จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ต่าง) ←รุ่นก่อนหน้า | รุ่นปัจจุบัน (ต่าง) | รุ่นถัดไป→ (ต่าง)
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ
พระนิพนธ์, ผู้แต่ง: สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส, นายนาก และเจ้าพระอีกสองพระองค์
อธิบายเรื่องเพลงยาวเจ้าพระ
เพลงยาวชุดนี้มิใช่เพลงยาวสังวาส ปรากฏในท้องสำนวนว่าเป็นของเจ้านายที่ทรงผนวชทรงแต่ง 3 พระองค์ เพราะฉะนั้นจึงสมมุติเรียกว่า “เพลงยาวเจ้าพระ” ในเพลงยาวมีเนื้อความพอจะสันนิษฐานรู้เรื่องราวได้หลายอย่าง คือ
1. ในเพลงยาวบทที่ 14 อ้างถึงกรมหมื่นไกรสรวิชิต ข้อนี้รู้ได้ว่า เป็นเพลงยาวชุดนี้แต่งในรัชกาลที่ 3 เพราะกรมหมื่นไกรสรวิชิตนั้น ทรงรับกรมในรัชกาลที่ 3 แลสิ้นพระชนม์ก็ในรัชกาลที่ 3
2. ในเพลงยาวบทที่ 1 บทที่ 11 บทที่ 12 บทที่ 13 บทที่ 14 มีเนื้อความประกอบกันว่า ในปีที่แต่งเพลงยาวนี้มีเจ้านายทรงผนวชอยู่ในพระอารามเดียวกัน 5 พระองค์ พระองค์ที่ 1 นั้นเป็นอาจารย์ เจ้าพระอีก 4 พระองค์เป็นเจ้านายพี่น้อง ทรงผนวชเฉพาะพรรษาเป็นศิษย์อยู่ในสำนักเจ้าพระพระองคที่ 1
3. เหตุที่จะแต่งเพลงยาวเหล่านี้นั้น ดูเหมือนในเวลานั้นเจ้าพระพระองค์ที่ 3 กำลังทรงหัดแต่งกลอนเพลงยาวถวายเจ้าพระพระองค์ที่ 1 บท 1 แลแต่งประทานนายนากคน 1 ซึ่งทำนองจะเป็นผู้มีชื่อเสียงในการแต่งกลอน อีกบท 1 เจ้าพระพระองค์ที่ 1 จึงทรงแต่งเป็นกลอนเพลงยาวที่มีโคลงกระทู้อยู่ข้างท้ายประทานตอบ ทรงแนะนำกระบวนอักขรวิธีหนังสือไทย (คือเพลงยาวบทที่ 1) ส่วนนายนากนั้นก็แต่งเป็นกลอนเพลงยาวถวายตอบ เป็นเชิงรับจะแต่งเพลงยาวโต้ตอบซ้อมสำนวนกับเจ้าพระพระองค์ที่ 3 แต่นั้นเจ้าพระพระองค์ที่ 3 ก็แต่งเพลงยาวโต้ตอบกับนายนากต่อมา (นับแต่บทที่ 2 จนถึงบทที่ 10)
4. อยู่มาเจ้าพระพระองค์ที่ 1 ทรงสังเกตเห็นเจ้าพระพระองค์ที่ 3 เศร้าหมอง กิริยาอาการไม่รื่นเริงเหมือนแต่ก่อน จึงทรงแต่งเป็นกลอนเพลงยาวมีโคลงกระทู้อยู่ข้างท้ายอีกบท 1 (คือบทที่ 11) ประทาน มีเนื้อความว่าตั้งแต่เจ้าพระพระองค์ที่ 3 ได้ไปเห็นผู้หญิงเมื่อครั้งมีงานมหรสพ ต่อมาดูอาการผิดกับแต่ก่อนเห็นชะรอยจะเกิดมุ่งหมายไปทางข้างจะสึกหา จึงทรงปลอบโยนให้อุตส่าห์เล่าเรียนไปก่อน ถ้าด่วนลาผนวชไปเสียเจ้าน้อง 2 พระองค์กับเจ้าพี่ที่ยังทรงผนวชอยู่ก็จะเปล่าเปลี่ยว ทำไมกับสตรีคงอยู่ในต้องหาได้ไม่ควรจะรีบร้อน
5. สันนิษฐานว่าเจ้าพระพระองค์ที่ 3 จะสงสัยว่าเจ้าพระพระองค์ที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าพี่ เป็นผู้เพ็ดทูลเจ้าพระพระองค์ที่ 1 ถึงเรื่องที่ว่าไปติดผู้หญิงเมื่อมีงานมหรสพ ขัดพระทัยจึงแต่งเพลงยาว (บทที่ 12) ว่าเจ้าพระพระองค์ที่ 2 เป็นโวหารอยู่ข้างหยาบคาย เจ้าพระพระองค์ที่ 2 ขัดพระทัยก็แต่งว่าเจ้าพระพระองค์ที่ 3 บ้าง (คือเพลงยาวบทที่ 13)
6. เพลงยาวที่เจ้าพระทั้ง 2 พระองค์แต่งว่ากันนั้นเห็นจะทราบถึงพระเนตรพระกรรณเจ้าพระพระองค์ที่ 1 ทรงทราบว่าเจ้าพระพระองค์ที่ 3 ประพฤติพระองค์ไม่เรียบร้อย จึงทรงแต่งเป็นกลอนเพลงยาวบริภาษแลภาคทัณฑ์เจ้าพระพระองค์ที่ 3 อีกบท 1 (คือบทที่ 14) เรื่องที่ปรากฏในเพลงยาวมีดังกล่าวมานี้
7. มีข้อสำคัญในทางวรรณคดีเนื่องด้วยเพลงยาวชุดนี้อยู่อย่าง 1 ที่สำนวนแลเนื้อความของเพลงยาวบ่งชัดว่า เจ้าพระพระองค์ที่ 1 นั้นคือสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นนุชิตชิโนรสเป็นแน่ เพราะฉะนั้นเพลงยาวบทที่ 1 บทที่ 11 แลบทที่ 13 ในชุดนี้เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสทั้ง 3 บท แต่ก่อนมากลอนนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรสเคยปรากฎแต่ทรงเป็นร่ายลิลิตแลโคลงฉันท์ ยังไม่ปรากฏพระนิพนธ์กลอนเป็นเพลงยาวเลย พึ่งมาปรากฏเพลงยาว 3 บทนี้เป็นทีแรก ควรผู้อ่านที่เอาใจใส่ในบทกลอนจะยินดี
ดำรงราชานุภาพ
ราชบัณฑิตยสถาน
บทประพันธ์
บทที่ 1 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 1
|
| | ได้ยลยุบลลักษณ์ในอักษร
|
ซึ่งพระหลานบรรหารพจน์เป็นบทกลอน | | ก็อวยพรศรีสวัสดิ์ให้วัฒนา
|
จงเชี่ยวชาญการกระวีวิธีปราชญ์ | | เฉลียวฉลาดตรองตรึกที่ศึกษา
|
ให้จะแจ้งทุกแห่งเห็นเจนจินดา | | อย่าโรยราอุสาหะสละเพียร
|
ซึ่งไม้ม้วนมีถ้วนยี่สิบสรรพ | | กว่านั้นนับมลายล้วนไม่ควรเขียน
|
อักษรสามตามตำหรับฉบับนักเรียน | | ให้ชำเนียนชำนิชัดสันทัดแท้
|
ทั้งโทเอกเลขเจ็ดกับกากะบาท | | ทัณฑฆาตไต่คู้รู้จงแน่
|
สำเนียงสูงต่ำนั้นอย่าผันแปร | | ถ้าฉวยแชแล้วสิเชือนชักเปื้อนปน
|
อันสามสอพ่อจงท่องให้คล่องไว้ | | ชอบที่ใช้ตามบังคับไม่สับสน
|
สังเกตผิดลิขิตเพี้ยนเขียนนิพนธ์ | | นักปราชญ์ยลเย้ยสรวลจะชวนอาย
|
แม้นจักทำโคลงสุภาพอย่าหยาบคิด | | พึงพินิจจงชอบระบอบหมาย
|
ข้างเอกไซร์ใช้ได้อักษรตาย | | แต่ข้างฝ่ายโทนี้ไม่มีแทน
|
จงหาโทแต่ที่สิ้นมลทินโทษ | | จะอ้างโอษฐ์เขาคงชมคารมแม่น
|
ถ้าโทเพี้ยนมักติเตียนว่าปราชญ์แกน | | จะซ้ำแสนอัประมาณป่วยการทำ
|
จงดำริตริตรองให้ต้องแบบ | | ยังอย่างแยบจะบอกพ่อที่ข้อขำ
|
ทุกสิ่งสรรพ์พรรณนาอุส่าห์จำ | | อย่าพลาดพล้ำสติเผลอเลินเล่อ เอย
|
| | |
|
|
๏ พึง พ่อหน่อนเรศผู้ | | ภาคิไนย นาถเอย
|
เรียน ลักษณ์อักษรไทย | | ถ่องถ้อย
|
เพียร เพิ่มเริ่มพจน์ไข | | คำปราชญ์ เสนอนา
|
รู้ รอบกอปรกลร้อย | | เรื่องอ้างทางเกษม ฯ
|
| | |
|
บทที่ 2 ของนายนาก ถวายเจ้าพระพระองค์ที่ 3
|
| | ขอนอบนบเคารพบาทพระจอมเศียร
|
ซึ่งผนวชในพรหมพรตกำหนดเพียร | | จงทรงเรียนทางปราชญ์ชาติกระวี
|
กระหม่อมเล่าเผ่าพงศ์หินชาติ | | จะหมายหมาดคู่พรหมไม่สมศรี
|
ด้วยเป็นไพร่จะให้ตอบพระวาที | | บารมีเป็นที่ยิ่งยังกริ่งครัน
|
แม้นพระทัยใคร่ทรงดำรงเรื่อง | | ที่ข้องเคืองโปรดให้อภัยฉัน
|
ด้วยกลอนตอบชอบผิดต้องติดพัน | | ซึ่งโทษทัณฑ์อนุญาตให้ขาดเอยฯ
|
| | |
|
บทที่ 3 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3 ตอบนายนาก
|
| | สดับรสพจนาเลขาสนอง
|
แสนดีใจด้วยได้สมอารมณ์ปอง | | แต่นอนตรองตรึกหามาช้านาน
|
พอได้ฟังฝีปากนายนากกล่าว | | เป็นเรื่องราวรจนามาในสาร
|
จึงค่อยเรืองปัญญาปรีชาชาญ | | เดี๋ยวนี้พานจะยังอ่อนกลอนไม่ดี
|
ถ้าเห็นผิดอยู่ตรงไหนอย่าได้นิ่ง | | บอกตามจริงเถิดไม่รักถือศักดิ์ศรี
|
อย่าเกรงกลัวโทษอันใดมิให้มี | | จงบอกที่ผิดพลั้งมามั่ง เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 4 ของนายนาก
|
| | ยลลิขิตอิศรสารประทานแถลง
|
แสนเสนาะเพราะล้ำในคำแสดง | | ประจักษ์แจ้งเห็นจริงทุกสิ่งอัน
|
ซึ่งประทานโปรดอภัยไว้ธุระ | | พระคุณจะใส่เกล้ากระหม่อมฉัน
|
ทั้งผิดเพี้ยนให้ช่วยเปลี่ยนสารพัน | | ฝ่ายโทษทัณฑ์มิให้มีดีจริงจริง
|
กระหม่อมก็จะสนองละอองบาท | | ที่พลั้งพลาดคงไม่คิดจะปิดนิ่ง
|
เป็นสัจจังดังสาราอย่าประวิง | | ด้วยจะพิงพึ่งพระเดชเกศบุรี
|
ซึ่งโปรดว่าฟังปากนายนากกล่าว | | เป็นเรื่องราวคำกลอนอักษรศรี
|
จึงค่อยเปรื่องปรีชาชาญชำนาญดี | | ที่ข้อนี้ฉันยังแคลงไม่แจ้งใจ
|
ด้วยมิได้รับประชันกันบ้างเลย | | พระแกล้งเย้ยเยาะเล่นฤๅเป็นไฉน
|
ยอมิหนำซ้ำถ่อมองค์ลงกระไร | | น่าสงสัยอกฉันหวั่นหวั่น เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 5 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
|
| | พินิจสารนากทำคำอักษร
|
แสนเสนาะเพราะสนิทชิดทุกกลอน | | ท่านสุนทรแพ้ชัดไม่ทัดคำ
|
ซึ่งฝากกายหมายชิดไม่ปิดนิ่ง | | ขอบคุณยิ่งถ้ามิตายหมายอุปถัมภ์
|
มีธุระสิ่งไรอย่าได้อำ | | จะคงทำสนองไปมิได้เมิน
|
ซึ่งว่าข้อจะยอหยันนั้นหาไม่ | | ที่จริงในจิตตั้งสั่งรเสริญ
|
มิใช่ว่าจะเจรจาให้ล่วงเกิน | | จะขอเชิญตอบสาราอย่าระแวง
|
เป็นเรื่องรสพจนามาอีกเถิด | | จะได้เกิดปัญญาค่อยกล้าแข็ง
|
ในใจเราเหมือนสารามาแสดง | | อย่าได้แคลงทุกสิ่งครบจนจบ เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 6 ของนายนาก
|
| | สดับสารหวานแสนเสนาะหู
|
ช่างเพราะกลอนอักษรทำดังคำครู | | ฉันขืนสู้คงจะแพ้แน่ในใจ
|
เป็นนักเลงคงอดเพลงอยู่ไม่รอด | | จำต้องทอดทางไมตรีตามวิสัย
|
ด้วยสารทรงจักรีมีเยื่อใย | | เมตตาในกระหม่อมฉันไม่หันเมิน
|
ก็สมจิตที่คิดสามิภักดิ์ | | พระคุณหนักยิ่งฟ้าเวหาเหิน
|
ล้ำสมุทรสุดดินสิ้นทั้งเนิน | | เกือบสูงเกินพรหมแมนแดนอมร
|
ขอพระเดชปกเกศเป็นที่พึ่ง | | อันคำซึ่งจะอุปถัมภ์นี้ใครสอน
|
จึงพระองค์ทรงคิดลิขิตกลอน | | ว่าสุนทรแพ้ฉันขันพอพอ
|
หนึ่งธุระประสงค์คงจะได้ | | พระโปรดให้เห็นจริงจริงเจียวหนอ
|
คงผาสุกทุกวันคืนกลืนลูกยอ | | ฉันร้อนคอขอษมาเสียเถิด เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 7 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
|
| | สดับถ้อยสุนทรอักษรแถลง
|
จะยอเล่นฤๅอย่างไรยังให้แคลง | | ที่กล่าวแกล้งว่าทำเหมือนคำครู
|
ไม่เวทนาบ้างเลยมาเย้ยเล่น | | เหมือนหนึ่งเป็นใบ้บ้าน่าอดสู
|
มิใช่เราจะว่าเล่นจงเอ็นดู | | มันไม่สู้ดีดอกบอกจริงจริง
|
ซึ่งยกคุณของฉันนั้นชอบจิต | | แต่ว่าคิดยังไม่เห็นเป็นที่ยิ่ง
|
ปดกันไปแต่พอให้ใจประวิง | | ยังคิดกริ่งตรองไม่เห็นจงเจรจา
|
อันถ้อยคำนี้ใครมิได้สอน | | แต่บทกลอนอย่างนี้ดีนักหนา
|
จะเอาใครในกรุงศรีอยุธยา | | เห็นจะหายากราวกับดาวเดือน
|
ที่จะยอเย้ยหยันนั้นหาไม่ | | จะหาใครใจที่จะดีเหมือน
|
เช่นนี้ได้มาไว้เป็นแม่เรือน | | ให้ตักเตือนสารพัดจัดการงาน
|
เป็นความจริงทุกสิ่งอย่ากริ่งจิต | | ดังลิขิตรจนามาในสรร
|
พอได้เล่นเป็นสนุกสุขสำราญ | | แก้รำคาญเคืองข้องที่หมองใจ
|
ซึ่งกล่าวว่ากินลูกยอร้อนคอนัก | | จะตวงตักน้ำผึ้งดีที่หวานใส
|
เอายอที่เม็ดไม่มีสักสี่ใบ | | ประเคนให้นากฉันทุกวัน เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 8 ของนายนาก
|
| | พินิจสารบรรหารเหตุพระเกศสยาม
|
ช่างพริ้งเพราะเหมาะใจได้เนื้อความ | | ถูกต้องตามปุจฉาน่ายินดี
|
ซึ่งตริตรึกนึกแหนงระแวงหวาด | | ขอเบื้องบาทปกเกล้าอย่าเศร้าศรี
|
ไม่ว่าเล่นเป็นสัจจังดังวาที | | กลอนเช่นนี้ผิดสังเกตเหตุพึ่งเรียน
|
ดูไวว่องไม่ข้องขัดหัดนิพนธ์ | | ไม่เวียนวนบาทบทที่จดเขียน
|
จึงได้ชมด้วยสมแบบทั้งแนบเนียน | | อุส่าห์เพียรเถิดพระองค์คงจะรู้
|
ซึ่งอยากได้ไว้ฉลองละอองบาท | | เดิมฉันมาดสิไม่พบประสบสู่
|
ครั้นได้ร่มโพธิ์เย็นท่านเอ็นดู | | ถวายตัวอยู่นานลับนับหลายปี
|
สุดจะคิดบิดเบือนให้เหมือนประสงค์ | | ขอจอมพงศ์โมเลศเกศกรุงศรี
|
โปรดอย่าเคืองข้องขัดตัดไมตรี | | จงปรานีนึกว่าเป็นข้าละออง
|
แม้นมีพระประสงค์ที่ตรงไหน | | กระหม่อมไซร้จะรับแทนพระคุณสนอง
|
กว่าจะม้วยชีวิตคิดประคอง | | พระจงตรองดูให้งามตามบุราณ
|
ซึ่งสงสัยในคดีที่ว่ายิ่ง | | เป็นความจริงตามโลกโวหาร
|
ว่าหญิงชายใดได้รับราชการ | | ต่อโปรดปรานจริง ๆ ดอกจึงหยอกเอิน
|
นี่บุญตัวฉันแท้แน่นักหนา | | พระได้มาตอบสารจึงสรรเสริญ
|
ทั้งมหาดเล็กเด็กชาไม่กล้าเกิน | | กุศลเชิญชักมาน่ายินดี
|
เหตุดังนั้นฉันจึงกล่าวว่าคุณยิ่ง | | สัจจังจริงจอมเมืองอย่าหมองศรี
|
จงแต่งตอบตามระบอบประเพณี | | ได้เปรมปรีดิ์ผาสุกสนุกสนาน
|
ซึ่งพระองค์ทรงประทานน้ำผึ้ง | | กับสิ่งซึ่งยอหมดเม็ดฉันเข็ดหวาน
|
ด้วยร้ายแรงแสลงยิ่งกว่าอ้ายตาล | | รับประทานไม่สบายถวายคืน
|
ด้วยของเสวยเคยฉันอยู่เป็นนิจ | | อย่าปลดปลิดให้เขาเฝ้าข่มขืน
|
เชิญเสวยให้จุจุอายุยืน | | ฉันนี้ขืนเข็ดขยาดไม่อาจ เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 9 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
|
| | ได้ฟังสารเพราะเหลือไม่เบื่อหู
|
ทั้งลายมือที่เขียนมาก็น่าดู | | อาลักษณ์ผู้ที่ว่าดีไม่มีทัน
|
ซึ่งกล่าวจริงทุกสิ่งยังกริ่งจิต | | ในใจคิดอยู่ว่าแกล้งจะเย้ยหยัน
|
ฉวยลืมตัวสิเข้าไปหลายใบครัน | | เที่ยววิ่งหันแล้วสิอายเขาตายจริง
|
เป็นสัจจังดังนั้นฤๅอย่าถือหนา | | สาบานมาให้สักใบอย่าได้นิ่ง
|
จะเอาเป็นหลักไหล่ได้อ้างอิง | | แล้วอย่ากริ่งเลยว่าล้อเล่นต่อไป
|
ขอโทษเถิดเกินไปไว้นิดหน่อย | | หม่อมจงถอยเสียเถิดหนาอย่าสงสัย
|
ซึ่งเปรียบว่าฉันนี้โตเหมือนโพธิ์ไทร | | ก็ขอบใจเป็นที่ยิ่งไม่กริ่งเลย
|
อันวาสนาเรานี้พานมีน้อย | | ต้องเศร้าสร้อยเหมือนเดือนตกนะอกเอ๋ย
|
แสนระกำช้ำใจไม่เสบย | | เอากรเกยนลาฏคิดประดิษฐ์กลอน
|
ค่อยสบายคลายในฤทัยหมอง | | แต่ตรึกตรองศุภลักษณ์ในอักษร
|
พอหายง่วงงุนเหงาที่หาวนอน | | ธุระร้อนจึงช้ามาหลายวัน
|
ที่ยอเม็ดหมดนี้มีจริงหนา | | อยู่บ้านป่าบางยี่เรือจงเชื่อฉัน
|
จะเอามาให้เห็นเป็นสำคัญ | | ไม่ปดกันเล่นดอกบอกตามจริง
|
เรากินเบื่อเหลือเน่าเสียเปล่าเหม็น | | มันแสนเข็ญเช่นกะยามหาหิงคุ์
|
นายนากกินเถิดแกแก้ลมวิง | | ให้หนุ่มพริ้งขึ้นมาเที่ยวหาเมีย
|
ได้รับมือกับนางนากฝีปากกล้า | | ภรรยาจะขบเขี้ยวเคี้ยวกินเสีย
|
จนหมดเนื้อแล้วยังเหลือแต่เลือดเลีย | | กินเถิดเมียคงขยาดไม่อาจเกิน
|
แม้นอ่านสารเสร็จสิ้นระบิลเรื่อง | | อย่าได้เคืองที่ข้อฉันสรรเสริญ
|
ถ้าธุระสิ่งไรอย่าได้เมิน | | ที่ตรงเกินนั้นอย่าเคืองเรื่องยอ เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 10 ของนายนาก
|
| | คลี่สารอ่านกลอนอักษรแถลง
|
ฟังเสนาะเพราะล้ำในคำแสดง | | ประจักษ์แจ้งความจริงทุกสิ่งอัน
|
ซึ่งประสงค์ตรงสัตย์จะจัดถวาย | | แต่เกรงฝ่ายจอมเมืองจะเคืองฉัน
|
ด้วยความสัตย์สิ่งอื่นสักหมื่นพัน | | เห็นไม่ทันเหมือนจิตอย่าปิดบัง
|
เออพระองค์จะสงสัยไปไยเล่า | | เชิญหน่วงเอาพระอารมณ์ให้สมหวัง
|
แม้นทูลมาสารพัดไม่สัจจัง | | ขอให้ชังเฉยฉันจนวันตาย
|
แม้นว่าจริงเหมือนสิ่งซึ่งมาพึ่งพัก | | ขอให้รักฉันให้มากอย่าหากหาย
|
ให้คิดสงสารซากที่ฝากกาย | | อย่าเว้นวายห่วงฉันที่รัญจวน
|
จนสิ้นดินสินธูชมพูทวีป | | อย่ารู้รีบร้างโรยให้โหยหวน
|
แม้นสมคิดค่ำเช้าทุกคราวครวญ | | จะสงวนสัตย์ไว้ใต้ธุลี
|
หนึ่งพระประภาษว่าวาสนา | | ดังจันทราใกล้ดับลับแสงศรี
|
เพราะพระองค์ยังเยาว์เบาโพธี | | เมื่อบารมีแก่กล้าคงหล้าฦๅ
|
เปรียบดังพืชข้าวปลูกที่หว่านไว้ | | ยังไม่ได้สี่เดือนจะออกหรือ
|
ถึงรดน้ำพูนดินจนสิ้นมือ | | ก็คงชื่อสี่เดือนเหมือนประมาณ
|
อย่าเสียพระทัยไตรตรึกนึกถวิล | | คงจะภิญโญใหญ่ในสถาน
|
จงอุส่าห์ศึกษาวิชาการ | | ให้ชำนาญในกระบวนควรตระกูล
|
หนึ่งยอไม่มีเม็ดเสด็จโปรด | | ออกพระโอษฐ์ตรัสชมแก้ลมสูญ
|
ทั้งกายแก่แปรเป็นหนุ่มจำรูญ | | บริบูรณ์ด้วยเนื้อหนังกำลังแรง
|
เป็นของดีวิเศษอยู่ในหล้า | | พระเมตตาบอกเล่าเฝ้าแถลง
|
ที่จริงจิตยังคิดข้างเคลือบแคลง | | จะต่อแย้งเรื่องเก่าเฝ้ารำพัน
|
ดูเหมือนคนสิ้นปัญญาจะหาเรื่อง | | ไม่ยักเยื้องย้ายว่าให้ขันขัน
|
ขอประทานผ้าขี้ผึ้งสักหนึ่งอัน | | ให้ห่อล่วมสลาฉันนั้นเถิดเอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 11 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 1
|
| | แสนสงสารหลานรักเป็นนักหนา
|
เห็นจริตนั้นก็ผิดกับกิริยา | | ทั้งพักตราเศร้าศรีฉวีวรรณ
|
น่าจะมีทุกข์นักแต่สักสิ่ง | | จงแจ้งจริงอย่ารังเกียจเดียดฉัน
|
ควรจะสังสนทนาปรึกษากัน | | ไม่ควรพรั่นดอกพอไว้ฤทัยวาง
|
เมื่อก่อนงานเห็นสำราญสำเริงเล่น | | ทุกเช้าเย็นราตรีไม่มีว่าง
|
ครั้นถึงวันมหรสพได้พบสุรางค์ | | สาวสำอางอ่าองค์บรรจงกาย
|
ล้วนแรกรุ่นดรุณราวคราวชันษา | | ฟื้นโสภาพักตร์เพี้ยนวิเชียรฉาย
|
ดูอาการเห็นพานไม่สู้สบาย | | ชะรอยหมายมุ่งมาดสวาสดิ์ครวญ
|
ถึงขึ้นมาเล่าก็ทำเหมือนจำชื่น | | ไม่เริงรื่นหฤทัยว่าใจสรวล
|
ซังตายเล่นเห็นเล่ห์ดูเรรวน | | ประหนึ่งป่วนเป็นจะสึกรำลึกวัง
|
ซึ่งสัญญาอิกวษาจักทรงพรต | | แล้วออมอดสืบไปไม่ได้มั่ง
|
เอ็นดูสองอนุชาเชษฐายัง | | อยู่ภายหลังจะโหยไห้อาลัยคะนึง
|
ด้วยเคยเล่นเจรจาเป็นผาสุก | | ต่าจะทุกข์โศกสร้อยละห้อยถึง
|
จงตรองตัดสลัดร้อนอาวรณ์รึง | | อย่าด่วนดึงเด็ดเดี่ยวไปเดียวองค์
|
อนึ่งวิชาเล่าเรียนที่เพียรพาก | | ก็ยังมากไม่เจนจบสบประสงค์
|
อุส่าห์ก่อนผ่อนรำพึงถึงอนงค์ | | ไหนก็คงจะเสร็จสมอารมณ์ เอย ฯ
|
| | |
|
|
๏ อย่า รุมสวาสดิ์เร้า | | โรยศรี สลายแฮ
|
ร้อน ราครมย์ฤดี | | ดับบ้าง
|
ผ่อน ทุกข์ผ่อนเทวศทวี | | วายว่าง ถวิลนา
|
คลาย คิดกระนิษฐ์ฤๅร้าง | | รอดพ้นกลไฉน ฯ
|
| | |
|
บทที่ 12 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 3
|
| | สงสารองค์โกเมศผู้เชษฐา
|
ด้วยร้อนรุ่มกลุ้มใจในอุรา | | เพราะโรคาขุ่นข้องให้หมองใน
|
ทั้งเจ็บปวดยวดยิ่งสิ่งสาหัส | | ให้เบาขัดบุพโพคั่งลงหลั่งไหล
|
จนผ้าเปื้อนประเปรอะเลอะเทอะไป | | เพราะตามใจเร่งร้อนไม่ผ่อนเพลา
|
ดังเรือดั้งคู่ชักหนักทุกเล่ม | | ฝีพายเต็มกระทุ้งถี่ทุกฝีเส้า
|
ไม่รอรั้งกำลังไล่มิได้เบา | | สะดุดสะเด่าตอหลักจนหักค้าน
|
แต่รักษาห้าหกเจ็ดแปดหมอ | | เป็นหลายหม้อยาย้ายก็หลายขนาน
|
ถึงสี่เดือนเงือดงดอดมานาน | | พยาบาลเป็นนิรันดร์ทุกวันมา
|
เดี๋ยวนี้คลายก็ยังหายไม่สู้สนิท | | เวียนแต่ผิดสำแดงครุ่นวุ่นรักษา
|
กลับเปื่อยพังบังเหตุให้เวทนา | | เพราะโรยยาก็ยิ่งเป็นไม่เว้นวาย
|
ถ้าแม้นไม่ไปวังยังอยู่วัด | | จักบำบัดโรคร้อนค่อยผ่อนหาย
|
งดไปวังเสียเถิดยังไม่เคลื่อนคลาย | | อันภิปรายห้ามปรามด้วยความรัก
|
ซึ่งพาทีชี้แจงสำแดงโทษ | | อย่ากริ้วโกรธชอกช้ำว่าคำหนัก
|
อันของดีนี้ควรสงวนนัก | | อย่าให้หักบุบค้านเสียการ เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 13 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 2
|
| | สงสารองค์อนุชานักหนาหนอ
|
ดูจริตนั้นเห็นผิดติดข้างบอ | | ทำอ้อต้อเกี้ยวเด็กเล็กเล็กชม
|
ทัดบุหรี่สองหูดูฉุยฉาย | | ตบแต่งกายแต่ล้วนสีอันดีห่ม
|
ฝีปากกล้ามิใช่เบาเจ้าคารม | | ทำสวยสมใส่แหวนก้อยน้อยน้อยเดิม
|
พระทัยหวังเจ้ามั่งก็ไม่ได้ | | ความอึงไปแล้วก็หมางออกห่างเหิน
|
กระดากกระดักกระเดื่องเฉยทำเลยเกิน | | ครั้นเห็นเขาเล่าก็เมินไม่แลดู
|
เดี๋ยวนี้จิตคิดจะไปวัดหน้าพระธาตุ | | ที่ตำหนักสังฆราชเสด็จอยู่
|
ชะช่างหมายจะเล่นหลานเจ้าลำภู | | น่าอดสูคนบ้าขายหน้า เอย ฯ
|
| | |
|
บทที่ 14 ของเจ้าพระพระองค์ที่ 1
|
| | น่าสมเพชเวทนานัดดาจ้าน
|
มาลอบเล่นกระดางลางเอาอย่างพาล | | ทำอาการวิปริตผิดแต่ไร
|
ไม่เอาเยี่ยงขัติยาบ้าอุบาทว์ | | เกี้ยวสวาสดิ์เรียนรู้แต่ครูไหน
|
ฉวยฉายชื่อระบืออึงถึงกรมไกร | | เป็นความใหญ่เห็นไม่มิดต้องพิดทูล
|
แม้นทรงทราบเรื่องนี้คงมีโทษ | | ไหนจะโปรดรำงับให้ดับสูญ
|
จะกริ้วว่าทุจริตผิดประยูร | | เสียสกูลอัปรยศปรากฏขจร
|
ไปเที่ยวรักเขาทุกแห่งพึ่งแจ้งเหตุ | | ทั้งเณรเนตรเณรมั่งใครสั่งสอน
|
ยั้งดื้อดึงขึงขัดไม่ตัดรอน | | จะผูกกรตียับให้อับอาย
|
เขาร้องฟ้องมากมายเป็นหลายเรื่อง | | จนขุ่นเคืองถึงข้างในไม่รู้หาย
|
ไม่รักยศสงวนศักดิ์รักษากาย | | ทำแต่ขายพักตราน่ารำคาญ
|
ในวัดนี้แล้วมิหนำซ้ำวัดโน้น | | ให้เขาโพนทะนาเที่ยวว่าขาน
|
ล้วนข้อขำระยำยับอัประมาณ | | เหมือนประจานปวดเจ็บเหน็บสกนธ์
|
เมื่อความวัวยังไม่หายความควายเพิ่ม | | ความต่อเติมความขุ่นวุ่นหลายหน
|
จะภาคทัณฑ์ไว้สักครั้งระวังตน | | เอาทานบนมิให้เล่นเช่นนั้น เอย ฯ
|
| | |
|
เชิงอรรถ
ที่มา
ประชุมเพลงยาว ภาคที่ 5 เพลงยาวเจ้าพระ. กรมศิลปากร. 2504.
ประชุมเพลงยาว ภาคที่ 5 เพลงยาวเจ้าพระ. โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธินากร. 2464.