นิราศวัดเจ้าฟ้า
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 07:33, 9 กรกฎาคม 2552 โดย Admin (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: เณรพัด ( สุนทรภู่ ? )
บทประพันธ์
๏ เณรหนูพัดหัดประดิษฐ์คิดอักษร | |||
เป็นเรื่องความตามติดท่านบิดร | กำจัดจรจากนิเวศเชตุพน | ||
พอออกเรือเมื่อตะวันสายัณห์ย่ำ | ละอองน้ำค้างย้อยเป็นฝอยฝน | ||
ตะลึงเหลียวเปลี่ยวเปล่าเมื่อคราวจน | ไม่มีคนเกื้อหนุนกรุณา | ||
โอ้ธานีศรีอยุธย์มนุษย์แน่น | นับโกฏิแสนสาวแก่แซ่ภาษา | ||
จะหารักสักคนพอปนยา | ไม่เห็นหน้านึกสะอื้นฝืนฤทัย | ||
เสียแรงมีพี่ป้าหม่อมน้าสาว | ล้วนขาวขาวคำหวานน้ำตาลใส | ||
มายามยืดจืดเปรี้ยวไปเจียวใจ | เหลืออาลัยลมปากจะจากจร ฯ | ||
๏ ถึงวัดระฆังบังคมบรมธาตุ | แทบพระบาทบุษบงองค์อัปสร | ||
ไม่ทันลับกัปกัลป์พุทธันดร | พระด่วนจรสู่สวรรคครรไล | ||
ละสมบัติขัตติยาทั้งข้าบาท | โอ้อนาถนึกน่าน้ำตาไหล | ||
เป็นสูญลับนับปีแต่นี้ไป | เหลืออาลัยแล้วที่พระมีคุณ | ||
ถึงจนยากบากมาเป็นข้าบาท | ไม่ขัดขาดข้าวเกลือช่วยเกื้อหนุน | ||
ทรงศรัทธากล้าหาญในการบุญ | โอ้พระคุณขาดยศทั้งงดงาม | ||
แม้นตกยากพรากพลัดไปขัดข้อง | พัดกับน้องหนูตาบจะหาบหาม | ||
นี่จนใจในป่าช้าพนาราม | สุดจะตามเสด็จได้ดังใจจง | ||
ขออยู่บวชกรวดน้ำสุรามฤต | อวยอุทิศผลผลาอานิสงส์ | ||
สนองคุณพูนสวัสดิ์ขัตติย์วงศ์ | เป็นรถทรงสู่สถานวิมานแมน | ||
มีสุรางค์นางขับสำหรับกล่อม | ล้วนเนื้อหอมน้อมเกล้าอยู่เฝ้าแหน | ||
เสวยรมย์โสมนัสไม่ขัดแคลน | เป็นของแทนทานาฝ่าละออง | ||
พระคุณเอ๋ยเคยทำนุอุปถัมภ์ | ได้อิ่มหนำค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง | ||
แม้นทูลลามากระนี้ทั้งพี่น้อง | ไหนจะต้องตกยากลำบากกาย | ||
นี่สิ้นบุญทูลกระหม่อมจึงตรอมอก | ต้องระหกระเหินไปน่าใจหาย | ||
เห็นที่ปลงทรงสูญยังมูลทราย | แสนเสียดายดังจะดิ้นสิ้นชีวัน | ||
ทั้งหนูตาบกราบไหว้ร้องไห้ว่า | จะคมลาลับไปในไพรสัณฑ์ | ||
เคยเวียนเฝ้าเกล้าจุกให้ทุกวัน | สารพันพึ่งพาไม่อนาทร ฯ | ||
๏ ถึงปากง่ามนามบอกบางกอกน้อย | ยิ่งเศร้าสร้อยทรวงน้องดังต้องศร | ||
เหมือนน้อยทรัพย์ลับหน้านิราจร | ไปแรมรอนราวไพรใจรัญจวน | ||
เคยชมเมืองเรืองระยับจะลับแล้ว | ไปชมแถวทุ่งนาล้วนป่าสวน | ||
เคยดูดีพี่ป้าหน้านวลนวล | จะว่างเว้นเห็นล้วนแต่มอมแมม | ||
เคยชมชื่นรื่นรสแป้งสดสะอาด | จะชมหาดเห็นแต่จอกกับดอกแขม | ||
โอ้ใจจืดมืดเหมือนเมื่อเดือนแรม | ไม่เยื้อนแย้มกลีบกลิ่นให้ดิ้นโดย | ||
เสียดายดวงพวงผกามณฑาทิพย์ | เห็นลิบลิบแลชวนให้หวนโหย | ||
เพราะห่วงพุ่มภุมรินไม่บินโบย | จะร่วงโรยรสสิ้นกลิ่นผกา ฯ | ||
๏ ถึงบางพรมพรหมมีอยู่สี่พักตร์ | คนรู้จักแจ้งจิตทุกทิศา | ||
ทุกวันนี้มีมนุษย์อยุธยา | เป็นร้อยหน้าพันหน้ายิ่งกว่าพรหม | ||
โอ้คิดไปใจหายเสียดายรัก | เหมือนเกรียกจักแจกซีกกระผีกผม | ||
จึงเจ็บอกฟกช้ำระกำตรม | เพราะลิ้นลมล่อลวงจะช่วงใช้ ฯ | ||
๏ ถึงบางจากน้องไม่มีที่จะจาก | โอ้วิบากกรรมสร้างแต่ปางไหน | ||
เผอิญหญิงชิงชังน่าคลั่งใจ | จะรักใคร่เขาไม่มีปรานีเลย | ||
ถึงบางพลูพลูใบใส่ตะบะ | ถวายพระเพราะกำพร้านิจจาเอ๋ย | ||
แม้นมีใครใจบุญที่คุ้นเคย | จะได้เชยพลูจีบหมากดิบเจียน | ||
นี่จนใจได้แต่ลมมาชมเล่น | เปรียบเหมือนเช่นฉากฉายพอหายเหียน | ||
แม้นเห็นรักจักได้ตามด้วยความเพียร | ฉีกทุเรียนหนามหนักดูสักคราว ฯ | ||
๏ ถึงบางอ้อคิดจะใคร่ได้ไม้อ้อ | ทำแพนซอเสียงแจ้วเที่ยวแอ่วสาว | ||
แต่ยังไม่เคยเชยโฉมประโลมลาว | สุดจะกล่าวกล่อมปลอบให้ชอบใจ | ||
ถึงบางซ่อนซ่อนเงื่อนไม่เยื้อนแย้ม | ถึงหนามแหลมเหลือจะบ่งที่ตรงไหน | ||
โอ้บางเขนเวรสร้างไว้ปางใด | จึงเข็ญใจจนไม่มีที่จะรัก | ||
เมื่อชาติหน้ามาเกิดในเลิศโลก | ประสิทธิโชคชอบฤทัยทั้งไตรจักร | ||
กระจ้อยร่อยกลอยใจวิไลลักษณ์ | ให้สาวรักสาวกอดตลอดไป ฯ | ||
๏ ตลาดแก้วแล้วแต่ล้วนสวนสล้าง | เป็นชื่ออ้างออกนามตามวิสัย | ||
แม้นขายแก้วแววฟ้าที่อาลัย | จะซื้อใส่บนสำลีประชีรอง | ||
ประดับเรือนเหมือนหนึ่งเพชรสำเร็จแล้ว | ถนอมแก้วกลอยใจมิให้หมอง | ||
ไม่เหมือนนึกตรึกตราน้ำตานอง | เห็นแต่น้องหนูแนบแอบอุรา ฯ | ||
๏ ถึงวัดตั้งฝั่งสมุทรพระพุทธร้าง | ว่าท่านวางไว้ให้คิดปริศนา | ||
แม้นแก้ไขไม่ออกเอาที่ตอกตา | นึกก็น่าใคร่หัวเราะจำเพาะเป็น | ||
จะคิดมั่งยังคำที่ร่ำบอก | จะไปตอกที่ตรงไหนก็ไม่เห็น | ||
ดูลึกซึ้งถึงจะคิดก็มิดเม้น | พอยามเย็นยอแสงแฝงโพยม ฯ | ||
๏ ถึงวัดเขียนเหมือนหนึ่งเพียรเขียนอักษร | กลกลอนกล่าวกล่อมถนอมโฉม | ||
เดชะชักรักลักลอบปลอบประโลม | ขอให้โน้มน้อมจิตสนิทใน | ||
ถึงคลองบางขวางบางศรีทองมองเขม้น | ไม่แลเห็นศรีทองที่ผ่องใส | ||
แม้นทองคำธรรมดาจะพาไป | นี่มิใช่ศรีทองเป็นคลองบาง | ||
พอลมโบกโศกสวนมาหวนหอม | เหมือนโศกตรอมตรึกตรองมาหมองหมาง | ||
ถึงบางแวกแยกคลองเป็นสองทาง | เหมือนจืดจางใจแยกไปแตกกัน | ||
ตลาดขวัญขวัญฉันนี้ขวัญหาย | ใครเขาขายขวัญหรือจะซื้อขวัญ | ||
แม้นขวัญฟ้าหน้าอ่อนเหมือนท่อนจันทน์ | จะรับขวัญเช้าเย็นไม่เว้นวาง | ||
ถึงบางขวางขวางอื่นสักหมื่นแสน | ถึงต่างแดนดงดอนสิงขรขวาง | ||
จะตามไปให้ถึงห้องประคองคาง | แต่ขัดขวางขวัญความขามระคาย | ||
เห็นสวาทขาดทิ้งกิ่งสนัด | เป็นรอยตัดต้นสวาทให้ขาดสาย | ||
สวาทพี่นี้ก็ขาดสวาทวาย | แสนเสียดายสายสวาทที่ขาดลอย | ||
เห็นรักน้ำพร่ำออกทั้งดอกผล | ไม่มีคนรักรักมาหักสอย | ||
เป็นรักเปล่าเศร้าหมองเหมือนน้องน้อย | เที่ยวล่องลอยเรือรักจนหนักเรือ ฯ | ||
๏ ถึงบ้านบางธรณีแล้วพี่จ๋า | แผ่นสุธาก็ไม่ไร้ไม้มะเขือ | ||
เขากินหมูหนูพัดจะกัดเกลือ | ไม่ถ่อเรือแหหาปลาตำแบ | ||
ถึงปากเกร็ดเตร็ดเตร่มาเร่ร่อน | เที่ยวสัญจรตามระลอกเหมือนจอกแหน | ||
มาถึงเกร็ดเขตมอญสลอนแล | ลูกอ่อนแอ้อุ้มจูงพะรุงพะรัง | ||
ดูเรือนไหนไม่เว้นเห็นลูกอ่อน | ไม่หยุดหย่อนอยู่ไฟจนไหม้หลัง | ||
ไม่ยิ่งยอดปลอดเปล่าเหมือนชาววัง | ล้วนเปล่งปลั่งปลื้มใจมาไกลตา ฯ | ||
๏ พอออกคลองล่องลำแม่น้ำวก | เห็นนกหกเหินร่อนว่อนเวหา | ||
กระทุงทองล่องเลื่อนค่อยเคลื่อนคลา | ดาษดาดอกบัวขาวคลัวเคลีย | ||
นกกาน้ำดำปลากระสาสูง | เป็นฝูงฝูงเข้าใกล้มันไปเสีย | ||
นกยางขาวเหล่านกยางมีหางเปีย | ล้วนตัวเมียหมดสิ้นทั้งดินแดน | ||
ถึงเดือนไข่ไปลับแลเมืองแม่ม่าย | ขึ้นไข่ชายเขาโขดนับโกฏิแสน | ||
พอบินได้ไปประเทศทุกเขตแคว้น | คนทั้งแผ่นดินมิได้ไข่นกยาง | ||
โอ้นึกหวังสังเวชประเภทสัตว์ | ต้องขาดขัดคู่ครองจึงหมองหมาง | ||
เหมือนอกชายหมายมิตรคิดระคาง | มาอ้างว้างอาทะวาเอกากาย ฯ | ||
๏ ถึงบ้านลาวเห็นแต่ลาวพวกชาวบ้าน | ล้วนหูยานอย่างบ่วงเหมือนห่วงหวาย | ||
ไม่เหมือนลาวชาวกรุงที่นุ่งลาย | ล้วนกรีดกรายหยิบหย่งทรงสำอาง | ||
ถึงบางพูดพูดมากคนปากหมด | มีแต่ปดเป็นอันมากเขาถากถาง | ||
พี่พูดน้อยค่อยประคิ่นลิ้นลูกคาง | เหมือนหญิงช่างฉอเลาะปะเหลาะชาย ฯ | ||
๏ ถึงบางกระไนได้เห็นหน้าบรรดาพี่ | พวกนารีเรืออ้อยเที่ยวลอยขาย | ||
ดูจริตติดจะงอนเป็นมอญกลาย | ล้วนแต่งกายกันไรเหมือนไทยทำ | ||
แต่ไม่มีกิริยาด้วยผ้าห่ม | กระพือลมแล้วไม่ป้องปิดของขำ | ||
ฉันเตือนว่าผ้าแพรลงแช่น้ำ | อ้อยสองลำนั้นจะเอาสักเท่าไร | ||
เขารู้ตัวหัวร่อว่าพ่อน้อย | มากินอ้อยแอบแฝงแถลงไข | ||
รู้กระนี้มิอยากบอกมิออกไย | น่าเจ็บใจจะต้องจำเป็นตำรา ฯ | ||
๏ ถึงไผ่รอบขอบเขื่อนดูเหมือนเขียน | ชื่อวัดเทียนถวายอยู่ฝ่ายขวา | ||
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านใหม่ทำไร่นา | นางแม่ค้าขายเต่าสาวทึมทึก | ||
ปิดกระหมับจับกระเหม่าเข้ามินหม้อ | ดูมอซอสีสันเป็นมันหมึก | ||
ไม่เหมือนเหล่าชาวสวนหวนรำลึก | เมื่อไม่นึกแล้วก็ใจมิใคร่ฟัง ฯ | ||
๏ พอฟ้าคล้ำค่ำพลบเสียงกบเขียด | ร้องกรีดเกรียดเกรียวแซ่ดังแตรสังข์ | ||
เหมือนเสียงฆ้องกลองโหมประโคมวัง | ไม่เห็นฝั่งฟั่นเฟือนด้วยเดือนแรม | ||
ลำภูรายชายตลิ่งล้วนหิ่งห้อย | สว่างพรอยแพร่งพรายขึ้นปลายแขม | ||
อร่ามเรืองเหลืองงามวามวามแวม | กระจ่างแจ่มจับน้ำเห็นลำเรือ ฯ | ||
๏ ถึงย่านขวางบางทะแยงเป็นแขวงทุ่ง | ดูเวิ้งวุ้งหว่างละแวกล้วนแฝกเฝือ | ||
เห็นไรไรไม้พุ่มครุมครุมเครือ | เหมือนรูปเสือสิงโตรูปโคควาย | ||
ท่านบิดรสอนหนูให้รู้ว่า | มันผินหน้าออกนั้นกันฉิบหาย | ||
แม้นปากมันผันเข้าข้างเจ้านาย | จะล้มตายพรายพลัดเร่งตัดรอน | ||
จารึกไว้ให้เป็นทานทุกบ้านช่อง | ฉันกับน้องนี้ได้จำเอาคำสอน | ||
ดึกกำดัดสัตว์หลับประทับนอน | ที่วัดมอญเชิงรากริมปากคลอง | ||
ต้นไทรครึ้มงึ้มเงียบเซียบสงัด | พระพายพัดแผ้วผ่าวหนาวสยอง | ||
เป็นป่าช้าอาวาสปีศาจคะนอง | ฉันพี่น้องมิได้คลาดบาทบิดา | ||
ท่านนอนหลับตรับเสียงสำเนียงเงียบ | เย็นยะเยียบเยือกสยองพองเกศา | ||
เสียงผีผิวหวิวโหวยโหยวิญญาณ์ | ภาวนาหนาวนิ่งไม่ติงกาย | ||
บรรดาศิษย์บิดรที่นอนนอก | ผีมันหลอกลากปล้ำพลิกคว่ำหงาย | ||
ลุกขึ้นบอกกลอกกลัวทุกตัวนาย | มันสาดทรายกรวดโปรยเสียงโกรยกราว | ||
ขึ้นสั่นไทรไหวยวบเสียงสวบสาบ | เป็นเงาวาบหัวหกเห็นอกขาว | ||
หนูกลั่นกล้าคว้าได้รากไทรยาวู | หมายว่าสาวผมผีร้องนี่แน | ||
พอพระตื่นฟื้นกายค่อยคลายจิต | บรรดาศิษย์ล้อมข้างไม่ห่างแห | ||
ท่านห่มดองครองเคร่งไม่เล็งแล | ขึ้นบกแต่องค์เดียวดูเปลี่ยวใจ | ||
สำรวมเรียบเลียบรอบขอบป่าช้า | ภาวนาตามสงฆ์ไม่หลงใหล | ||
เห็นศพฝังบังสุกุลส่งบุญไป | เห็นแสงไฟรางรางสว่างเวียน | ||
ระงับเงียบเซียบเสียงสำเนียงสงัด | ปฏิพัทธ์พุทธคุณค่อยอุ่นเศียร | ||
บรรดาศิษย์คิดกล้าต่างหาเทียน | จำเริญเรียนรุกขมูลพูนศรัทธา | ||
อสุภธรรมกรรมฐานประหารเหตุ | หวนสังเวชว่าชีวังจะสังขาร์ | ||
อันอินทรีย์วิบัติอนัตตา | ที่ป่าช้านี่แลเหมือนกับเรือนตาย | ||
กลับหายกลัวมัวเมาไม่เข้าบ้าน | พระนิพพานเพิ่มพูนเพียงสูญหาย | ||
อันรูปเหมือนเรือนโรคให้โศกสบาย | แล้วต่างตายตามกันไปมั่นคง | ||
ค่อยคิดเห็นเย็นเยียบไม่เกรียบกริบ | ประสานสิบนิ้วนั่งดังประสงค์ | ||
พยายามตามจริตท่านบิตุรงค์ | สำรวมทรงศีลธรรมที่จำเจน | ||
ประจงจดบทบาทค่อยยาตรย่าง | ประพฤติอย่างโยคามหาเถร | ||
ประทับทุกรุกรอบขอบพระเมรุ | จนพระเณรในอารามตื่นจามไอ | ||
ออกจงกรมสมณาสมาโทษ | ร่มนิโรธน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส | ||
แผ่กุศลจนจบทั้งภพไตร | จากพระไทรแสงทองผ่องโพยม ฯ | ||
๏ เลยบางหลวงล่วงทางมากลางแจ้ง | ถึงบ้านกระแชงหุงจันหันฉันผักโหม | ||
ยังถือมั่นขันตีนี้ประโลม | ถึงรูปโฉมพาหลงไม่งงงวย | ||
พอเสียงฆ้องกองแซ่เขาแห่นาค | ผู้หญิงมากมอญเก่าสาวสาวสวย | ||
ร้องลำนำรำฟ้อนอ่อนระทวย | พากันช่วยเขาแห่ได้แลดู | ||
ถือขันตีทีนั้นก็ขันแตก | ทั้งศีลแทรกสูดออกกระบอกหู | ||
ฉันนี้เคราะห์เพราะนางห่มสีชมพู | พาความรู้แพ้รักประจักษ์จริง | ||
แค้นด้วยใจนัยนานิจจาเอ๋ย | กระไรเลยแล่นไปอยู่กับผู้หญิง | ||
ท่านบิดาว่ามันติดกว่าปลิดปลิง | ถูกจริงจริงจึงจดเป็นบทกลอน ฯ | ||
๏ ถึงต้องง้าวหลาวแหลนสักแสนเล่ม | ให้ติดเต็มตัวฉุดพอหลุดถอน | ||
แต่ต้องตาพาใจอาลัยวรณ์ | สุดจะถอนทิ้งขว้างเสียกลางคัน | ||
ทั้งหนูกลั่นนั้นคะนองจะลองทิ้ง | บอกให้หญิงรำรับขยับหัน | ||
ถ้าทิ้งถูกลูกละบาทประกาศกัน | เขารับทันเราก็ให้ใบละเฟื้อง | ||
นางน้อยน้อยพลอยสนุกลุกขึ้นพร้อม | งามละม่อมมีแต่สาวล้วนขาวเหลือง | ||
ใส่จริตกรีดกรายชายชำเลือง | ขยับเยื้องยิ้มแย้มแฉล้มลอย | ||
ต่างหมายมุ่งตุ้งติ้งทิ้งหมากดิบ | เขาฉวยฉิบเฉยหน้าไม่ราถอย | ||
ไม่มีถูกลูกดิ่งทั้งทิ้งทอย | พวกเพื่อนพลอยทิ้งบ้างห่างเป็นวา | ||
ฉันลอบลองสองลูกถูกจำหนับ | ถูกปุ่มปับปากกรีดหวีดผวา | ||
ร้องอยู่แล้วแก้วพี่มานี่นา | พวกมอญฮาโห่แห่ออกแซ่ไป ฯ | ||
๏ พอเลยนาคบากข้ามถึงสามโคก | เป็นคำโลกสมมติสุดสงสัย | ||
ถามบิดาว่าผู้เฒ่าท่านกล่าวไว้ | ว่าท้าวไทพระอู่ทองเธอกองทรัพย์ | ||
หวังจะไว้ให้ประชาเป็นค่าจ้าง | ด้วยจะสร้างบ้านเมืองเครื่องประดับ | ||
พอห่ากินสิ้นบุญไปสูญลับ | ทองก็กลับกลายสิ้นเป็นดินแดง | ||
จึงที่นี่มีนามชื่อสามโคก | เป็นคำโลกสมมติสุดแถลง | ||
ครั้งพระโกศโปรดปรานประทานแปลง | ที่ตำแหน่งมอญมาสามิภักดิ์ | ||
ชื่อปทุมธานีที่เสด็จ | เดือนสิบเบ็ดบัวออกทั้งดอกฝัก | ||
มารับส่งตรงนี้ที่สำนัก | พระยาพิทักษ์ทวยหาญผ่านพารา | ||
ได้รู้เรื่องเมืองปทุมค่อยชุ่มชื่น | ดูภูมิพื้นวัดบ้านขนานหน้า | ||
เห็นพวกชายฝ่ายมอญแต่ก่อนมา | ล้วนสักขาเขียนหมึกจารึกพุง | ||
ฝ่ายสาวสาวเกล้ามวยสวยสะอาด | แต่ขยาดอยู่ว่านุ่งผ้าถุง | ||
ทั้งห่มผ้าตาหรี่เหมือนสีรุ้ง | ทั้งผ้านุ่งนั้นก็อ้อมลงกรอมตีน | ||
เมื่อยกเท้าก้าวย่างสว่างแวบ | เหมือนฟ้าแลบแลผาดแทบขาดศีล | ||
นี่หากเห็นเป็นเด็กแม้นเจ๊กจีน | เจียนจะปีนซุ่มซ่ามไปตามนาง | ||
ชาวบ้านนั้นปั้นอีเลิ้งใส่เพิงพะ | กระโถนกระทะอ่างโอ่งกระโถงกระถาง | ||
เขาวานน้องร้องถามไปตามทาง | ว่าบางขวางหรือไม่ขวางพี่นางมอญ | ||
เขาเบือนหน้าว่าไม่รู้ดูเถิดเจ้า | จงถามเขาคนข้างหลังที่นั่งสอน | ||
ไม่ตอบปากบากหน้านาวาจร | คารมมอญมิใช่เบาเหมือนชาวเมือง ฯ | ||
๏ ถึงบ้านงิ้วงิ้วต้นแต่พ้นหนาม | ไม่งอกงามเหมือนแม่งิ้วที่ผิวเหลือง | ||
เมื่อแลพบหลบพักตร์ลักชำเลือง | ดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม | ||
มาลับนวลหวนให้เห็นไม้งิ้ว | เสียดายผิวพักตร์ผ่องจะหมองโฉม | ||
เพราะเสียรักหนักหน่วงน่าทรวงโทรม | ใครจะโลมเลียมรสช่วยชดเจือ ฯ | ||
๏ ถึงโพแตงคิดถึงแตงที่แจ้งจัก | ดูน่ารักรสชาติประหลาดเหลือ | ||
แม้นลอยฟ้ามาเดี๋ยวนี้ที่ในเรือ | จะฉีกเนื้อนั่งกลืนให้ชื่นใจ ฯ | ||
๏ ถึงเกาะหาดราชครามรำรามรก | เห็นนกหกหากินบินไสว | ||
เขาถากถางกว้างยาวทั้งลาวไทย | ทำนาไร่ร้านผักรั้วฟักแฟง | ||
สุดละเมาะเกาะกว้างสว่างโว่ง | แลตะโล่งลิบเนตรทุกเขตแขวง | ||
เห็นควันไฟไหม้ป่าจับฟ้าแดง | ฝูงนกแร้งร่อนตัวเท่าถั่วดำ | ||
โอ้เช่นนี้มีคู่มาดูด้วย | จะชื่นช่วยชมชิมได้อิ่มหนำ | ||
มายามเย็นเห็นแต่ของที่น้องทำ | เหลือจะรำลึกโฉมประโลมลาน ฯ | ||
๏ ถึงด่านทางบางไทรไขว่เฉลว | เห็นไพร่เลวหลายคนอยู่บนด่าน | ||
ตุ้งก่าตั้งนั่งชักควักน้ำตาล | คอยว่าขานขู่คนลงค้นเรือ | ||
ไม่เห็นของต้องห้ามก็ลามขอ | มะละกอกุ้งแห้งแตงมะเขือ | ||
ขอส้มสูกจุกจิกทั้งพริกเกลือ | จนชาวเรือเหลือระอาด่าในใจ | ||
แต่ลำเราเขาไม่ค้นมาพ้นด่าน | ดูภูมิฐานทิวชลาพฤกษาไสว | ||
ถึงอารามนามอ้างวัดบางไทร | ต้นไทรใหญ่อยู่ที่นั่นน้องวันทา | ||
เทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตพุ่ม | เพราะเคยอุ้มอุณรุทสมอุษา | ||
ใคร่น่าจูบรูปร่างเหมือนนางฟ้า | ช่วยอุ้มพามาให้เถิดจะเชิดชม | ||
ถนอมแนบแอบอุ้มนุ่มนุ่มนิ่ม | ได้แย้มยิ้มจวนจิตสนิทสนม | ||
นอนเอนหลังนั่งเล่นเย็นเย็นลม | ชมพนมแนวไม้รำไรราย | ||
ดูเหย้าเรือนเหมือนเขียนเตียนตลิบ | เห็นลิบลิบแลไปจิตใจหาย | ||
เขาปลูกผักฟักถั่วจูงวัวควาย | ชมสบายบอกแจ้งตำแหน่งนาม ฯ | ||
๏ ถึงเกาะเกิดเกิดสวัสดิ์พิพัฒน์ผล | อย่าเกิดคนติเตียนเป็นเสี้ยนหนาม | ||
ให้เกิดลาภราบเรียบเงียบเงียบงาม | เหมือนหนึ่งนามเกาะเกิดประเสริฐทรง | ||
ถึงเกาะพระไม่เห็นพระปะแต่เกาะ | แต่ชื่อเพราะชื่อพระสละหลง | ||
พระของน้องนี้ก็นั่งมาทั้งองค์ | ทั้งพระสงฆ์เกาะพระมาประชุม | ||
ขอคุณพระอนุเคราะห์ทั้งเกาะพระ | ให้เปิดปะตรุทองสักสองขุม | ||
คงจะมีพี่ป้ามาชุมนุม | ฉะอ้อนอุ้มแอบอุราเป็นอาจิณ ฯ | ||
๏ ถึงเกาะเรียงเคียงคลองเป็นสองแยก | ป่าละแวกวังราชประพาสสินธุ์ | ||
ได้นางห้ามงามพร้อมชื่อหม่อมอิน | จึงตั้งถิ่นที่เพราะเสนาะนาม | ||
หวังถวิลอินน้องละอองเอี่ยม | แสนเสงี่ยมงามพร้อมเหมือนหม่อมห้าม | ||
จะหายศอตส่าห์พยายาม | คงจะงามพักตร์พร้อมเหมือนหม่อมอิน | ||
อาลัยน้องตรองตรึกรำลึกถึง | หวังจะพึ่งผูกจิตคิดถวิล | ||
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน | ไปที่ถิ่นทำรังปะนังนอน | ||
บ้างแนบคู่ชูคอเข้าซ้อแซ้ | เสียงจอแจโจนจับสลับสลอน | ||
บ้างคลอเข้าเคล้าเคียงประเอียงอร | เอาปากป้อนปีกปกอกประคอง | ||
ที่ไร้คู่อยู่เปลี่ยวเที่ยวเดี่ยวโดด | ไม่เต้นโลดแลเหงาเหมือนเศร้าหมอง | ||
ลูกน้อยน้อยคอยแม่ชะแง้มอง | เหมือนอกน้องตาบน้อยกลอยฤทัย | ||
มาตามติดบิดากำพร้าแม่ | สุดจะแลเหลียวหาที่อาศัย | ||
เห็นลูกนกอกน้องนี้หมองใจ | ที่ฝากไข้ฝากผีไม่มีเลย | ||
ถึงเกาะเรียนเรียนรักก็หนักอก | แสนวิตกเต็มตรองเจียวน้องเอ๋ย | ||
เมื่อเรียนกันจนจบถึงกบเกย | ไม่ยากเลยเรียนได้ดังใจจง | ||
แต่เรียนรักรักนักก็มักหน่าย | รักละม้ายมิได้ชมสมประสงค์ | ||
ยิ่งรักมากพากเพียรยิ่งเวียนวง | มีแต่หลงลมลวงน่าทรวงโทรม ฯ | ||
๏ มาถึงวัดพนังเชิงเทิงถนัด | ว่าเป็นวัดเจ้าฟ้าพระกลาโหม | ||
ผนังก่อย่อมุมเป็นซุ้มโคม | ลอยโพยมเยี่ยมฟ้านภาลัย | ||
มีศาลาท่าน้ำดูฉ่ำชื่น | ร่มระรื่นรุกขาน่าอาศัย | ||
บิดาพร่ำร่ำเล่าให้เข้าใจ | ว่าพระใหญ่อย่างเยี่ยงที่เสี่ยงทาย | ||
ถ้าบ้านเมืองเคืองเข็ญจะเป็นเหตุ | ก็อาเพศพังหลุดทรุดสลาย | ||
แม้พาราผาสุกสนุกสบาย | พระพักตร์พรายเพราพริ้มดูอิ่มองค์ | ||
แต่เจ็กย่านบ้านนั้นก็นับถือ | ร้องเรียกชื่อว่าพระเจ้าปูนเถาก๋ง | ||
ด้วยบนบานการได้ดังใจจง | ฉลององค์พุทธคุณกรุณัง | ||
แล้วก็ว่าถ้าใครน้ำใจบาป | จะเข้ากราบเกรงจะทับต้องกลับหลัง | ||
ตรงหน้าท่าสาชลเป็นวนวัง | ดูพลั่งพลั่งพลุ่งเชี่ยวน่าเสียวใจ | ||
เข้าจอดเรือเหนือหน้าศาลาวัด | โสมนัสน้องไม่เสื่อมที่เลื่อมใส | ||
ขึ้นเดินเดียวเที่ยวหาสุมาลัย | จำเพาะได้ดอกโศกที่โคกนา | ||
กับดอกรักหักเด็ดได้เจ็ดดอก | พอใส่จอกจัดแจงแบ่งบุปผา | ||
ให้กลั่นมั่งทั้งบุนนาคเพื่อนยากมา | ท่านบิดาดีใจกระไรเลย | ||
ว่าโศกรักมักร้ายต้องพรายพลัด | ถวายวัดเสียถูกแล้วลูกเอ๋ย | ||
แล้วห่มดองครองงามเหมือนตามเคย | ลีลาเลยเลียบตะพานขึ้นลานทราย | ||
โอ้รินรินกลิ่นพิกุลมาฉุนชื่น | หอมแก้วรื่นเรณูไม่รู้หาย | ||
หอมจำปาหน้าโบสถ์สาโรชราย | ดอกกระจายแจ่มกลีบดังจีบเจียน | ||
ดูกุฎีวิหารสะอ้านสะอาด | รุกขชาติพุ่มไสวเหมือนไม้เขียน | ||
ดูภูมิพื้นรื่นราบด้วยปราบเตียน | แล้วเดินเวียนทักษิณพระชินวร | ||
ได้สามรอบชอบธรรมท่านนำน้อง | เข้าในห้องเห็นพระเจ้าเท่าสิงขร | ||
ต่างจุดธูปเทียนถวายขจายจร | ท่านบิดรได้ประกาศว่าชาตินี้ | ||
ทั้งรูปชั่วตัวดำทั้งต่ำศักดิ์ | ถวายรักไว้กับศีลพระชินสีห์ | ||
ต่อเมื่อไรใครรักมาภักดี | จะอารีรักตอบด้วยขอบคุณ | ||
แต่หนูกลั่นนั้นว่าจะหาสาว | ที่เล็บยาวโง้งโง้งเหมือนโก่งกระสุน | ||
ทั้งเนื้อหอมกล่อมเกลี้ยงเพียงพิกุล | กอดให้อุ่นอ่อนก็ว่าไม่น่าฟัง | ||
ฉันกับน้องมองแลดูแต่พระ | สาธุสะสูงกว่าฝาผนัง | ||
แต่พระเพลาเท่าป้อมที่ล้อมวัง | สำรวมนั่งปลั่งเปล่งเพ่งพินิจ | ||
ตัวของหนูดูจิ๋วเท่านิ้วพระหัตถ์ | โตถนัดหนักนักจึงศักดิ์สิทธิ์ | ||
ศิโรราบกราบก้มบังคมคิด | รำพึงพิษฐานในใจจินดา | ||
ขอเดชะพระกุศลที่ปรนนิบัติ | ที่หนูพัดพิศวาสพระศาสนา | ||
มาเคารพพบพุทธปฏิมา | เป็นมหาอัศจรรย์ในสันดาน | ||
ขอผลาอานิสงส์จงสำเร็จ | สรรเพชญ์พ้นหลงในสงสาร | ||
แม้นยังไม่ถึงที่พระนิฤพาน | ขอสำราญราคีอย่าบีฑา | ||
จะพากเพียรเรียนวิสัยแต่ไตรเพท | ให้วิเศษแสนเอกทั้งเลขผา | ||
แม้นรักใครให้คนนั้นกรุณา | ชนมายืนเท่าเขาพระเมรุ | ||
ขอรู้ทำคำแปลแก้วิมุติ | เหมือนพระพุทธโฆษามหาเถร | ||
มีกำลังดังมาฆะสามเณร | รู้จัดเจนแจ้งจบทั้งภพไตร | ||
อนึ่งเล่าเจ้านายที่หมายพึ่ง | ให้ทราบซึ่งสุจริตพิสมัย | ||
อย่าหลงลิ้นหินชาติขาดอาลัย | น้ำพระทัยทูลเกล้าให้ยาวยืน | ||
แล้วลาพระปฏิมาลีลาล่อง | เข้าในคลองสวนพลูค่อยชูชื่น | ||
ชมแต่ไม้ไผ่พุ่มดูชุ่มชื้น | หอมระรื่นลำดวนรัญจวนใจ | ||
โอ้ยามนี้มิได้พบน้ำอบสด | มาเชยรสบุปผาน้ำตาไหล | ||
ยิ่งเสียวทรวงง่วงเหงาเศร้าฤทัย | มาเหงื่อไคลคล่ำตัวต้องมัวมอม | ||
นิจจาเอ๋ยเคยบำรุงผ้านุ่งห่ม | เคยอบรมร่ำกลิ่นไม่สิ้นหอม | ||
เหมือนหายยศหมดรักมาปลักปลอม | จนซูบผอมผิวคล้ำระกำใจ | ||
จึงมาหายาอายุวัฒนะ | ตามได้ปะลายแทงแถลงไข | ||
เข้าลำคลองล่องเรือมาเหลือไกล | ถึงวัดใหญ่ชายทุ่งดูวุ้งเวิ้ง ฯ | ||
๏ พระเจดีย์ที่ยังอยู่ดูตระหง่าน | เป็นประธานทิวทุ่งดูสูงเทิ่ง | ||
ต้นโพธิ์ไทรไผ่พุ่มเป็นซุ้มเซิง | ขึ้นรอบเชิงชั้นล่างข้างเจดีย์ | ||
เสียดายนักหักทรุดชำรุดร้าง | ใครจะสร้างสูงเกินจำเริญศรี | ||
ท่านบิดาว่าถึงให้ใหญ่กว่านี้ | ก็ไม่มีผู้ใดว่าใหญ่โต | ||
ผู้หญิงย่านบ้านเราชาวบางกอก | เขาอมกลอกกลืนพระเสียอะโข | ||
แต่พระเจ้าเสาชิงช้าที่ท่าโพธิ์ | ก็เต็มโตชาววังเขายังกลืน | ||
ฉันกลัวบาปกราบพระอย่าปะพบ | ไม่ขอคบคนโขมดที่โหดหืน | ||
พอฟ้าคลุ้มพุ่มพฤกษ์ดูครึกครื้น | เงาทะมึนมืดพยับอับโพยม | ||
พายุฝนอนธการสะท้านทุ่ง | เป็นฝุ่นฟุ้งฟ้าฮือกระพือโหม | ||
น้ำค้างชะประเปรยเชยชโลม | ท่านจุดโคมขึ้นอารามต้องตามไป | ||
เที่ยวหลีกรกวกวนอยู่จนดึก | เห็นพุ่มพฤกษ์โพธิ์ทองที่ผ่องใส | ||
ตักน้ำผึ้งครึ่งจอกกับดอกไม้ | จุดเทียนใหญ่อย่างตำราบูชาเชิญ | ||
หวังจะปะพระปรอทที่ยอดยิ่ง | คะนึงนิ่งนึกรำพันสรรเสริญ | ||
สำรวมเรียนเทียนอร่ามงามจำเริญ | จนดึกเกินไก่ขันหวั่นวิญญาณ์ | ||
ทั้งเทียนดับศัพท์เสียงสำเนียงเงียบ | เย็นยะเยียบน้ำค่างพร่างพฤกษา | ||
เห็นแวววับลับลงตรงนัยนา | ปรอทมาสูบซึ่งน้ำผึ้งรวง | ||
ครั้นคลำได้ในกลางคืนก็ลื่นหลุด | ต้องจัดจุดธูปเทียนเวียนบวงสรวง | ||
ประกายพรึกดึกเด่นขึ้นเห็นดวง | ดังโคมช่วงโชติกว่าบรรดาดาว | ||
จักจั่นแจ้วแว่วหวีดจังหรีดหริ่ง | ปี่แก้วตริ่งตรับเสียงสำเนียงหนาว | ||
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างลงพร่างพราว | พระพายผ่าวพัดไหวทุกใบโพธิ์ ฯ | ||
๏ พอรุ่งแรกแปลกกลิ่นระรินรื่น | โอ้หอมชื่นช่อมะกอกดอกโสน | ||
เหมือนอบน้ำร่ำผ้าประสาโซ | สะอื้นโอ้อารมณ์ระทมทวี | ||
หวังจะปะพระปรอทที่ปลอดโปร่ง | ทั้งสามองค์เอามาไว้ก็ไพล่หนี | ||
เชิญพระธาตุราธนาทุกราตรี | อาบวารีทิพรสหมดมลทิน | ||
ที่ธุระปรอทเป็นปลอดเปล่า | ยังดูเลาลายแทงแสวงถวิล | ||
ท่านนอนอ่านลานใหญ่ฉันได้ยิน | ว่ายากินรูปงามอร่ามเรือง | ||
แม้นฟันหักจักงอกผมหงอกหาย | แก่กลับกลายหนุ่มเนื้อนั้นเรื่อเหลือง | ||
ตะวันออกบอกแจ้งเป็นแขวงเมือง | ท่านจัดเครื่องครบครันทั้งจันทน์จวง | ||
กับหนูกลั่นจันมากบุนนาคหนุ่ม | สักสิบทุ่มเดินมุ่งออกทุ่งหลวง | ||
มาตาลายปลายคลองถึงหนองพลวง | แต่ล้วนสวงสาหร่ายเห็นควายนอน | ||
นึกว่าผีตีฆ้องป่องป่องโห่ | มันผุดโผล่พลุ่งโครมถีบโถมถอน | ||
เถาสาหร่ายควายกลุ้มตะลุมบอน | ว่าผีหลอนหลบพัลวันเวียน | ||
พอเสียงร้องมองดูจึงรู้แจ้ง | เดินแสวงหาวัดฉวัดเฉวียน | ||
พอเช้าตรู่ดูทางมากลางเตียน | ถึงป่าเกรียนเกรียวแซ่จอแจจริง ฯ | ||
๏ กระจาบจับนับหมื่นดูดื่นดาษ | เหมือนตลาดเหลือหูเพราะผู้หญิง | ||
เหมือนโกรธขึ้งหึงหวงด้วยช่วงชิง | ชุมจริงจริงจิกโจดกระโดดโจน | ||
จนต้นไม้ใบงอกออกไม่รอด | ดูกรองกรอดเกรียมกร่องกรองกรอยโกร๋น | ||
ลมกระทั่งรังกระจาบระยาบโยน | ตัวมันโหนหวงคู่คอยขู่คน | ||
บ้างคาบแขมแซมรังเหมือนดังสาน | สอดชำนาญเหน็บฝอยเหมือนสร้อยสน | ||
จิกสะบัดจัดแจงสอดแซงซน | เปรียบเหมือนคนช่างสะดึงรู้ตรึงตรอง | ||
โอ้ว่าอกนกยังมีรังอยู่ | ได้เคียงคู่ค่ำเช้าไม่เศร้าหมอง | ||
แม้นร่วมเรือนเหมือนหนึ่งนกกกประคอง | แต่สักห้องหนึ่งก็เห็นจะเย็นใจ | ||
จนพ้นป่ามาถึงโป่งห้วยโข่งคุด | มันหมกมุดเหมือนเขาแจ้งแถลงไข | ||
เห็นตาลโดดโขดคุ่มกับพุ่มไม้ | มีทิวไผ่พงรายเหมือนลายแทง | ||
ท่านหลีกลัดตัดทางไปกลางทุ่ง | ตั้งแต่รุ่งไปจนแดดก็แผดแสง | ||
ได้พักเพลเอนนอนพอผ่อนแรง | ต่ออ่อนแสงสุริยาจึงคลาไคล | ||
แต่แรกดูครู่หนึ่งจะถึงที่ | เหมือนถอยหนีห่างเหินเดินไม่ไหว | ||
เหมือนเรื่องรักชักชิดสนิทใน | มากลับไกลเกรงกระดากต้องลากจูง ฯ | ||
๏ พอเย็นจวนด่วนเดินขึ้นเนินโขด | ถึงตาลโดดดินพูนเป็นมูลสูง | ||
เที่ยวเลียบชมลมเย็นเห็นนกยูง | เป็นฝูงฝูงฟ้อนหางที่กลางทราย | ||
ทำกรีดปีกหลีกเลี่ยงเข้าเคียงคู่ | คอยแฝงดูดังระบำรำถวาย | ||
กระหวัดวาดยาตรเยื้องชำเลืองกราย | เหมือนละม้ายหม่อมละครเมื่อฟ้อนรำ | ||
โอ้เคยเห็นเล่นงานสำราญรื่น | ได้แช่มชื่นเชยชมที่คมขำ | ||
มาห่างแหแลลับจับระบำ | เห็นแต่รำแพนนกน่าอกตรม | ||
ออกตรูไล่ไปสิ้นขึ้นบินว่อน | แฉลบร่อนเรียงตามดูงามสม | ||
เห็นเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกพนม | ระรื่นร่มรุกขชาติดาษเดียร | ||
พิกุลออกดอกหอมพะยอมย้อย | นกน้อยน้อยจิกจับเหมือนกับเขียน | ||
ในเขตแคว้นแสนสะอาดดังกวาดเตียน | ตลิบเลี่ยนลมพัดอยู่อัตรา | ||
สารภีที่ริมโบสถ์สาโรชร่วง | มีผึ้งรวงรังสิงกิ่งพฤกษา | ||
รสเร้าเสาวคนธ์สุมณฑา | ภุมราร่อนร้องละอองนวล | ||
โอ้บุปผาสารภีส่าหรีรื่น | เป็นที่ชื่นเชยถนอมด้วยหอมหวน | ||
เห็นมาลาอาลัยใจรัญจวน | เหมือนจะชวนเชษฐาน้ำตากระเด็น ฯ | ||
๏ โอ้ยามนี้ที่ตรงนึกรำลึกถึง | มาเหมือนหนึ่งใจจิตที่คิดเห็น | ||
จะคลอเคียงเรียงตามเมื่อยามเย็น | เที่ยวเลียบเล่นแลเพลินจำเริญตา | ||
โบสถ์วิหารฐานบัทม์ยังมีมั่ง | เชิงผนังหนาแน่นด้วยแผ่นผา | ||
สงสารสุดพุทธรัตน์ปฏิมา | พระศิลาแลดูเป็นบูราณ | ||
อุโบสถหมดหลังคาฝาผนัง | พระเจ้านั่งอยู่แต่องค์น่าสงสาร | ||
ด้วยเรื้อร้างสร้างสมมานมนาน | แต่โบราณเรื่องพระเจ้าตะเภาทอง | ||
มาเที่ยวเล่นเห็นหินบนดินโขด | เดี่ยวสันโดษดังสำลีไม่มีหมอง | ||
จึงจัดช่างสร้างอารามตามทำนอง | ทรงจำลองลายหัตถ์เป็นปฏิมา | ||
รูปพระเจ้าเท่าองค์แล้วทรงสาป | ให้อยู่ตราบศักราชพระศาสนา | ||
พอฤๅษีสี่องค์เหาะตรงมา | ถวายยาอายุวัฒนะ | ||
เธอไม่อยู่รู้ว่าหลงในสงสาร | ซ้ำให้ทานแท่งยาอุตสาหะ | ||
ใส่ตุ่มทองรองไว้ที่ใต้พระ | ใครพบปะเปิดได้เอาไปกิน | ||
ช่วยสร้างโบสถ์โขดเขื่อนให้เหมือนเก่า | นามนั้นเขาเขียนแจ้งที่แท่งหิน | ||
วัดเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ | ให้ทราบสิ้นสืบสายเพราะลายแทง | ||
เป็นตำรามาแต่เหนือท่านเชื่อถือ | ดูหนังสือเสาะหาอุตส่าห์แสวง | ||
มาพบปะจะได้ขุดก็สุดแรง | ด้วยดินแข็งเขาประมูลด้วยปูนเพชร | ||
ถึงสิ่วขวานผลาญพะเนินไม่เยินยู่ | เห็นเหลือรู้ที่จะทำให้สำเร็จ | ||
แต่จะต้องลองตำรากาลเม็ด | เผื่อจะเสร็จสมถวิลได้กินยา ฯ | ||
๏ พอเย็นรอนดอนสูงดูทุ่งกว้าง | วิเวกวางเวงจิตทุกทิศา | ||
ลิงโลดเหลียวเปลี่ยวใจนัยนา | เห็นแต่ฟ้าแฝกแขมขึ้นแซมแซง | ||
ดูกว้างขวางว่างโว่งตะโล่งลิ่ว | ไม่เห็นทิวที่สังเกตในเขตแขวง | ||
สุริยนสนธยาท้องฟ้าแดง | ยิ่งโรยแรงรอนรอนอ่อนกำลัง | ||
โอ้แลดูสุริยงจะลงลับ | มิใคร่จะดับดวงได้อาลัยหลัง | ||
สลดแสงแฝงรถเข้าบดบัง | เหมือนจะสั่งโลกาให้อาลัย | ||
แต่คนเราชาววังทั้งทวีป | มาเร็วรีบร้างมิตรพิสมัย | ||
ไม่รอรั้งสั่งสวาทประหวาดใจ | โอ้อาลัยแลลับวับวิญญาณ์ | ||
ยิ่งเย็นฉ่ำน้ำค้างว่างวิเวก | เป็นหมอกเมฆมืดมิดทุกทิศา | ||
แสนแสบท้องต้องเก็บตะโกนา | นึกระอาออกนามเมื่อยามโซ | ||
ทั้งหนูกลั่นจันมากบุนนาคน้อย | ช่วยกันสอยเก็บหักไว้อักโข | ||
พอเคี้ยวฝาดชาติชั่วตัวตะโก | แต่ยามโซแสบท้องก็ต้องกลืน | ||
พิกุลต้นผลห่ามอร่ามต้น | ครั้นกินผลพาเลี่ยนให้เหียนหืน | ||
ชั่งฝาดเฝื่อนเหมือนจะตายต้องคายคืน | ทั้งขมขื่นแค้นคอไม่ขอกิน | ||
ท่านบิดรสอนสั่งให้ตั้งจิต | โปรดประสิทธิ์สิกขารักษาศิล | ||
เข้าร่มพระมหาโพธิบนโขดดิน | ระรื่นกลิ่นกลางคืนค่อยชื่นใจ | ||
เหมือนกลิ่นกลั่นจันทน์เจือในเนื้อหอม | แนบถนอมสนิทจิตพิสมัย | ||
เสมอหมอนอ่อนอุ่นละมุนละไม | มาจำไกลกลอยสวาทอนาถนอน ฯ | ||
๏ โอ้ยามนี้มิได้เชยเหมือนเคยชื่น | ทุกค่ำคืนขาดประทิ่นกลิ่นอัปสร | ||
หอมพิกุลฉุนใจอาลัยวอน | พิกุลร่อนร่วงหล่นลงบนทรวง | ||
ยิ่งเสียวเสียวเฉียวฉุนพิกุลหอม | เคยถนอมเสน่ห์หมายไม่หายหวง | ||
โอ้ดอกแก้วแววฟ้าสุดาดวง | มิหล่นร่วงลงมาเลยใคร่เชยชิม | ||
เย็นระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำด้วยน้ำค้าง | ลงพร่างพร่างพรายพร้อยย้อยหยิมหยิม | ||
ยิ่งฟั่นเฟือนเหมือนสมรมานอนริม | ให้เหงาหงิมง่วงเงียบเซียบสำเนียง | ||
เสนาะดังจังหรีดวะหวีดแว่ว | เสียงแจ้วแจ้วจักจั่นสนั่นเสียง | ||
เสียงหริ่งหริ่งกิ่งไทรเรไรเรียง | เสียวสำเนียงนอนแลเห็นแต่ดาว | ||
จนดึกดื่นรื่นเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว | หนาวดอกงิ้วงิ้วต้นให้คนหนาว | ||
แม้นงิ้วงามนามงิ้วเล็บนิ้วยาว | จะอุ่นราวนวมแนบนั่งแอบอิง | ||
ทั้งสี่นายหมายว่ากินยาแล้ว | จะผ่องแผ้วพากันเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | ||
เดชะยาน่ารักประจักษ์จริง | ขอให้วิ่งตามฉาวทั้งด้าวแดน | ||
นากนั้นว่าอายุอยู่ร้อยหมื่น | จะได้ชื่นชมสาวสักราวแสน | ||
ไม่รู้หมดรสชาติไม่ขาดแคลน | ฉันอายแทนที่ครวญถึงนวลนาง | ||
ทั้งหนูกลั่นนั้นว่าเมื่อเรือล่องกลับ | จะแวะรับนางสิบสองไม่หมองหมาง | ||
แม่เอวอ่อนมอญรำล้วนสำอาง | จะขวางขวางไปอย่างไรคงได้ดู | ||
สมเพชเพื่อนเหมือนหนึ่งบ้าประสาหนุ่ม | แต่ล้วนลุ่มหลงเหลือจนเบื่อหู | ||
จนพระเมินเดินเวียนถือเทียนชู | เที่ยวส่องดูสีมาบรรดามี | ||
ที่ผุพังยังแต่ตรุบรรจุธาตุ | ขาวสะอาดอรหัตจำรัสศรี | ||
อาราธนามาไว้สิ้นด้วยยินดี | อัญชลีแล้วก็นั่งระวังภัย | ||
น้ำค้างพรมลมเรื่อยเฉื่อยเฉื่อยฉิว | ใบโพธิ์ปลิวแพลงพลิกริกริกไหว | ||
บ้างร่วงหล่นวนว่อนร่อนไรไร | ด้วยแสงไฟรางรางสว่างตา ฯ | ||
๏ จนดึกดื่นรื่นรมลมสงัด | ดึกกำดัดดาวสว่างพร่างพฤกษา | ||
เหมือนเสียงโห่โร่หูข้างบูรพา | กฤษฎาได้ฤกษ์เบิกพระไทร | ||
สายสิญจน์วงลงยันต์กันปีศาจ | ธงกระดาษปักปลิวหวิวหวิวไหว | ||
ข้าวสารทรายปรายปราบกำราบไป | ปักเทียนชัยฉัตรเฉลิมแล้วเจิมจันทน์ | ||
จุดเทียนน้อยร้อยแปดนั้นปักรอบ | ล้อมเป็นขอบเขตเหมือนหนึ่งเขื่อนขัณฑ์ | ||
มนต์มหาวาหุดีพิธีกรรม์ | แก้อาถรรพณ์ถอนฤทธิ์ที่ปิดบัง | ||
แล้วโรยหินดินดำคว่ำหอยโข่ง | จะเปิดโป่งปูนเพชรเป็นเคล็ดขลัง | ||
พอปักธงลงดินได้ยินดัง | สำเนียงตังตึงเปรี้ยงแซ่เสียงคน | ||
ข้างเทียนดับกลับกลัวให้มัวมืด | พยุฮึดฮือมาเป็นห่าฝน | ||
ถูกลูกเห็บเจ็บแสบแปลบสกนธ์ | เหลือจะทนทานลมลงก้มกราน | ||
เสียงเกรียวกราววาววามโพลงพลามพลุ่ง | สะเทือนทุ่งที่บนโขดโบสถ์วิหาร | ||
กิ่งโพธิ์โผงโกร่งกร่างลงกลางลาน | สาดข้าวสารกรากกรากไม่อยากฟัง | ||
ทั้งฟ้าร้องก้องกึกพิลึกลั่น | อินทรีย์สั่นซบฟุบเหมือนทุบหลัง | ||
สติสิ้นวิญญาณ์ละล้าละลัง | สู่ภวังค์วุบวับเหมือนหลับไป | ||
เป็นวิบัติอัศจรรย์มหันตเหตุ | ให้อาเพศเพื่อจะห้ามตามวิสัย | ||
ทั้งพระพลอยม่อยหลับระงับไป | แสงอุทัยรุ่งขึ้นจึงฟื้นกาย | ||
เที่ยวหาย่ามตามหาทั้งผ้าห่ม | มันตามลมลอยไปข้างไหนหาย | ||
ไม่พบเห็นเป็นน่าระอาอาย | จนเบี่ยงบ่ายบิดาจะคลาไคล | ||
ท่านห่มดองครองผ้าอุกาพระ | คารวะวันทาอัชฌาสัย | ||
ถวายวัดตัดตำราไม่อาลัย | ขออภัยพุทธรัตน์ปฏิมา | ||
เหมือนรู้ความยามโศกด้วยโรคร้าย | จึงตามลายลัดแลงแสวงหา | ||
จะใคร่เห็นเช่นเขาบอกดอกจึงมา | มีตำราแล้วก็ต้องทดลองดู | ||
ไม่รื้อร้างง้างงัดไม่คัดขุด | เป็นแต่จุดเทียนเบิกฤกษ์ราหู | ||
ขอคุณพรตทศธรรมช่วยค้ำชู | ไม่เรียนรู้รูปงามไม่ตามลาย | ||
มาเห็นฤทธิ์กฤษฎาอานุภาพ | ก็เข็ดหลาบลมพาตำราหาย | ||
ได้กรวดน้ำคว่ำขันจนวันตาย | ให้ภูตพรายไพรโขมดที่โขดดิน | ||
ทั้งเจ้าทุ่งกรุงทวาเทพารักษ์ | ซึ่งพิทักษ์ที่พระยาคูหาหิน | ||
พระเจ้าฟ้าอากาศนาถนรินทร์ | ซึ่งสร้างถิ่นที่วัดพระปฏิมา | ||
จงพ้นทุกข์สุโขอโหสิ | ไปจุติตามชาติปรารถนา | ||
ทั้งเซิงไทรไผ่โพธิ์ตะโกนา | ฉันขอลาแล้วเจ้าคะหม่อมตะโก | ||
ถึงแก่งอมหอมกลิ่นยังกินฝาด | แต่คราวขาดคิดรักเสียอักโข | ||
ทั้งพิกุลฉุนกลิ่นจงภิญโญ | เสียดายโอ้อางขนางจะห่างไกล | ||
ออกเดินทุ่งมุ่งหมายพอบ่ายคล้อย | ไม่ตามรอยแรกมาหญ้าไสว | ||
จนจวนค่ำย่ำเย็นเห็นไรไร | สังเกตไม้หมายทางมากลางคืน | ||
ต้องบุกรกวกหลงลุยพงแฝก | อุตส่าห์แหวกแขมคาสู้ฝ่าฝืน | ||
มาตามลายหมายจะลุอายุยืน | ผ้าห่มผืนหนึ่งไม่ติดอนิจจัง | ||
เจ้าหนูกลั่นนั้นว่าเคราะห์เสียเพราะหอม | เหมือนทิ้งหม่อมเสียทีเดียวเดินเหลียวหลัง | ||
จะรีบไปให้ถึงเรือเหลือกำลัง | ครั้นหยุดนั่งหนาวใจจำไคลคลา | ||
จนรุ่งรางทางเฟื่อนไม่เหมือนเก่า | ต้องเดินเดาดั้นดัดจนขัดขา | ||
จนเที่ยงจึงถึงเรือเหลือระอา | อายตามาตาแก้วที่แจวเรือ | ||
เขาหัวเราะเยาะว่าสาธุสะ | เครื่องอัฏฐะที่เอาไปช่างไม่เหลือ | ||
พอมืดมนฝนคลุ้มลงครุมเครือ | ให้ออกเรือรีบล่องออกท้องคุ้ง | ||
จะเลยตรงลงไปวัดก็ขัดข้อง | ไม่มีของขบฉันจังหันหุง | ||
ไปพึ่งบุญคุณพระยารักษากรุง | ท่านบำรุงรักพระไม่ละเมิน | ||
ทั้งเพลเช้าคาวหวานสำราญรื่น | ต่างชุ่มชื่นชวนกันสรรเสริญ | ||
ทั้งสูงศักดิ์รักใคร่ให้เจริญ | อายุเกินกัปกัลป์พุทธันดร | ||
ให้ครองกรุงฟุ้งเฟื่องเปรื่องปรากฏ | เกียรติยศอยู่ตลอดอย่าถอดถอน | ||
ท่านอารีมีใจอาลัยวอน | ถึงจากจรใจจิตยังคิดคุณ | ||
มาทีไรได้นิมนต์ปรนนิบัติ | สารพัดแผ่เผื่อช่วยเกื้อหนุน | ||
ต่างชื่นช่วยอวยกุศลผลบุญ | สนองคุณเจ้าพระยารักษากรุง ฯ | ||
๏ เมื่อกราบลาคลาเคลื่อนออกเลื่อนล่อง | เห็นหน้าน้องนามหุ่นนั่งชุนถุง | ||
ทั้งผัดหน้าทาขมิ้นส่งกลิ่นฟุ้ง | บำรุบำรุงรูปงามอร่ามเรือง | ||
ที่แพรายหลายนางสำอางโฉม | งามประโลมเปล่งปลั่งอลั่งเหลือง | ||
ขมิ้นเอ๋ยเคยใช้แต่ในเมือง | มาฟุ้งเฟืองฝ่ายเหนือทั้งเรือแพ | ||
พวกโพงพางนางแม่ค้าขายปลาเต่า | จับกระเหม่ามิได้เหลือชั้นเรือแห | ||
จะล่องลับกลับไปอาลัยแล | มาถึงแพเสียงนกแก้วแจ้วเจรจา | ||
เจ้าของขาวสาวสอนชะอ้อนพลอด | แวะมาจอดแพนี้ก่อนพี่จ๋า | ||
น่ารับขวัญฉันนี่ร้องว่าน้องลา | ก็เลยว่าสาวกอดฉอดฉอดไป ฯ | ||
๏ โอ้นกเอ๋ยเคยบ้างหรืออย่างพลอด | นางสาวสาวเขาจะกอดให้ที่ไหน | ||
แต่น้องมีพี่ป้าที่อาลัย | ท่านยังไม่ช่วยกอดแกล้งทอดทิ้ง | ||
นึกก็พลอยน้อยใจถึงไม่กอด | หนาวก็ทอดเตาไว้ก่อไฟผิง | ||
ไม่เรียกเป็นเช่นนกแก้วแล้วจริงจริง | จะสู้นิ่งหนาวทนอยู่คนเดียว | ||
ได้เด็ดรักหักใจมาในน้ำ | ถึงพบลำสาวแส้ไม่แลเหลียว | ||
ประหลาดเหลือเรือวิ่งจริงจริงเจียว | มาคืนเดียวก็ได้หยุดถึงอยุธยา | ||
จึงจดหมายรายเรื่องที่เคืองเข็ญ | ไปเที่ยวเล่นลายแทงแสวงหา | ||
เห็นสิ่งไรในจังหวัดรัถยา | ได้จดมาเหมือนหนึ่งมีแผนที่ไว้ | ||
ไม่อ่อนหวานขานเพราะเสนาะโสต | ด้วยอายโอษฐ์มิได้อ้างถึงนางไหน | ||
ที่เขามีที่จากฝากอาลัย | ได้ร่ำไรเรื่องหญิงจึงพริ้งเพราะ | ||
นี่กล่าวแกล้งแต่งเล่นเพราะเป็นม่าย | เที่ยวเร่ขายคอนเรือมะเขือเปราะ | ||
คิดคะนึงถึงตัวน่าหัวเราะ | เกือบกะเทาะหน้าแว่นแสนเสียดาย ฯ | ||
๏ นารีใดไร้รักอย่าหนักหน่วง | จะโรยร่วงรกเรี้ยวแห้งเหี่ยวหาย | ||
ที่เมตตาอยู่ก็อยากจะฝากกาย | อย่าหมิ่นชายเชิญตรึกให้ลึกซึ้ง | ||
เหมือนภุมรินบินหาซึ่งสาโรช | ถึงร้อยโยชน์แย้มกลิ่นคงบินถึง | ||
แต่ดอกไม้ไทท้าวในดาวดึงษ์ | ไม่พ้นซึ่งพวกหมู่แมลงภู่ชม | ||
เช่นกระต่ายกายสิทธิ์นั้นผิดเพื่อน | ขึ้นแต้มเดือนได้จนชิดสนิทสนม | ||
เสน่หาอาลัยใจนิยม | จะใคร่ชมเช่นกระต่ายไม่วายตรอม | ||
แต่เกรงเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มแจ้ง | สุดจะแฝงฝากเงาเฝ้าถนอม | ||
ขอเดชะจะได้พึ่งให้ถึงจอม | ขอให้น้อมโน้มสวาทอย่าคลาดคลา | ||
ไม่เคลื่อนคลายหน่ายแหนงจะแฝงเฝ้า | ให้เหมือนเงาตามติดขนิษฐา | ||
ทุกค่ำคืนชื่นชุ่มพุ่มผกา | มิให้แก้วแววตาอนาทร | ||
มณฑาทิพย์กลีบบานตระการกลิ่น | ภุมรินหรือจะร้างห่างเกสร | ||
จงทราบความตามใจอาลัยวอน | เดชะกลอนกล่าวปลอบให้ตอบคำ | ||
จะคอยฟังดังคอยสอยสวาท | แม้นเหมือนมาดหมายจะชิมให้อิ่มหนำ | ||
ถ้าครั้งนี้มิได้เยื้อนยังเอื้อนอำ | จะต้องคร่ำคร่าเปล่าแล้วเราเอย ฯ | ||