อิลราชคำฉันท์

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

ผู้แต่ง: พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ)

พระราชนิพนธ์คำนำ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

หนังสืออิลราชคำฉันท์นี้ จะว่าได้เกิดมีขึ้นเพราะข้าพเจ้ายุยงก็ได้ ที่ว่ายุยงนั้น เพราะข้าพเจ้าได้ทราบอยู่ว่าหลวงสารประเสริฐ (พระยาศรีสุนทรโวหาร [ผัน สาลักษณ]) เป็นผู้มีฝีปากแต่งหนังสือเห็นกาพย์กลอนได้อยู่ ดังมีพยานปรากฎอยู่ทีเรื่อง ปัญจสิงขรคำกลอน กับฉันท์และกลอนเบ็ดเตล็ดต่างๆ ข้าพเจ้าได้อ่านแล้วก็เห็นว่า มีจินตกวีเกิดขึ้นในหมู่คนไทยชั้นหนุ่มอีกแล้ว แต่ข้าพเจ้าวิตกอยู่ว่า ถ้าไม่คอยระวัง กลัวหลวงสารประเสริฐจะใช้ความสามารถของตนนั้น เพื่อแต่งหนังสืออันไม่เป็นแก่นสาร

ในสมัยตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ ๕ มา ข้าพเจ้ามีความเสียใจที่ได้สังเกตเห็นว่า ฝีปากผู้แต่งกาพย์กลอนเลวลงกว่าในต้นรัชกาลที่ ๕ นั้น เป็นอันมาก เพราะพอใจแต่งแผลงอวดดีไปว่าใช้โวหารอย่างใหม่ ซึ่งมีคนบางจำพวกนิยม โดยสำคัญว่าเป็นโวหารอย่างฝรั่งและนิยมว่า การแต่งหนังสือโดยใช้โวหารแผลง และคำซึ่งเข้าใจว่าเป็นคำฝรั่งปนเปอยู่นั้น เป็นเครื่องแสดงความรุ่งเรืองของตน ในชั้นเมื่อเกิดมีละครชนิดที่เรียกว่า ละครร้อง ชุกชุมขึ้น นักเลงแต่งบทละครร้องก็มีมากขึ้น และเป็นที่เข้าใจกันว่า กลอนที่จะใช้ในบทละครร้องเช่นนี้ต้องใช้เป็นอย่าง "สมัยใหม่" ใช้ถ้อยคำอย่างใหม่ เลี่ยงถ้อยคำ ซึ่งเรียกว่า "ภูมิเก่า" ให้มากที่สุดที่จะหลีกไปได้ เช่นต่างว่าจะแต่งบทโลม ถ้าแต่งอย่างแบบแผนแห่งจินตกวีนิพนธ์ไทยเก่า คงแต่งว่า

"โฉมงามทรามสุดสวาทพี่ดาลฤดีจ่อจิตพิศวง
ขอแต่เพียงได้พิงอิงองค์แนบอนงค์ขวัญฟ้ายาใจ" ดังนี้
             

แต่ถ้าใครแต่งเช่นนี้ก็มันถูกหาว่าเป็นภูมิเก่า ไม่ทันสมัย ฝ่ายผู้แต่งถึงแม้จะพอมีความรู้แต่งได้ก็ไม่กล้าแต่งออกมา เพราะกลัวจะถูกติว่าเป็นคนผิดสมัย ฝ่ายผู้อ่านถึงแม้ว่าแท้จริงเมื่ออ่านบทกลอนเช่นข้างบนนี้แล้วจะ รู้สึกในใจจริงว่าเพราะ ปากก็ต้องกล่าวติว่า "ครึ" หรือ "งุ่มง่าม" เพราะถ้าแสดงออกมาว่าชอบบทกลอนเช่นนี้แล้ว ก็เกรงจะเป็นเหมือนสารภาพว่าตนเป็นคนที่เดินไม่ทันสมัย ด้วยเหตุนี้จินตกวีสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อปรารถนาจะแต่บทโลมให้ได้ใจความเช่นเดียวกับบทข้างบนนี้จึงต้องแต่งว่า

"โอ้งามโฉมประโลมหรูคู่ชีวิตช่างถูกจิตนี่กระไรแม่ใจหวาน
ขอจูบเจ้าคลึงเคล้าเยาวมาลย์กระสันซ่านกอดศอพอชื่นใจ" ดังนี้
             

ตัวผู้ที่แต่งบทกลอนเช่นนี้ ถ้าเป็นผู้ที่มีนิสัยเป็นจินตกวีแม้แต่เล็กน้อย ก็คงจะต้องรู้สึกว่าเป็นถ้อยคำอันมีภูิมิต่ำ ซึ่งถ้าจะเปรียบกับคำกลอนบทข้างบนนี้ ก็ต้องรู้สึกว่าเหมือนขันทองเหลืองเทียบขันทองคำ แต่จะทำอย่างไรได้ตนเป็นผู้ขาย เมื่อคนซื้อชอบขันทองเหลืองมากกว่าขันทองคำ ก็จำเป็นต้องทำขันทองเหลืองขาย เมื่อเจ้าของโรงละครเขาชอบบทละครโสกโดกก็ต้องแต่งเช่นนั้น

ข้าพเจ้าได้เคยรู้สึกรำคาญมานานแล้ว แต่ไม่แลเห็นหนทางที่จะแก้ไขอย่างใด นอกจากที่จะมีผู้เป็นจินตกวีมาปรึกษาหารือแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะสามารถแสดงความเห็นพูดจาเกลี้ยกล่อม ให้ช่วยกันรักษาวิชากวีไทยอย่าให้สูญเสียหรือเลวทรามไป ก็นับว่าได้มีผลสำเร็จไปบ้างแล้วบางรายแต่งยังเป็นส่วนน้อยนัก

ในส่วนตัวหลวงสารประเสริฐนี้ ข้าพเจ้าได้ถือโอกาสตักเตือนได้เต็มที่ เพราะพระยาศรีสุนทรโวหาร (พระยาศรีภูริปรีชา[กมล สาลักษณ]) ผู้เป็นบิดาเป็นผู้ที่ข้าพเจ้าคุ้นเคยมาช้านาน ได้เคยพูดจาปรารภมีความเห็นพ้องกันอยู่ ทั้งตัวหลวงสารประเสริฐก็ได้รู้จักต่อเนื่องจากความคุ้นเคยกับบิดาเขานั้น ข้าพเจ้าจึงถือเอาโอกาสเพื่อแนะนำหลวงสารประเสริฐให้แต่งหนังสืออะไร อัน ๑ ซึ่งจะได้มีชื่อเสียงสืบไปว่าเป็นจินตกวีผู้หนึ่ง ซึ่งมิได้เป็นผู้ช่วยทำให้ภาษาไทยเสื่อมทราม ข้าพเจ้าของให้พยายมแต่งหนังสือขึ้น เพื่อให้ปรากฎแต่ไปในพงศาวดารว่าในรััชกาลพระมงกุฎเกล้าก็ยังมีจินตกวีอยู่ หลวงสารปะรเสริฐก็รับปากไว้ แต่ยังหาเรื่องที่ประพันธ์ขึ้นนั้นไม่เหมาะได้ จนข้าพเจ้าได้แต่งหนังสือ "บ่อเกิดแห่งรามเกียรติ์" นั้นขึ้น หลวงสารประเสริฐจึงได้พบนิทานเรื่องอิลราช ซึ่งมีอยุ่ในอุตตรกัณฑ์แห่งรามายณะ เห็นว่าพอจะประพันธ์เป็นคำฉันท์ได้ หลวงสารประเสริฐจึงได้แต่งขึ้นด้วยความอุตสาหะ แล้วนนำมาให้ข้าพเจ้าช่วยตรวจ ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยตรวจแก้ไขและแสดงความเห็นให้แก้ไขหรือเพิ่มเติมขึ้น และบางตอนที่เขาแต่งไม่ได้โดยพิสดารเพราะขาดความรู้ในกิจการนั้นๆ โดยเฉพาะ เช่นเรื่องพิธีอัศวเมธเป็นต้น ข้าพเจ้าก็ได้ช่วยชี้แจงให้ฟังโดยพิสดาร ตามที่ข้าพเจ้าได้อ่านมาในตำรับไสยศาสตร์ หลวงสารประเสริฐได้กำหนดจดจำเอาไปประพันธ์ขึ้นได้อย่างดี นับว่าเป็นที่ควรสรรเสริญ

ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีที่ได้เห็นว่า ในรัชกาลของข้าพเจ้าได้มีจินตกวี ซึ่งสามารถจะแต่งฉันท์ภาษาไทยได้หลายคนแล้ว และหลวงสารประเสริฐผู้แต่งเรื่องอิลราชคำฉันท์นี้เป็นคน ๑ ในหมู่นั้น ข้าพเจ้ามีความยินดีเขียนคำนำนี้ให้หลวงสารประเสริฐเพื่อแสดงความพอใจแห่ง ข้าพเจ้า ณ บัดนี้

อนึ่งข้าพเจ้าขอถือเอาโอกาสอันนี้เพื่อแสดงว่า ถ้าแม้ผู้ใดซึ่งริเริ่มจะนิพนธ์โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน มีความปรารถนาจะให้ข้าพเจ้าตรวจและแนะบ้าง อย่า่งที่ข้าพเจ้าได้ช่วยหลวงสารประเสริฐมาแล้วนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ที่คุ้นเคยกัยข้าพเจ้าแล้วแต่ก่อนก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะยินดีช่วยตรวจ และแสดงความเห็นเท่าที่ข้าพเจ้าสามารถจะทำได้ เพื่อช่วยอนุเคราะห์ผู้ที่มีความพอใจในทางจินตกวีนิพนธ์และเพื่อ ประโยชน์แก่วิชากวีของไทยเรานั้นด้วย

..........................(รัชกาลที่ ๖)

สนามจันทร์

วันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๕๖

บทประพันธ์

ศุภมัสดุ
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
๏ ข้าขอเทิดทศนัขประณามคุณพระศรี
สรรเพชญพระผู้มีพระภาค
๏ อีกธรรมาภิสมัยพระไตรปิฏกวากย์
ทรงคุณคะนึงมากประมาณ
๏ นบสงฆ์สาวกพุทธ์พิสุทธิ์อริยญาณ
นาบุญญบุญบานบโรย
๏ อีกองค์อาทิกวีพิรียุตมโดย
ดำรงดำรับโปรยประพันธ์
๏ ผู้เริ่มรังพจมานตระการกมลกรรณ
ก้มกราบพระคุณขันธ์คเณศ
๏ สรวมชีพอัญชลินาถพระบาทนฤเบศ
มงกุฎกษัตริย์เกษตรสยาม
๏ ที่หกรัชสมัยก็ไกรกิตติพระนาม
ทรงคุณคามภี-รภาพ
๏ เพียงนารายณ์อวตารบำราญอริบำราบ
เถลิงรัชทวีลาภวิไล
๏ เปรื่องปรีชาวิทยุตมาภรณ์ไท
ธารสัตย์กระพัดในกมล
๏ บำรุงรัฐสุขวัฒนานิกรชน
ทั่วรัฐมณฑลบำเทิง
๏ สรวมเดชไตรรตนาวรากรเถกิง
เกินโกฏิประกายเพลิงพิโรจน์
๏ รังรักษ์ไทอธิราชพระบาทนฤโทษ
เสพสิ่งประเสริฐโสต-ถิผล
๏ จุ่งเจริญด้วยสุขนันท์พระพรรณก็ถกล
ทีฆายุเพิ่มพลพิบูล
๏ ข้าบาทรังรจนานิทานอิลทูล
แทบบาทบดินทร์สูรสราญฯ
             

ฉบัง ๑๖
๏ แถลงปางรามจันทราวตารเสร็จมล้างเหล่าพาล
พินาศด้วยพระบารมี
๏ มลายเข็ญเย็นทั่วธาตรีถวัลยรัชรมย์ชัยศรี
อยุูธเยศเกศกรุง
๏ สมภาร พระเอื้ออำรุงสมโภชผดุง
พระเดชกระเดื่องแดนไตร
๏ ปาง ราชปรารภกิจในพลีกรรม์อันไกร
คือราชสูโยดม
๏ โดยเบื้องบรมราชนิยมขัตติยสมาคม
ร้อยเอ็ดมาเอื้อเอาภาร
๏ แผ่พระกฤษฎาภินิหารใดราชฤาปาน
ฤาปูนพระเดชนฤบดี
๏ พระน้องสองเฝ้าบทศรีหิรักษ์จักรี
พระตรัสพระตรึกปรึกษา
๏ พระภรตผู้พระอนุชาเชิงไฉนเชษฐา
ทะนุพิธีพลีกรรม
๏ พระพร้องสนองถ้อยแถลงทำ-นูลทัดทานคำ
มิควรประกอบมหการ
๏ พระองค์ผู้ทรงอวตารตราบจบจักรพาล
โผอนมกุฎเกรงรณ
๏ ฤาควรกวนราชกังวลมละด้าวมาดล
ดำแหน่งทุเรศรัถยา
๏ บัดพระลักษมณ์ราชอนุชานบเบื้องพระบาทา
บัณฑูรแถลงพจมาน
๏ ผิวไท้ใคร่กอบพลีการอัศวเมธมหุฬาร
ก็เลิศพิธีพลีกรรม
๏ เผยเผชิญพิชิตเชษฐ์ชักนำน้อมเกล้ากล่าวคำ
คดีดำนานในบูรพ์
๏ อินทรรอนพฤตาสูรเอิบอิศร์อันพูน
บำเพ็ญตบะบารมี
๏ มาผลาญมารมอดชีวีเกลื่อนบาปบ่มบำ-
รุงบุญระบอบบำบวง
๏ เป็นที่นิยมแก่ปวงเทพทั่วแมนสรวง
สรรเสริญประเสริฐสาธร
๏ แถลงเรื่องสมราชอนุสรพระศรีสังขกร
ก็โปรดก็เปรมปรารมภ์
๏ เยื้อนอรรถตรัสชอบเชยชมโดยราชนิยม
ยุบลคดีมีมา
๏ จึงแถลงอิลราชอิลาอวยองค์อนุชา
ฉบับอันพร้องพิสดาร ฯ
             

วสันตติลกฉันท์ ๑๔
๏ ยังมีบรมนฤปนาถอิลราชสมัญขาน
ทรงพลหิรัฐสุรฐานสุประเทศสถาพร
๏ โอรสพระกรรทมประชาปติพรหมบุตรขจร
เจิดคุณธรรมมิกบวรทศพิธเพียบเพ็ญ
๏ เมตตาประชากรสโม-สรสุขสลายเข็ญ
ทั่วรัฐมณฑลก็เย็นสิรราษฎร์สเริงรมย์
๏ รักษ์ราษฎร์ก็เล่หปิยบุตรนรสุดประสาทสม
ซ้องศัพท์เกริกกิติอุดมวรเดชกระเดื่องแดน
๏ ปราบได้ณไกวลประเทศทศทิศก็เกรงแกลน
กลอกเกล้าและหนาวภยมิแคลนวรฤทธิเรืองรณ
๏ เรืองรองพระมนทิรพิจิตรกลพิศพิมานบน
ก่องแก้วและกาญจนระคนรุจิเรขอลงกรณ์
๏ ช่อฟ้าก็เฟื้อยกลจะฟัดดลฟากทิฆัมพร
บราลีพิไลพิศบวรนภศูลสล้างลอย
๏ เชิงบัทม์พระบัญชรเขบ็จมุขเด็จก็พราวพลอย
เพดานก็ดารกพะพรอยพิศเพียงนภาพลาม
๏ สิงหาสน์จรูญจตุรมุขบมิแผกพิมานงาม
พื้นภาพอำพนพิพิธตามตะละเนื่องพนังนอง
๏ ภาพครุฑก็ยุดอุรคแผ่กรเพียงจะผาดผยอง
เทพนมขนัดกษณะมองมรุเทพทิพาลัย
๏ เบื้องบรรจถรณทิพอาส-นก็เอี่ยมอุไรไพ-
จิตรลายจำหลักฉลุพิไล-ยพิลาสลดามาลย์
๏ ชั้นฉัตรสกาวทุกุลพัสตร์รุจิรัตน์อลังการ
เขนยขนนระคนบุษปปานรสทิพย์ประเทืองใจ
๏ เนืองแน่นอนงค์นิกรนาฏทะนุบาทบำเรอไท
เฉิดโฉมประโลมกมลใครยลพิศก็พิศวง
๏ แน่งนางประหนึ่งวรสุราง-คสะอางสะอาดองค์
ร่ายเรียงบำเรออมรทรงสุรภาพพิมานเมือง
๏ ราชูประโภคปริโภ-คพิพัฒนนองเนือง
สมบัติสมบุรณเรืองวรราชภิรมย์ชม
๏ ปราการก็ปรากฎสุเม-รุสิเนรุเปรียบสม
นางจรัลและโดรณสดม-ภอธึกทะงันเงย
๏ ป้อมค่ายระรายธุชประฎากสุประดิษฐ์ดำกลเกย
ในบานทวารวิมลเผยผิวหับสนิทเนียน
๏ หอยุทธ์ก็เย้ยริปุประยุทธ์อริยลณพาเหียร
เหือดเหี้ยมกำแหงหิริระเมียรมลฮึกอหังการ
๏ มากมวลอมาตย์นิกรเส-วกราชกำลังหาญ
พฤนทาพลากรแสะสารสุรฤทธิเริงรณ
๏ ผาสุกสนุกนครขัณ-ฑสิมาสุมณฑล
บำเทิงระเริงหทยชนทิชชาติประชุมชี
๏ แซ่ศัพท์ผสานดุริยสัง-คิตพาทยเภรี
สรบสิ่งประดาประดุจศรีสุรโลกชะลอลง
๏ ปางดลวสันตอุตุแสนจะเกษมณแดนดง
ดาษรุกข์ระดื่นดฤณบงระบุบัตรขจีงาม
๏ แถวธารละหานศิขรหลากชลหลั่งละลุ่มหลาม
มั่วมวลละมั่งมฤคตามวนสณฑ์สะเริงไพร
๏ ราชาพระปรารภประพาสพิศเพื่อภิรมย์ใน
แห่งห้องพระหาวนพิไลมิคล่าประลองกร
๏ โองการประกาศนิกรเส-วกโดยเสด็จดอน
มวลหมู่อมาตยสลอนพลถ้วนทหารหาญ
๏ ตรวจเตรียมพลากรพหลตะละตนก็เชี่ยวชาญ
ม้ารถและคชวรยานระแทะเทียบสะเทื้อนดิน
๏ พลคชก็คือสุรคเชน-ทรไอยราอินทร์
ชำนนชำนาญชำนะอริน-ทรล้วนชโลมมัน
๏ พลม้าพลาหกผยองดุจล่องจะลอยสวรรค์
พลรถก็ล้วนรถสุพรรณระแทะธุชปลิวปลาย
๏ พลราบก็รุ่นทหระว่องวยคล่องตะกอกาย
ล้วนโล่หโตมรก็ทายธนุแล่นกำแหงรณ
๏ สรรพศาสตรอาวุธทิพาวุธเทิดประเทืองมนตร์
สำหรับพเนจรผจญก็สะพราดสะพรึงเพรียง
๏ เริงร้องคะนองนิกรพลผิวเพิกไผทเอียง
เอิกอึงอุฆษสุรก็เพียงปฐพีถล่มลาญ
๏ ครั้งถึงสมัยมหุดิฤกษ์อดิเรกอุดมวาร
จอมราชก็ยาตรวนสถานทุรรัถยาดล
๏ แดนไพรพิศาลศิขรเขินทุมเนินพนาสนฑ์
ปักษาคณามฤคยลก็ยะยั่วยะยวนชม ฯ
             

อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
๏ ภาคพื้นพนารัญจรแสนสราญรมย์
เนินราบสลับสมพิศเพลินเจริญใจ
๏ โขดเขินศิรขรเขาณ ลำเนาพนาลัย
สูงลิ่วละลานนั-ยนพ้นประมาณหมาย
๏ ยอดมัวสลัวเมฆรุจิเรขเรียงราย
เลื่อมเลื่อมศิลาลายก็สลับระยับสี
๏ ขาบแสงประภัสสรนิลก้อนตระการดี
ขาวแม้นมณีมีรตรุ้งรำไพพรรณ
๏ ทอแสงผสานสายสุริย์ฉายก็ฉายฉัน
เหลืองเรื่ออุไรวรร-ณวิจิตรจำรูญ
๏ แง่งเงื้อมชะง่อนงามก็วะวามวิไลปูน
ปนรัตนไพฑูร-ยพิพิธประภากร
๏ ปานก้อนพระไกรลาสวรนาถมเหศร
ส้องเสพสถาพรสิริสุนทรารมณ์
๏ อวยพรพิพัฒน์พ้นภยเวทวราคม
นอกนี้่ฤเปรียบสมศิขรินทรงามงอน
๏ วุ้งเวิ้งชะวากผาฆนแผ่นศิลาสลอน
ช่องชานชโลทรชลเผ่นกระเซ็นสาย
๏ ปรอยปรอยประเล่ห์เห-มอุทกพะพร่างพราย
ซาบซ่านสราญกายกระอุร้อนก็ผ่อนซา
๏ ท่อธารละหานห้วยก็ระรวยระรินวา-
รีหลั่งถะถั่งมาบมิขาดผะผาดผัง
๏ ไม้ไล่สล้างชมขณะลมกระพือวัง-
เวงเสียงก็เสียดดังดุจซอผสานสาย
๏ แสนสาธรารมณ์จรชมก็ชวนสบาย
ใจหงอยก็ค่อยหายหฤหรรษเหิมหาญ
๏ เซิงสนสล้างพฤษ-ษพิลึกลดามาลย์
บงบุษบาบานระบุดอกระดาษไพร
๏ ฉุนฉมระงมฆานสุวมาลย์จรูงใจ
ส่งก้านตระการใบพิศล้วนพิไลพรรณ
๏ ริ้วริ้วพระพายพาสุรภีละเวงวัน
ผึ้งภุมรีสัญ-จรสูบสุเกสร
๏ ร้องร่อนวะว่อนเชยรสเรณุกำจร
เกลือกบุษบากรระกะกลีบกระหึ่มเสียง
๏ พรรณพฤกษทรงผลตะละต้นจะอ่อนเอียง
พวงย้อยระย้าเพียงจะเผด็จสะดวกดาย
๏ สุกเหลืองอร่ามลิ้มรสเลิศอร่อยหลาย
หลากหลากและมากมายบมิรู้จะรำพัน
๏ ไม้ใบตระกาลบัตรดุจจัดประจงสรร
สอดสีสลับกันระดะรุกขรายเรียง
๏ ชมทวยทิชาชาติก็ลิลาศประอรเอียง
แมกไม้จำเรียงเสียงเสนาะโสตสนั่นไพร
๏ แซ่ซ้องผสานสุน-ทรศัพทจับใจ
เพียงพาทยพิณไพ-เราะประโลมฤดีดี
๏ หลายเผ่าพนาเกียรณ์พิศเพี้ยนผสานสี
เคลียคู่ประจำปีมนรู้ภิรมย์ลาน
๏ แม่นกก็ปกโป-ดกป้อนผลาหาร
ปีกป้องประคองปานจะประเล้าประโลมเป็น
๏ ลิงค่างชะนีมีจลนีและนางเห็น
สายัณหย่ำเย็นก็ยะยั้วยะเยี้ยผล
๏ ยองย่องผยองเผ่นอิลเห็นกระหายมน
ไล่หมู่มฤคจนจะกระทั่งรโหฐาน
๏ ล่วงถิ่นกำเนิดองค์วรขันท์กุมารชาญ
หลงเชิงละเลิงพา-ฬมฤคเขม้นหมาย ฯ
             

โตฏกฉันท์ ๑๒
๏ ขณะนั้นอิศเรศพระประเวศวนผาย
หรุฐานสบายอิริยาบถบรร-
๏ พตเสตณมูลธก็พูนหฤหรรษ์
สุขุดมดรุวันวรเทพทวิองค์
๏ กะพระอัครอุมาสุรชายอนงค์
ศิวะเย้ายุพยงอรยั่วพระศุลี
๏ ศิวะแปลงวรรูปวิยหญิงยุวดี
พระอุมาพระก็มีสุมนัสนิยม
๏ ดรุสัตว์บริเวณพะพระเวทอุดม
สละเพศพิศสมศิวะเพศพระจำแลง
๏ อิลราชจรล่ามฤคาบมิแคลง
ลุสถานศิวะแปลงดนุแปลกนัยนา
๏ บมิเป็นอิลราชวิปลาสอิลา
คณะราชบริพา-รประดาจรดล
๏ มละเพศบุรุษดำริสุดจะพิกล
ยลแล้วก็ฉงนเอะประหลาดละซิเรา
๏ อิลเหลือจะตระหนกมนะหนักบมิเบา
กระอุแดดุจเอาสุรอัคนิลน ฯ
             

อีทิสังฉันท์ ๒๐
๏ เล็งไศลลำเนาพนัสดำบล
วิถีก็ทั่วธิราชธยลถนัดพลัน
๏ องค์อิศวรอุมาภิรมย์อรัญ
ชไมมเหศวร์ก็เหิมก็หรรษ์รโหฐาน
๏ เราชะล่าละลาบละล้วงก็ปาน
ฉะนี้แหละจึงประจักษ์วิการวิกลเป็น
๏ องค์อิลาก็คลาประณตพระเพ็ญ
สวัสดิ์ประสบพระเนตรพระเห็นก็กริ้วกราด
๏ เหม่อิลาชะล่าไฉนประพาส
บกลัวบเกรงกระทำอุอาจอหังการ์
๏ เราแหละสาปและสรรฉะนี้แหละสา
กะใจละเจ้าแน่ะนางอิลาจะทำไฉน ฯ
             

กมลฉันท์ ๑๒
๏ อิลโอนศิโรเพฐน์พจน์ขอขมาภัย
ศิวะทรงพิโรธในธกระทำกระลำพร
๏ บมิทรงประสาทโทษอิลโอดสำออยวอน
วรองค์อุมาอรอนุกูลกำลูนครัน
๏ เฉพาะองค์อิลาอวยพรอัฑฒเอาทัณฑ์
อิลอ่อนศิโรวัน-ทนน้อมคำนึงพร
๏ พจน์พร้อมสนองบาทสุรนาฎอุมาอร
เพราะอำนาจมเหศรกรุณาและปรานี
๏ เฉพาะเดือนจะดาลเพศยุพเรศกษัตรีย์
ศุภลักษณ์วรินทรี-ยพิลาสลออองค์
๏ คณะนางณแดนไตรจะพิไลลำเพาพงศ์
บมิเลออิลาทรงสิริโฉมประโลมลาน
๏ ผิวถ้วนกำหนดหมายวรกายก็แปลงปาน
ปฏิรูปบุราณกาลประลุเดือนก็เคลื่อนคลาย
๏ ศุภลักษณ์สลับมาสบมิอาจจะคงกาย
อรซ้ำกระหน่ำผายพจนารถเลอสรวง
๏ ขณะเป็นกษัตรีย์กิจที่กระทำปวง
บุรกาลก็ดาลดวงหฤทัยลืมเลือน
๏ ขณะคืนพระองค์จริงกิจหญิงบแม่นเหมือน
มนโมหะฟั่นเฟือนดุจใช่หทัยเดียว
๏ สุรพจน์เผด็จพรอิลค่อนกระสันเสียว
ศิระโอนอุมาเหลียวมุขลับอำลาคลา
๏ คณะสาวสะคราญผู้บริพารก็ห้อมมา
พิศราวกะดารากรล้อมบุหลันฉาย
๏ จรเวิ้งวนาวาสก็ระดาษดำเนินราย
ยุระเยื้องชำเลืองชายนยน์ชมผกามาลย์
๏ อรอันสนัดขับสุรศัพท์ประเลงลาน
วรแซ่ผสานขานรุกขเทพบำเทิงถวิล
๏ บทจรกระเจิงเจื่อนทุรเถื่อนผลากิณ
กรเก็บจะเพลินผินวรพักตร์ประสบสหาย
๏ ผลเผื่อเกษมเสพย์รสด้วยบเดียวดาย
จรดลลุแดนสายสระสลิลก็ยินดี ฯ
             

ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒
๏ สะอาดเอี่ยมประเปี่ยมน้ำสลอนส่ำสโรชมี
พบูบานผสานสีสล้างกลีบกุสุมสรรพ์
๏ สำแดงดวงดำรูเด่นประดับเบญจพิธพรรณ
พิโดรฉมระงมคันธรสรื่นบำเรอฆาน
๏ ภมรมั่วประทุมมาศมิรู้ขาดสถานธาร
ชะลอเอาละอองมาล-ยเมื้อมุ่งอำรุงรวง
๏ สลาบโรยก็หล่นลอยกระแสสร้อยสลายพวง
สะพราดพันธุปลาปวงประเนืองน่านเฉลียนนอง
๏ ฉวัดว่ายเฉวียนวนกระโดดพ่นละอองฟอง
ระเมียรมัจฉะคลอครองบคลาดคู่คระไลลอย
๏ ชะโดดุกกระดี่โดดสลาดโลดยะหยอยหยอย
กระเพื่อมน้ำพะพร่ำพรอยกระฉอกฉานกระฉ่อนชล
๏ กระสร้อยซ่าสวายซิวระรี่ริ้วละวาดวน
ประมวลมัจฉะแปมปนประหลาดเหลือจะรำพัน
๏ สถานพุธดาบสบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์
ตปาการประกอบกรรม์อุกฤษฏ์บ่มบำรุงบุญ
๏ อิลาแลกระแสใสสำราญในมโนสุน-
ทราอรจะผ่อนอุณห์อุทกอาบพระอินทรีย์
๏ พระนางพาคณานงค์เกษมสรงสุวารี
ละเลิงเล่นกระแสศรีสนานน้ำสนุกใจ
๏ กระโจมจ้วงกระจ๋อมแจ๋มแฉล้มแช่มชลาไหล
ฤษีซ่านสำนานนัย-นทอดทัศนานาง
๏ อิลาเลอพิลาสลักษณ์พิมลพักตรโสภางค์
จำเริญจิตบจืดจางประจักษ์เนตรประเจิดนวล
๏ เสน่ห์หนักสลักจิตกำเริบฤทธิเรรวน
พระพรหมจรรยรัญจวนจำนงแนบถนอมโฉม
๏ ตระบัดจรประจากห้วงละหานล่วงประลองโลม
สมรแม่เสมือนโสมสำรวยร่างสำอางค์องค์
๏ อำเภอพาลพธูพรรค์กระเจิงวันวิเวกดง
ประดาษพาฬพยัคฆ์ยงขยาดยิ่งสยองใจ
๏ จะเชิญนางณอาศรมสุขารมณ์นิทราศัย
รโหฐานสราญในวนาวาสสะอาดครัน
๏ อิลาเหล่าอนงค์ข้าสดับว้าประหวั่นขวัญ
ประนอมตามพระนักธรรม์ธสู่ถิ่นพนาศรม ฯ
             

มาลินีฉันท์ ๑๕
๏ พระพุธกมลชื่นชมเผยกถารม-
ภถานไป
๏ อนุชสถิตแดนใดนามสกุลไฉน
เสนอเรียม
๏ สมรอลก็อายเหนียมนิ่งเสงี่ยมเจียม
บเจรจา
๏ บมิจะวิทุนวงศาเมืองประจากมา
มิแจ้งจน
๏ พระพุธ ธ ก็ฉงนสน-เท่หถามพล
บ่พร่ำขาน
๏ อิสิอนุสรเล็งญานจึงประจักษ์การ-
ณเป็นไป ฯ
             

๑๐

อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒
๏ พลางพุธประภาษพจน์มธุรสชะลอฤทัย
ปลอบเปลื้องประเทืองใจบริพาลิลาอนงค์
๏ สูข้าประสาทสูจรสู่พนาระหง
เกษมแสนณแดนดงดุจในพระนันทวัน
๏ จงกินรีเป็นพิศเช่นสุรางค์สวรรค์
เหมห้องคุหาสน์บรร-พตลึงสราญภิรมย์
๏ พักเผือนผลาสา-ทรข้าอำนวยอุดม
จักพากินรสมสุขร่วมฤดีประคอง
๏ นางได้สดับอรรถสุมนัสนิยมสนอง
ครั้นนาฏอนงค์ผองพนสณฑ์สำนักสำนึง
๏ ลับพ้นลำพังดาบสพลางรำพันรำพึง
ร่วมอาสน์อิลารึงรสรักประจักษ์วิจล
๏ พรหมจรรย์กระเจิงล่มประลุพรหมภิภพบน
พ่ายพักตร์สุภณทนบมิไหวคระไลกระจาย
๏ กรรมร้อนบห่อนกรุ่นเพราะพิรุณประโปรยประปราย
กองเพลิงเถกิงกรายติณแห้งบแหนงบหนี
๏ ผาณิตผิชิดมดฤจะอดบอาจจะมี
แม่เหล็กฤเหล็กดีอยยั่วก็พัวก็พัน
๏ พื้นภพอำเภอภพก็ประสบเสมอสวรรค์
อยู่ชั่วนิรันดร์กัลป์อวสานประมาณประเมิน
๏ องค์อรอิลาสาทรแสนจะเพลิดเพลิน
ชมพุธชวนเชิญอภิบาลบำรุงบำเรอ
๏ คืนวันก็พลันเคลื่อนประลุเดือนประหลาดนะเออ
หลากลักษณ์อิลาเลออิลราชฤทธิรงค์ ฯ
             

๑๑

สัทธราฉัน ๒๑
๏ เออนี่เราล่ามฤคดงจรวนดรุพง
เผลอพระองค์หลงฉะนี้ไฉน
๏ สูอาศรมโอ้ประหลาดใจนิกรพลคระไล
ทิ้งดนูไปบ่รู้ตน
๏ เห็นแต่ท่านผู้แสวงผลวรพุธมุนิขวน
โปรดยุบลแจ้งประจักษ์ความ
๏ ดาบสปางได้สดับถามผิวจะพจนตาม
จริง ณ ยามนี้มิบังควร
๏ คงโศกเหลือแสนพิลาปครวญทุมนสอุระหวน
เราจะอำยวนยุบลลวง
๏ ดูราราชผองอมาตย์ปวงพหลพลทบวง
ทวยทหารหลวงประลัยลาญ
๏ โดยพ้องเหตุเหี้ยมมหันต์หาญฆนศิลปะทะราน
จึ่งพินาศปราณบเหลือหลง
๏ ตัวท่านพ้นภัยไฉนคงชิพิตจิรธำรง
แฝงพระอวค์วงวนาศรม
๏ ฟั่นเฟือนเลือนลืมเพราะอารมณ์วิปริตกระอุกรม
เดือดบได้สม-ประฤาดี
๏ อย่าทรงเศร้าโศกพิโยคมีทุมนสบมิดี
ส่ำสุเมธีติเตียนนัก
๏ อันเกิดมาเป็นสภาพลัก-ษณะมนุชก็จัก
ตายแหล่ะแน่นักนะราชา ฯ
             

๑๒

อุปชาติฉันท์ ๑๑
๏ พระอิลราชฟังพจน์พุธสำแดงมา
สุดดับระงับอาลยโศกพิโยคครวญ
๏ เสียดายทหารหาญรณชาญอมาตย์มวล
และเสวกาควรฤจะมามลายชนม์
๏ ดำรง ณ สัตย์มั่นและกตัญญุตามน
ใกล้ชิดสนิทตนตะละผู้ก็พึงใจ
๏ ตั้งแต่จะแลลับฤจะกลับประสบไฉน
นครก็จรไกลสละราษฎร์นิราศมา
๏ จะทุกข์ฤสุขดังดนุยังผดุงผะดา
จอมนาฏสนมผา-สุกใจไฉนมี
๏ ทุกเหล่าจะเร่าร้อนอุระข้อนและโศกี
มิรู้จะร้ายดีจรล่านิรารมย์
๏ มิวายสบายบานสุขศานต์เสน่ห์สนม
พรั่งพร้อมประนมคมคณะนาฏบำเรอเสนอ
๏ แรมเวียงนิเวศน์เนาพนเขาขนัดเฌอ
เคราะห์กรรมกระทำเออก็อเนจอนาถใจ
๏ พระทูลพระพุธดาบสข้าจะลาไคล
เวนราชโภไค-สุรย์แสนศฤงคาร
๏ แด่องค์พระโอรสและจะบทจรพนานต์
สำรวมภิรมย์ฌานตปะยุตโยคี
๏ พระพุธประภาษชวนธ จะด่วนคระไลหนี
เชิญองค์พระจงมีมิตรภาพผดุงกัน
๏ อาศรม ธ อาศัยกิจใดจะทรงสรรพ์
ก็จงประกอบกันตปะการสราญเทอญ
๏ พระอยู่ก็คู่เปลี่ยวขณะเหี่ยวก็หากเพลิน
อกเอ๋ยบเคยเดินพระจะดั้นอรัญไฉน
๏ ฟังพจน์พระพุธชวนธ ก็หวนมนาลัย
พำนักบำเพ็ญในวรพรตภาวนา
๏ พระหรหมจรรย์อันถิรชั้นพระพรหมา
สบช่องก็ปรองปรา-รภโชคชไมมน
๏ ชื่นชมพระหรหมจรรย์อภินันท์นิราจล
เจอะคราวมิชอบกลก็ประหลาดมิอาจรอ
๏ เพราะล่วงลำดับเดือนดนุเลือนอิลาลออ
นงเยาว์พะเน้าพะนออนุพนธ์พระสิทธา
๏ กลายกลับสลับกันก็นิรันตร์ระหว่างมา
ประดุจพระวาจาพระอุมาประสาทสรรพ์ ฯ
             

๑๓

             

๑๔

             

๑๕

             

เชิงอรรถ

ที่มา

[1]

[2]

[3]

[4]

[5]

[6]

เครื่องมือส่วนตัว