บทละครพูดเรื่à¸à¸‡à¸«à¸±à¸§à¹ƒà¸ˆà¸™à¸±à¸à¸£à¸š
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว
บทประพันธ์
ตัวละคร
พวกเรา | |||
พระภิรมย์วรากร นอกราชการ อายุประมาณ ๕๐ ปี | |||
นายสวิง อายุ ๑๘ ปี} | |||
นายสวาย อายุ ๑๗ ปี} บุตร พระภิรมย์วรากร | |||
นายสวัสดิ์ อายุ ๑๖ ปี} | |||
นายกองโท พระยาวิสูตรสงคราม สมุหเทศาภิบาล ผู้สำเร็จราชการมณฑลหัสดินบุรี ผู้บังคับการเสือป่าหัสดินบุรี | |||
นายหมวดโท หลวงมณีราษฎร์บำรุง นายอำเภอเมืองมณีบูรณ์ ผู้บังคับกองหมวดที่ ๑ กองร้อยมณีบูรณ์ (ภายหลังเป็นผู้บังคับกอง) | |||
นายหมวดตรี นายอิน ผู้ช่วยราชการเมืองมณีบูรณ์ ผู้บังคับหมวดที่ ๒ กองร้อยมณีบูรณ์ | |||
นายหมู่เอก หลวงมนูธรรมธุราธร ผู้พิพากษาศาลเมืองมณีบูรณ์ ประจำหมวดที่ ๑ กองร้อยมณีบูรณ์ (ภายหลังเป็นผู้บังคับหมวด) | |||
นายหมู่เอก เทพ คหบดี ประจำกองร้อยมณีบูรณ์ | |||
นายหมู่โท ขุนรัตนแพทย์ แพทย์ประจำเมืองมณีบูรณ์ | |||
ราชบุรุษ สุดใจ ครูใหญ่โรงเยนมัธยมมณีบูรณ์ ผู้กำกับกองลูกเสือที่ ๑๑ | |||
นายหมู่ พร ผู้บังคับหมู่ที่ ๔ กองลูกเสือที่ ๑๑ | |||
ลูกเสือโท นายคำ กองลูกเสือที่ ๑๑ | |||
นายร้อยเอก หลวงเรืองฤทธิราวี ผู้บังคับกองร้อยที่ ๔ กรมทหารราบที่ ๒๙ | |||
อ้ายสี บ่าวพระภิรมย์วรากร | |||
คนกลาง | |||
นายซุ่นเบ๋ง นักเรียนกฎหมาย พี่ของเน้ยภรรยาน้อยพระภิรมย์วรากร | |||
พวกข้าศึก | |||
ผู้บังคับการทหารข้าศึก | |||
ปลัดกรมทหารข้าศึก | |||
นายร้อยตรีกองทหารข้าศึก | |||
นายทหารนักบินกองทหารข้าศึก | |||
ชุดที่ ๑
ฉาก ห้องรับแขก บ้านพระภิรมย์วรากร ที่เมืองมณีบูรณ์ มณฑลหัสดินบุรี เป็นห้องในเรือนตึกอย่างเก่าๆ ด้านหลังมีประตูเปิดออกไปเฉลียง ต่อเฉลียงไปมีสวน ด้านขวามีหน้าต่าง ด้านซ้ายมีประตูสำหรับเข้าไปภายในเรือน เครื่องตกแต่งมีเป็นโต๊ะเก้าอี้อย่างกระนั้นๆ ไม่สู้ดีปานใด โต๊ะตั้งกลาง เก้าอี้ล้อมโต๊ะ และมีเก้าอี้ตั้งติดๆ กับฝาบ้าง มีรูปถ่ายติดฝาเป็นรูปหมู่โดยมาก และมีรูปพระภิรมย์ฯ แต่งเต็มยศข้าราชการพลเรือนชั้นอำมาตย์โท (หมายเหตุ-ซ้ายขวาคือซ้ายขวาของตัวละคร)
(เมื่อเปิดม่าน นายสวายกับนายสวัสดิ์เดินเข้ามาด้วยกันจากเฉลียง นายสวายแต่งตัวสวมกางเกงแพรกับเสื้อชั้นใน นายสวัสดิ์แต่งตัวสวมกางเกงขาสั้นสีดำอย่างลูกเสือ ใส่ถุงเท้ารองเท้าดำ ใส่เสื้อขาวแต่ภายในเสื้อขาวนั้นมีเสื้อลูกเสือ และมีผ้าพันคอลูกเสือคาดพุงทับเข็มขัด ถือห่อกระดาษ ๑ อัน)
สวาย | (จับแขนสวัสดิ์ไว้แล้วพูด) เดี๋ยวก่อนจะรีบร้อนไปไหน | ||
สวัสดิ์ | ไปเอาอะไรในห้องหน่อย (ทำท่าจะไป) | ||
สวาย | ไปอาบน้ำกันเถอะน่า เดี๋ยวจะบ่ายมากไปอย่าร่ำไร มาสิถอดเสื้อสิน่า (ทำท่าจะเข้าปลดกระดุมให้นายสวัสดิ์ แต่นายสวัสดิ์ไม่ยอดให้ปลด) | ||
สวัสดิ์ | พุทโธ่ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นแหละ อย่ายุ่งไปหน่อยเลย | ||
สวาย | ก็ทำไมจะต้องผัดด้วยเล่า (จับแขนสวัสดิ์ไว้ สวัสดิ์สลัดแขนทิ้งกันไปมา ห่อกระดาษตก สวัสดิ์กับสวายก้มลงเก็บพร้อมกันแย่งกันจนกระดาษขาด แลเห็นหมวกลูกเสืออยู่ในห่อ) อ้อ อย่างนี้นี่เอง | ||
สวัสดิ์ | ก็ยุ่งอย่างนี้แหละ (ฉวยหมวกได้ ตั้งท่าจะวิ่งไปในเรือน) | ||
สวาย | (จับแขนไว้) อ้อ นี่แกแอบไปเป็นลูกเสือแล้วหรือ | ||
สวัสดิ์ | เป็นแล้วละ จะทำไมฉัน | ||
สวาย | กันจะต้องไปทำไมแกเดี๋ยวนี้ คอยดูคุณพ่อรับงานแกดีกว่า | ||
สวัสดิ์ | นี่พี่สวายจะไปปากบอนอย่างนั้นหรือ | ||
สวาย | ฉันก็ต้องบอกให้คุณพ่อรู้สิ ว่าแกขัดขืนโอวาทของท่าน จำไม่ได้หรือท่านว่าอยู่เร็วๆ นี้เอง ว่าท่านไม่ต้องการให้ลูกท่านไปเป็นลูกเสือลูกหมาอะไร | ||
สวัสดิ์ | คุณพ่อจะว่ากระไรๆ ก็ตามใจท่าน แต่ฉันเกิดมาเป็นลูกผู้ชายกับเขาชาติ ๑ แล้ว ก็ไม่อยากให้เสียชาติ | ||
สวาย | เพราะฉะนั้นจึงไปเป็นลูกหมา อย่างนั้นหรือ | ||
สวัสดิ์ | (โกรธ) นี่แน่พี่สวาย พี่จะด่าตัวฉันส่วนตัวอย่างไรๆ ก็พอจะยอมยกโทษให้ แต่ถ้าขืนพูดดูถูกลูกเสืออีกคำเดียวละก็จะต่อยให้ฟันหักทีเดียว | ||
สวาย | ชะๆ ชะๆ เก่งจริงนะ | ||
สวัสดิ์ | อย่างไรๆ ฉันก็แข็งแรงกว่าพี่สวายเป็นแน่ เพราะฉันใช้กำลังของฉันในทางที่ถูก ไม่มัวใช้แต่ในทางทำหนุ่มแอบซุกซนเล่นสกปรก | ||
สวาย | (โกรธ) ทำไมกันเล่นซุกซนสกปรกอย่างไร | ||
สวัสดิ์ | เฮ้ยๆ เขารู้ดอกน่า ไม่ต้องทำไขสือ แอบลงไปนัวเนียอยู่ที่ห้องอีแก่นเสมอๆ แล้วไม่อ่อนแออย่างไร ฮะๆ ฮะๆ | ||
สวาย | พูดยุ่งบ้าอะไรไม่รู้ | ||
สวัสดิ์ | หรือจะฝึกหัดให้เป็นลูกผู้ชาย ฮะๆ มีแต่เขาหัดกันทางลูกเสือหรือทหาร นี่พี่สวายให้อีแก่นเป็นครูหัดอะไรมิรู้ได้ หนอยแน่ กำลังน้อยเอย ขี้โรคเอย เล่นฟุตบอลไม่ไหวฝึกซ้อมกำลังกายก็ไม่ไหว คุณพ่อก็พะนอเห็นขี้โรค ที่แท้มัวฝึกซ้อมออกกำลังเสียทาง ๑ ต่างหาก | ||
สวาย | เอ๊ะ สวัสดิ์นี่ กล้าหาญชาญไชยจริงนะ หรือเห็นตัวดีเพราะเป็นลูกเสือลูกหมา | ||
สวัสดิ์ | บอกแล้วว่าไม่ให้ดูถูกลูกเสือ ขืนจะดูถูก (ตบหน้าสวาย) นี่แน่ะ คนปากร้ายเขาต้องทำอย่างนี้ ตั้งหมัดขึ้น เดี๋ยวจะว่าฉันทำข้างเดียว | ||
สวาย | เล่นระยำอะไรไม่รู้ | ||
สวัสดิ์ | ตั้งหมัดขึ้นสิ หาไม่จะเจ็บเปล่านะ | ||
สวาย | (ตั้งหมัดแล้วพูดพลาง) ข้าขอบอกกล่าวนะ | ||
สวัสดิ์ | ไม่ต้องพูด ต่อยกันดีกว่า (ต่อยกันสวายออกจะเอี้ยๆ) | ||
(พระภิรมย์วรากร กับหลวงมนูธรรมธุราธรเดินเข้ามาด้วยกันจากเฉลียง พระภิรมย์ฯ สวมกางเกงแพรใส่เสื้อกุยเฮง หลวงมนูธรรมฯ แต่งเครื่องเสือป่า)
พระภิรมย์ฯ | เฮ้ยๆ นั่นอะไรต่อยกันออกยุ่ง เลิก! เลิกเดี๋ยวนี้ (เด็กทั้ง ๒ หยุดต่อยกัน) นี่ต่อยกันทำไม อ้ายเล็กคงรังแกพ่อกลางละซี เอ็งละอวดดีอย่างนี้เสมอ เห็นว่าพี่เป็นคขี้โรคละก็ข่มเหงได้ข่มเหงเอา | ||
สวัสดิ์ | พี่สวายอยากมาปากจัดด่าผมก่อนนี่ขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ด่าว่ากระไร | ||
สวัสดิ์ | เขาด่าว่า (นึกขึ้นออกเลยชะงักไม่พูดต่อไป) | ||
สวาย | (เห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงชิงพูด) สวัสดิ์แอบไปเป็นลูกเสือขอรับ ผมาว่าเขาว่าคุณพ่อห้ามแล้วทำไมเขาขืนไปเป็น เขาโกรธเขาก็ต่อยผมเอา | ||
พระภิรมย์ฯ | อ้อ! อ้ายเล็ก นี่มึงแอบไปเป็นลูกเสือแล้วจริงๆ หรือ | ||
สวัสดิ์ | ขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถอดเสื้อออกให้ข้าดูทีหรือ (นายสวัสดิ์ถอดเสื้อชั้นนอก) เออ! ไหนลองแต่งขึ้นให้ครบเครื่องทีหรือ (นายสวัสดิ์แต่งตัวอย่างลูกเสือบริบูรณ์) อือ! ชอบกลจริงๆ อยู่ดีๆ ไม่ว่าดี ชอบแต่งตัวเป็นอ้ายตัวในหนังญี่ปุ่น | ||
(สวัสดิ์แลดูตาหลวงมนูฯ หลวงมนูฯ อดหัวเราะไม่ได้)
หลวงมนูฯ | ผมก็เป็นตัวหนังญี่ปุ่นเหมือนกันหรือขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณหลวงกับอ้ายลูกผมเป็นคนละอย่าง คุณหลวงเป็นผู้ใหญ่รู้จักผิดแลชอบดีแล้ว เมื่อจะชอบแต่งตัวเล่นอย่างไรก็แต่งได้ แต่อ้ายนี่มันทารกอยู่ในอกพ่ออกแม่ มันยังไม่ควรจะทำอวดดีรู้มากไปกว่าผู้ใหญ่ มันรู้อยู่ดีแล้วว่าผมไม่ชอบให้ลูกผมเป็นลูกเสือมันก็ขืนไปเป็น | ||
หลวงมนูฯ | ขอโทษเถอะขอรับ ผมเห็นว่าในข้อนั้นคุณพระห้ามผิด การที่จะห้ามสิ่งใดๆ ควรมีเหตุผลเพียงพอ การที่คุณพระไม่ชอบลูกเสือนั้นเพราะเหตุใด | ||
พระภิรมย์ฯ | ข้อ ๑ ผมเห็นว่าไม่ควรจะให้เสียเวลาเรียนของเด็ก | ||
หลวงมนูฯ | การฝึกหัดหรือสั่งสอนส่วนทางวิชาลูกเสือ ไม่ได้ทำให้เสียเวลาเล่าเรียนเลยแม้ แต่นาทีเดียว ไม่ทำให้เสียประโยชน์ของเด็กเลยจนนิดเดียว ตรงกันข้าม เด็กที่เป็นลูกเสือจะเป็นผู้ที่มีความรู้ดีกว่าเด็กธรรมดาเป็นอันมาก | ||
พระภิรมย์ฯ | นั่นเป็นความเห็นของคุณหลวง แต่ความเห็นของผมผิดกัน ผมเห็นว่าการเป็นลูกเสือไม่มีอะไร นอกจากเลี่ยงการเล่าเรียนและซุกซนหัวร้างข้างแตกไปเท่านั้น | ||
หลวงมนูฯ | แต่ซุกซนหัวร้างข้างแตกผมเห็นว่าดีกว่าซุกซนอีกอย่าง ๑ (นายสวัสดิ์แลดูนายสวายแล้วหัวเราะ) การซุกซนอย่างลูกเสือทำให้เป็นคนแข็งแรง การซุกซนอีกอย่าง ๑ นั้น มีผลตรง กันข้าม การเป็นลูกเสือทำให้เด็กรู้จักอดทน | ||
พระภิรมย์ฯ | อ้อ! ยังงั้นหรือขอรับ ผมจะได้ทดลองดู (ไปหยิบแส้ม้ามา) นี่แน่ะ ถ้าเอ็งอด ทนจริงอย่างคุณหลวงว่า เอ็งไม่ต้องร้องเลยสิ ข้าจะลองความอดทนของอ้ายลูกเสือให้เห็นจริง (เงื้อแส้จะตีนายสวัสดิ์) | ||
หลวงมนูฯ | (จับมือพระภิรมย์ฯ) คุณพระ! อย่างนั้นจะใช้ที่ไหนได้ (แย่งแส้จากมือพระภิรมย์แล้วโยนไปเสียให้ไกล) ทำอย่างนั้นก็เสียผู้ใหญ่ไปสิขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | นี่ผมไม่มีอำนาจเหนือลูกผมแล้วหรือ | ||
หลวงมนูฯ | ข้อนั้นไม่มีใครเถียงเลย แต่ผู้มีอำนาจควรจะใช้อำนาจแต่ในที่ถูกที่เป็นยุติธรรม ถ้ามิฉะนั้นก็ทำให้ผู้น้อยสิ้นความนับถือ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าลูกผมสิ้นความนับถือผมในครั้งนี้ ก็เป็นเพราะมันเห็นคุณหลวงเข้ากับมันเท่านั้น | ||
หลวงมนูฯ | ผมเสียใจที่คุณพระพูดเช่นนั้น ผมตั้งใจดีต่อคุณพระจริงๆ แต่เมื่อไม่เป็นที่พอ ใจแล้วก็เลิกกันที ผมจะพูดอะไรไปอีกก็เสียเวลาผมต้องขอลาที | ||
พระภิรมย์ฯ | อ้าวๆ คุณหลวงอย่าโกรธสิครับ | ||
หลวงมนูฯ | ผมไม่ได้โกรธ เป็นแต่เสียใจเท่านั้น | ||
(ขณะนั้นได้ยินเสียงนกหวีดเป่าประชุม นายสวัสดิ์ทำท่าจะไป)
พระภิรมย์ฯ | อ้ายเล็ก ข้าห้ามเป็นอันขาดไม่ให้เอ็งไปได้ยินไหม (เสียงนายพรนายหมู่ลูกเสือร้องตะโกนเรียกชื่อนายสวัสดิ์ นายสวัสดิ์ขยับจะไป) อ้ายเล็ก บอกว่าไม่ให้ไป | ||
นายหมู่พร | (ขึ้นมาที่เฉลียงกับลูกเสือโทนายคำ) สวัสดิ์ | ||
สวัสดิ์ | (ระวังตรงแล้วขาน) อยู่! | ||
นายหมู่พร | (เข้ามาในห้อง คำนับหลวงมนูฯ แล้วจึงพูดต่อไป) สวัสดิ์! เป่านกหวีดประชุมแกไม่ได้ยินหรือ | ||
พระภิรมย์ฯ | ได้ยิน แต่ฉันไม่ให้มันไปเอง | ||
นายหมู่พร | (คำนับ) ขอรับประทานโทษ ผมพูดกับนายสวัสดิ์ (หันไปพูดกับนายสวัสดิ์ต่อ ไป) แกไม่ได้ยินนกหวีดหรือ | ||
พระภิรมย์ฯ | ฉันน่ะเป็นพ่อนายสวัสดิ์ ฉันห้ามเขาเองไม่ให้เขาไป เขาเป็นลูกที่อยู่ในถ้อยคำพ่อ | ||
นายหมู่พร | (คำนับอีก) ผมขอเรียนซ้ำอีกว่าผมพูดกับนายสวัสดิ์ (พูดกับสวัสดิ์) จะว่าอย่าง ไร | ||
สวัสดิ์ | นี่แหละฉันมันตกอยู่ในที่ยาก ฉันเองน่ะอยากไปจนตัวสั่น แต่คุณพ่อท่านไม่ให้ไป | ||
นายหมู่พร | ขอรับประทานโทษเถิดขอรับ ที่คุณไม่ให้ไปเพราะอะไร | ||
พระภิรมย์ฯ | นี่ฉันมีความจำเป็นอะไรบ้างที่จะตอบแก | ||
นายหมู่พร | ไม่จำเป็นเลย | ||
พระภิรมย์ฯ | แกมีนายเหนือแกอีก หรือแกเป็นคนสูงสุด | ||
นายหมู่พร | ผมเป็นเพียงผู้บังคับหมู่ที่ ๔ นายสุดใจเป็นผู้กำกับลูกเสือกองที่ ๑๑ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นฉันขอพบนายสุดใจจะได้หรือไม่ | ||
นายหมู่พร | ได้ขอรับ คำ! | ||
คำ | (ที่เฉลียง) อยู่! | ||
นายหมู่พร | ไปเชิญคุณสุดใจมาที่นี่ คุณพระให้เชิญ (คำวิ่งไป) | ||
หลวงมนูฯ | ดูเอาเถอะครับ เด็กที่เป็นลูกเสือละก็ ท่าทางมันคึกคักดีอย่างนี้ | ||
พระภิรมย์ฯ | ฮือ! การวิ่งเต้นมันเป็นธรรมดาของเด็ก เป็นของชอบอยู่แล้ว ผมไม่เห็นอัศจรรย์อะไร | ||
หลวงมนูฯ | คุณพระดูตั้งใจแน่นอนเสียทีเดียว ว่าจะไม่ยอมเห็นอะไรดีในส่วนลูกเสือแม้แต่อย่างเดียว | ||
พระภิรมย์ฯ | ผมไม่เคยชอบเด็กซนเลย บางทีผมจะหัวเก่าผิดสมัยไปก็เป็นได้ | ||
(นายสุดใจ ผู้กำกับลูกเสือ เข้ามาจากเฉลียง คำ ตามมาเพียงเฉลียงแล้วหยุดอยู่ที่นั้น นายสุดใจคำนับหลวงมนูฯ แล้วจึงถอดหมวกก้มหัวคำนับพระภิรมย์ฯ อีกที ๑)
นายสุดใจ | คุณพระให้หาผมหรือขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ฉันให้ไปเชิญนายสุดใจมาเพื่อจะถามปัญหาสักข้อ ๑ ธรรมเนียมเด็กที่จะเป็นลูกเสือต้องได้รับอนุญาตบิดาหรือผู้ปกครองไม่ใช่หรือ | ||
นายสุดใจ | ขอรับ ถูกแล้ว | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นทำไมนายสุดใจจึงได้รับนายสวัสดิ์ลูกฉันเข้าเป็นลูกเสือโดยฉันมิได้อนุญาต | ||
นายสุดใจ | ผมเข้าใจผิดไป นายสวัสดิ์มาบอกขอสมัครเป็นลูกเสือ ผมก็เข้าใจว่าคุณพระคงจะได้อนุญาตแล้ว | ||
พระภิรมย์ฯ | ทำไมถึงเข้าใจเอาเองเช่นนั้น | ||
นายสุดใจ | เพราะตั้งแต่ได้มีลูกเสือมา ผมยังไม่เคยพบสักรายเดียวที่บิดาหรือผู้ปกครองไม่เต็มใจให้เด็กเป็นลูกเสือ ผมจึงเข้าใจว่าคุณพระก็คงจะเหมือนคนอื่นๆ | ||
พระภิรมย์ฯ | แต่ฉันไม่เหมือนคนอื่นๆ ฉันมีสมองพอที่จะใช้ได้คิดอะไรได้เองบ้าง ไม่ต้องก้มหน้าหลับตาเอาอย่างคนอื่นตะพัดไป | ||
นายสุดใจ | ผมเสียใจที่ผมคะเนผิดไป | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรกันต่อไป | ||
นายสุดใจ | ก็แล้วแต่คุณพระจะพอใจ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าลูกฉันจะออกจากกองลูกเสือเสียเดี๋ยวนี้ จะเป็นที่เสียหายอย่างใดบ้างหรือ ไม่ | ||
นายสุดใจ | นั่นแหละขอรับ ตามความเห็นของผม เห็นว่าเขาน่าจะรู้สึกลำบากใจอยู่บ้าง เพราะบรรดานักเรียนชั้นเดียวกับเขา หรือแม้ที่อายุอ่อนกว่าเป็นลูกเสือทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถ้านายสวัสดิ์จะไม่เป็นลูกเสืออยู่คนเดียว ก็เห็นจะเข้าพวกเข้าพ้องกับเขาไม่ได้ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่านักเรียนในโรงเรียนของนายสุดใจทุกคน ถูกบังคับให้เข้าเป็นลูกเสือฉะนั้นหรือ | ||
นายสุดใจ | การบังคับให้เข้าเป็นลูกเสือไม่เคยมีเลย | ||
พระภิรมย์ฯ | ถึงไม่บังคับตรงๆ ก็บังคับทางอ้อม ถ้าใครไม่เป็นลูกเสือก็เข้าพวกพ้องกับใครไม่ได้ ดังนี้ก็เท่ากับบังคับนั่นเอง | ||
นายสุดใจ | ผมเห็นว่าการที่จะเถียงกันในข้อนี้ดูจะไม่เป็นผลดีอันใด เมื่อคุณพระไม่พอใจจะให้บุตรเป็นลูกเสือแล้วก็หมดปัญหา นายสวัสดิ์ต้องออกจากกองลูกเสือ | ||
สวัสดิ์ | ผมไม่ยอกออก ผมยอมตายเสียดีกว่า | ||
พระภิรมย์ฯ | อ้ายบ้า! | ||
สวัสดิ์ | ผมไม่ยอมออก ผมได้ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าผมประพฤติให้สมควรที่เป็นลูกผู้ชาย ผมไม่ยอมคืนคำ | ||
หลวงมนูฯ | คุณพระขอรับ ผมขอพูดสักคำ การที่คุณพระจะขืนยืนยันให้พ่อสวัสดิ์ออกจากลูกเสือครั้งนี้ ผมเชื่อแน่ว่าจะมีผลร้ายทั้งสองฝ่าย พ่อสวัสดิ์จะสิ้นความนับถือในตัวคุณพระเป็นแน่แท้ ผมเห็นมีทางแก้อยู่ทาง ๑ | ||
พระภิรมย์ฯ | ทางใดขอรับ | ||
หลวงมนูฯ | ผมนี้ช่างอยากมีลูกผู้ชายเสียจริงๆ แต่ก็เผอิญไม่มีได้สักคนเดียว ถ้าผมมีผมก็คงขอให้เป็นอย่างพ่อสวัสดิ์นี้แหละขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นจะยากเย็นอะไร อ้ายนี่มันก็ไม่นับถือผมเป็นพ่อแล้ว คุณหลวงจะเอามันไปเป็นลูกก็เชิญสิ | ||
หลวงมนูฯ | จริงเช่นนั้นหรือขอรับ | ||
สวัสดิ์ | จริงสิครับ จะเอาไปต้มไปแกงเสียก็ได้ตามความพอใจคุณหลวงทุกอย่าง | ||
หลวงมนูฯ | ถ้าเช่นนั้นผมยินดีมาก สวัสดิ์แกเป็นลูกฉันแล้วนะ เข้าใจไหม (สวัสดิ์ก้มหัว) ฉันผู้เป็นพ่อเลี้ยงและผู้ปกครองของแก อนุญาตให้แกเป็นลูกเสือ | ||
สวัสดิ์ | (เสียงเครือ) คุณหลวง-ผม-ผม- (สะอื้น) | ||
หลวงมนูฯ | (กอดสวัสดิ์) อ้าวๆ เรามันลูกเสือ ใจผู้ชายอย่าขี้แยสิ แล้วก็อย่าเรียกพ่อว่าคุณหลวง เรียกว่าพ่อสิ เอ้า! ไปเข้ากองไป | ||
(นายสวัสดิ์ยินดีวิ่งไปคำนับนายสุดใจ นายสุดใจคำนับพระภิรมย์ฯ กับหลวงมนูฯ แล้วออกไปทางหลัง พร้อมด้วยนายหมู่พร นายสวัสดิ์ และนายคำ)
หลวงมนูฯ | ผมก็ต้องลาทีมีธุระจะต้องไป | ||
พระภิรมย์ฯ | ประเดี๋ยวขอรับ ผมมีธุระจะต้องพูดกับคุณ (เหลียวดูเห็นนายสวาย) พ่อกลางออกไปข้างนอกเดี๋ยวเถอะ พ่อมีธุระจะพูดกับคุณหลวง(นายสวายออกไป) เชิญนั่งประเดี๋ยวเถอะขอรับ (ทั้ง ๒ คนนั่ง) ผมมีความร้อนใจด้วยเรื่องพ่อใหญ่ของผม | ||
หลวงมนูฯ | ทำไมขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ผมได้ให้มันไปกรุงเทพฯ เพื่อเรียนกฎหมาย แต่เคราะห์ร้ายเข้าสอบไล่ตกเสียแล้ว | ||
หลวงมนูฯ | ก็ไม่เป็นการอัศจรรย์อะไร คนที่สอบไล่ตกมีถมไป เมื่อมีโอกาสก็สอบไล่ได้อีก | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณหลวงยังไม่เข้าใจ พ่อใหญ่น่ะอายุเผอิญเฉพาะ ๑๘ ปีบริบูรณ์แล้ว ถ้าสอบไล่ตกก็คงต้องไปเป็นทหารแน่ละ | ||
หลวงมนูฯ | ก็แล้วอย่างไร | ||
พระภิรมย์ฯ | พวกผมไม่มีสักคนเดียวที่เป็นทหาร แต่ไรๆ มาไม่เคยมีจนคนเดียว | ||
หลวงมนูฯ | ผมไม่เห็นเป็นของที่น่าจะอวดเลย คุณพระนี่แปลกจริงๆ หนทางใดๆ ที่พอจะเปิดโอกาสให้คนหนุ่มๆ ได้ทำประโยชน์แก่บ้านเมือง คุณพระเป็นไม่ชอบทั้งสิ้น | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณหลวงพูดดูราวกับคนเราจะทำประโยชน์ให้แก่บ้านเมืองได้แต่โดยทางเป็นทหารอย่างเดียว ถ้าเช่นนั้นทำไมคุณหลวงเองไม่ไปโยนปืนเป็นทหารบ้าง มานั่งบัลลังก์ชำระความอยู่ทำไม | ||
หลวงมนูฯ | ผมเสียใจที่ผมไม่ได้มีโอกาสที่จะทำอย่างคุณพระว่า เพราะเมื่อออกพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหารอายุผมมากเกินที่เขาต้องการเสียแล้ว ถ้ามิฉะนั้นผมคงไม่หนีเป็นแน่ แต่อย่างไรๆ ก็ดีเมื่อตั้งคณะเสือป่าขึ้น ผมก็ได้เข้าทันที โดยความยินดีที่ได้มีโอกาสฝึกหัดพอให้เป็นผู้สามารถช่วยป้องกันบ้านเมืองของผมได้ | ||
พระภิรมย์ฯ | (หัวเราะทีเยาะ) ผมมีความยินดีที่ผมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเสือป่า เพราะผมมันพ้นเวลาที่จะต้องประจบประแจง หรือหาดิบหาดีต่อไปแล้ว | ||
หลวงมนูฯ | คุณพระพูดเช่นนี้ขวางหูที่สุด การเป็นเสือป่าหรือไม่เป็นไม่ทำให้ข้าราชการดีขึ้น หรือเลวลงอย่างใดในส่วนหน้าที่ราชการที่กระทำอยู่โดยเฉพาะเลย | ||
พระภิรมย์ฯ | ผมไม่ใช่หูป่าตาเถื่อนเหลือเกินนักดอกนะคุณ ขอให้คุณจำไว้ว่าผมยังมีเพื่อนฝูงที่คอยบอกข่าวคราวอยู่เสมอ | ||
หลวงมนูฯ | ผมทราบแล้ว นายซุ่นเบ๋งพี่ภรรยาคุณพระเขาขยันเขียนหนังสือมาก แต่ต้องขออย่าให้คุณพระลืมว่านายซุ่นเบ๋งเป็นไทยไม่ถึงครึ่ง | ||
พระภิรมย์ฯ | เอ๊ะ! คุณหลวงนี่พูดอย่างไร | ||
หลวงมนูฯ | เปล่าขอรับ ผมไม่ได้ตั้งใจพูดจาล่วงเกินอะไรมากมายไป แต่ผมเห็นว่าการที่จะให้นายซุ่นเบ๋งรู้สึกอะไรๆ เหมือนคนที่เป็นไทยแท้ๆ นั้นน่าจะเป็นการยากอยู่บ้าง | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณหลวงวันนี้เป็นอย่างไร พูดจากันไม่เข้าลู่เข้าทางกันได้เลย | ||
หลวงมนูฯ | ผมมีความเสียใจที่เป็นเช่นนั้น มีธุระอะไรก็โปรดพูดกันตรงไปตรงมาดีกว่าขอ รับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ผมอยากจะขอให้คุณหลวงช่วยผมในเรื่องพ่อใหญ่สักหน่อย | ||
หลวงมนูฯ | ช่วยอย่างไร | ||
พระภิรมย์ฯ | ขอให้มันพ้นทหารไปสักทีเถอะ | ||
หลวงมนูฯ | จะให้ผมทำอย่างไร | ||
พระภิรมย์ฯ | โปรดรับเข้าทำราชการในศาลของคุณสักหน่อยเถอะขอรับ จะเป็นตำแหน่งอะไรๆ ก็ได้ทั้งนั้น เงินดาวเงินเดือนก็ไม่ต้องได้มากมายปานใด เอาแต่เพียงพอให้พ้นจากเป็นทหารเท่านั้น คุณหลวงคงจะทราบอยู่แล้วว่าได้เงินเดือนเพียงชั้นใดจึงจะพอพ้นเป็นทหาร | ||
หลวงมนูฯ | (พูดอย่างจังๆ) ผมจะทำตามคุณพระปรารถนาไม่ได้ เพราะประการที่ ๑ ผมไม่มีอำนาจที่จะรับบุตรคุณพระเข้ารับราชการได้เอง ประการที่ ๒ ถึงแม้ผมจะมีอำนาจรับได้ผมก็ไม่รับ เพราะผมมีหน้าที่เป็นผู้รักษาพระราชกำหนดกฎหมาย ผมจะรู้เห็นเป็นใจกับผู้ที่คิดหลีกเลี่ยงกฎหมายไม่ได้เป็นอันขาด และผมขอบอกกล่าวไว้ในบัดนี้ด้วย ว่าถึงแม้นผมกับคุณพระได้เป็นผู้รักใคร่ชอบพอกันมาช้านานปานใดก็ตาม แต่ถ้าแม้คดีที่เกิดขึ้นในเรื่องนายสวิงบุตรชายคุณพระหลบหลีกราชการทหาร ผมจำเป็นจะต้องทำการตามหน้าที่ของผมโดยปราศจากฉันทาคติ ผมลาที (ลุกขึ้นก้มหัวคำนับ แล้วออกไปทางหลัง) | ||
(พระภิรมย์ฯ นั่งตลึงอยู่ครู่ ๑ แล้วนายสวายจึงเข้ามาจากทางหลัง)
สวาย | คุณพ่อขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | อะไร | ||
สวาย | คุณพ่อห้ามพี่อุไรไม่ให้พบกับคุณหลวงมณีฯ อีกไม่ใช่หรือขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | เออ ก็แล้วอย่างไรเล่า | ||
สวาย | กำลังพูดกันอยู่ในสวนเดี๋ยวนี้ขอรับ คุณแม่ก็เห็นแต่ทำไม่รู้ไม่ชี้ | ||
พระภิรมย์ฯ | ก็อย่างนี้ จะไม่กำเริบอย่างไร (ลุกไปเปิดประตูห้องข้างซ้าย) แม่แย้มเชิญออก มานี่หน่อยเถอะ | ||
(แม่แย้มภรรยาหลวงพระภิรมย์ฯ ออกมาจากประตูซ้าย)
แย้ม | ทำไมเจ้าคะ | ||
พระภิรมย์ฯ | ฉันได้ห้ามแล้วไม่ใช่หรือ ว่าไม่ให้แม่อุไรพบปะกับหลวงมณีฯ ทำไมหล่อนปล่อยให้พบกันได้อีก | ||
แย้ม | นี่ใครบอกคุณ | ||
พระภิรมย์ฯ | ช่างเถอะ แต่ฉันอยากรู้ว่าเขาพากันไปอยู่ที่ไหน | ||
แย้ม | ก็ใครเป็นผู้มาปากบอนก็ถามเอากับคนนั้นสิเจ้าคะ | ||
พระภิรมย์ฯ | พ่อกลางไปเชิญหลวงมณีฯ ขึ้นมานี่ (นายสวายออกไปทางเฉลียง) | ||
แย้ม | คุณรู้ไหมว่าคุณจะหัดเด็กคนนี้ให้เสียคน ดีแต่พนอไว้ โรงร่ำโรงเรียนก็ไม่ให้ไป เหลวไหลอยู่แต่กับบ้าน | ||
พระภิรมย์ฯ | ก็ฉันไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะข่มขืนให้มันไป หล่อนก็รู้แล้วว่ามันขี้โรคและมันก็มีความคิด ใช้ได้ดีเท่าๆ กับผู้ใหญ่ | ||
แย้ม | คุณก็ชอบเพราะมันปากบอน เก็บเล็กเก็บน้อยมาเล่า ให้คุณฟังเท่านั้นแหละ | ||
พระภิรมย์ฯ | เป็นธรรมดาผู้ใหญ่ก็ต้องใช้คนต่างหูต่างตาอยู่บ้าง | ||
แย้ม | แล้วมันเก็บทั้งเข้าทั้งออก คุณพระรู้หรือไม่ | ||
พระภิรมย์ฯ | เก็บทั้งเข้าทั้งมออกอย่างไร | ||
แย้ม | ส่วนความนอกมันช่างเก็บมาเล่าให้คุณจริง แต่ความในมันก็เอาไปเล่าให้คนอื่นฟังสนุกใจเหมือนกัน วันไหนคุณนอนกับเมียน้อยก็รู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองทุกครั้ง ฮะๆ น่าหัวเราะจริงๆ ฟ้าผ่าซิ | ||
พระภิรมย์ฯ | เอ๊ะ! แม่แย้มนี่ ประเดี๋ยวก็ได้เกิดเคืองกันเดี๋ยวนี้เอง หล่อนเลี้ยงลูกไม่ดีเอง แล้วหล่อนก็เที่ยวเปะปะวุ่นไปไม่เข้าเรื่องเข้าราว | ||
แย้ม | อุ๊ย ดิฉันขี้เกียจพูดเสียแล้วละ เปลืองเวลาเปล่าๆ | ||
(หลวงมณีราษฎร์บำรุงเข้ามาจากทางเฉลียง หลวงมณีฯ แต่งเสือป่าเดินเข้ามาในห้อง คำนับ อุไรตามมาด้วย แต่แอบอยู่ที่เฉลียง)
พระภิรมย์ฯ | คุณหลวง ผมเข้าใจว่าคุณหลวงก็เป็นลูกผู้ดีมีตระกูลไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | ขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นผมต้องขอให้คุณประพฤติตนอย่างผู้ดี | ||
หลวงมณีฯ | เอ๊ะ! นี่ผมได้ประพฤติผิดกิริยาผู้ดีที่ในข้อไหนโปรดชี้แจงหน่อย จะขอบคุณมาก | ||
พระภิรมย์ฯ | การลอบมาพูดจากับลูกสาวผมคุณเห็นเป็นการดีละหรือ | ||
หลวงมณีฯ | ผมไม่ได้ลอบไม่ได้เลี่ยงอะไร ผมมาโดยเปิดเผย พูดกันโดยเปิดเผย คุณแย้มก็เห็น | ||
พระภิรมย์ฯ | ที่คุณมาประพฤติเป็นแมลงเม่าตอมลูกสาวผมอยู่เช่นนี้ เพื่อประสงค์อะไร | ||
หลวงมณีฯ | ผมขอเรียนตามตรง ผมมีความรักใคร่แม่อุไรจริงๆ ผมตั้งใจอยู่ว่าจะให้ผู้ใหญ่มา- | ||
พระภิรมย์ฯ | ช้าก่อนคุณอย่าเพ่อพูดไป ฟังผมก่อนถ้าคุณจะแต่งผู้ใหญ่ให้มาขอก็เห็นจะเสีย เวลาเปล่า | ||
แย้ม | อะไรคุณก็- | ||
พระภิรมย์ฯ | ขออนุญาตให้ฉันพูดให้จบหน่อยไม่ได้หรือ (พูดกับหลวงมณีฯ ต่อไป) คุณนั้นเป็นลูกผู้มีตระกูลดี ทั้งทรัพย์สมบัติก็มีพอจะเลี้ยงลูกสาวผมได้ แต่คุณมีข้อเสียในส่วนตัวอยู่ข้อ ๑ | ||
หลวงมณีฯ | ถ้าผมมีข้อเสียอย่างใดขอได้โปรดบอกตรงๆ ถ้าผมเห็นว่าพอจะแก้ไขดัดแปลงได้ผมก็จะได้จัดการแก้ไข | ||
พระภิรมย์ฯ | ข้อเสียสำคัญของคุณคือ คุณเหมือนคนที่ได้วางบทประหารชีวิตตนเองแล้วก็ว่าได้ | ||
หลวงมณีฯ | เอ๊ะ! อะไรกัน ผมไม่เข้าใจ | ||
พระภิรมย์ฯ | ผมจะอธิบายให้ฟัง คุณเป็นเสือป่า ถ้ามีศึกเหนือเสือใต้มาแล้ว คุณก็คงจะต้องไปรบไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | ถ้ามีโอกาสและเป็นการเหมาะก็คงจะได้ไป | ||
พระภิรมย์ฯ | นั่น! ก็ถ้าไปรบก็อาจจะตายได้ไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | อ๋อแน่ทีเดียว แต่ถึงไม่ไปรบก็ตายได้เหมือนกัน | ||
พระภิรมย์ฯ | ทราบแล้ว แต่ไปรบมีหนทางที่จะตายได้มากกว่าไม่ไปไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | ผมเข้าใจว่าคนที่ได้ตายๆ มาแล้ว จะได้ตายในที่นอนมากกว่าในสนามรบ | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณไม่ต้องเล่นสำนวน พูดกันตรงๆ เถอะถ้าเกิดสงครามขึ้นผู้ที่ไปรบคงจะ ต้องตายมากกว่าผู้ที่ไม่ไปไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | ในเวลาสงครามจะเอานิยมนิยายแน่นอนไม่ได้ ถึงแม้เราจะไม่ไปรบ บางทีการรบมันเดินมาหาเราเองก็ได้ | ||
พระภิรมย์ฯ | ตามกฎหมายนานาประเทศ ผู้ที่รบจะทำร้ายผู้ที่ไม่รบไม่ได้ | ||
หลวงมณีฯ | (หัวเราะ) นั่นแหละขอรับ เมื่อมีการสงครามมันเกิดขึ้นแล้ว กฎบัดกฎหมายอะไรก็ดูจะไม่สู้เป็นประโยชน์ปานใดนัก อย่างไรๆ ก็ดีถ้าต่างว่าบ้านคุณพระนี้เผอิญเฉพาะอยู่ในวงแห่งสนามรบ คือที่ๆ แม่ทัพเขาเห็นเหมาะในการตั้งแนวรบหรือแนวด่าน ถึงคุณพระจะเอากฎหมายนานาประเทศไปพลิกอ่านจนคอแห้ง นายทัพนายกองเขาก็คงไม่ฟัง เขาคงตั้งกองของเขาตามความคิดของเขาจนได้ | ||
พระภิรมย์ฯ | แต่ถ้าผมไม่ออกไปยุ่งกับเขา ผมก็คงไม่ต้องเป็นอันตรายเป็นแน่ | ||
หลวงมณีฯ | ขอรับประทานโทษ ผมไม่เห็นมีความแน่อยู่ที่ตรงไหนเลย เพราะลูกปืนไม่รู้ จักเลือกระหว่างคนที่รบกับไม่ได้รบ | ||
พระภิรมย์ฯ | พูดกันสั้นๆ พลรบนั้น มีหน้าที่สำหรับไปตายไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | หามิได้ พลรบมีหน้าที่พยายามทำให้ข้าศึกตายหรือเจ็บจนรบไม่ได้ ส่วนการเจ็บการตายก็แล้วแต่เคราะห์ดีเคราะห์ร้าย | ||
พระภิรมย์ฯ | ผมเห็นว่า การที่คุณเข้าเป็นเสือป่าก็เท่ากับประกาศว่าอยากตาย เต็มใจที่จะตาย | ||
หลวงมณีฯ | จริงขอรับ ถ้าการที่ผมตายจะทำให้เป็นประโยชน์แก่พระเจ้าอยู่หัวหรือบ้าน เมืองแล้วผมก็จะยอมตายโดยความเต็มใจ ยอมสละชีวิตโดยยินดี | ||
พระภิรมย์ฯ | นั่น! เพราะฉะนั้นผมจะยอมยกลูกสาวของผมให้แก่คุณไม่ได้ | ||
หลวงมณีฯ | เอ๊ะ! น่าประหลาดจริง ทำไมอย่างนั้น | ||
พระภิรมย์ฯ | ผมไม่อยากให้ลูกสาวผมเป็นหม้ายแต่สาวๆ | ||
หลวงมณีฯ | พุทโธ่! คุณพระนี่ชอบกลจริงๆ ถึงผมไม่เป็นเสือป่าผมก็อาจจะตายได้ในวันนี้พรุ่งนี้เท่ากัน ไม่เห็นผิดอะไรกันเลย | ||
พระภิรมย์ฯ | ผิดกันมาก การเป็นเสือป่าเหมือนเป็นคนที่ถูกวางบทให้ประหารชีวิตแล้ว อย่างไรๆ ไม่พ้นความตาย | ||
หลวงมณีฯ | ก็เช่นนั้นทหารก็เหมืนนักโทษถึงตายแล้วเหมือนกันหรือขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ก็คล้ายๆ กัน แต่ทหารยังดีกว่าเสือป่าเพราะที่เป็นพลทหารก็เป็นโดยถูกเกณฑ์ ถ้าเป็นนายทหารก็เป็นการรับจ้างหากินอย่าง ๑ นี่เป็นเสือป่าค่าจ้างก็ไม่ได้ มิหนำซ้ำต้องเสียค่าบำรุงอีกด้วย แล้วถูกเกณฑ์ก็ไม่ถูก หรือมีกะเกณฑ์อะไรกัน | ||
หลวงมณีฯ | (เสียงแข็ง) คุณพระควรจะทราบดีแล้ว ว่าไม่มีการกะเกณฑ์เลย ตามใจสมัครทั้งสิ้น | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นจะเป็นเสือป่าเพื่อประสงค์อะไร | ||
หลวงมณีฯ | ก็เพื่อประสงค์ได้มีโอกาสฝึกหัดไว้ให้สามารถทำหน้าที่อย่างผู้ชายได้ คือป้อง กันชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ได้ในเวลาที่จำเป็น | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณพูดดูเป็นการหวังประโยชน์ภายหน้าอยู่ ก็ประโยชน์ปัจจุบันนี้ไม่หวังอะไรบ้างหรือ | ||
หลวงมณีฯ | ประโยชน์ในปัจจุบันที่มีแลเห็นง่ายๆ ก็คือการที่ได้มีโอกาสคบค้าสมาคมกันในหมู่ข้าราชการทั้งทหารพลเรือนและตลอดถึงคหบดีด้วย ได้รู้อกรู้ใจกันแล้วก็สะดวกในทางการ ทำงานติดต่อกันได้ง่าย เช่นแต่ก่อนนี้ คนในหน้าที่ผมกี่วันจะได้พบท่านผู้พิพากษาครั้ง ๑ นี่พบกันแทบทุกวัน คุณหลวงมนูฯ เป็นนายหมู่ประจำในหมวดผมด้วยซ้ำ | ||
พระภิรมย์ฯ | ข้อนี้ผมเข้าใจไม่ได้เลยว่าหลวงมนูฯ พอใจได้อย่างไร ถ้าเป็นผมๆ คงจะรู้สึกได้อย่างไรๆ อยู่ ในการที่จะต้องคำนับผู้ที่มีอายุน้อยกว่าผม (หลวงมณีหัวเราะแต่ไม่ตอบว่ากระไร) แต่ผมข้อย้อนถามเรื่องประโยชน์ที่จะได้รับจากการเป็นเสือป่าอีกสักหน่อย ผมได้ยินเขาว่าข้าราช การคนไหนไม่เป็นเสือป่าไม่มีทางได้ดีไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | ไม่เป็นเช่นนั้นเลย | ||
พระภิรมย์ฯ | เขาว่าทั้งยศทั้งตราทั้งเงินเดือนได้ขึ้นแต่ที่เป็นเสือป่า ถ้าใครไม่ได้เป็นเสือป่า เจ้าขุนมุลนายท่านเอาลงกระป๋องเสียอย่างนั้นไม่ใช่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | (เสียงแข็ง) ไม่จริงเลยใครที่บอกกับคุณพระเช่นนั้นเป็นคนที่โกหกสดๆ ร้อนๆ เท่านั้น โกหกอย่างระยำที่สุด | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้น ถึงแม้ใครจะลาออกจากเสือป่าแล้ว ก็ไม่ต้องเลยออกจากราชการด้วยหรือ | ||
หลวงมณีฯ | การลาออกจากเสือป่าไม่เกี่ยวแก่ราชการเลย ใครจะลาออกเมื่อใดก็ได้ | ||
พระภิรมย์ฯ | แน่หรือ | ||
หลวงมณีฯ | แน่สิขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นผมต้องขอให้คุณลาออกจากเสือป่าเสียก่อน ผมจึงจะยอมยกลูกสาวให้ | ||
หลวงมณีฯ | พุทโธ่! ทำไมคุณพระทำให้ผมอยู่ในที่ลำบากเช่นนี้ | ||
พระภิรมย์ฯ | เลือกเอาอย่าง ๑ ถ้าคุณรักลูกสาวผมต้องออกจากเสือป่า | ||
อุไร | (เดินเข้ามาจากเฉลียง) คุณหลวงมณี ถ้าคุณออกจากเสือป่าวันใดวันนั้นคุณกับดิฉันขาดกัน ดิฉันจะไม่ขอดูหน้าคุณอีกต่อไปจนวันตาย | ||
พระภิรมย์ฯ | แม่อุไร นี่หล่อนมาพลอยเป็นบ้าอะไรไปด้วย | ||
อุไร | ดิฉันไม่บ้าเลย ดิฉันเห็นโดยจริงใจว่าคุณหลวงมณีฯ มีข้อที่ควรชมเชยอยู่มากที่สุด ก็คือข้อที่เป็นเสือป่า เพราะอันที่จริงถ้าจะเลี่ยงเสียไม่ทำหน้าที่อย่างผู้ชายนั้นง่ายที่สุด เธอเป็นข้าราช การรับสัญญาบัตรแล้ว และมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่แล้ว จะเกณฑ์เป็นทหารไม่ได้เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าจะมีการสงครามก็หลีกเลี่ยงการไปรบได้โดยไม่มีข้อเสียหายในส่วนตัวเลยจนนิดเดียว | ||
พระภิรมย์ฯ | ก็นั่น! การที่มีช่องจะรอดพ้นจากการต้องไปถูกยิงถูกฟันตายได้แล้วฉะนี้กลับเสือกเข้าไปสมัครจะไปตายอีกฉะนี้ จะเรียกว่าคนดีหรือคนบ้า | ||
อุไร | เรียกว่าคนดี คนกล้าหาญ คนไทยแท้ ลูกผู้ชายแท้ แต่คนที่มีหน้าที่ควรจะเข้าทำหน้า ที่อันควรแก่ลูกผู้ชายแล้วจะคอยหาทางหลีกเลี่ยงบิดพลิ้ว อย่างลูกชายใหญ่ของคุณพ่อนั่นแหละดิฉันเห็นว่าเป็นคนขี้ขลาดเสียทีที่เกิดมาในชาติไทย เสียทีที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย | ||
หลวงมณีฯ | แม่อุไร ฉันเห็นด้วยกับหล่อนทุกคำ | ||
พระภิรมย์ฯ | ก็ดีแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าคุณหลวงจะยอมเลิกความคิดขอลูกสาวผมหรือ | ||
หลวงมณีฯ | ถ้าคุณพระจะยกให้ต่อเมื่อผมได้ลาออกจากเสือป่าแล้วฉะนั้น ผมก็ไม่แลเห็นทางอื่น เพราะถึงผมจะรักแม่อุไรปานใดก็ดี แต่ที่ผมจะยอมเสียสัตย์หรือเสียความเป็นลูกผู้ชายชาวไทยไม่ได้เป็นอันขาด | ||
พระภิรมย์ฯ | ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรจะพูดกันอีกต่อไปแล้ว และในเวลาภายหน้าคุณหลวงไม่ต้องมาที่นี่อีกเลย | ||
หลวงมณีฯ | (คำนับ) ถ้าคุณพระไม่โปรดให้ผมมาอีกผมก็มาไม่ได้อยู่เอง เพราะคุณพระเป็นเจ้าของบ้าน ถ้าเช่นนั้นผมลาที (คำนับพระภิรมย์ฯ และแม่แย้ม แล้วจึงหันไปแลดูตาแม่อุไรครู่ ๑ แล้วก็เดินออกไปทางหลัง) | ||
อุไร | คุณพ่อ ดิฉันขอเรียนอะไรจริงๆ สักหน่อย ถ้าดิฉันไม่นึกสงสารคุณแม่อยู่แล้ว ดิฉันจะตามคุณหลวงมณีฯ ไปเสียเดี๋ยวนี้ทีเดียว แต่นี่ยังสงสารคุณแม่ จึงจำใจต้องทนความอยุติธรรมของคุณพ่อไป | ||
พระภิรมย์ฯ | นางนี่ทำปากจัดใหญ่แล้ว อีเนรคุณ ชาตินี้ตบเสียให้ปากเยิน | ||
แย้ม | แม่หนูก็ไม่ควรพูดให้ก้ำเกินคุณพ่อยังนั้นเลย เข้าไปในเรือน (อุไรเข้าไปทางขวา) | ||
พระภิรมย์ฯ | เอาสิ ตามใจลูกจนได้ดีไหมล่ะ อ้ายเล็กก็อวดดีเป็นบ้าลูกเสือ จนต้องยกให้เป็นลูกเลี้ยงหวงมนูฯ ไปคน ๑ แล้ว นางอุไรอวดดีอยากเป็นเมียเสือขึ้นมาอีกคนหนึ่งละ นี่ลูกฉันจะมาพากันอวดดีเป็นไม้นอกกอตามกันไปหมดละหรือ | ||
แย้ม | ถ้ามันเป็นไปเช่นนั้นจะมาปรับเป็นดิฉันผิดคนเดียวหรือ คุณเองไม่ผิดบ้างละหรือ | ||
พระภิรมย์ฯ | ฉันจะผิดอย่างไร | ||
แย้ม | ผิดที่คุณมีความเห็นผิดกับใครๆ เขาไปทั้งบ้านทั้งเมืองน่ะซิคะ เสือป่ากับลูกเสือใครๆ เขาก็แลเห็นประโยชน์ทั้งนั้น คุณไม่เห็นเป็นประโยชน์ | ||
พระภิรมย์ฯ | นี่! อย่างนี้เสียนี่นะ ลูกมันจะไม่กำเริบได้ใจอย่างไร ลูกคนไหนที่แม่แย้มถือท้ายย้ายหัวละก็เสียทุกคน ทีที่แม่แย้มไม่ชอบทำไมมันดีอยู่ได้ | ||
แย้ม | ดีอย่างไรคะ พ่อสวิงน่ะกลัวต้องไปเป็นทหารเพราะขี้ขลาดอย่าง ๑ อีกอย่าง ๑ กลัวจะลำบาก กลัวไม่ได้เที่ยว นายซุ่นเบ๋งพี่เมียคุณน่ะมันพาลูกคุณซุกซนป่นปี้ไปแล้วคุณรู้สึกไหม ที่ไล่กฎหมายตกบ่อยๆ และตกอย่างเลวๆ เพราะอะไรคุณไม่รู้บ้างหรือ ที่กรุงเทพฯ นั่น ถ้าใครอยากจะพบพ่อสวิงต้องไปหาที่โรงเหล้า หรือโรงละครเฉวียงไว หรือบ้านโคมเขียวนั่นแน่ะ | ||
พระภิรมย์ฯ | อือ! ช่างรู้จริงนะ | ||
แย้ม | ส่วนพ่อสวายน่ะคุณก็พะนอจนได้ดีแล้วไหมล่ะ นอกจากการปากบอนกะล่อนเดาะยังมิหนำซ้ำริมีเมียแต่ป่านนี้แล้ว ดีนักละลูกรักคุณทั้งสองคนน่ะ | ||
พระภิรมย์ฯ | มีอะไรจะพูดอีกไหม | ||
แย้ม | มีอีกนิดเดียว คือพ่อสวิงน่ะ ถ้าคุณขืนไม่ระวังให้ดีจะต้องเข้าตะรางวัน ๑ | ||
พระภิรมย์ฯ | เพราะเหตุไร | ||
แย้ม | เพราะเหตุหลบหลีกราชการทหารนั้นแหละก่อนอื่น | ||
(หลวงมณีฯ กลับมาอีกแต่มายืนอยู่เพียงประตูด้านหลัง)
พระภิรมย์ฯ | (เคือง) ผมเข้าใจว่าผมได้พูดอย่างแจ่มแจ้งที่สุดแล้ว ว่าผมไม่ประสงค์ให้คุณหลวงมาบ้านผมอีกเลย | ||
หลวงมณีฯ | ผมมาโดยหน้าที่ราชการ ท่านผู้ว่าราชการเมืองมีบัญชาให้มาเกาะตัวนายสวิงบุตรคุณพระ | ||
พระภิรมย์ฯ | เพราะเหตุใด | ||
หลวงมณีฯ | เพราะถึงกำหนดจะไปจับฉลากเข้ารับราชการทหารได้ หมายเรียกแล้วไม่ไป | ||
แย้ม | ดิฉันว่าแล้วไหมล่ะ | ||
พระภิรมย์ฯ | หล่อนไม่มีหน้าที่จะพูดในเรื่องนี้เลย ขอให้เข้าไปในเรือน (แย้มเข้าไปทาง ซ้าย) นี่แน่คุณหลวง ถ้าผมจะไม่ส่งตัวเขาจะเป็นอย่างไร | ||
หลวงมณีฯ | ผมก็ต้องค้นหาเอาเอง | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณมีอำนาจอะไรที่จะมาค้นบ้านผม | ||
หลวงมณีฯ | ผมถือหมายเป็นสำคัญ (ชูหมายให้ดู แล้วหันไปพูดข้างนอก) ค้นหาตัวนายสวิงมาให้ได้ | ||
พระภิรมย์ฯ | นี่ไม่มีอะไรนอกจากจะแก้แค้นส่วนตัวเท่านั้นเอง เอาอำนาจราชการมาข่มเหง | ||
หลวงมณีฯ | คุณพระก็เป็นผู้ใหญ่แล้วนะขอรับ ระวังปากคอหน่อยจะดีกว่า ผมไม่อยากจะ ต้องจับคุณพระไปอีกคน ๑ เลย แต่ถ้าคุณพระไม่ฟังคำผมเตือนก็จะเป็นที่น่าเสียใจ ต้องขอให้คุณพระเข้าใจว่าเวลานี้ผมทำการในหน้าที่นายอำเภอเมือง | ||
(ตำรวจภูธรนำตัวนายสวิงมาที่เฉลียง นายสวิงนั้นแต่งตัวใส่กางเกงจีนใส่เสื้อชั้นใน ดูเสื้อ ผ้ายู่ยี่ หน้าตาซีด ผมยุ่ง)
หลวงมณีฯ | ได้ที่ไหน | ||
ตำรวจภูธร | ในโรงม้าขอรับ | ||
พระภิรมย์ฯ | คุณหลวงมณี ขอผัดสักสองสามเวลาไม่ได้หรือ เวลานี้เขากำลังเรียนกฎหมายอยู่ | ||
หลวงมณีฯ | ผัดไม่ได้ขอรับ ต้องไปเดี๋ยวนี้ | ||
พระภิรมย์ฯ | พุทโธ่! ลูกผมเคยเลี้ยงเป็นผู้ดี จะเอาไปใช้อย่างขี้ข้ามันก็ตายเท่านั้นเอง | ||
หลวงมณีฯ | ผมเสียใจ รอสนทนากับพระคุณต่อไปไม่ได้ | ||
พระภิรมย์ฯ | (โกรธ) ดีละ ดีละ ถ้าไม่มีโอกาสบ้างก็แล้วไป ถ้ามีโอกาสละก็---คอยดูเถอะ คอยดูเถอะ ถึงทีใครก็ทีใครแหละน่ะ คงได้เห็นฤทธิ์อ้ายแก่วัน ๑ | ||
(หลวงมณีฯ คำนับ แล้วกลับหลังหันเดินดุ่มๆ ไปทางหลัง ตำรวจภูธรพาตัวนายสวิงตามไป พระภิรมย์ฯ ยืนตลึงแลดูตามไปครู่ ๑ แล้วทรุดตัวลงนั่ง)
ชุดที่ ๒
ชุดที่ ๓
เชิงอรรถ
ที่มา
อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ เจ้าพระยาสุรบดินทรสุรินทรฦๅชัย (พร จารุจินดา) ณ เมรุวัดเทพศิรินทราวาส วันที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ โรงพิมพ์ตีรณสาร
ขอขอบคุณ นายสะอาด บ้านปทุม ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน