|
๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ | | ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
|
บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความ | | ทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง
|
ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออก | | ก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง
|
ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียง | | เมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา
|
ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | | ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า
|
เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชา | | ลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ
|
|
|
๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดช | | ซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัว | | ศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน
|
ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่น | | ทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน
|
เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลัน | | พร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน
|
เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอ | | เป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร
|
พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการ | | ที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย
|
แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีก | | ให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย
|
ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนาย | | ทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน
|
เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว | | ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน
|
ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครัน | | บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย
|
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ | | ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย
|
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย | | ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง
|
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด | | ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง
|
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง | | เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี
|
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ | | ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี
|
สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี | | ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ
|
|
|
๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏ | | หวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร
|
แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์ | | สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ
|
กางกรประคองกอดแม่ยอดรัก | | พิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน
|
นึกก็น่าใจหายเสียดายนวล | | ด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน
|
แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียว | | นึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน
|
พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือน | | จะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ
|
ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิต | | นึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล
|
จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไป | | กลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู
|
นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอด | | คนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู
|
ต้องจำใจจำร้างห่างพธู | | จงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี
|
อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศก | | อย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี
|
แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคี | | นั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ
|
|
|
๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำ | | เป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่
|
ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไป | | จำครรไลโลมลาสุดาดวง
|
น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้อง | | เหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง
|
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวง | | แล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน
|
ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุข | | อย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน
|
สวัสดีมีชียพ้นภัยยัน | | เมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน
|
ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่น | | ถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน
|
สละรักหักใจอาลัยวรณ์ | | ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง
|
มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณ | | กำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ
|
ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานอง | | ใจสยองยิ่งสลดระทดระทม
|
แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาส | | ใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม
|
ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ | | ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ
|
คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ | | ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร
|
บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาล | | ทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู
|
ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้ | | คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู
|
เกินจะพรรณนาเหลือตาดู | | เครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน
|
เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อ | | ล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน
|
ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพัน | | ล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา
|
ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จ | | สักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า
|
เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามา | | ทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ
|
และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวง | | หวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร
|
ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญ | | ใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ
|
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบ | | ถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ
|
เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือ | | จดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ
|
|
|
๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์ | | เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน
|
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลัน | | เจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย
|
พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์ | | นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย
|
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย | | ที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม
|
เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จ | | แล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม
|
สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงคราม | | ขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล
|
พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธ | | ชยันโตสำเนียงเสียงประสาน
|
เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวาน | | โหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง
|
พระครูโหรอวยชัยให้เดชะ | | พระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์
|
พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดัง | | ขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ
|
|
|
๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จ | | น้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย
|
ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจ | | ผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน
|
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์ | | พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล
|
สุริยงทรงรถหมดมลทิน | | ทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี
|
สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์ | | แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี
|
ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรี | | ท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน
|
ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือน | | เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน
|
เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกัน | | เสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล
|
ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ | | ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน
|
กลามตลอดจอดแพออกแจจน | | กญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ
|
ดูเรือแพแออัดสงัดหาย | | ไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน
|
กลัวจะกีดกันขวางทางชลธาร | | หลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ
|
|
|
๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสว | | พวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา
|
ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตรา | | เสด็จมาคอยรับกองทัพเอง
|
เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | | ลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง
|
ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็ง | | เสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน
|
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | | ถวายคำนับน้อมจอมสถาน
|
แล้วถวายบังคมราบลงกราบกราน | | ตามบูราณประเพณีที่มีมา
|
กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ | | ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา
|
เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณา | | เป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา
|
ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพ | | ครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา
|
เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบา | | แต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์
|
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | ฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร
|
เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพร | | แล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน
|
ทองคำทำตลับระยับย้อย | | ทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน
|
พระจอมนาถมีพระราชโองการ | | ว่าของนานทำไว้จะให้เธอ
|
ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับ | | เจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ
|
ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอ | | เสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย
|
ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อย | | พระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย
|
คนในเรือรับพลางต่างวางพาย | | น้อมถวายบังคมประนมกร ฯ
|
|
|
๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ | | เสียงก้องโกลาหลพลสลอน
|
เอิกเกริกเร่งมาในสาคร | | เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม
|
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว | | ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม
|
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม | | ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน
|
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล | | เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน
|
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร | | ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ
|
|
|
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง | | มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา
|
ชยันโตอวยชัยในนาวา | | จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง
|
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ | | ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง
|
พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง | | บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม
|
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม
|
พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม | | พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์
|
พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ | | เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง
|
สังเกตลมพระพายพัดชายธง | | นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน
|
เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา | | พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน
|
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน | | เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ
|
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ | | แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ
|
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ | | นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา
|
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน | | นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา
|
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา | | ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ
|
โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร | | เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว
|
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป | | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ
|
|
|
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม | | ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน
|
ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร | | ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน
|
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ | | ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น
|
ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน | | มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย
|
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง | | ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย
|
พอจวนถึงรอรานาวาคอย | | เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ
|
เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ | | สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ
|
พระทัยดีมีพระกรุณประจำ | | หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน
|
เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ | | สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน
|
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ | | ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ
|
|
|
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน | | บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน
|
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน | | บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน
|
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา | | ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน
|
คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ | | อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง
|
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน | | จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง
|
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง | | นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม
|
แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต | | โอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม
|
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม | | ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย
|
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า | | หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย
|
คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย | | โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา
|
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย | | พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา
|
จวนแจ้งแสงศรีสุริยา | | ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม
|
เสร็จเสพโภชนากระยาหาร | | ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม
|
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม | | ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ
|
|
|
๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต | | สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง
|
ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง | | จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง
|
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ | | ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง
|
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง | | เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา
|
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร | | พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา
|
คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ | | ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม
|
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน | | ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม
|
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม | | ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง
|
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ | | ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง
|
ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง | | กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ
|
|
|
๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์ | | วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง
|
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | | เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา
|
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง | | พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา
|
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา | | ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย
|
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย
|
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป | | ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร
|
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | | ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
|
น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน | | เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี
|
ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด | | พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี
|
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | | เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน
|
ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย | | เดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน
|
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน | | คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน
|
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ | | นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ
|
ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน | | เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา
|
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ | | ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
|
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา | | อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
|
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก | | บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
|
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว | | ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
|
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย | | อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา
|
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา | | เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
|
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส | | ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
|
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา | | ยุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม
|
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก | | ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม
|
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม | | ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย
|
พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง | | ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย
|
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย | | เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน
|
พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา | | เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน | | จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา
|
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ | | ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา
|
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา | | ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ
|
| | |
|