นิราศหนà¸à¸‡à¸„าย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 12:47, 22 กันยายน 2552 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)
บทประพันธ์
| ๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ | ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม | ||
| บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความ | ทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง | ||
| ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออก | ก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง | ||
| ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียง | เมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา | ||
| ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า | ||
| เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชา | ลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ | ||
| ๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดช | ซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||
| สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัว | ศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน | ||
| ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่น | ทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน | ||
| เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลัน | พร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน | ||
| เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอ | เป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร | ||
| พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการ | ที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย | ||
| แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีก | ให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย | ||
| ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนาย | ทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน | ||
| เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว | ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน | ||
| ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครัน | บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย | ||
| ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ | ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย | ||
| ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย | ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง | ||
| เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด | ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง | ||
| ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง | เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี | ||
| เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ | ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี | ||
| สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี | ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ | ||
| ๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏ | หวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร | ||
| แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์ | สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ | ||
| กางกรประคองกอดแม่ยอดรัก | พิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน | ||
| นึกก็น่าใจหายเสียดายนวล | ด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน | ||
| แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียว | นึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน | ||
| พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือน | จะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ | ||
| ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิต | นึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล | ||
| จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไป | กลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู | ||
| นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอด | คนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู | ||
| ต้องจำใจจำร้างห่างพธู | จงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี | ||
| อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศก | อย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี | ||
| แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคี | นั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ | ||
| ๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำ | เป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่ | ||
| ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไป | จำครรไลโลมลาสุดาดวง | ||
| น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้อง | เหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง | ||
| ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวง | แล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน | ||
| ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุข | อย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน | ||
| สวัสดีมีชียพ้นภัยยัน | เมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน | ||
| ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่น | ถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน | ||
| สละรักหักใจอาลัยวรณ์ | ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง | ||
| มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณ | กำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ | ||
| ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานอง | ใจสยองยิ่งสลดระทดระทม | ||
| แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาส | ใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม | ||
| ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ | ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ | ||
| คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ | ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร | ||
| บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาล | ทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู | ||
| ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้ | คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู | ||
| เกินจะพรรณนาเหลือตาดู | เครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน | ||
| เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อ | ล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน | ||
| ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพัน | ล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา | ||
| ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จ | สักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า | ||
| เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามา | ทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ | ||
| และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวง | หวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร | ||
| ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญ | ใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ | ||
| ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบ | ถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ | ||
| เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือ | จดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ | ||
| ๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์ | เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน | ||
| พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลัน | เจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย | ||
| พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์ | นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย | ||
| พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย | ที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม | ||
| เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จ | แล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม | ||
| สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงคราม | ขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล | ||
| พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธ | ชยันโตสำเนียงเสียงประสาน | ||
| เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวาน | โหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง | ||
| พระครูโหรอวยชัยให้เดชะ | พระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์ | ||
| พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดัง | ขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จ | น้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย | ||
| ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจ | ผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน | ||
| ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์ | พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล | ||
| สุริยงทรงรถหมดมลทิน | ทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี | ||
| สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์ | แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี | ||
| ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรี | ท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน | ||
| ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือน | เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน | ||
| เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกัน | เสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล | ||
| ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ | ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน | ||
| กลามตลอดจอดแพออกแจจน | กญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ | ||
| ดูเรือแพแออัดสงัดหาย | ไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน | ||
| กลัวจะกีดกันขวางทางชลธาร | หลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ | ||
| ๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสว | พวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา | ||
| ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตรา | เสด็จมาคอยรับกองทัพเอง | ||
| เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | ลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง | ||
| ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็ง | เสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน | ||
| เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | ถวายคำนับน้อมจอมสถาน | ||
| แล้วถวายบังคมราบลงกราบกราน | ตามบูราณประเพณีที่มีมา | ||
| กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ | ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา | ||
| เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณา | เป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา | ||
| ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพ | ครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา | ||
| เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบา | แต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์ | ||
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | ฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร | ||
| เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพร | แล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน | ||
| ทองคำทำตลับระยับย้อย | ทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน | ||
| พระจอมนาถมีพระราชโองการ | ว่าของนานทำไว้จะให้เธอ | ||
| ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับ | เจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ | ||
| ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอ | เสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย | ||
| ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อย | พระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย | ||
| คนในเรือรับพลางต่างวางพาย | น้อมถวายบังคมประนมกร ฯ | ||
| ๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ | เสียงก้องโกลาหลพลสลอน | ||
| เอิกเกริกเร่งมาในสาคร | เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม | ||
| เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว | ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม | ||
| ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม | ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน | ||
| พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล | เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน | ||
| บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร | ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ | ||
| ๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง | มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา | ||
| ชยันโตอวยชัยในนาวา | จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง | ||
| พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ | ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง | ||
| พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง | บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม | ||
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม | ||
| พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม | พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์ | ||
| พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ | เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง | ||
| สังเกตลมพระพายพัดชายธง | นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน | ||
| เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา | พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน | ||
| พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน | เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ | ||
| นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ | แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ | ||
| สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ | นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา | ||
| เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน | นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา | ||
| คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา | ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ | ||
| โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร | เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว | ||
| เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ | ||
| ๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม | ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน | ||
| ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร | ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน | ||
| พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ | ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น | ||
| ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน | มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย | ||
| เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง | ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย | ||
| พอจวนถึงรอรานาวาคอย | เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ | ||
| เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ | สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ | ||
| พระทัยดีมีพระกรุณประจำ | หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน | ||
| เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ | สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน | ||
| แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ | ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ | ||
| ๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน | บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน | ||
| บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน | บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน | ||
| เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา | ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน | ||
| คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ | อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง | ||
| ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน | จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง | ||
| แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง | นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม | ||
| แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต | โอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม | ||
| ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม | ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย | ||
| ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า | หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย | ||
| คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย | โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา | ||
| แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย | พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา | ||
| จวนแจ้งแสงศรีสุริยา | ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม | ||
| เสร็จเสพโภชนากระยาหาร | ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม | ||
| กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม | ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ | ||
| ๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต | สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
| ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง | จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง | ||
| ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ | ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง | ||
| ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง | เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา | ||
| คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร | พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา | ||
| คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ | ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม | ||
| ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน | ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม | ||
| ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม | ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง | ||
| ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ | ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง | ||
| ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง | กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ | ||
| ๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์ | วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง | ||
| พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา | ||
| รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง | พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา | ||
| ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา | ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย | ||
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย | ||
| ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป | ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร | ||
| ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ | ||
| น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน | เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี | ||
| ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด | พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี | ||
| ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน | ||
| ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย | เดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน | ||
| วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน | คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน | ||
| เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ | นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ | ||
| ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน | เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา | ||
| โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ | ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา | ||
| จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว | ||
| โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก | บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว | ||
| โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว | ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา | ||
| ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย | อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา | ||
| เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา | เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา | ||
| หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส | ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา | ||
| กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา | ยุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม | ||
| ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก | ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม | ||
| คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม | ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย | ||
| พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง | ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย | ||
| พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย | เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน | ||
| พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา | เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
| ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน | จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา | ||
| เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ | ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา | ||
| แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา | ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ | ||
| ๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกร | กำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย | ||
| เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงย | น่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง | ||
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | จอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง | ||
| ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียง | นั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล | ||
| แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวัง | ดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์ | ||
| ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลัน | ก็เหหันเรือประทับกับตะพาน | ||
| เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุด | บูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร | ||
| ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานาน | แต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ | ||
| ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ | ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม | ||
| แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วาม | ทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา | ||
| จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหาร | ครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา | ||
| ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตรา | จึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์ | ||
| ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททอง | ได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์ | ||
| มีพระราชศรัทธาปัญญายง | เสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล | ||
| เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอาราม | ประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล | ||
| เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคน | ชื่อชุมพลนิกายาราม | ||
| ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปรา | ซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม | ||
| โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตาม | ไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ | ||
| ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | มาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน | ||
| แล้วเลยทรงสถาปนาการ | พระวิหารให้คงดำรงดี | ||
| แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททอง | ดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี | ||
| ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมี | ทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา | ||
| ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระ | ก็เลยละผายผันจิตหรรษา | ||
| เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวา | โห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว | ||
| เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนี | บ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว | ||
| เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียว | ปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล | ||
| ฝีพายไม่รอรามาตะบึง | บรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่ | ||
| แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไป | เจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน | ||
| ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชา | น้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน | ||
| พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญ | ใจเบิกบานยินดีที่สบาย | ||
| วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่ว | บ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย | ||
| ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลาย | ให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา | ||
| รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิง | พอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา | ||
| เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทา | พระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง | ||
| จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระ | คารวะขอความตามประสงค์ | ||
| ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรง | สิงในองค์พระปฏิมากร | ||
| จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพ | ที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน | ||
| ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอน | จงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน | ||
| เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ผู้คนคับสองข้างหว่างถนน | ||
| ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชน | ที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ | ||
| แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับ | คนที่รับไทยทานประมาณโข | ||
| บางคนออกวาจาวราโร | รัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล | ||
| เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อน | เรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน | ||
| ละลิ่วมาในวนชลธาร | บ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ | ||
| ๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา | แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ | ||
| เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ | ||
| ๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสาย | เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน | ||
| ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร | หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา | ||
| ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง | มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา | ||
| คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา | ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง | ||
| เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง | ||
| ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง | คอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน | ||
| ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ | ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร | ||
| แล้วชักชวนไปวัดมนัสการ | พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา | ||
| เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียร | แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
| จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา | พระมหาที่นั่งในวังจันทร์ | ||
| ออกจากวังไปยังพระอาวาส | นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน | ||
| ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ | ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ | ||
| ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททอง | เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม | ||
| ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ | แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง | ||
| เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุด | เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง | ||
| วัดสลักหักพังออกนังนุง | แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน | ||
| ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน | ||
| เสด็จมาบำรุงผดุงการ | พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม | ||
| เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม | ||
| ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ | อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง | ||
| บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ | ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง | ||
| ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง | เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ | ||
| จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่อง | ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร | ||
| เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน | กรมการเขาว่าตราไม่มี | ||
| ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร | แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี | ||
| ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี | แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ | ||
| ๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศ | สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล | ||
| ต่างลงเรือทุกลำประจำพล | บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว | ||
| เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง | พร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว | ||
| นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัว | ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ | ||
| ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวาน | โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ | ||
| ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ | ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ | ||
| ๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ | ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย | ||
| ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย | บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ | ||
| บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม | เรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส | ||
| ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจ | ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน | ||
| เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ | แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน | ||
| ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยน | เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ | ||
| ๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน | มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน | ||
| เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน | แรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง | ||
| ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมด | น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง | ||
| ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง | อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ | ||
| พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ | คนที่เหลืออาศัยในวิหาร | ||
| อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน | เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน | ||
| แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศ | นองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน | ||
| เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์ | เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน | ||
| ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ | ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ | ||
| กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ | สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน | ||
| ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับ | ชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น | ||
| กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์ | โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขด | สูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน | ||
| ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตน | ขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน | ||
| ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผา | หนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน | ||
| เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดิน | สะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ | ||
| ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลด | ช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ | ||
| ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำ | แม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำ | บ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา | ||
| บางแห่งเหลืองสีซ้ำดอกจำปา | พื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน | ||
| ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาด | ด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน | ||
| บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการ | บ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา | ||
| บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวซักหาวนอน | บ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา | ||
| บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตา | บ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม | ||
| บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูด | ไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม | ||
| ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลาม | ตลอดตามสองข้างหนทางจร | ||
| อีกอายว่านอายยาในป่าชิด | ล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน | ||
| ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากร | กำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล | ||
| อายพื้นดินนำพาให้อาพาธ | วิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน | ||
| ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทน | จึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ | ||
| คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุก | ช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร | ||
| เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซาน | บ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค | ||
| ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้า | ดูก็น่าสมเพชสังเวชโข | ||
| เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮ | ว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง | ||
| ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติด | พระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง | ||
| คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรง | บ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
| ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปด | ได้จำจดผูกพันจนวันกลับ | ||
| ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับ | ได้สดับเรื่องหมดจดจำมา | ||
| ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพ | บางคนกลับผูกจิตริษยา | ||
| แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทา | ค่อนขอดว่ากองทัพเสียยับเยิน | ||
| . | |||
| . | |||
| . | |||
เชิงอรรถ
ที่มา
นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔
