|
เจ้าคุณผู้ช่วยกรมท่า เก็บเรื่องความเมืองญวนแต่ก่อน มาเรียบเรียงเข้าไว้ไม่สู้ละเอียดแจ่มแจ้งนัก ด้วยฉบับเดิม เจ้าพนักงานแต่ก่อนรักษาต่อๆ กันมาให้ฉบับเสียหายเสียบ้าง ปลวกกินเสียบ้าง ได้ความประการใดก็เรียงไว้พอเป็นของสำหรับแผ่นดินไปเบื้องหน้า ค้นหาได้ความว่าเมื่อครั้งแผ่นดินสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกนั้น มีรับสั่งให้ขุนราชมนตรี ขุนศรีเสนา ขุนราชาวดี ล่าม แปลคำองเปดกลึง องเดจัด พวกองไชสือไว้ เมื่อ ณ วันเดือน ๙ ขึ้น ๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๕๕ ปีฉลูเบญจศก ได้ความว่า
|
|
เดิมเมืองญวนนั้นเมืองตังเกี๋ยเป็นเมืองหลวง เจ้ากินเป็นเจ้าเมือง สืบกษัตริย์มาได้ ๖ องค์ กษัตริย์ในที่ ๖ ชื่อ หุงเมือง ครั้งนั้นพระเจ้ากรุงปักกิ่งให้ขุนนางชื่อเลียวท่าง เป็นแม่ทัพมาตีเมืองตังเกี๋ยได้ เลียวท่างจับหุงเมืองและพวกพ้องฆ่าเสียสิ้น แล้วเลียวท่างก็อยู่รักษาเมือตังเกี๋ย เมืองตังเกี๋ยก็ขึ้นแก่เมืองจีนตั้งแต่นั้นมา
|
|
ครั้นนานมาเกิดญวนผู้มีบุญชื่อเลเลย อยู่ ณ บ้านลำเซิน เลเลยฝันเห็นว่าเทวดามาบอกว่าเลเลยจะได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ชายผู้หนึ่งชื่อเวียนกรายจะได้เป็นมหาอุปราช ดวงตรากับกระบี่สำหรับกษัตริย์อยู่ที่ตำบลหวยนำ ครั้นเพลาเช้าเลเลยก็ไปเที่ยวดูที่ตำบลหวยนำ ก็ได้เห็นดวงตรากับกระบี่สมคำที่เทวดาบอก จึงเอาดวงตรากับกระบี่มาเก็บไว้ที่บ้าน ฝ่ายเวียนกรายนั้นเที่ยวมาอาศัยอยู่ในศาลเทพารักษ์ มีเทวดามาบอกในฝันว่า ชายชื่อเลเลยจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินในเมืองญวน ตัวท่านจะได้เป็นมหาอุปราช ถ้าท่านจะใคร่พบเลเลยก็ให้ไป ณ บ้านลำเซิน ถ้าไม่รู้จักเรือนเลเลยเพลากลางคืนให้ดูรัศมีสว่างอยู่ที่เรือนใด เรือนนั้นแลเป็นเรือนเลเลย ครั้นตื่นขึ้นเพลาเช้าเวียนกรายก็ออกจากศาลเทพารักษ์เดินมาถึงบ้านลำเซินพอเพลาค่ำจึงคอยดู เห็นเรือนหนึ่งรัศมีสว่างสมกับคำเทวดาบอก เวียนกรายก็เข้าไปหาเลเลย เลเลยกับเวียนกรายพอพบกันแล้วก็ไถ่ถามชื่อเสียงรู้จักกันสมกับความฝันทั้งสองฝ่าย เวียนกรายขอดูดวงตราและกระบี่ของเลเลย เลเลยก็ให้ดู เวียนกรายไม่มีความสงสัยแน่แก่ใจแล้ว จึงว่าเราทั้งสองคงจะได้เป็นใหญ่ในเมืองตังเกี๋ย จึงให้เลเลยตั้งกองเกลี้ยกล่อมผู้คนอยู่ที่บ้านลำเซิน ตัวเวียนกรายจะไปเที่ยวเกลี้ยกล่อมคนในแขวงเมืองตังเกี๋ย ครั้นเกลี้ยกล่อมคนเข้าด้วยมากแล้ว เวียนกรายกับเลเลยก็เป็นกบฏ คุมคนยกเข้าตีเอาเมืองตังเกี๋ยได้ จับเจ้าเมืองฆ่าเสีย เลเลยก็ตั้งตัวขึ้นเป็นเจ้า ตั้งเวียนกรายขึ้นเป็นมหาอุปราช
|
|
ฝ่ายพระเจ้ากรุงจีนรู้ว่าเลเลยกับเวียนกรายฆ่าเจ้าเมืองตังเกี๋ยเสียจึงแต่งกองทัพไปตีเมืองตังเกี๋ย เลเลยกับเวียนกรายเห็นกองทัพจีนยกมามากนักจะสู้รบมิได้จึงเอาทองคำทำเป็นรูปเจ้าเมืองตังเกี๋ยกับเครื่องราชบรรณาการ ให้ทูตคุมไปให้กับแม่ทัพเมืองจีน ขอโทษตัวยอมเป็นเมืองขี้นตามเดิม แม่ทัพจึงมีหนังสือบอกขึ้นไป ณ เมืองหลวง พระเจ้ากรุงจีนจึงมีหนังสือตอบมาให้แม่ทัพตั้งเลเลยเป็นเจ้าเมืองตังเกี๋ยเถิด แม่ทัพทำตามหนังสือรับสั่งแล้วก็ยกทัพกลับไป เลเลยจึงให้เวียนกรายผู้เป็นมหาอุปราชเป็นผู้สำเร็จราชการบ้านเมืองทั้งปวง และเวียนกรายนั้นมีบุตรหญิงคนหนึ่งชื่อกงจัว บุตรชายคนหนึ่งชื่อจัวเตียน บุตรหญิงนั้นยกให้เป็นภรรยาตีนเฮกยิ่มซึ่งเป็นเสนาบดีในเมืองตังเกี๋ย ครั้นนานมามหาอุปราชจึงทูลลาเจ้าเมืองตังเกี๋ย ว่าตัวแก่ชราแล้วจะขอลาออกจากราชการ จะขอให้ตีนเฮกยิ่มบุตรเขยเป็นว่าที่อุปราชแทนตัวไปกว่าจัวเตียนบุตรชายจะใหญ่ขึ้น ถ้าบุตรใหญ่แล้วจะขอให้บุตรเป็นมหาอุปราชสืบไป เจ้าเมืองตังเกี๋ยก็ยอมให้ ครั้นเวียนกรายอุปราชตายแล้ว ตีนเฮกยิ่มบุตรเขยก็คิดจะฆ่าจัวเตียนน้องภรรยาเสีย นางจงกัวพี่สาวรู้ความจึงกระซิบบอกน้องชายให้รู้ตัว ให้น้องชายทำเป็นบ้าเสีย จัวเตียนก็ทำตามคำพี่สาว พี่สาวจึงคิดอุบายบอกแก่ตีนเฮกยิ่มผู้ผัวว่าจัวเตียนเป็นบ้าไปแล้ว จะเลี้ยงไว้ก็ขายหน้าขอให้ขับไปเสียให้พ้นบ้านพ้นเมืองเถิด
|
|
ตีนเฮกยิ่มไม่ทันคิดจึงไปทูลกับเจ้าเมืองตังเกี๋ยให้ขับจัวเตียนเสียจากเมือง เจ้าเมืองตังเกี๋ยก็ยอมตาม ตีนเฮกยิ่มจึงแต่งเรือและคนให้คุมตัวจัวเตียนลงมาส่งข้างทิศใต้ให้ขึ้นที่ป่าชื่อโวจ๊อ ที่นั้นเป็นแดนข่า ถ้าจะเดินมาแต่เมืองตังเกี๋ยประมาณ ๑๕ วันจึงถึง คนที่มาส่งนั้นก็อยู่ด้วยจัวเตียนหากลับขึ้นไปไม่ จัวเตียนจึงตั้งซ่องเกลี้ยกล่อมผู้คนอยู่ที่นั้น ครั้นได้คนมากขึ้นก็สร้างเมืองขึ้นที่ป่าโวจ๊อให้ชื่อว่าเมืองเว้ ฝ่ายองตีนเฮกยิ่มพี่เขยรู้จึงให้องลักเบาคุมกองทัพยกมาตีเมืองเว้ ได้รบพุ่งกันเป็นสามารถ องลักเบาตาย กองทัพแตกกลับไปเมืองตังเกี๋ย ภายหลังจัวเตียนเจ้าเมืองเว้กลัวว่าจะเป็นศึกติดพันกันไปจึงแต่งเครื่องราชบรรณาการให้จิ้มก้ององเตียนเฮกยิ่มพี่เขยขอโทษตัวแล้วยอมเป็นเมืองขึ้น เจ้าเมืองตังเกี๋ยก็ยกโทษให้ จัวเตียนได้ครองเมืองเว้สืบลูกหลานมาได้ ๖ ชั่วเจ้าเมือง คือ จัวเตียนบุตรเวียนกรายที่ ๑ จัวสายบุตรจัวเตียนที่ ๒ จัวเทิ่งบุตรจัวสายที่ ๓ กับจัวเหียนบุตรจัวเทิ่งที่ ๔ จัวค่างบุตรจัวเหียนที่ ๕ องเฮียวหูเวียงบุตรจัวค่างที่ ๖ เป็น ๖ เจ้าเมืองด้วยกัน ครั้นเมื่อองเฮียวหูเวียงได้เป็นเจ้าเมืองเว้ก็ตั้งแข็งเมืองไม่ไปขึ้นกับเมืองตังเกี๋ยเหมือนแต่ก่อน เจ้าเมืองตังเกี๋ยก็จัดกองทัพไปตีเมืองเว้หลายครั้งก็ไม่ได้ องเฮียวหูเวียงจึงให้ตั้งด่านทางบกลงไว้ที่ตำบลโปจัน ตำบลโปจันนั้นตั้งอยู่ริมแม่น้ำซงยัน ฟากแม่น้ำซงยันข้างตะวันออกเป็นแดนเมืองตังเกี๋ย ด่านโปจันทุกวันนี้เขาเรียกว่าเมืองกวางเบือง ทางน้ำนั้นให้เอาโซ่ขึงแม่น้ำกงเหยไว้ไม่ให้พวกเมืองตังเกี๋ยมาเมืองเว้ได้ เมืองเว้ก็ขาดจิ้มก้องเมืองตังเกี๋ยมาหลายปี ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ขึ้นด้วยกันทั้งสองเมือง องเฮียวหูเวียงนั้นมีราชบุตร ๕ องคือ องดิกหมูที่ ๑ องเฮียวคางเวียงที่ ๒ องเทิงกวางที่ ๓ กับองเชียงฉุนที่ ๔ องทางที่ ๕
|
|
ฝ่ายองดิกหมูราชบุตรใหญ่นั้นมีบุตรชายชื่อองหวางคน ๑ องเฮียงคางเวียราชบุตรที่ ๒ มีบุตร ๓ คนคือ องยาบา ๑ องหมัน ๑ องไชสือ ๑ องดิกหมู องคางเวียงตายก่อนพระราชบิดา ครั้นองเฮียวหูเวียงพระราชบิดาตาย องกวักภัยขุนนางผู้ใหญ่ก็ยกกองเทิงกวางพระราชบุตรที่ ๓ ขึ้นเป็นเจ้าเมืองเว้ แล้วองกวักภ้อก็เป็นผู้สำเร็จราชการสิทธิ์ขาดอยู่แต่ผู้เดียว เสนาบดีและราษฎรไม่เต็มใจ บ้านเมืองก็เกิดจลาจลต่างๆ ครั้นอยู่มาองยากเป็นโจรป่าอยู่แดนเมืองกุยเยิน องยากมีน้องชายสองคนชื่อองบาย ๑ องดาม ๑ ครั้นอยู่มาองกรุมหวดผู้เป็นบิดาตาย พี่น้องสามคนหาหมอดูที่ฝังศพ หมอดูว่าที่เขากวางนำนั้นเป็นที่ฮวงซุ้ยดี มีเขาเป็นรูปปากมังกร ถ้าผู้ใดได้ฝังศพบิดามารดาลงที่นั้น นานไปลูกหลานจะได้ดี พี่น้องทั้งสามก็เอาศพบิดามารดาลงไปฝังที่เขานั้น เมื่อขุดหลุมลงไปนั้นได้ทองสองไหแง แล้วจึงเอาศพบิดาฝังลงไว้ที่นั้น พี่น้องทั้งสามก็เอาทองนั้นมาขาย ครั้นได้เงินก็เอาไปช่วยที่ทุกข์ยากปล่อยเสีย แล้วเกลี้ยกล่อมผู้คนได้มาก จึงปรึกษากันจะชิงเอาราชสมบัติในเมืองเว้ ด้วยเห็นว่าองเทิงกวาง องกวักภ้อไม่เอาใจใส่ในราชการ ตั้งแต่เสพสุราเล่นงิ้วเป็นการสนุก แต่บรรดาขุนนางก็เอาใจออกหากอยู่สิ้น พี่น้องทั้งสามเห็นการดังนั้นก็ปรึกษากันว่า ผู้คนนิยมกับเรามากอยู่แล้ว เห็นพอจะคิดการใหญ่ได้ จึงให้องบายเอาทองคำหลายลิ่ม ๆ ละ ๑๐ ตำลึงใส่กะบะเข้าไปให้เจ้าเมืองกวางนำขอทำราชการด้วย เจ้าเมืองกวางนำก็รับไว้ ครั้นนานมาเจ้าเมืองกวางนำเห็นว่าองบายมีสติปัญญาและความเพียรมาก ก็ให้ว่าราชการสิทธิ์ขาดแทนตัว ด้วยตัวเป็นคนชรา องบายเกลี้ยกล่อมให้ไพร่บ้านพลเมืองรักใคร่ก็ได้พวกพ้องเป็นอันมาก
|
|
|
|
| | |
|