย์ร่ำไรอยู่ไปมา | ||
| พระโปรดช่วยจึงไม่ม้วยชีวาวาตม์ | ขอรองบาทยุคลจนสังขาร์ | ||
| ข้าชื่อมณีสาครแต่ก่อนมา | อนุชาชื่ออรุณร่วมท้องกัน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ใ้ห้สงสาร | ปลอบกุมารว่าอย่าทรงกันแสงศัลย์ | ||
| เจ้ายังเด็กพี่็ก็เล็กอยู่ด้วยกัน | ไม่หมายมั่นจะเอามาเป็นข้าไท | ||
| จะช่วยน้องให้ได้ครองคืนสถาน | จงสำราญเถิดนะน้องอย่าหมองไหม้ | ||
| พี่จะชุบกุมภัณฑ์ที่บรรลัย | จึ่งจะไม่เป็นกรรมประจำกาย | ||
| พระหยิบยามาเคี้ยวแล้วเที่ยวพ่น | กุมภัณฑ์พลได้กลิ่นก็กลับหาย | ||
| หมอบประนมก้มตัวด้วยกลัวตาย | ต่างถวายอภิวันท์รำพันความ | ||
| ขอบพระคุณการุญชุบชีวิต | ได้พูดผิดข้าน้อยนี้หยาบหยาม | ||
| ขอรองบาทมุลิกาพยายาม | ไปติดตามกว่าจะสูญสิ้นชีวา | ||
| แล้วยักษีสี่นายถวายแก้ว | อันเลิศแล้วเหาะได้ในเวหา | ||
| ทั้งสองดวงแต่ล้วนดีมีศักดา | ปรารถนานึกได้ดังใจจง ฯ | ||
| ๏ พระรับแก้วแล้วตรัสกับขุนยักษ์ | ท่านจงรักสุจริตจิตประสงค์ | ||
| เราสงสารพี่น้องทั้งสององค์ | เจ้าเชื้อพงศ์จักรพรรดิสวัสดี | ||
| เที่ยวทนทุกข์บุกป่าพนาเวศ | น่าสมเพชใจนักนะยักษี | ||
| จะแก้ไขให้สองราคืนธานี | อสุรีจงไปช่วยเราด้วยกัน ฯ | ||
| ๏ พนาสูรทูลความไปตามเรื่อง | มิให้เคืองบาทมูลทูลผ่อนผัน | ||
| ให้สององค์พระกุมารสำราญครัน | เหมือนทรงธรรม์อนุกูลกุมารา ฯ | ||
| ๏ ได้ฟังสารแสนสำราญอารมณ์รื่น | พระชมชื่นแสนสนิทเสน่หา | ||
| พระยื่นแก้วแล้วตรัสจำนรรจา | ถือจินดาเถิดน้องทั้งสองคน | ||
| เจ้ากุมแก้วแล้วเหาะไปตามพี่ | ถึงบุรีเรืองรัตน์ไม่ขัดสน | ||
| สองกุมารกรานกราบจอมสากล | แล้วกุมแก้วฤทธิรณไว้กับกร ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาก็พาเหาะ | ข้ามละเมาะเขาเขินเนินสิงขร | ||
| สามกษัตริย์อสุราพากันจร | หมายนครลอยฟ้ามาบุรี | ||
| ครั้นภาณุมาศผาดแผดแดดร้อนจัด | สามกษัตริย์ต้องแสงนรังสี | ||
| พระเคลื่อนคล้อยลอยลงในพงพี | จรลีร่มรื่นชื่นพระทัย | ||
| พระโคบุตรชวนน้องสองกษัตริย์ | ชมพนัสหิมวาพฤกษาไสว | ||
| ที่ผลิดอกออกผลระคนไป | วายุไกวกิ่งกวดเป็นวงกง | ||
| ชมพู่เทศเกดแก้วตะโกโกฐ | ชะลูดโลดตุมกามหาหงส์ | ||
| หันเหียนตะเคียนคางยางประยงค์ | วัลย์เปรียงปรงปรูปรางตะลิงปลิง | ||
| ฝูงอีลุ้มแอบพุ่มอุโลกลับ | กระสาจับไซ้ขนบนต้นสิง | ||
| กาลิงเลี้ยวไล่หานางกาลิง | อัญชันชิงคู่เคียงอยู่เรียงกัน | ||
| นกกระเหว่าเฝ้าแฝงฝรั่งร้อง | ฝูงยูงทองย่องเหยียบพะยุงขัน | ||
| สามกุมารเพลิดเพลินเจริญครัน | แล้วพากันชมนกไม้ไพรพนม | ||
| ตามประสาทารกรักสนิท | ไม่นึกคิดเคืองระคายเท่าปลายผม | ||
| สัพยอกหยอกเอินเพลินอารมณ์ | จนแดดร่มเบี่ยงบ่ายลงชายไพร | ||
| พระชวนน้องสององค์ขึ้นเหาะเหิน | งานเจริญรีบมาในป่าใหญ่ | ||
| ลอยละลิ่วปลิวเมฆมาไรไร | ประมาณได้ยามหนึ่งถึงธานี | ||
| สองกุมารทูลความไปตามเรื่อง | นี่แลเมืองข้าน้อยทั้งสองศรี | ||
| โน่นปรางค์ทองของพระชนนี | แต่เดี๋ยวนี้ใครจะอยู่ไม่รู้ความ | ||
| ได้ทรงฟังทั้งสองพระน้องนาฏ | ลงปราสาทเถิดนะน้องอย่าเกรงขาม | ||
| แม้นมิใช่บิดาพะงางาม | จงแจ้งความพี่จะทำให้หนำใจ ฯ | ||
| ๏ กุมาราพาองค์พระทรงเดช | เข้านิเวศน์ปรางค์ทองอันผ่องใส | ||
| สามกษัตริย์อสุราก็คลาไคล | เข้าห้องในปรางค์รัตน์ชัชวาล ฯ | ||
| ๏ นางชาววังนั่งยามอยู่แออัด | เห็นกษัตริย์สองราน่าสงสาร | ||
| ให้ระลึกถึงนายที่วายปราณ | วิ่งเข้ากอดกุมารแล้วโศกา | ||
| สิ้นบุญทูลกระหม่อมทั้งสองแล้ว | ดังดวงแก้วมืดมิดทุกทิศา | ||
| แม่เป็นไรไปแล้วจึ่งกลับมา | พราหมณ์ชราพ่อลูกมันครองวัง ฯ | ||
| ๏ ได้ฟังฝูงกัลยาน้ำตาไหล | แข็งพระทัยตรัสถามเนื้อความหลัง | ||
| สองพระองค์ปลดปลงชีวาวัง | พระศพยังอยู่หรือสูญไปแห่งใด ฯ | ||
| ๏ สาวสนมก้มกราบแล้วทูลสนอง | อันศพสองปิ่นกษัตริย์ที่ตัดษัย | ||
| เขาใส่พระโกศทองไว้ห้องใน | แล้วร้องไห้ห้ามปรามพระทรามชม | ||
| นางมณีสาครกับน้องน้อย | ก็เศร้าสร้อยโลมเล้าสาวสนม | ||
| แต่ก่อนปางสร้างกรรมจำนิยม | อย่าปรารมภ์เราจะคืนเอาพารา | ||
| แล้วนำองค์ทรงศักดิ์กับยักษ์ร้าย | ค่อยแฝงกายมาถึงแท่นอันเลขา | ||
| เห็นพราหมณ์เฒ่าขึ้นสถิตแท่นบิดา | กับลูกยาบนเตียงอยู่เคียงกัน ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องร้องเรียกให้ยักษ์จับ | สั่งกำชับอย่าเพ่อฆ่าให้อาสัญ | ||
| ยักษ์กระโจมโถมจับตาพราหมณ์พลัน | เชือกมัดมั่นสองแขนอยู่แอ่นกาย | ||
| ทั้งพ่อลูกถูกมัดอยู่นอนกลิ้ง | พวกผู้หญิงเห็นยักษ์ก็ใจหาย | ||
| บ้างหวีดหวาดผาดแลเห็นเจ้านาย | จึงค่อยคลายความกลัวทุกตัวคน ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องร้องห้ามพวกสาวใช้ | อย่าตกใจใช่ศึกมากลางหน | ||
| ต่างรู้ชัดค่อยสงัดสงบตน | พระสุริยนเยี่ยมยอดเมรุไกร | ||
| พระพี่น้องร้องเชิญพระโฉมศรี | มาสู่ที่โกศทองอันผ่องใส | ||
| ให้เปิดโกศเชิญศพออกทันใด | ภูวไนยพ่นด้วยโอสถพลัน | ||
| จอมกษัตริย์สององค์คงชีวิต | ค่อยเคลิ้มจิตคลับคล้ายเหมือนใฝ่ฝัน | ||
| เห็นลูกรักยักษ์ร้ายอยู่เคียงกัน | พระโศกศัลย์สวมกอดเอาลูกยา | ||
| พ่อบรรลัยใครช่วยจึงรอดเล่า | ไฉนเจ้ารู้จักกับยักษา | ||
| พระโฉมยงองค์นั้นนะกัลยา | เสด็จมาแต่หนตำบลใด ฯ | ||
| ๏ พระโอรสยศยงทรงสดับ | จึงกล่าวกลับความหลังแถลงไข | ||
| พระชนกชนนีก็ดีใจ | ราวกับได้ทิพสถานพิมานอินทร์ | ||
| เข้าอุ้มองค์บุตราพระอาทิตย์ | พลางจุมพิตเชยชมสมถวิล | ||
| สมบัติของบิดาในธานินทร์ | ทั้งม้ารถคชริินทร์อันเพริศพราย | ||
| จะมอบให้ทรามชมเสวยราชย์ | ชนชาติจะได้พึ่งพระโฉมฉาย | ||
| พระบิดรมารดาชรากาย | จะเบี่ยงบ่ายบรรพชาไม่ราคี | ||
| ฝากแต่น้องสององค์ไว้ด้วยเถิด | นึกว่าเกิดร่วมครรภ์พระโฉมศรี | ||
| พ่อขอถามนามชนกชนนี | ผ่านบุรีแห่งหนตำบลใด ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรทรงฟังรับสั่งถาม | ไม่บอกความออกแจ้งแถลงไข | ||
| หม่อมฉันชาวหิมวาพนาลัย | ทุเรศไร้สุริย์วงศ์อยู่ดงดอน | ||
| พระมารดาอาสัญแต่วันคลอด | ชีวิตรอดด้วยราชไกรสร | ||
| ลูกรักเคยอยู่ป่าพนาดร | มาเที่ยวจรเล่นตามความสบาย | ||
| มาพบน้องนวลนางที่กลางเถื่อน | เห็นเด็กเหมือนกันก็รักไม่รู้หาย | ||
| ฉันชุบช่วยภูวดลให้พ้นตาย | เสร็จแล้วจะถวายบังคมลา | ||
| ซึ่งโปรดปรานบ้านเมืองให้ลูกรัก | มิใช่ศักดิ์เชื้อวงศ์เผ่าพงศา | ||
| ลูกยกให้แก่พระน้องทั้งสองรา | จะกราบลาเที่ยวให้เพลินเจริญใจ | ||
| พระโศกาอาลัยใจจะขาด | ภูวนาถว่าวอนด้วยรักใคร่ | ||
| สารพัดพ่อมาตัดอาลัยไป | ทั้งเวียงชัยก็ไม่รักจะหักจร | ||
| ทำกระไรจะได้แทนคุณสนอง | ที่ช่วยสองสุดสวาทสโมสร | ||
| จงเอ็นดูบิดาที่ว่าวอน | อยู่นครด้วยน้องทั้งสององค์ ฯ | ||
| ๏ พระฟังห้ามตามมีไมตรีจิต | บุตรอาทิตย์ทูลความตามประสงค์ | ||
| ถึงลูกไปใช่จะลืมบาทบงสุ์ | เมื่อนานนานแล้วก็คงจะกลับมา ฯ | ||
| ๏ พรหมทัตครั้นจะขัดก็สุดคิด | รัญจวนจิตเศร้าสร้อยละห้อยหา | ||
| แลดูองค์ทรงฤทธิ์กับธิดา | อุปมาเหมือนแก้วแกมกับทอง | ||
| แต่ทรงฤทธิ์จิตยังเด็กไม่รู้จัก | ด้วยเ็ด็กนักยังไม่ควรภิเษกสอง | ||
| จะโลมเล้าเอาใจในทำนอง | พระตรึกตรองตรัสไปด้วยไมตรี | ||
| ถึงจะไปอาลัยแก่พ่อมั่ง | จงรอรั้งอยู่เมืองให้เรืองศรี | ||
| พออุ่นใจไพร่ฟ้าประชาชี | ชาวบุรีหญิงชายกระจายจร | ||
| ว่าพ่อได้สายสวาทเป็นโอรส | เฉลิมยศภิญโญสโมสร | ||
| พ่อเอ็นดูบิดาให้อาวรณ์ | อย่าเพ่อจรให้พ่อช้ำระกำใจ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสงสารท้าวพรหมทัต | สุดจะขัดแล้วจึ่งทูลสนองไข | ||
| พระตรัสห้ามสามหนแล้วจนใจ | จะอยู่ไปมิให้เคืองเรื่องราคี | ||
| เมื่อนานนานลูกจะลาไปเล่นมั่ง | จิตลูกยังอาลัยถึงไพรศรี | ||
| จะเที่ยวดูเสียให้ทั่วทั้งธรณี | ชมบุรีจักรพรรดิกษัตรา | ||
| กรุงกษัตริย์ฟังสารสำราญรื่น | ประคองชื่นรับขวัญด้วยหรรษา | ||
| แล้วเชิญโอรสราชเร่งยาตรา | เสด็จมาพระโรงรัตน์ชัชวาล | ||
| ให้ยักษาพาพราหมณ์มาถามซัก | เอาเพื่อนพรรคพี่น้องจองหองหาญ | ||
| ทั้งพ่อลูกผูกมัดฝีมือมาร | ก็ให้การซัดเพื่อนออกเปื้อนคำ | ||
| เขาจดหมายไล่จับมาคับคั่ง | มีรับสั่งให้ลงโทษแต่คนขำ | ||
| บีบขมับขับเฆี่ยนเจียนระยำ | ให้ตรากตรำตรึงตราไว้ตรุใน | ||
| แล้วยกข้อพ่อลูกประโรหิต | กระทำผิดสาหัสถึงตัดษัย | ||
| ให้ตีฆ้องร้องป่าวตระเวนไป | อย่าฆ่าในธานีเป็นชีพราหมณ์ | ||
| ใส่นาวาไปมหาทะเลหลวง | เอาหินถ่วงเสียให้จมสมหยาบหยาม | ||
| พระตรัสสั่งสิ้นเสร็จสำเร็จความ | แล้วชวนสามโอรสเข้าสู่วัง | ||
| เสวกาพาพราหมณ์ทั้งพ่อลูก | ไปมัดผูกเฆี่ยนขับตามรับสั่ง | ||
| ตะโหงกคอข้อมือขื่อประดัง | ข้างหน้าหลังตีฆ้องมาสองคน | ||
| พวกดาบแดงแซงเดินกระหนาบข้าง | ขยับย่างจูงพราหมณ์มาตามถนน | ||
| ตีฆ้องแล้วให้ร้องประจานตน | ทั้งสองคนพ่อลูกเหมือนอย่างลิง | ||
| เสียงหม่องหม่องร้องว่าเจ้าข้าเอ๋ย | อย่าดูเยี่ยงข้าเลยทั้งชายหญิง | ||
| ข้าพ่อลูกทุจริตทำผิดจริง | กบฏชิงสมบัติกษัตรา | ||
| ทั้งชาวบ้านร้านตลาดก็กลาดเกลื่อน | ร้องเรียกเพื่อนวิ่งกรูมาดูหน้า | ||
| ทั้งธานีมิได้มีใครเวทนา | มันอยากชิงวาสนาสาแก่ใจ | ||
| ตระเวนรอบขอบเมืองทุกบ้านช่อง | ลงเรือล่องไปในกลางทะเลใหญ่ | ||
| เอาพ่อลูกผูกแผ่นศิลาลัย | โยนลงในสาชลก็วายปราณ | ||
| กลับมาทูลมูลเหตุเกศกษัตริย์ | พรหมทัตปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
| จิตระรื่นชื่นอารมณ์ชมกุมาร | จำเนียรกาลนานมาอยู่ธานี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงสวัสดิ์ | บังคมทูลพรหมทัตเจ้ากรุงศรี | ||
| ลูกอยู่กับบิดามากว่าปี | ระลึกถึงพงพีพ้นกำลัง | ||
| ลูกจะขอลาองค์พระทรงเดช | ไปเที่ยวชมหิมเวศเหมือนใจหวัง | ||
| พรหมทัตขัตติย์วงศ์ได้ทรงฟัง | ท้าวเธอหลั่งชลนาโศกาลัย | ||
| ครั้นจะตรัสหักหาญพูดทานทัด | กลัวจะขัดเคืองวิญญาณ์อัชฌาสัย | ||
| จึ่งตรัสว่าแก้วตาจะคลาไคล | สำราญใจกลับมายังธานี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรรับรสพจนารถ | กราบเบื้องบาทบงกชบทศรี | ||
| ลูกไปลับคงจะกลับมาบุรี | ไม่ถึงปีอย่าอาลัยพระทัยปอง | ||
| แล้วผินหน้ามาสั่งพระน้องรัก | อยู่ตำหนัีกเถิดเจ้าอย่าเศร้าหมอง | ||
| พี่ไปแล้วคงจะกลับมารับน้อง | นวลละอองจงสุโขอย่าโศกา | ||
| ทั้งพี่น้องร้องไห้วิ่งไปกอด | รำพันพลอดวิงวอนฉะอ้อนว่า | ||
| จะไปไหนฉันจะไปด้วยพี่ยา | อย่าพักว่าเลยไม่อยู่ในบูรี ฯ | ||
| ๏ พระรับขวัญจูบน้องประคองชิด | ตามจริตทารกทั้งสามศรี | ||
| อย่าไปเลยลำบากองค์ในพงพี | ล้วนเสือสีห์ผีสางกลางอารัญ | ||
| มันเห็นใครใจอ่่อนมันหลอนหลอก | ไม่ดีดอกเจ้าอย่าไปในไพรสัณฑ์ | ||
| ทำไมกับพี่มีมนต์ไม่กลัวมัน | จงครองกันอยู่เมืองอย่าเคืองระคาย ฯ | ||
| ๏ อย่าพักปดให้เหนื่อยปากไม่อยากเชื่อ | ถึงช้างเสือก็ไม่พรั่นเหมือนมั่นหมาย | ||
| มิพาไปแล้วไม่ออกไปนอกกาย | จะกอดคอไว้จนตายไม่ปล่อยเลย ฯ | ||
| ๏ ดูดู๋ว่าแล้วยังไม่ฟังว่า | ทั้งข้าวปลาก็จะได้ที่ไหนเสวย | ||
| ดวงมณีที่พี่ให้เอาไว้เชย | อย่าไปเลยโฉมตรูอยู่พารา | ||
| ทั้งพี่น้องร้องไห้ไม่ฟังห้าม | ขืนจะตามไปหิมเวศด้วยเชษฐา | ||
| พระโคบุตรสุดจนพ้นปัญญา | ทูลบิดาให้ห้ามเจ้าทรามวัย | ||
| บิตุรงค์ทรงพระสรวลสำรวลร่า | ตามแต่เจ้าจะว่าอัชฌาสัย | ||
| เมื่อพ่อแม่เขาไม่รักจะหักไป | แล้วภูวไนยเล้าโลมนางโฉมงาม | ||
| อนุชาพ่อจงพาไปฝึกสอน | นางมณีสาครจะช่วยห้าม | ||
| แล้วตรัสปลอบพระธิดาพะงางาม | แม่อย่าตามไปให้ยากลำบากกาย | ||
| แม้นขุกเข็ญเป็นหญิงนี้ยากนัก | พระลูกรักพ่อว่าอย่าผันผาย | ||
| พระอนุชาเขาเชื้อเนื้อว่าชาย | อันตรายโพยภัยเขาไม่มี ฯ | ||
| ๏ นางทรงฟังแค้นจิตบิตุเรศ | ชลเนตรไหลนองหม่นหมองศรี | ||
| เจ้าหยิกข่วนเชษฐาไม่ปรานี | แล้วเข้าที่ไสยาโศกาลัย ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาผวาวิ่ง | มาปลอบมิ่งสมรมิตรพิสมัย | ||
| พี่เมตตาจึ่งไม่พาเจ้าเดินไพร | แม่ยังไม่เห็นดีเข้าตีรัน | ||
| แต่น้องน้อยยังหน่วงเป็นห่วงนัก | พระทรงศักดิ์เธอจะให้ไปกับฉัน | ||
| แม่จงฟังพี่ยาอย่าจาบัลย์ | จะเก็บพรรณบุปผาอัมพาพวง | ||
| ที่หอมหวนงามหลากมาฝากแม่ | ห้อยพระแกลเล่นสะพรั่งในวังหลวง | ||
| พงศ์กษัตริย์ตรัสล้อแล้วล่อลวง | สุดาดวงค่อยชื่นกลืนน้ำตา ฯ | ||
| ๏ พระจูงกรยุพยงอนงค์นาฏ | ยุรยาตรจากแท่นอันเลขา | ||
| มาฝากองค์ทรงฤทธิ์พระบิดา | แล้วชวนพระอนุชามาสรงชล | ||
| ในอ่างทองรองฝักปทุมมาศ | ดูสะอาดชลปรอยเป็นฝอยฝน | ||
| น้ำกุหลาบอาบองค์สรงสุคนธ์ | ทรงเครื่่องต้นดูงามอร่ามพราย ฯ | ||
| ๏ สององค์ออกหน้าโถงพระโรงรัตน์ | หน่อกษัตริย์ทรงแท่นอันเรืองฉาย | ||
| โองการสั่งอสุรีทั้งสี่นาย | จงผันผายไปสถานสำราญใจ | ||
| แต่จงช่วยกรุณังระวังนิเวศน์ | ทั่วขอบเขตนครังทั้งน้อยใหญ่ | ||
| พนาสูรทูลสนองให้ต้องใจ | ในกรุงไกรมิให้มีราคีพาน | ||
| สิบห้าวันจะผลัดกันมาสืบข่าว | ให้สองท้าวปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
| แล้วกราบลาพี่น้องสองกุมาร | เหาะทะยานหมายมาพนาลี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ | สำราญจิตจากพระโรงอันเรืองศรี | ||
| เจ้าอรุณสุริยวงศ์ทรงมณี | จรลีลอยลิ่วปลิวเมฆา | ||
| ออกจากรุงมุ่งหมายเข้าไพรระหง | ทั้งสององค์ชมไม้ไพรพฤกษา | ||
| พระเหาะเรียงเคียงชมยมนา | ลอยละลิ่วปลิวฟ้ารีบคลาไคล ฯ | ||
| ๏ พระสุริยงลงลับเหลี่ยมภูผา | พระจันทราส่องสว่างกระจ่างไข | ||
| ทั้งสองชมจันทรานภาลัย | มาตามในแถวทางกลางอารัญ | ||
| พระเหาะเรียงเคียงชมดาราราย | แสนสบายคลายทุกข์เกษมสันต์ | ||
| ศิลาลายพรายเลื่อมด้วยแสงจันทร์ | ชี้ชวนกันทัศนาศิลาลัย ฯ | ||
| ๏ พระสุริยาฟ้าสางสว่างภพ | กระจ่างจบในป่าพฤกษาไสว | ||
| ทั้งพี่น้องสองเหาะระเห็จไป | ถึงเขาใหญ่สูงเงื้อมตระหง่านครัน | ||
| เป็นสี่เหลี่ยมสูงวิเวกเทียมเมฆมืด | ดูโยงยืดยาวใหญ่ในไพรสัณฑ์ | ||
| เหมือนเมฆมืดเมฆาเมื่อสายัณห์ | พระชวนกันสององค์เดินตรงมา | ||
| ครั้นถึงที่เขาใหญ่ในไพรสณฑ์ | แลเห็นต้นนารีผลบนเนินผา | ||
| ล้วนคนธรรพ์นักสิทธ์วิทยา | เฝ้ารักษาแลล้อมอยู่พร้อมกัน | ||
| ทั้งสององค์่ทรงแลไม่เคยเห็น | มุ่งเขม้นแล้วทรงพระสรวลสันต์ | ||
| พระโคบุตรนึกอนาถประหลาดครัน | ต้นไม้นั้นแต่ล้วนนางสล้างไป | ||
| ที่ใต้ต้นคนธรรพ์สะพรั่งอยู่ | พระน้องดูให้เห็นเล่นใกล้ใกล้ | ||
| ว่าพลางทางชวนกันเหาะไป | สำราญใจชื่นจิตด้วยฤทธิรณ ฯ | ||
ตอนที่ ๔ โคบุตรรบวิชาธร ฆ่าทัศกัณฐมัจฉาตาย
| ๏ ฝ่ายคนธรรพ์กับพวกวิชาธร | เหาะเร่ร่อนคอยระวังนารีผล | ||
| เห็นพี่น้องสององค์ในอำพน | แต่ละตนเดือดดาลทะยานใจ | ||
| ด้วยหวงแหนแค้นเคืองเป็นที่สุด | เหม่มนุษย์สองรามาแต่ไหน | ||
| แกว่งพระขรรค์หันเหาะระเห็จไป | ทะลวงไล่บุกบั่นกระชั้นมา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรหยุดถอดเอาแหวนก้อย | ให้น้องน้อยใส่นิ้วพระหัตถา | ||
| เข้าโจมจับกับพวกวิทยา | เสียงศาสตรากริ่งกร่างกลางอัมพร | ||
| ชิงพระขรรค์ฟันฟาดเสียงฉาดฉับ | ศีรษะพับตกผางกลางสิงขร | ||
| ที่เหลือตายรายรอบเข้าราญรอน | วิชาธรล้อมกลุ้มเข้ารุมองค์ ฯ | ||
| ๏ พระรบรับจับมารแล้วโยนขว้าง | เสียงผึงผางถูกเพื่อนเป็นผุยผง | ||
| ด้วยกำลังยั่งยืนกลางณรงค์ | ดังครุฑยงเหยียบพญาวาสุกรี | ||
| วิชาธรอ่อนฤทธิ์ไม่อาจรบ | น้อยกำลังหลีกหลบเอาตัวหนี | ||
| ที่วอดวายตายกลาดธรณี | ที่หลบลี้หลีกลอดก็รอดตาย | ||
| พระพี่น้องสองราพากันเหาะ | ลงจำเพาะเขาใหญ่เหมือนใจหมาย | ||
| เห็นซากศพวิทยาบรรดาตาย | ทั้งกรกายขาดพลัดกระจัดกัน | ||
| หวนพระทัยใจจิตคิดสังเวช | แสนสมเพชวิทยาที่อาสัญ | ||
| อ้ายเหล่านี้ไม่พอที่ทำดุดัน | พระพูดกันพี่น้องทั้งสองรา | ||
| จะชุบชีวิตไว้พอหายหลาบ | อย่าเป็นบาปติดกายไปภายหน้า | ||
| ดำริพลางทางหยิบเอายามา | กุมาราเคี้ยวพ่นทุกคนไป ฯ | ||
| ๏ วิชาธรรอดตายขึ้นไหว้กราบ | ศิโรราบหมอบเรียงเคียงไสว | ||
| ยอมถวายกายเป็นเช่นข้าไท | จะอยู่ใกล้บาทบงสุ์พระทรงธรรม์ | ||
| ข้าขอถามนามวงศ์พระทรงเดช | จากประเทศมาไยในไพรสัณฑ์ | ||
| ฤทธิรงค์นี่กระไรดังไฟกัลป์ | ใครไม่ทันเทีียมศักดิ์ทั้งจักรวาล ฯ | ||
| ๏ พระฟังพวกวิทยาสามิภักดิ์ | จึ่งประจักษ์เล่าแจ้งแถลงสาร | ||
| เราพี่น้องสองราปรีชาชาญ | นึกสำราญเที่ยวเล่นอรัญวา | ||
| นั่นโฉมงามนามชื่ออรุณน้อง | อันตัวของเรานี้เป็นเชษฐา | ||
| ชื่อโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงศักดา | นี่ท่านมาทำไมในไพรวัน | ||
| ผูกชฎาอาภรณ์ล้วนหนังเสือ | หรือชาติเชื้อชาวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| วิชาธรกรประนมบังคมคัล | กระหม่อมฉันพวกข้าวิชาธร | ||
| อันพฤกษาต้นนี้นารีผล | ออกเป็นคนได้ชมสมสมร | ||
| สำหรับชมชั่วประถมพุทธันดร | ไปกอดนอนชมเล่นเหมือนเช่นคน | ||
| จึงสามารถอาจหาญเพราะแสนหวง | กลัวจะช่วงชิงนางนารีผล | ||
| พระยกโทษโปรดไว้ไม่วายชนม์ | ทั้งร้อยคนจะเป็นข้าพยาบาล | ||
| เชิญพระไปชมป่าพนาเวศ | มีประเทศหนึ่งโตรโหฐาน | ||
| ทั้งธารน้ำถ้ำแก้วอลังการ | แสนสำราญรุกขชาติสะอาดครัน | ||
| เป็นปิ่นเทพนิกรกินรนาฎ | มาประพาสแสนสุขเกษมสันต์ | ||
| เป็นเวรเวียนเปลี่ยนกันมาในอารัญ | ทั้งสุบรรณครุฑาวาสุกรี | ||
| จะนำเสด็จสององค์พระทรงเดช | ไปทอดพระเนตรพนมคิรีศรี | ||
| สองพระองค์ทรงฟังก็เปรมปรีดิ์ | เออท่านดีแล้วจงพาเราคลาไคล | ||
| พระชวนองค์น้องชายสายสมร | วิชาธรพรั่งพร้อมล้อมไสว | ||
| ต่างสำแดงศักดาเหาะคลาไคล | นำตรงไปมรกตคิรีวัน ฯ | ||
| ๏ พระพี่น้องชมป่าพฤกษาสัตว์ | ตามจังหวัดราวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| บรรลุถึงเขาเขินเนินอรัญ | ก็พากันเหาะตรงลงคิรี ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเทพไทในไกรลาส | กินรนาฏนางฟ้าทุกราศี | ||
| ถึงเวลาก็พากันจรลี | ลงเล่นโบกขรณีในไพรวัน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระองค์ทรงฤทธิ์อดิศร | ก็ชวนพวกวิชาธรระเห็จหัน | ||
| ลงเล่นน้ำสำราญพระทัยครัน | เกษมสัีนต์รื่นเริงบันเทิงใจ ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายฝูงนางเทพอัปสรบ้างขับขาน | เป็นกังวานก้องเสียงสำเนียงใส | ||
| พอเวลาสายัณห์ลงไรไร | เทพไทกลับหลังยังวิมาน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพระโคบุตรกับนุชน้อง | สั่งพวกพ้องวิทยาศักดาหาญ | ||
| ท่านจงอยู่อย่าเป็นทุกข์สุขสำราญ | ไปถิ่นฐานที่สถิตแต่ก่อนมา | ||
| เราพี่น้องจะไปชมพนาเวศ | สีขเรศถ้ำเขาลำเนาผา | ||
| วิชาธรได้ฟังหลั่งน้ำตา | ต่างกอดบาทบาทาเข้าร่ำไร | ||
| ด้วยจงรักภักดีมีพระเดช | ชลเนตรแถวถั่งลงหลั่งไหล | ||
| แล้วทูลว่าจะเดินทางในกลางไพร | พระอย่าไปทางทิศบูรพา | ||
| ประกอบด้วยยักขินีผีเสื้อน้ำ | เลิศล้ำฤทธิแรงกำแหงกล้า | ||
| ทั้งร้ายกาจสามารถด้วยมารยา | จะเดินป่าระวังองค์ให้จงดี | ||
| ต่างอวยพรให้องค์พงศ์ฺนเรศ | จงเรืองเดชฤทธิไกรชาญชัยศรี | ||
| แล้วพากันเหาะเหขึ้นเมฆี | กลับไปที่ถาวรเหมือนก่อนมา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยงดำรงฤทธิ์ | สำราญจิตเกษมสันต์ยิ่งหรรษา | ||
| แล้วเชิญชวนโฉมยงองค์นุชา | จากเนินผาแล้วระเห็จเสด็จไป | ||
| ไปตามทางข้างทิศบูรพา | ที่บิดาบอกทิศหนทางให้ | ||
| ทั้งสององค์ลอยฟ้ามาไรไร | เกือบจะใกล้พระสมุทรแลสุดตา ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงอสุรีอันมีฤทธิ์ | นามประสิทธิ์หัศกัณฐมัจฉา | ||
| ตัวเป็นยักษ์พื้นล่างเป็นหางปลา | ทั้งกายาโตพียี่สิบกร | ||
| มีแว่นแคว้นแดนยาวสิบเก้าโยชน์ | ตัวเป็นโสดยศยิ่งในสิงขร | ||
| พระสยมภูวญาณประทานพร | ใครราญรอนราพณ์ร้ายไม่วายปราณ | ||
| ออกจากถ้ำสำราญชื่นบานจิต | คะนึงคิดจะไปหาภักษาหาร | ||
| ด้วยอดสัตว์มัจฉามาช้านาน | จากสถานเที่ยวมาในวารี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยาพาพระน้อง | เที่ยวเลื่อนล่องลอยฟ้าในราศี | ||
| ถึงฟากฝั่งยมนาท่านที | เห็นยักษีว่ายวงในคงคา | ||
| ดูน่ากลัวตัวพักตร์เป็นยักษ์ใหญ่ | หางนั้นไซร้กลายเป็นเช่นมัจฉา | ||
| ไม่เคยเห็นดูอนาถประหลาดตา | ชวนน้องยาแลดูอสุรี | ||
| หางนั้นเป็นหางปลาหน้าเป็นยักษ์ | ดูโตนักเทียมเท่าคิรีศรี | ||
| ทั้งสองสรวลสุขเกษมต่างเปรมปรีดิ์ | ดูยักษีเวียนวงในคงคา ฯ | ||
| ๏ หัศกัณฐ์แหวกว่ายมาในน้ำ | เที่ยวผุดดำวารินกินมัจฉา | ||
| เห็นมนุษย์พี่น้องทั้งสองรา | มันโกรธาโกรธนักดังอัคคี | ||
| สิงหนาทผาดแผลงสำแดงฤทธิ์ | ดังจะปิดบังแสงพระสุริย์ศรี | ||
| หมายเขม้นเข่นฆ่าเข้าราวี | อสุรีถาโถมกระโจมมา | ||
| ยี่สิบหัตถ์รัดรวบพระทรงฤทธิ์ | หมายให้คิดอยู่ในมือของยักษา | ||
| พระโคบุตรสุริย์วงศ์ทรงศักดา | พระกรคว้ากอดน้องประคองไว้ | ||
| พระหัตถ์ขวาถอดธำมรงค์ขว้าง | หมายจะล้างขุนยักษ์ให้ตักษัย | ||
| ถูกมารร้ายกายกรเป็นท่อนไป | โลหิตไหลโซมลงในคงคา ฯ | ||
| ๏ อสุรินทร์มิได้สิ้นชีวาวาตม์ | ด้วยอำนาจเจ้าดาวดึงส์ไตรตรึงษา | ||
| พลางอ่านเวทแสนประสิทธิ์วิทยา | กลับเป็นมาเจ็ดตนเหลือทนทาน | ||
| เข้าโลดโผนโจนจับสัประยุทธ์ | ท้องสมุทรเป็นระลอกกระฉอกฉาน | ||
| พระโคบุตรหยุดถอดเอาสังวาล | ขว้างประหารมารร้ายก็วายชนม์ | ||
| สังวาลกลับเข้าองค์พระทรงศักดิ์ | ประเดี๋ยวยักษ์เป็นกลับขึ้นสับสน | ||
| มันตายหนึ่งกลับเกิดขึ้นเจ็ดตน | เป็นยี่สิบเก้าคนเข้าชิงชัย ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรนิ่งคิดผิดประหลาด | สะดุ้งหวาดจิตพรั่นคิดหวั่นไหว | ||
| อันเทพสาตรานี้เกรียงไกร | สังหารใครตายแล้วไม่กลับมา | ||
| ไฉนหนอไอ้นี่จึ่งมีฤทธิ์ | ยิ่งม้วยมิดกลับเป็นขึ้นหนักหนา | ||
| พระขว้างซ้ำไปต้องอสุรา | พวกยักษาเกิดมากกว่าหมื่นพัน | ||
| จนสิ้นเครื่องประดับองค์พระโฉมฉาย | พวกมารร้ายชีวาไม่อาสัญ | ||
| ยักษ์พิโรธโกรธใจดังไฟกัลป์ | ต่างประจัญโถมไล่กันไปมา | ||
| กำลังองค์ทรงเดชเจ็ดช้างสาร | พญามารสิทธิศักดิ์ฤทธิ์หนักหนา | ||
| ครั้นฆ่าตายมารร้ายกลับมากมา | อสุรากลาดกลุ้มเข้ารุมรัน | ||
| เสียงพิลึกครึกครื้นเป็นคลื่นซัด | วายุพัดหอบหวนอยู่ป่วนปั่น | ||
| ยักษาจะจับองค์พระทรงธรรม์ | ด้วยเครื่องทรงป้องกันพระกายา ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเทพไทอยู่ใกล้สมุทร | สงสารพระโคบุตรเป็นหนักหนา | ||
| สิ้นกำลังพลั้งพลาดจะอัปรา | ด้วยยักษาพวกนั้นมันมากมาย | ||
| องค์เทเวศร์แปลงเพศให้ผิดผัน | เป็นแมงวันบินมาบอกพระโฉมฉาย | ||
| ว่ายักษ์นี้มันเลิศประเสริฐชาย | มนุษย์ฆ่ามันไม่ตายอย่าสงกา | ||
| มันได้พรพระอิศวรผู้ทรงเดช | ถ้าแจ้งเหตุแล้วจงจำคำเราว่า | ||
| เร่งไปหาพญากระบี่มา | อยู่ที่เขาหิมวากลางพงไพร | ||
| เป็นเชื้อชาติสัตว์ป่าพนาเวศ | เขาเรืองเดชฆ่ายักษ์จึงตักษัย | ||
| ครั้นบอกแล้วเทวาก็คลาไคล | รีบคืนไปกลับหลังยังวิมาน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์ผู้่ทรงเดช | ครั้นแจ้งเหตุเทวามาว่าขาน | ||
| จึ่งปลดเปลื้องเครื่องทรงสร้อยสังวาล | พิษฐานขว้างไปมิได้ช้า | ||
| เป็นฝูงเทพเทวาออกดาดาษ | ดูเกลื่อนกลาดทั่วไปในเวหา | ||
| ถือพระขรรค์ศักดิ์สิทธิ์เรืองฤทธา | กุมาราร้องสั่งไปทันที | ||
| ว่าดูก่อนฝูงเทพเทเวศร์ | จงอยู่รอต่อเดชกับยักษี | ||
| พระตรัสพลางชวนน้องจรลี | รีบเหาะหนีเข้าป่าพนาลัย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายองค์ท้าวหัศกัณฐมัจฉา | เห็นฝูงเทพเทวาอยู่ไสว | ||
| มนุษย์นั้นหลบลี้หลีกหนีไป | ก็กริ้วโกรธดังไฟประลัยกัลป์ | ||
| จึงร้องว่าเหวยเหวยเทวราช | ทำองอาจไม่กลัวจะอาสัญ | ||
| ไยมารับรบรุกทำบุกบัน | เข้าป้องกันสองมนุษย์ให้หนีไป | ||
| แต่ก่อนมิเคยอวดศักดิ์มาหักหาญ | กูจะผลาญชีพวิบัติให้ตัดษัย | ||
| สิ้นทั้งหมดเมืองฟ้าสุราลัย | ให้ฝูงปลาน้อยใหญ่กินเสียพลัน | ||
| ว่าพลางต่างแผลงสำแดงฤทธิ์ | เข้าต่อติดตามตีขมีขมัน | ||
| บ้างหักโหมโรมรุกไล่บุกบัน | ฝูงเทวัญกายสิทธิ์ฤทธิรอน | ||
| ยิ่งตายยิ่งเป็นขึ้นเกลื่อนกล่น | เข้าประจญต้านต่อไม่ย่อหย่อน | ||
| เสียงสนั่นลั่นฟ้าริมสาคร | กายสิทธิ์ต่อกรไม่พลาดพลั้ง ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์องค์เชษฐา | ทั้งสองรารีบไปเหมือนใจหวัง | ||
| เหาะข้ามพระสมุทรไม่หยุดยั้ง | ก็ถึงฝั่งฟากทะเลชโลทร | ||
| ครั้นมาถึงที่เขาเหมราช | สูงผงาดเงื้อมตลอดยอดสิงขร | ||
| เห็นพวกพลโยธาล้วนวานร | อยู่ริมฝั่งสาครนั้นมากมี | ||
| แต่พญาวานรเป็นเผือกผู้ | เข้านั่งอยู่ท่ามกลางกระบี่ศรี | ||
| ทั้งสององค์เหาะลงเนินคีรี | เฉพาะหน้าขุนกระบี่แล้วเดินมา | ||
| พวกลิงไพรแลไปเห็นมนุษย์ | อุตลุดต่างยืนขึ้นพร้อมหน้า | ||
| บ้างสำแดงแผลงฤทธิ์ไล่ติดมา | จะโจมเข้าเข่นฆ่าสองกุมาร | ||
| พระโคบุตรโบกพระหัตถ์แล้วตรัสห้าม | ปราศรัยถามด้วยสุนทรคำอ่อนหวาน | ||
| เรามิใช่ไพรีมารบราญ | จะสมานรักใคร่เป็นไมตรี | ||
| ตัวเจ้าเป็นชาวป่าพนาเวศ | อยู่ประเทศเขตเขาคิรีศรี | ||
| จะแจ้งความตามข้อคดีมี | ขุนกระบี่ตนใดนั้นเป็นนาย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ที่เผือกผู้ | สถิตอยู่กลางพหลพลทั้งหลาย | ||
| จึ่งร้องตอบข้อความตามภิปราย | เราเป็นนายวานรสัญจรไพร | ||
| ตัวท่านนี้เป็นมนุษย์หรือเทเวศร์ | มาแต่เขตแห่งหนตำบลไหน | ||
| ทั้งสององค์จะประสงค์สิ่งอันใด | จงบอกให้เราแจ้งแห่งคดี ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรหยุดยั้งได้ฟังถาม | จึงตอบความกับพญากระบี่ศรี | ||
| เราเป็นจอมจักรพรรดิสวัสดี | จากบูรีพรหมทัตกษัตรา | ||
| มาเที่ยวชมพนมพนาสณฑ์ | ถึงวังวนผ่อนพักพบยักษา | ||
| อสุรีศักดิ์สิทธิ์มีฤทธา | หางเป็นปลาหน้าเป็นอสุรี | ||
| แต่เราฆ่ายักษ์ตายถึงเจ็ดหน | ครั้นตายตนหนึ่งเกิดเจ็ดยักษี | ||
| ฝูงเทพเทวานั้นปรานี | บอกว่ายักษีได้พรชัีย | ||
| พระอิศวรทูลกระหม่อมจอมมงกุฎ | แม้นมนุษย์เข่นฆ่าหาตายไม่ | ||
| เทพเจ้าชี้แจงให้แจ้งใจ | ว่าตัวท่านอยู่ในหิมวา | ||
| เป็นชาติเชื้อขุนกระบี่อันมีศักดิ์ | จึ่งจะล้างขุนยักษ์ให้สังขาร์ | ||
| เราตั้งใจเจาะจงรีบตรงมา | ได้เมตตาเราด้วยไปช่วยกัน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ได้ยินเหตุ | ผิดสังเกตก็ชวนกันสรวลสันต์ | ||
| จึ่งร้องตอบวาจามาด้วยพลัน | ท่านพูดนั้นไม่จริงยังกริ่งใจ | ||
| ซึ่งว่ามีฤทธามาฆ่ายักษ์ | เห็นหนักนักเชื่อฟังยังไม่ได้ | ||
| มนุษย์น้อยเหมือนฝอยเข้าใส่ไฟ | ไม่มีใครเห็นจริงอย่าเจรจา | ||
| ถ้ามีฤทธิ์เลิศล้ำดังคำเล่า | ฆ่าแต่เราลิงไพรให้สังขาร์ | ||
| จะเห็นดีมีฤทธิ์ดังวาจา | ท่านจะมาเสี้ยมเขาให้ชนกัน | ||
| ว่าพลางทางเรียกพลไพร่ | มาจากในแนวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| สะพรั่งพร้อมล้อมองค์พระทรงธรรม์ | ล้วนเข้มขันคึกคักทำศักดา ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริยันไม่หวั่นไหว | เห็นลิงไพรพร้อมพรักกันหนักหนา | ||
| จึ่งเปลื้องเครื่องรัดองค์อลงการ์ | แล้วร้องว่าดูก่อนวานรไพร | ||
| เอ็งเป็นแต่เพียงสัตว์เดียรัจฉาน | ทำโวหารไม่มีอัชฌาสัย | ||
| กูเป็นจอมจักรพงศ์อันทรงชัย | จะรบกับลิงไพรไม่ต้องการ | ||
| อยากเห็นฤทธิ์หรือไรจะให้รู้ | กำลังกูถึงเจ็ดเท่าช้างสาร | ||
| จะทำไว้แต่พอให้ประมาณ | ไอ้สาธารณ์อวดกำลังอหังการ์ | ||
| ว่าพลางทางทิ้งเทพอาวุธ | กลายเป็นภุชงค์ใหญ่ล้วนใจกล้า | ||
| สักหมื่นแสนแน่นทั่วบรรพตา | เข้าไล่มัดลิงป่าพัลวัน | ||
| เสียงครึกครื้นตื่นเต้นทั้งไพรชัฏ | พวกลิงกัดนาคกอดสอดกระสัน | ||
| นาครัดลิงวิ่งร้องก้องอารัญ | เข้าไล่พันมัดพหลพลวานร | ||
| จะฟาดฟัดกัดทึ้งเข้าดึงฉุด | นาคไม่หลุดมัดลิงกลิ้งสลอน | ||
| สิ้นกำลังล้มลงในดงดอน | พวกวานรร้องขอชีวาวัน | ||
| ประทานโทษโปรดเถิดพระทรงฤทธิ์ | ขอชีวิตไว้อย่าฆ่าให้อาสัญ | ||
| จะเป็นข้าอยู่ในองค์พระทรงธรรม์ | กว่าชีวันจะม้วยบรรลัยลาญ ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรยิ้มเยื้อนเอื้อนพระโอษฐ์ | อันที่โทษเอ็งถึงซึ่งสังขาร | ||
| แต่ครั้งนี้มิให้ถึงซึ่งวายปราณ | แล้วกุมารเรียกรัดพระองค์มา | ||
| ครั้นนาคหายคลายทุกข์ลุกขึ้นกราบ | ศิโรราบกราบงามลงสามท่า | ||
| พญาลิงวิ่งเข้ามาวันทา | พระอิศรายกโทษได้โปรดปราน | ||
| แต่ปางหลังพลั้งผิดด้วยคิดโกรธ | สานุโทษข้าควรจะสังขาร | ||
| ขอรองบาทโฉมฉายจนวายปราณ | จงประทานโทษผิดที่ติดพัน | ||
| ขอทูลความตามจริงทุกสิ่งสิ้น | ซึ่งภูมินทร์จะให้ข้าพาผายผัน | ||
| ไปเข่นฆ่าหมู่มารชาญฉกรรจ์ | ข้าคิดพรั่นศักดาพญามาร | ||
| แต่คงจะอาสาฝ่าพระบาท | ตามพระราชประสงค์จำนงผลาญ | ||
| จนสุดฤทธิ์กว่าชีวิตจะวายปราณ | จะคิดอ่านฉันใดในณรงค์ | ||
| พระยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสสนอง | เราไม่ปองจะให้ท่านเป็นผุยผง | ||
| อันเครื่องทิพย์ที่ประดับสำหรับองค์ | ฤทธิรงค์แต่ล้วนเทพสาตรา | ||
| ด้วยยักษีมีพรประกาศิต | มนุษย์ล้างชีวิตไม่สังขาร์ | ||
| แม้นหาไม่ไหนจะรอดเป็นอสุรา | ไม่พักมากวนท่านให้วุ่นวาย | ||
| แม้นท่านไปเรามิได้ให้ลำบาก | ต้องเหนื่อยยากเหมือนเขารบกันทั้งหลาย | ||
| ไม่เหนื่อยเหน็ดเด็ดได้ด้วยสบาย | จะให้นายถือธำมรงค์ไป | ||
| เข้าต่อฤทธิ์รุกราชพิฆาตขว้าง | คงจะล้างอสุราให้ตักษัย | ||
| ถอดธำมรงค์ทรงยื่นให้ทันใด | อย่านอนใจการด่วนจวนเวลา | ||
| ขุนกระบี่ดีใจเป็นที่สุด | รับเอาเทพอาวุธทูนเกศา | ||
| แล้วสั่งไพร่ให้อยู่ในหิมวา | เชิญเสด็จสองราเหาะทะยาน | ||
| คว้างคว้างมาในกลางโพยมมาศ | ดังครุฑราชเรี่ยวแรงกำแหงหาญ | ||
| รุกขมูลเมืองแมนแดนวิมาน | สาธุการพร้อมพรั่งทั้งโลกา | ||
| พระพิรุณโปรยปรายพระพายพัด | ทุกจังหวัดเทวัญก็หรรษา | ||
| เยี่ยมพระแกลแลดูกุมารา | ด้วยจะฆ่ายักษ์ตายสบายใจ | ||
| พระโคบุตรสุริยากับพานเรศ | มาถึงเขตพระสมุทรอันสุดใส | ||
| รูปนิรมิตเทวาสุราลัย | เข้าลุยไล่รบรุมกับกุมภัณฑ์ | ||
| ไม่พลาดเพลี่ยงเสียงระลอกกระฉอกฝั่ง | เพียงจะพังโลกาสุธาลั่น | ||
| จึ่งเรียกสร้อยเข้าองค์พระทรงธรรม์ | ฝูงเทวัญรูปทิพย์ก็หายไป ฯ | ||
| ๏ หัศกัณฐมัจฉาพญายักษ์ | แลเห็นพักตร์ทรงฤทธิ์คิดสงสัย | ||
| เทวราชกลับกลายก็หายไป | ยังจำได้แต่พี่น้องสองกุมาร | ||
| กับวานรหนึ่งเรียงมาเคียงชิด | สำแดงฤทธิ์ร้องประกาศอยู่ฉาดฉาน | ||
| เมื่อตะกี้เหาะหนีไปลนลาน | ไปชวนอ้ายเดียรัจฉานที่ไหนมา | ||
| ทั้งสามคนครึ่งคำไม่พอเคี้ยว | ประเดี๋ยวเดียวชีวังจะสังขาร์ | ||
| ไม่พอมือครือฤทธิ์อสุรา | เท่าขี้ตาก็จะวิ่งมาชิืงชัย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาวานรสุนทรเย้ย | ว่าเหวยเหวยยักษาอ้ายหน้าไพร่ | ||
| มึงประมาทว่ากูชาติวานรไพร | ตัวเองไซร้เป็นอะไรไม่พิศดู | ||
| หางมึงเป็นหางปลาหน้าเป็นยักษ์ | ทรลักษณ์อัปยศไม่อดสู | ||
| สองพระองค์พงศ์กษัตริย์ฉัตรชมพู | จะต่อสู้เสื่อมเสียพระเดชา | ||
| กูเป็นข้ารองละอองบาท | จะพิฆาตอสุรศักดิ์อ้ายยักษา | ||
| จงกราบองค์ทรงฤทธิ์อิศรา | จะเมตตาชีวันไม่บรรลัย ฯ | ||
| ๏ พญามารฟังสารแสนพิโรธ | ยิ่งกริ้วโกรธกัดฟันอยู่หวั่นไหว | ||
| ประกาศก้องรองเหม่อ้ายลิงไพร | แต่ก่อนไม่โอหังเหมือนครั้งนี้ | ||
| มึงจะให้ใครนั่นไปนอบนบ | พลางตลบโลดไล่กระบี่ศรี | ||
| ทั้งหมื่นแสนแน่นมาในเมฆี | ขุนกระบี่โจนโจมโถมประจัญ | ||
| หางกระหวัดปากกัดสองมือกอด | เอาเท้าสอดฟาดฟัดสะบัดหัน | ||
| ดูกลมกลิ้งลิงกัดฟัดกุมภัณฑ์ | ยักษ์ประจัญลิงขบต้นคอวาง | ||
| พวกยักษ์ไล่ลิงจับสัประยุทธ์ | อุตลุดลิงถีบตกน้ำผาง | ||
| จมประดักยักษ์เจ็บลงร้องคราง | ลิงไล่ล้างมารร้ายวายชีวา | ||
| จนสิ้นรูปกายสิทธิ์ฤทธิเดช | จะอ่านเวทไม่ชะงัดด้วยสัตว์ป่า | ||
| ยังเหลืออยู่แต่ตัวอสุรา | ลิงระอาอ่อนสิ้นกำลังครัน | ||
| จึงขว้างเทพธำมรงค์ของทรงศักดิ์ | ถูกอกอักอสุราจะอาสัญ | ||
| ลงเซทรุดสุดแรงท้าวกุมภัณฑ์ | หัศกัณฐ์ตกลงในคงคา | ||
| ค่อยกระเดือกเสือกกายเข้าฝั่งสมุทร | จะสิ้นสุดสูญชีพสังขาร์ | ||
| เลือดชโลมโซมซาบอาบกายา | ภาวนาทิพมนต์ประสานกาย | ||
| ไม่คืนติดต่อได้เหมือนใจนึก | หวนระลึกหวั่นไหวหทัยหาย | ||
| ชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย | โอ้จะตายเสียวันนี้เป็นมั่นคง | ||
| ระลึกถึงพรชัยเจ้าไกรลาส | ซึ่งประสาทเคยประสิทธิ์ก็พิศวง | ||
| มาแพ้ฤทธิ์ลิงไพรในณรงค์ | เสียดายทรงฤทธิไกรดังไฟกัลป์ | ||
| โอ้เสียดายชลสายกระแสเชี่ยว | เคยมาเที่ยวปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
| ยามสบายเคยเล่นไม่เว้นวัน | ประพาสพรรณมัจฉากุมภาพาล | ||
| โอ้นับปีนับเดือนจะเลื่อนลับ | มิได้กลับมาชมกระแสสาร | ||
| โอ้เสียดายคูหาในบาดาล | เคยสำราญเช้าเย็นอยู่เป็นนิตย์ | ||
| ยิ่งระลึกนึกไปก็ใจหาย | ราพณ์ร้ายโหยหวนรัญจวนจิต | ||
| พอสิ้นคำอสุรินทร์สิ้นชีวิต | ก็ขาดจิดอยู่ยังฝั่งคงคา ฯ | ||
ตอนที่ ๕ ยักขินีพาโคบุตรเข้าเมืองเนรมิต
| ๏ พระอรุณขุนกระบี่พระโคบุตร | ทั้งสามหยุดอยู่บนห้องท้องเวหา | ||
| เห็นกุมภัณฑ์ตกลงปลงชีวา | ฝ่ายพญาพานรินทร์ก็ยินดี | ||
| จึงทูลเชิญสององค์ผู้ทรงเดช | กลับประเวศหิมวาพนาศรี | ||
| แล้วเหาะด้นดั้นออกนอกเมฆี | มาถึงที่เนินผาไม่ช้านาน | ||
| ลงหยุดยั้งนั่งชะง่อนสิงขรเขิน | งามเจริญเลิศลบจบสงสาร | ||
| ขุนวานรอ่อนเกศลงกราบกราน | บริวารน้อมกายถวายกร ฯ | ||
| ๏ พระตรัสทักสนทนาบรรดากระบี่ | เป็นไมตรีสุขเกษมสโมสร | ||
| จนอัสดงลงลับยุคุนธร | ขุนวานรเกณฑ์พลกระบี่ไพร | ||
| เที่ยวเก็บพรรณบุปผาผกามาศ | มารองลาดต่างแท่นอันผ่องใส | ||
| แล้วกะเกณฑ์ให้ตระเวนระวังภัย | ทั้งกองไฟล้อมวงเป็นเวรนอน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรชวนนุชพระน้องนาฏ | เข้าไสยาสน์อยู่บนเชิงเพิงสิงขร | ||
| บุปผชาติอันสะอาดอรชร | หอมขจรรสรื่นชื่นพระทัย | ||
| กอดประคองน้องแนบเข้าแอบอก | ฟังวิหคพลอดเสียงสำเนียงใส | ||
| ยิ่งวังเวงเพลงเพลินเจริญใจ | ก็หลับไปทั้งสองกษัตรา | ||
| เสนาะเสียงชะนีไพรแลไก่เถื่อน | ทั้งดาวเดือนเลื่อนลับในเวหา | ||
| รุ่งสว่างกระจ่างแจ้งในเมฆา | เสียงปักษาแซ่ซุ้มทุกพุ่มพง | ||
| พระฟื้นกายลิงถวายกระแสสินธุ์ | หน่อนรินทร์พี่น้องทั้งสองสรง | ||
| แสนสำราญบานใจอยู่ในดง | ที่หว่างวงหิมวาพนาวัน ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงเทวาศักดาเดช | ตามประเทศแถวป่าพนาสัณฑ์ | ||
| ในแว่นแคว้นแดนจังหวัดหัศกัณฐ์ | เห็นกุมภัณฑ์สิ้นชีวิตสว่างใจ | ||
| บ้างสำรวลสรวลสันต์ประสานเสียง | ส่งสำเนียงบอกกันอยู่หวั่นไหว | ||
| แต่นี้เราจะเป็นสุขไม่ทุกข์ใจ | ด้วยหน่อไทพระอาทิตย์ฤทธิรอน | ||
| เราจะไปจับระบำรำถวาย | พระโฉมฉายหยุดอยู่เนินสิงขร | ||
| ต่างจับพิณโทนทับสำหรับกร | ชวนอัปสรนางเทพกัลยา | ||
| เที่ยวกู่ก้องร้องประกาศกันกลาดเกลื่อน | แล้วลอยเลื่อนมาในพระเวหา | ||
| ทุกห้วยเหวเปลวปล่องช่องศิลา | มายังเขาเหมราพร้อมหน้ากัน | ||
| สำแดงกายต่างถวายพรสวัสดิ์ | มากำจัดพาลาให้อาสัญ | ||
| ช่วยดับเข็ญเป็นสุขทุกเทวัญ | แล้วชวนกันฟ้อนรำบำเรอเรียง | ||
| เสียงครึกครื้นรื่นเริงบนเชิงผา | ฝูงเทวากรีดกรายถวายเสียง | ||
| ดุริยางค์เย็นเสนาะเพราะสำเนียง | นางฟ้าเรียงขับขานประสานกร | ||
| พวกเทวาคว้าหัตถ์กระหวัดกอด | ประสานสอดฉวยฉุดยุดอัปสร | ||
| นางฟ้าบิดปิดปัดสลัดกร | ฝูงวานรดูนางสำอางองค์ | ||
| พระโคบุตรชวนน้องประคองชื่น | สำราญรื่นเชยชมสมประสงค์ | ||
| เห็นเทวาคว้าไขว่กันเวียนวง | พระสรวลทรงทอดพระเนตรทั้งสองรา | ||
| เทวารำทำกระบวนชวนอัปสร | ทำกรีดกรเปลี่ยนซ้ายแล้วย้ายขวา | ||
| ตีวงเวียนเวียนไล่กันไปมา | พวกลิงป่าดูงามตามกระบวน | ||
| เสียงหน้าทับรับพิณประสานเสียง | เสนาะล้ำสำเนียงร้องโหยหวน | ||
| จับระบำรำถวายหลายกระบวน | แล้วก็ชวนกันครรไลไปวิมาน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุริย์วงศ์องค์อรุณ | ทั้งพวกขุนวานรเกษมศานต์ | ||
| ครั้นเทวาคลาไคลไปวิมาน | กระบี่กรานก้มกราบกับบาทา | ||
| เชิญเสด็จสององค์สรงสนาน | ที่ในธารอมฤตบนเนินผา | ||
| ประกอบด้วยโกสุมปทุมา | ทั้งคงคาเย็นใสสะอาดครัน ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารแสนภิรมย์ด้วยสมจิต | ประคองชิดน้องชายแล้วผายผัน | ||
| กับพวกลิงแวดล้อมไปพร้อมกัน | จรจรัลเลียบเดินเนินคิรี | ||
| เดินพลางทางชมเนินสิงขร | ชะง้ำชะง่อนวุ้งเวิ้งคิรีศรี | ||
| เป็นหุบห้องช่องหินคูหามี | ดูเหมือนทีสัตว์สิงจะวิ่งโจน | ||
| ที่เนินผาเป็นศิลาเวิ้งชะวาก | ดูหลายหลากแลโปร่งดังโรงโขน | ||
| ที่หน้าผาภูเขาเรียบเทียบไม้โคน | ที่ใบโกร๋นแอบโกรกชะโงกชัน | ||
| เสด็จถึงห้องธารละหานน้ำ | วิไลล้ำกว้างใหญ่ในไพรสัณฑ์ | ||
| จอกกระจับตับเต่าขึ้นเคียงกัน | บุษบันโกสุมปทุมา | ||
| ดูเด่นดอกออกผการะดาดาษ | น้ำสะอาดใสเย็นเห็นมัจฉา | ||
| บ้างว่ายเรียงเคียงกันเป็นหลั่นมา | กุมาราเลียบดูอยู่ริมธาร | ||
| แล้วปลดเปลื้องเครื่องทรงสร้อยสะอิ้ง | พวกฝูงลิงต่างก็เล่นกระแสสาร | ||
| ทั้งสององค์ลงสรงแสนสำราญ | เสียงประสานสรวลสันต์สนั่นดัง | ||
| บ้างไล่โลดโดดดำเที่ยวคลำหา | เล่นปิดตาอยู่โยงให้ผินหลัง | ||
| เที่ยวซุกซ่อนแอบตัวใบบัวบัง | บ้างแอบฝั่งบ้างก็ดำกำบังกาย | ||
| คงคาใสในกระแสแลถนัด | เหมือนครุฑอัดแอ่นอกผงกหงาย | ||
| ที่อยู่โยงไล่ขยำคลำตะกาย | เขม้นหมายจับพลัดสะบัดไป | ||
| พระสรงชลสุริยนลงบ่ายคล้อย | ชวนน้องน้อยร่วมจิตพิสมัย | ||
| ขึ้นจากน้ำลำธารสำราญใจ | พวกลิงไพรพร้อมเพรียงอยู่เรียงรัน | ||
| พระโฉมยงทรงเครื่องดังเทพบุตร | ดังหนึ่งอัคนิรุทรนรังสรรค์ | ||
| อยู่ที่เขาเหมราจวนสายัณห์ | พระทรงธรรม์โลมลาฝูงวานร | ||
| จงปกป้องครองกันให้ผาสุก | อย่ามีทุกข์จงภิญโญสโมสร | ||
| เราพี่น้องสองราจะลาจร | ชมนครจักรพรรดิกษัตรา ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายพญาพานรินทร์ได้ยินสั่ง | น้ำตาหลั่งไหลนองลงโซมหน้า | ||
| ทั้งกระบี่รี้พลพวกโยธา | ต่างโศการ่ำไห้อาลัยวอน | ||
| ถึงเป็นตายไม่เสียดายแก่ชีวาตม์ | ขอรองบาทสององค์พระทรงศร | ||
| พระโลมเล้าเอาใจพวกวานร | ท่านอย่าจรไปให้ยากลำบากกาย | ||
| เมื่อนานไปคงจะได้มาพบพักตร์ | จงอยู่รักษากันอย่าผันผาย | ||
| อันตัวเราพี่น้องทั้งสองชาย | ไม่สบายก็เที่ยวไปตามที | ||
| ฝูงวานรอ่อนเกศลงกรานกราบ | ศิโรราบอวยชัยพระโฉมศรี | ||
| พระรับพรพานรินทร์ด้วยยินดี | แล้วชวนน้องจรลีขึ้นเมฆา | ||
| ลิ่วลิ่วปลิืวมาเหมือนวายุพัด | งามจรัสรุ่งเรืองพระเวหา | ||
| ลิงชะแง้แลตามจนลับตา | ต่างโศกาโศกเศร้าเปล่าฤทัย | ||
| สองพระองค์เหาะตรงเข้ากลีบเมฆ | เสนาะเสียงการเวกนั้นเย็นใส | ||
| ดังปีแก้วแว่ววับจับพระทัย | สำราญใจลอยชมพนมวัน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรอนุชาพากันเหาะ | ข้ามละเมาะเนินผาพนาสัณฑ์ | ||
| เห็นเงาะป่าหาปูมาปะกัน | ทำดุดันเตะต่อยกันตึงตัง | ||
| ที่ตัวกล้าไม่ถอยตบต่อยโขก | เสียงดังโปกเหวี่ยงปัดถูกหมัดปั๋ง | ||
| ล้มถลาซวนเซอยู่เก้กัง | โดยกำลังข้างโกงโขย่งไป | ||
| ชื่นอารมณ์ชมป่าพฤกษาชาติ | จัตุบาทเสือสิงห์วิ่งไสว | ||
| พระชวนน้องเดินพนมเที่ยวชมไพร | เก็บดอกไม้เล่นพลางตามหว่างเนิน ฯ | ||
| ๏ จะกล่าวถึงอสุรีขินียักษ์ | อยู่สำนักในลำเนาภูเขาเขิน | ||
| เห็นพี่น้องสององค์ทรงเจริญ | เที่ยวเล่นเพลินด้นดั้นอรัญวา | ||
| พึ่งแรกรุ่นรูปร่างสำอางเอี่ยม | งานเสงี่ยมน่ารักเป็นหนักหนา | ||
| เนตรโขนงโก่งวาดเพียงบาดตา | กิริยาขำคมก็สมทรง | ||
| ดูสองปรางเหมือนมะปรางเมื่อแรกปลิด | ให้ปลื้มจิตแลแลก็ยิ่งหลง | ||
| นึกนึกจะสะอึกเข้าอุ้มองค์ | กลัวจะทรงพระพิโรธกริ้วโกรธไป | ||
| จะกลับแกล้งแปลงเพศเสียจากยักษ์ | คงสมศักดิ์เหมือนคิดพิสมัย | ||
| แล้วอ่านเวทเพศยักษ์ก็สูญไป | งามวิไลล้ำนางสำอางตา | ||
| ทั้งสองเต้าเต่งตั้งดังบัวหลวง | พอเต็มทรวงกำดัดชมทั้งซ้ายขวา | ||
| ทำแกล้งเมินเดินทรงโศกามา | ที่ตรงหน้าพี่น้องสองกุมาร | ||
| พระโคบุตรสุริยาวราฤทธิ์ | สำคัญคิดว่ามนุษย์สุดสงสาร | ||
| พอใกล้องค์ทรงวิ่งมาลนลาน | พจมานไถ่ถามตามเมตตา | ||
| เป็นไรน้องร้องไห้ไม่เห็นเพื่อน | ในกลางเถื่อนวุ้งเวิ้งชะวากผา | ||
| ไม่กลัวสัตว์เสือสีห์จะบีฑา | อนิจจาเดินเดียวน่าเปลี่ยวใจ | ||
| ยักขินีฟังคำทำสะอื้น | แล้วหยุดยืนเช็ดชลนัยน์ไหล | ||
| พระบิดาพาน้องมาเล่นไพร | ละเลิงไล่มฤคีกับรี้พล | ||
| ฉันหลงชมมิ่งไม้ไพรพฤกษา | หมายจะกลับพาราก็ขัดสน | ||
| พระโปรดด้วยช่วยพาข้าจรดล | พอให้พ้นหิมวาถึงธานี | ||
| ทั้งแก้วแหวนแสนทรัีพย์ซึ่งสิ่งของ | จะกอบกองแทนคุณพระโฉมศรี | ||
| เป็นสัจจังวาจาน้องพาที | ช่วยชีวีน้องไว้อย่าให้ตาย | ||
| ทั้งสององค์หลงกลอีนางยักษ์ | ไม่ประจักษ์คิดว่าจริงก็ใจหาย | ||
| สงสารเจ้าเสาวภาคย์ลำบากกาย | จะพาสายสุดสวาทไปเวียงชัีย | ||
| ถึงแก้วแหวนแสนทรัพย์จะนับโกฏิ | ไม่ประโยชน์เลยนะน้องอย่าหมองไหม้ | ||
| เราจะช่วยนิรมลให้พ้นภัย | อยู่ถึงไหนแก้วตาจะพาจร | ||
| อสุรีดีใจเข้าเคียงข้าง | อยู่หว่างกลางสององค์พระทรงศร | ||
| บอกบุรีอยู่ตรงที่ทิศอุดร | บทจรเดินตามกันสามรา | ||
| ได้สมรักยักษ์ร้ายไม่วายยิ้ม | เดินกระหยิ่มมาด้วยความเสน่หา | ||
| เดินพลางดูพลางไม่วางตา | วิ่งผวาเข้าไปกอดพระโฉมยง | ||
| พระตกใจว่าอะไรนั่นแก้วพี่ | อสุรีแกล้งบอกหลอกให้หลง | ||
| เมื่อตะกี้ไหวไหวอยู่ในพง | พยัคฆ์ดงโตใหญ่กระไรเลย | ||
| ทั้งสององค์หลงเชื่ออียักษี | ว่ามิใช่พยัคฆีเจ้าพี่เอ๋ย | ||
| อย่าหวาดหวั่นพรั่นในพระทัยเลย | แล้วชวนเชยชมนกในหิมวา | ||
| อียักษ์แปลงแกล้งถามถึงนามนก | ฝูงวิหคเรียงรายปลายพฤกษา | ||
| พระบอกนามตามชื่อสกุณา | สาลิกาจับกิ่งตะโกวัน | ||
| โน่นแน่เจ้าเขาไฟนั่นไก่ป่า | นกกระทาจับต้นกระทิงขัน | ||
| ฝูงกาลิงจับกิ่งแสลงพัน | ที่ต้นจันทน์นกตะขาบคาบมะปริง | ||
| จัตุบาทผาดผยองลำพองโผน | กิเลนโจนไล่นางนรสิงห์ | ||
| กระต่ายเต้นเล่นหลอกกับลูกลิง | หมู่มหิงส์แรดช้างเสือกวางทราย | ||
| เย็นพยับอับแสงสุริยง | ชะนีส่งเสียงไห้น่าใจหาย | ||
| กุมาราพายักษ์จำแลงกาย | กำหนดหมายมุ่งทิศอุดรมา | ||
| ยักขินีดีใจเห็นใกล้ค่ำ | นิมิตถ้ำด้วยพระเวทของยักษา | ||
| ให้เห็นเป็นเวียงวังอลังการ์ | เป็นพาราบ้านช่องนั้นนองเนือง | ||
| ดูผู้คนอลหม่านร้านตลาด | คนเกลื่อนกลาดเดินตามถนนเนื่อง | ||
| จึ่งชวนสองหน่อไทเข้าในเมือง | เดินย่างเยื้องขึ้นปราสาทสุวรรณพราย | ||
| มีทวารบานบังที่นั่งแก้ว | ดูเลิศแล้วล้วนวิสูตรสลับสาย | ||
| ลับแลบังฉากตั้งอยู่เรียงราย | ดูพรอยพรายอัจกลับระยับไฟ | ||
| ที่แท่นรัตน์ปัจถรณ์เขนยข้าง | เครื่องสำอางวางเรียงเคียงไสว | ||
| ด้วยฤทธิ์ยักษ์หากเห็นให้เป็นไป | พระหน่อไทสององค์ไม่สงกา | ||
| อสุรีเชิญองค์พระทรงฤทธิ์ | ขึ้นสถิตแท่นสุวรรณอันเลขา | ||
| ทำฉะอ้อนวอนสองกุมารา | เสน่หาพูนเพิ่มเติมอารมณ์ | ||
| แสนสงสารสุดสวาทอนาถเหนื่อย | ก็หลัีบเรื่อยไปแต่แรกยามปฐม | ||
| อสุรียิ่งทวีสวาทชม | เห็นสององค์ลงบรรทมสนิทใน | ||
| อันชาติยักษ์มักหอมเนื้อมนุษย์ | เป็นแสนสุดที่จะอยากน้ำลายไหล | ||
| นึกจะหักคอกินให้สิ้นใจ | แล้วอาลัยรักรูปทั้งสององค์ | ||
| ลุกขึ้นนั่งตั้งจิตพินิจโฉม | ยิ่งประโลมลานจิตพิศวง | ||
| ก็ลืมอยากราคร้อนด้วยรูปทรง | ทั้งสององค์ดูละม้ายคล้ายคลึงกัน | ||
| โอ้เสียดายด้วยกายกูเป็นยักษ์ | พระยอดรักแจ้งจิตจะบิดผัน | ||
| นึกหันหวนป่วนใจอาลัยครัน | สุดจะกลั้นแล้วเข้ากอดพระยอดฟ้า | ||
| จูบพระน้องต้องแก้มอร่อยรื่น | แล้วจูบพี่หอมชื่นในนาสา | ||
| แต่อึดอัดผลัดไพล่กันไปมา | ดังกุลาส่ายคว้างอยู่กลางลม | ||
| พระรูปหล่อพ่อคุณของน้องเอ๋ย | ไม่ตอบรักบ้างเลยเท่าเส้นผม | ||
| น้องกอดจูบลูบต้องประคองชม | พระบรรทมเสียทั้งคู่ไม่รู้เลย | ||
| พระโคบุตรสุริยาผวาตื่น | ไม่พลิกฟื้นทำนิ่งอิงเขนย | ||
| อียักษ์หลงเคลิ้มตัวยังมัวเชย | เฝ้ากอดเกยก่ายต้องประคองกร | ||
| พระโคบุตรคิดในพระทัยกริ่ง | ไฉนหญิงจึงมาร่วมสโมสร | ||
| เฝ้ากอดจูบลูบไล้ไม่หลับนอน | พระอาวรณ์หวาดถวิลในวิญญาณ์ | ||
| ได้กลิ่นปากรากษสก็เหม็นสาบ | พระทรงทราบแจ้งประจักษ์ว่ายักษา | ||
| มันจำแลงแกล้งลวงเราหลงมา | อันพารามิใช่ที่บุรีคน | ||
| จึ่งเสียงน้ำลำธารสะท้านลั่น | จักจั่นเรไรในไพรสณฑ์ | ||
| ดำริพลางทางนึกรู้สึกตน | อีแสนกลนอนนิ่งไม่ติงกาย | ||
| พระถอยถดปลดเปลื้องเอาเครื่องทรง | มาสวมองค์น้องไว้เหมือนใจหมาย | ||
| อนุชานั้นก็นึกรู้สึกกาย | เห็นสร้อยสายสวมองค์พระทรงธรรม | ||
| เชิงฉลาดชาติเชื้อประยูรศักดิ์ | รู้ประจักษ์แจ้งตามเนื้อความขำ | ||
| ทำผุดลุกเรียกพี่ว่าผีอำ | แล้วคลานคลำเข้าไปใกล้พระพี่ยา | ||
| พระโคบุตรพูดเบาเบาเล่าแถลง | พี่นึกแคลงในจิตคิดกังขา | ||
| อันนารีนี้เป็นอสุรา | พี่นิทรามันเฝ้าจูบจนตกใจ | ||
| บ้านเมืองนี้วิปริตพี่คิดเห็น | อันจะเป็นธานีนั้นมิใช่ | ||
| สนั่นเสียงเสือสางเหมือนกลางไพร | ประหลาดใจแล้วเจ้าเราหลงมา | ||
| อรุณน้อยค่อยสะกิดผิดแล้วพี่ | เราหลบหนีไปเถิดหรือพระเชษฐา | ||
| พระโลมเล้าเอาใจพระน้องยา | ว่าช้าช้าอีกสักหน่อยจึ่งค่อยไป | ||
| ขินีมารร่านร้อนกำเริบราค | ทำอ้าปากหาวตื่นขึ้นปราศรัย | ||
| ฟ้าผี่เถิดวันนี้ประหลาดใจ | หนาวกระไรเหมือนรดด้วยวารี | ||
| แล้วแอบองค์วิงวอนฉะอ้อนพลอด | โปรดช่วยกอดน้องสักหน่อยพระโฉมศรี | ||
| พระฟังคำซ้ำแค้นแสนทวี | นึกจะล้างชีวีให้มรณา | ||
| แล้วหยุดยั้งรั้งรอพระทัยนิ่ง | มันเป็นหญิงฆ่าตายก็ขายหน้า | ||
| พอสอนใจไว้จำเป็นตำรา | จะเข่นฆ่ายักษ์ร้ายคงวายวาง | ||
| แล้วยิ้มเยื้อนเอื้อนอรรถตรัสประภาษ | สายสวาทนิ่มน้องอย่าหมองหมาง | ||
| พี่เป็นชายจะเอากายไปกอดนาง | ไม่มีอย่างเขาจะเย้ยทั้งพารา | ||
| พี่จะต้องลาเจ้าจวนจะรุ่ง | พระหัตถ์จูงอรุณน้อยเสน่หา | ||
| อียักษ์ฟังคั่งแค้นแน่นอุรา | พิโรธว่าไปกับองค์พระทรงฤทธิ์ | ||
| เ์์สียแรงรักชักชวนมาเชยชื่น | ไม่ถึงคืนก็มาทำให้ช้ำจิต | ||
| จะขืนไปก็ไม่ไว้ซึ่งชีวิต | แล้วแผลงฤทธิ์กลับร่างอย่างขินี | ||
| ทั้งปรางค์มาศราชวังเป็นหิมเวศ | สำแดงเดชเหยียบยอดคิรีศรี | ||
| โลดถลาถาโถมเข้าโจมตี | ดังเสียงสายอสนีสนั่นครัน | ||
| พระโคบุตรหยุดยืนขยับรับ | กระโจนจับด้วยกำลังดังกังหัน | ||
| ฤทธิรอนกรจิกเกศกุมภัณฑ์ | พระบาทยันเหยียบยักขินีมาร | ||
| อสุรินทร์สิ้นแรงจะแผลงฤทธิ์ | ขอชีวิตร้องก้องทั้งไพรสาณฑ์ | ||
| พระทรงเดชสังเวชอีนางมาร | ยักษ์ก้มกรานกราบกับพระบาทา | ||
| ประทานโทษเถิดองค์พระทรงฤทธิ์ | ข้าหลงผิดเพราะความเสน่หา | ||
| อย่าฆ่าเสียให้ตายวายชีวา | ขอเป็นข้ากว่าจะม้วยด้วยสัจจัง | ||
| พระแย้มยิ้มพริ้มพรายภิปรายโปรด | ถ้างดโทษแล้วอย่าทำเหมือนหนหลัง | ||
| กระทิงถึกมฤคาในป่ารัง | ชีวิตยังแล้วอย่าทำให้จำตาย | ||
| จงถือมั่นขันตีเป็นที่สุด | เมื่อม้วยมุดจะไปเกิดให้เฉิดฉาย | ||
| วันนี้มึงจะถึงชีวาวาย | ได้รอดตายแล้วอุตส่าห์รักษาตน | ||
| นางยักษ์รับอัพภิวาทถวายสัตย์ | จะบำหยัดบาปกรรมทำกุศล | ||
| ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตให้วายชนม์ | ประจวบจนชีวันนั้นบรรลัย | ||
| พระโฉมยงสงสารอีมารนัก | เป็นครู่พักรุ่งแจ้งปัจจุสมัย | ||
| ทั้งดวงเดือนเลื่อนลับพยับไพร | สำเนียงไก่ขันขานประสานกัน | ||
| สุริยันเยี่ยมยอดยุคุนธเรศ | สว่างท้องหิมเวศพนาสัณฑ์ | ||
| สองกษัตริย์ตรัสสั่งนางกุมภัณฑ์ | จรจรัลจากเชิงศิลามา | ||
| พระเชษฐานำหน้าอรุณน้อย | ละลิ่วลอยมาในห้องพระเวหา | ||
| ยักษ์ชะแง้แลตามจนลับตา | ก็โศกายกหัตถ์มัสการ | ||
| พระพี่น้องสองเสด็จระเห็จเหิน | งามเจริญเลิศลบจบสงสาร | ||
| ละลิ่วลมแลชมจักรวาล | เห็นถิ่นฐานแว่นแคว้นแดนบุรี | ||
| เป็นเกาะน้อยนคราคงคารอบ | เกิดประกองในทวีปชมพูศรี | ||
| เหมือนจอกน้อยลอยอยู่กลางวารี | พระหัตถ์ชี้ชวนน้องให้ชมชล | ||
| ยมนาสาครกระฉ่อนคลื่น | เสียงครึกครื้นโครมฉ่าเป็นห่าฝน | ||
| มัจฉาชาติกลาดเกลื่อนอยู่กลางชล | บ้างผุดพ่นฟองน้ำแล้วดำจร | ||
| มัติมิงค์กลิ้งกลอกระลอกซัด | หางกระหวัดว่ายเวียนเศียรสลอน | ||
| พระชมชลพ้นฝั่งชโลทร | ทินกรร้อนกายขึ้นพรายพรรณ | ||
| พระโคบุตรสุดสวาทกับน้องรัก | ครั้นเหนื่อยนักผ่อนลงตรงไพรสัณฑ์ | ||
| หยุดพักเพิงเชิงผาศิลาชัน | แล้วชมพรรณมิ่งไม้ที่ในดง | ||
| ดูไม้ตั้งดังดัดมาจัดปลูก | บ้างมีลูกสุกห่ามงามระหง | ||
| ระยะยอดสอดแซงแกล้งบรรจง | เหมือนไม้องค์ท้าวไทในพระโรง | ||
| ที่ไม้โกร๋นยอดโอนมีต่อแอบ | ใบแฉลบลับพุ่มปุ่มตะโขง | ||
| กาฝากแฝงกล้วยไม้ขึ้นในโพรง | ที่กิ่งโกงกอดเกี่ยวประกับกัน | ||
| พฤกษาโศกยูงยางที่กลางชัฏ | วายุพัดกิ่งแกว่งดังกังหัน | ||
| ที่ไม้พุ่มรุ่มรกเถาวัลย์พัน | เป็นฉัตรชั้นช่อดอกออกระคน | ||
| มะเดื่อดกนกจับจิกผลสุก | ต้นมะดูกเต็งรังมะสังสน | ||
| กันเกราไกรกร่างกรวยริมห้วยชล | ใบร่มต้นราบรื่นเหมือนพื้นทราย | ||
| โศกระบัดผลัดใบลอออ่อน | ใบแก่ก่อนหล่นหลามมาตามสาย | ||
| เห็นงูเหลือมเลื่อมแลดูหลายลาย | กระหวัดกายกอดโศกชะโงกงัน | ||
| กระบือเปลี่ยวเดินตรงลงกินน้ำ | ทั้งที่ดำเรี่ยวแรงแข็งขยัน | ||
| งูเหลือมโลภโอบกระหวัดเข้ารัดพัน | กระบือดันดันดึงกันตึงตัง | ||
| พฤกษาโศกโยกโยนอยู่ยวบยาบ | งูเหลือมคาบควายดึงอยู่ขึงขัง | ||
| ควายฉกรรจ์ดันโดดสุดกำลัง | งูเหลือมยังไม่วางขาดกลางตัว | ||
| หางกระหวัดรัดไม้ก็คลายหลุด | ศีรษะมุดมัดควายไม่คลายหัว | ||
| สองสัตว์สิ้นชีวังทั้งสองตัว | ดูน่ากลัวต่างต่างกลางพนม | ||
| สองกษัตริย์ทัศนาแสนสนุก | เป็นผาสุกที่ในเชิงคิรีสม | ||
| พระเอนอิงพิงแผ่นศิลาชม | ระเรื่อยลมรื่นรื่นชื่นพระทัย ฯ | ||
ตอนที่ ๖ โคบุตรได้นกขุนทองแล้วเข้าเมืองกาหลง
| ๏ ยังมีบุตรสาลิกาปักษาสัตว์ | ขนระบัดพึ่งขึ้นพอบินได้ | ||
| จิตคะนองลองปีกจะบินไป | เหยี่ยวตะไกรโฉบฉาบจะคาบกิน | ||
| สาลิกาก็ถลาแถลบหลบ | เหยี่ยวประจบจับพลัดสะบัดดิ้น | ||
| พอถึงองค์ทรงฤทธิ์บนคีริน | นกน้อยดิ้นสิ้นกำลังถลามา | ||
| สองปีกป้องร้องจ้อคุณพ่อช่วย | เหยี่ยวจะฉวยลูกรักเป็นภักษา | ||
| ก็โผนลงตรงพักตร์พระราชา | เหยี่ยวถลากลับหันไปทันใด | ||
| ทั้งพี่น้องเข้าประคองเอานกน้อย | เห็นริ้วรอยเล็บเหยี่ยวเฉี่ยวเลือดไหล | ||
| พระหัตถ์ลูบลูกนกอย่าตกใจ | เหยี่ยวมันไปลับแล้วนะแก้วตา | ||
| นี่ร้อยชั่งรวงรังเจ้าอยู่ไหน | เหยี่ยวจึ่งไล่ลูกรักเป็นหนักหนา | ||
| นกขุนทองป้องปีกขึ้นวันทา | ลูกอยู่ค่าคบไม้พระไทรพราย | ||
| ออกเที่ยวเล่นเห็นเหยี่ยวไม่ทันหลีก | มันกางปีกต้อนจับลูกใจหาย | ||
| ได้พึ่งบุญคุณพ่อจึ่งรอดตาย | ลูกถวายชีวาเป็นข้าไท | ||
| สองพระองค์ทรงฟังขุนทองพลอด | เข้าจูบกอดเชยชิดพิสมัย | ||
| น่าเอ็นดูรู้พูดเล่นเป็นพ้นใจ | เจ้ามาไปด้วยพ่อจะขอชม | ||
| อันเหยี่ยวกาสารพัดที่สัตว์ร้าย | ไม่ให้กรายลูกเลยเท่าเส้นผม | ||
| พระตรัสพลางทางชวนกันเชยชม | จนแดดร่มสุริยงเย็นสบาย | ||
| สองกษัตริย์ตรัสชวนสกุณชาติ | ภาณุมาศสายัณห์จะผันผาย | ||
| อีเหยี่ยวเฉี่ยวลูกน้อยเป็นรอยลาย | ยังเจ็บกายพ่อกอดอย่าบินบน | ||
| แล้วชวนน้องประคองนกเหาะระเห็จ | สองเสด็จมาในท้องห้องเวหน | ||
| พระแรมไพรไคลคลานภาดล | ประจวบจนเจ็ดราษราตรี | ||
| บรรลุถึงพาราเมืองกาหลง | พอสุริยงรุ่งรางสว่่างศรี | ||
| พระลอยลมชมราชธานี | ประกอบมีปรางค์มาศปราสาททอง | ||
| ทั้งตึกกว้านบ้านเรือนโรงหัตถี | ตลอดมีร้านรายขายข้าวของ | ||
| ทั้งม้ารถคชพลอนนต์นอง | นครของใครหนอสนุกครัน | ||
| จะลงไปไถ่ถามแต่ตามชื่อ | จะอึงอื้อตกใจทั้งไอศวรรย์ | ||
| สำนักนอกธานีเห็นดีครัน | ถามสำคัญนคราดูอาการ | ||
| นกขุนทองสององค์ก็พร้อมจิต | พลางพินิจหาที่รโหฐาน | ||
| พอเห็นสวนพฤกษาน่าสำราญ | นฤบาลรีบเหาะระเห็จไป | ||
| ครั้นถึงจึ่งลงพลางที่กลางสวน | พระชี้ชวนให้น้องชมพฤกษาไสว | ||
| ทั้งสระศรีมีบัวขึ้นบังใบ | ตำหนักใหญ่งามหยาดสะอาดตา | ||
| เห็นกระท่อมตายายอยู่ท้ายสวน | พระชี้ชวนคลาไคลเข้าไปหา | ||
| ครั้นถึงเรือนเอื้อนโอษฐ์จำนรรจา | จึ่งตรัสว่าปราศรัยเป็นไมตรี | ||
| ท่านตายายอย่าระคายระคางหมาง | นี่ใครสร้างพระตำหนักแลสวนศรี | ||
| ดูพฤกษาน่าชมอุดมดี | ไม่เห็นมีคนผู้มาเก็บกิน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายตายายใจหายเมื่อแลเห็น | มองเขม้นเพ่งพิศคิดถวิล | ||
| ทั้งสองทรงดังองค์อมรินทร์ | สองเฒ่าสิ้นสมประดีไม่มีใจ | ||
| แล้วยับยั้งตั้งสติตอบสนอง | พ่อทั้งสองเจ้าข้ามาแต่ไหน | ||
| เจ้าเป็นนายหรือชายสัญจรไพร | ขออภัยเถิดจงแจ้งแห่งความจริง | ||
| นี่สวนหลวงมีกระทรวงกษัตริย์สร้าง | ประทานนางองค์ธิดาพระยาหญิง | ||
| ให้ข้าเฒ่าเฝ้าไล่ฝูงค่างลิง | แล้วหมอบนิ่งก้มหน้าไม่พาที ฯ | ||
| ๏ พระฟังสารสองเฒ่าเล่าแถลง | ประจักษ์แจ้งฤทัยพระโฉมศรี | ||
| ว่าจอมจักรพัตราธิดามี | ให้ยินดีเป็นคู่เชยเคยประคอง | ||
| จึ่งตรัสว่าตายายอย่าพรายแพร่ง | จงเล่าแจ้งความจริงสิ่งทั้งสอง | ||
| เจตนาหานางเป็นคู่ครอง | ทั้งพี่น้องจากเมืองมาเดินไพร | ||
| อันลูกสาวเจ้านายของยายนั้น | ดูผิวพรรณชันษาสักเพียงไหน | ||
| พระบุตรีกับบุรีนั้นชื่อไร | ช่วยบอกให้รู้ความแต่ตามตรง | ||
| แม้นเหมือนหมายยายตาอย่าเศร้าหมอง | ทั้งเงินทองกองให้งามตามประสงค์ | ||
| สองตายายแกก็ไหว้พระโฉมยง | พ่อคุณจงกรุณาอย่าพาที | ||
| ถึงเงินทองจะมากองให้ท่วมเกศ | ลูกเกรงเดชพระผู้ผ่านบุรีศรี | ||
| แม้นรู้ว่าข้าสื่อพระบุตรี | ทราบคดีตายายจะวายชนม์ | ||
| แต่ชื่อเสียงรู้เพียงจะบอกได้ | ที่จะให้สมจิตคิดขัดสน | ||
| ทูลกระหม่อมจอมเมืองมิ่งมงคล | ชื่อท้าวหลวิราชเจริญพร | ||
| ได้ดำรงนคราเมืองกาหลง | อันนามองค์บุตรีศรีสมร | ||
| ชื่ออำพันมาลาพะงางอน | อรชรน้อยแน่งดังแกล้งกลึง | ||
| ถึงรูปเขียนเจียนวาดสะอาดเอี่ยม | จะเทียบเทียมพระลูกเจ้าไม่เท่าถึง | ||
| เหมือนรูปพ่อเห็นพอจะคล้ายคลึง | อย่าอื้ออึงให้เขารู้เอ็นดูยาย ฯ | ||
| ๏ พระฟังข่าวกล่าวโฉมประโลมจิต | พระทัยคิดเหมือนจะเห็นนางโฉมฉาย | ||
| หยิบจินดามาจากพระน้องชาย | พระนึกให้ตายายเป็นเงินทอง | ||
| กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกทั้งสองเฒ่า | จงมาเอาไว้เถิดอย่าหม่นหมอง | ||
| ถึงเรื่องรักจะไม่ชักให้สมปอง | เราพี่น้องขอสำนักตำหนักจันทน์ | ||
| ช่วยปกปิดกิตติศัพท์ให้สูญหาย | พอสบายแล้วเราจะผายผัน | ||
| พระตรัสพลางย่างขึ้นตำหนักพลัน | ให้ป่วนปั่นถึงสายสวาทเพียงขาดใจ | ||
| สนธยาจะไปหาเจ้าถึงห้อง | ที่อยู่ของน้องรักตำหนักไหน | ||
| ถ้าเล้าโลมโฉมยงไม่ปลงใจ | ก็ผิดในธรรมดาปรีชาชาย | ||
| จะรุกรบบิตุรงค์ให้ส่งเจ้า | มาคลึงเคล้าก็จะได้ดังใจหมาย | ||
| แม่ขวัญเมืองจะได้เคืองเรื่องระคาย | จำเบี่ยงบ่ายถ่ายความตามทำนอง | ||
| จึ่งตรัสเรียกสาลิกาเข้ามาใกล้ | พ่อจะใช้ให้เจ้าถือสารสนอง | ||
| จะได้หรือมิได้เล่าเจ้าขุนทอง | ดูทำนองเล้าโลมนางโฉมยง ฯ | ||
ตอนที่ ๗ นกขุนทองถือหนังสือถวายนางอำพันมาลา ธิดาท้าววิหลราช
| ๏ ขุนทองรับอภิวันท์รำพันพลอด | ลูกจะสอดสืบความตามประสงค์ | ||
| ลูกอาสากว่าจะได้ดังใจจง | คุณพ่อคงไ้ด้ชมสมคะเน | ||
| จะพูดพลอดสอดคล้องให้ต้องจิต | ดูจริตนางในให้หลายเล่ห์ | ||
| ปะเลาะเลียบเลียมชวนให้รวนเร | สมคะเนแล้วจะทูลประโลมนาง ฯ | ||
| ๏ พระกอดจูบลูบสาลิกาแก้ว | ดีจริงแล้วคิดเหมือนใจไม่ขัดขวาง | ||
| ระงับภัยที่จะไปในกลางทาง | อย่านอนค้างกลางดงจงกลับมา | ||
| นกขุนทองป้องปีกเคารพรับ | ยืนขยับโผผันด้วยหรรษา | ||
| ขึ้นลอยลมไปในหว่างกลางนภา | เข้าพาราร่อนลงตรงวังใน | ||
| โสตสดับตรับเหตุสังเกตจิต | ว่ามิ่งมิตรอยู่ปรางค์มุขอันสุกใส | ||
| มีตนกร่างข้างแกลปราสาทชัย | สำราญใจลงจับขยับมอง | ||
| นัยน์ตาสอดลอดแลเห็นแกลแย้ม | ไอกระแอมส่งเสียงสำเนียงก้อง | ||
| หัวเราะร่าอยู่หน้าพระแกลทอง | นัยน์ตามองโฉมเฉลาดูเยาวมาลย์ ฯ | ||
| ๏ โฉมอำพันมาลาไสยาหลับ | ให้วาบวับแว่วเสียงสำเนียงหวาน | ||
| นางลงจากแท่นรัตน์ชัชวาล | แล้วเผยบานพระแกลเหลียวแลมา | ||
| พอเสียงอาดนกฉลาดเข้าแอบลับ | นัยน์ตาจับเพ่งพิศขนิษฐา | ||
| สะอาดเอี่ยมเทียมเทพธิดา | สาลิกาพิศวงด้วยองค์นาง | ||
| ทำเลียบเมินเดินมาตรงหน้ามุข | ยืนหัวซุกไซ้ขนบนกิ่งกร่าง | ||
| นางเนื้อเย็นเห็นสาลิกาพลาง | งามสำอางเลิศล้ำสกุณี | ||
| ปากเหลืองดังทองคำธรรมชาติ | ขนสะอาดผาดขำดูดำสี | ||
| คะนึงในน้ำพระทัยนางเทวี | เมื่อตะกี้ชะรอยเสียงสาลิกา | ||
| ดำริพลางนางเรียกขุนทองเอ๋ย | เป็นไรเลยเสียไม่พูดเล่าปักษา | ||
| หัวเราะหยอกหลอกแม่ให้แลมา | แล้วเมินหน้าเสียไม่พูดให้แม่ฟัง ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองหัวร่อแล้วขอโทษ | อย่าถือโกรธลูกไม่มีนัยน์ตาหลัง | ||
| เมื่อแรกมาเห็นหน้าพระแกลบัง | แต่พูดพลั้งออกไปนิดยังคิดกลัว | ||
| มิชอบใจจะว่าใครมาพูดแจ้ว | ถ้ากริ้วแล้วว่าขุนทองนี้ชาติืชั่ว | ||
| จะให้สาวชาววังมาจับตัว | ลูกก็กลัวที่จะไปไม่ใคร่ทัีน ฯ | ||
| ๏ ฟังเสนาะเพราะเสียงสำเนียงนก | นางลูบอกแล้วก็ทรงพระสรวลสันต์ | ||
| แม่เจ้าเอ๋ยรู้จริงทุกสิ่งอัน | แล้วรับขวัญเรียกสาลิกาทอง | ||
| มานี่เถิดเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ให้แม่เชยแต่พอชื่นอารมณ์หมอง | ||
| ข้าวกับไข่แม่จะใส่จานทองรอง | เจ้าขุนทองเข้ามาชิมให้อิ่มใจ ฯ | ||
| ๏ สกุณีตีปีกหัวร่อร่า | เจ้าแม่จ๋ามาลวงให้หลงใหล | ||
| ครั้นเข้าชิดแล้วจะปิดพระแกลไว้ | แม่คงจับลูกได้ไว้ใส่กรง ฯ | ||
| ๏ อนิจจาว่าเปล่าดอกเจ้าเอ๋ย | แม่ไม่เคยลวงใครให้ใหลหลง | ||
| จะจับเจ้าไว้ทำไมที่ในกรง | แม่ชมเชยแล้วจะส่งไปรวงรัง | ||
| จริงกระนั้นหรือฉันจะไปหา | สาลิกาทำขยับแล้วกลับหลัง | ||
| หัวเราะร่าว่าเจ้าแม่กรุณัง | ลูกฝรั่งหรืออะไรจะให้ทาน | ||
| จะให้จริงทิ้งมาเถิดเจ้าแม่ | แต่พอแก้แสบท้องเป็นของหวาน | ||
| พอค่ำไปเช้ากลับมารับประทาน | อ้างพยานกิ่งกร่างกับปรางค์ทอง | ||
| ดูดู๋เจ้าใจแข็งเสียแรงปลอบ | คิดเห็นชอบหรือไฉนให้ทิ้งของ | ||
| บุญแม่น้อยมิได้อุ้มเจ้าขุนทอง | นุชน้องเจ้างับพระแกลบัง | ||
| นกขุนทองป้องปีกเคารพรับ | น้อมคำนับขยับบินแล้วผินหลัง | ||
| อนิจจาผิดล้นพ้นกำลัง | นี่หรือยังจะรักไปให้ยืดยาว | ||
| ก็สาสมที่อารมณ์เราทำชั่ว | ท่านรักตัวแล้วยังดื้อทำอื้อฉาว | ||
| โอ้เคราะห์ร้ายเรื้อรังมาทั้งคราว | ฉันลาเจ้าแม่แล้วอย่าโกรธเลย | ||
| ทำยกปีกเหมือนจะถาไปอากาศ | สุดสวาทผลักบานบัญชรเผย | ||
| มาเถิดมาสาลิกาอย่าโกรธเลย | แม่เจ้าเอ๋ยใจน้อยนี่้สุดใจ | ||
| นกขุนทองว่าฉันลองใจเจ้าแม่ | คิดอยู่แต่จะไม่เผยบัญชรให้ | ||
| คอยรับลูกเถิดจะโผนโจนลงไป | ลูกอ่อนใจแสบท้องมาสองวัน | ||
| แล้วย่างเหยียบเลียบโจนจากกิ่งกร่าง | พอถึงนางเหมือนจะตกทำหกหัน | ||
| นางผวาคว้ารับขุนทองพลัน | แล้วรับขวัญจูบกอดเจ้าสาลิกา | ||
| เอาจานทองมารองข้าวกับไข่คลุก | กล้วยน้ำสุกปอกส่งให้ปักษา | ||
| ลูกฝรั่งมังคุดอันโอชา | สาลิกากินพลอดเฉาะฉอดไป | ||
| เจ้าแม่จ๋าถ้าลูกกินอิ่มแล้ว | จะปล่อยแก้วสาลิกาหรือหาไม่ | ||
| นางยิ้มหลอกหยอกนกให้ตกใจ | ถึงมือแล้วจะไปจากเห็นยากครัน | ||
| เออนี่แน่แม่จะถามเนื้อความหน่อย | เขาเลี้ยงปล่อยหรืออยู่ป่าพนาสัณฑ์ | ||
| มาท่องเที่ยวอดอยากลำบากครัน | อยู่ด้วยกันเถิดเป็นไรอย่าไปเลย | ||
| สาลิกาแสนกลเห็นคนว่าง | ได้ท่าทางก็ตอบสารเฉลย | ||
| ไม่ทุกข์ร้อนก็จะนอนให้แม่เชย | นี่ใครเลยจะแจ้งที่ใจจง | ||
| แม้นแม่รู้ความหลังจะสังเวช | ซึ่งทุเรศมรรคาในป่าระหง | ||
| ด้วยเจ้าพ่อพี่น้องทั้งสององค์ | เป็นเชื้อวงศ์จักรพรรดิสวัสดี | ||
| พึ่งแรกรุ่นรูปราวกับเจ้าแม่ | เขาลือแซ่เฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี | ||
| ว่าโฉมยงองค์หนึ่งในธรณี | เป็นบุตรีจักรพรรดิกษัตรา | ||
| ว่าทรงโฉมงามประโลมวิไลโลก | เธอแสนโศกมาเสาะแสวงหา | ||
| แต่พี่น้องสององค์กับสาลิกา | ถึงพาราเจ้าแม่ได้สามวัน | ||
| มาพบเหยี่ยวเฉี่ยวโฉบลูกบินหนี | มันตามตีสาลิกาแทบอาสัญ | ||
| ครั้นพ้นเหยี่ยวเที่ยวหาไม่พบกัน | จึงโศกศัลย์ตกยากลำบากมา | ||
| ได้กินข้าวคลุกไข่ของเจ้าแม่ | สงสารแต่เจ้าพ่อของปักษา | ||
| พระพักตร์งามยามโศกจะโรยรา | ทำมารยายืนเหงาไม่จิกกิน ฯ | ||
| ๏ นางฟังคำนกสาลิกาเล่า | โอ้แม่เจ้าช่างจำได้เสร็จสิ้น | ||
| ให้ปั่นป่วนครวญคิดถึงภูมินทร์ | แต่ได้ยินกล่าวโฉมให้ชื่นครัน | ||
| นางเสแสร้งแกล้งซักเจ้าปักษา | สาลิกาปดดอกกระมังนั่น | ||
| ถ้าคุณพ่อเป็นเจ้าเหมือนเล่ากัน | จะด้นดั้นหาคู่ไม่ควรเลย | ||
| จริงจริงหรือชื่อไรเล่าเจ้าพ่อ | มิรูปหล่อหรือเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ||
| นกขุนทองต้องใจกระไรเลย | จะชมเชยชวนคบเฝ้ารบไป ฯ | ||
| ๏ ตามแต่เยาะเถิดเป็นเคราะห์ของลูกร้าย | พระโฉมฉายเธอไม่มาก็ว่าได้ | ||
| ถึงมิหล่อก็แต่พอประโลมใจ | บุรุษในธรณีไม่มีปาน | ||
| หญิงที่เห็นเว้นไว้แต่เจ้าแม่ | จะงามแก้กันได้ไม่หักหาญ | ||
| ไม่เชื่อแล้วถึงจะเล่าไม่เข้าการ | มาอยู่นานแล้วจะลาไปหากัน ฯ | ||
| ๏ นางฟังนกยกยอชะลอโฉม | ยิ่งประโลมลานจิตคิดกระสัน | ||
| ฟังปักษาว่าประหลาดพูดพาดพัน | หรือทรงธรรม์ใช้สาลิกามา | ||
| ดำริพลางนางแกล้งกระซิบสั่ง | แม้นกลับหลังพบคุณพ่อของปักษา | ||
| อย่าบอกเล่าว่าเข้ามาปรางค์ปรา | คุณพ่อเจ้าเธอจะว่าไม่เกรงใจ | ||
| เมื่อแรกคิดว่าเจ้ามาแต่ป่า | ไม่แจ้งว่าคุณพ่อเจ้ารักใคร่ | ||
| ได้จับผิดนิดหน่อยก็แล้วไป | รำคาญใจเขาจะว่าดูน่าชัง ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองรู้ทำนองว่านางแกล้ง | ทำเสแสร้งตอบไปเหมือนใจหวัง | ||
| แม่ให้ทานข้าวกับไข่มิใช่ชัง | ถึงมิสั่งลูกจะบอกทำไมมี | ||
| เป็นการด่วนจวนจะจรไปหาคู่ | เจ้าแม่อยู่จะมาบ้างในปรางค์ศรี | ||
| ฉันจะลาเจ้าแม่อยู่จงดี | แล้วทำทีจะบินออกนอกบัญชร ฯ | ||
| ๏ นางขยับจับสาลิกากอด | ระทวยทอดฤทัยสะท้อนถอน | ||
| กลัวปักษาจะมิทูลพระำภูธร | เธอจะจรไปเสียจากพารา | ||
| จะสั่งไปให้บอกก็อายจิต | แต่นึกคิดป่วนปั่นกระสันหา | ||
| เล้าโลมลูบจูบกอดสกุณา | สาลิกาเอ๋ยแม่เชยไม่สิ้นรัก | ||
| แม้นเจ้าพ่อพบสาลิกาเข้า | จะพาเจ้าจรไปจากไตรจักร | ||
| พ่อหนีมาให้แม่ชมพอสมรัก | อย่าเพ่อหักหวนไปเสียไกลตา | ||
| รำพันพลางทางหยิบสุคนธ์รื่น | อันหอมชื่นมาชโลมเจ้าปักษา | ||
| ให้รู้ถึงทรงธรรม์ด้วยปัญญา | สาลิกาแจ้งความก็ตามใจ ฯ | ||
| ๏ ขุนทองเคารพจบปีกขึ้นเหนือเกล้า | จะลาเจ้าแม่แล้วอย่าโหยไห้ | ||
| พอพบพ่อลูกจะมาอย่าอาลัย | สำราญใจโผผินบินทะยาน ฯ | ||
| ๏ นางเยี่ยมแกลแลดูจนลับเนตร | พูนเทวษพิศวงด้วยสงสาร | ||
| ไม่เล่นด้วยสาวสนมพนักงาน | อาลัยลานถึงคุณพ่อสา่ลิกา ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายขุนทองบินถลามาถึงสวน | พลางสำรวลพูดจ้อคุณพ่อจ๋า | ||
| จูบขุนทองลองรสสุคนธา | สาลิกาเจ้าก็เต้นขึ้นเพลาพลัน ฯ | ||
| ๏ พระโคบุตรสุดสวาทด้วยนกพลอด | พระกรกอดสาลิกาแล้วรับขวัญ | ||
| หอมระรื่นชื่นใจกระแจะจันทน์ | เกษมสันต์แจ้งความว่าทรามเชย | ||
| จึงยิ้มเยื้อนเอื้อนถามไปตามเล่ห์ | สมคะเนแล้วหรือเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ||
| ใครทาแป้งแต่งตัวให้ทรามเชย | เจ้าข้าเอ๋ยหอมหวนรัญจวนใจ ฯ | ||
| ๏ ขุนทองฟังเจ้าพ่อหัวร่อร่า | ลูกอาสาพระองค์ก็คงได้ | ||
| แล้วเล่าเรื่องกล่าวโฉมประโลมใจ | งามวิไลล้ำนางสำอางตา | ||
| ถึงนางในไกรลาสว่างามล้ำ | ไม่งามขำเหมือนเจ้าแม่ของปักษา | ||
| จะเปรียบกรอ่อนดังงวงไอยรา | จะดูสองนัยนาดังนิลแนม | ||
| เปรียบขนงเหมือนหนึ่งวงธนูน้าว | ทั้งสองเต้าตั้งเต่งเปล่งแฉล้ม | ||
| ดังสัตตบุษย์ผุดปริ่มคงคาแวม | ทั้งสองแก้มเปรียบอย่างมะปรางทอง | ||
| เหมือนเจ้าพ่อพอสมเป็นคู่ชื่น | อันชายอื่นแล้วไม่มีเสมอสอง | ||
| ทั้งสมบัติพัสถานก็เนืองนอง | ดุจทองแกมแก้วประกอบกัน ฯ | ||
| ๏ พระฟังนกยกโฉมให้ปั่นป่วน | ทรงพระสรวลสาลิกาแล้วรับขวัญ | ||
| พระฟังพลอดเพลิดเพลินเจริญครัน | ถ้าแม่นมั่นเหมือนเล่าเจ้าขุนทอง | ||
| เอานกแอบแนบชมอารมณ์ชื่น | หอมระรื่นพระยิ่งให้อาลัยหมอง | ||
| เย็นพยับอับฟ้าน้ำตานอง | พระตรึกตรองถึงแก้วตายิ่งอาวรณ์ | ||
| ชวนอรุณขุนทองขึ้นแท่นรัตน์ | สองกษัตริย์บรรทมเหนือบรรจถรณ์ | ||
| พระโคบุตรสุริยาพะงางอน | อนาถนอนนิ่งนึกถึงเทวี | ||
| โอ้อำพันขวัญใจวิไลลักษณ์ | จะประจักษ์หรือว่าเรียมอยู่สวนศรี | ||
| นกมาเล่าเหมือนหนึ่งเจ้าจะปรานี | รุ่งพรุ่งนี้จะให้อ่านสารแสดง | ||
| ให้ขวัญเมืองรู้เรื่องว่าเรียมรัก | แจ้งประจักษ์ตื้นลึกไม่นึกแหนง | ||
| ยิ่งกลัดกลุ้มรุ่มร้อนดังเพลิงแรง | แต่พลิกแพลงปลาบปลื้มไม่ลืมคิด | ||
| จะใกล้หลับคลับคล้ายเหมือนสายสวาท | มาร่วมอาสน์อิงแอบแนบสนิท | ||
| พระหัตถ์สอดกอดน้องประคองคิด | แล้วจุมพิตเชยปรางทางสุนทร | ||
| นิจจาเจ้าเยาวลักษณ์วิไลโฉม | งามประโลมล้ำเทพอักษร | ||
| อรุณฟื้นตื่นปลุกพระภูธร | ละเมอนอนเล้าโลมประหลาดครัน | ||
| พระรู้สึกนึกเขินเมินหน้านิ่ง | ยิ่งคิดยิ่งสร้อยเศร้าถึงสาวสวรรค์ | ||
| ไม่หลับไหลด้วยพระทัยนั้นผูกพันธ์ | จนไก่ขันจวนรุ่งน้ำค้างโปรย | ||
| หอมจำปาดอกลำดวนในสวนหลวง | เรณูร่วงหอมหวนรัญจวนโหย | ||
| รื่นรื่นชื่นอารมณ์เมื่อลมโชย | พระพายโรยพัดเฉื่อยระเรื่อยมา | ||
| สุริยงทรงราชรถเร่ง | ขึ้นปลั่งเปล่งหมดเมฆในเวหา | ||
| พระตื่นขึ้นสรงพักตร์แลกายา | แล้วจารึกสาราเป็นความใน | ||
| ด้วยยอดตองรองเขียนประดิษฐ์คิด | ตามจริตแรกเริ่มจะรักใคร่ | ||
| สลักหลังสั่งซ้ำประจำไป | พระมอบให้สาลิกาแล้วพาที | ||
| พระสั่งนอกบอกว่าโศกานัก | แล้วลูกรักอยู่บรรทมกับโฉมศรี | ||
| อย่าปิดแกลนิทราเมื่อราตรี | พอเขาตีฆ้องยามจะตามไป | ||
| ขุนทองกราบคาบตองจำลองสาร | บินทะยานจากสวนพฤกษาไสว | ||
| ลงจับกร่างข้างแกลปราสาทชัย | หนังสือพิงกิ่งไม้ไว้ดิบดี | ||
| แล้วขุนทองร้องเรียกคุณแม่จ๋า | เจ้าแม่มามารับเจ้าปักษี | ||
| นางฟังแจ้วแว่วเสียงสกุณี | นางเทวีวิ่งผวามาหน้าแกล | ||
| ขุนทองเห็นยกปีกเคารพรับ | ขุนทองกลับมาแล้วจ๊ะพระเจ้าแม่ | ||
| สาลิกาถาทะยานจับบานแกล | ไหนเจ้าแม่จะให้ข้าวกับไข่กิน | ||
| นางกอดแก้วสาลิกาแล้วกล่าวถ้อย | ให้กล้วยหน่อยข้าวกับไข่เหมือนใจถวิล | ||
| เอาใส่จานทองคลุกน้ำผึ้งริน | ขุนทองกินทางพลอดฉะฉอดไป | ||
| ลูกประสบพบสองเจ้าพ่อแล้ว | เธอจูบแก้วสาลิกาเป็นไหนไหน | ||
| ว่าหอมกลิ่นบุปผาสุมาลัย | ถามว่าใครให้แป้งมาแต่งทา | ||
| ฉันไม่บอกออกความว่าเจ้าแม่ | ลูกปดแก้ว่าไปเกลือกกลีบบุปผา | ||
| ทั้งสององค์หลงเชื่อลูกเจรจา | เฝ้าจูบกอดสาลิกาไม่อิ่มใจ | ||
| ประเดี๋ยวพี่เอาไปจูบแล้วน้องจูบ | เฝ้าโลมลูบลูกรักจนเหงื่อไหล | ||
| ลูกหนีมาเสียให้สาแก่น้ำใจ | ไม่กลับไปแล้วจะอยู่เสียในวัง ฯ | ||
| ๏ นางฟังเล่าเศร้าจิตคิดถวิล | กลัวภูมินทร์จะไม่แจ้งเหมือนใจหวัง | ||
| ทำแกล้งโกรธสาลิกาด้วยวาจัง | ข้าเบื่อฟังแล้วเจ้าลิ้นทะเลวน | ||
| เขาทาแป้งแต่งตัวให้หอมกรุ่น | เอาบุญคุณนั้นไปล้างเสียกลางหน | ||
| ขี้ปดพ่อว่าไปเกลือกกลีบอุบล | ราวกับคนไม่เคยพบกระแจะจันทน์ | ||
| อันคุณพ่อเจ้าหรือกระสือแป้ง | ไม่เคยแต่งอยู่แต่ป่าพนาสัณฑ์ | ||
| นี่หรือรูปจะมิงามอร่ามครัน | เห็นไรฟันเสียสิ้นทุกสิ่งไป ฯ | ||
| ๏ นกขุนทองพูดแก้ว่าแม่สั่ง | ไปลับหลังว่าอย่าแจ้งแถลงไข | ||
| หรือเจ้าแม่อยากให้บอกจะออกไป | ลูกดีใจอยากจะอยู่ในพารา ฯ | ||
| ๏ นางฟังคำทำโกรธเป็นทีหยอก | ไยมิบอกจะทำอะไรข้า | ||
| ขุนทองตอบไปให้ชอบด้วยปรีชา | พระบิดาเธอจะทำอะไรมี | ||
| ลูกคิดดูเธอยิ่งรู้ก็ยิ่งรัก | ไม่รู้จักก็ได้จูบแต่ปักษี | ||
| แล้วหัวร่อขอโทษนางเทวี | เมื่อวานนี้ลูกทูลพระบิดา | ||
| ว่าแม่เจ้าให้กินข้าวกับไข่คลุก | ทั้งส้มสูกให้ลูกรักนั้นหนักหนา | ||
| แป้งอำพันจันทน์จวงกระแจะทา | พระบิดาดีใจแล้วให้พร | ||
| ว่าแม่เจ้ามีคุณการุญด้วย | จึ่งให้กล้วยกินอิ่มสโมสร | ||
| เหมือนเจ้าแม่มีคุณกับบิดร | ไม่ม้วยมรณ์ก็ไม่ลืมปลื้มอาลัย | ||
| แต่แสนยากจากเมืองได้เคืองยิ่ง | ไม่มีสิ่งจะแทนพระคุณให้ | ||
| จะมาเฝ้าเจ้าแม่ในปรางค์ชัย | ก็เกรงใจสองกษัตริย์จะขัดเคือง ฯ | ||
| ๏ ชะปดแล้วปดเล่าเฝ้าแต่ปด | ช่างเลี้ยวลดยืนยาวเป็นราวเรื่อง | ||
| ยิ่งให้หลอกแล้วก็หลอกอยู่เนืองเนือง | ราวกับเรื่องรามเกียรติ์เจียวสาลิกา | ||
| แต่แรกบอกว่าออกไปหลอกพ่อ | ประดิษฐ์ต่อข้อกลอนมาย้อนว่า | ||
| พ่อร้อยลิ้นกินหวานน้ำตาลทา | กินข้าวปลาเสียเถิดเจ้าข้าเข้าใจ | ||
| อนิจจาไม่ว่าเปล่าหนาเจ้าแม่ | แม้นไม่แน่แล้วจงฟัดให้ตัดษัย | ||
| พยานลูกเอามาพิงไว้กิ่งไทร | ไม่เชื่อใจฉันจะอ้างต้นกร่างทอง | ||
| พูดพลางทางบินไปต้นไทรใหญ่ | จับกิ่งไทรไพรศรีไม่มีสอง | ||
| ก็สมใจไม่วิตกนกขุนทอง | มาคาบตองไปถวายนางเทวี | ||
| เจ้างามพริ้มยิ้มหยิบใบตองอ่อน | เห็นอักษรเรื่องราชสารศรี | ||
| เป็นความขำตามคำสกุณี | พระหัตถ์คลี่นิ่งอ่านสำราญใจ ฯ | ||
| ๏ ในสารว่าอิศเรศเกศมงกุฎ | พระโคบุตรเลิศล้ำในต่ำใต้ | ||
| นิราศร้างแรมวังตั้งพระทัย | มาอยู่ในสวนขวัญอันบรรจง | ||
| พี่มุ่งหมายมาถวายชีวาวาตม์ | พระจอมนาฏกัลยาเมืองกาหลง | ||
| ใบตองแทนแผ่นสุวรรณอันบรรจง | จิตจำนงต่างเครื่องบรรณาการ | ||
| ด้วยไกลวังครั้งนี้จนเหลือแสน | ขุนทองแทนอุปทูตที่ถือสาร | ||
| มาถึงองค์พระธิดายุพาพาล | ให้แจ้งการเรื่องรักประจักษ์ใจ | ||
| แม้นมิพบสบสมสวาทนุช | จนสิ้นสุดชนมชีพให้ตักษัย | ||
| เป็นกุศลดลจิตสาลิกาไป | เรียมจึงได้ชมกลิ่นสุคนธา | ||
| ค่ำวันนี้พี่จะมาสู่หาน้อง | ขอชมห้องพระตำหนักขนิษฐา | ||
| พอจบสารพจมานที่มีมา | พระธิดาปั่นป่วนรัญจวนครัน | ||
| แกล้งทรงฉีกยอดตองที่รองเรื่อง | ทำทีเคืองสกุณินแล้วผินผัน | ||
| เจ้าปักษีดีแล้วได้เห็นกัน | เที่ยวกล่าวขวัญให้รู้ทุกผู้คน | ||
| จะพาเจ้าขึ้นไปเฝ้าพระบิตุเรศ | ให้ทรงเดชรู้ความตามเหตุผล | ||
| ยังพวกพ้องเจ้าจะมีสักกี่คน | ทำเล่ห์กลลามเลียมไม่เจียมใจ ฯ | ||
| ๏ สกุณีรู้ทีไม่ทุกข์ร้อน | พูดอ้อนวอนไปให้ชอบอัชฌาสัย | ||
| นี่ยอดตองฟ้องลูกประการใด | ไม่ถามไถ่บ้างเลยแม่ให้แน่ความ ฯ | ||
| ๏ นางยิ้มพลางทางตอบเจ้าปักษิน | พ่อร้อยลิ้นสิ้นอาลัยไถลถาม | ||
| จะยอกย้อนซ่อนเงื่อนให้เลื่อนความ | เจ้าทำงามแล้วจะเป็นอะไรมี ฯ | ||
| ๏ โอ้ตายจริงแล้วเจ้าสาลิกาเอ๋ย | ไม่รู้เลยเป็นอย่างไรไฉนนี่ | ||
| จะฟ้องร้องให้ลูกต้องถูกตี | มิปรานีแล้วกรรมของสาลิกา | ||
| พลางชะอ้อนวอนทูลว่าร้อยชั่ง | ขอโทษครั้งหนึ่งเถิดเจ้าแม่จ๋า | ||
| นางแกล้งเมินเดินไปที่ไสยา | สาลิกาเต้นตามนางทรามวัย | ||
| พลอดประโลมโฉมฉายให้คลายจิต | แสงอาทิตย์ล่วงดับลับไศล | ||
| โฉมอำพันปั่นป่วนรัญจวนใจ | ตั้งพระทัยคอยดูพระภูมินทร์ ฯ | ||
ตอนที่ ๘ โคบุตรได้นางอำพันมาลาเป็นชายา
| ๏ ปางพระหน่อขัตติย์วงศ์พงศ์อาทิตย์ | พระทัยคิดถึงสายสวาทไม่ขาดถวิล | ||
| สุริยงลงลับสิขรินทร์ | พระภูมินทร์ไม่เห็นสาลิกามา | ||
| ก็รู้แน่ในอารมณ์ว่าสมรัก | ตั้งพระพักตร์ดูจันทร์ชั้นเวหา | ||
| ครั้นประถมยามชัยได้เวลา | พระตรัสสั่งอนุชาร่วมชีวัน | ||
| พี่จะลอบไปประโลมโฉมสมร | พระน้องนอนเสียเถิดพ่ออย่าผายผัน | ||
| พอสางแสงสุริยาจะมาพลัน | เจ้าไปด้วยแจ่มจันทร์จะอายใจ ฯ | ||
| ๏ อรุณรับแล้วกำชับพระเชษฐา | อย่าอยู่ช้าสายแสงพระสุริย์ใส | ||
| เห็นนานนักน้องรักจะตามไป | ให้ถึงในปรางค์มาศปราสาททอง ฯ | ||
| ๏ ได้ฟังน้องผ่องแผ้วพระทัยชื่น | สำราญรื่นยินดีไม่มีสอง | ||
| ประดับองค์ทรงเครื่องอันเรืองรอง | ค่อยเยื้องย่องยุรยาตรนาดพระกร | ||
| เหาะทะยานผ่านมาในอากาศ | หมายปราสาทพระธิดาดวงสมร | ||
| ด้วยแสงจันทร์แจ่มกระจ่างกลางอัมพร | พระลอยร่อนดูพลางเหมือนกลางวัง | ||
| เห็นต้นกร่างข้างปรางค์เหมือนคำนก | ให้อิ่มอกเหมือนในฤทัยหวัง | ||
| ค่อยร่อนลงตรงหน้าบัญชรบัง | เห็นแกลยังแย้มไว้ไม่ใส่ดาล | ||
| ประทีปทองส่องสว่างในปรางค์รัตน์ | เงียบสงัดสุรเสียงไม่กล่าวสาร | ||
| พระค่อยผลักบัญชรรัตน์ชัชวาล | นฤบาลเยื้องย่องเข้าห้องปรางค์ | ||
| ชื่นอารมณ์ชมฉากเป็นชั้นชั้น | ฝูงกำนัลหลับสนิทไม่อางขนาง | ||
| บ้างขาวขำดำเกลี้ยงเป็นปานกลาง | เพลิงกระจ่างจับหน้าเป็นนวลคม | ||
| พระพิศดูเครื่องสำอางที่วางไว้ | เสี้ยมไม้ไผ่น้อยน้อยมาสอยผม | ||
| ลางนางหลับสนิทไม่ปิดนม | นัดถุ์ยาดมลืมหลับอยู่กับกาย | ||
| บ้างนอนวัดปัดโถเขม่าหก | หวีกระจกโถแป้งตะแคงหงาย | ||
| บ้างเล่นเพื่อนกอดน้องประคองกาย | พระชม้ายชม้อยชมทุกชั้นมา | ||
| ถึงห้องในใส่ล้วนลับแลฉาย | เขียนเป็นลายกำมะลอดูเลขา | ||
| เป็นรูปเรื่องเมืองฝรั่งชาวลังกา | ดูพาราแจ่มอร่ามงามระยับ | ||
| พระชมพลางทางรูดวิสูตรกั้น | เห็นอำพันกัลยานิทราหลับ | ||
| ให้ซึมซาบวาบใจพระทัยวับ | หยุดประทับบนแท่นที่บรรทม | ||
| ลงนั่งแอบแนบองค์นุชนาฏ | พิศวาสใจเพียงจะเอียงล่ม | ||
| พระอิงแอบแนบน้องประคองชม | เจ้างามคมขาวขำล้ำวิไล | ||
| โอษฐ์สะอาดตะละชาดบรรจงจิ้ม | เหมือนจะยิ้มแย้มรับทั้งหลับไหล | ||
| ศอระหงดังบุหรงสำหรับไพร | พระขนงโก่งสุดนัยนานาง | ||
| นิ้วพระหัตถ์ทัดเทียนลอออ่อน | ลำพระกรกลมละอองทั้งสองข้าง | ||
| เล็บแฉล้มแช่มช้อยดังจัดวาง | ทั้งสองปรางเปล่งนวลชวนให้เชย | ||
| ทั้งสองถันสันทัดดอกบัวหลวง | เป็นพุ่มพวงงามสุดแรกผุดเผย | ||
| พลางประคองต้องเต้ามณฑาเชย | เจ้าพี่เอ๋ยนอนนิ่งไม่ติงองค์ | ||
| โอบพระกรช้อนอุ้มแล้วจุมพิต | พระทรงฤทธิ์ปลุกชวนนวลหง | ||
| โฉมอำพันมาลาผวาองค์ | เห็นพระทรงฤทธิไกรวิไลงาม | ||
| เบือนสะบัดหัตถาผวาหวาด | ลงจากอาสน์เมียงเมินให้เขินขาม | ||
| พระกุมกรวอนว่าพะงางาม | ขอฝากความรักเจ้าอย่าเฝ้าเคือง | ||
| กุศลพี่ชี้ช่วยอำนวยชัก | ให้สมรักชิดเชื้อแม่เนื้อเหลือง | ||
| มาอยู่สวนโศกศัลย์ถึงขวัญเมือง | พี่ร่างเรื่องให้สาลิกามา | ||
| ขอเชิญโฉมวรนุชสุดสวาท | มาร่วมอาสน์บรรจถรณ์อันเลขา | ||
| อย่าหวาดหวั่นพรั่นใจนางไฉยา | พี่หมายมาฝากชีวันกับขวัญใจ ฯ | ||
| ๏ นางฟังสารหวานล้ำคำละม่อม | แจ้งว่าจอมจักรพรรดิพิสมัย | ||
| นางชม้ายชายดูพระภูวไนย | งามวิไลดังพระจันทร์อันเจริญ | ||
| พอเนตรน้องต้องเนตรพระภูวนาถ | สุดสวาทม่อยหมางระคางเขิน | ||
| เสียวกระสันหวั่นไหวพระทัยสะเทิ้น | ชม้อยเมินตอบพจมานพลัน | ||
| น่าสำรวลที่มาชวนขึ้นแท่นรัตน์ | พระมาจัดแจงไว้เมื่อไรนั่น | ||
| บรรจถรณ์เคยนอนอยู่ทุกวัน | มาบุกบั่นข่มเหงไม่เกรงใจ | ||
| ภูวนาถมาดหมายฝากชีวิต | เมื่อดับจิตเถิดจะบอกหนทางให้ | ||
| ที่นี่เคยหรือมาล่วงชะล่าใจ | ไม่กลับไปก็จะร้องไห้ก้องดัง ฯ | ||
| ๏ นิจจาน้องจะมาร้องเอาคนรัก | ได้พบพักตร์อย่าขับไม่กลับหลัง | ||
| พี่รักเจ้าจริงจริงอย่าชิงชัง | จะร้องดังก็ไม่ร้างนิราศจร | ||
| ถึงตัวตายจะให้ชายเขาลือชื่อ | ตลอดลือว่าได้โลมโฉมสมร | ||
| พลางประคองต้องเต้านั้นเต็มกร | นางคมค้อนปลิดหัตถ์กษัตรา | ||
| นี่อะไรไล่จูบประโลมต้อง | พี่รักน้องนั่นสิเจ้าจึงเข้าหา | ||
| ช่างไม่เก้อเลยมาเพ้อจำนรรจา | ตามจะว่าเถิดไม่วางเจ้าอย่างเดียว | ||
| หยิกด้วยเล็บหนาให้เจ็บตลอดจิต | แม้นไม่คิดแล้วจะหยิกให้เนื้อเขียว | ||
| จนเขาขับแล้วยังจับอยู่กลมเกลียว | อย่าโกรธเกรี้ยวไปเลยน้องจะหมองนวล | ||
| พระโอบอุ้มจุมพิตสนิทสนม | พระเชยชมโฉมนุชสุดสงวน | ||
| ปลอบประโลมโฉมน้องต้องกระบวน | ทั้งสองสรวลสุขเกษมประสานกร | ||
| ดังนาครัดดวงแก้วประคองกอด | พระหัตถ์สอดพุ่มพวงดวงสมร | ||
| ดังราหูจู่จับพระจันทร | ประชากรก็ประโคมระฆังดัง | ||
| บ้างกรายกรีดดีดเล็บฉะฉับเฉาะ | เอาขันเคาะฆ้องกระแตทั้งแตรสังข์ | ||
| เสียงปืนตึงผึงตามกันสามตัง | ราหูยังหยุดยืนแล้วคืนคาย | ||
| พิรุณโรยโปรยปรอยลงย้อยปริบ | มณฑาทิพปทุมมาลย์บานขยาย | ||
| ภุมรินหอมกลิ่นลงเกลือกกาย | ทั้งสองฝ่ายสบกระบวนให้ยวนยี | ||
| ต่างหลงเชิงพระละเลิงด้วยชมโฉม | หลงประโลมลืมรักเจ้าปักษี | ||
| นางลืมสองจักรพรรดิสวัสดี | พระลืมที่สวนขวัญอนุชา | ||
| ฆ้องสำคัญลั่นทุ่มเข้าสิบทัศ | ประคองหัตถ์กอดแก้วขนิษฐา | ||
| ค่อยกระซิบกระซาบสั่งหลั่งน้ำตา | พี่จะลาแล้วนะน้องอย่าหมองใจ | ||
| ตวันดับจึงจะกลับมาหาแก้ว | สว่างแล้วพี่จะอยู่กระไรได้ | ||
| โฉมอำพันปั่นป่วนรัญจวนใจ | พลางพิไรครวญคร่ำด้วยคำวอน | ||
| มิเสียทีที่พระว่าการรุญน้อง | จะจากห้องแรมร้างห่างสมร | ||
| ดังฝูงผึ้งคลึงกลิ่นแล้วบินจร | สมสุนทรที่พระเริ่มแต่เดิมที | ||
| หรือห่วงหลังหวังรักไปนัคเรศ | ประจักษ์เหตุแล้วไม่ต้องให้หมองศรี | ||
| น้องโฉดเขลาเบาจิตผิดสตรี | ก็ตามทีเถิดเคราะห์จำเพาะเป็น ฯ | ||
| ๏ นั่นมิใช่หรือมาใส่เอาเปล่าเปล่า | ใครบอกเล่าว่าห่วงมาล่วงเห็น | ||
| นี่จำใจจำลาน้ำตากระเด็น | ถ้าใครเห็นด้วยพี่บ้างแทบคลั่งตาย | ||
| มิใช่ชังจะมาร้างนิราศนุช | มาวิมุติ์นึกหมางระคางหมาย | ||
| อารมณ์รักอุตส่าห์หักความเสียดาย | กลัวจะอายที่จะอึงพี่จึ่งจร | ||
| ไม่เห็นทุกข์แล้วก็แท้ว่าแม่แกล้ง | ไม่เคลือบแคลงแล้วจะร้างห่างสมร | ||
| แม่ฟังคำพี่ว่าอย่าอาวรณ์ | แม้นไม่จรเขาเห็นกายจะอายคน ฯ | ||
| ๏ พระทรงโฉมโลมลูบแล้วจูบสั่ง | น้ำเนตรหลั่งไหลนองดังฟองฝน | ||
| ลงจากอาสน์กรเผยพระแกลบน | ฤทธิรณรีบรุดมาอุทยาน | ||
| พอถึงสวนจวนสางสว่างแสง | กระจ่างแจ้งพื้นภพจบสถาน | ||
| พระเข้าห้องกอดน้องแล้วพจมาน | พ่อตื่นนานแล้วหรือน้องอย่าหมองใจ | ||
| อรุณยิ้มพริ้มพรายภิปรายเปรียบ | ทูลประเทียบเปรียบเปรยเฉลยไข | ||
| ไม่หาวนอนเลยสักนิดน้องผิดใจ | ราวกับได้นางฟ้าลงมาเชย | ||
| พระเยื้อนบอกยิ้มย่องกับน้องแก้ว | ถึงตัวบ้างก็ไม่แคล้วแล้วน้องเอ๋ย | ||
| เป็นประถมธรรมดาอย่าว่าเลย | แล้วชมเชยตอบสนองกันสองเรา ฯ | ||
| ๏ สงสารนุชสุดสวาทในวังหลวง | สว่างดวงสุริยนบนเวหา | ||
| ไม่วายคิดจิตประหวัดถึงภัสดา | ประคองกอดสาลิกาไว้กับกาย | ||
| ขุนทองเอ๋ยเป็นไรเลยไม่พูดบ้าง | ให้แม่สร่างโศกเศร้าบรรเทาหาย | ||
| นกฉลาดช่างเฉลยภิเปรยปราย | ไม่สบายสุดจะบอกให้ใครฟัง | ||
| เมื่อคืนนี้อัศจรรย์เหมือนฝันเห็น | เผอิญเป็นให้พิกลกว่าหนหลัง | ||
| ราวกับลมเพชหึงพัดตึงตัง | พึ่งหายดังลงเมื่อดึกรู้สึกพลัน ฯ | ||
| ๏ นางแย้มยิ้มพริ้มพักตร์ลูกรักแม่ | ช่างพูดแก้ขอบจิตนิมิตฝัน | ||
| เจ้านอนนี่มีเหตุขึ้นอัศจรรย์ | ถ้ากระนั้นค่ำลงนอนพงพี ฯ | ||
| ๏ อนิจจาขุนทองมาต้องขับ | ช่างอาภัพไปห่างจากปรางค์ศรี | ||
| แต่ป่างก่อนนั้นสาลิกาดี | ตั้งแต่นี้เห็นอาภัพจะลับแล้ว ฯ | ||
| ๏ นางฟังพลอดกอดสาลิกาน้อย | ช่างชดช้อยส่งเสียงสำเนียงแจ้ว | ||
| ถึงตัวตายก็ไม่วายสวาทแล้ว | นางกอดแก้วสาลิกาว่าน่ารัก | ||
| จงเฝ้าห้องนะขุนทองอย่าไปไหน | แม่จะไปเฝ้าองค์พระทรงศักดิ์ | ||
| สั่งพลางแต่งองค์นางนงลักษณ์ | พอสมศักดิ์สมองค์นางนงคราญ | ||
| ภูษาทรงวงสร้อยสะอิ้งรัด | นิ้วพระหัตถ์ธำมรงค์วิเชียรฉาน | ||
| ดำรัสเรียกฝูงกำนัลพนักงาน | เยาวมาลย์ย่างเยื้องชำเลืองมา | ||
| ถึงปราสาทสององค์พระทรงภพ | นางเคารพอัญชลีเหนือเกศา | ||
| ภูวนาถหวาดจิตเห็นธิดา | ทั้งกายาพระยุพินสิ้นละออง | ||
| แต่ก่อนงามยามดูดังเดือนฉาย | มาระคายระคางมีราคีหมอง | ||
| ดังโกสุมภุมรินบินประคอง | เป็นรอยต้องซ้ำมีราคีพาน | ||
| พระลูกรักดีร้ายมีชายชิด | จึงดูผิดผิวพรรณในสัณฐาน | ||
| จะถามนางเห็นจะพรางไม่ต้องการ | นฤบาลนิ่งพิศดูธิดา | ||
| เห็นแน่ใจแล้วมิได้โองการแจ้ง | ครั้นสายแสงสุริยนบนเวหา | ||
| พระทรงเครื่องเยื้องย่องจากห้องมา | ออกนั่งหน้าพระโรงรัตน์ชัชวาล | ||
| สะพรั่งพร้อมเสนาพฤฒามาตย์ | ภูวนาถตรัสเรียกมนตรีทหาร | ||
| เคียงบัลลังก์กระซิบสั่งให้จัดการ | ท่านผู้ชาญจงช่วยล้างในทางอาย | ||
| ผูกพยนต์กลในให้ลึกล้ำ | ข้างนอกทำให้เป็นแท่นวิเชียรฉาย | ||
| ยักษ์พยนต์ตนหนึ่งให้แฝงกาย | คอยจับชายชู้ชิดพระธิดา ฯ | ||
| ๏ ขุนทหารฟังสารที่ท้าวสั่ง | ถวายบังคมคัลมาเคหา | ||
| เอาเชือกวงดำรงเสกด้วยวิทยา | มัดหุ่นหญ้าวางไว้เหมือนใจจง | ||
| บริกรรมซ้ำเสกข้าวสารซัด | เชือกวิบัติเป็นบัลลังก์ที่นั่งหงส์ | ||
| ทั้งหุ้นหญ้าก็เป็นมารชาญณรงค์ | แล้วบรรจงให้เป็นกลองของสำคัญ | ||
| ภาวนาสั่งผ้าพยนต์ยักษ์ | บุรุษใดมาร่วมรักสาวสวรรค์ | ||
| เมื่อไสยาสน์จงพิฆาตกลองสำคัญ | จับกระสันมัดไว้ดังใจจง | ||
| ครั้นสำเร็จเสนาเอามาถวาย | จอมนารายณ์ชื่นชมสมประสงค์ | ||
| พจมานให้ประทานนางโฉมยง | ฝูงอนงค์นำหน้าเสนาจร | ||
| ครั้นถึงปรางค์นางทูลถวายอาสน์ | ภูวนาถเธอจำนงให้องค์สมร | ||
| โฉมอำพันมาลาพะงางอน | เห็นบรรจถรณ์งามดีก็ปรีดา | ||
| บรรจงจัดผลัดแท่นที่สถิต | ไม่แจ้งจิตนงลักษณ์ว่ายักษา | ||
| แต่คิดเร่งสุริยนให้สนธยา | ภัสดาจะได้ย่างเข้าปรางค์ทอง | ||
| อันท้าวหลวิราชอำมาตย์ทหาร | เกษมศานต์ยินดีไม่มีสอง | ||
| คอยเงี่ยโสตฟังเสียงสำเนียงกลอง | อยู่ในท้องพระโรงรัตน์ชัชวาล ฯ | ||
| ๏ ป่างบพิตรอิศเรศเกศมงกุฎ | พระโคบุตรสุริย์วงศ์ยอดสงสาร | ||
| กับอรุณน้องยาปรีชาชาญ | แสนสำราญอยู่ในห้องตำหนักจันทน์ | ||
| ครั้นสุริยงลงลับเหลี่ยมสิงขร | พระภูธรครวญคิดจิตกระสัน | ||
| รำลึกถึงขนิษฐาวิลาวัณย์ | นางแจ่มจันทร์เห็นจะคอยละห้อยใจ | ||
| เข้านั่งแนบแอบน้องประคองถนอม | แล้วแกล้งกล่อมเพลงขับให้หลับไหล | ||
| พระทรงเครื่องเยื้องย่องจากห้องใน | ฤทธิไกรเหาะตรงมาลงปรางค์ | ||
| พระกรกรีดดีดแกลเสียงดังกัก | นางนงลักษณ์แจ้งจิตไม่คิดหมาง | ||
| นางเผยแกลรับองค์พระทรงปรางค์ | พระจูงนางเยื้องย่องเข้าห้องใน | ||
| ถนอมแนบแอบน้องประคองกอด | นาสาสอดสมสนิทพิสมัย | ||
| ต่างยวนยีปรีดิ์เปรมเกษมใจ | บรรทมในแท่นทองทั้งสองรา ฯ | ||
| ๏ นางนบนอบตอบสนองต้องทำเนียบ | ภิปรายเปรียบสรวลสันต์ด้วยหรรษา | ||
| ข้างฝ่ายแท่นแสนเล่ห์ของเสนา | ก็มารยาส่งเสียงประสานเพลง | ||
| มโหรีปี่แก้วจะแจ้วเจื้อย | ระรี่เรื่อยฟังเสนาะอยู่เหมาะเหมง | ||
| พระโคบุตรนุชนางให้วังเวง | สดับเพลงฟังเพลินเจริญครัน ฯ | ||
| ๏ ทั้งสององค์ทรงหลับไม่ลืมเนตร | ด้วยต้องเวทมนตราเหมือนอาสัญ | ||
| ยักษ์พยนต์รนตีเภรีพลัน | แท่นสุวรรณรวบรัดจะมัดองค์ | ||
| ก็กึกก้องห้องปรางค์ปราสาทรัตน์ | สองกษัตริย์หลับสนิทพิศวง | ||
| แต่เครื่องเทพสาตรารักษาองค์ | ธำมรงค์สุริย์กาญจน์สังวาลพราย | ||
| เป็นจักรพัดตัดเชือกกระชากขาด | วิปลาสลุ่ยแหลกละลายหาย | ||
| ที่รูปหุ่นก็เป็นจุณแหลกทำลาย | ต่างวุ่นวายหวั่นไหวในไพชยนต์ ฯ | ||
| ๏ นางสาวสาวชาววังกำลังหลับ | สะดุ้งวับหวีดวิ่งอยู่สับสน | ||
| ฝ่ายทหารชาญเวทวิเศษมนต์ | ยินพยนต์พิฆาตกลองเข้าสองที | ||
| แล้วกลับนิ่งกริ่งจิตผิดประหลาด | ขุนอำมาตย์วิ่งวางมาปรางค์ศรี | ||
| เห็นพยนต์ยับลงเป็นผงคลี | ขุนมนตรีโกรธใจดังไฟกัลป์ | ||
| ดูพระองค์ทรงฤทธิ์สนิทหลับ | กระโจมจับด้วยกำลังดังกังหัน | ||
| สังวาลวงเป็นภุชงค์กระหวัดพัน | เสนาดันดึงเชือกลงเสือกกาย | ||
| แทบขาดจิตด้วยฤทธิ์ภุชงค์รัด | ดิ้นสะบัดก็ไม่ไหวให้ใจหาย | ||
| จึงอ่านเวทแก้มนต์สะกดกาย | ทั้งสองสายสุดที่รักรู้สึกพลัน | ||
| ดูแท่นหายเห็นแต่สายสังวาลรัด | เป็นนาคมัดเสนาจะอาสัญ | ||
| พระหยิบเครื่องประดับมาฉับพลัน | เสนานั้นหมอบตัวด้วยกลัวตาย | ||
| แล้วทูลความตามโทษที่ทำผิด | ได้ประดิษฐ์ทำแท่นมาถวาย | ||
| แม้นมิโปรดโทษข้าก็ควรตาย | หน่อนารายณ์อิศราได้ปรานี ฯ | ||
ตอนที่ ๙ โคบุตรพานางอำพันมาลาหนีไปเมืองพาราณสี
| ๏ | |||
ตอนที่ ๑๐ อภิเษกโคบุตรกับนางมณีสาครและนางอำพันมาลา
| ๏ | |||
ตอนที่ ๑๑ นางอำพันมาลาให้เถรกระอำทำเสน่ห์
| ๏ | |||
ตอนที่ ๑๒ พระอรุณมาเมืองปราการบรรพต จับเสน่ห์เถรกระอำ
| ๏ | |||
ตอนที่ ๑๓ โคบุตรปรึกษาโทษนางอำพันมาลา
| ๏ | |||
ตอนที่ ๑๔ ขับนางอำพันมาลาออกจากเมือง
| ๏ | |||
