|
|
| ๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ | | ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม
|
| บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความ | | ทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง
|
| ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออก | | ก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง
|
| ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียง | | เมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา
|
| ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | | ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า
|
| เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชา | | ลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดช | | ซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว
|
| สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัว | | ศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน
|
| ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่น | | ทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน
|
| เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลัน | | พร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน
|
| เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอ | | เป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร
|
| พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการ | | ที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย
|
| แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีก | | ให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย
|
| ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนาย | | ทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน
|
| เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว | | ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน
|
| ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครัน | | บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย
|
| ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ | | ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย
|
| ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย | | ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง
|
| เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด | | ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง
|
| ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง | | เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี
|
| เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ | | ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี
|
| สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี | | ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏ | | หวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร
|
| แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์ | | สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ
|
| กางกรประคองกอดแม่ยอดรัก | | พิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน
|
| นึกก็น่าใจหายเสียดายนวล | | ด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน
|
| แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียว | | นึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน
|
| พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือน | | จะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ
|
| ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิต | | นึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล
|
| จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไป | | กลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู
|
| นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอด | | คนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู
|
| ต้องจำใจจำร้างห่างพธู | | จงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี
|
| อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศก | | อย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี
|
| แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคี | | นั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำ | | เป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่
|
| ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไป | | จำครรไลโลมลาสุดาดวง
|
| น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้อง | | เหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง
|
| ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวง | | แล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน
|
| ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุข | | อย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน
|
| สวัสดีมีชียพ้นภัยยัน | | เมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน
|
| ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่น | | ถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน
|
| สละรักหักใจอาลัยวรณ์ | | ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง
|
| มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณ | | กำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ
|
| ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานอง | | ใจสยองยิ่งสลดระทดระทม
|
| แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาส | | ใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม
|
| ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ | | ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ
|
| คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ | | ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร
|
| บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาล | | ทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู
|
| ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้ | | คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู
|
| เกินจะพรรณนาเหลือตาดู | | เครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน
|
| เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อ | | ล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน
|
| ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพัน | | ล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา
|
| ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จ | | สักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า
|
| เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามา | | ทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ
|
| และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวง | | หวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร
|
| ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญ | | ใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ
|
| ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบ | | ถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ
|
| เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือ | | จดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์ | | เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน
|
| พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลัน | | เจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย
|
| พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์ | | นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย
|
| พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย | | ที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม
|
| เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จ | | แล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม
|
| สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงคราม | | ขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล
|
| พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธ | | ชยันโตสำเนียงเสียงประสาน
|
| เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวาน | | โหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง
|
| พระครูโหรอวยชัยให้เดชะ | | พระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์
|
| พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดัง | | ขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จ | | น้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย
|
| ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจ | | ผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน
|
| ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์ | | พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล
|
| สุริยงทรงรถหมดมลทิน | | ทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี
|
| สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์ | | แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี
|
| ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรี | | ท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน
|
| ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือน | | เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน
|
| เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกัน | | เสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล
|
| ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ | | ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน
|
| กลามตลอดจอดแพออกแจจน | | กญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ
|
| ดูเรือแพแออัดสงัดหาย | | ไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน
|
| กลัวจะกีดกันขวางทางชลธาร | | หลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสว | | พวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา
|
| ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตรา | | เสด็จมาคอยรับกองทัพเอง
|
| เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | | ลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง
|
| ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็ง | | เสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน
|
| เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | | ถวายคำนับน้อมจอมสถาน
|
| แล้วถวายบังคมราบลงกราบกราน | | ตามบูราณประเพณีที่มีมา
|
| กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ | | ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา
|
| เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณา | | เป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา
|
| ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพ | | ครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา
|
| เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบา | | แต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | ฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร
|
| เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพร | | แล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน
|
| ทองคำทำตลับระยับย้อย | | ทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน
|
| พระจอมนาถมีพระราชโองการ | | ว่าของนานทำไว้จะให้เธอ
|
| ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับ | | เจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ
|
| ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอ | | เสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย
|
| ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อย | | พระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย
|
| คนในเรือรับพลางต่างวางพาย | | น้อมถวายบังคมประนมกร ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ | | เสียงก้องโกลาหลพลสลอน
|
| เอิกเกริกเร่งมาในสาคร | | เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม
|
| เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว | | ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม
|
| ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม | | ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน
|
| พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล | | เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน
|
| บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร | | ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง | | มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา
|
| ชยันโตอวยชัยในนาวา | | จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง
|
| พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ | | ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง
|
| พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง | | บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม
|
| พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม | | พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์
|
| พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ | | เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง
|
| สังเกตลมพระพายพัดชายธง | | นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน
|
| เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา | | พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน
|
| พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน | | เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ
|
| นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ | | แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ
|
| สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ | | นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา
|
| เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน | | นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา
|
| คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา | | ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ
|
| โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร | | เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว
|
| เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป | | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม | | ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน
|
| ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร | | ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน
|
| พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ | | ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น
|
| ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน | | มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย
|
| เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง | | ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย
|
| พอจวนถึงรอรานาวาคอย | | เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ
|
| เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ | | สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ
|
| พระทัยดีมีพระกรุณประจำ | | หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน
|
| เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ | | สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน
|
| แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ | | ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน | | บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน
|
| บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน | | บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน
|
| เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา | | ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน
|
| คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ | | อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง
|
| ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน | | จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง
|
| แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง | | นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม
|
| แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต | | โอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม
|
| ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม | | ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย
|
| ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า | | หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย
|
| คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย | | โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา
|
| แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย | | พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา
|
| จวนแจ้งแสงศรีสุริยา | | ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม
|
| เสร็จเสพโภชนากระยาหาร | | ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม
|
| กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม | | ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต | | สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง
|
| ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง | | จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง
|
| ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ | | ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง
|
| ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง | | เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา
|
| คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร | | พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา
|
| คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ | | ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม
|
| ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน | | ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม
|
| ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม | | ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง
|
| ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ | | ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง
|
| ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง | | กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ
|
|
|
|
|
| ๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์ | | วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง
|
| พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | | เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา
|
| รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง | | พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา
|
| ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา | | ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย
|
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | | มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย
|
| ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป | | ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร
|
| ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | | ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ
|
| น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน | | เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี
|
| ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด | | พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี
|
| ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | | เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน
|
| ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย | | เดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน
|
| วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน | | คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน
|
| เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ | | นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ
|
| ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน | | เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา
|
| โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ | | ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา
|
| จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา | | อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว
|
| โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก | | บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว
|
| โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว | | ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา
|
| ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย | | อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา
|
| เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา | | เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา
|
| หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส | | ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา
|
| กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา | | ยุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม
|
| ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก | | ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม
|
| คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม | | ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย
|
| พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง | | ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย
|
| พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย | | เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน
|
| พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา | | เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
|
| ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน | | จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา
|
| เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ | | ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา
|
| แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา | | ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ
|
| | |
|