นิราศทัพเวียงจันท์
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 11:04, 15 มิถุนายน 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ พระนิพนธ์: หม่อมเจ้าทับ ในกรมหลวงเสนีบริรักษ์
บทประพันธ์
๏ โอ้สุดาดวงมณีของพี่เอ๋ย | ||||
เวรวิบัติซัดวิบากให้จากเชย | จะล่วงเลยลับพักตร์ยุพินจร | |||
รัญจวนใจด้วยจะไกลสมรมิ่ง | หวาดประวิงทรวงระทึกฤทัยถอน | |||
สิบเอ็ดค่ำคุรุวาร์ยิ่งอาวรณ์ | พร้อมนิกรเทียบท่าในวารี | |||
จอมณรงค์ทรงพักตำหนักน้ำ | ได้ฤกษ์ย่ำฆ้องโห่ประทับที่ | |||
เสร็จลินลาศยาตราลงนาวี | โดยวิถีแถวท่าชลาลัย | |||
พี่เหลียวชะแง้แลหาไม่เห็นน้อง | ยิ่งเนืองนองอัสสุชลนัยน์ไหล | |||
นาวาชิดติดตามเสด็จไป | โอ้จะไกลลับแล้วนะแก้วตา | |||
ถึงอาวาสวัดดาวดึงส์สถาน | ชลีกรนมัสการเหนือเกศา | |||
ขอพระเดชพุทธฤทธิ์อิศรา | ให้ข้าศึกมรณาอย่าต่อกร | |||
ทั้งยุพินที่สถิตในสถาน | พระคุณช่วยอภิบาลบำรุงสมร | |||
ให้พ้นภัยโรคาสถาพร | ประณมกรกราบถวายบังคมลา | |||
ถึงบางจากเจียนจิตจะจากร่าง | ตำบลบางแม้นเหมือนนิราศา | |||
ดังจากเรียมจากรักหนักอุรา | แสนระอาเสียด้วยจากวิบากเจียว | |||
ถึงบางพลัดซ้ำพลัดเข้าอีกแล้ว | ได้ยินแว่วหวาดไหวฤทัยเสียว | |||
เหมือนพลัดนวลครวญหาสุดาเดียว | ตะลึงเหลียวดูบางระบมทรวง | |||
ถึงบางซ่อนเศร้าศรีไม่มีสุข | ระทมทุกข์เทียมเท่าภูเขาหลวง | |||
เหมือนแสร้งซ่อนขนิษฐาสุดาดวง | ไว้ให้ง่วงงงฉงนไม่ยลนวล | |||
ถึงบางโพธิ์พื้นญวนตลอดย่าน | โพงพางพานบวบบั่นอยู่หันหวน | |||
กระสินธุ์เชี่ยวเลี้ยวลดไม่ทดทวน | เหมือนใจพี่จวนจากรักภัคินี | |||
ตลาดแก้วแก้วพี่ศรีสวัสดิ์ | จะเคืองขัดขุ่นข้องด้วยหมองศรี | |||
ตลาดขวัญขวัญตาอยู่ธานี | ปานฉะนี้จะเทวษถวิลครวญ | |||
ถึงปากเตร็ดตรึกตรมอารมณ์ร้อน | ระทดถอนท้อใจอาลัยหวน | |||
นาวาเรียงเคียงข้ามตามขบวน | พี่เปี่ยมป่วนปิ่มจิตจะจากจร | |||
แล้วจำใจทัศนาที่ท่านั้น | เห็นรามัญหมอบเมียงเคียงสลอน | |||
ประณมหัตถ์ชูช่วยอำนวยพร | ที่แถวท่าสาครดูขำคม | |||
ทัศนารามัญขยันเหยาะ | ละม่อมเหมาะเกล้ามวยดูสวยสม | |||
ลางนางทอดทัศนาเห็นตาคม | สไบห่มพอประมาณไม่ปิดทรวง | |||
พอเนตรสบพบของเคยถนอม | ยิ่งตรมตรอมจิตใจนั้นใหญ่หลวง | |||
จะจำจากขวัญตาสุดาดวง | ไม่หายห่วงโหยหาเป็นตราใจ | |||
ก็ลับเตร็ดเสร็จโดยวิถีแถว | ลำเนาแนวคงคาชลาไหล | |||
ถึงบางพูดเลยพ้นตำบลไป | พี่โหยไห้หวนหาในสาคร | |||
ถึงบางพังดุจดังอุราพี่ | จะพังพับทับที่บรรจถรณ์ | |||
ยิ่งรัญจวนครวญหาให้อาวรณ์ | เห็นเชิงราครุ่มร้อนในฤดี | |||
ถึงสามโคกแลโคกไม่ห่อนเห็น | วิบัติเป็นมีนามน่าบัดสี | |||
แต่ดอนเดียวดูไหนก็ไม่มี | ช่างลับลี้เลื่อนลบไม่พบดอน | |||
ถึงเกาะใหญ่ยอแสงพระสุริเยศ | จะข้ามเขตพระสุเมรุสิงขร | |||
ปักษาชาติสกุณาทิชากร | ก็เร่ร่อนเร่งรีบเข้ารังเรียง | |||
ที่พลัดคู่กู่ร้องบนรังร้าง | ไม่ยลนางนกสมประสานเสียง | |||
เหมือนอกเรียมร้างน้องประคองเคียง | จะไปเวียงวายสวาทนิราศมา | |||
ถึงบางไทรสุดโศกวิโยคนัก | นิรารักแรมนวลรัญจวนหา | |||
โอ้คลองนี้เคยประพาสลินลาศมา | ประทับท่าแถวทุ่งไม่ขาดปี | |||
ก็เลยล่องคลองใหญ่บางไทรลับ | จันทร์พยับมัวโพยมไม่ยลศรี | |||
เป็นหมอกมืดเมฆาในราตรี | แถววิถีหมายเขม้นไม่เห็นทาง | |||
ค่อยลอยเลาะเลียบมาในสาคเรศ | แสนเทวษอกตรมระบมหมาง | |||
ทั้งมืดมิดมิได้ยลตำบลบาง | ทั้งสองข้างฝั่งชลไม่ชื่นเลย | |||
ถึงเกาะเรียนรอบรกล้วนหย่อมหญ้า | สำคัญว่ามีคลองเจียวน้องเอ๋ย | |||
นาวาพายใกล้ชิดเข้าติดเกย | ต้องค้ำเลยเข้าเกาะจำเพาะไป | |||
ด้วยมัวมืดเมฆาในนาเวศ | สุดสังเกตที่ว่าเกาะอยู่ตรงไหน | |||
จนเลยทางลับบางตำบลไป | สังเกตได้แต่ที่คลองตะเคียนมา | |||
ถึงวัดนาคปากช่องปราการใหญ่ | แลวิไลดังหนึ่งเทพเรขา | |||
มีเขื่อนรอบขอบงามอร่ามตา | เหมราปักเรียงอยู่เคียงกัน | |||
นาวาล่องพ้นคลองตะเคียนลัด | ถึงอาวาสนามวัดพุทไธศวรรย์ | |||
ศาลาใหญ่หักยับลงทับกัน | แต่ขอบคันเลี่ยนสะอาดแลสำอาง | |||
ดูภูมิฐานใหญ่กว้างแต่ปางก่อน | ก็สมควรพระนครเป็นคู่สร้าง | |||
แลวิเวกสูงระหงทรงพระปรางค์ | เสียดายร้างรกชัฏทุกวัดวา | |||
นิกรชนเงียบสงัดกำดัดดึก | สว่างแสงกะระพฤกกระจ่างหล้า | |||
บรรลุถึงท่าประทับที่พลับพลา | ตำแหน่งวัดธรมาอร่ามเรือง | |||
จะจวนรุ่งแสงทองจำรัสฟ้า | พระสุริยารัฒมีพอสีเหลือง | |||
นาวาเลี้ยวลับล่องเข้าคลองเมือง | คะนึงเนืองอัสสุชลนานอง | |||
โอ้นิเวศดังวิมานในเมืองฟ้า | ไม่มีผู้รักษาก็เศร้าหมอง | |||
ปราสาททรุดเสื่อมศรีไม่มีทอง | ก็มัวหมองเหมือนพี่จากสมรมา | |||
ถึงอารามนามวัดว่าโรงฆ้อง | จะเลี้ยวล่องแสนยากสหัสสา | |||
เป็นหาดพื้นตื้นเต็มทั้งมรคา | ต้องเข็นขุดฉุดคร่านาวาไป | |||
จนถึงรอจึงให้รอหยุดประทับ | เรียงลำดับนาวาแลไสว | |||
จึงแรมร้อนผ่อนพหลพลไกร | สงบไว้ฟังกิจให้แจ้งการ | |||
ครั้นทราบเสร็จแล้วเสด็จลินลา | พร้อมนิกรโยธาทวยหาญ | |||
ออกจากกรุงมุ่งมาไม่ช้านาน | ถึงสถานปากจั่นเข้าโดยจง | |||
ถึงคลองลัดจะใคร่หลีกให้ลี้ลับ | แล้วเสด็จกลับคืนไปเหมือนใจประสงค์ | |||
แต่กริ่งเกรงภูวนาถบาทบงสุ์ | จะขัดแค้นแสนทรงพระโกรธา | |||
บรรลุถึงบางระกำให้ช้ำจิต | ระกำใจไกลมิตรเสนหา | |||
พี่โหยหวนครวญคิดเป็นนิตย์มา | สักเวลามิได้ขาดสวาทคลาย | |||
บรรจวบจวนพระนครเป็นเขื่อนเขต | เห็นวงวังพระนิเวศเป็นที่หมาย | |||
กำแพงวังพังยุบยับทลาย | นครหลวงล่วงหลายกษัตริย์ครอง | |||
ลุตำบลบ้านอรัญญิกแล้ว | ไม่ผ่องแผ้วทุกข์ทนกมลหมอง | |||
เห็นเรือนร้างเรี่ยรายลงก่ายกอง | ทั้งเข้าของทิ้งกราดดาษดา | |||
ไอ้ลาวไล่ต้อนครัวไปมั่วไว้ | แล้วจุดไฟทุ่มทิ้งขึ้นเคหา | |||
ตลอดย่านบ้านแลจนลิบตา | มรณาลงด้วยไฟบรรลัยลาญ | |||
ถึงวังแดงแลดาษด้วยหาดใหญ่ | เออที่ไหนจึงว่าตั้งวังสถาน | |||
ออกชื่อวังพี่ก็ตั้งทรมาน | มีแต่บ้านชาวป่าพนาดร | |||
ศาลาลอยล่วงแล้วนะแก้วพี่ | ยิ่งทวีทุกข์ท้อฤทัยถอน | |||
มาลอยคว้างร้างเร่พเนจร | ไม่หยุดหย่อนบ้างบางทางตำบล | |||
ถึงบ้านขวางทางท่าที่นาเวศ | พระสุริเยศบ่ายคล้อยพระเวหน | |||
นาวาพายตามสายชลาวน | ประจวบจนท่าเรือศาลาราย | |||
เห็นบ้านเรียงเคียงตั้งริมฝั่งสมุทร | ทั้งโรงสัปรุษที่ซื้อขาย | |||
ไม่เห็นคนแตกพลัดกระจัดจาย | แต่เรือนร้างตั้งรายอยู่ริมชล | |||
ลุสถานนามบ้านเจ้าสนุก | ยิ่งซ้ำทุกข์ทับกายเข้าหลายหน | |||
ไม่เห็นสนุกแลยแต่ทุกข์ระทมทน | แจ้งยุบลอยู่ทุกบางหนทางจร | |||
พระที่นั่งถึงฝั่งฟากประทับ | เรียงสลับนาวาแลสลอน | |||
ให้พักพวกหมู่พหลพลนิกร | ก็แรมรอนอยู่ที่ท่าชลาลัย | |||
คอยรอฤกษ์ที่จะเลิกพยุห์ยก | ขึ้นเดินบกข้ามเขินเนินไศล | |||
อรุณรุ่งพุธวาร์จะคลาไคล | พลไกรเตรียมทั่วทุกตัวคน | |||
ครั้นสิ้นแสงสุริยนสนธเยศ | จวนประเวศขึ้นสว่างพระเวหน | |||
ที่สถิตนาวาที่ท่าชล | แสนทุรนร้อนรึงคะนึงนวล | |||
จะนิทราอาดูรพูนเทวษ | พอหลับเนตรก็เห็นน้องประคองสงวน | |||
ผวาตื่นชื่นชมอารมณ์ชวน | สำคัญนวลว่ามาแนบอยู่แอบกาย | |||
ครั้นลืมเนตรมิได้ยลวิมลแม่ | โอ้ยิ่งแลก็ยิ่งลับมากลับหาย | |||
หรือนงนุชเนื้อเหลืองเคืองระคาย | จึงเบี่ยงบ่ายเบือนพักตร์ไม่พาที | |||
ละเมอบ่นอยู่จนคนที่เคียงชิด | เกาสะกิดว่านี่ตรัสกับใครนี่ | |||
ได้ยินแว่วหวาดผวาในราตรี | แจ้งคดีว่านิมิตก็คิดอาย | |||
จึงกล่าวแกล้งแสร้งว่าข้าไม่หลับ | ปิศาจอำปล้ำทับไม่สูญหาย | |||
ได้ยินแจ้วแว่วเสียงสำเนียงนาย | ไอ้หมู่พรายจึงปลาสนาจร | |||
แต่เย้าหยอกสำรวลสรวลสันต์ | จนสุริยันเยี่ยมยอดสิงขร | |||
หมู่คชาช้างที่นั่งอลังกร | เรียงสลอนเป็นลำดับประทับเกย | |||
โอ้ว่ากรรมแล้วก็จำจากท่า | สงสารแต่นาวานะอกเอ๋ย | |||
ได้อาศัยเป็นนิรันดร์ทุกวันเคย | จะล่วงเลยลอยคว้างอยู่กลางชล | |||
พอได้ฤกษ์ฆ้องหึ่งแล้วโห่ร้อง | สะท้านท้องหิมวาพนาสณฑ์ | |||
เสด็จขึ้นทรงช้างอยู่กลางพล | ให้จรดลเดินทศโยธา | |||
พี่ก็ตามเสด็จทรงไอยเรศ | แสนเทวษไปในไพรพฤกษา | |||
ดำเนินทางพลางทอดทัศนา | หิมวายิ่งวิเวกวังเวงใจ | |||
ประจวบจวนบางโขมดที่เคยพัก | มีสำนักชลท่าชลาไหล | |||
ศาลาคู่สองข้างที่ทางไป | ได้อาศัยสุปรุษที่เดินทาง | |||
ลุตำบลบ่อโศกยิ่งซ้ำเศร้า | เหมือนโศกเราเกรียมกรมอารมณ์หมาง | |||
เห็นโศกสุมกลุ้มสะปะทะทาง | เหมือนโศกเรียมแรมร้างนิรานวล | |||
ที่เนานานมิได้พานประสบพักตร์ | จะร้อนรักรุ่มรึงคะนึงหวน | |||
จะโหยหาเช้าเย็นไม่เว้นครวญ | เสียดายนวลก็จะหมองละอององค์ | |||
ถึงศาลาสามเณรตำแหน่งพัก | ที่สำนักอยู่ในเนินพนาระหง | |||
ไม่เห็นห้องสามเณาในเวณวง | ล้วนเสาทรงแฝกฝาเป็นพาไล | |||
ก็ลุถึงหนองคนทีที่สำนัก | ตำแหน่งพักชลท่าชลาใส | |||
ดำเนินเหนื่อยเมื่อยล้าที่มาไกล | เข้าอาศัยพลพักสำนักนาน | |||
ถึงเขาตกหินตั้งเป็นเนินผา | มีศาลาร่มแสงพระสุริย์ฉาน | |||
เขาบวงสรวงมิ่งม้าคชาชาญ | แต่โบราณไม่ตระหนักประจักษ์ใจ | |||
จะไถ่ถามความข้อที่คนรู้ | ไม่เห็นผู้ที่จะแจ้งแถลงไข | |||
จนลับล่วงเลยเขาลำเนาไพร | พี่โหยไห้หวนคิดที่จิตจง | |||
ถึงสระยอสุริยนขยับเยื้อง | เรียมชำเลืองแลหาที่ท่าสรง | |||
เคยชุมนุมชุมชวนนวลอนงค์ | สำอางองค์สู่สายกระแสชล | |||
ที่จากคูเคยมาอยู่ที่ริมสระ | คอยปะทะอยู่ที่ทางหว่างถนน | |||
สำเร็จนึกตรึกหมายไว้หลายคน | ไยไม่ยลไปสถิตสถานใด | |||
แต่สระเปล่าแลเปลี่ยวไม่เหลียวเห็น | นิจจาเอ๋ยโอ้เป็นเช่นนี้ได้ | |||
เหมือนเรียมจากขนิษฐานิราไกล | ก็เปลี่ยวใจเปล่าจิตทุกวันจร | |||
จนลุล่วงมรรคาพลับพลาพัก | เห็นธงทิวปลิวปักบนสิงขร | |||
เสด็จถึงเกยชาลาคชาธร | เรียมก็จรลดเลื่อนจำลองลง | |||
สถิตพื้นภูมิภาคทิศ | ยิ่งเปลี่ยวจิตเปล่าใจอาลัยหลง | |||
แต่ก่อนเคยมาประณตบทบงสุ์ | ในวังวงมีแต่ฝูงชาววังเวียง | |||
เคยสดับดนตรีปี่พาทย์ก้อง | กระดึงดังระฆังฆ้องไม่ขาดเสียง | |||
ทั้งแม่ค้าร้านขายอยู่รายเรียง | บ้างแข่งเคียงคู่ขึ้นบรรพตา | |||
ทุกพุ่มพงดงห้วยเหวละหาน | ท่าธารตรอกโตรกชะโงกผา | |||
ทั้งหญิงชายกร่ายเกร่เที่ยวเร่มา | บ้างเกี้ยวพาเชยชมภิรมย์กัน | |||
เออไฉนไยจึงเงียบฉะนี้นี่ | อุระพี่ก็ยิ่งเปลี่ยวเสียวกระสัน | |||
วิเวกเสียงเรไรในไพรวัน | จักรจั่นเรื่อยร้องระงมดง | |||
ชะนีร่ายไต่ไม้บนไหล่เขา | แล้วห้อยโหนโยนเย้าน่าพิศวง | |||
ให้เคลือบแคลงอยู่ด้วยแสงพระสุริยง | กระสันส่งเสียงร้องวังเวงใจ | |||
มยุเรศร่อนจับบนจอมผา | ก็รำฟ้อนหลอนกาให้หลงใหล | |||
กาเข้าห้อมล้อมชมแล้วตรมใจ | ทะลวงไล่ฉาบเฉี่ยวอยู่ไปมา | |||
พวกวานรหลอนหลอกกับฝูงค่าง | แล้ววิ่งวางขึ้นไปเซาบนพฤกษา | |||
เอาลูกน้อยแนมแนบแอบอุรา | สองกรกุมกัณฐาไม่วางมือ | |||
ข้างฝ่ายแม่โน้มเหนี่ยวเอาพฤกษา | ก็เก็บผลไม้มาให้ลูกถือ | |||
แล้วกู่ก้องร้องเล่นอยู่บันลือ | ออกอึงอื้ออยู่บนเชิงคิรีวัน | |||
พี่เล็งแลเหล่าสัตว์ในสิงขร | ยิ่งเร่าร้อนจิตใจให้กระศัลย์ | |||
จึงเรียกเหล่าโยธาเข้ามาพลัน | ให้เก็บพรรณบุษบาบรรดามี | |||
ทั้งธูปเทียนบรรจงจำนงหมาย | หวังถวายบทเบื้องพระชินศรี | |||
ก็จรดลตามแนวแถวคิรี | โดยบันไดนาคีประวิงวอน | |||
จังหวัดเวียนเทียนถือประนมหัตถ์ | ค่อยเลี้ยวลัดรอบเชิงชายสิงขร | |||
โดยคำรบครบเจ็ดแล้วเสร็จจร | ชลีกรมัสการพระชินวงศ์ | |||
ให้เอิบอิ่มปรีดาด้วยปราโมทย์ | โดยประโยชน์หวังจิตคิดประสงค์ | |||
จึงปลดเปลื้องภูษิตอุทิศตรง | จิตจำนงน้อมเศียรลงมัสการ | |||
เอาแพรชมพูปูทรงวงพระบาท | แล้วแผ่พาดหุ้มมิดให่้ปิดฐาน | |||
ขอพระคุณป้องปัดกำจัดพาล | อธิษฐานสารพันจะบรรยาย | |||
เดชะบุญคุณสร้อยพระสรรเพชญ์ | ให้สำเร็จเวียงจันท์ดังมั่นหมาย | |||
จะรบลาวเสียให้ชื่อลือกระจาย | ให้แตกตายเต็มป่าพนาลัย | |||
ถึงจะเรืองศักดามหาเวท | จะมีคุณวิเศษสักเพียงไหน | |||
ให้ถอยฤทธิย่อยยับทั้งทัพชัย | จึงสาใจสมจิตที่คิดพาล | |||
แล้วนอบน้อมวันทนาลาพระบาท | ยุรยาตรไปตำแหน่งแห่งสถาน | |||
พอเสร็จขึ้นเกยสถิตประทับอาน | คชาธารพระที่นั่งอลังกร | |||
ทหารปืนเดินดื่นออกดาษป่า | ครั้นทัศนาหอกแห่แลสลอน | |||
นำเสด็จเสร็จโดยวิถีจร | ทุเรศร้อนไปในไพรพนาวา | |||
ฝ่ายพี่ก็ขึ้นขี่จำลองคช | ยิ่งรันทดแสนโทมนัสสา | |||
รีบตามเสด็จพ้นตำบลมา | พี่โหยหามิได้เว้นสักนาที | |||
บรรลุถึงธารทองแดงตำแหน่งห้วย | เป็นโกรกกรวยชลท่าชลาศรี | |||
อันเดินรอบขอบคันในวารี | นั้นแดงดีดุจชาดสะอาดตา | |||
เหล่านิกรดื่มกินสุธารส | อันใสสดที่ในธารละหานผา | |||
แล้วรีบเดินตามเนินมรคา | เข้าแห่หุ้มไอยราที่นั่งทรง | |||
พระสุริยงยอแสงเย็นพยับ | ก็ถึงธารที่ประทับโดยประสงค์ | |||
อันมีนามพุกำจานเป็นด่านดง | สั่งให้ปลงหยุดประทับแรมประทม | |||
แล้วยกย่างจรดลเข้าดงชัฏ | ล้วนเหล่าไม้เยียดยัดกันสับสม | |||
เสียงเรไรเรื่อยร้องก้องระงม | ก็ล่วงเลยวังส้มพอสุดดง | |||
ออกป่าแดงรีบเดินถึงเนินเขา | สูงเฉลาแลพินิจพิศวง | |||
เป็นเปลวปล่องช่องชั้นเหมือนบรรจง | ชื่อพระยาเดินธงเป็นทิวทาง | |||
สถานถิ่นภูมิพื้นก็รื่นราบ | ดังคนปราบขุดขนแล้วก่นถาง | |||
มีวารีล้นไหลอยู่ในราง | เป็นแอ่งอ่างซึมใสค่อยไหลริน | |||
ที่เพิงผาน่าดูดังพู่ห้อย | เป็นน้ำย้อยหยดเพรื่อด้วยเหงื่อหิน | |||
ระยับแสงพรายพร้อยร้อยดังพลอยนิล | สถานถิ่นเทพเจ้าลำเนาไพร | |||
เป็นหุบห้วงเหวหินชะง่อนงอก | ที่โกรกกรอกผาเผินเนินไศล | |||
ไม้รวกเรียงเคียงลำอยู่รำไร | ก็กวัดไกวยวบโยกอยู่ไปมา | |||
รุกขชาติที่สำหรับประดับเขา | เป็นหลั่นเหล่าแดงเขียวดังเลขา | |||
พิศดอกออกผลดาษดา | สกุณาจับจิกแล้วบินจร | |||
พี่ยลพลางทางขับกุญชรชาติ | ให้ยุรยาตรเลียบเดินริมสิงขร | |||
ถึงกำพรานบ้านไพรที่ในดอน | เข้าซอกซอนอยู่ในดงไม่น่าดู | |||
แล้วลุย่านบ้านนามโคกถลุง | เอาแฝกมุงเรือนพังเหมือนรังหนู | |||
เห็นกองทัพชายหญิงเที่ยววิ่งพรู | ไปซ่อนอยู่ชัฏชิดให้มิดกาย | |||
ก็จรดลพ้นย่านบ้านป่า | ถึงทางท่าน้ำสักกระแสสาย | |||
เป็นทิวเลี่ยนเตียนลาดด้วยหาดทราย | จำนงหมายท่ากระเพราะกำหนดไพร | |||
สั่งให้หยุดพักพลที่บนหาด | พี่ยุรยาตรสู่ท่าชลาไหล | |||
กระสินธุ์เชี่ยวเลี้ยวลดรันทดใจ | พี่โหยไห้หวนหาสุดาดวง | |||
แต่วารียังเป็นที่กำหนดแน่ | สายกระแสไหลล่องทะเลหลวง | |||
เหมือนพี่มุ่งนัคราเป็นตราทรวง | แต่ตัวถ่วงทวนทุกข์ขึ้นเดินดอน | |||
จนสุดแดนนัคราอาณาเขต | สุดสังเกตที่จะพบสบสมร | |||
ยิ่งนับวันนับไกลครรไลจร | เอาสิงขรพุ่มพงเป็นวงวัง | |||
แล้วจรจากวารีไม่มีสุข | ระทมทุกข์ในกมลกังวลหลัง | |||
ขึ้นพลับพลาฝากิ่งพฤกษาบัง | คะนึงนั่งนึกนวลรัญจวนใจ | |||
จนอรุณรุ่งสางสว่างหล้า | เสียงลั่นฆ้องสัญญาอยู่หวั่นไหว | |||
พยุหบาตรยาตราออกคลาไคล | คชไกรรับเสด็จจรลี | |||
ค่อยเลาะเลียบคงคาสาคเรศ | ไปตามเขตคันดงลงวิถี | |||
ประทับร้อนผ่อนพักพวกโยธี | แล้วจากที่ย่างเยื้องจรจรัล | |||
ก็ลุล่วงไชยบาดาลสถานที่ | นิคมเขตธานีในเขื่อนขัณฑ์ | |||
พอสิ้นแสงสุริยาลงสายัณห์ | ก็ยับยั้งตั้งมั่นอยู่ริมชล | |||
พี่ชมชาวไชยบาดาลที่ธารท่า | ลงอาบกินธาราอยู่สับสน | |||
รูปพรรณพักตราไม่น่ายล | ถ้ามีขนก็ว่าค่างที่กลางไพร | |||
ทั้งแดนดินถิ่นฐานที่บ้านอยู่ | จะพิศดูก็ไม่น่าจะอาศัย | |||
แต่เสียงสัตว์ครื้นเครงวังเวงใจ | ชั่วอยู่ได้ชื่นชมนิยมยิน | |||
ครั้นตรวจเตรียมจัตุรงคพร้อมเสร็จ | แล้วเสด็จจากท่าชลาสินธุ์ | |||
ไปข้ามเนินนัทีศีขรินทร์ | ถึงแถวถิ่นที่บัวชุมธานี | |||
ตรัสสั่งทัพอุทัยให้ไปหน้า | พอโยธาลับล่วงเข้าไพรศรี | ||
ครั้นพร้อมเสร็จแล้วเสด็จจรลี | ยกพยุหโยธีออกเดินทาง | ||
ข้ามแถวแนวเนินอรัญเวศ | ถึงคันเขตสิทธิรงค์ห้วยขวาง | ||
อันแนวน้ำนั้นเป็นลำพญากลาง | ล้วนยูงยางชิดชัฏระบัดใบ | ||
จำเพาะทางขึ้นหว่างยอดบรรพต | ค่อยเลี้ยวลดพุ่มพงดงไสว | ||
เสียงชะนีเรื่อยร้องอยู่ก้องไพร | กันแสงไห้โหยหาถึงสามี | ||
ฝ่ายเรียมก็แต่เกรียมกรมเทวษ | แสนทุเรษแรมไพรพนาศรี | ||
โอ้ว่าสัตว์ในพนัสพนาลี | ยังรู้มีมิตรจิตเจตนา | ||
เหมือนอกเรียมแรมร้างนิราศรัก | ก็ตั้งพักตร์คอยเพื่อนเสนหา | ||
ไม่ว่างเว้นวันถวิลจินตนา | ดุจตราตีประทับไว้กับทรวง | ||
คะนึงพลางทางทัศนานก | หมู่วิหคร่อนร้องบนเขาหลวง | ||
ประหลาดหลากปีกหางเป็นด่างดวง | บ้างหม่นม่วงมากมายอยู่หลายพรรณ | ||
เที่ยวพาเพื่อนจับไม้แล้วไซ้ขน | บ้างเวียนวนเคล้าคู่แล้วคูขัน | ||
นิจจาสัตว์ก็รู้จักว่ารักกัน | ยิ่งกระสันเสียวคิดที่จิตตรม | ||
กระทั่งถึงธารท่าชลาสินธุ์ | ประเทศถิ่นแห่งนางลงสระผม | ||
มีแท่นขวางที่นางนิทรารมณ์ | เมื่อพิศชมร่างรอยปรากฏมี | ||
นี่นางใดใครหนอมาสระเกศ | หรือแรมร้างนัคเรศบุรีศรี | ||
มาไสยาสน์เอองค์ในพงพี | หรือจำจากสามีอยู่เมืองใด | ||
จึงเดินดงพงกว้างทางทุเรศ | จะสังเกตธานีบุรีไหน | ||
คะนึงนึกหน่ายแหนงยิ่งแคลงใจ | ให้หลงใหลรอยร่างที่นางนอน | ||
แล้วเที่ยวทอดทัศนาที่ท่าแท่น | ก็มุ่งแม่นหมายพบสบสมร | ||
ไม่เห็นแก้วแววตาพะงางอน | ดำเนินจรไปหนตำบลใด | ||
ไม่ยลองค์หลงชมแต่บรรจถรณ์ | ทั้งรอยนอนรอยลงชลาไหล | ||
ปรากฏชื่อโฉมนางไว้กลางไพร | ให้ปลื้มใจคนจรมาดอนดง | ||
พอสุดสิ้นมรรคาสาคเรศ | ถึงเขาเขตหิมวาป่าระหง | ||
เป็นเขื่อนคันกั้นขวางอยู่กลางดง | วิถีตรงขึ้นบนยอดบรรพตา | ||
พระสุริยงลงลับพยับศรี | จึงพักพวกโยธีอยู่เพิงผา | ||
พวกนายกองเกณฑ์กันเป็นโกลา | ให้ล้อมวงซ้ายขวาและกองแล | ||
ออกเดินตรวจเสียงเกราะเสนาะก้อง | บ้างตีฆ้องนั่งยามตามกระแส | ||
พลเบียดเยียดยัดกันอัดแอ | เสียงเซ็งแซ่ก้องป่าพนาดร | ||
ฝ่ายพี่ขึ้นสถิตกระท่อมเถื่อน | สันโดษเดียวเปลี่ยวเพื่อนสโมสร | ||
อนาถหนาวคราวดึกไม่นึกนอน | ทุเรศร้อนตรึกตรมอารมณ์รวน | ||
พระพายพัดพานพาสุมาเลศ | ในท้องแถวหิมเวศตระหลบหวน | ||
สัมผัสพานาสายิ่งพาครวญ | เหมือนกลิ่นนวลเคยแนบอุราเรียง | ||
ได้ชุ่มชื่นก็แต่พื้นบุปผชาติ | นุชนาฏมิได้ยลได้ยินเสียง | ||
เคยสนิทแนบน้องประคองเคียง | ไอ้ลาวเวียงก่อกรรมให้จำมา | ||
กระเวนไพรขันทักระวังเถื่อน | จนดาวเดือนคลาดคล้อยพระเวหา | ||
สกุณแก้วแว่วขันกระชั้นมา | แสงนภาผ่องแผ้วในอัมพร | ||
น้ำค้างย้อยพร้อยพรมบุปผชาติ | ดูหยัดหยาดเป็นละอองดังฟองฝน | ||
หมู่แมลงภู่ผึ้งออกอึงอล | เที่ยวเวียนวนร่อนหาสุมาลี | ||
ดุเหว่าร้องเร่งรถพระสุริเยศ | ให้ประเวศเยี่ยมยอดคิรีศรี | ||
ฝ่ายฝูงลิงค่างบ่างชะนี | บ้างซิกซี้เย้าหยอกกันชมเชย | ||
พลช้างพลางผูกคเชนทร์มั่น | ด้วยสำคัญขึ้นเขาพังเหย | ||
ครั้นกูบอานเสร็จสรรพประทับเกย | กำหนดเคยรับเสด็จลีลา | ||
ก็ล่วงขึ่นเขาเขินเนินสิงขร | บทจรแสนยากสหัสสา | ||
เป็นตรอกน้อยจุรอยไอยรา | ค่อยเลาะเลียบไหล่ผาไปตามเนิน | ||
กุญชรเหนี่ยวพฤกษาเข้าคว้ามั่น | ด้วยตัวสั่นกลัวตกระหกระเหิน | ||
ที่ผาชันก็ต้องเทาเอาเข่าเดิน | บนเขาเขินคอยแลจนลิบตา | ||
ครั้นถึงยอดคิรีเป็นที่รื่น | ในแผ่นพื้นเรียบราบเป็นหนักหนา | ||
ล้วนเต็งรังเรียงร่มมรรคา | นานารุกขชาติประหลาดพรรณ | ||
ประชุมช่อต่อก้านกิ่งระยับ | บางกลีบกลับสู้แสงพระสุริย์ฉัน | ||
ที่ต่างสีซ้อนซับสลับกัน | พี่ยลพลางทางหวั่นประวิงใจ | ||
โอ้เจ้าเยาวพาแม้นมาด้วย | จะรื่นรวยพิศวงหลงใหล | ||
จะเลือกเก็บบุปผาสุมาลัย | มาร้อยกรองสวมใส่ทั้งสองกร | ||
สาวหยุดย้อยห้วยพวงระย้าพุ่ม | ล้วนกลิ่นกลุ้มเสาวคนธเกสร | ||
จะร้อยเรียงเคียงวางไว้ข้างนอน | ให้ขจรกลั่วกลิ่นทั้งอินทรีย์ | ||
พิกุลแก้วกรรณิการ์มหาหงส์ | ไม้แดงดงดูดาษประหลาดสี | ||
จะทำบุหงาผ้าที่อย่างดี | เอาห่อดอกมาลีเข้าทัดกรรณ | ||
ทั้งพะยอมหอมหวนลำดวนดาษ | พุทธชาติสุกรมนมสวรรค์ | ||
มลุลีกระดังงาสารพัน | จะจัดสรรค์ให้เจ้าอบสไบทรง | ||
นี่สุดจนคนเดียวสันโดษดิ้น | แสนถวิลอยู่ที่ในไพรระหง | ||
คะนึงน้องเช้าเย็นเหมือนเห็นองค์ | ละเลิงหลงปรากฏในดวงใจ | ||
รัญจวนพลางทางเร่งคชาช้าง | ให้เหย่าย่างข้ามธารละหานไหล | ||
ละเลาะเลียบมรคาพนาลัย | ก็ตรงไปท่าสะอาดสำนักชล | ||
เป็นน้ำเปี่ยมห้วงหินระรินไหล | กระเซ็นใสเย็นฉ่ำดังน้ำฝน | ||
มัจฉาเล็มไคลหินเที่ยวกินวน | เมื่อพี่ยลก็เหมือนอย่างในอ่างปลา | ||
ประทับแรมแล้วก็เลื่อนจัตุรงค์ | เข้าดอนดงข้ามธารละหานผา | ||
ครั้นเย็นรอนอ่อนแสงพระสุริยา | ที่มรรคามืดคลุ้มชอุ่มไพร | ||
หมายประทับหน่ยงแหย่งตำแหน่งน้ำ | ดำเนินนำมรรคาถึงอาศัย | ||
ก็พักพลหยุดยั้งระวังไพร | จะจวบใกล้นครราชสิมา | ||
ครั้นรุ่งรางสางแสงพระสุริยน | แล้วจรดลตามเนินเชิงเผินผา | ||
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยา | ถึงแถวท่าบึงมะเลิงเห็นเรือนเรียง | ||
พวกครอบครัวกลัวลาวไปแอบซุ่ม | ออกเกลื่อนกลุ้มอื้ออึงคะนึงเสียง | ||
ให้เกณฑ์กันสืบข่าวอ้ายลาวเวียง | คอยม่ายเมียงทางท่าจะราวี | ||
เห็นลาวน้อยไทยออกระดมฆ่า | ครั้นมากมาต้อนครัวเข้าไพรศรี | ||
พลลาวแตกตายลงหลายที | จนซากผีเกลื่อนกลุ้มที่ทางจร | ||
เสด็จถึงให้ประทับที่ชายป่า | พวกนายครัวออกมาหมอบสลอน | ||
ต่างสำราญวิญญาสถาวร | ประณมกรคิดการราญณรงค์ | ||
ข่าวตระหนักถึงอนุก็ยกหนี | ให้จุดเผาบุรีเป็นผุยผง | ||
แล้วขับพลช้างมาไปทางตรง | ไม่แวะวงรีบรัดเร่งตัดไพร | ||
ทรงทราบเสร็จแล้วเสด็จดำเนินจร | พวกครัวตามข้ามดอนดูไสว | ||
ทั้งเกวียนต่างช้างมาก็คลาไคล | ที่หาบคอนต้อนไล่กันจรลี | ||
ถึงถิ่นฐานบ้านใครเคยสำนัก | ก็พร้อมพักตร์ปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ขึ้นสิงสู่เคหาไม่ราคี | อันเป็นที่เก่าเกิดกำเนิดตน | ||
เสด็จจวบจวนเย็นก็หยุดพัก | ที่สำนักนาเกลืออยู่กลางหน | ||
เป็นเวิ้งทุ่งขาดย่านที่บ้านคน | หมู่พหลเลื่อยล้ามาไม่ทัน | ||
ให้หยุดยั้งรั้งแรมซึ่งโยธี | ประทับที่ชายป่าพนาสัณฑ์ | ||
จนรุ่งรางส่างศรีรวีวรรณ | ก็ยกพวกพลขันธ์ออกลินลา | ||
ไปตามแถวแนวย่านบ้านประเทศ | นิคมเขตแว่นแคว้นดูแน่นหนา | ||
ล่วงตำบลพ้นย่านบ้านพุทรา | ถึงคงคาห้วยขวางอยู่กลางดอน | ||
เป็นน้ำแซะทรายใสค่อยไหลริน | ลงอาบกินเป็นสุขสโมสร | ||
จึงพักพวกโยธาพลากร | ประทับร้อยอยู่ที่ร่มสำราญใจ | ||
ในอาวาสวงวัดที่ห่างบ้าน | เป็นสถานถิ่นท่าเข้าอาศัย | ||
ครั้นบ่ายแสงสุริยาก็คลาไคล | เข้ากรุงไกรนครราชสิมาเมือง | ||
ดูขอบคันมั่นคงเป็นเขื่อนเขต | ทุกประเทศกล่าวชื่อก็ลือเลื่อง | ||
ทั้งว่านยาอาคมก็รุ่งเรือง | ไม่ควรเคืองข้าศึกมายายี | ||
กำแพงรอบขอบเมืองเสมาตั้ง | ดูขึงขังเป็นสง่าราศี | ||
หอรบรอบขอบเนินเชิงเทินมี | บนหน้าที่ป้อมปืนขึ้นยืนยัน | ||
เรือนบ้านแต่ล้วนตึกระดาดาษ | ทั้งบริเวณอาวาสก็เฉิดฉัน | ||
แลจำหลักลวดลายพรายสุวรรณ | ที่หน้าบันครุฑบิดสุกรีบิน | ||
เสียดายเมืองเสียศึกก็มัวหมอง | จนเข้าของย่อยยับทั้งทรัพย์สิน | ||
ไอ้ลาวแย่งยื้อขนลงปนดิน | แล้วฟันยับสับสิ้นทุกสิ่งอัน | ||
แต่อาวาสของนรินทร์ปิ่นนเรศวร์ | อันประเวศสู่สถานพิมานสวรรค์ | ||
ยังปรากฏงดงามอยู่ครามครัน | แต่ครั้งเสร็จทรงธรรม์อยู่ธานี | ||
ทรงสร้างไว้เป็นทางพระนฤพาน | จึงบันดาลข้าศึกให้นึกหนี | ||
ไม่สามารถอาจกล้ามายายี | จึงเลี่ยงลี้ย่อยย่นไม่ทนทาน | ||
พี่ครรไลไปเที่ยวที่อาวาส | แล้วยุรยาตรเข้าไปในวิหาร | ||
ศิโรดมก้มเกศลงกราบกราน | อธิษฐานขอเบื้องพระบารมี | ||
มาคุ้มครองข้าน้อยผู้รองบาท | พระอำนาจเหนือเกศเกศี | ||
จะรบศึกครั้งใดให้ได้ที | อรินภัยยับยี่ด้วยศักดา | ||
แล้วอภิวันท์ครรไลไปสำนัก | พลับพลาพักตั้งอยู่ทะเลหญ้า | ||
สะพรั่งพร้อมจัตุรงคโยธา | ทรงปรึกษาที่จะตามไปตีเวียง | ||
ถึงวันฤกษ์แล้วก็เลิกจัตุรงค์ | ดำเนินธงฆ้องลั่นสนั่นเสียง | ||
พลเหิมโห่ร้องก้องสำเนียง | ทหารแห่เดินเคียงเป็นคู่กัน | ||
เสด็จจากเกยมาศราชศักดิ์ | ทรงจำลองคชลักษณ์อันเฉิดฉัน | ||
ข้างฝ่ายพี่ขึ้นขี่คเชนทร์พลัน | ก็จรจรัลตามเสด็จไปกลางพล | ||
ออกจากนครราชสิมา | แล้วยาตราเข้าป่าพนาสณฑ์ | ||
ไปตามแถวแนวย่านบ้านตำบล | นิคมพ้นขอบเขตในธานี | ||
จนสุดบ้านด่านลำจากก็จวนค่ำ | สำนักน้ำอยู่ที่แนวพนาศรี | ||
พระสุริยงลงลับเหลี่ยมคิรี | อุราพี่วังเวงวิเวกใจ | ||
จะแลซ้ายเห็นชายละหานผา | ครั้นแลขวาก็แต่พุ่มพงไสว | ||
จึงรั้งทัพแรมทางอยู่กลางไพร | ให้กองไฟแสงสว่างกระจ่างดง | ||
พี่หวนจิตคิดมาน่าอนาถ | มาไสยาสน์อยู่ที่ในไพรระหง | ||
ล้วนอาวุธรอบข้างกลางณรงค์ | รักษาองค์ไม่เป็นอันจะนิทรา | ||
แต่ปล้ำปลุกอาดูรพูนเทวษ | ชลเนตรนองแน่นในนาสา | ||
จะล่วงหลุดด่านแล้วนะแก้วตา | จวนสิ้นเขตนัคราธานี | ||
นับวันแต่จะดั้นเข้าเดินป่า | จะลิบลับอยุธยากรุงศรี | ||
โอ้พี่แสนโศกศัลย์พันทวี | จนราตรีรุ่งสางสว่างดง | ||
ช้างประทับรับเสด็จที่เกยมาศ | ยุรยาตรเข้าในไพรระหง | ||
จำเพาะพักตร์บุรพาทิศาตรง | ที่นั่งทรงเดินทางไปกลางพล | ||
ก็มุ่งไม้หมายเขาลำเนาน้ำ | จะใกล้ค่ำก็พยับโพยมหน | ||
เป็นเมฆหมอกออกมืดในอัมพล | วิบัติฝนสาดซัดกระจัดกระจาย | ||
ลงถูกต้องกองทัพที่เดินหน | ลำบากตนมิได้ส่างสว่างหาย | ||
เข้าตากพองไถ้แหกแตกกระจาย | ไม่คิดอายแก้ผ้าทำหน้าจน | ||
แลตามมรรคาหน้าสังเวช | เหมือนหนึ่งเปรตจะมารับส่วนกุศล | ||
แสนลำยากยากใจแก่ไพร่พล | จนมัวมนท์มืดแสงพระสุริยา | ||
ประทับที่โคกหลวงกำลังฝน | ระทมทนเหน็บหนาวเป็นหนักหนา | ||
ออกเยือกเย็นเซ็นซ่าทั้งกายา | มีแต่กูบไอยราพอร่มกาย | ||
ในดอนดงมัวมืดไม่เห็นหน | พายุฝนก็ไม่ส่างสว่างหาย | ||
พวกกองทัพซานซมอยู่งมงาย | ที่บ่าวนายกู่กันออกก้องไพร่ | ||
อันแสนยากบอกใครจะเหมือนเข็ญ | ถ้าแม้นเห็นก็จะสิ้นที่สงสัย | ||
หัวอกเรียมเกรียมกรมระทมใจ | จะว่าไปก็จะเนิ่นทิวานาน | ||
ครั้นหิรัญรุ่งรางสว่างหล้า | ก็พร้อมพวกโยธาล้วนทวยหาญ | ||
เสด็จทรงไอยราคชาธาร | ให้ขุนด่านนำเสด็จจรลี | ||
ขึ้นดงลงโคกแล้วข้ามห้วย | โกกกรวยเนินแถวแนววิถี | ||
พิศพรรณพฤกษาประดามี | เป็นหลายอย่างต่างสีน่าพึงชม | ||
ถึงฟากชลธาร์ชลาศรี | ตำแหน่งนามแม่ประชีโดยปฐม | ||
ที่โล่งเลี่ยนถิ่นฐานสะอ้านลม | ก็ประทับแรมประทมที่ฝั่งชล | ||
พี่เที่ยวชมถิ่นลาวท่ริมฝั่ง | ล้วนบ้านตั้งตามละเมาะในไพรสณฑ์ | ||
แต่เรือนร้างเยือกเย็นไม่เห็นคน | เที่ยวเดินด้นเข้าป่าพนาดร | ||
ดูดูก็เป็นน่าสังเวชจิต | แล้วเสียวคิดเหมือนพี่ร้างแรมสมร | ||
ให้เปล่าเปลี่ยววิญญายิ่งอาวรณ์ | ด็จากจรขับคชสารมา | ||
กำหนดหยุดสามเวรทั้งวันพัก | ครั้นพร้อมพรักจัตุรงคแน่นหนา | ||
ตั้งกระบวนพยุหบาตรออกยาตรา | ลงข้ามฝั่งคงคาแล้วรีบจร | ||
เดินโดยมรรคาพนาเวศ | กำหนดเขตทางเขาในสิงขร | ||
พระสุริยาสายัณห์ลงรอนรอน | ทิชากรรีบเร่งเข้ารวงรัง | ||
มฤคปีบเปิ่บร้องคะนองเถื่อน | พยัคฆ์เลื่อนเลี้ยวลัดสกัดหลัง | ||
สุกรเห็นเผ่นตรงเข้าดงรัง | พยัคฆ์ยังยุบยอบลงหมอบมอง | ||
กระทิงเถื่อนเดินเที่ยวเล็มระบัด | ไม่พรากพลัดสมสู่เป็นคู่สอง | ||
ภาษาสัตว์ดูงามตามทำนอง | ค่อยหยัดย่องเรียงรายอยู่ชายไพร | ||
ที่เหล่าพรานคลานแอบเอาปืนแนะ | พอนกเฉะดังลั่นสนั่นไหว | ||
กระสุนโดดโลดกัดเข้าตัดใจ | ก็บรรลัยเลยล้มระเนนนอน | ||
อนาถจิตพิศดูที่คู่ชื่น | ครั้นเสียงปืนกัมปนาทขยาดหยอน | ||
ก็ทิ้งเพื่อนเอกาไม่อาวรณ์ | กระเจิงจรไปแต่ตัวด้วยกลัวภัย | ||
ครั้นสุดดงลงทุ่งก็ถึงบ้าน | ราตรีกาลจวบจวนปจุสมัย | ||
ชื่อหนองจอกกว้างขวางอยู่กลางไพร | รับสั่งให้หยุดพักสำนักพล | ||
ลงแรมร้อนผ่อนแรงไอยเรศ | ที่คันเขตหิมวาพนาสณฑ์ | ||
ครั้นรุ่งรางส่างแสงพระสุริยน | ก็จรดลเลื่อนทัพออกเดินทาง | ||
กองตระเวนเกณฑ์ซุ่มไปสืบข่าว | ก็พบลาวเล็ดลอดมาเขาขวาง | ||
สิบห้าคนด้นมาในป่าซาง | มานั่งทางคอยทัพที่ยกจร | ||
ทั้งไทยลาวลอบแลกันแต่ห่าง | ที่ริมทางคนละฟากสิงขร | ||
ได้ทียิงวิ่งรุกเข้ารบรอน | ตะลุมบอนกันในทางหว่างคิรี | ||
นายลาวถูกปืนถลาโลด | ไทยโดดจับจิกเอาเกศี | ||
เอาดาบฟาดขาดกลางอินทรีย์ | บ่าวหนีแตกพลัดกระจัดจาย | ||
พอทัพหลวงเลยข้ามชลาสินธุ์ | ถึงแถวถิ่นสามหมอกำหนดหมาย | ||
แต่บุราณเล่าต่อก่อนิยาย | กุมภีล์ร้ายสาหัสในนัที | ||
พวกหมอเล่นสามคนก็ม้วยมุด | เข้าฉวยฉุดคาบลงชลาศรี | ||
แล้วพาเข้าคูหาในวารี | อันเป็นที่อาศัยอยู่ในชล | ||
อันนามนั้นจึงได้เรียกว่าสามหมอ | เขารู้ต่อมาแสดงแจ้งนุสนธิ | ||
อนุตั้งสำนักไว้พักพล | เมื่อจรดลมาเฝ้าอยู่อัตรา | ||
ในเวิ้งเขาเป็นห้วยละหานหิน | กระแสสินธุ์ไหลรบกระทบผา | ||
เป็นน้ำพุดุด้นชนศิลา | ออกฉานฉ่าซึมซาบลงอาบเย็น | ||
เมื่อยามร้อนก็ค่อยผ่อนบรรเทาทุกข์ | วิเศษสุขกายาประสาเข็ญ | ||
ด้วยคงคาไหลโลดโดดกระเด็น | พี่แลเห็นคิดถึงคะนึงนวล | ||
แม้นได้น้องมาประคองเป็นคู่คิด | จะเชยชิดชื่นชมภิรมย์หวน | ||
นี่เรียมเดียวว้าเหว่อยู่เรรวน | แต่เปี่ยมป่วนปิ้มจิตจะจากกาย | ||
แล้วเที่ยวชมภูผาชลาสินธุ์ | ไม่สุดสิ้นโศกเบาบรรเทาหาย | ||
ทำยินดีปรีดาประสาชาย | แต่ดวงจิตหมองหมายอยู่มัวมนท์ | ||
ถึงกำหนดทัพหน้าก็คลาเคลื่อน | ละเลาะเลื่อนลับไม่ในไพรสณฑ์ | ||
ทั้งช้างม้าเกลื่อนกลุ้มชุมนุมพล | ทัพหลวงจรดลออกเดินจร | ||
กำจัดจากที่พักสำนักเขา | พี่ยิ่งเศร้าโศกถึงคะนึงสมร | ||
แต่โหยหวนชวนคิดจิตอาวรณ์ | อยู่เหนือหลังกุญชรที่เดินทาง | ||
เข้าบุกป่าฝ่าดงในพงชัฏ | ล้วนไม่ไล่เลาะลัดลงล้มขวาง | ||
แล้วเข้าในป่าระหงแลดงยาง | แลสล้างสูงเวลาดูแปล่าตา | ||
วายุเวกพานพัดระบัดโบก | เขยื้อนโยกร่มรุกขสาขา | ||
ใบระบัดพัดระงมเมื่อลมพา | เสนาะลั่นหิมวาวิเวกใจ | ||
ก็ล่วงลุเข้าป่าพนาเวศ | อันพงเพศมีนามตามวิสัย | ||
ชื่อบ้านเต่าเสาสล้างอยู่กลางไพร | พระสุริย์ใสอ่อนสีลงสายัณก์ | ||
ก็แรมพลหยุดพักสำนักบ้าน | ให้เตรียมการพร้อมพวกพลขันธ์ | ||
ทุกหมวดหมู่ตรวจเกณฑ์ตระเวนกัน | เขม้นมั่นอยู่ด้วยราชไพรี | ||
ครั้นรุ่งยกโยธาออกคลาเคลื่อน | เข้าทางเถื่อนตามแถวแนววิถี | ||
ถึงฟากฝั่งชลธาร์วารี | ประเทศที่ลำเขินสะอาดชล | ||
กระสินธิ์เชี่ยวเลี้ยวไหลอยู่โครมครื้น | จะคิดคืนหลีกลัดก็ขัดสน | ||
แสนลำบากยากใจกับไพร่พล | เป็นจำจนแล้วก็ลงในคงคา | ||
ด้วยเดชะบารมีเป็นที่ตั้ง | ก็ล่วงลุถึงฝั่งดังปรารถนา | ||
อันเงือกงูกุมภีล์ไม่บีฑา | ทั้งสินธพไอยราไม่อันตราย | ||
ครั้นถึงฝั่งแล้วก็ตั้งพยุหบาตร | ยุรยาตรไปตามกำหนดหมาย | ||
พอเวลาสายัณห์ตะวันชาย | ก็ถึงค่ายกองหน้าสำนักแรม | ||
ทำรั้วอ้อมเรือนปิดไว้มิดรอบ | ด้วยเขตขอบบ้านปอนั้นล่อแหลม | ||
ไอ้ลาวเที่ยวเล็ดลอดมาสอดแนม | ด้วยย่านบ้านแซกแซมกันเนื่องไป | ||
เสด็จถึงพลับพลาในค่ายล้อม | สะพรั่งพร้อมโยธามาไสว | ||
เข้าหน้าที่นั่งทางไม่วางใจ | ทั้งนายไพร่ก็ระมัดระวังตน | ||
ให้เสือป่าแมวเซานั้นเล็ดลอด | เที่ยวเสาะสอดไประวังฟังนุสนธิ์ | ||
ถ้าพบลาวมาแสดงแจ้งยุบล | เกณฑ์คนไว้จะจับมาแจ้งความ | ||
แล้วตรัสสั่งทัพหน้าพม่ามอญ | กองโคราชรีบจรไปทั้งสาม | ||
พอแลลับทัพหลวงก็ล่วงตาม | อันฤกษ์ยามเทพช่วยอำนวยพร | ||
พลรบบันเทิงสำเริงรื่น | ดูชุ่มชื่นมิได้ท้อระย่อหย่อน | ||
ล้วนอาวุธกุมจับอยู่กับกร | จะคอยรอนรับราชไพรี | ||
บ้างกรายหอกแกว่งดาบแล้วรำง้าว | ทั้งปืนน้าวหน่วงนกไม่นึกหนี | ||
ขยับท่วงทีท่าจะราวี | กำเริบเริงฤทธีทุกตัวคน | ||
คเชนทร์รนร้องม้าคะนองเผ่น | ปะเตะเต้นกลอกกลับอยู่สับสน | ||
พื้นอากาศผาดผ่องในอัมพล | โพยมบนหมดเมฆไม่ราคี | ||
ธงทิวปลิวไสวใบสะบัด | วายุพัดสวนส่งตรงวิถี | ||
สดับเสียงเบื้องบนเหมือนดนตรี | ประโคมขับอึงมี่แล้วตามมา | ||
ทัพเดียวเด่นโดดไปกลางชัฎ | ละเลาะลัดลับไม้ที่ใบหนา | ||
ดาดาษกลาดกลางอรัญวา | พงกโยธาโห่ร้องอยู่ก้องไพร | ||
ก็ล่วงลุภูเวียงวงสิงขร | พี่อาวรณ์พิศวงให้หลงใหล | ||
ดูละหานธารถ้ำอันอำไพ | ที่วงในบ้านเคียงอยู่เรียงราย | ||
มีทางเดินแห่งเดียวที่ผาขาด | ดุจเขาคันธมาทน์อันเฉิดฉาย | ||
ข้างรอบนอกพื้นผาศิลาราย | เป็นที่หมายของอนุสำนักพล | ||
ตั้งพลับพลาไว้ที่หน้าเนินสิงขร | สำนักนอนเมื่อดำเนินออกเดินหน | ||
แล้วพานวลนางอนงค์ลงสรงชล | เก็บอุบลบุษบาในวารี | ||
แล้วแล่นไล่โคถึกมฤคมาศ | เที่ยวประพาสนกไม้ในไพรศรี | ||
สำราญใจไพร่พลมนตรี | แล้วจรลีแรมร้อนเที่ยวนอนไพร | ||
พอทัพถึงสิงขรเป็นที่ขัน | ก็ตั้งมั่นมุ่งหาที่อาศัย | ||
โปรดให้กองพระเสนานั้นคลาไคล | ขยับไปตั้งรับอยู่ลำพอง | ||
พอกองโจรสามร้อยมาคอยทัพ | ครั้นได้ทีก็ขยับผันผยอง | ||
เข้านั่งอิงพิงผานัยน์ตามอง | พอได้ช่องยิงปืนระดมดัง | ||
แล้วโห่ร้องก้องกึกโกญจนาท | ออกชักปีกพันพาดตลบหลัง | ||
ไทยมอญพม่าละล้าละลัง | ไม่คิดหวังว่าศึกจะโจมตี | ||
บ้างก็ถูกปืนล้มลงกลาดกลิ้ง | บ้างก็วิ่งซมซานทะยานหนี | ||
บ้างไม่ย่อท้อเข้าต่อตี | คลุกคลีไทยลาวตะลุมบอน | ||
พระเสนาเสียกระบวนก็ซวนหนี | เข้าชิงที่ชัยภูมิเอาสิงขร | ||
ครั้นตั้งได้ไล่ทหารเข้าราญรอน | พม่ามอญตีลัดขึ้นตัดทาง | ||
พวกทัพลาวเหลือทนจะถอยหนี | เห็นโยธีเข้าตัดก็ขัดขวาง | ||
แต่ศึกกลุ้มหุ้มไว้อยู่ในกลาง | กระหนาบข้างเข่นฆ่าเข้าราวี | ||
ลงล้มกลาดดาษดิ้นสิ้นชีวิต | ทุกคนคิดแยกย้ายกระจายหนี | ||
เที่ยวซุกซนด้นป่าพนาลี | จะเอาแต่ชีวีให้คงคืน | ||
ขุนณรงค์องอาจเอกทหาร | ก็ขับอาชาชาญเข้าฝ่าฝืน | ||
ไล่ถาโถมโจมจับไม่กลับคืน | จนดึกดื่นลุถึงกึ่งราตรี | ||
เสด็จยกพลตามพวกทัพหน้า | เที่ยวบุกชัฎลัดป่าพนาศรี | ||
จนพ้นดงพงชัฎถึงนัที | ชื่อลำพองวารีเป็นวังวน | ||
ประกอบด้วยเงือกงูอันแรงร้าย | กุมภีล์พาลพล่านว่ายอยู่สับสน | ||
ลงข้ามพลม้าช้างมากลางชล | ไม่เห็นหนด้วยเป็นยามสนธยา | ||
เที่ยวหลีกไม้ไล่โดนแต่จระเข้ | จนซวนเซพลาดพล้ำถลำผา | ||
บ้างหกล้มจมลงในคงคา | ขึ้นคว้าหาฝั่งฟากชลธี | ||
ไปตามรอยบทจรทัพหน้า | ไล่บุกหารอยเท้าไอ้ลาวหนี | ||
เที่ยวแคะค้นมรรคาในราตรี | จนสุดแรงพาชีและไอยรา | ||
บรรลุบ้านนามกะตุดชางแปน | โอ้ว่าแสนสุดยากสหัสสา | ||
จนสิ้นแรงหิวโหยลงโรยรา | เข้าตากต่างโภชนาทุกคืนวัน | ||
ประทับริมอาวาสในหิมเวศ | ตามสังเกตบึงใหญ่ในไพรสัณฑ์ | ||
ก็พบพวกกองหน้าเข้ามาทัน | อภิวันท์หมอบเมียงอยู่เรียงราย | ||
ขุนณรงค์โจมจับเอาลาวได้ | โปรดให้ไล่คำให้การอ่านถวาย | ||
ครั้นทราบเสร็จทรงเห็นเป็นอุบาย | จึงสั่งนายขุนณรงค์ให้รีบจร | ||
คอยจับลาวที่จะลงมาจุดบ้าน | จะชิงขนอาหารเข้าสิงขร | ||
แต่ทัพใหญ่หยุดพักสำนักนอน | คอยนิกรล้าหลังในดงดาน | ||
พี่สุดแสนชอกช้ำระกำจิต | เหมือนเวรก่อต่อติดมาตามผลาญ | ||
ลำบากตนสุดทนที่ทรมาน | ทั้งอาหารอดอยากลำบากกาย | ||
เมื่อยามนอนนอนเหนือใบไม้ลาด | เมื่อยามกินเคลื่อนคลาดเวลาหมาย | ||
จะกินน้ำก็แต่ตมขมระคาย | ล้วนกลิ่นอายสาบสางทั้งช้างคน | ||
อันความเข็ญไหนจะเห็นในอกพี่ | ด้วยลับลี้อยู่ในป่าพนาสณฑ์ | ||
จึงจดหมายมาให้แจ้งแห่งยุบล | ซึ่งเหตุผลทุกข์ยากลำบากใจ | ||
ถึงกระนั้นก็ไม่วายคะนึงน้อง | ที่ห่างห้องห่วงคิดพิสมัย | ||
อันศึกนอกก็ไม่นึกเท่าศึกใน | พี่เตรียมใจตรมจิตทุกราตรี | ||
ครั้นอรุณเรื่อรุ่งจำรัสฟ้า | กระจ่างหล้าเหล่าไม้ในไพรศรี | ||
ช้างประทับรับเสด็จจรลี | ตามวิถีแถวในไพรพนม | ||
พี่เก็บพรรณพฤกษาผลาหาร | อันเปรี้ยวหวานลางชาติก็ฝาดขม | ||
ทั้งหว้าหวายพลับพลองของนิยม | และม่วงปรางซางซมตะคร้อครอง | ||
หมากพอกผลซามสุกอยู่ดื่นดาษ | อันรสชาติหวานดีไม่มีสอง | ||
ลูกขวิดขวาดดาษดกลงตกกอง | ทั้งแห้วหาดตาดต้องมะเฟืองไฟ | ||
พวาหวานยามยากอร่อยรส | เมื่อคราวอดโอชาจะหาไหน | ||
เที่ยวเลือกเก็บสิ่งของที่ต้องใจ | อันมีในหิมวันต์อรัญญา | ||
ถึงบ้านโพธิ์ภูมิฐานเป็นลานเลี่ยน | อยู่กลางเตียนบ้านติดกันแน่นหนา | ||
พวกนิกรจรลงในคงคา | สำราญร่มรุกขาอยู่ริมชล | ||
พระที่นั่งเลยทางไปกลางชัฎ | ถึงบ้านลาดมีวัดอยู่กลางหน | ||
พอรอนรอนอ่อนแสงพระสุริยน | ก็ตรวจพลหยุดพักพวกโยธี | ||
ริมชายเชิงภูเก้าโดยกำหนด | ซึ่งบรรพตอยู่กระหนาบแนววิถี | ||
ทั้งเก้ายอดเยี่ยมเมฆเมฆี | สถานที่โล่งเลี่ยนเตียนสบาย | ||
ล้วนบ้านลาวเรียงรันเป็นหลั่นสลับ | อเนกนับจะกำหนดนั้นเหลือหลาย | ||
เห็นกองทัพวุ่นวิ่งทั้งหญิงชาย | แตกกระจายขึ้นบนยอดคิรี | ||
บ้างก็แอบเล็ดลอดมาสอดมอง | พอได้ช่องปืนยิงแล้ววิ่งหนี | ||
พวกไทยหลบลุกได้เข้าไล่ตี | ไอ้ลาวหนีซ่อนตัวด้วยกลัวตาย | ||
ต่างคนไม่ประมาททั้งกองทัพ | นายและไพร่มิได้หลับสิ้นทั้งหลาย | ||
อันอาวุธม้าช้างไม่ห่างกาย | เขม้นหมายคอยศึกจะโจมตี | ||
ครั้นส่างแสงหิรัญสุวรรณเรื่อ | คณาเนื้อนกก้องในไพรศรี | ||
พอพ้นยามสนธยาและราตรี | ค่อยยินดีบางเบาบรรเทาใจ | ||
ตั้งกระบวนจัตุรงค์แล้วทรงช้าง | ขยายย่างจากท่าที่อาศัย | ||
ละเลาะเลียบแนวเขาลำเนาไพร | เห็นแสงไฟเรืองรอบมรรคา | ||
ไอ้ลาวแอบเอาไฟเข้าใส่ยุ้ง | แล้วรบพุ่งโหมหักกันหนักหนา | ||
ขุนณรงค์ลงจับได้ตัวมา | พิฆาตฆ่าล้มตายลงหลายคน | ||
ที่บ้านพร้าวต่อแดนบ้านแสนตอ | ไม่เหลือหลอเสียเข้าไม่ทันขน | ||
พวกกองทัพทุกข์ทั่วทุกตัวคน | เห็นขัดสนด้วยเสบียงนั้นบางเบา | ||
ก็รีบจรมิได้หย่อนลงหยุดพัก | เข้าโหมหักชิงเข้าที่ลาวเผา | ||
ไปติดตามรบรุกทุกลำเนา | ก็ชิงเอาเสบียงได้ครามครัน | ||
สดับข่าวลาวมาตั้งสู้ | ที่หนองบัวลำภูเป็นค่ายขัน | ||
ทำทิมั่นกั้นทางไปเวียงจันท์ | ทั้งแปดพันคอยท่าจะราวี | ||
ระยะทางนั้นห่างสักร้อยเศษ | พอร้อนแรงสุริเยศจำรัสศรี | ||
ถึงบ้านพร้าวเหล่าสถานสะอ้านดี | ก็พักพวกโยธีเข้าพร้อมกัน | ||
ชุมนุมทัพจับจัดเป็นกองหน้า | ทั้งปีกซ้ายปีกขวาและกองขัน | ||
พวกสามหอกเจ็ดหอกก็ออกพลัน | พวกรามัญเดินหน้าพม่าตาม | ||
ครั้นได้ฤกษ์เลิกทศโยธี | เสียงดนตรีกึกก้องท้องสนาม | ||
เพชรฤกษ์รณรงค์ในสงคราม | มห้ข่มนามแล้วเสด็จออกยาตรา | ||
จรจากถิ่นที่ประทับร้อน | บทจรตามทางระวางผา | ||
เขม้นเมิลเดินโดยมรคา | ต่างกำยำกายาทุกตัวคน | ||
บ้างทรงเครื่องโพกผ้าตะแบงมาน | บ้างกินยาทาว่านอยู่สับสน | ||
บ้างปลุกฤทธิสิทธิเดชพระเวทมนตร์ | สำเริงรณอิทธิฤทธิเรืองแรง | ||
พวกรามัญปลุกเสือสักที่ขา | พวกพม่าปลุกแมวสักที่แข้ง | ||
เอามือปบตบตีให้มีแรง | ทำตาแดงดิบโดดโลดทะลวง | ||
แขกตานีเสกน้ำซะระบัด | แล้วเป่าปัดเวทมนตร์ข้างตวนหลวง | ||
เช็ดหน้าโพกนุ่งผ้าตาเป็นดวง | ถือหอกควงเดินเคียงกันดูดี | ||
ก็ลุถึงทางท่าชลาสินธุ์ | ที่แถวถิ่นลำพะเนียงพนาศรี | ||
พร้อมนิกรโยธาฝั่งวารี | ตั้งกระบวนนาคีลงข้ามชล | ||
ให้ข้ามกลางหางเศียรอยู่ภายหลัง | คอยระวังต้นทางที่กลางหน | ||
ครั้นถึงพร้อมขึ้นบกแล้วยกพล | ล่วงตำบลหนองบัวเข้าโดยจง | ||
เห็นบ้านจิกเรียงรายอยู่ชายหนอง | เขม้นมองดูก็น่าพิศวง | ||
ถ้ากองลาวมาซุ่มที่พุ่มพง | เข้าแวดวงตัดทัพก็เสียที | ||
ให้กองหน้าดากันไปเที่ยวค้น | ไม่พบคนครอบครัวก็กลัวหนี | ||
ทิ้งสถานบ้านถิ่นไม่ยินดี | เที่ยวหลบลี้ซุกซ่อนใปดอนดง | ||
แล้วยกเลยล่วงพ้นตำบลบ้าน | ระยะย่านชายไม้ไพรระหง | ||
ค่อยเลี้ยวเลียบแนวหนองบุษบง | ในจิตจงมาดมุ่งกับไพรี | ||
ถึงพลับพลาอาศัยอนุพัก | ที่สำนักนอนทางกลางวิถี | ||
ก็ยลเขตค่ายลาวนั้นยาวรี | ชัยภูมิวาสุกรีอันเรี่ยวแรง | ||
ทั้งกว้างยาวราวสามสิบเส้นเศษ | มีคูเขตรั้วขวากล้วนเข้มแข็ง | ||
ตั้งประชิดติดกันคั่นกำแพง | เสาไม้แดงร้อยเอ็นดูอาจอง | ||
สนามเพลาะช่องปืนตลอดป้อม | มีลับล้อมหอรบสูงระหง | ||
ดูท่วงทีอาจหาญชาญณรงค์ | ในแว่นวงขอบเขตที่คามา | ||
แต่ครอบครัวต้อนออกไว้นอกค่าย | เที่ยวปีนป่ายขึ้นไปเดินบนเนินผา | ||
พวกกองทัพลอบลัดไปทัศนา | จนลิบตาแลลับบนคิรี | ||
แต่กำลังตั้งรออยู่คอยรับ | ขึ้นหอรบรายตับไว้ตามที่ | ||
เขม้นมองคอยท่าจะยายี | ทำลอบลี้ซ่อนเร้นไม่เห็นพล | ||
พวกไทยถึงพร้อมเข้าล้อมค่าย | ไปตามชายทิวป่าพนาสณฑ์ | ||
เหล่านายร้อยเร่งรัดกำจัดพล | ให้รุกร้นต้อนตามกันเติมมา | ||
เร่งเกณฑ์กันล้อมค่ายได้สองด้าน | ก็สุดสิ้นทหารที่อาสา | ||
ด้วยค่ายลาวยาวใหญ่มหึมา | เหลือกำลังโยธาจะอ้อมวง | ||
จึงรอรั้งโปรดสั่งทหารกล้า | ออกขี่ม้าสื่อสาส์นตามประสงค์ | ||
ให้แม่ทัพมาประณตบทบงสุ์ | จอมณรงค์สองเสด็จดำเนินมา | ||
พระยานรินทร์กลับกลอกแล้วบอกเบือน | ทำพูดเชือนว่ายังชวนกันปรึกษา | ||
แล้วเสแสร้งแกล้งแต่งเป็นสารา | ทิ้งออกมาว่าจะขอเป็นไมตรี | ||
พวกทัพไทยหลงคิดจิตประวิง | ด้วยลาวยิงสัญญาเข้าหน้าที่ | ||
บ้างโห่ร้องก้องป่าพนาลี | ได้ท่วงทีสาดปืนเป็นโกลา | ||
จนควันกลุ้มพุ่มพงดงสิงขร | บนอัมพรมัวมืดพระเวหา | ||
ที่ค่ายลาวเลื่อนลับไปกับตา | ด้วยธุมามืดคลุ้มอรุ่มมัว | ||
พวกกองไทยถอยหลังมาตั้งมั่น | ก็เกณฑ์กันเร่งล้อมเข้าพร้อมทั่ว | ||
บ้างขุดดินขึ้นตั้งลงบังตัว | ไม่ย่นย่อท้อกลัวแก่ไพรี | ||
ทุกหมวดกองเกณฑ์กันเข้าทุกด้าน | เหล่าทหารแผลงฤทธิไม่คิดหนี | ||
ทั้งปืนใหญ่น้อยยิงเป็นสิงคลี | ถ้อยทีรบรอเข้าต่อยุทธ์ | ||
ลาวไล่ไทยหนีเป็นทีท่า | ลาวล่าไทยไล่อุตลุด | ||
พุ่งซัดศัสตราแลอาวุธ | สัประยุทธ์ไม่ย่อท้อกัน | ||
เสียงไพร่พลดนตรีออกมี่ก้อง | ปี่พาทย์ฆ้องกราวเชิดดูเฉิดฉัน | ||
กลองแขกตีเปลี่ยนแปลงเมื่อแทงกัน | บันลือลั่นกึกก้องทั้งหิมวา | ||
ดูแสงปืนไทยลาวนั้นวาบวับ | ดังหิ่งห้อยย้อยจับบนพฤกษา | ||
ก้องสำเนียงเสียงโห่เป็นโกลา | ดุจฟ้าฟาดสายทำลายลง | ||
มืดคลุ้มกลุ้มควันทั้งวันเวศ | ในขอบเขตหิมวาป่าระหง | ||
โพยมพยับอับแสงพระสุริยง | จนลดลงลับเหลี่ยมยุคุนธร | ||
พระยาเกียรติ์รามัญประมาทศึก | เข้าโหมฮึกแทงค่ายทลายถอน | ||
ก็ต้องปืนนกสับลงพับนอน | พระยามอญอาสัญในทันตา | ||
ปลัดกองถาโถมเข้าโจมอุ้ม | อ้ายลาวซุ่มยิงซ้ำเข้าอังสา | ||
ทั้งสองนายวายชีพชีวา | อ้ายลาวร่าเริงร้องลำพองใจ | ||
พลรบต่างต้องศัสตราวุธ | บริสุทธิสามารถไม่หวาดไหว | ||
เข้ายิงแทงลาวตายกระจายไป | โลหิตไหลแดงดาษปัฐพี | ||
เมื่อเริ่มรบกันแต่บ่ายจนรุ่งเช้า | พวกกองลาวเหลือฤทธิ์ก็คิดหนี | ||
กระโดดค่ายป่ายปีนขึ้นคิรี | พม่ามอญต้อนหนีกระหนาบไป | ||
บ้างถูกปืนถูกหอกระยำยับ | ไทยเข้าโถมโจมจับเอาตัวได้ | ||
ใส่ตะโหงกผูกมัดมาบัดใจ | เข้าส่งให้ตำรวจใส่ตะราง | ||
แต่ตัวนายโยธาพระยานรินทร์ | ครั้นพลไพร่ไปสิ้นก็ขัดขวาง | ||
ขึ้นขี่ขับนางม้าเป็นท่าทาง | ออกวิ่งวางจะไปขึ้นบนคิรี | ||
กองพระยากลาโหมเข้าโจมจับ | พวกกองทัพติดพันไม่ทันหนี | ||
ก็ตกม้าลงไปขัดอยู่ปัฐพี | พวกโยธีกลุ้มกลัดเข้ามัดมา | ||
ถึงถวายบังคมพระบรมบาท | จอมณรงค์ปรงประภาษที่ปรึกษา | ||
ให้ซักถามตามยุบลแต่ต้นมา | ได้กิจจาแจ้งจริงทุกสิ่งอัน | ||
ว่าอนุให้สุริยะหลาน | มาตั้งด่านเข้าสารเป็นที่มั่น | ||
พลรบสองหมื่นหกพัน | ทำเขื่อนค่ายยับยันกับคิรี | ||
ตั้งบิลันกันทางไว้หว่างเขา | ให้ขนเอาศิลาขึ้นหน้าที่ | ||
คอยจะทุ่มทิ้งทับให้ยับยี | กันวิถีไว้ที่กลางหนทางจร | ||
ตูข้อยน้อยเห็นว่าเหลือกำลังนัก | จะหันหักขึ้นข้ามบนสิงขร | ||
จะสิ้นเสียโยธาพลากร | จงผันผ่อนทรงคิดให้จงดี | ||
อันเวียงจันท์ล้วนแต่คันภูเขาล้อม | จำเพาะจรขึ้นจอมคิรีศรี | ||
อันทางราบที่จะไปนั้นไม่มี | ช่องวิถีแสนสุดกันดารเดิน | ||
ที่ทางไปหนองหานด่านสนม | นั้นเชียงสามาระดมบนเขาเขิน | ||
ทำค่ายขั้นกั้นทางไว้กลางเนิน | พลประมาณหมื่นเกินสักสามพัน | ||
ไม่ใกล้ไกลไปจากช่องเข้าสาร | ระยะย่ายสามคืนที่เดินขยัน | ||
ข้างช่องซ้ายมรคาอีกห้าวัน | ชื่อด่านนั้นคำกีลงเป็นทางจร | ||
ราชวงศ์ยกลงไปรักษา | คัดศิลาทับทางวางสลอน | ||
ทหารหมื่นหกพันกันนคร | ประจำนอนอยู่บนเนินคิรีวัน | ||
แต่นั้นไปนับได้สิบเอ็ดหลับ | ถึงด่านซ้ายเขาคับเป็นด่านขัน | ||
พวกเชียงใต้รักษาอยู่ห้าพัน | หนทางนั้นดงชัฏที่ลัดลง | ||
จะเดินอ้อมเขาไปนั้นไกลนัก | ไม่รู้จักเดินเคยก็เลยหลง | ||
ช่องเข้าสารด่านนี้เป็นที่ตรง | แต่มั่นคงด้วยพยุหโยธี | ||
แล้วเจ้าเวียงแจงจัดดำรัสไว้ | ว่าทัพไทยตีด่านเราซานหนี | ||
จะโจนของล่องลงในนัที | ให้สุดสิ้นชีวีในคงคา | ||
แม้นพระองค์ทรงตีเอาด่านได้ | แล้วเสด็จไปชมเวียงให้สุขา | ||
ไม่ลำบากยากใจแก่โยธา | ตามแต่จะปรารถนาทุกสิ่งอัน | ||
แต่กองทัพพระเสด็จดำเนินมา | พวกโยธาเรืองแรงล้วนแข็งขัน | ||
ทั้งหน้าหนุนพร้อมเสร็จสักเจ็ดพัน | ข้อยหวาดหวั่นเห็นน้อยจะเหลือแรง | ||
อันเวียงจันท์ไพร่พลเอนกนับ | ทั้งกองแก้วเข้ากำกับก็เข้มแข็ง | ||
ทั้งลาวญวนพุงดำซ้ำเป็นแรง | แล้วจัดแจงสามารถด้วยศาสตรา | ||
อันทางขึ้นด่านเขาก็แคบคับ | เห็นสุดฤทธิจะรับด้วยตรอกผา | ||
เขาตั้งตับคอยยิงกลิ้งศิลา | ทั้งน้ำท่าที่นั้นก็กันดาร | ||
ขอยกไว้ในเสด็จในศึกอื่น | สักสิบหมื่นก็ไม่ตีเขาแตกฉาน | ||
นี่แล้วแต่พระบรมสมภาร | ก็สิ้นคำให้การลงทันใด | ||
ทรงดำรัสตรัสถามตามสุนทร | ศรีรัตรกรบังคมไหว้ | ||
ลิขิตคำให้การแล้วอ่านไป | ไม่สงสัยทราบสิ้นทุกสิ่งอัน | ||
แล้วทรงคิดที่จะยกเข้าตีด่าน | จะสิ้นเสียพลทหารเป็นแม่นมั่น | ||
จะตั้งรอไว้พองามสักสามพัน | ที่หนึ่งนั้นมีน้ำในลำธาร | ||
เป็นบ้านร้างทางลงมาจากเขา | นามลำเนาส้มป่อยเป็นถิ่นฐาน | ||
ทรงดำริแล้วดำรัสให้จัดการ | แต่งทหารทัพไทยพะม่ามอญ | ||
ทั้งสามนายรีบยกไปตั้งมั่น | ชักปีกกาถึงกันอย่าย่อหย่อน | ||
พวกไทยมอญพะม่าสถาวร | ประณมกรกราบถวายบังคมลา | ||
พอได้ฤกษ์รีบยกตามรับสั่ง | คอยระวังทัพลาวบนเนินผา | ||
ถึงตั้งค่ายรายลงริมคงคา | ชักปีกกาปิดน้ำในลำธาร | ||
กองตระเวณเหณฑ์ลาวได้ข่าวทัพ | ออกรบรับกั้นที่ริมห้วยละหาน | ||
ครั้นแตกหนีขึ้นไปแจ้งแสดงการ | กับนายด่านแม่ทัพบนคิรี | ||
อ้ายสุริยาอ้ายสุโพอ้าบหงวนคำ | เห็นได้ทีหมายทำให้ป่นปี้ | ||
คิดจะยกโยธาไปฆ่าตี | จะฟันแทงดลที่ไม่ทั่วกัน | ||
เราจัดแจงกันให้พร้อมไปล้อมไว้ | จะจับไทยเล่นให้สุขเกษมสันต์ | |||
มัดแขนศอกเอามาเบิ่งหน้ามัน | แล้วส่งเมื้อเวียงจันท์ให้เจ้าเรา | |||
ครั้นปรึกษาปรารภกันเสร็จสรรพ | ก็ยกทัพเปิดทางลงหว่างเขา | |||
ล้วนธงทิวพู่หอกเป็นดอกเลา | ทั้งม้าช้างย่างเหย่าเร่งเร็วมา | |||
สุริยะแม่ทัพขึ้นเสลี่ยง | สองข้างเคียงดาบกรายทั้งซ้ายขวา | |||
อ้ายหงวนคำหนุนทัพสลับมา | อ้ายสุโพทัพหน้าก็รีบจร | |||
ไอยราห้าร้อยล้วนสับสน | กระหึ่มมันกล้าชนไม่ย่นหย่อน | |||
ตระหง่านเงื้อมภูผาเห็นงางอน | ล้วนผูกเขนอาภรณ์สง่างาม | |||
เอาหอกซัดมัดปักไว้สองข้าง | คนกลางถือปืนยืนสนาม | |||
คนคอของ้าวดูวาววาม | คนท้ายสายทามกระวินตี | |||
พวกทัพม้าดาดาษออกกลาดป่า | ทั้งเบาะอานพานหน้าสลับสี | |||
ปักหางมยุราเป็นท่าที | ทหารขี่ควบขันกันเร็วมา | |||
พวกทัพพลเดินเท้าราวกับมด | ทั้งดงแดนแน่นหมดออกมืดป่า | |||
สรรพไปด้วยอาวุธอันนานา | มีเชือกยาวราววาทุกตัวคน | |||
พอทัพหน้าถึงค่ายเข้ารายล้อม | พวกทัพหลวงหุ้มห้อมเข้าสับสน | |||
ออกถอนขวาดถอนหนามคำรามรณ | ตั้งประจญประชิดเข้าติดพัน | |||
พวกกองหลังตั้งติดปีกกาใน | เข้าชิงหนองน้ำไทยลงตั้งมั่น | |||
ทั้งช้างมาดาล้อมอยู่พร้อมกัน | เป็นสามชั้นมิได้ว่างออกเคลื่อนคลาย | |||
ทั้งไทยมอญพะม่าออกมารับ | เห็นศึกหุ้มทุ่มทับระส่ำระสาย | |||
ทั้งเสียงคลองหนองน้ำจะซ้ำตาย | ให้ระหายหิวโหยอยู่โรยแรง | |||
เสียงไทยโห่มอญเห่พะม่าฮือ | สดับดังอู้อื้อด้วยคอแห้ง | |||
พวกศึกลาวมีใจยิ่งได้แรง | เร่งเข้าแย่งค่ายให้ยับจะจับคน | |||
ทั้งไทยมอญพะม่าไม่ล่าถอย | ก็ยิงปืนใหญ่น้อยดังห่าฝน | |||
บ้างล้มลุกคลุกคลานไม่ทานทน | ทั้งญวนวิ่งลาววนอยู่วุ่นวาย | |||
บ้างแขนหักขาขาดลงกลาดกลิ้ง | บ้างล้มพิงพาดขอนลงนอนหงาย | |||
บ้างถูกไม่สำคัญไม่ทันตาย | ก็กระจายวุ่นวิ่งเป็นสิงคลี | |||
เข้าโหมแหกสามหนก็ย่นยับ | จนรอบค่ายตายทับกันแต่ผี | |||
ก็ตั้งมั่นประชิดเข้าติดตี | ทุกหน้าที่ล้อมปิดไว้มิดไทย | |||
ทั้งเสียงพลเสียงปืนออกครื้นครั่น | หมวันต์กัมปนาทหวาดไหว | |||
ม้าเร็วรีบขับด้วยฉับไว | เอาเหตุไปทูลฉลองที่หนองบัว | |||
ครั้นทรงทราบเสร็จสั่งให้เกณฑ์ทัพ | เร่งจัดจับเข้ากระบวนให้ถ้วนทั่ว | |||
ที่หาบคอนซ่อนไว้ไปแต่ตัว | จนสุดสิ้นหนองบัวเร่งบอกกัน | |||
ทรงจัดไว้ให้อยู่สักสามร้อย | ขึ้นหอคอยเฝ้าค่ายอย่าผายผัน | |||
ระวังลาวอย่าให้ลัดมาตัดทัน | จงจัดกันลาดตระเวนทุกเวลา | |||
พระยาพิชัยราชาเป็นแม่กอง | ให้ตรึกตรองพิทักษ์อยู่รักษา | |||
ครั้นสั่งเสร็จแล้วเสด็จยาตรา | สถิตหลังไอยราที่นั่งทรง | |||
ได้ฤกษ์ดีตีฆ้องกลองสนั่น | บันลือลั่นหิมวาป่าระหง | |||
ท่าตาเกศเวทดีก็คลี่ธง | จมณรงค์ยาตราพลากร | |||
ออกชายทุ่งมุ่งป่าพนาเวศ | ตามสังเกตทิวทางหว่างสิงขร | |||
ก็ผ่านพบคนควบอัสดร | นำศุภสุนทรมาทูลความ | |||
ว่าทัพหน้าลาวล้อมไว้แน่นนัก | เข้าแหกหักถ้วนครบคำรบสาม | |||
เห็นทัพหลวงหน่างช้าให้มาตาม | อันสงครามครั้งนี้เห็นสุดแรง | |||
ในวันนี้ทัพช่วยไม่ถึงทัน | เห็นไม่ถึงสุริยันจะยอแสง | |||
ทั้งข้าวน้ำไม่ได้กินก็สิ้นแรง | จะคุมแข็งอยู่สักกึ่งทิวาวัน | |||
ครั้นทราบเสร็จทรงเร่งไอยรา | ให้บุกชัฏลัดป่าพนาสัณฑ์ | |||
หมู่พหลพลไกรไปไม่ทัน | ก็คลาดกันหมวดกองกระจัดจาย | |||
ที่เดินจัดตัดตามเสด็จทัน | ไม่แข็งขันเมื่อยล้านั้นเหลือหลาย | |||
เสียกระบวนป่วนแยกกันแพรกพราย | ด้วยทรงหมายว่าจะช่วยให้ทันที | |||
ครั้นใกล้ค่ายพบลาวอยู่ราวป่า | ให้ฟันฝ่าเข้ากลางหว่างวิถี | |||
ดำรัสเร่งโยธาเข้ายายี | กระโจมตีเบิกทางเข้ากลางพล | |||
พวกทัพลาวกลัดกลุ้มเข้าหุ้มไว้ | เร่งล้อมไทยตัดทางไว้กลางหน | |||
บ้างไสช้างวางม้าเข้าผ่าพล | อ้ายช้างเข็นแทงคนไม่ขามงา | |||
ทหารขี่ตีท้ายแล้วปรายหอก | ทั้งในนอกกลุ้มกลัดสหัสสา | |||
จอมณรงค์ทรงยืนพื้นสุธา | คอยเลี่ยงหลีกหลบงาที่ร่มรัง | |||
จัตุรงค์ร้อยเศษที่ตามไป | ทั้งนายไพร่มิได้ท้อจะถอยหลัง | |||
เห็นงาช้างเสยสอยคอยระวัง | บ้างหลบบ้างเบนแทงทแยงยิง | |||
ทั้งคนช้างต่างต้องศัสตราวุธ | อุตลุดวุ่นวายกระจายวิ่ง | |||
บ้างซานซมล้มกลาดลงพาดพิง | บ้างตายกลิ้งเกลื่อนกลุ้มประชุมกัน | |||
ทั้งแปดทิศมิดมืดแต่คนช้าง | จะเรื่อรางก็แต่ช่องปล่องสวรรค์ | |||
พวกกองไทยถาโถมเข้าโจมฟัน | พวกลาวรับขับกันเข้าต่อตี | |||
ดูกองไทยดุจไกรสรราช | อันองอาจมิได้ท้อจะถอยหนี | |||
เข้าฝ่าฝูงเถื่อนถึกมฤกคี | ดูท่าทีเผ่นโผนโจนทะยาน | |||
บ้างหลีกหลบรบรับคอยกลับกลอก | ทั้งดาบหอกฟาดฟันกันฉาดฉาน | |||
บ้างโจนแทงแฝงฟันประจัญบาน | บ้างรุกราญหลีกไล่กันในที | |||
ทัพพระยาล่าหลงในดงชัฏ | เร่งตามตัดมรรคาพนาศรี | |||
เห็นลาวล้อมจอมณรงค์ในพงพี | ได้ท่วงทีถาโถมเข้าโจมฟัน | |||
ตลบหลังตั้งหน้าประดารบ | ตีกระทบลาวป่วนอยู่หวนหัน | |||
ไม่ทานทนย่นแยกออกแตกกัน | กระโดดดันแหกหักเข้าพงพี | |||
ไปกลัดกลุ้มรุมแหกเอาค่ายหน้า | มอญพม่าพร้อมจิตไม่คิดหนี | |||
ออกฟันแทงแย้งยิงเป็นสิงคลี | ด้วยยินดีว่าเสด็จไปถึงทัน | |||
แล้วทรงจัดคงคากระยาหาร | พระราชทานกองทัพล้วนสรรพสรรพ์ | |||
ยิ่งเข้มแข็งแรงฤทธิเข้าติดพัน | เพราะหมายมั่นทัพช่วยกระหนาบมา | |||
พวกกองลาวเหลือฤทธิจะคิดแหก | ก็ย้ายแยกกองซ้ายและฝ่ายขวา | |||
เอาทัพช้างกางซีกเป็นปีกกา | จะห้อมหุ้มโยธาทั้งทัพไทย | |||
ก็ทรงสั่งปีกซ้ายทนายขวา | ให้กางทานต้านหน้าอย่าหวั่นไหว | |||
ทหารม้าพาพลลำพองใจ | เข้าลุยไล่ฟาดฟันประจัญบาน | |||
ลาวรับไทยรุกเข้าบุกรบ | ลาวหลบไทยไล่ด้วยใจหาญ | |||
ลาวยิงไทยวิ่งเข้ารอนราญ | ลาวแตกแซกซ่านเข้าพงพี | |||
ข้างปีกซ้ายลาวตายลงซับซ้อน | ขยาดหย่อนเสียเชิงกระเจิงหนี | |||
แล้วเนื่องหนุนโยธามาราวี | เข้าต่อตีตัดทางออกกลางแปลง | |||
ทัพไทยได้ชัยไม่ยั้งหยุด | รีบรุดเข้าหักด้วยกำแหง | |||
เป็นควันกลุ้มเมฆาในป่าแดง | ไม่แจ่มแจ้งมัวมืดเป็นเมฆี | |||
ล้วนโลหิตติดไม้ลงไหลกอง | ออกเนืองนองแดงดาษปัฐวี | |||
อาศพกลาดดาษดงในพงพี | บ้างทับยีเหยียบย่ำกันรอนราญ | |||
ต้นเต็งรังพังล้มระดมดาษ | ก็โค่นขาดราบรื่นด้วยปืนผลาญ | |||
ละโล่งเลี่ยนเตียนพงในดงดาน | ทุกห้วยธารโทรมทรุดชำรุดพัง | |||
ศึกส้มป่อยฟั่นเฝือเหลือกำหนด | จะจำจดสุดเล่ห์คะเนหวัง | |||
แต่ฟันฝ่าอาวุธสุดกำลัง | เป็นศึกสั่งเวียงสิ้นฝีมือลาว | |||
เฝ้ารบรับสัประยุทธ์จนสุดฤทธิ | เมื่อขุกคิดกัมปนาทอนาถหนาว | |||
ด้วยข้องขัดลูกดินนั้นสิ้นคราว | เอาหอกง้าวดาบดั้งเข้าราวี | |||
ทั้งสองคืนสองวันประจันรบ | จนจวนพลบไทยแหกก็แตกหนี | |||
เตลิดด่านซานขึ้นบนคิรี | บ้างวิ่งเข้าพงพีกระจัดกระจาย | |||
อนุแจ้งเหตุการณ์ว่าด่านเสีย | ก็พาเมียจะไปสู่กระแสสาย | |||
เสลี่ยงขาดพลาดล้มลงจมทราย | นิมิตร้ายบอกเหตุมหัศจรรย์ | |||
ทั้งผ้าผ่อนล่อนลุ่ยไม่ติดตน | ก็เซ่อซนสิ้นสมประดีไม่มีขวัญ | |||
ลงเกลือกกลิ้งนิ่งแน่อยู่แดยัน | อุระสั่นสิ้นทั้งวิญญา | |||
เรียกอนงค์นุชน้องคำปล้องพี่ | ว่ามานี่มาเร็วพี่ร่ำหา | |||
คำปล้องภู่คู่ใจครรไลคลา | หวีดผวาเข้าประคองทั้งสองนาง | |||
พยุงองค์ทรงยืนให้ยุรยาตร | ไปข้ามหาดลงท่านาวาขวาง | |||
ให้เคืองแค้นคนหามไปตามทาง | สั่งให้ล้างคู่ท้ายเสียวายชนม์ | |||
แล้วเร่งรัดจัดทรัพย์สิ่งของ | ทั้งเงินทองดื่นดาษไม่ขาดขน | |||
ตำรวจรักษ์แจกปันทั้งพันคน | สำหรับตนติดตามไปนาวา | |||
กำหนดเงินคนละชั่งตั้งพิกัด | บ้างซ้ำตัดทองเติมบ้างเพิ่มผ้า | |||
บำรุงใจไปเป็นเพื่อนอาตมา | ครั้นเสร็จสั่งภริยายอดอนงค์ | |||
ทั้งสามร้อยน้อยแน่งนางสนิท | ที่ใช้ชิดคู่เชยเคยประสงค์ | |||
ว่าเวรกรรมจำเพาะมาเจาะจง | จะจำจากเวียงวงนิเวศเรา | |||
ผู้ใดมีวงศาคณาญาติ | เราให้ขาดเร่งมารับไปเถิดเจ้า | |||
ที่นางไทยให้คืนถิ่นภูมิลำเนา | ไปตามเผ่าพงศ์ญาติที่กวาดมา | |||
ทั้งเงินทองกองโกยเอากอบให้ | มากน้อยตามใจปรารถนา | |||
ที่ไร้ญาติขาดมิตรไม่ติดมา | เป็นกำพร้าเลือกไว้เอาไปตาม | |||
ครั้นเสร็จสั่งวงศาประชาราษฎร์ | เร่งต้อนกวาดลงนาวาท่าสนาม | |||
ที่ล้นเหลือไล่ส่งเข้าดงราม | ให้ยกตามทางบกเป็นหมวดกอง | |||
ประมาณหมู่สัดจองที่ล่องตาม | สักพันลำลอยหลามแม่น้ำของ | |||
ขอสำเร็จเสร็จสรรพทั้งเงินทอง | ก็ทิ้งเมืองเลยล่องทางนัที | |||
เมื่อศูนย์เสียเวียงจันท์นั้นเดือนหก | เป็นปีกุนนพศกอนุหนี | |||
ยกนิกรโยธาลงนาวี | ก็ตรงไปยังที่ท่าสีดา | |||
ครั้นสงครามมีชัยได้ดังนึก | พระจอมศึกทรงโสมนัสสา | |||
ให้เตรียมตรวจหมวดหมู่พวกโยธา | จะยกข้ามภูผาไปตามตี | |||
ที่ป่วยไข้ให้คืนหนองอุบล | รักษาตนตั้งทัพอยู่กับที่ | |||
แล้วหยุดยั้งรั้งแรมพวกโยธี | อยู่เชิงชายคิรีริมคงคา | |||
พี่แสนสุดชอกช้ำระกำกาย | ดังจะวายวางชีพลงสังขาร์ | |||
แต่ทรมานอยู่บนอานอัศวรา | สามทิวามิได้เว้นสักโมงยาม | |||
จนศึกไปได้ชัยชนะแล้ว | จึงเคลื่อนแคล้วจรดลพ้นสนาม | |||
ก็ไม่วายหวาดพะวงในสงคราม | ยังกริ่งเกรงว่าจะตามมาต่อตี | |||
สู้อดกลั้นเวทนานั้นสาหัส | ถึงเจ็บขัดมาดหมายไม่หน่ายหนี | |||
ขึ้นชื่อชายไม่เสียดายชีวีมี | เมื่อถึงที่กองกรรมก็จำเป็น | |||
แม้ยสุดฤทธิจิตพี่จะจากรัก | ยุพาพักตร์จึงจะลับไม่แลเห็น | |||
ถ้ากุศลช่วยชูให้อยู่เย็น | ไปปราบเข็ญแล้วคงพบประสบกัน | |||
แล้วถอยทัพลงมารับอีกสองศึก | อ้ายขอนแก่นโหมฮึกทำหุนหัน | |||
เข้าล้อมค่ายหนองบัวอยู่พัวพัน | ได้รบกันล่าหลบขึ้นคิรี | |||
ก็ตรัสสั่งพระณรงคสงคราม | ให้ยกเร่งรีบตามไอ้ลาวหนี | |||
ไปทันทัพรบรับกันทันที | พวกไทยลาวตีแตกกระจายจร | |||
ก็หยุดทัพกลับพวกจัตุรงค์ | ค่อยลัดลงตามทางข้างสิงขร | |||
ถึงถวายบังคมประณมกร | แสดงความตามที่รอนราญณรงค์ | |||
ครั้นศึกเสร็จแล้วเสด็จจรลี | ขึ้นข้ามด่านคิรีสูงระหง | |||
ล้วนหินเลื่อมเหลืองพรายเป็นลายรงค์ | เงื้อมชะโงกโตรกตรงเป็นตรอกทาง | |||
จำเพาะขึ้นจรดลได้คนเดียว | จะเลี่ยงเลี้ยวหลีกลัดก็ขัดขวาง | |||
พอช้างก้าวเท้าตรงให้ลงราง | ค่อยย้ายย่างคุกเท้าด้วยเข่าคลาน | |||
เอางวงคว้าผากอดแล้วสอดท้าว | ค่อยโน้มน้าวหน่วงกิ่งพฤกษาสาร | |||
จนสุดยอดยากแค้นแสนกันดาร | อันมีชื่อช่องเข้าสารเป็นเขื่อนเวียง | |||
บนยอดเขาตั้งค่ายแล้วรายขวาก | ต้องเดินบากเบี่ยงเท้าคอยก้าวเฉียง | |||
ล้วนกองหินรอบค่ายอยู่รายเรียง | ค่อยลัดเลี่ยงเลี้ยวเลียบคิรีจร | |||
ลงหลังเขาค่ายมีอีกสี่ด้าน | ระยะย่านต่อตั้งทัพสิงขร | |||
เห็นแถวทัพลาวทำประจำนอน | จนเต็มดอนพิศดูน่าอัศจรรย์ | |||
เห็นแต่ค่ายผู้คนเที่ยวซนหนี | เพราะเสียทีแตกทัพอันคับขัน | |||
จะรอรับกลับตัวกลัวไม่ทัน | เตลิดเลยเวียงจันท์กระจัดจาย | |||
ดูคิรีที่ขันดังเขื่อนเพชร | น่าขามเข็ดคิดไปก็ใจหาย | |||
ไม่ควรทิ้งนัคราน่าเสียดาย | ด่านทลายศึกจะเลยเข้าเกยวัง | |||
หัวจุกลาวคราวนี้เป็นที่มาด | จะแคล้วคลาดมือไทยอย่าได้หวัง | |||
ต้องบุกป่าผ่ารกอกแทบพัง | ให้แค้นคั่งเดือดดาลทะยานใจ | |||
แล้วรีบจรข้ามดอนโดยวิถี | ลงจากที่โขดเขินเนินไศล | |||
ถึงสถานบ้านแถวอยู่แนวไพร | เป็นย่านใหญ่เยิ่นยาวอยู่ราวทาง | |||
ที่ทุ่งนาท่าน้ำลำละหาน | ปลสะอ้านดูสะอาดดังกวาดถาง | |||
เห็นแต่ราวตากผ้าที่ท่านาง | เป็นบ้านร้างเรือนเย็นไม่เห็นคน | |||
พระสุริยนยอแสงสนธเยศ | เสนาะเสียงมยุเรศในไพรสณฑ์ | |||
วิเวกแว่ววาบทรวงดวงกมล | ระเหหนหาที่จะนิทรา | |||
ถึงบ้านเมดอาวาสสะอาดเอี่ยม | ดูราบเลี่ยมรื่นรุกขสาขา | |||
จอมณรงค์ทรงประทับบนพลับพลา | ประชุมชาวโยธาสถิตนอน | |||
ครั้นหิรัญรุ่งสางสว่างภพ | กระจ่างจบหิมเวศเขตสิงขร | |||
สะพรั่งพร้อมโยธาพลากร | ทุเรศร้อนรีบยกซึ่งโยธี | |||
ให้ลัดทางลงหว่างจังหวัดบ้าน | ล้วนถิ่นฐานรายเรียงเคียงวิถี | |||
พฤกษาสวนนานาบรรดามี | ออกกลาดกลางทางที่จะลีลา | |||
พวกกองทัพเปรี้ยวหวานนั้นพานโซ | ก็เผ่นโผป่ายปีนขึ้นพฤกษา | |||
บ้างฟันกิ่งชิงกันเข้าเก็บมา | บ้างรั้งราโก่นถางลงวางดิน | |||
ที่เรือนเหย้าเผาจุดแล้วรื้อแย่ง | บ้างฟันแทงสักสับหาทรัพย์สิน | |||
ทั้งยุ้งฉางล้างล้มลงจมดิน | ให้ช้างกินอาหารสำราญใจ | |||
แล้วจากจรร้อนรีบจรลี | ถึงถิ่นที่นามบ้านชื่อพานไฝ | |||
เป็นหลุมลุ่มลาดขวางหนทางไป | สะพานใหญ่ยาวเยิ่นเกินประมาณ | |||
ระยะห้องหกร้อยห้าสิบหก | ถึงตีนตกข้ามน้ำลำละหาน | |||
ดูราบรื่นพื้นพาดลาดกระดาน | ที่กลางย่านมีที่สำนักพล | |||
แต่โดยยาวเก้าร้อยกับสามวา | ดูยืดยังมรคาพนาสณฑ์ | |||
ท่านสร้างไว้ให้เดินดำเนินคน | อนุสนธิ์สืบแจ้งแสดงความ | |||
เจ้าของสร้างหัวคูอยู่ที่วัด | เมตตาสัตว์เดินทางกลางสนาม | |||
ต้องลุยหลุ่มจมลาดไม่ขาดยาม | ผู้ใดข้ามยากแค้นแสนกันดาร | |||
จึงชวนชัดพรรคพวกพระสงฆ์ศิษย์ | เข้าพร้อมคิดกันสิ้นทั้งถิ่นฐาน | |||
จำหน่ยทรัพย์สินจ้างสร้างสะพาน | ก็สมการปรารถนาอยู่ถาวร | |||
แต่ไอยราพาชีต้องขี่ข้าม | ลงลุยตามเต็มพรั่นขยั่นหยอน | |||
บ้างติดหล่มจมเลนระเนนนอน | จนถึงดอนแสนสุดกันดารเดิน | |||
พวกโยธาพากันขึ้นลินลาศ | สะพานพาดสูงทรงระหงเหิน | |||
ละโล่งลิ่วทิวแถวแนวดำเนิน | ที่ร้อนแดดรีบเดินไปพักดอน | |||
ครั้นขึ้นพร้อมไอยราและพาชี | พวกโยธีคั่งคับสลับสลอน | |||
ตั้งกระบวนด่วนเดินดำเนินจร | พี่อาวรณ์พิศวงอยู่องค์เดียว | |||
เห็นถิ่นฐานด้านดาษไม่ขาดบ้าน | น่าสำราญคิดไปก็ใจเสียว | |||
ละม้ายแม้นกรุงศรีอย่างนี้เจียว | เสียดายเปลี่ยวเปล่าเย็นไม่เห็นคน | |||
ที่เขตแดนดูงามไปตามเพศ | ยิ่งประเทศตำแหน่งทุกแห่งหน | |||
มาก่อกรรมคิดการบันดาลดล | ให้ไพร่พลพลัดพรายกระจายจร | |||
ดูบ้านพลับน่าเพลินจำเริญจิต | ถิ่นสถิตอยู่ในกลางหว่างสิงขร | |||
ล้วนเรือนรั้วดื่นดาษไม่ขาดตอน | ออกซับซ้อนดูสายนัยนา | |||
ระยะทางมีที่ตำแหน่งพัก | ทุกสำนักห้วยธารละหานผา | |||
ที่รื่นร่มริมฝั่งตั้งศาลา | ไว้พักพวกโยธาที่เดินทาง | |||
เมื่อยามยลถิ่นฐานสำราญจิต | แล้วเสียวคิดเตรียมตรมอารมณ์หมาง | |||
เหมือนอกเรียมมานิราศสวาทวาง | เห็นบ้านร้างดุจเรื่องอันเดียวกัน | |||
รัญจวนพลางทางขับไอยเรศ | ให้ประเวศในระวางพลขันธ์ | |||
ก็ล่วงเลยบ้านบางทางอรัญ | พอสายัณห์สุริยนระยับเย็น | |||
ก็ลุถึงคงคาชลาเชี่ยว | แม่น้ำของล่องเลี้ยวพอแลเห็น | |||
อันไหลลบแก่งเกาะเซาะกระเซ็น | มัจฉาเต้นโดดตามชโลทร | |||
กุมภีล์พาลลอยล่องท้องสมุทร | ขึ้นดำผุดว่ายเวียนเศียรสลอน | |||
พวกราหูชูหางขึ้นขวางนอน | บนสันดอนเชิงลาดที่หาดทราย | |||
นัทีกว้างว้างเวิ้งละเลิงลิ่ว | พอเห็นทิวไม้บ้านประมาณหมาย | |||
ละเมาะหมู่วังเวียงนั้นเรียงราย | อยู่ฟากฝ่ายบูรพาที่ธานี | |||
พวกทัพไทยถึงฝั่งประจิมทิศ | พอมืดมิดสิ้นแสงพระสุริย์ศรี | |||
ก็หยุดยั้งรั้งแรมซึ่งโยธี | ประทับที่ท่าบ่อตำบลบาง | |||
มีศาลาพลพักสำนักน้ำ | อนุทำไว้ที่ฝั่งแล้วตั้งฉาง | |||
สำหรับข้ามคงคาเป็นท่าทาง | ที่ขึ้นช้างเกยตั้งบนฝั่งชล | |||
สถานที่โล่งเลี่ยนเตียนสะอาด | อยู่ชิดหาดชายไม้ที่ไพรสณฑ์ | |||
พวกกองทัพบันเทิงสำเริงรณ | ทุกตัวตนเหิมใจจะไปเวียง | |||
ครั้นจวบแจ้งแสงสนธโยบาต | ฆ้องพิฆาตแข่งขานประสานเสียง | |||
ทั้งโกร่งเกราะเคาะฟังดังสำเนียง | ดาราเรียงร่อเขายุคุนธร | |||
แสงสุวรรณพรรณรายกระจายแจ้ง | ทั้งเหลืองแดงแลเลื่อมประภัสสร | |||
พลพรั่งพร้อมกระบวนจะจวนจร | คเชนทรเข้าประทับกับเกยทรง | |||
รับเสด็จเสด็จโดยสถลมารด | ให้เคลื่อนคลาดจากท่าชลาสรง | |||
พวกช้างดั้งออกเดินดำเนินธง | จัตุรงค์ร่าเริงบันเทิงใจ | |||
ลงข้ามน้ำลำโขงแล้วหมายมุ่ง | ไปตามทุ่งเลียบท่าชลาไหล | |||
ล้วนบ้านเรือนเรียงรันเป็นชั้นไป | ในหมู่ไม้ทิวแถวที่แนวชล | |||
พฤกษาชาติดาษดื่นเป็นพื้นร่ม | ดูระดมสุกงามเมื่อยามผล | ||
ด้วยเรือนร้างว่างขาดนิราศคน | ระบุหล่นดื่นดาษลงกลาดดิน | ||
พวกเดินทางพลางเก็บผลาหาร | อันเปรี้ยวหวานโดยนิยมสมถวิล | ||
บ้างหาบห่อพอควรจะยวนยิน | บ้างหยุดกินชื่นบานสำราญใจ | ||
พระสุริยงเที่ยงถึงกึ่งทวีป | ก็เร่งรีบไปยังท่าชลาไหล | ||
ตำแหน่งบ้านพรานพร้าวพวกลาวใน | เป็นย่านใหญ่เยิ่นยาวสักคราววัน | ||
พอตรงเวียงเห็นวังที่ฝั่งข้าม | วิเศษงามเพราเพริดดูเฉิดฉัน | ||
ทองระยับจับแสงพระสุริยัน | ที่หน้าบันช่อฟ้าบราลี | ||
เสด็จจากพระที่นั่งไอยเรศ | ถึงนิเวศเวียงท่าชลาศรี | ||
ให้จัดพวกโยธาลงนาวี | จะเร่งข้ามวารีให้รีบจร | ||
เสด็จลงทรงเรืออุปราช | งามประหลาดแลเลื่อมประภัสสร | ||
ที่ทำลายรจนากันยางอน | ทั้งหน้าท้ายเข้าร้อนไปกลางชล | ||
ถึงฝั่งฟากวังเวียงเคียงประทับ | ทรงสดับทูลแสดงแจ้งนุสนธิ์ | ||
ว่าเจ้าเวียงยกหนีไม่มีคน | จรดลสุดแดนพนาดร | ||
ประชาราษฎร์ครอบครัวก็กลัวหนี | เที่ยวแตกเข้าไพรศรีและสิงขร | ||
ล้วนเรือนร้างว่างเว้นเย็นนคร | เที่ยวซนซ่อนพรายพลัดกระจัดจาย | ||
เสด็จพักที่ตำหนักชลมาศ | อันโอภาสดูงามอร่ามฉาย | ||
บรรจถรณ์แท่นพนักจำหลักลาย | ฉากระบายบังนางอยู่ข้างใน | ||
เป็นที่เคยของนุสำราญร้อน | ชวนสมรมิ่งมิตรพิสมัย | ||
ลอยกระทงลงเล่นชลาลัย | สนามในน้ำของไม่ขาดปี | ||
เมื่อจะสุขเห็นจะแสนสำราญนัก | ก็ประจักษ์นัยนาแต่ท่าที่ | ||
ทั้งโรมริมคบคาศาลารี | ถนนสี่กั๊กเกี่ยวตลอดกัน | ||
เมืองประมาณด้านยาวสักร้อยเศษ | ถึงคันคูสุดเขตในเขื่อนขัณฑ์ | ||
มีค่ายล้อมป้อมเคียงอยู่เรียงรัน | เป็นสองชั้นเชิงเทินที่เดินพล | ||
ถ้าตั้งรับกับเมืองก็เต็มมุ่ง | จะติดตามข้ามคุ้งก็ขัดสน | ||
กระสุนใหญ่สุดยั้งเป็นกังวล | จรดลยากแค้นแสนกันดาร | ||
แต่ทัพหมื่นเต็มหมายทำลายลุ | จะมุ่งมุสามารถเข้าอาจหาญ | ||
หลลาวเหลือล้นพ้นประมาณ | ถ้าต่อต้านเต็มคิดจะติดตี | ||
นี่หากฤทธิ์จอมณรงค์อันทรงเดช | ไปปราบเข็ญเย็นเกศทั้งกรุงศรี | ||
ให้ศึกเกรงศักดาไม่ราวี | ปลาตหนีเวียงวังไปทั้งนวล | ||
พี่นั่งนึกตรึกตรมอารมณ์ร้อน | ยิ่งอาวรณ์มิได้วายกระหายหวน | ||
เห็นนิเวศเวียงจันท์ยิ่งรัญจวน | คะนึงนวลนุชหน่ายเสน่ห์นาน | ||
ดูวงวังดุจดังถิ่นสถิต | ไม่เพี้ยนผิดนัคเรศเขตสถาน | ||
ยิ่งเปล่าเปลี่ยวเหลียวแลอยู่แดดาน | อุระปานเปี่ยมปิ่มทำลายวาย | ||
พอเสร็จเรื่องบริรักษ์ตำหนักชล | จรดลจากท่าชลาสาย | ||
สะพรั่งพร้อมหมูพหลพลนิกาย | จำนงหมายนัคเรศทวารา | ||
ล่วงทวารด่านโดยทักษิณทิศ | พี่เปลี่ยวจิตเปล่าใจอาลัยหา | ||
งามสถานปานศรีอยุธยา | ช่างเทียบทำทีท่าไม่ผิดทรง | ||
ลุถนนดลโรงอัศวเรศ | มีหอลอยคอยเหตุสูงระหง | ||
เป็นสามชั้นกลองชัยอยู่ในกรง | ล้วนบรรจงเงื้อมงามอร่ามตา | ||
มีตึกดินทิมดาบขนาบข้าง | ศาลาใหญ่ให้ขุนนางนั่งปรึกษา | ||
ทั้งโรงรถโรงคชไอยรา | เป็นสง่าตามแถวอยู่แนวทาง | ||
มีโรงศักดิ์โรงแสงตำแหน่งที่ | ทั้งโรงสารบัญชีอันกว้างขวาง | ||
อีกโรงพิจารณาศาลากลาง | ทั้งสองข้ามแถวทิมอยู่ริมวัง | ||
มีโรงปืนหน้าป้อมล้อมนิเวศ | จนรอบเขตซ้ายขวาและหน้าหลัง | ||
ที่วงในล้วนแล้วแต่แถวคลัง | เป็นตึกตั้งรายเรียงอยู่เคียงกัน | ||
มีโรงโขนใหญ่เยี่ยมเอี่ยมสะอาด | งามประหลาดน่าชมดูคมสัน | ||
มีรอกร้อยห้อยเหาะเห็นเหมาะครัน | เป็นจักรผันเลี้ยวไล่กันไปมา | ||
มีอาวาสลาดล้วนศิลาเลี่ยน | ช่อวิเชียรวาววามพระเวหา | ||
หางหงส์ยอดลำยองล้วนทองทา | รจนาด้วยสุวรรณอันบรรจง | ||
มีมณฑปอันประดับวิเชียรรัตน์ | กระจ่างจัดฉ้อช้อยลอยระหง | ||
งามสมทรงสมตรวจทั้งทรวดทรง | เป็นวัดวงในเขตนิเวศวัง | ||
ทรงสำนักพักหน้าอุโบสถ | เป็นราบหลั่นชั้นลดนอกผนัง | ||
ก็ตรัสสั่งให้พระยารักษาคลัง | แล้วเสร็จยั้งหยุดพักพวกโยธี | ||
พี่ลัดเลี้ยวเที่ยวชมแถวสถาน | แสนสำราญรื่นเริงบันเทองศรี | ||
สารพันเสร็จสรรพสำหรับมี | ตำแหน่งที่จักพรรดิกษัตรา | ||
ไฉนหนอยังควรมาคิดร้าย | ไม่ว่างวายที่อำนาจปรารถนา | ||
ให้เสื่อมสูญเวียงจันท์สวรรยา | อนิจจาจนวิบัติกำจัดจร | ||
เพราะหมายมุ่งอยุธยามหาสถาน | ประกอบการมุ่นมุเห็นลุถอน | ||
ไม่สมหมายตายยับเป็นสับบอน | ทิ้งนครไปท่าสีดาดง | ||
แล้วเดินเลยล่วงทวารในนิเวศ | ตามสังเกตจงจิตคิดประสงค์ | ||
ถึงเกยรถเกยคชสารทรง | อันหยัดยงคู่เคียงอยู่เรียงราย | ||
ท้องพระโรงที่แท่นสุวรรณรัตน์ | เศวตฉัตรห้าชั้นอันเฉิดฉาย | ||
กำพูพื้นแดงฉันสุวรรณพราย | งามระบายขามขำดูอำไพ | ||
ตำแหน่งนอกมีที่นั่งสำราญร้อน | ที่นั่งสนามศศิธรอันสุกใส | ||
พี่เที่ยวชมชื่นบานสำราญใจ | แล้วตรงไปเข้าสู่ที่ไสยา | ||
เป็นหลายชั้นหลั่นลดจนเลยหลง | ล้วนบรรจงวาดเขียนอันเรขา | ||
กระจกซุ้มกลุ้มกลาดสะอาดตา | โคมระย้าแสงระยับสลับกัน | ||
ในตึกกลางแห่งนางอนงค์นาฏ | มีที่ลาดไสยาทำฝาคั่น | ||
เป็นคู่คู่เคียงเคียงอยู่เรียงรัน | กระแจะจันทน์หอมหวนรำจวนใจ | ||
เหมือนคนหิวอาหารได้พานรส | พอจิบจดซาบซ่านสะท้านไหว | ||
ด้วยนาสาปรากฏกำหนดใน | ให้สงสัยค้นห้องไม่หายแคลง | ||
จนสุดสิ้นเรือนหลวงทั้งหกหลัง | พะวงหวังมิได้วายหายแสวง | ||
ไม่พานพบสบสมรยิ่งร้อนแรง | กลิ่นแสลงเข้าสลับจับกมล | ||
แล้วเลยลงทางสวนมาลีเลี้ยว | ประพาสเที่ยวในตำแหน่งทุกแห่งหน | ||
เห็นเรือนางกัลยาดูน่ายล | เป็นท่องแถวแนวถนนกระหนาบกลาง | ||
ล้วนรุกขาน่าชมดูร่มรื่น | ที่ภูมิพื้นรายเรียงเคียงกระถาง | ||
มีสระโศกเคียงสนอยู่ต้นทาง | ทำแท่นวางไว้ประทับสำหรับทรง | ||
ประชุมชวนนวลนุชสุดสวาท | เลือกประพาสตามจิตคิดประสงค์ | ||
ที่เอวบางร่างรัดสันทัดทรง | ล้วนอนงค์นางฟ้อนชะอ้อนนวล | ||
ทั้งสามร้อยกลอยแก่ไม่อิ่มหนำ | ยังโลภทำทุจริตให้ผิดผวน | ||
จนเสียเมืองเคืองแค้นไปแดนญวน | ไม่ข้อควรเลยมาคิดให้จิตตรม | ||
แต่สินทรัพย์นั้นจะนับสักหมื่นแสน | ออกเนืองแน่นนัคราไม่สาสม | ||
มีเมืองขึ้นรอบประเทศเขตนิคม | มาประณมน้อมกายถวายกร | ||
เป็นจอมจักรนัคเรษประเทศราช | อันหมายมาดเมืองศุภอักษร | ||
ทุกแดนลาวเลื่องชื่อลือขจร | สถาวรเรืองยศปรากฏนาม | ||
พี่แจ้งเรื่องแรมรักอัคเรศ | กำหนดเหตุเค้าเงื่อนเมื่อเดือนสาม | ||
เป็นปีจอต่อกุนขุ่นสงคราม | บังเกิดความเคืองแค้นทั้งแดนไตร | ||
ต้องกรีธาทัพจรไปรอนรบ | กระจายจบเมื่อตอนสะท้อนไหว | ||
ไปลุยล้างเวียงจันท์เสียบรรลัย | ระยำไปย่อยยับอัปรา | ||
ผู้เกิดหลังวังเวียงนั้นเลื่อนลับ | ได้สดับแล้วก็ยังจะกังขา | ||
ดำเนินนามเวียงจันท์จำนรรจา | ไม่แจ้งว่าเมืองบ้านสักปานใด | ||
จึงกำหนดไว้ที่นุชสุดสวาท | เป็นนิราศแรมมิตรพิสมัย | ||
พอจดจำมรคาพนาลัย | เป็นตราใจทุกสำนักลำเนาทาง | ||
แต่บทกลอนสอนทำไม่ชำนิ | อย่าแต้มติไยไพให้ใจหมาง | ||
จงต่อเติมเพิ่มกลอนอักษรวาง | ให้เรืองรางพริ้งเพราะเสนาะเอย ฯ | ||
๏ เจ้า นิพนธ์พจน์เพื่อ | เรียงแถลง | ||
ทับ นรินทร์นเรศร์แรง | เลื่องหล้า | ||
วัง บวรทรงแสดง | สิทธเสร็จ ท่านเฮย | ||
หลัง หยุหข่มข้า | เหล่าร้ายตายแสยง ฯ | ||
๏ ทำ วิถีสถลมารคแหม้น | อารัญ | ||
ไว้ เมื่อค่ำคืนวัน | หยุดยั้ง | ||
ให้ อนงค์นิ่มนวลจันทร์ | รู้เรื่อง รักแฮ | ||
แจ้ง ที่จริงไป่พลั้ง | แน่งน้อยอย่าฉงน ฯ | ||
๏ ศรีสัตนาคนหุตเจ้า | จอมสกล | ||
ส้มป่อยพ่ายเสียพล | ยิ่งร้อย | ||
สองเสด็จดัสกรกล | เทวษ ท่านฤา | ||
ตูบ่อาจต่อต้อย | เร่งร้างเวียงถวาย ฯ | ||
เชิงอรรถ
ที่มา
นิราศทัพเวียงจันท์ หม่อมเจ้าทับ ในกรมหลวงเสนีบริรักษ์ สำนักพิมพ์มติชน ๒๕๔๔